จิตเดิมปภัสสร ไม่ได้หมายถึง บริสุทธิ์
พวกงงไม่เคยรู้จักจิตปภัสสร มันเลยได้แต่พงักหน้า
คนเป็น อย่างลุงหวีด
ท่านจะบอก จิตที่จะบริสุทธิ์ ไม่ได้มีอยู่ก่อนแล้ว
ต้องเกิดจากการอบรมปฏิบัติ
จิตเพียวๆนี่ หรือจิตเดิม จิตปภัสสรนี่ มันจึงจะบริสุทธิ์ขึ้นมา
หมดสมมุติบัญญัติจะเรียก ตำราจึงมีคำว่า
นิพพาน มาเป็นไวพจน์กับจิตบริสุทธิ์
ไม่ได้ หมายความว่า จิตปภ้สสรเป็นจิตบริสุทธิ์
ครูบาอาจารย์ของแท้ ท่านพูดเสียงเดียวกันหมด
มีแต่ของปลอม ที่พูดยังไง มันก้ตรงกันข้าม
ทีนี้
อายตนะนั้น มีอยู่ อายตนะที่ 13 ตำราท่านเรียก อายตนะนิพพาน
หรืออีกอย่างนึง ผุ้บรรลุธรรมจะรู้ได้ด้วยตัวเอง สมกับพระธรรม
ที่ว่า
ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิตี
แต่พวกไม่รู้เรื่องมันจะบอกว่า บริสุทธิ์อยู่แล้ว แต่เดิม
ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้อะไร??
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 14 กันยายน 2021.
หน้า 9 ของ 12
-
-
กับจิตที่คอยปรุงแต่งและสั่งสมอนุสัย และตัวอนุสัยปกติที่มันชอบรื้อความทรงจำในเมมโมรี่มาเสพ และปรุงแต่ง สร้างอนุสัยพอกหนาไปเรื่อยๆ
กับจิตที่คอยรู้อารมณ์ โลภ โกรธ หลง เฉยๆ มันทำงานอิงอาศัยกันมาตลอด
เมื่ออารมณ์ปรุงแต่งไม่ทำงาน มันจะอารมณ์ไหนให้รู้ได้อีก…ถ้าแนวแบบกดข่มกิเลส มันก็จะเหลืออารมณ์เฉยๆให้มันรับรู้เสพอยู่ แต่ถ้ามันรู้ตัวเอง มันก็จะวางตัวตนที่เหลือไปด้วย อารมณ์เฉยๆนั้นก็ไม่เหลือให้รู้เช่นกัน…(แนนยังไม่ถึงขั้นวางผู้รู้นะ …อย่าเพิ่งเชื่อ)
เมื่ออนุสัยและพื้นที่ที่คอยสั่งมอนุสัยถูกทำลาย การปรุงแต่งไม่เกิด จิตผู้รู้อิสระ แต่สมองหรือ ฮาดดิสยังทำงานอยู่
เวลาฮาดดิสทำงาน มันก็ได้แค่ทำงาน แต่จะไม่มีบันทึกลงอนุสัยได้อีก เวลาเห็นคนคุยด้วย สมองก็คุยด้วยได้ตามปกติ แต่จิตมันไร้ร่องรอย ไม่ยินดียินร้าย อารมณ์ไม่ปรากฏ ไม่รื้อฟื้นขุดคุ้ยมาเสพ ….เหมือนคิดอยู่บนความว่าง หายไป จบตรงนั้น ไม่มีอะไรกระเพื่อม
เคยได้ยินพระท่านกล่าวว่า เหมือนปากกาที่หมึกหมด ที่ยังเขียนได้ แต่เขียนอยู่บนความว่าง ไม่ปรากฏร่องรอยการบันทึกใดๆ -
-
-
แม้แต่จิตผู้รู้ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
อยู่ดีๆจะกลายเป็นของไม่เกิดดับได้ ….แค่คิดก็งง แล้วค่ะ -
เวลาคุณแนนเห็นความคิดในจิต คือผู้รู้ดีดตัวออกมาเป็นผู้เห็นอารมณ์นี่นั่น บลาๆ แล้วคุณแนนไม่มีอาการอุปทานในอารมณฺนั้นเลยแม้แต่น้อย เหมือนเราดูคนเล่นเกมส์บนฝั่งเฉยๆ ดูมันเกิดแล้วหายไปแบบไม่สาระอะไร ..
นี่แหล่ะค่ะ อุปทานที่รับรู้ตามอายตนะ ไม่เชื่อมมาหาจิต เขาถึงบอกนี่คือต้นทางนิพพาน < อรหันต์ก้อคล้ายแบบนี้แหล่ะค่ะ จิตรู้อารมณ์ อารมณ์ทำงานปกติ แต่ไม่มีอุปทานในสิ่งที่ถูกรู้
ลักษณะคือ พอเรารู้ตามอายตนะ อุปทานมันไม่เชื่อมมาหาจิต ต่างคนต่างอิสระแก่กัน
ถ้าคนไม่ฝึก หรือฝึกยังไม่เห็นความคิดในจิต อายตนะที่เรารับรู้ มันจะมีอุปาทานเชื่อมมาหาจิตตลอด แล้วเก็บบันทึกทุกอย่างไว้ที่จิตอวิชชา -
การที่ยังเห็นอุปาทานเกิดดับๆอยู่ มันยังไม่ใช่อารมณ์นิพพาน
แต่แน่นอนว่ามันคือเส้นทางที่มันพาเจอ
อารมณ์นิพพาน มันไม่เหลือเกิดดับให้ปรากฏ สภาวะที่มันเกิดดับได้ ไม่ว่าจะเป็นเจตสิกหรือจิต มันแทรกตัวเข้ามาในนิพพานไม่ได้ -
-
ของเราๆ มันยังเชื่อมอุปทานมั่ง ไม่เชื่อมมั่ง ค่ะ -
ลาเจ้าคร่ะ... ไปฟังเขียวกีต้าร์แบบลุงแมวมั่งดีกั่ว
เบรื่อพวกขรี้หมา ..อิอิ -
เราๆคงออกความคิดเห็นได้แค่
พอหอมปากหอมคอค่ะ
เพราะส่วนหนึ่งเราใส่ความนึกคิดลงไปด้วย
ซึ่งคงมีผิดถูกแน่นอน
ต้องรอใครสักคนในนี้อรหันต์ แล้วมาบรรยายให้ฟังอีกที -
ถ้าของเดิม บริสุทธิ์อยู่แล้ว อะไรก็เชื่อมไม่ติดกับจิต
พอๆไปๆมาๆ ก็บอกว่า ต้องปฏิบัติไม่ให้มีอะไรไปเชื่อมกับจิต
พวกนี้ แก้ คำต่าง แก้ต่างออกไม่ได้
เพราะรู้ไม่จริง ไม่เคยประะจักษ์ผลของการปฏิบัติ
ที่ เกิดวิสังขาร
มันเลยอ้าปากไม่ได้เต็ม ร้อย ไม่มีความมั่นใจ
ซ้ายที ขวาที เอ๊ะ กรูงงไปหมดแล้ว แจ๋นแปล๋นๆ
พอไปอุปมา แมวสีขาวคือจิตบริสุทธิ์เดิมแท้ กิเลสคือสี
ถ้าแมว สีขาวมันบริสุทธิ์ จริง โยนสีห้า สีอะไร สีข้างเข้าใส่
แมว สีขาว มันก้ไม่เปลี่ยนสี นี่อะไร แมวยังเปลี่ยนสีได้
แล้ว มันจะเรียกว่า เดิมแท้ มันบริสุทธิ์ได้ยังไง
คนเขาเป็นปฏิบัติถึง
เขามีแต่โยนความโง่เข้าให้ แมวสีขาว นี่บรมโง่ดักดานแท้ๆ
นั่น
มันจึงจะรู้จัก วิสังขาร
แถมให้แล้ว ว่างก็มานะ พวก ขรี้เหม็น อิอิ -
ที่ฝึกคือแค่เพิ่มตัวปัญญา จริงๆ คือการกระตุ้นตัวจิตด้วยความรู้สึกเฉยๆ ให้มันตื่นต่างหาก(ก้อคือสร้างสัญญาไม่ยึดติดนั่นแหล่ะ)
พอจิตมันตื่น แยกตัวจากความคิด มันก้อเริ่มไม่เชื่อความคิดที่หลอกมัน ยิ่งกระตุ้นด้วยสติวิปัสสนา+สมถะมากเท่าไหร่ มันก้อหายหลงมากเท่านั้น
นู๋อ่ะฝึกเยอะ ฝึกจนบางคนบอกสุดโต่งโน่นแหล่ะ.. แต่มันเป็นความเคยชินสำหรับนู๋ไปแล้ว เหมือนนั่งเล่นโทสับได้ทั้งวันนั่นแหล่ะ ไม่มานั่งอ่าน นั่งฟังให้เสียเวลาหรอก -
มันแค่บัง แต่มันไม่ได้เป็นสีขาว ถึงล้างไม่ออก แต่โกนขนนุ๊งแมวออก พอขนงอกใหม่ก้อเป็นสีขาวอยู่ดี มันเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติเดิมของจิตไม่ได้
เรื่องอุปทาน ตอบโพสก่อนหน้าไปแล้ว ที่สร้างสติสมถะวิปัสสนา จริงๆ กระตุ้นความเป็นคุณสมบัติเดิมของจิตให้ตื่นมาทำงานเองด้วยซ้ำไป -
ทำไมต้องมีคำว่าอายตนะเพิ่มเข้ามาด้วย มีนัยยะอะไรที่มากกว่านิพพานมั้ยคะ -
แมวติดสี ล้างออก มันก้เป็น สีขาวเหมือนเดิม
แล้วมัน ก้ไปติดสีใหม่ วนไปไม่จบสิ้น นี่ละ จิตปภัสสร ที่ไม่เคยตาย
ต่างจากจิตบริสุทธิ์
บริสุทธิ์แล้ว อะไรก็ย้อมไม่ติด
เหมือน ที่บอกว่า อุปาทาน เข้าไม่ถึงจิต
เป็นน้ำกลิ้ง บนใบบัว -
แต่พอวันนึงมีคนเลี้ยง จับมาอาบน้ำ ก้อกลับคืนสีเดิมของตัวเอง ก็เหมือนการฝึกจิตให้ได้ปัญญา
จิตที่ได้ปัญญาแล้ว จะไม่กลับไปหลงแบบแต่ก่อนอีก ไม่วนลูป ติดกลับไปกลับมาแล้ว
จิตประภัสสร จิตเดิม บอกให้ดูอาการที่พระท่านสื่อ ว่าท่านสื่อถึงนิพพานหรือจิตอวิชชา ท่านใช้คำตามความถนัด
เหมือนพระภาคกลางใช้คำว่าจิต กับเจตสิก เป็นคำสั้นๆ หมด คือจิตคำเดียว เราก้อฟังอาการเอา ว่าท่านพูดถึงอารมณ์จิตหรือจิต
พระวัดป่าก้อจิต กับใจ
พรี่ก้อโครตยึดติดคำพวกนี้จัง -
จะกล่าวอย่างนั้นก้ไม่ผิดหรอก
มันเป็นไวพจน์เดียวกันหมด
ของจิตบริสุทธิ์
จิตบริสุทธิ์ นิพพาน ธรรมธาตุ เป็นไวพจน์เดียวกันได้หมด เพราะ มีสภาวะเดียวกัน
และนิพพานจะไม่ปรากฎกที่ไหน นอกจากจิตที่สิ้นกิเลส
ไม่ใช่เนื้ออวกาส รวมกับเนื้ออวกาส
พวกที่บอกว่า รวมกับเนื้ออวกาส จักรวาล พวกนี้ของปลอมทั้งนั้น
เพราะพวกนี้ เป็น มหาภูติรูป เป็นสังขารที่ไม่มีใจครอง
เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง
ซึ่งพวกมิจฉาทิฐิทั้งหลายจะเอา มารวมกัน ว่าเป็นสรรพสิ่ง
ทั้งๆที่พวกนี้อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ทั้งสิ้น สิ่งที่เป็นอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์
ไม่ได้มีส่วนมีเอี่ยวในการรวมเป็นหนึ่งของจิตบริสุทธิ์
ฉะนั้น นิพพานจึงอยู่เหนือกฎไตรลักษณ์
พุทธองค์ จึง สอน มุ่งที่ จิต
ความเป็นพุทธะจึงปรากฎที่จิต
พวกไม่รู้เรื่องก็บอกจิตคือพุทธะ นั่นใช่
เพราะ เมื่อ อบรมจิตให้บริสุทธิ์ได้
ความเป็นพุทธะมันจึงปรากฎ
ส่วนพวกที่ภาวนาไม่เป็น
ไปเอา คำสอนจิตคือพุทธะ ไปเสริมเติมแต่ง ความคิดตนเองเข้าไป
คนที่เขาปฏิบัติถึง มองยังไงเขาก็มองออก เพราะ ธรรม มันถึงกันหมด
พูดอะไรมาก็เหมือนก๊อปกันมาพูด
แต่ มุมอธิบาย จะต่างแค่นั้นเอง ลงรอยกันเป๊ะ
อายตนะนิพพาน ท่านสอนใครไม่รู้จำไม่ได้ เพื่อ อธิบายว่า นิพพานมีอยู่
นิพพานัง ปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่ายิ่ง
ไม่ใช่ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง อันนี้คือ พวกคิดว่านิพพานแล้วสูนสลายไม่มี
ถึงแม้ ว่าจะมีคำแนะนำว่าพบจิตทำลายจิต
แต่ในความเป็นจริง มันก็ยังมีสิ่งหนึ่งอยู่ ที่ปรากฎ
เป็นหนึ่งเป็นอิสระ ก็จะวกเข้าตำราที่พระพุทธเจ้าท่านสอนอยู่ดี -
จิตมันติดกิเลสมาแต่เดิมอยู่แล้ว
จริงๆแล้วก้ตอบง่ายมาก
ถ้าของเดิมมันบริสุทธิ์จริง มันไม่ติดมาแต่ต้นแล้วกิเลส
เพราะตัวมันเองนี่แหล่ะ ที่มีแต่สภาพรู้ สภาพรู้ มันยังไม่มีปัญญา
หลวงตามหาบัว ท่านจึงชี้ให้ดู ความโง่ตีแสกหน้าความปภัสสร
ของแท้ ท่านสอนแบบนี้
มันไม่เกี่ยวอะไรกับการยึดติดหรอก
มันเกี่ยวกับธรรม ที่สอนได้ตรงทาง
กับธรรมที่เป็น สีทะนนชัย
พวกไม่รู้เรื่อง มันก็ดันทุรัง สภาพรู้ ไม่เกิดไม่ดับ เป็นธาตรู้ เป็นธรรมธาตุ
เวลาไปบอกทางชาวบ้านเข้า
ถ้าบอกเขาผิด เขาตกเหวตายเลยนะ -
การกำหนดรู้ก็ไม่ได้ไปบังคับบให้จิตทำงานนะ หากไปบังคับมันเป็นการแทรกแซงการทำงานของจิต การทำงานของจิตคลายและวางลง จิต ทำงานของเขาเอง วางเอง ไม่ใครทำ ไม่มีอะไร เพียงแต่ศีล = ปกติ สัมมาสติ = สมาธิที่รู้ปัจจุบันจนชัดๆ ขึ้นๆ และไปถึงตัวปัญญา
และไม่มีใครสั่งหรือทำให้จิตบรรลุนิพพานได้ เพราะนิพพานคือนิพพาน จิตคือจิต
หน้า 9 ของ 12