ปกิณกะความรู้เรื่องภพ และธาตุธรรม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย thanan, 3 กุมภาพันธ์ 2005.

  1. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,666
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,210
    *จากหนังสือกฏสวรรค์


    <u>ปกิณกะความรู้เรื่องภพ และธาตุธรรม </u>

    ในพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า จักรวาลอันเป็นที่อยู่ของสัตว์โลก มีจำนวนนับไม่ถ้วน จึงเรียกว่าเป็นอนันตจักรวาล จักรวาลหนึ่งๆ หรืออาจเรียกว่าภพหนึ่ง ๆ ก็ได้นั้น มีระดับความละเอียดที่ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น มนุษย์เรามี่มีกายนี้อยู่ในภพมนุษย์ เทพอยู่ในภพเทวดา หรือรูปพรหมก็อยู่ในรูปภพ เป็นต้น แต่ตลอดนรก สวรรค์ พรหมโลก เรียกว่า เป็นส่วนของจักรวาลหนึ่ง (ในที่นี้จะใช้คำว่าภพ แทนคำว่าจักรวาล เรียกเพื่อย่อคำ)

    ทั้งจักรวาล หรือภพ ก็ยังมีความละเอียดที่แตกตางกันไปอีก ในภพที่ละเอียดกว่านั้นผู้ที่อยู่ในภพนั้นก็จะมีความละเอียด (หรือมีความเป็นทิพย์ที่สูงกว่า) กว่ากันเข้าไปเช่นเดียวกัน ละเอียดที่ว่านี้ หมายถึงความละเอียดของธาตุ-ธรรมที่มาเป็นร่างกาย และชีวิตจิตใจ ธาตุบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นก็จะยิ่งมีความละเอียดยิ่งขึ้น

    ธาตุธรรมมีอยู่ 3 ฝ่าย คือ

    1. ฝ่ายดี หรือฝ่ายบุญ หรืออาจจะเรียกว่าฝ่ายขาว (กุสลาธรรม)
    2. ฝ่ายชั่ว หรือฝ่ายบาป หรือฝ่ายดำ (อกุสลาธรรม)
    3. ฝ่ายกลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว หรือฝ่ายไม่บุญ ไม่บาป หรือฝ่ายสีกลางๆ ไม่ดำไม่ขาว (อัพยกตาธรรม) แต่ธาตุธรรมฝ่ายกลางๆ นี้ ไม่ค่อยมีบทบาทมาก มักจะพูดถึง หรือเห็นชัดแต่ฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว

    - ฝ่ายดี หรือฝ่ายภาคขาว ก็คือคุณธรรมทางฝ่ายดีทั้งสิ้น รวมทั้ง ธาตุธรรมที่ขาวบริสุทธิ์ จะเป็นเรื่องของฝ่ายนี้
    - ฝ่ายชั่ว หรือภาคดำ ก็คือคุณธรรมทางฝ่ายชั่วทั้งหลาย รวมทั้งธาตุธรรมที่สีดำบริสุทธิ์จะเป็นเรื่องของฝ่ายนี้ (หมายถึงธาตุธรรมในจิตวิญญาณ)
    - ส่วนฝ่ายกลางๆ ก็เรื่องที่เป็นกลางๆ ทั้งหลาย

    ผู้ที่สามารถขัดเกลากิเลสให้หมดจากใจโดยเด็ดขาด หรือเรียกว่าสามารถทำให้จิตใจมีแต่ธาตุที่ขาวบริสุทธิ์ล้วน เรียกว่าถึงความเป็นพระอรหันต์จะสามารถเข้าถึงนิพพานอันเป็นบรมสุขได้ พระพุทธเจ้าที่มีธาตุฝ่ายขาวบริสุทธิ์เราเรียกว่า เป็นฝ่ายพระ แต่ผู้ที่มีธาตุธรรมฝ่ายดำบริสุทธิ์ เราเรียกว่าฝ่ายมาร (สูงกว่าพญามารในสวรรค์ มีสิทธิอำนาจมากกว่ามากมายยิ่งนัก เป็นพญามารตัวจริง)

    ผู้ที่ธาตุฝ่ายกลางๆ บริสุทธิ์ก็เป็นฝ่ายกลางๆ

    เราจะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า พระย่อมจะพยายามช่วยเหลือ และชักจูงให้คนให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ให้ทำในสิ่งที่เกิดโทษแก่ตนเอง และผู้อื่นเพื่อให้ทุกคนมีความสุขกันถ้วนหน้า ซึ่งเป็นเรื่องความดีทั้งหลาย

    ส่วนมาร หรือคนชั่วก็พยายามทุกทางที่จะให้ผู้อื่นมาเป็นบริวารอยู่ใต้อำนาจ และกระทำสิ่งที่ชั่วช้าต่างๆ ตามอำเภอใจของตน ถึงจะให้รางวัลก็เพียงให้หลอกแค่ตายใจ เพื่อทำประโยชน์ให้ตนต่อไปเท่านั้น ดังนั้นความเห็น หรือคุณธรรมของทั้ง 2 ฝ่ายจึงขัดแย้งกันอย่างยิ่งไม่อาจลงรอยปรองดองกันได้เลย ต่างฝ่ายก็มีความเห็นของจุดประสงค์ที่จะปฏิบัติต่อสัตว์โลกแตกต่างกัน

    ฝ่ายหนึ่ง (พระ) ปรารถนาจะช่วยให้พ้นทุกข์เป็นสุขกันถ้วนหน้าเข้าถึงนิพพานกันหมด

    อีกฝ่ายหนึ่ง (มาร) ปรารถนาจะดึงเอาไว้เป็นบริวาร ทำในสิ่งที่มารต้องการจึงไม่ต้องการให้สัตว์โลกมีปัญญารู้เท่าทันจะได้หลงเป็นทาสมารโดยไม่รู้ตัวต่อๆ ไป

    ดังนั้นในระดับธาตุธรรม ความขัดแย้งนี้จึงเรียกว่าเป็นสงคราม ต่างฝ่ายต่างพยายามเยื้อแย่งสัตว์โลก

    ฝ่ายพระเยื้อแย่งเพื่อช่วยให้ฉลาดรู้ทันมาร และหลุดพ้นจากการเป็นทาสมารไปเป็นสุข

    แต่ฝ่ายมารต้องการหลอกดึงเอาไว้เป็นทาส

    ผู้ที่มีอำนาจบารมีสูงในแต่ละฝ่าย หรือจะเรียกว่า ผู้ปกครองของธาตุธรรมฝ่ายนั้นๆ ก็พยายามสอดธาตุธรรม หรือพลิกธาตุธรรมของสัตว์โลก ให้เป็นธาตุธรรมของฝ่ายตน หรือจะเรียกว่าดลจิตดลใจสัตว์ให้ปฏิบัติในหนทางของฝ่ายตนก็ได้พร้อมๆ กันนั้น เมื่อสัตว์โลกได้ยินยอมปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของฝ่ายตนก็จะให้ผลตอบแทน ที่เรียกว่าผลบุญผลบาปนั่นเอง

    โดยที่ผลของการกระทำในสิ่งที่เป็นฝ่ายบุญกุศล จะเกิดเป็นบุญศักดิ์สิทธิ์

    แต่ผลของการกระทำในสิ่งที่เป็นอกุศล จะเป็นบาปศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะให้ผลตอบแทนที่เด็ดขาดต่อสัตว์โลกนั่นเอง

    <u>ภพ</u>

    ภพนั้นมีอยู่มากมาย มีทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ (ขนาดเล็กก็ใหญ่โตเป็นอจิณไตยสำหรับเราๆ กันแล้ว) ภพน้อยกายผู้ที่อยู่อาศัยในภพก็จะเล็กตามไป ส่วนภพใหญ่กายผู้ที่อยู่อาศัยก็ใหญ่ด้วย ภพที่เราอยู่กันนี้เป็นภพน้อยกายของพวกเราเป็นมนุษย์ หรือแม้แต่ชั้นพรหมก็ถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับภพใหญ่ ภพต่างๆ มากมายเหล่านี้มีทั้งภพที่ปกครองโดยภาคขาวล้วน ภพที่ปกครองโดยภาคดำล้วน หรือภพที่ปกครองโดยภาคกลางๆ ล้วน และภพที่ภาคไหนๆ ไม่ว่าดำ ขาว หรือกลางๆ ก็ไม่สามารถยึดอำนาจสิทธิเด็ดขาดในการปกครองได้ก็มีอย่างละมากๆ มีทั้งภพลับและภพเปิดเผย

    <u>สุขาวดีพุทธเกษตร</u>

    สำหรับฝ่ายภาคขาว ภพที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวพุทธ โดยเฉพาะฝ่ายมหายานก็คือ สุขาวดีพุทธเกษตร ซึ่งมีพระอมิตาภะพุทธเจ้าเป็นประธาน ตำรากล่าวว่าอยู่ทางทิศตะวันตกห่างออกไปจากจักรวาลนี้ถึง 10 ล้านพุทธภูมิสุขาวดีพุทธเกษตรที่มีพระอมิตาภะพุทธเจ้าเป็นประธานนี้ มีอยู่ 9 ชั้นที่เรียกกันว่า บัว 9 ชั้น

    แดนนี้นับเป็นภพใหญ่ภพหนึ่งที่เป็นภพของฝ่ายขาวล้วน ที่เรียกว่าภพใหญ่ เพราะร่างกายของผู้ที่อยู่ในดินแดนนี้จะมีขนาดใหญ่โตมาก ขนาดที่อาจเทียบมาตราส่วนของเราก็พอจะเทียบได้ว่ามีขนาดตั้งแต่ ความสูงของร่างกายนับพันนับหมื่นกิโลเมตร จนถึงเป็นแสนกิโลเมตรก็ว่าได้

    ชั้นล่างกายจะเล็กกว่าชั้นบนๆ ขึ้นไป แดนที่สูงกว่านี้ขึ้นไปอีก หรืออาจเรียกว่าเป็นภพใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งมีความละเอียด และอายุธาตุอายุบารมียิ่งมากขึ้นไปอีกก็ยังมีอีกมากมาย

    อย่างเช่นในระดับมหาไพศาลภูมิ แดนนี้มีถึง 18 ชั้นกายของผู้ที่อยู่ในดินแดนนี้ยิ่งใหญ่โตมโหฬาร ตั้งแต่ความสูงเป็นแสนๆ กิโลเมตร ถึงหลายล้านกิโลเมตร ในระดับที่ละเอียดมาก ๆ ของภพใหญ่มากๆ นั้นในตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำ (สด จันทสโร) กล่าวไว้ว่ากายมีขนาดโตมากจนแม้แต่ขนเส้นเดียวยังโตกว่าจักรวาลของเรา

    ยังมีในระดับมหาไพศาลภูมินี้มีองค์จอมราชันเป็นประธานมีจอมมุนี และวิสุทธิเทพสถิตอยู่อย่างมากมาย ที่เคยมีผู้ได้ไปพบเห็นแดนนี้ กล่าวถึงผู้อยู่ในแดนนี้ว่าเป็นแสงสว่างไม่มีตัวตน (ความจริงเป็นเพราะญาณมีจำกัดไม่อาจเห็นได้ตลอดทั่วทั้งกายเพราะกายใหญ่โตมาก จึงเห็นเป็นแสงสว่างเพราะกายท่านใสสว่างมากเหลือเกิน นอกจากท่านจะย่อกายให้เล็กลง หรือขยายกายเราให้โตขึ้นเท่าๆ กันเท่านั้นจึงจะได้เห็นชัดหมดทั้งกาย แต่ถ้าสามารถขยายข่ายญาณให้ครอบคลุมได้ทั้งหมดก็สามารถเห็นรูปกายได้เช่นกัน ภพเหล่านี้เป็นภพใหญ่ที่เป็นภพทิพย์ของฝ่ายขาวล้วน)

    ภพที่เราอยู่กันนี้เป็นภพที่ธาตุธรรมทั้ง 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายขาว ฝ่ายกลางๆ และฝ่ายดำต่างก็เข้ามามีอำนาจปกครองด้วยกัน จึงเป็นสนามรบของธาตุธรรมที่คอยแย่งชิงสิทธิ ปกครองธาตุธรรมในภพนี้ตลอดเวลา เหตุการณ์ต่างๆ ในโลก และในตัวบุคคลจึงมีทั้งดี ทั้งร้าย และกลางๆ อยู่เสมอ เปลี่ยนแปลงแล้วแต่ฝ่ายไหนเข้ายึดสิทธิได้ตามปัจจัยคือ บุญ บาป และไม่บุญ ไม่บาปที่เรากระทำ

    สุขาวดี หรือภพของฝ่ายขาวล้วน แดนสุขในที่นี้จะกล่าวว่าเป็นเหมือนแดนนิพพานก็ว่าได้ เพราะเป็นแดนที่เป็นสุคติภูมิ และผู้ที่เข้าถึงแดนนี้แล้ว จะไม่ต้องเวียนกลับมาเกิดในโลกนี้ หรือในวัฏฏะทุกข์อีก (ยกเว้นปรารถนาจะมาเกิดเอง ซึ่งถ้ามาเกิดอีกทีจะเป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทธรรมในวัฏฏะสงสาร) ทั้งบุญศักดิ์สิทธิ์ และบาปศักดิ์สิทธิ์นั้นมีทั้งของภาคขาว และภาคดำ
     
  2. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,666
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,210
    ผมแนะนำเว็บให้คุณเข้าไปอ่านเลยละกัน www.navagaprom.com เป็นเรื่องทางจิตวิญญาณ เรื่องลึกลับทางระบบวิญญาณ การทำงานของโลกวิญญาณและอื่น ๆ ซึ่งออกจะสลับซับซ้อน ส่วนใหญ่จะไม่มีในพระไตรปิฎก ถ้ามีก็จะออกไปทางมหายาน ทางเว็บนี้เค้าบอกว่าเค้าทำงานเพื่อศาสนจักร จากเบื้องบนสั่ง จากต้นธาตุ ต้นธรรม เบื้องบนสั่งมาอย่างไร เค้าก็ทำอย่างนั้น ลองเข้าไปอ่านดูนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...