ปรกโพธิ์ชนะมารกองทุนหลวงพ่อปานพระผงหลวงปู่บุญวัดบ้านนาระยอง พระปิดตาลป.เจียง เนินหย่องระยอง.

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343


    ประวัติหลวงปู่เส็ง วัดบางนา สุดยอดพญาครุฑอันดับต้นของเมืองไทย
    หลวงปู่เส็งเป็นพระปฏิบัติท่านมักจะออกธุดงค์ไปปริวาสกรรมทุกปีมิได้ขาดมีปฏิปทาใน ทางสมถะหมั่นบริกรรมภาวนาเจริญพระคาถาวิชาต่างๆ
    เล่ากันว่าเวลาว่างจากงานที่ต้องกระทำ ท่านจะนั่งนับลูกประคำที่คล้องคออยู่บริกรรมพระคาถาตลอดเวลา หลวงปู่เป็นคนพูดน้อยไม่ค่อยพูดว่ากล่าวผู้ใด
    หลวงปู่เส็งเป็นสมภารปกครองวัดเรื่อยมา จนกระทั่งอายุ 65 ปีท่านจึงเริ่มทำวัตถุมงคล
    การทำวัตถุมงคลครั้งแรกนั้น ท่านสร้างพระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกของวัดบางนา ในปี พ.ศ.2510 หลังจากสร้างพระผงสมเด็จ 3 ชั้นออกมาแจกจ่ายแก่ลูกศิษย์ลูกหาแล้ว ในปีนั้นเองหลวงปู่ก็ทำเหรียญรูปอาร์ม หรือใบเสมาคว่ำเป็นรุ่นแรกออกมาอีก และนับแต่ปี พ.ศ.2510 เป็นต้นมาหลวงปู่เส็งก็สร้างวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆออกมามากมายแทบจะนับ
    รุ่นกันไม่ได้เลยทีเดียว
    หลวงปู่สร้างวัตถุมงคลทุกปีๆหนึ่งสร้าง 2-3 แบบจนกระทั่งท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2530 รวมระยะเวลาการทำวัตถุของหลวงปู่เส็ง 20 ปี และวัตถุมงคลของหลวงปู่ทุกรุ่นทุกแบบก็มีผู้เลื่อมใสหามาพกติดตัวและบูชากันมากมาย
    วัตถุุมงคลของหลวงปู่เส็งนั้น ออกไปในทางแคล้วคลาดเมตตามหานิยม และการค้าขายดีเยี่ยม วัตถุมงคลของหลวงปู่เส็งรุ่นนิยมเท่าที่พอลำดับความได้มีดังนี้
    พระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกจัดสร้างปี 2510 ผงที่นำมาสร้างเป็นผงอิทธิเจซึ่งจะโน้มไปในทางเมตตามหานิยม และค้าขาย พระผงสมเด็จ 3 ชั้นรุ่นแรกด้านหน้า เป็นรูปพระพุทธรูปพระประธานนั่งสมาธิ มีซุ้มครอบแก้วด้านหลังเป็นลายมือเขียนว่า พระครูเส็ง บางองค์เขียนว่า เส็ง และบางองค์ก็เขียนว่า พระครูเส็ง จันทฺรังสี แล้วแต่ว่าหลวงปู่จะเขียนอะไรคำไหน แต่ส่วนใหญ่จะทำเป็นแบบพิมพ์เป็นบล็อคใช้กดลงไปบนหลังพระเวลากดพิมพ์
    เนื้อพระมีทั้งเนื้อน้ำมัน ลักษณะพระจะออกแกร่งมันกับสูตรผสมเนื้อกล้วยพิมพ์ออกมามีทั้งหมด 5 สี คือ สีดำ เหลือง เขียวแดง และ ขาวพอทำเสร็จหลวงปู่ก็ปลุกเสกเดี่ยวแล้วออกแจกจ่ายแก่ญาติโยมที่ไปหาท่าน บางรายนำพระพกติดตัวไปประสบอุบัติเหตุเกิดแคล้วคลาดอย่างเหลือเชื่อกิตติศัพท์พกพระหลวงปู่เส็งแล้วแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุมีบ่อยครั้งมากจนกระทั่งเลื่องลือไปทั่ว
    พุทธคุณพระผงสมเด็จ 3 ชั้น รุ่นแรกของหลวงปู่เส็งเรื่องแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุเป็นเลิศหลังทำพระผงรุ่นแรกทิ้งช่วงปลายปีท่านก็ทำเหรียญรุ่นแรกออกมาเป็นเหรียญใบเสมาคว่ำมีทั้งเนื้อกะไหล่ทองเงิน
    และทองแดง ด้านหน้าเหรียญเป็นรูปหลวงปู่ครึ่งองค์มีอักษรเขียนว่า อาจารย์เส็ง ด้านหลังเป็นยันต์ใต้ยันต์มีอักษรระบุชื่อวัดบางนา พ.ศ.2510 ปีที่จัดสร้างและพระผงที่ทำออกมานั้นส่วนใหญ่จะบรรจุตะกรุดสาริกาดอกเล็กๆ ไว้ที่ฐานด้วยเพื่อเสริมพุทธคุณ
    การทำพระเครื่องของหลวงปู่เส็งจนถึงปี 2512 หลวงปู่จะเอาพระเครื่องที่ทำออกมาไปปลุกเสกเดี่ยวในอุโบสถ ถ้าเป็นเหรียญท่านจะทำพิธีพุทธาภิเษกนิมนต์พระระดับเจ้าอาวาส ละแวกวัดบางนามา
    เจริญพุทธมนต์ด้วย หลังจากปี 2512 การทำวัตถุมงคลหลวงปู่จะจัดพิธีพุทธาภิเษกในอุโบสถตลอด
    พระผงรุ่นที่โด่งดังมากก็คือ รุ่นขี่หมูซึ่งรุ่นนี้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นคนจัดสร้างขึ้นมานำไปให้หลวงปู่ทำพิธีพุทธภิเษกแล้วก็มอบพระให้หลวงปู่ไว้จำนวนหนึ่ง บรรดานักเล่นพระนิยมกันมาก
    สำหรับวัตถุมงคลรูปแบบต่างๆ นั้นครั้งแรกหลวงปู่จัดสร้างหมูทองแดงในปี 2522 สาเหตุการจัดทำหมูทองแดงของหลวงปู่เส็งนั้นสืบเนื่องมาจากในตำนานกล่าวกันว่าหมูทองแดงตามป่าเขาที่เป็นหมูเขี้ยวตันนั้นปืนยิงไม่เข้าหลวงปู่ก็เลยคิดทำวัตถุมงคลเป็น
    หมูทองแดงเขี้ยวตันขึ้นมา เล่ากันว่าระหว่างที่หลวงปู่ปลุกเสกหมูทองแดงร่วมกับพระที่ี่นิมนต์มาเจริญพุทธมนต์อยู่ในโบสถ์นั้นมีชาวบ้านเห็นหมูวิ่งเข้าไปในโบสถ์ขณะที่พระสงฆ์กำลังปลุกเสกวัตถุมงคลอยู่ทั้งๆที่รอบโบสถ์ด้านนอกปิดกั้นอย่างดีไม่ให้
    ใครเข้าไปรบกวนสมาธิขณะที่พระสงฆ์กำลังเจริญพระพุทธมนต์ และบริกรรมปลุกเสก
    วัตถุมงคลหลังเสร็จพิธีคนที่พบเห็นเข้าไปบอกหลวงปู่ ท่านก็เฉยๆ แถมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีท่านไม่ได้พูดอะไรแต่รับฟังเอาไว้ ครั้นเมื่อทำหมูทองแดงออกมาแจกกันเป็นที่ฮือฮาพอสมควรหมูทองแดงที่สร้างนั้นเป็นเนื้อทองแดงผสมโลหะ มีหมูทองแดงตัวใหญ่และเล็กข้างลำตัวซ้ายมีอักษรเขียนว่า วัดบางนา ปทุมธานี ข้างลำตัวด้านขวาเป็นอักขระขอมมียันต์ที่โคนขาทั้ง 4 ลักษณะเป็นหมูป่าเขี้ยวตัน และในปี 2524 หลวงปู่เส็งได้จัดสร้าง ทำหมู 7 หัวขึ้นมาเป็นลักษณะหมูป่าเขี้ยวตัน คู้ขาหมอบที่เรียกว่า 7หัวนั้นหมายถึงหัวของปลัดขิกที่ทำไว้ตามลำตัวมี 7 แห่ง คือที่หัว หาง ที่เพศและที่ปลายเท้าทั้งสี่ข้าง เป็นเนื้อทองแดงผสมโลหะ ข้างลำตัวด้านซ้ายระบุปีพ.ศ.ที่จัดสร้างคือปี 2524 นอกจากนี้หลวงปู่เส็งได้ทำหมูจัมโบ้ ขนาดใหญ่ออกมาอีก 1 รุ่นหมูทองแดงรุ่นแรกทำออกมาแค่ 2,500 ตัวเท่านั้นพุทธคุณไปในทางแคล้วคลาดและค้าขาย
    หลังจากทำหมูทองแดงออกมาหลวงปู่ก็จัดทำครุฑทองแดงซึ่งครุฑเป็นสัตว์ที่มีอำนาจ จัดทำพิธี
    พุทธาภิเษกในโบสถ์มีพระอาจารย์มาร่วมบริกรรมพุทธคุณอีก 10 รูป ครุฑทองแดงด้านหลังเขียนว่า หลวงปู่เส็ง วัดบางนาปทุมธานี 2522 สลับกับอักขระขอมประสบการณ์มีผู้นำติดตัวไปแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุทางรถ และทางเรืออีกทั้งยังป้องกันภัย จากงูเงี้ยวเขี้ยวขอดีนัก
    ต่อมาหลวงปู่จัดสร้างรูปเหมือนหนุมานเหตุผลที่จัดทำนั้นท่านถือว่าหนุมานเป็นลิงประจำปีวอกและด้วยหนุมานเองก็เป็นศิษย์ของพระนารายณ์
    ์มีอานุภาพฤทธิ์เดชมากมาย ที่จัดทำไว้มีเนื้อกะไหล่เงินและทองแดง ไม่ระบุปีจัดสร้างจาก หมู ครุฑ หนุมาน ต่อมาท่านก็สร้างพญาเต่าเลือนเนื้อทองแดงผสมโลหะแล้วจัดสร้างหงส์ทอง หงส์เงิน อีก 1 ชุด เนื้อกะไหล่ทองและกะไหล่เงินทำเพื่อเป็นที่ระลึกว่าวัดบางนานั้นเป็นวัดที่ชาวรามัญสร้างขึ้นมา
    นอกจากวัตถุมงคลรูปแปลกๆ แล้วหลวงปู่ยังสร้างพระกริ่งรูปเหมือนท่าน มีทั้งแบบหลังตรงและหลังค่อม เนื้อทองแดงผสม สร้างพระปิดตาเนื้อทองเหลืองผสม สร้างเหรียญรูปไข่ รุ่นขี่วัวเนื้อทองแดงผสม สร้างเหรียญจอบรูปหลวงปู่มีทั้งจอบเล็กและจอบใหญ่ สร้างเหรียญหยดน้ำเนื้อทองแดงผสมสร้างรูปหล่อเนื้อผงปิดทอง ที่กล่าวมานี้เป็นวัตถุมงคลรุ่นเก่าๆที่หลวงปู่สร้างขึ้นมา
    ส่วนรุ่นใหม่ๆ ก็มีหลายสิบแบบมีทั้งนางกวักพระผงพิมพ์สมเด็จ พระผงปิดตา เรียกว่าการจัดทำวัตถุมงคลของหลวงปู่เส็งนั้นมากมายจริงๆ ถ้าหากวัตถุ มงคลใดไม่ระบุพ.ศ. เอาไว้แทบจะไม่ทราบกันเลยว่าหลวงปู่จัดสร้างในพ.ศ.อะไรเพราะไม่มีการบันทึกเอาไว้ และก็ทำออกมามากแบบ สำหรับเงินรายได้ที่ มีผู้นำมาบริจาคหรือเช่าวัตถุมงคลนั้น หลวงปู่นำเงินไปสร้างวัดวังหิน อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี
    ส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งท่านก็ทำนุบำรุงหมู่กุฏิเสนาสนะ
    วัดบางนาที่ชำรุดทรุดโทรมให้ดีขึ้น สาเหตุที่หลวงปู่ไปสร้างวัดวังหินอีกแห่งหนึ่งนั้นก็เนื่องจากท่านเห็นว่าสมัยนั้นชาวบ้านยากจนมากถิ่นที่อยู่ก็ทุรกันดารเป็นแหล่งหลบซ่อนของเหล่าเสือปล้นหลวงปู่เกรงว่า
    ชาวบ้านและลูกหลานจะมีนิสัยดุร้ายกันไปหมดจึงไปสร้างวัดให้เพื่อบรรเทาจิตใจให้ร่มเย็นลงบ้างเพื่อให้ธรรมะได้เข้าถึงจิตใจลูกหลานและผู้ที่คิดกลับตัวกลับใจหันมาบวชเรียนทำให้ผู้คนมีศีลธรรมขึ้น
    พอท่านสร้างวัดวังหินเสร็จวันที่ 21 มกราคม พ.ศ.2531 หลวงปู่เส็งผู้ที่เป็นประดุจเทพเจ้าของชาวรามัญย่านวัดบางนาก็ถึงแก่มรณภาพลงรวมอายุได้ 87 ปี
    ท่านสิ้นลมอย่างสงบที่โรงพยาบาลคุ้มเกล้า ตึกคุ้มเกล้าครั้นเมื่อหลวงปู่มรณภาพลงท่านพระครูอนุกูลศาสนกิจหรือหลวงพ่อแสวง ก็ขึ้นเป็นสมภารแทนท่านก็ทำนุบำรุงวัดเอาวัตถุมงคลหลวงปู่เส็งมาจำหน่ายจ่ายแจกรายได้สร้างวัดยุคของหลวงพ่อแสวง เป็นยุคของการพัฒนาวัดอย่างจริงจังไม่มีการออกวัตถุมงคลจะมีออกเหรียญรูปไข่ในงานฉลองสมณศักดิ์ของหลวงพ่อแสวงที่ได้เลื่อนเป็นพระครูชั้นโทเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม ปี 2535 เสร็จสิ้นงานฉลองไม่นานหลวงพ่อแสวงก็มรณภาพเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ปลายปีนั้นเอง รวมอายุ 70 ปี
    เมื่อสิ้นหลวงพ่อแสวงพระอธิการยงยุทธ ยโสธโร ก็ขึ้นเป็นสมภารปกครองวัดสืบมาจนทุกวันนี้วัดบางนาตั้งอยู่ในเขตตำบลบางโพธิ์เหนือ หมู่1 อำเภอสามโคก หน้าวัดติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ไปวัดบางนาและไปกราบศพหลวงปู่เส็งที่ไม่เน่าไม่เปื่อยในโลงแก้วทางวัดสร้างวิหารติดริมแม่น้ำไว้เก็บสรีระของหลวงปู่เป็นสัดส่วนให้ไปขอพรขอโชคลาภจาก
    หลวงปู่
    เว็บนิตยสารมงคลโสฬส ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระพุทธลีลาหลวงพ่อเส็งวัดบางนาให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flashหรือ j&t


     
  2. อาณัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2006
    โพสต์:
    6,079
    ค่าพลัง:
    +22,267
    เหรียญพระลีลาหลวงพ่อรวย วัดท่าเรือ ..100
    พระพุทธลีลาหลวงพ่อเส็ง วัดบางนา ให้บูชา ..150


    ... ขอจอง 2 รายการ วันอังคารโอนเงินให้ครับ
     
  3. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343

    พระธาตุพนมนั้นถือเป็นสิ่งสักการะที่เป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติมานานนับสิบนับร้อยปี คนไทยชาวอีสานต่างเชื่อกันว่าพระธาตุพนมนั้นเป็นที่ประดิษฐานพระอุรังคธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและยังมีพญานาค 7 ตน คอยปกปักรักษาพระธาตุพนมให้รอดพ้นจากภยันตรายและภัยพิบัติทั้งปวงอีกทั้งยังเชื่อกันว่าใครที่กราบสักการะบุชาพระธาตุพนมหรือมีวัตถุมงคลของวัดพระธาตุพนมที่มีส่วนผสมเกี่ยวข้องกับพระธาตุพนมไว้ติดกายพญานาคราชทั้ง 7 นั้นก็จะปกปักรักษาผู้ที่มีวัตถุมงคลด้วยเช่นกัน

    สำหรับวัตถุมงคลที่นำมาลงนี้ถือเป็นวัตถุมงคลที่ดี มีประสบการณ์มากอีกรุ่นหนึ่งของวัดพระธาตุพนมซึ่งก็คือ “สมเด็จนาคปรกพระธาตุพนมรุ่นเครื่องบินตกปลอดภัย” นั่นเองครับซึ่งโดยแรกเริ่มเดิมทีนั้นพระสมเด็จนาคปรกรุ่นนี้ยังไม่มีชื่อรุ่นเป็นการเฉพาะแต่อย่างใดแต่เมื่อมีผู้ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกและปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายเพราะในตัวห้อยพระสมเด็จนาคปรกรุ่นนี้เลยทำให้ทางวัดสั่งทำกล่องและใช้ชื่อรุ่นว่า “เครื่องบินตกปลอดภัย” ตามประสบการณ์ที่มีนั่นเองครับ

    สมเด็จนาคปรกพระธาตุพนมรุ่นเครื่องบินตกปลอดภัยนี้จัดสร้างโดยใช้มวลสารมงคลศักดิ์สิทธิ์มากมายอาทิเช่นผงธูป ผงดอกไม้ บูชาพระธาตุพนม ผงเกจิอาจารย์ต่างๆ ผงที่เหลือจากการสร้างพระรุ่นเก่าๆ ของทางวัดพระธาตุพนมและที่สำคัญที่สุดคือผงอิฐจากองค์พระธาตุพนมองค์เดิมที่ล้มโดยพระสมเด็จนาคปรกรุ่นนี้ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ เดิินทางมาปรกปลุกเสกให้ถึงกำแพงแก้วชั้นในพระธาตุพนมนับเป็นความเมตตาอย่างหาที่สุดไม่ได้

    ปัจจุบันพระสมเด็จรุ่นนี้หมดจากวัดไปนานแล้วและมีประสบการณ์ในเรื่องของการเดินทางเป็นอย่างมาก ใครที่เดินทางบ่อยๆ ควรมีติดตัวไว้ครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จนาคปรกพระธาตุพนมรุ่นเครื่องบินตกปลอดภัยพระบูชา 150 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบflashหรือ j&t(ปิดรายการ)

     
  4. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343

    พระเทพญาณโมลี – หรือ หลวงพ่อผัน หรือ พ่อท่านผัน ปสันโน อดีตเจ้าอาวาสวัดทรายขาว ต.ทุ่งหวัง อ.เมือง จ.สงขลา อดีตพระเถระที่สำคัญอีกรูปแห่งเมืองสงขลา ที่มีเรื่องราวชีวิตและบทบาทน่าสนใจยิ่ง
    วัตรปฏิบัติเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรม ความเป็นนักปกครอง นักบริหาร และนักพัฒนา เพียบพร้อมด้วยพรหมวิหารธรรม

    เกิดในสกุล ทองอร่าม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.พ.2476 ที่บ้านเลขที่ 58 หมู่ที่ 6 ต.ทุ่งหวัง อ.เมือง จ.สงขลา บิดา–มารดาชื่อ นายแอ สว่างรุ่งเรือง และนางเขียว ทองอร่าม ประกอบอาชีพทำสวน

    ในช่วงวัยเยาว์ เข้าศึกษาจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทรายขาว ชีวิตค่อนข้างลำบาก ต้องคอยช่วยเหลือทางบ้านทำงานหนัก จึงตัดสินใจออกจากบ้านไปทำประมงอยู่ที่ จ.สตูล

    กระทั่งอายุ 21 ปี มารดาได้ตามกลับมาบวช ในครั้งแรกคิดบวชเพียงแค่ 7 วัน เพราะเก็บเงินได้ส่วนหนึ่งตั้งใจจะกลับไปสร้างเรือขนส่งสินค้าวิ่งระหว่างสตูล–รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย

    อุปสมบทเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 17 มิ.ย.2497 ณ พัทธสีมาวัดทรายขาว มีพระอธิการอ่อน จันทสุวัณโณ วัดทุ่งหวังใน เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสุภรธรรมนิวิฏฐ์ วัดทุ่งหวังนอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการอั้น ยสินธโร วัดทรายขาว เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    เป็นพระสงฆ์ที่เคร่งในพระธรรมวินัย ร่วมกับพระรุ่นเดียวกัน ฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อกำหนดจิตให้สงบที่ป่าช้าบ้านทรายขาว รวมทั้งตั้งใจศึกษาจนสอบได้นักธรรมชั้นตรี–โท ตามลำดับ และสอบบาลีได้ชั้นประโยค 1-2 ที่วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง

    พ.ศ.2503 สอบได้นักธรรมชั้นเอก ในสำนักเรียนวัดเลียบ ต.บ่อยาง อ.เมือง จ.สงขลา พ.ศ.2508 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม สำนักเรียนวัดอ่างทอง ต.ทุ่งหวัง อ.เมือง จ.สงขลา และเป็นประธานสร้างวัด และถนนที่บ้านท่าแซะ ต.สะกอม อ.เทพา จ.สงขลา ปัจจุบันเป็นวัดเขาแก้ว
    พ่อท่านผัน เป็นศิษย์สายตรงสืบทอดวิทยาคมจากหลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง จ.สงขลา, หลวงพ่อหมุ่น วัดเขาแดงตะวันออก จ.พัทลุง, พระภัทรกรโกวิท หรือเจ้าคุณเนื่อง วัดนาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่ทิม และพ่อท่านนอง

    นอกจากนี้ ยังได้รับการถวายปริญญาโท พุทธศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (พธ.ม.) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการพัฒนาชุมชน จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และปริญญาเอก การศึกษาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการศึกษาเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จากมหาวิทยาลัยทักษิณ

    ท่านได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจให้กิจการคณะสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง บ่อยครั้งทำให้ท่านอ่อนแรง สุขภาพไม่แข็งแรงดังเดิม

    กระทั่งเกิดอาการหยุดหายใจเฉียบพลัน ด้วยภาวะขาดน้ำในกระแสเลือด ศิษย์ใกล้ชิดได้นำส่งโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เพื่อทำการกู้ชีพ เมื่อเช้าวันที่ 9 พ.ย.2561 เวลา 06.00 น. คณะแพทย์ได้ถวายการกู้ชีพอย่างเร่งด่วน แต่ไม่มีอาการตอบสนอง

    เวลา 08.02 น. วันที่ 9 พ.ย.2561 ละสังขารด้วยอาการสงบ จากภาวะหัวใจ ล้มเหลว สิริอายุ 85 ปี พรรษา 65 ท่ามกลางความเศร้าของญาติโยมและคณะศิษยานุศิษย์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงหลวงพ่อผันวัดทรายขาวให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t
     
  5. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343

    เมื่อหลวงปู่ฟัก ภททจารี(วัดเขาวงพระจันทร์)ถอดจิต!!!

    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า ในครั้งแรกที่"ถอดจิต"ได้ในวันหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่นั่งปฏิบัติเจริญสติอยู่นั้น พอจิตสงบเข้าที่ กายละเอียดของหลวงปู่ ก็ถอดออกจากกายหยาบ เมื่อถอดออกแล้ว กายละอียดของหลวงปู่ ยืนมองดูกายหยาบ ที่นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่ ท่านพิจารณาดูกายหยาบที่นั่งอยู่ กายหยาบนี้ มันไม่ผ่องใส มันมัวๆ ไม่สดใส ไม่สวยไม่งาม แต่กายละเอียดที่ยืนอยู่นี่ มันสง่า มันใสงามเป็นแก้วใส สวยงามเหมือนหนึ่งแก้วผลึก เมื่อจิตคิดรู้เช่นนั้น จิตบอกตัวเองว่า เออดีเหมือนกันนะ กายนี้ก็แปลกดีเหมือนกัน แล้วหลวงปู่ท่าน จึงจากกายหยาบ ที่นั่งอยู่นั้น ไปเที่ยวยังที่ต่างๆ......

    มันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งทุก เมืองที่หลวงปู่ได้ไปพบไปเห็นนั้น ไม่เหมือนเมืองมนุษย์เราเลย เพราะไม่มีต้นไม้ ไม่มีภูเขา ไม่มีบ้านคน เป็นเมืองที่พื้นที่ราบเสมอกันหมด ไม่มีสูง ไม่มีต่ำ แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นแต่ความโปร่งใสสว่าง และเย็นสบาย ความเย็นนั้น เย็นมากๆ แต่ไม่ใช่ว่าเย็นจนหนาว แต่เป็นเย็นสบายๆ

    ทุกย่างก้าวที่ก้าวไป หลวงปู่บอกว่า มีแต่ความสุข นับเป็นสุขอย่างยิ่ง หลวงปู่เดินเที่ยวอยู่นาน จิตท่านคิดว่า เออ....เป็นเช่นนี้ อยู่เช่นนี้ก็ดีนะ ไม่มีทุกข์ มีแต่สุข ไม่ลำบาก มีแต่สบาย ใน ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการชมสิ่งต่างๆอยู่นั้น จิตของหลวงปู่ ก็หวนคิดถึงคำพูดของโยมคนหนึ่ง ที่เคยพูด และเป็นคำสัญญา ซึ่งโยมคนนี้มีความสนิทกับหลวงปู่มาก โยมคนนี้กล่าวกับหลวงปู่ขึ้นว่า ท่านอาจารย์ ถ้าท่านปฏิบัติได้เหตุได้ผลอย่างไร ท่านอย่าเพิ่งด่วนหนีโยมไปผู้เดียวนะ ท่านต้องกลับมาเล่า มาบอกโยมก่อนนะ รับปากกับโยมซิ ......ได้โยมได้ ถ้าฉันปฏิบัติรู้เห็นอย่างไร ฉันจะยังไม่ไปไหน ฉันจะมาเล่าให้โยมฟังก่อน พอจิตของหลวงปู่คิดถึงคำสัญญาเช่นนั้น ปรากฏว่ารู้สึกตัวอีกที ก็มานั่งอยู่ในกายหยาบแล้ว เมื่อออกจากสมาธิ หลวงปู่ท่านคิดในใจว่า คำสัญญานี่สำคัญมาก ไปไหนไม่ได้ เพราะติดคำสัญญานี่เอง

    หลวงปู่เล่า ให้ฟังถึงตรงนี้ ท่านหันหน้ามาหาผู้เขียนและบอกว่า นี่เธอ อย่าเที่ยวไปสัญญากับใครเขาง่ายๆนะ เดี๋ยวจะไปไหนไม่ได้อย่างเรา แต่ ผู้เขียนแย้งท่านว่า หลวงปู่ครับ เพราะคำสัญญานะครับ กระผมจึงมีวาสนาได้มารับใช้หลวงปู่ ถ้าหลวงปู่ไม่ติดคำสัญญา กระผมคงไม่มีวาสนา แม้แต่จะได้รู้จักหลวงปู่เป็นแน่ ฉะนั้น กระผมขอขอบคุณคำสัญญาขอรับหลวงปู่ครับ

    หลวงปู่ท่านบอกว่า บนยอดภูเขาวงพระจันทร์นี้ ให้ท่านทุกอย่าง เจริญ พระธรรมกรรมฐาน ก็ทำจนได้จิตละเอียด ได้สัมผัสสิ่งต่างๆได้ บางอย่างก็บอกได้ เล่าได้ บางอย่างก็บอกไม่ได้ เล่าไม่ได้ ไม่เหมาะสมที่จะเล่า

    สรุปแล้ว หลวงปู่ท่านสำเร็จคุณวิเศษ ณ บนยอดภูเขาวงพระจันทร์นี่เอง......

    ขอบคุณข้อมูลของคุณเตวิชโชและเวบพุทธะ-ธรรมะ มากๆครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงยอดขุนพลหลวงปู่ฟักวัดเขาวงพระจันทร์รุ่นนี้หลวงปู่ละมัยสวนสมมฃุนไพร เพรชบูรณ์รับนิมนต์มาปลุกเสกด้วยครับ ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t

     
  6. Parichati Parichati

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2020
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +48
    พระสมเด็จนาคปรก
    พระธาตุพนมรุ่นเครื่องบินตก
    ปลอดภัย
    ขอจองค่ะ
     
  7. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  8. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343

    สุดยอดพระเกจิแห่งกุยบุรี...ดั่งเสือซ่อนเล็บเมืองกุยวิชาอาคมกล้าแกร่งดุจช้างเผือกในป่าใหญ่...ชาวประมงแถบนั้นศัทธาท่านมากๆครับเขาว่ากันว่าท่านช่วยชีวิตลูกหลานชาวประมงจากภัยอันตรายต่างๆนาๆครับ....หากกล่าวถึง..เมืองกุยบุรีพระเกจิที่คนกุยนับถือหลักๆมี3องค์สำคัญท่านเป็น1ใน3ที่ประชาชนคนเมืองกุยให้ความเครพนับถือครับ..ถ้าไม่นับหลวงพ่อในกุฎิ
    องค์ที่1 หลวงพ่อยิดแห่ง วัดหนองจอก
    องค์ที่2 หลวงพ่อพาน วัดโป่งกะสัง
    องค์ที่3 ก็คือ #หลวงพ่อทองเบิ้ม วัดวังยาว

    ....หลวงพ่อทองเบิ้ม พระวิริยากรโกศล(ทองเบิ้ม อินฺทโชโต)วัดวังยาว อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
    ...ถือได้ว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอีกรูปหนึ่งของ จ.ประจวบฯ โดยท่านเป็นศิษย์ที่ได้รับการสืบสายพุทธาคมจาก
    หลวงปู่เปี่ยม วัดเกาะหลัก ปรมจารย์ใหญ่แห่งเมืองประจวบ
    หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง ปรมจารย์ใหญ่แห่งเมืองชะอำ
    หลวงพ่อทองเบิ้ม ท่านเป็น พระดีและเก่งมากๆรูปหนึ่ง แต่ขาดการประชาสัมพันธ์วัตถุมงคล กาลก่อน เคยมีนิตยสารพระเครื่อง ขออาสาหลวงพ่อ เพื่อลงประวัติและวัตถุมงคลในหนังสือของเขา แต่ก็ได้คำปฏิเสธจากหลวงพ่อ และหลวงพ่อกล่าวว่า
    " ....#มิต้องห่วงหรอก ........
    ..........#ของดีของฉัน ถึงเวลาก็จะดังเอง
    วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์เด่นในด้านคงกระพัน-มหาอุดต์..สุดๆๆครับ
    ประวัติหลวงพ่อทองเบิ้ม
    นามเดิม ทองเบิ้ม นามสกุล ลิบลับ เกิดวันอาทิตย์ ที่ ๔ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุน ชาติภูมิอำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นามบิดา ม่องลั่น ลิบลับ นามมารดา นางพิม ลิบลับ ได้อุปสมบทเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๑ ปีวอก ตรงกับวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๗๕ ณ วัดวังยาว ตำบลกุยบุรี อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีพระสุเมธีวรคุณ (เปี่ยม จนฺทโชโต) อดีตเจ้าคณะจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วัดเกาะหลัก ต.เกาะหลัก อ.เมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นพระอุปัชฌาย์
    ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรม ที่วัดวังยาวสอบได้นักธรรมชั้นตรี และในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ สำเร็จการอบรมโรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนกลาง รุ่นที่ ๑
    ปัจจุบัน ท่านได้มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒
    งานปกครอง
    พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส วัดวังยาว และผู้รักษาการแทนเจ้าคณะตำบลกุยบุรี
    พ.ศ. ๒๔๘๐ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดวังยาว และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลกุยบุรี
    พ.ศ. ๒๔๘๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการสงฆ์จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตำแหน่งสาธารณูปการ
    พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระกรรมวาจาจารย์
    พ.ศ. ๒๔๙๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลกุยบุรี อีกครั้งหนึ่ง
    พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะอำเภอกุยบุรี
    พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอกุยบุรี
    งานศึกษา
    พ.ศ. ๒๔๗๙ เป็นเจ้าสำนักเรียนปริยัติธรรมวัดวังยาว
    พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นประธานสนามสอบปริยัติธรรมสนามหลวงในตำบลกุยบุรี สอบที่วัดวังยาว
    พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นผู้อุปการะโรงเรียนบ้านปากเหมือง วิริยสงเคราะห์ และโรงเรียนวัดวังยาว (เดิมโรงเรียนบ้านวังยาว และโรงเรียนกุยบุรี รวมกัน)
    พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจประโยชคธรรมสนามหลวง
    สมณศักดิ์
    พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ที่พระครูวิริยาธิการี พระครูสัญญบัตร กรรมการสงฆ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตำแหน่งสาธารณูปการ
    พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะยก ที่ พระวิริยากรโกศล
    ท่านได้มรณภาพลง ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒ นับตั้งแต่ท่านมรณภาพลงนั้น เจ้าอาวาส
    รูปปัจจุบัน และศิษยานุศิษย์ ได้บำเพ็ญกุศลให้ท่าน ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ของทุกๆ ปี ในปีนี้ พ.ศ.
    ๒๕๖๒ เป็นปีที่ ๒๐ แล้ว โดยที่ชาวบ้านทั่วไปกล่าวขานและยกให้ท่านศักสิทธิ์เรื่อง "ปากพระร่วง"
    วาจาท่านศักสิทธิ์ยิ่งนัก ที่สำคัญสรีระของท่านยังไม่เน่าเปื่อยอีกด้วย...

    รื่องราวปฎิปทาท่านครับ
    #คุณพ่อวาจาสิทธิ์.....
    ........บารมีของคุณพ่อเบิ้มวัดวังยาวของพวกเราชาวกุยบุรีครับ ถ้าเป็นคนรุ่นเก่าสักหน่อยต้องรู้จักนายตุ๊วังยาวผู้มีประวัติอันโชกโชนและนับได้ว่าเป็นลูกศิษย์ของคุณพ่อผู้หนึ่งเพราะได้บวช และเป็นคนวังยาวมีบ้านใก้ลวัดถ้ามีเรื่องทุกข์ร้อนก็จะไปให้คุณพ่อปัดเป่าเสมอ อยู่มาวันหนึ่งแกเจ็บแขนมากจนยกขึ้นไม่ได้ทุกข์ทรมานมากเพราะเมาสุราขับมอเตอร์ไซค์ตกสะพานให้ไแหาหมอก็ไม่ยอมไปบอกไปหาทำไมหมอไปหาคุณพ่อแน่นอนกว่า จนเริ่มค่ำมืดแล้วแกก็ไปหาคุณพ่อเผอิญเวลานั้นท่านมีแขกอยู่ นายตุ๊ก็ได้เดินขึ้นมาบนวัดเห็นคุณพ่อนั้งอยู่หน้าห้องของท่านเป็นที่ประจำคนรุ่นเก่าจะนึกออกทันทีว่าตรงไหนของวัด ด้วยนายตุ๊เป็นคนพูดจาเอะอะเสียงดังคุณพ่อรู้นิสัยดีกลัวแขกที่มาจะรำคาญจึงรีบถามว่ามีธุระอะไร นายตุ๊จึงบอกว่าผมขี่รถตกสะพานแขนเจ็บมากขยับแทบไม่ได้ ให้คุณพ่อช่วย ท่านเลยพูดขึ้นว่าไม่เป็ นอะไรหรอก ยกแขนหมุนสามรอบก็หาย นายตุ๊จึงทำตามที่คุณพ่อบอกปรากฏว่ายกแขนได้และหายโดยทันที นายตุ๊ก้มลงกราบพร้อมพูดว่าคุณพ่อศักด์สิทธิจริงๆ คุณพ่อจึงบอกว่าหายแล้วก็กลับบ้าน ได้ จะได้คุยกับแขกต่อ นายตุ๊ก็เดินกลับบ้านเหมือนไม่เคยเจ็บปวดมาก่อนเลย วาจาของท่านศักดิ์สิทธิยิ่งนักชาวกุยบุรีรู้ดีครับเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นจริงๆ.....

    #เสือหล่อเมืองกุย
    .........ส่วนหลวงพ่อทองเบิ้มวัดวังยาว ของโด่งดังอีกอย่างคือ เสือ.....เขา เรียกว่า เสือกุย ประสพการณ์เพียบ มีสาวถูกฉุดไปข่มขื่น โจรนำไปขังไว้ที่บ้านชายทะเลแล้วล็อคไว้ โจรไปตามเพื่อนจะมารุมโทรม เปิดประตูห้องมาเห็นเป็นเสือนอนอยู่ โจรวิ่งกันกระจุย...
    .....อีกราย ขี่มอเตอร์ไซค์มืดๆโดนโจรดักปล้นถีบรถล้มลงไปในคูข้าง โจร วนรถกลับมากะจะเอามอเตอร์ไซค์แต่โจรได้เห็นเป็นเสือยืนอยู่ โจรตกใจวิ่งโกยแนบกลับไปตามเคยครับ
    .....อีกราย "#เสือกุยของหลวงพ่อเฝ้าบ้าน"
    เรื่องมีอยู่ว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่บ้านตอนกลางคืนได้มีโจรดักซุ้มบริเวณแถวบ้านรอจังหวะเหมาะไม่มีคนก็ได้งัดประตูเพื่อจะเข้าไปขโมย..แต่ปรากฎว่าพอเปิดไปเจอเสือนอนอยู่ในบ้านทำให้โจรตกใจรีบวิ่งทันใดนั้นคนแถวล่ะแวกเห็นพิรุจได้ช่วยกันจับไว้พอดีโจรได้รับสารภาพตามที่เล่ามา...ซึ่งเจ้าของบ้านทราบเรื่องยกมือท่วมหัวเชื่ออย่างสนิทใจด้วยบารมีหลวงพ่อทองเบิ้มครับ....เรื่องราวเกี่ยวกับประสพการณ์..วัตถุมงคลหลวงพ่อทองเบิ้มนั้นมากมายจริงๆจะเล่าคงไม่หมดจดหมายเหตุพระเกจิโอกาสหน้ามาเล่าต่อไปครับ
    ผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชาทิดทูนเกียรติคุณครูบาอาจารย์
    #กราบสักการะพระเถราจารย์ผู้ทรงอภิญญา
    จดหมายเหตุพระเกจิ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อทองเบิ้มวัดวังยาวกุยบุรีประจวบคีรีขันธ์ให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t
     
  9. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343

    เพชรเม็ดงามเมืองน้ำเค็ม
    พระครูอุดมวิชชากร (เหมือน อินทโชโต) วัดกำแพง อ.เมือง จ.ชลบุรี
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์

    ถ้าเอ่ยถึงของดีเมืองชลบุรี ใคร ๆ ก็คงคิดถึงหาดบางแสน หาดพัทยา ความงามของธรรมชาติ และข้าวหลามหนองมนอันลือชื่อ แต่ถ้าเอ่ยถึงพระดีพระขลังก็คงหนีไม่พ้น หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ผู้สร้างสรรพระปิดตาราคาเรือนแสนเป็นแน่แท้ ไม่อย่างนั้นก็คงคิดถึง หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร แห่งวัดสัตหีบ หรือ หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม หรือ หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก และอีกหลายต่อหลายองค์ตามแต่จะสดับความกึกก้องของชื่อเสียงและค่านิยมของวัตถุมงคลในแต่ละองค์ ๆ ไป

    มีสักกี่คน ที่ข้อวัตรอันเคร่งครัดและจริยาวัตรอันอ่อนนุ่มละมุนละไม จะสามารถแทรกซึมลงในหัวใจพอที่จะเกิดศรัทธาปสาทะได้โดยไม่ต้องเอ่ยถึงอุโฆษแห่งวัตถุมงคล ถ้าเป็นดังนั้นได้ ใครคนนั้นก็คงจะมีตานอกและตาในที่เปิดกว้างสว่างพอจะแยกแยะพระปฏิบัติดี กับพระปฏิบัติแย่ ถึงแย่มาก ได้แน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย

    หลวงปู่เหมือน อินทโชโต ก็เป็นพระดังว่า ผมไม่สามารถยกยอตัวเองได้ว่ามีตาดีหรือตาร้าย เพราะสองตาคู่นี้ไม่ทันได้ดูองค์ท่านเหมือนกันกับใครหลาย ๆ คน แต่การสดับคุณงามความดีที่ไม่มีวันจางหายไปจากใจคนเมืองชลนั้น ผมรับได้ดีเท่า ๆ กับทุกคน
    กำเนิดขึ้นในวันทำบุญอายุของท่านเมื่อ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 จากนั้นก็ได้ทยอยตามกันออกมาอีกมากรุ่นมากแบบทั้ง ผง ดิน โลหะ ต่าง ๆ ซึ่งผมคงไม่สามารถนำมาเสนอได้หมด จึงมีรูปมาให้ชมเพียงบางส่วน ซึ่งอาจเป็นแนวทางให้ผู้ที่มีอยู่แล้วแต่มองข้ามไป ได้หวนกลับมามองใหม่ หรือเป็นแว่นส่องทางให้กับผู้ที่คิดจะมองหา

    หากหลวงปู่ไม่ดีจริง วัตถุมงคลต่าง ๆ คงไม่เรียงรายกันออกมาจากวัดนับสิบ ๆ รุ่นหรอกครับ และทุกรุ่นก็หาค่อนข้างลำบากในสนามพระเครื่องต่าง ๆ คล้ายกับพระเครื่องของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ที่มีผู้ใจร้ายชอบพูดกันว่า ‘ไม่มีใครเล่น’ แต่ก็หาแทบไม่มีตามสนาม ครั้นบอกให้คนพูดไปหา

    เขาก็ยังหาไม่ได้เลย

    มีเหรียญของหลวงปู่เหมือนอยู่รุ่นหนึ่ง เข้าใจว่าจะสร้างโดยภัตตาคารไต้ฮี้ ซึ่งก็เป็นลูกศิษย์ท่านที่สร้างเหรียญอย่างมือสะอาด เหรียญที่ว่านี้มีลักษณะคล้าย ๆ กับเต่า จึงเป็นที่เรียกขานในวงการว่า ‘เหรียญเต่า’ ผู้สร้างก็สร้างไว้สำหรับแจกกันเองในหมู่ญาติมิตรเพื่อนพ้อง จึงไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก เหรียญเต่านี้มีดีตรงประสบการณ์อันน่าทึ่งอย่างนี้ครับ

    เมื่อคณะผู้สร้างได้นำเหรียญไปถวายหลวงปู่ปลุกเสกจนครบตามกำหนดที่ท่านวางไว้ ก็ไปรับกลับมาพร้อมแบ่งถวายท่านไว้แจกเองจำนวนหนึ่ง พอได้เหรียญก็เลี่ยมแขวนกันทั้งผู้ใหญ่ และลูกเล็กเด็กแดงวันหนึ่ง คณะผู้สร้างได้เดินทางไปธุระที่ อ.ศรีราชาแต่วัน พาหนะในการเดินทางก็คือรถปิกอัพเปิดหลังตามแบบชาวชนบทที่นิยมกัน ครั้นเสร็จธุระก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว บังเอิญว่าเด็กชายคนหนึ่งในคณะอายุราว 10 ขวบ ได้รบเร้าขอนั่งที่กระบะข้างหลัง จะมีผู้ใหญ่นั่งไปด้วยหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ เพราะผู้เล่าก็มิได้บอก

    ขากลับก็ขับรถกลับมาด้วยอัตราความเร็วพอสมควร ด้วยเร่งจะให้ถึงบ้านในตัวเมืองชลบุรีก่อนดึก ทุกท่านก็คงจะทายอยู่ในใจว่า อ๋อ ! รถคงจะชนกันแหลกแล้วคนรอดตายกันราวปาฏิหาริย์ใช่ไหมล่ะ

    มิได้ครับ พวกเขาขับรถกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ !!

    อ้าว ! ถึงตรงนี้คงจะงงว่าแล้วมันจะมาเล่าหาอะไร (วะ) ใจเย็น ๆ ครับ มันเป็นอย่างนี้ ก็เพราะถึงบ้านโดยสวัสดิภาพนี่แหละครับ ถึงได้รู้ว่า ‘เด็กผู้ชายตัวน้อย’ ได้อันตรธานไปจากกระบะหลังเสียแล้ว

    จะหล่นจากรถไปตอนไหนก็ไม่มีใครทันสังเกต หรือจะปลิวไปกับลมแรงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ผลก็คือต้องรีบตะลีตะลานขับรถย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิมด้วยใจที่โหวงเหวงบอกไม่ถูก โธ่ ! ถ้าเป็นลูกเราหายไปทั้งคน หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไร แล้วนี่ไม่ใช่หายอยู่กับบ้าน ดันหายไปบนรถ

    ก้อ...ถ้าตกลงบนถนน แล้วรถวิ่งตามหลังมาพอดี โอย ! ไม่อยากจะคิดทีเดียว

    รถปิกอัพคันต้นเหตุวิ่งพลางดูพลางไปตลอดทาง ใจก็ภาวนาขอให้ลูกน้อยปลอดภัยจากอุปัทวเหตุทั้งปวงด้วย ชะรอยคำภาวนาจะเป็นผล เมื่อรถวิ่งมาถึงบางพระก็แลเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งเดินกระเซอะกระเซิงร้องไห้อยู่ริมถนนอีกฝั่งหนึ่ง ดีใจเหมือนได้แก้ว รีบกลับรถเข้าไปเทียบ ลงไปปลอบประโลมพลางสำรวจตรวจตามร่างกายก็ไม่พบร่องรอยของการบาดเจ็บแต่อย่างใด

    พอเด็กเริ่มสงบสติอารมณ์ได้บ้าง คำแรกที่แกพูดออกมาก็คือ

    “พระอุ้ม...พระอุ้ม...”

    จะถามอะไร ๆ คำตอบระคนเสียงสะอื้นก็คือ “พระอุ้ม” เท่านั้น

    ในคอของเด็กน้อยคนนี้ มีเพียงเหรียญรูปเหมือนของท่านพระครูอุดมวิชชากร หรือ หลวงปู่เหมือน แห่งวัดกำแพงอยู่เพียงเหรียญเดียว

    คงไม่ต้องบอกกระมังว่า ‘ใครอุ้ม’

    ยิ่งเรื่องหนึ่งที่ฟังจากปากของคนผู้ถูกมัจจุราชเมินคือ คุณพิชิต สิวะวัฒน์ หรือเปิ้ล เพื่อนคนหนึ่งของผม เขาเล่าว่าบ้านของเขานั้นเป็นร้านขายรถยนต์มือสองอยู่ ต.นาป่า ข้ามสี่แยกบายพาส ‘สี่แยกมหาภัย’ ไปหน่อยเดียว สมัยที่เขายังไม่ได้ขับรถยนต์นั้น ก็มีเพียงมอเตอร์ไซค์คู่ชีพที่ควบข้ามสี่แยกแข่งกับบรรดาสิบล้ออยู่เป็นประจำ

    วันหนึ่ง ไม่ทราบว่าพลาดอีท่าไหน สิบล้อคันใหญ่ก็เสยเปรี้ยงเข้าให้เต็มลำ ด้วยอัตราความเร็วที่ ‘รีบแข่งกับไฟเหลือง’ ผลก็คือ มอเตอร์ไซค์คู่ชีพกลายเป็นมอเตอร์ไซค์สิ้นชีพ เพราะแหลกยับไปกลายเป็น ‘ขดเหล็ก’ ก้อนหนึ่งในทันที ตัวคุณเปิ้ลเองก็ลอยละลิ่วลงฟาดกับพื้นถนนแล้วกลิ้งม้วนต้วนไปไม่รู้กี่ตลบ

    คนขับสิบล้อพอหยุดรถได้สนิท ก็เผ่นตะโพงไปไม่เหลียวหลังมาแล โอ้ ! ปาฏิหาริย์มีจริง คุณเปิ้ลกลับลุกขึ้นแล้ววิ่งกวดตามคนขับสิบล้อไป พลางร้องตะโกนให้คนช่วยกันจับที ‘ชนคนแล้วหนี’ คนดูก็แสนดีตะครุบตัวไว้ได้ คุณเปิ้ลก็ลากคอมาที่เกิดเหตุ โทรเรียกตำรวจมาดำเนินคดี จีนมุง ไทยมุง ก็พากันเฮโลสาระพามาถามว่า

    “เพ่...เพ่...มีอะไรดีหรือ โดนขนาดนี้ถึงยังไม่ตาย”

    คุณเปิ้ลก็ควักสร้อยออกมาให้ชมเป็นขวัญตา เป็นเหรียญนั่งเต็มองค์รูปหลวงปู่เหมือน สร้างโดยสมาคมศิษย์เก่า ร.ร.ชลราษฎร์บำรุง (ร.ร.ชลชาย) แกะพิมพ์โดยนายช่างเกษม มงคลเจริญ พระนั้นอยู่ในกรอบทองสวยสนิท สร้อยทองเส้นเบ้อเริ่มไม่มีอะไรชำรุดแม้แต่น้อย
    ข้อมูลประวัติ หลวงปู่เหมือน วัดกำแพง ชลบุรี

    คุณเปิ้ลบอกกับผมว่า “แต่นั้นมา หลวงปู่เหมือนก็นั่งอยู่ในใจผมตลอด ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนอีกเลย” ว่าแล้วก็ควักสร้อยเส้นโตอวดพระองค์เก่งให้ดู ผมเลยต้องแจ้นไปหามาจนได้ด้วยประการฉะนี้แล

    ความขลังของวัตถุมงคลท่านย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อาราธนาติดตัวอยู่เสมอมา ไม่ว่าจะเป็น ทนมีด อยู่ปืน กันภัย กันเขี้ยวงา สารพัดตามแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทว่า ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์คงไม่พ้น ‘เมตตา’ ที่แน่นอนว่า ‘แรงนัก’ ในเครื่องมงคลของหลวงปู่
    ครั้งหนึ่ง ก่อนท่านจะละสังขาร ท่านได้เอ่ยปากคล้ายจะฝากฝังลูกศิษย์ลูกหาของท่านไว้กับองค์อื่นอยู่ในทีว่า

    “ต่อไป ท่านวัดเนินตามาก จะมีชื่อเสียง”

    จากคำพูดนี้ทำให้ศิษย์วัดกำแพงต้องออกไปด้อม ๆ มอง ๆ วัดเนินตามากอยู่หลายคน และเมื่อสิ้นหลวงปู่เหมือน หลายคนก็ยกหลวงปู่ม่น มาเป็นที่พึ่งต่อทันที ซึ่งก็นับว่าไม่ผิดหวังจริง ๆ

    หลวงปู่เหมือน อินทโชโต มหาเถระพระสุปฏิปันโน ผู้รัตตัญญูภาพ ได้ดำรงขันธ์มาจนถึงวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2527 ท่านก็มีอาพาธเป็นอันมาก จากนั้นท่านก็ปรารภขึ้นท่ามกลางศิษย์ที่อยู่ปรนนิบัติว่า

    “อีกสองวันตายแน่”

    ครั้นล่วงมาถึงเช้า วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2527 ท่านก็ถึงแก่มรณภาพโดยอาการอันสงบไปจริง ๆ ตามคำของท่าน เมื่อเวลา 07.19 น. ณ กุฏิเก่าของท่าน ในวัดกำแพง สิริอายุได้ 91 ปี 6 เดือน 10 วัน

    ตามธรรมดาบุคคลเมื่อสิ้นไปแล้วย่อมไม่อาจกำหนดสิ่งใดได้อีก แต่ท่านผู้อยู่เหนือโลกธรรมอย่างเช่นหลวงปู่เหมือนแล้ว ทำให้คนเมืองชลมีลาภกันถ้วนหน้า ด้วยปี 27 ที่ท่านมรณภาพนับว่าเป็นข่าวใหญ่ทีเดียวในปีนั้น เพราะแทบจะไม่มีใครเลยที่ไม่ถูกหวย

    วันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ ณ เมรุชั่วคราว ในวัดกำแพง ก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดอันอาจจะเป็นเครื่องยืนยันในคุณธรรมของท่านว่า...

    ‘ไม่ธรรมดา’

    เมื่อไฟพระราชทานมาถึงก็บังเกิดเหตุที่ไม่น่าเป็นไปได้ขึ้น ด้วยมีลมพายุอันแรงกล้าพัดกระหน่ำลงในบริเวณวัดอย่างรุนแรง... แรง...ขนาดที่ว่าต้นไม้ใหญ่หน้ายุวพุทธิกสมาคม ชลบุรี ถึงกับถอนรากล้มตึงลงทีเดียว ผู้คนตระหนกตกใจกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าอันไม่ทันตั้งตัวนี่ยิ่งนัก

    เมื่อลมร้ายฟาดงวงฟาดงาจนเต็มที่แล้วก็พลันสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว จนไม่อยากจะเชื่อว่าเมื่อกี้นี้มีมหาวาตภัยเกิดขึ้นในวัด ความเสียหายปรากฏอยู่ทั่วบริเวณ แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ เครื่องประดับประกอบเมรุไม่มีอะไรเสียหายเลย กระทั่งพวงหรีดหรือดอกไม้บูชาต่าง ๆ ในแจกันก็ไม่ล้มลงเลยแม้แต่อันเดียว

    ผมเคยถามพระภาวนาจารย์ผู้เป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านหนึ่งว่า

    “เมื่อเทพมาชุมนุมกันมาก ๆ จะเป็นเหตุให้เกิดลมอย่างนั้นหรือ”

    ท่านตอบทันทีว่า “ใช่”

    ก็ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงในพรหมจรรย์ ย่อมเป็นเหตุให้เทพพรหมพึงใจแลเคารพรักยิ่ง เมื่อวันต้องพรากสังขารท่านไปด้วยไฟ ท่านผู้ลี้ลับซึ่งอยู่ต่างภพภูมิจึงแสดงอาการอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้ายกระมัง

    หรือท่านว่าอย่างไร ?


    บทความนี้ได้ตีพิมพ์เมื่อ วันที่ 16 กรกฎาคม 2539
    นามเดิม เหมือน ถาวรวัฒนะ บิดาชื่อตึ๋ง มารดาชื่อปุ่น มารดาเป็นน้องสาวพระครูชลโธปมคุณมุนี (หลวงพ่อเจียม) อดีตเจ้าอาวาสวัดกำแพง

    เกิด วันอังคารที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๖ ปีมะเส็ง สมัยรัชกาลที่ ๕
    บรรพชา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ พระอธการจั่น วัดเสม็ด องเมือง จ.ชลบุรี เป็นพระอุปัชชายะ

    มรณภาพ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗

    สิริอายุรวม ๙๒ ปี พรรษา ๗๑

    พระครูอุดมวิชชากร (เหมือน อินทโชโต) เป็นชาวชลบุรีโดยกำเนิดนามเดิมชื่อ เหมือน ถาวรวัฒนะ บิดาชื่อตึ๋ง มารดาชื่อปุ่น มารดาเป็นน้องสาวพระครูชลโธปมคุณมุนี (หลวงพ่อเจียม) อดีตเจ้าอาวาสวัดกำแพง

    เกิดวันอังคารที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๓๖ ปีมะเส็ง สมัยรัชกาลที่ ๕ อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ พระอธการจั่น วัดเสม็ด องเมือง จ.ชลบุรี เป็นพระอุปัชชายะ เมื่ออุปสมบทได้ ๖ พรรษา ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดกำแพงต่อจากพระอธิการหมอน เพิ่งได้ลาสิกขาไปปี

    พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้รับพระราชฐานสมณศักดิ์เป็นพระครูอุดมวิชชากร พ.ศ.๒๔๙๕ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลบางปลาสร้อย เขต ๒ พ.ศ.๒๕๐๒ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพระอุปัชชาย์ และเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูเจ้าคณะตำบลชั้นเอก พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงพ่อเหมือนศึกษาไสยเวทย์ วิทยาคม จากหลวงพ่อเจียมผู้เป็นลุงแห่งสำนักวัดกำแพงแห่งนี้

    ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้มากมาย เป็นที่เสาะแสวงหาของชาวเมืองชลและชาวภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระปิดตาปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แะเหรียญรุ่นแรกซึ่งเสาะแสวงหาบูชาได้ยากยิ่ง หลวงพ่อเหมือนเป็นพระที่มีอายุยืนยาวพูดน้อย ประพฤติดี ปฏิบัติดี สงบเสงี่ยม เรียบร้อย สุขุม เยือกเย็น มีเมตตาสูง ลูกศิษย์ลูกหามากมาย วิทยาคมสูงล้ำทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด โชคลาภค้าขาย

    ท่านเป็นผู้มีคุณูประการต่อการศึกษาของลูกหลานชาวชลบุรีเป็นอย่างมากเป็นผูก่อตั้งโรงเรียนวัดกำแพง ก่อตั้งมูลนิธิพระครูอุดมวิชชากร เพื่อนำดอกผลอันมาจากที่ดินรวมถึงทรัพยสินของวัดให้การสนับสนุนการศึกษาแก่ กุลบุตร กุลธิดาของเหล่าญาติโยม เป็นองค์อุปถัมย์ยุวพุทธิกสมาคมชลบุรีมาแต่ยุคเริ่มก่อตั้ง เป็นพระเกจิอาจารย์ในยุคปีพ.ศ. ๒๕๐๐ ที่รับหน้าที่ปลุกเสกประพรมน้ำพระพุทธทนต์ตอนปีใหม่รวมถึงวัตถุมงคลแก่ชาวชลบุรีทุกปี มาเป็นเวลาอันยาวนาน

    จนถึงมรณภาพ หลวงพ่อเหมือนมรณภาพ วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ สิริอายุรวม ๙๒ ปี พรรษา ๗๑
    การจัดสร้าง เหรียญหลวงพ่อเหมือน อินฺทโชโต วัดกำแพง จ.ชลบุรี ปี 2522 ออกในงานฝังลูกนิมิต วัดชุมแสงศรีวนาราม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ประกอบด้วย
    1. ชุดเหรียญกรรมการ 3 เหรียญ เนื้อเงิน นวะ ทองแดง
    2. เหรียญเนื้อนวะ
    3.เหรียญเนื้อทองแดง
    หลวงพ่อเหมือน ท่านเป็นพระที่มีกัลยาณมิตรมากครับ เมื่อจะปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งใด หลวงพ่อจะให้ทางศิษยาณุศิษย์ได้ไปนิมนต์ร่วมพิธีด้วยเสมอ พิธีพุทธาภิเษกปี 2522 นี้ มีพระเกจิอาจารย์ที่นิมนต์นั่งปรก อาทิ
    1. หลวงพ่อเหมือน วัดกำแพง
    2. หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม
    3. หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    4. หลวงปู่สุด วัดกาหลง
    5. หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส
    6. หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
    7. หลวงพ่อสีหมอก วัดเขาวังตะโก ฯลฯ
    แค่รายนามเบื้องต้นในพิธีปี 2252 ก็ล้วนเป็นสุดยอดพระเกจิอาจารย์ด้วยกันทุกรูป แม้แต่เหรียญหลวงพ่อเหมือน วัดกำแพง ชลบุรี ที่สร้างเมื่อปี 2521 ปลุกเสกวัดกำแพง 1 ไตรมาส จากนั้นได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก ปี 2522 ด้วยครับ
    หลวงปู่เหมือน วัดกำแพง ท่านได้รับการถ่ายทอดกรรมฐานและวิทยาคมมาจาก หลวงปู่เจียม วัดกำแพง พระผู้สร้างประปิดตามหาเสน่ห์อันลือลั่น เป็นหนึ่งในห้าแห่งพระปิดตาเบญจภาคีของประเทศไทย ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ ของท่าน และด้วยความเป็นหลวงปู่เหมือน พระสุปฏิปัณโณที่มีจริยาวัตรที่อ่อนโยนไม่มุทะลุดุดันในการแสดงอิทธิคุณต่างๆ พระเครื่องวัตถุมงคลขอลท่านจึงดังแบบเงียบ ๆ อย่างชนิดที่เรียกว่า "ไม่ธรรมดา"
    ความเป็นพระที่ถึงพร้อมด้วยสมณสารูปและอิทธิคุณอันไม่ธรรมดานี้ ได้เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่ผู้คนยิ่งขึ้น เมื่อมีคนเมืองชลกลุ่มหนึ่ง จัดรถทัวร์หอบลูกน้ำเค็มไปถึงดอยแม่ปั๋ง เมื่อพระเลือดอีสานนามลือชาถูกพระอุปัฏฐากเข็นรถออกมา ชาวชลบุรีก็กรูเข้าไปกราบ ครั้นหลวงปู่แหวนทักทายไปสักหน่อย ท่านก็เอ่ยถามว่า “มาจากไหน”
    ชาวชลบุรีก็ตอบอย่างภาคภูมิใจกับการเดินทางมาราธอนว่า “มาจากชลบุรี”
    คำถามต่อมาคือ
    “พระดีเมืองชลก็มี ทำไมมาถึงนี่ ท่านวัดกำแพงน่ะ”
    เอ ! ใครคือ ท่านวัดกำแพง......?

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่เหมือนวัดกำแพงปี 2522 ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t(ปิดรายการ)


     
  10. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343


    หลวงปู่บุญชุบ ทินฺนโก ประวัติ โดยสังเขปนามเดิม ชื่อบุญชุบ นามสกุล สารสิงห์ บิดาชื่อนายบุตร มารดาชื่อ นางหอม เกิดเมื่อ วันพุธ ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2456 แรม 15 ค่ำ เดือน 4 ปีฉลู ณ บ้านเลขที่ 51 ตำบลบ่อแร่ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท มีพี่น้องด้วยกัน 6 คนด้วยกัน ท่านเป็นคนที่ 2

    1. ชื่อ นายอ๋อ เสียชีวิตแล้ว
    2. ชื่อ บุญชุบ หลวงพ่อบุญชุบ ทินฺนโก
    3. ชื่อ นางเข็มทอง เสียชีวิตแล้ว
    4. ชื่อ นางถุงเงิน เสียชีวิตแล้ว
    5. ชื่อ นางบุญเทียม ยังมีชีวิตอยู่ อายุ 75 ปี
    6. ชื่อ นายประทวน เสียชีวิตแล้ว

    ชีวิตในวัยเด็ก ตอนอายุได้ 1 0 ขวบ คุณพ่อก็ได้ถึงแก่กรรม ได้ถูกผีที่ถูกเขาเรียนมาตอนกลางคืน 7 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ พ่อเสกหนังควายไปโดยไม่ได้เจตนาทำร้ายใคร แต่หนังควายกลับมา เข้าตัวโยมพ่อของท่านเองจนเสียชีวิต พอเสียได้ 2 ปี พี่อ๋อก็มาป่วยเป็นไข้จับสั่น พอใกล้จะหายก็ อยากจะกินแตงโม หลวงพ่อเป็นเด็กไม่รู้อะไรก็ไปหยิบมาให้พี่อ๋อกินไข้กำเริบ พี่อ๋อก็เสียชีวิตลงไป อยู่ต่อมาอีก 2 ปี หลวงพ่อได้อายุ 12 ขวบ คุณแม่ก็ได้ป่วยเป็นไข้เสียชีวิตลงไปอีก ในวันฌาปนกิจ พอถึงบ้านเห็นแต่บ้านไม่เห็นหน้าพ่อแม่ เห็นแต่พี่น้อง 5 คนเท่านั้น คุณแม่มาตายเมื่อ พ.ศ. 2466 ส่วนโยมพ่อมาตายตอนอาตมาอายุ 10 ขวบ คุณโยมพ่อเสียเดือนเมษายน พ.ศ. 2465 พอเอาโยมไป เผาแล้วตกเย็นขึ้นมา 5 พี่น้องรวมหัวกันร้องไห้เพราะคนเล็กร้องไห้หาแม่เลยพากันร้องไห้ไปตาม กันหมด โยมลุงโทนได้มาปลอบและได้มาเป็นเพื่อนอาตมาเองตั้งหม้อข้าวทำอาหารให้ พี่น้องทานกินแล้วพากันอาบน้ำน้องคนเล็กร้องไห้หาแม่จนหลับไป นึกถึงเรื่องอดีตมายามใดอดน้ำตา ใหลไม่ได้ พอโรงเรียนเปิดคุณโยมชื้นได้นำอาตมาและพี่น้องไปฝากอยู่วัดกับหลวงพ่อยอดแล้วมอบ ให้อาจารย์เป็นผู้อบรมสอนหนังสือตอนเย็นต่อศีล 10 ทุกวัน จบต่อคำสวดมนต์เย็น ทุก ๆ ตอน เช้า ต้องบิณฑบาตร เพราะตอนนั้นเป็นลูกศิษย์วัด ตอนนั้นเรียนหนังสือได้ชั้น ป.7 พออายุได้ 15 ปี ก็จะบวชเณรแต่บวชไม่ได้เพราะหลวงพ่อ ยอดป่วยไม่มีใครปฏิบัติต้มน้ำต้มข้าวถวาย จนกระทั่งท่านมรณะภาพไปในปี พ.ศ. 2470 ทางวัดเก็บศพ ไว้ 1 ปี

    บรรพชาเป็นสามเณร
    วัน ศุกร์ ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2470 ณ วัดมุจรินทราวาส

    ตำบลบ่อแร่ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท พระอุปัชฌาย์ พระปลัดเคลือบปฺญญทีโป วัดพิกุลงาม ตำบลท่าหาด อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ได้บวชหน้าไฟให้หลวงพ่อยอด พออายุได้ 16 ปี แล้ว ก็เริ่มศึกษาพระธรรมเรียนนักธรรมตรี เมื่ออายุ 19 ปีสอบได้นักธรรมตรี อายุ 20 สอบได้นักธรรมโท

    อุปสมบท
    วัน พุธ แรม 13 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 ณ. วัดมุจรินทราวาส ตำบลบ่อแร่ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท พระอุปัชฌาย์ พระปลัดเคลือบ ปัญฺญทีโป วัดพิกุลงาม ตำบลท่าหาด อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท พระกรรมวาจาจารย์ ชื่อ อาจารย์ต่อม ธมฺมวิริโย พระอนุสาวนาจารย์ ชื่อ อาจารย์ถม ปญฺจลาโภ ช่วงพรรษาที่ 1 ถึงพรรษาที่ 4 ก็ได้สอบนักธรรมชั้นเอกได้ที่ สำนักศาสนศึกษา วัดพิกุลงาม ตำบลท่าหาด อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ท่านบวชที่วัดมุจรินทราวาส (หนองจิก) แต่ไม่ได้จำพรรษาที่วัดหนอกจิก เพราะที่วัดหนอกจิกมีพระ 80 กว่ารูป ก็เลยย้ายไปจำพรรษาที่วัดท่าหาด สร้างศาลา หลวงพ่อได้ปรึกษากับโยมพี่สาวของหลวงน้าต่อม ให้ไปบิณฑบาตรไม้ยางใหญ่ มา 2 ต้น หลวงพี่ได้ซื้อเลื่อยมา 4 ปื้น มาขึ้นรูปเองออกพรรษาแล้วก็ปรึกษากับพระที่วัด ว่ายังไม่สึกจะอยู่ช่วยสร้างศาลาต่อ ให้เสร็จก่อนก็ช่วยกันเลื่อยไม้สร้างศาลาเสร็จได้ 2 หลัง แล้วขอบิณฑบาตรไม้อีก 4 ต้น พาพระในวัดช่วยกันเลื่อยไม้ จึงลงมือสร้างกุฏิอีก 4 หลัง พอดีหลวงน้าต่อม ที่เป็นเจ้าอาวาสอยู่ได้ล้มป่วยลง ต้องพาไปรักษาที่จังหวัดอุทัยธานี จน 3 เดือนแล้วก็ยังไม่หาย จึงพากลับวัด และมรณะภาพในพรรษาและฌาปนกิจในเดือนต่อมา

    หนีการเป็นสมภาร (เจ้าอาวาส)

    ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2480 พวกมรรคทายก และญาติโยมปรึกษาหารือ กันว่าจะตั้งสมภาร บางกลุ่มก็จะให้อาจารย์บุญรอดเป็น อีกกลุ่มก็จะให้หลวงพ่อเป็นสมภาร พอหลวงพ่อรับจะเป็นสมภารแล้วตกตอนกลางคืนคว้าย่ามได้ก็หนีไปอยู่ที่วัดอัมพวัน อำเภอมโนรมย์ เสียครึ่งเดือน

    ญาติโยมจึงได้แต่งตั้งอาจารย์บุญรอดเป็นสมภาร หลวงพ่อก็สบายใจ กลับไปชาวบ้านโกรธกันเป็นการใหญ่ ที่หลวงพ่อไม่ยอมรับเป็นสมภาร ต่อมาญาติโยมได้นิมนต์มาอยู่ที่วัดโคกหมอน เนินสุทาราม และจำพรรษาได้ปีครึ่ง ท่านอาจารย์เอก ก็มีเรื่องทะเลาะกับลูกศิษย์ เจ้าคณะอำเภอได้เรียกประชุมพระทั้งทายก และทายิกา จะไล่อาจารย์เอกออกจากวัดในกลางพรรษา ตามพระทั้งหมดวัด หลวงพ่อเป็นพระที่พรรษาน้อยสุด ระหว่างการประชุม อาจารย์เอกท่านไม่พอใจหลวงพ่อจึงเอาระฆังขว้างแต่ไม่ถูกข้ามหัวไป ต่อหน้ากรรมการ 30 กว่าคน แต่พอออกพรรษาไม่รู้อาจารย์เอก หายไปไหน มีพระลูกบ้านชื่อพระจ๋าย อยากเป็นสมภารแต่ไม่มีความรู้ ชาวบ้านพร้อมด้วยศรัทธาได้ประชุมหารือกันในเดือนพฤศจิกายน โดยมีเจ้าคณะอำเภอวัดธรรมขันฑ์ มีพระลูกวัดบางส่วนเห็นว่าพระจ๋ายเหมาะสมเพราะท่านเป็น พระลูกบ้านเนินสุทธารามแต่ศรัทธาญาติโยมไม่เห็นด้วยและลงคะแนนให้หลวงพ่อชุบเป็นรักษาการณ์แทน หลวงพ่อไม่อยากรับแต่ขัดเจ้าคณะอำเภอ และญาติโยมไม่ได้จึงรับไว้ประมาณ 6 เดือน ก็ได้รับตราตั้งเป็นเจ้าอาวาสได้ 4 พรรษา สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้น ตอนเดือนมีนาคม มีพระมหาสวัสดิ์ ได้เดินทางมาชวนเดินธุดงถ์ทางเหนือ หลวงพ่อก็มอบหมายให้พระสงัดดูแลวัด และนักเรียนอนุบาลอีก 500 เดินทางเวลา 09.49 น. หลวงพ่อก็ขึ้นรถมาที่วัดจวน พระมหาสวัสดิ์รออยู่ที่ท่ารถ หน้าวัดจวน พอฉันเพลแล้ว ก็ออกเดินทางด้วยเท้า เดินตามถนนสายเอเซีย กำลังสร้างทางตัดจากกรุงเทพ เชียงใหม่ – เชียงราย เดินทางมาถึงอำเภอ พยุหคีรี เวลา 18.00 น. วัดบางปราบ ก็ได้พัก 1 คืน รุ้งขึ้นเดินทางจากบางปราบถึงนครสวรรค์ เวลา 15.30 น. เข้าพักที่วัดโพธิ์ 1 คืน

    ออกเดินธุดงค์

    ตอนเช้าก็ออกบิณฒบาตร ฉันเช้ าก็ออกเดินทางมาจังหวัดพิจิต ถึงอำเภอบางมูลนาค ก็เข้ามาพักที่วัดไข่เน่า อำเภอบางมูลนาค จังหวัดพิจิต พักอยู่ 1 อาทิตย์ เท้าเป็นแผลพอรักษาเท้าหายดีแล้ว ก็จะเดินทางต่อ แต่หลวงพ่อละมูล วัดวังสำโรง จังหวัดพิจิตรนิมนต์ให้อยู่ต่อ เป็นพระคู่สวดอีก 15 วัน พวกญาติโยมจะมานิมนต์ให้หลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาส จัดขบวน กลองยาว แห่มารับจะให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบางมูลนาค หลวงพ่อก็หนีโดยเขียนจดหมายปลอมว่าจะเอาของไปให้น้อยชายที่เป็นทหาร จังหวัดลำปาง ก็หนีลงเรือ พายเรือเองประมาณ 30 นาที ถึงสถานีรถไฟ บางมูลนาค ตีตั๋วจะไปลำปาง ก็มาพักที่พิษณุโลก วัดสระแก้ว หลวงพ่อโสท่านก็ให้อยู่ด้วย 1 พรรษา เข้าพรรษาที่ 3 สอบเทียบ ม.3 ไปสอบที่จังหวัดนครสวรรค์ โรงเรียนประจำจังหวัด พอสอบได้แล้วก็เดินทางกลับบ้านที่ จังหวัดชัยนาท หนองจิก เข้าพักอยู่ 15 วัน แล้วเดินทางมาที่วัดสระแก้ว ต่อมาในกลางพรรษาได้ช่วยทำถนนเข้าวัด พอดีมีเหตุการณ์เครื่องบินตกที่วัดสระแก้ว เครื่องจะลงแต่ผิดพลาดทางเทคนิคบินไปเฉียวเกือบจะชนหอสวดมนต์ไปตกในสระน้ำ ที่วัดสระแก้ว คนตาย 2 คน หลวงพ่อลงไปช่วยเอาคนออกจากเครื่องบิน โดยว่ายน้ำลงไปช่วยเลยโดนน้ำมันเครื่องบิน ผิวหนังเลยอักเสบเป็นแผล ต้องเข้าโรงพยาบาล 1 คืน ฉี ดยาพอหายดีก็เตรียมตัวเดินทางมาที่จังหวัดลำปาง ได้ไต่ถามกับหลวงพ่อโสว่าวัดไหนดี ท่านจึงบอกให้ว่าวัดเกาะเพราะท่านเคยมารู้จักกับหลวงพ่อกริ่ม

    แล้วก็เดินทางเวลา 9 โมงเช้า มาพักที่สถานีห้วยไร่ จ.แพร่ ก็หาที่พักปักกลด พอดีเจอต้นไม่ใหญ่มาก ขนาดพลูรากสูงใหญ่ทั่วหัว หลวงพ่อก็อธิฐานสิ่งศักดิ์สิทธ์ รุกขเทวดา ขอพักผ่อน 1 คืน ฝากพระแม่ธรณีด้วย คาถา แม่ธรณีเจ้าเอย อยู่แล้วหรือยัง ข้าพเจ้าจะขอฝากฝังตัวลูกบ้างด้วย สังขารัง โลกังกะวิทู แม่ธรณีเจ้าเอย อยู่แล้วหรือยัง ข้าพเจ้าจะขอเชิญแม่ธรณีมาเป็นประชาสัมพันธ์ ข่าวสารไปถึงคุณปู คุณย่า คุณตา คุณยาย หรือเทวะทั้งหลายที่อารักขามนุษย์อยู่ก็ดีใน โลกนี้ บัดนี้ข้าพเจ้าได้เดินทางไปแสวงซึ่งทางปฏิบัติ ข้าพเจ้าจะขอพักที่ใต้ต้นรุกขชาติ ที่มีผู้อารักขาต้นไม้นี้อยู่ ฉนั้นอาตมาจึงขอฝากตัวกับรุกขเทวดาผู้รักษาต้นไม้นี้ด้วย อยู่แล้วหรือยัง ถ้าอยู่แล้วขอให้ข้าพเจ้าปลอดภัย ที่อารุกขเทวดา ที่รักษาข้าพเจ้าอยู่ด้วย แม่ธรณีเจ้าเอย อยู่แล้วหรือยัง ข้าพเจ้าจะขอฝากฝังตัวข้าพเจ้าที่มาพักอยู่ตรงนี้ ขอให้อารักขาข้าพเจ้า กว้างและวงกลมประมาณ 4 เมตร ที่สัพสัตว์ทั้งหลายที่มีเท้าก็ดี ไม่มีเท้าก็ดีขอให้ต่างคนต่างไป ทางใครทางมัน ที่ข้าพเจ้าได้เดินทางมานี้ มาขอเพิ่งใบบุญแม่ธรณี จงรักษาข้าพเจ้าด้วย สังขาตัง โลกังกะวิทู แล้วก็เอาดินมาใส่ที่หัว ประมาณ 3 ทุ่ม ก็มีเสือโคล่ง ลายพาดกรอนแม่กับลูก อยู่ห่างประมาณ 20 เมตร ขว้างทางไว้กว่าเสือจะไปก็ประมาณ 4 -5 ชั่วโมง พอเสือไปซักพักใหญ่ ก็เดินทางไปเจองูเหลือมยาว 4 เมตร ตัวโตมากกำลังวัดน้ำกินปลาอยู่ เดินทางอีกที่ 7 โมงเช้า ถึงสถานีที่ห้วยไร่ ก็ปักกลดหาที่พักห่างจากสถานี 1 กิโล นายสถานีถวายอาหารเช้า 1 มื้อ พอฉันเสร็จแล้วก็ให้พร แล้วจึงลาออกเดินทาง ผ่านสถานี
    เด่นชัยไปบ้านปิ่นก็มืดพอดี

    ค้างคืนที่บ้านปิ่น 1 คืน ปักกรดพักห่างจากหมู่บ้าน 20 เมตร ต้อนประมาณ ตี 2 นั่งสวดมนต์ก็ได้ยินเสียงใบไม้ดังเหมือนมีคนหรือสัตว์เดินเหยียบ เดินใกล้เข้ามาก็รู้ว่าเป็นเสือมาขู่คำราม แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายอะไร รุ้งขึ้นนายสถานีก็นำอาหารมาถวายเป็นข้าวเหนียว ฉั นเสร็จแล้วจึงลาเดินทางไปถึงสถานีบางป๋วย ก็ค่ำแล้ว ก็จะหาที่พักที่ปลอดภัยเพราะแถวนั้นมีช้างลากไม้เยอะมาก พัก 1 คืน รุ้งขึ้นเถ้าแก่โรงเลื่อยถวายอาหารเช้า 1 มื้อ ฉัตรเสร็จแล้วเดินทางต่อมาตามทางรถไฟก็ถึงสถานีแม่ทะ ก็ปักกลดพัก 1 คืน ก็ได้เจอโยมคน 1 ชื่อว่า แม่ตุด ได้นิมนต์หลวงพ่อไปพักอยู่บนดอยม่วงคำ พักอยู่ 2 คืน โยมแม่ตุดก็จะนิมนต์หลวงพ่ออยู่ที่ดอยม่วงคำ แต่หลวงพ่อก็ปฏิเสธ แล้วก็ลาเดินทางเข้ามาวัดเกาะถึงประมาณ 18.00 น. เข้ามาหาหลวงพ่อกริ่ม และหลวงพ่อเอม สนทนาธรรมกันพอสมควร หลวงพ่อบอกว่าจะมาขอเรียนประเพณีทางเหนือก็ได้พักในโบสถ์กับอาจารย์ จุม ซักพักหนึ่ง แล้วก็ไปพักจำพรรษาอยู่ที่ วัดดำรงค์ธรรม

    มาอยู่ลำปาง

    ตอนกลางวันก็มาเรียนกรรมฐาน กับหลวงพ่อกริ่ม และหลวงพ่อเอม พอตอนกลางคืนก็เรียน มัธยม ทางลัด ม.4 – ม.6 ไปสอน ม.6 ได้ที่วัดพระแก้วดอนเต้า ช่วงนั้นอยู่ระหว่างสงคราม พอออกพรรษาแล้วจึงมาพักที่วัดเกาะเป็นช่วงที่หลวงพ่อกริ่มชราภาพมาก และป่วยท้องเสียมากเพราะอาหารเป็นพิษ แล้วก็มรณะภาพในเดือนมกราคม 2487 ตั้งศพไว้ประมาณ 1 ปี หลวงพ่ออยู่วัดเกาะตอนนั้นเกิดสงคราม พวกทหารญี่ปุ่นก็เข้ามาที่วัดเกาะ ยึดเอาอุโบสถเป็นคลังเก็บอาหาร หลวงพ่อเคยทำอาหารให้กับทหารญี่ปุ่นกิน พวกที่กินอาหารแล้วติดใจมาก แต่ก็ต้องโดนหัวหน้าทหารทำโทษเพราะว่าช่วงสงครามทหารญี่ปุ่นจะกินข้าวของคนไทยไม่ได้กลัวโดนยาพิษ ช่วงนั้นอดอยากมาก ทหารญี่ปุ่นได้เอาธรรมมาสไปทำเชื่อไฟหุ้งข้าว พอสงครามเลิก หลวงพ่อรื้อศาลาใช้เวลา 7 วัน แล้วก็สร้างศาลามาใหม่ มีพระที่วัดช่วยกันและพวกญาติโยมด้วยใช้เวลา 1 ปี จึงเสร็จ จนถึงปัจจุบันนี้ หลวงพ่อก็ส่งเสริมกิจการงานของสงฆ์โดยตลอดจัดให้มีการบวชเณร ภาคฤดูร้อน บวชพระเฉลิมพระเกียรติแด่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เปิดเป็นโรงเรียนสอนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และมีการบวชพระภิกษุ บวชชีพราหม์ ตลอดทั้งปี หลวงพ่อเอม เมตติโก อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่สอง วัดเกาะวาลุการาม ท่านเป็นคนจังหวัดอุทัยธานี ได้เดินธุดงค์ คู่ไปกับหลวงพ่อกริ่ม ที่ประเทศอินเดียและพม่า เดินไปสวดมนต์บนดอยสุเทพ 2 องค์กับหลวงพ่อกริ่มตลอดคืนในวันวิสาฆบูชาท่านเป็นพระที่เมตตาสูงมาก การปกครองดีมาก ท่านมรณะภาพด้วยโรคเบาหวานในปี พ.ศ. 2495 หลวงปู่ชุบจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 3

    ได้เป็นพระอุปฌาย์ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลสวนดอก อ.เมือง จ.ลำปาง เมื่อ พ.ศ. 2502
    ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยใจคออย่างไร ทำคุณให้วัดเกาะวาลุการามอย่างไร เป็นที่นับถือนิยมรักใคร่ใกล้ชิดขึ้นสู่หาของศรัทธาญาติโยมมากน้อยเพียงใด ผู้เขียนเห็นว่ายังไม่จำเป็นอ้างความดี และการวางตัวปฏิบัติของท่านจะนำมาเขียนไว้ที่นี้ จึงขอยุติไว้ก่อน จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควรเพราะท่านทั้งหลายก็คงได้ทราบได้เห็น ความเป็นอยู่ของท่านทุกวันนี้ไม่มากก็น้อย ในด้านการปลูกสร้างบูรณะวัดก็จะเห็นอาคารวัตถุเกิดขึ้นจำนวนมาก เป็นต้นว่า หอฉัน กุฏิสงฆ์ ห้องน้ำ เพื่อรับรองแขกมาพักและเยี่ยมเยือนสิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างขึ้นด้วยอิฐ เสริมเหล็กปูนอย่างถาวรแข็งแรงทั้งสิ้น

    นอกจากนี้ก็มีกุฏิกรรมฐานเป็นไม้อีกหลายหลัง ซึ่งล้วนแต่เป็นคุณประโยชน์ให้แก่วัดวาอารามอย่างมาก ความอัดแอของวัดอันมีพระภิกษุสามเณรก็ยังล้นหลามอยู่เสมอไม่พอกับจำนวน ต้องไปอาศัยพักในศาลาการเปรียญบ้างในโบสถ์บ้างท่านจึงดำเนินการสร้างกุฎิสงฆ์ หลังใหญ่ 2 ชั้น และเขื่อนป้องกันศาสนสมบัติอย่างมั่นคง ยาวตลอดแนวฝั่งเขตวัดซึ่งกำลังทำการก่อสร้างอยู่ยังไม่เสร็จเพราะการเงิน ท่านจึงบอกบุญแก่ศรัทธาศาสนิกชนช่วยกันค้ำจุนสมทบทุนตามกำลังศรัทธาให้การก่อสร้างสิ่งถาวรนี้ ได้สำเร็จไว้เป็นอนุสรณ์ในบวรพุทธศาสนา มั่นคงสืบต่อลูกหลานเยาวชนรุ่นหลังเป็นพลังได้ยึด เป็นที่พึ่งหลักธรรมประจำชาติไทยในอนาคตกาลยืนนานสืบไป
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ท่านเป็นพระที่แม้แต่หลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสำนักสุสานไตรลักษณ์ยังให้ความนับถือ จนหลวงพ่อเกษม เขมโก ต้องบอกกับทุกคนว่า "อยากได้เลขให้ไปเอาที่วัดเกาะ" นัยว่า ท่านเป็น เทพเจ้าแห่งโชคลาภ
    เหรียญหลวงพ่อบุญชุบวัดเกาะ 80 ปี
    ให้บูชา
    100 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบ flash หรือ j&t(ปิดรายการ)



     
  11. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วัตถุมงคลหลากหลายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศครับค่าจัดส่งต่อครั้ง 30 บาทระบบflash หรือ J&Tและ 50 บาทems ไปรษณีย์ไทย 08--1--70--4--72--64 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง line ตามเบอร์โทรศัพท์
    บัญชีธนาคาร กรุงไทย 125-00-89-239
    Supachai thu
    โอนแล้วแจ้งบอก ทางข้อความ พร้อมที่อยู่จัดส่ง ป้อง กัน การเอาข้อมูลจากมิจฉาชีพครับ
     
  12. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้จัดส่ง
    TH5706393DDY3A อุทัยธานี FLASHEXPRESS
    ขอบคุณครับ
     
  13. Parichati Parichati

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2020
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +48
    พระสมเด็จนาคปรก
    พระธาตุพนมรุ่นเครื่องบินตก
    ปลอดภัย
    ดำเนินการเรียบร้อยแล้วค่ะ
    รายละเอียด pm. นะคะ
    ขอบคุณค่ะ
     
  14. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  15. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    วันนี้จัดส่ง เคอรี่
    PEX 114100000131 เชียงใหม่
    PEX 114100000132 ยโสธร
    ขอบคุณครับ
     
  16. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    ขอนำเสนอชีวประวัติของพระเถราจารย์รามัญแห่งเมืองดอกบัวหลวง พระมหาเถระผู้ทรงอภิญญาภูมิขั้นสูง ผู้เปรียบประดุจดั่งร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวลาดหลุมแก้ว สุดยอดพระเกจิอาจารย์เชื้อสายรามัญผู้สร้างตำนานสุดยอดพระเครื่องยอดนิยมจังหวัดปทุมธานี พระมอญรูปนี้ก็คือ.
    เปิดดูไฟล์ 6018797

    พระครูบริรักษ์ธรรมากร (บุญเทียม ภูริปญฺโญ)
    อดีตเจ้าคณะตำบลลาดหลุมแก้ว
    อดีตเจ้าอาวาสวัดลาดหลุมแก้ว ต. ลาดหลุมแก้ว อ.ลาดหลุมแก้ว จ. ปทุมธานี
    ***************************

    พระครูบริรักษ์ธรรมมากร หรือ หลวงพ่อบุญเทียม ภูริปญฺโญ เทพเจ้าแห่งความเมตตาของชาวลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ท่านมีนามเดิมว่า บุญเทียม นามสกุล เอกเอี่ยม ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะเมีย ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ณ บ้านหมู่ที่ ๔ ตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี (เรียกชื่อตามสมัยนั้น ปัจจุบันคือ หมู่ที่ ๑ ตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี) โดยท่านเป็นบุตรชายของโยมพ่อ เมฆ เอกเอี่ยม และโยมแม่ เล็ก(มิด๊วด) เอกเอี่ยม ซึ่งท่านมีพี่ต่างบิดา ๒ คน และมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันอีก ๗ คน ซึ่งตัวท่านเองเป็นบุตรคนที่ ๗
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อบุญเทียม ท่านได้เรียนหนังสือไทยที่ โรงเรียนประชาบาลวัดระแหง(ปัจจุบันคือ โรงเรียนชุมชนวัดบัวแก้วเกษร วรพงษ์อนุกูล) โดยในขณะนั้น ครูทัน รุจิเรข เป็นครูใหญ่ ซึ่งท่านมีอุปนิสัยส่วนตัวคือชอบอ่านหนังสือ และชอบความสงบ โดยในช่วงแรกท่านยังอ่านเขียนมิค่อยคล่องนัก แต่ท่านชอบดูรูปภาพต่าง ๆ จึงทำให้มีความสนใจในการเรียนมากยิ่งขึ้น ท่าน ได้เล่าเรียนหนังสือจนกระทั่งจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ กระทั่งเมื่อราวปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ท่านจึงไปขอบิดามารดามาเป็นเด็กวัด เพื่อที่จะได้เล่าเรียนหนังสือในวัดกับพระกับเณรด้วย ซึ่งบิดามารดาก็เห็นด้วยที่จะได้ให้ลูกชายอยู่ใกล้พระใกล้วัด
    พระสมเด็จหลวงพ่อบุญเทียมวัด
    ท่านจึงได้มาเป็นเด็กวัดอยู่ที่วัดลาดหลุมแก้ว ซึ่งมี พระอธิการเขียน เป็นเจ้าอาวาสวัดอยู่ในขณะนั้นต่อมาท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ในขณะที่อายุท่านได้ ๑๓ ปี ณ วัดระแหง(วัดบัวแก้วเกษร) เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วก็ได้มาอยู่ที่วัดลาดหลุมแก้ว ซึ่งในขณะนั้นที่วัดลาดหลุมแก้ว มี่พระเณรจำพรรษาอยู่เพียง ๓ รูปเท่านั้น และสภาพพื้นที่เดิมของวัดลาดหลุมแก้วในสมัยนั้นยังเต็มไปด้วยป่าที่รกชัฏ ยังไม่มีผู้คนเข้าไปหักป่าถางพงกันมากนัก ทำให้บริเวณของวัดนั้นร่มรื่น และวังเวง ดูน่ากลัว ในสมัยที่ท่านบวชเณรอยู่นั้น หลวงพ่อบุญเทียม ท่านเป็นคนที่กลัวผีเป็นทุนเดิม ท่านจึงได้ทำการถางป่าจนเตียนโล่ง สามเณรบุญเทียม ได้บวชเป็นสามเณรอยู่เพียง ๒ ปี และได้จำต้องสึกออกมาช่วยบิดามารดาทำนา เพราะพี่ ๆ น้อง ๆ ของท่านได้แยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด หลังจากที่สึกจากเณรออกมา ท่านก็กำลังเป็นหนุ่มแตกพาน คือ อยู่ในวัยกำลังเที่ยว กำลังสนุก คึกคะนองตามวัย แต่หลวงพ่อบุญเทียม หาได้เป็นเหมือนวัยรุ่นหนุ่มทั่ว ๆ ไปไม่ ท่านกลับชอบการทำบุญ เข้าวัดเข้าวา สร้างความดีด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นตลอด เช่น ช่วยชาวบ้านปลูกบ้าน ขุดสระ ลอกคลอง เป็นต้น จึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านในย่านนั้นเป็นอย่างยิ่ง
    กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ในขณะที่ท่านมีอายุครบ ๒๒ ปีบริบูรณ์ ท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ณ พัทธสีมาวัดระแหง(วัดบัวแก้วเกษร) เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๓ โดยมี พระครูปราโมทย์ศีลขันธ์(หลวงพ่อปลื้ม) วัดระแหง(วัดบัวแก้วเกษร) เป็นพระอุปัชฌาย์ และมี พระอธิการโนรี ภาวณฺโณ วัดลาดหลุมแก้ว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมี พระอธิการสุมนต์ วัดบัวสุวรรณประดิษฐ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยท่านได้รับฉายาทางธรรมว่า “ภูริปญฺโญ”
    เปิดดูไฟล์ 6018798
    หลังจากที่ท่านได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว ท่านจึงได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดลาดหลุมแก้ว และได้เล่าเรียนศึกษาพระธรรมวินัยขั้นต้นกับพระอธิการโนรี ภาวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดลาดหลุมแก้วในขณะนั้น ต่อมาท่านได้เรียนพระปริยัติธรรม และได้เข้าสอบนักธรรมสนามหลวง จนสอบไล่ได้นักธรรมชั้น ตรี-โท-เอก ตามลำดับ เมื่อท่านได้เรียนรู้ในพระธรรมวินัยเป็นที่เข้าใจแล้ว ท่านก็มุ่งมั่นศึกษาต่อในวิชาอาคมจากพระอาจารย์ต่างๆที่มีความรู้ความสามารถในยุคนั้นด้วย ซึ่งในระยะแรกหลวงพ่อบุญเทียม ท่านได้เริ่มต้นเล่าเรียนวิชาอาคมสายมอญ และวิชากรรมฐาน จาก พระอธิการโนรี ภาวณฺโณ วัดลาดหลุมแก้ว ก่อนเป็นเบื้องต้น ต่อมาท่านได้เดินทางไปศึกษาในทางพุทธาคมกับ หลวงพ่อทองสุก แห่งวัดตาล ตำบลบางตะไนย อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยหลวงพ่อทองสุก ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาทางด้านอยู่ยงคงกระพัน มหาอุตม์ เพื่อนำไปถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ลูกหาสืบไป ต่อมาหลวงพ่อบุญเทียม ท่านได้ไปศึกษาเล่าเรียนวิชากับ หลวงพ่อชื่น แห่งวัดตำหนัก จังหวัดนนทบุรี ด้วย ซึ่งหลวงพ่อชื่น ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชา การเสริมดวง สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ซึ่งเป็นวิชาที่หลวงพ่อชื่น ท่านถ่ายถอดให้กับหลวงพ่อบุญเทียม อย่างละเอียดลึกซึ้ง และนำมาใช้ช่วยผู้คนได้ผลเป็นอันมาก หลังจากที่หลวงพ่อบุญเทียมได้ไปเรียนกับหลวงพ่อชื่น แล้ว ท่านก็ได้ไปเรียนวิชากับอาจารย์ฆราวาสด้วย คือ หมอเปลี่ยน ซึ่งท่านเก่งทางด้านยาสมุนไพร ยาโบราณ รักษาโรค หลวงพ่อบุญเทียมจึงตั้งใจที่จะศึกษาและค้นคว้ายาสมุนไพร เพื่อมาใช้รักษาโรคแก่ผู้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยไร้ที่พึ่ง ต่อมาท่านได้ไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับ พระมหาพูน ท่านได้อยู่ฝึกเรียนวิปัสสนากรรมฐานจนชำนาญ แล้วท่านจึงเดินทางไปเรียนต่อยังสำนักหลวงปู่กลิ่น จันทรังษี แห่งวัดสะพานสูง โดยท่านได้มาศึกษาวิชาการทำตะกรุด เครื่องราง และวิชาการเขียนยันต์ตรีนิสิงเห จากหลวงปู่กลิ่น ซึ่งในช่วงนี้เองท่านจึงมีความสนิทสนม และเป็นสหธรรมมิก กับหลวงพ่อทองสุข อินทสาโร วัดสะพานสูง ด้วย
    หลวงพ่อบุญเทียม ภูริปญฺโญ เป็นพระที่คงแก่เรียน ชอบศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ แม้กระทั่งท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดลาดหลุมแก้วแล้วนั้น ท่านก็ยังเที่ยวเดินทางไปแลกเปลี่ยนวิชากับพระอาจารย์ต่างๆอยู่เสมอๆ อาทิเช่น หลวงปู่เส็ง วัดบางนา , หลวงปู่หลุย วัดท่าเกวียน , หลวงปู่ภักดิ์ วัดสุทธาวาส เป็นต้น พระอาจารย์ที่กล่าวมานั้นล้วนแล้วแต่เป็น พระสหธรรมมิกกับหลวงพ่อบุญเทียมทั้งสิ้น กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ พระอธิการโนรี ภาวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดลาดหลุมแก้วในขณะนั้น ได้ถึงกาลมรณภาพลง เจ้าคณะพระสังฆาธิการพร้อมด้วยชาวบ้านจึงมีมติแต่งตั้งให้ พระบุญเทียม ภูริปญฺโญ เป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดลาดหลุมแก้ว ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านจึงได้รับตราตั้ง แต่งตั้งเป็น เจ้าอาวาสวัดลาดหลุมแก้ว และเป็น พระอธิการ
    เปิดดูไฟล์ 6018799

    ในสมัยที่หลวงพ่อบุญเทียม ภูริปัญโญ เป็นเจ้าอาวาสนั้น ท่านได้พัฒนาปรับขยายพื้นที่บริเวณของวัดให้กว้างขวางขึ้น เพื่อสร้างเสนาสนะต่างๆขึ้นใหม่ และทดแทนของเดิมที่ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา อาทิ ศาลาการเปรียญ อุโบสถ วิหาร หอระฆัง และกุฏิสงฆ์ เป็นต้น ซึ่งนับได้ว่าในยุคสมัยนั้นเป็นยุคทองของวัดลาดหลุมแก้วก็ว่าได้ เพราะหลวงพ่อบุญเทียม ท่านได้พัฒนาวัดให้เจริญทัดเทียมกับวัดอื่น ๆ ในย่านนั้น อีกทั้งท่านยังได้ให้การส่งเสริมสนับสนุนในด้านการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรตลอดทั้งบุตรหลานของชาวบ้านให้มีความรู้ อ่านเขียนหนังสือได้ ซึ่งหลวงพ่อบุญเทียม ท่านได้เมตตาสอนหนังสือและอบรมสั่งสอนอันเตวาสิกอันสัทธิวิหาริกของท่านด้วยตัวท่านเอง โดยท่านมักนำเอานิทานธรรมบท ในพระไตรปิฎกเรื่องต่าง ๆ มายกกล่าวอ้างและเปรียบเทียบให้เหล่าลูกศิษย์ลูกหาได้ฟังกันอยู่เสมอๆ จึงทำให้มีญาติโยมนิยมมาฟังท่านเทศน์เป็นจำนวนมาก เพราะท่านเป็นพระนักเทศน์ที่มีไหวพริบปฏิภาณ สามารถเทศน์ให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย ท่านจึงเป็นพระสงฆ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก
    กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าอธิการ เจ้าคณะตำบลลาดหลุมแก้ว และในปีเดียวกันท่านก็ได้เป็น พระอุปัชฌาย์
    กระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๑ หลวงพ่อบุญเทียม ภูริปัญโญ ท่านจึงได้รับพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะตำบล ชั้นตรี ในราชทินนาม ที่ “พระครูบริรักษ์ธรรมากร”
    เปิดดูไฟล์ 6018800

    ปทุมธานีหลังยันต์ตรีนิ
    อีกทั้ง หลวงพ่อบุญเทียม นั้นท่านเป็นพระหมอที่ประชาชนทั้งในเขตและนอกเขตให้การยอมรับนับถือเป็นอย่าง โดยท่านเป็นทั้งหมอยาสมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆของชาวบ้าน อีกทั้งท่านยังเป็นพระหมอที่คอยช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องแก้คุณแก้ไสย เสริมดวง สะเดาะเคราะห์ต่อชะตาอีกด้วย หลวงพ่อบุญเทียม ท่านเป็นพระมหาเถระที่ทรงอภิญญาอีกรูปหนึ่งของเมืองปทุมธานี ท่านเป็นพระที่มีวาจาสิทธิ์ กำหนดรู้กาลล่วงหน้าได้ แต่ท่านก็มิเคยอวดตนว่าเก่ง แต่ชาวบ้านสามารถทราบถึงบารมีของท่านได้ และท่านยังเป็นพระเกจิอาจารย์ที่โด่งดังมีชื่อเสียงในยุคนั้น ท่านเคยได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีพุทธาภิเศกงานสำคัญๆอยู่หลายครั้ง และท่านยังสร้างวัตถุมงคลไว้ใช้แจกแก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาไว้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น พระพิมพ์สมเด็จฯ พิมพ์ต่าง ๆ , พระปิดตา พิมพ์ต่างๆ , ตะกรุด , พระเหรียญรูปเหมือนตัวท่าน , พระเหรียญพระพุทธ , ผ้ายันต์ , พิรอด , พระเนื้อผงพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งวัตถุมงคลของท่านที่โด่งดัง และเป็นที่ต้องการของนักสะสมในยุคปัจจุบันนี้ก็คือ ตะกรุดโทน และเหรียญรูปเหมือนตัวท่าน รุ่นแรก ซึ่งนับเป็นวัตถุมงคลยอดนิยมอีกชิ้น

    หนึ่งของจังหวัดปทุมธานี วัตถุมงคลของหลวงพ่อบุญเทียม ทุกชนิดล้วนแล้วแต่ดีมีประสบการณ์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม ทำให้มีประชาชนจากทั่วสารทิศมากราบไหว้ขอพร ขอของขลัง ให้ท่านอาบน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ ทุกวันมิได้ขาดสาย ทำให้ท่านต้องสูบดมควันธูปที่ประชาชนมาทำพิธีทุกวันๆ ทำให้สุขภาพของท่านมิค่อยแข็งแรงนัก ประกอบกับท่านเป็นคนที่มีร่างกายเล็ก ผอม และมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว คือ โรคภูมิแพ้ ในบั้นปลายชีวิตของท่าน ท่านต้องอยู่กับควันธูปทุกวัน ๆ โดยมีอาการของโรคปอดกำเริบ ทำให้ร่างกายของท่านซูบผอมลงและทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ต่อมาเมื่อช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ท่านได้มีอาการอาพาธอย่างหนัก เหล่าศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดจึงจะพาท่านไปทำการรักษาที่โรงพยาบาล แต่ท่านมิยอมไป ทำให้อาการของท่านได้กำเริบหนักมาตามลำดับ แต่ท่านก็ยังปฏิบัติกิจของสงฆ์ได้ตามปกติ และท่านยังเปิดกุฏิรับแขกที่มาหาท่าน มาให้ท่านทำพิธีให้ตามปกติ โดยเสมือนว่าร่างกายของท่านยังแข็งแรงอยู่ กระทั่งเมื่อช่วงงานพิธีผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิตอุโบสถวัดลาดหลุมแก้ว โดยทางคณะกรรมการวัด ได้ทำเรื่องกราบทูลเชิญ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เสด็จมาเป็นองค์ประธานตัดหวายลูกนิมิต เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๙ ท่านก็ได้มีอาการอาพาธดีบ้างทรุดบ้างตามลำดับ กระทั่งเมื่อช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านได้อาพาธหนักขึ้น บรรดาลูกศิษย์จึงได้นำตัวท่านไปรักษาที่โรงพยาบาล จนกระทั่งวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ หลวงพ่อบุญเทียม ภูริปญฺโญ จึงได้ละสังขารลงอย่างสงบ ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของบรรดาศิษยานุศิษย์และชาวบ้านวัด
    ศิษยานุศิษย์และชาวบ้านวัดลาดหลุมแก้วเป็นอย่างยิ่ง สิริรวมอายุท่านได้ ๖๘ ปี พรรษา ๔๖
    หลังจากที่หลวงพ่อบุญเทียม ภูริปญฺโญ ได้มรณภาพลงแล้วนั้น คณะสงฆ์และบรรดาศิษยานุศิษย์จึงได้จัดงานการบำเพ็ญกุศลศพ และบรรจุสรีระสังขารของหลวงพ่อบุญเทียม ภูริปญฺโญ ลงในโลงแก้ว แล้วตั้งบำเพ็ญกุศลไว้เป็นเวลา ๔ ปีเศษ และจึงได้จัดให้มีพิธีการพระราชทานเพลิงศพ พระครูบริรักษ์ธรรมากร(บุญเทียม ภูริปญฺโญ) ณ เมรุลอยวัดลาดหลุมแก้ว เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๓
    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
    เรียบเรียงโดย : ขุนแผน แดนรามัญ
    รายละเอียด
    #พระสมเด็จหลวงพ่อบุญเทียมวัดลาดหลุมแก้วปทุมธานีหลังยันต์ตรีนิสิงเห หลวงพ่อบุญเทียมวัดลาดหลุมแก้วปทุมธานีสมเด็จองค์นี้ท่านสร้างเองครับและปลุกเศกหลายครั้ง สร้างในปี2521โดยใช้ดินดำผสมกับผงพุทธคุณต่างๆ และเนื้อกล้วยหอม โดยให้ศิษฐ์วัดเด็กๆ รวมทั้งพระช่วยกันกดพิมพ์ทีละองค์แล้วหลวงพ่อจะปลุกเศกแต่หลวงพ่อท่านจะสร้างพระสมเด็จในช่วงท่านยังแข็งแรงอยู่ คุณเก็บไว้ให้ดีเถอะครับ พุทธคุณหายห่วงเมตามหานิยม แคล้วคลาด ป้องกันจากภูมิผี สิ่งชั่วร้าย มีคนได้ประสบการตรงหลายครั้ง หลวงพ่อเป็นพระที่มีจิรวัตรน่าเลื่อมใส และท่านเป็นพระที่สมถะไม่หยิบจับเงินทอง มีวิชาอาคมมาก ท่านเป็นพระที่เก็บตัว ในช่วงท่านมีชีวิตอยู่ ถนนหนทางมาวัดลำบากมาก แต่ก็มีผู้คนพยามเข้ามาให้ท่านช่วยเหลือทุก ๆ วัน เหมือนมีงานเทศกาล ทั้งที่ในสมัยนั้นความเจริญบริเวณนั้นกล้าบอกได้ว่ายังเข้าไม่ถึง ยังไม่มีไฟฟ้า ปะปา โทรศัพท์แต่ไม่ว่าจะดึกดื่นเพียงใด ที่ท่านทำก่อนจำวัดคือต้องไปนั่งสมาธิในอุโบสภทุกวัน ซึ่งประวัติหลวงพ่อนั้นดังถึงขนาดมี บุคคลที่มีชื่อเสียงมาพบท่านมากมายเช่น นักการเมืองดารานำฟิลมหนังที่ท่านสร้างมาให้หลวงพ่อเจิม เป็นต้นครับ.
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลวงพ่อบุญเทียมให้บูชา 300 บาทค่าส่ง 30 บาท flash หรือ j&t หรือ เคอรี่

     
  17. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343
    เปิดดูไฟล์ 6002097

    ขอขอบคุณ /เครดิตและที่มาจาก เพจ คุณ ศิษย์กวง
    เมื่อ ท่านหลวงพ่อตี๋ วัดบางคนทีใน พูดถึงหลวงพ่อ หลา อดีตเจ้าอาวาส ...
    จะเป็นเช่นไร ติดตามศึกษากันได้ครับ อีกรูปที่เป็นพระดี แต่ไม่จำเป็นต้องดัง


    เรื่องที่ หลวงพ่อตี๋พูดถึงหลวงพ่อหลา มีดังนี้ครับ (ขออนุญาตคัดลอก)
    หลวงปู่หลา สุขวโร หรือ พระครูพิศาลสมุทรคุณ เจ้าอาวาสองค์เก่าซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงอาของท่าน ก่อนที่เราจะออกไปต่อยอดความรู้และสัมผัสเรื่องราวของหลวงปู่หลาจากชาวบ้านในพื้นที่ด้วยตัวของพวกเราเอง

    หลวงพ่อค่อยๆ เล่าถึงเรื่องราวแต่หนหลังของหลวงปู่หลาทั้งในเรื่องปกติและเรื่องที่ถือว่ามหัศจรรย์ ซึ่งในประเด็นส่วนหลังท่านบอกว่าไม่ค่อยอยากเผยแพร่ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากว่าไม่มีหลักฐานยืนยัน เช่นเรื่องที่หลวงปู่หลามรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนก็ตามสังขารของท่านก็คงอยู่ในสภาพเดิม แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องทำพิธีพระราชทานเพลิงศพตามความประสงค์ของหลวงปู่ที่เคยบอกไว้ก่อนละสังขาร ดังนั้นเมื่อไม่มีสังขารให้เห็นเป็นหลักฐานแล้วจะเอาอะไรมายืนยันว่าเรื่องนี้เป็นความจริง

    จริงอยู่ครับถึงเรื่องแบบนี้หลวงพ่อจะไม่ต้องการความคิดเห็นตอบ แต่พวกเราก็ได้แสดงความคิดเห็นร่วมว่า ถึงแม้ไม่มีสังขารของหลวงปู่เป็นหลักฐาน แต่ความมหัศจรรย์ในเรื่องแบบนี้ย่อมต้องถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของคนที่นี่ เพราะคุณธรรมและความมีเมตตาของหลวงปู่หลา มันได้ฝังเป็นความงดงามเล็กๆ ลงในจิตใจของชาวบ้านแถบบางคนทีแห่งนี้แน่นอน

    อีกประการหนึ่งประวัติศาสตร์ของความจริงควรปรากฏและคนทั่วไปจะได้รับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์อันนี้ เรื่องดีๆ ก็บอกไปเถอะ โดยเฉพาะเรื่องพระที่หลวงปู่หลาท่านได้สร้างไว้ นั่นแหละท่านถึงยอมแบบประชาธิปไตยคือตามเสียงส่วนใหญ่

    หลวงพ่อเล่าว่า...
    “รอยยิ้ม” คือตัวแทนของหลวงปู่ และญาติโยมรอบๆ วัด หลวงปู่ท่านก็รักเหมือนลูกหลานทุกคน สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันมักจะมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านเสมอๆ บ้างก็มาขอพระ บ้างก็มาขอเงิน ซึ่งหลวงปู่ไม่เคยขัดหากสิ่งนั้นเป็นส่วนของท่านที่ไม่ใช่สมบัติของวัด

    หลวงปู่เคยให้เงินที่ได้รับจากการเทศน์แก่คนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปทั้งซอง(ประมาณ ๕๐๐ บาท) เพียงเพราะเขาขับรถมาส่งท่านที่วัด ถ้ามีใครถามท่านถึงเรื่องของการให้แบบนี้ ท่านก็จะตอบด้วยเหตุผลข้อเดียวคือ

    “เก็บไว้ก็เป็นทุกข์”

    หลวงปู่หลาท่านเป็นลูกศิษย์ที่ขึ้นกรรมฐานกับ”ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ แห่งวัดบัณฑูรสิงห์” ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครครับ

    ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ถือว่าเป็นฆราวาสผู้ทรงธรรมและได้รับการยกย่องให้เป็น “ปราชญ์ชุมชนแห่งบางโทรัด” จะว่าไปแล้วชื่อเสียงของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ถึงจะไม่ค่อยแพร่หลายออกไปยังวงกว้าง แต่ถ้าใครเคยศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับกรรมฐานหรือเรื่องของวัตถุมงคลมาบ้าง ก็จะรู้ว่าท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ท่านศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน

    ซึ่งประวัติและเรื่องราวของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์เป็นเรื่องที่น่าศึกษาครับ เพราะไม่ง่ายนักที่ชีวิตของคนๆ หนึ่งจะได้รับการยกย่องให้อยู่ในหน้าของประวัติศาตร์แห่งความดีงามและจิตใจของผู้คนตั้งแต่อดีตมาจนถึงทุกวันนี้

    ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ เดิมชื่อ “พ่อเจิม คุณาบุตร” เกิดเมื่อ ๒๘ เมษายน ๒๔๓๔ ณ บางโทรัด สมุทรสาคร บิดามารดาของท่านชื่อ “ปู่แพ-ย่านุ่ม คุณาบุตร” มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คน ท่านพ่อเป็นบุตรคนที่สองครับ

    สมัยเด็กๆ ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสงบเสงี่ยมและสามารถอดกลั้นอารมณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ต่อมาท่านได้บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๕ ปี ณ วัดใหญ่บ้านบ่อ จังหวัดสมุทรสาคร และอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ณ วัดบางพลีใหญ่ ตำบลบางโทรัด จังหวัดสมุทรสาคร

    สมัยที่พ่อท่านบัณฑูรสิงห์ยังบวชอยู่ ท่านได้ไปขอเรียนกรรมฐานและร่วมเดินธุดงค์กับ”หลวงพ่อหรุ่น วัดช้างเผือก” อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม สำหรับชื่อเสียงและชื่อชั้นของหลวงพ่อหรุ่นองค์นี้ คงไม่ต้องพูดกันมากครับ เอาเป็นว่าท่านเป็นพระที่ทั้งดีและเก่งอันดับต้นๆ ของเมืองไทยละกัน ยุคสมัยนั้นหากพระองค์ไหนจะเดินธุดงค์จะต้องผ่านการเข้าปริวาสกรรมเสียก่อน

    เล่ากันว่าท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้บรรลุธรรมในขณะอยู่ปริวาสนั่นแหละครับ ซึ่งเรื่องนี้ได้มีผู้บันทึกจากคำบอกเล่าของท่านพ่อไว้ว่า

    “ได้เห็นร่างกายโปร่งชัดเจนเหมือนกระจกแก้วไปทั้งร่าง ครั้งแรกแปลกใจ แต่เก็บความรู้สึกไว้ สอบสวนอยู่ทุกคืน และโอกาสที่ได้นั่งกรรมฐาน จนแน่ชัดแล้วจึงคิดว่า

    เมื่อเราเห็นในตัวชัดแจ้งอย่างนี้แล้ว ในดินตรงหน้านี้มีอะไรบ้าง ก็เห็นในพื้นดินแจ้งไปทั้งหมด สงสัยตรงไหนตรงนั้นก็เห็น ไม่มีสิ่งใดบังกั้นเลยเป็นเวลานาน”

    ในประเด็นเรื่องของการที่ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้บรรลุธรรมครั้งนี้ หลวงพ่อหรุ่นผู้เป็นอาจารย์ท่านได้กล่าวคำรับรองการบรรลุธรรมนี้ต่อหมู่คณะสงฆ์ว่า

    “คุณเจิม รู้ธรรมแล้ว”

    นอกจากเรื่องของการบรรลุธรรมแล้ว ยังมี”ความเชื่อ”อีกมากมายครับที่เกี่ยวกับท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านที่ได้วางรากฐานไว้ ซึ่งการปฏิบัติธรรมดังกล่าวได้ถูกกระทำสืบทอดมาจนเป็นวัฒนธรรมและประเพณีของท้องถิ่นเลยทีเดียวครับ

    นอกจากนี้ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะมีประชาชนมาทำบุญที่วัดกันมากเป็นพิเศษ เพราะท่าศาสนาจะอยู่ได้ก็ต้องอาศัยพระมหากษัตริย์ เป็นองค์อุปถัมภ์ ทั้งสามสถาบันจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้ คือชาติ ศาสนา และองค์พระมหากษัตริย์ เปรียบเสมือนกับไตรสิกขา ซึ่งได้แก่ ศีล สมาธิและปัญญา”

    ครับ เรื่องราวของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์สอดคล้องกับเรื่องเล่าของหลวงพ่อตี๋ ตรงที่ว่า ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์เป็นผู้ทรงคุณธรรมและชำนาญในเรื่องของพระกรรมฐาน โดยเฉพาะการนั่งทางในที่สามารถบอกกล่าวเรื่องราวต่างๆ ได้ชัดเจนและแม่นยำ พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในเขตจังหวัดสมุทรสาครและสมุทรสงครามจำนวนไม่น้อยที่ได้ขอเข้าศึกษากรรมฐานกับท่าน

    ซึ่งโดยส่วนตัวของหลวงปู่หลาแล้วท่านให้ความเคารพท่านพ่อบัณฑูรสิงห์มาก และในช่วงที่หลวงปู่หลาศึกษากรรมฐานอยู่กับท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ ท่านพ่อได้มอบภาพถ่ายของท่านไว้เป็นที่ระลึก(ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ภายในกุฏิของหลวงปู่) และมอบดินศักดิ์สิทธิ์ให้หลวงปู่หลาไว้ทำประโยชน์ในภายหน้า
    ดินศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้มีลักษณะเป็นดินละเอียดสีเหลืองคล้ายทอง ซึ่งท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้นั่งทางในและพบว่าใต้พื้นดินของวัดบัณฑูรสิงห์มีดินศักดิ์สิทธิ์ที่มีลักษณะดังว่า ท่านจึงสั่งให้คนช่วยกันขุดขึ้นมาตรงบริเวณที่ท่านนั่งทางในเห็น หลังจากที่ลูกศิษย์ได้ช่วยกันขุดลงไปลึกพอสมควรก็พบว่ามีดินลักษณะตรงตามที่ท่านพ่อบอกไว้จริงๆ

    ในประเด็นเรื่องดินศักดิ์สิทธิ์นี้ หลวงพ่อตี๋ท่านบอกว่า ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ เพราะเรื่องของความเชื่อไม่มีใครบังคับกันได้ แต่ที่แน่ๆ หลวงปู่หลาท่านให้ความสำคัญกับดินศักดิ์สิทธิ์นี้มาก เพราะในการสร้างพระของหลวงปู่หลาทุกครั้งท่านจะต้องนำดินศักดิ์สิทธิ์นี้มาเป็นมวลสารหลักเสมอ

    หลวงพ่อตี๋เล่าว่า ในชีวิตของหลวงปู่หลา ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้พอสมควร เช่นลูกอมเทียนกรรมฐาน พระสมเด็จเนื้อไม้แก่นมะขาม พระผงพิมพ์กลีบบัว พระผงพิมพ์หยดน้ำ พระขุนแผนเนื้อขนมเทียน ขนมเข่ง พระปิดตาเนื้อผงแบบหลังเรียบและหลังนูน พระรูปเหมือนหลวงปู่หลาเนื้อผง เบี้ยจั่น ฯลฯโดยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างพระของหลวงปู่หลาในแต่ละแบบ เท่าที่ฟังจากหลวงพ่อตี๋ ต้องบอกว่าน่าสนใจครับ การใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านแบบง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะคิดได้ทุกคน ทำให้พระที่หลวงปู่หลาสร้างขึ้น มีความดิบๆ อันเป็นเสน่ห์และอัตลักษณ์เฉพาะตัวครับ
    ซึ่งประเด็นดิบๆ แบบนี้แหละที่พวกเราเห็นตรงกันว่า มีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่าพระที่สร้างออกมาแบบสมัยใหม่ที่เน้นความสวยงามเลยเชียว ถ้าจะเทียบกันแบบหมัดต่อหมัด ผมว่าพระของหลวงปู่หลากินขาด โดยเฉพาะพระเนื้อผงพิมพ์รูปเหมือนหลวงปู่หลา ซึ่งหลวงพ่อตี๋บอกว่าหลวงปู่หลานำดินศักดิ์สิทธิ์มาผสมในอัตราหนึ่งถ้วยน้ำชาต่อหนึ่งครกตำเลยทีเดียว
    สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจจะทำบุญบูชาพระพิมพ์นี้ ต้องสังเกตุตรงที่ว่าถ้าเป็นเนื้อออกสีน้ำตาล ซึ่งมีแก่นไม้มะขามผสม จะเป็นการกดพิมพ์โดยหลวงปู่หลา แต่ถ้าเป็นแบบเนื้อสีขาวๆ นวลๆ ทั้งมีตะกรุดและไม่มีตะกรุด จะเป็นส่วนที่หลวงพ่อตี๋ได้ช่วยหลวงปู่หลากดพิมพ์ครับ พระทั้งสองเนื้อนี้ถูกจัดสร้างมาเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งหลวงปู่หลาได้นำพระทั้งสองแบบนี้เข้าไปปลุกเสกแบบบินเดี่ยวภายในกุฏิของท่านจนท่านมรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗

    ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า เพราะอะไรพระที่หลวงปู่หลาสร้างขึ้นก็มีประสบการณ์มากมาย แต่ทำไมบางพิมพ์ถึงยังเหลือตกค้างอยู่ที่วัด

    แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ปี 2557 ไม่มีวัตถุมงคลของท่านตกค้างอยู่แล้วนะครับ
    http://www.oknation.net/blog/sitthi/2010/05/05/entry-1
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่หลาฝังตะกรุด

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย
     
  18. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343

    หลวงพ่อเอียด อินทวังโส วัดไผ่ล้อม พระนครศรีอยุธยา – “หลวงพ่อเอียด อินทวังโส” หรือ “พระสุนทรธรรมานุวัตร” อดีต เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดพระนคร ศรีอยุธยา พระเกจิที่มากด้วยพุทธาคมอีกรูป งานพุทธาภิเษกที่แห่งใด ต้องมีชื่อไปร่วมแทบจะทุกงาน
    มีนามเดิมว่า ละเอียด พูลพร มีภูมิลำเนาเดิมที่ ต.สะพานไทย อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 ก.พ.2471 ที่บ้านเลขที่ 5 ต.สะพานไทย อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา

    ในวัยเด็กมีความขยันขันแข็ง ชอบที่จะเข้าวัดเพื่อคุยกับพระเณร และยังเป็นเด็กที่ชอบอ่านเขียนหนังสือจึงได้เรียนหนังสือจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

    ต่อมาบวชเป็นสามเณร ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ที่วัดไผ่ล้อม จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่กับหลวงพ่อแจ่ม ที่มีศักดิ์เป็นลุง และเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อขันอินทปัญโญ วัดนกกระจาบ ซึ่งเป็นวัดอยู่ใกล้กัน

    จึงได้นำไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อขัน เรียนวิทยาคม เขียนอักขระลงยันต์ต่างๆ จนมีความเชี่ยวชาญ

    ศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยความขยันหมั่นเพียร พ.ศ. 2487 สอบได้นักธรรมชั้นตรี สอบได้นักธรรมชั้นโท อีกทั้งยังสามารถท่องพระปาฏิโมกข์ได้ขณะเป็นสามเณร

    นอกจากนี้ ยังเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อสังข์ บุญญศิริ วัดน้ำเต้า
    อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ก.ค.2491 ที่พัทธสีมาวัดไผ่ล้อม มีพระครูสุนทรวิหารกิจ (หลวงพ่อตุ้ม จันทร์โชติ) วัดจันทาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถนอม วัดใหม่กบเจา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูสาธรนวกิจ วัดบางบาล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    อยู่จำพรรษาปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของพระอุปัชฌาย์ ศึกษาพระธรรมวินัยและสอบนักธรรมชั้นเอกได้ในพรรษาที่ 3 เมื่อปีพ.ศ. 2493 พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นพระครูสอนพระปริยัติธรรม อีกครั้งยังดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสไผ่ล้อม

    พ.ศ.2497 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสจวบจนปัจจุบัน
    ลำดับงานปกครองพ.ศ. 2511 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอบางบาล พ.ศ. 2512 เป็นพระอุปัชฌาย์พ.ศ. 2519 เป็นเจ้าคณะตำบลบางบาล พ.ศ. 2545 เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. 2551 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    ลำดับสมณศักดิ์พ.ศ. 2510 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูสุนทรยติกิจ พ.ศ. 2511 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม พ.ศ. 2526 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิมพ.ศ. 2533 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนามเดิมพ.ศ. 2546 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระสุนทรธรรมานุวัตร

    ปฏิบัติงานในหน้าที่ เดินทางไปตรวจเยี่ยมวัดเขตปกครองทุกวัดตามแต่โอกาสอำนวย ทั้งการตรวจเยี่ยม โดยตรงและเดินทางไปทำพิธีกรรมและอุปสมบทในฐานะพระอุปัชฌาย์

    อีกทั้งหลวงพ่อเอียดยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาด้านการศึกษาให้มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าทัดเทียม ด้วยการส่งเสริมพระภิกษุสามเณรให้ศึกษาพระปริยัติธรรม และแผนกนักธรรมให้มากขึ้นด้วย พร้อมกับพัฒนาโรงเรียนวัดไผ่ล้อมให้เป็นสถานศึกษาระดับประถมศึกษาที่น่าศึกษาหาความรู้ สนับสนุนการศึกษาของนักเรียนด้วยปัจจัย 4

    ด้านการสร้างพระเครื่อง-วัตถุมงคล หลวงพ่อเอียดได้เริ่มสร้างวัตถุเป็นครั้งแรกเมื่อท่านอายุได้ 43 ปี ล้วนแต่ได้ความนิยม อาทิ ตะกรุดโทนเนื้อเงินแหวนกำไลเงิน สีผึ้ง ผ้ายันต์ ฯลฯ

    แต่ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง คือ หลังพระหลังไผ่พ.ศ. 2513

    ด้วยสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง สุขภาพของหลวงพ่อเอียดไม่แข็งแรงนัก มีอาการอาพาธ ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ คณะศิษย์ผู้ใกล้ชิดจัดให้มีเจ้าหน้าที่พยาบาลดูแลอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด

    กระทั่งเวลา 21.52 น. วันที่ 29 ม.ค.2558 หลวงพ่อเอียดหมดสติลง คณะแพทย์และเจ้าหน้าที่พยาบาลปั๊มหัวใจช่วยยื้อชีวิตอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่อาจยื้อชีวิตเอาไว้ได้ มรณภาพอย่างสงบสิริอายุ 87 ปี พรรษา 65
    https://www.khaosod.co.th/newspaper-
    column/amulets/news_2913916
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 150 บาทครับค่าจัดส่ง30บาทระบบflashหรือJ&Tและ 50บาทemsไปรษณีย์ไทย(ปิดรายการ)

     
  19. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343

    หลวงพ่อสุวรรณ ธีรสัทโธ" แห่งวัดยาง ต.ห้วยไผ่ อ.แสวงหา จ.อ่างทอง พระเกจิอาจารย์เจ้าตำรับตะกรุดโทน ได้รับการยกย่องว่าเป็นเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า เอกอุด้านวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

    ได้รับสมญานามจากคณะศิษยานุศิษย์ที่เลื่อมใสศรัทธาว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งแดนวีรชนใจกล้า"

    อัตโนประวัติ เกิดในสกุล บัวสรวง เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2487 ที่บ้านทับยา ต.บ้านไร่ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายอินและนางก้อย บัวสรวง ประกอบอาชีพกสิกรรมและค้าขาย

    ในช่วงวัยเยาว์ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดบ้านไร่ ก่อนลาออกมาช่วยครอบครัวหาเลี้ยงชีพ

    ย่างเข้าวัยหนุ่ม ได้ประกอบอาชีพเป็นตัวแทนขายเคมีภัณฑ์ตามที่ญาติแนะนำ
    กระทั่งอายุ 42 ปี เกิดความเบื่อหน่ายทางโลกและต้องการบวชทดแทนคุณบุพการี จึงเข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดคำหยาด อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง โดยมีพระครูเกษมจริยคุณ เจ้าคณะอำเภอเมืองอ่างทอง เจ้าอาวาสวัดไทรย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูโฆสิษโชติคุณ เจ้าอาวาสวัดคำหยาด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดบุญยัง เขมปัญโญ วัดขุนอินทประมูล เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    เมื่ออุปสมบท ได้อยู่จำพรรษาที่วัดคำหยาด สามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และออกท่องธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศ ครั้งหนึ่งมีโอกาสไปพำนักที่วัดพรหมประกาสิต (ถ้ำสามพี่น้อง) ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ปฏิบัติกัมมัฏฐานบำเพ็ญเพียร

    เมื่อปฏิบัติธรรมสมหวัง จึงเดินทางมาจำพรรษาที่วัดคำหยาด ศึกษาร่ำเรียนสรรพวิทยาคมสายหลวงพ่อแป้น วัดบ้านไร่,หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี พระเกจิดัง ได้ถ่ายทอดวิชาให้อย่างครบถ้วน

    พ.ศ.2535 คณะสงฆ์จังหวัดอ่างทอง ได้มอบหมายให้ท่านบูรณปฏิสังขรณ์วัดยาง ต.ห้วยไผ่ อ.แสวงหา จ.อ่างทอง ตั้งอยู่ริมคลองห้วยไผ่ฝั่งตรงข้ามวัดโพธิ์เก้าต้น และอนุสรณ์สถานค่ายบางระจัน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี

    วัดยางถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่สมัยศึกบางระจัน เสนาสนะที่หลงเหลือมีเพียงวิหารฐานอ่อนโค้งอยู่ในสภาพปรักหักพัง ไม่มีหลังคา

    หลวงพ่อสุวรรณ ได้จัดสร้างตะกรุดเมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพัน เพื่อให้บูชารวบรวมจตุปัจจัย จนสามารถก่อสร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ เมรุ กุฏิสงฆ์ หอสวดมนต์ อนุสรณ์สถานวีรชนไทยใจกล้า เป็นต้น

    หลวงพ่อสุวรรณ เป็นที่ยอมรับและศรัทธาของคณะศิษยานุศิษย์ เชื่อกันว่าท่านมีคาถาอาคมทรงพุทธคุณครอบจักรวาล โดยเฉพาะด้านเมตตามหานิยม และด้านมหาอำนาจปกป้องผองภัยสารพัด
    วัตถุมงคลของท่าน ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากประชาชน เนื่องจากมีพุทธคุณครอบจักร วาล โดดเด่นหลายด้าน ที่ได้รับความนิยม คือตะกรุดที่ปรากฏปาฏิหาริย์แก่ผู้บูชา เอกลักษณ์เฉพาะสร้างตามตำราพิชัยสงคราม ยันต์จารมือธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ (นะ มะ พะ ทะ) และยันต์ถอด (ทะ พะ มะ นะ) จึงเท่ากับ 16 ตาราง คือ ยันต์พระเจ้า 16 พระองค์

    มียันต์อัครสาวกซ้ายขวา (ซ้าย อุมิ อะมิ) (ขวา นะมะ นะอา) และยันต์ถอด รวมทั้งยันต์แคล้วคลาด (สะ รา คา มิ) และยันต์ถอด จึงเป็นเจ้าตำรับตะกรุดโทนแห่งยุค

    นอกจากนี้ วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมยังมีเหรียญเสมา เหรียญมหาบารมี รูปหล่อเหมือน

    หลวงพ่อสุวรรณ ย้ำอยู่เสมอว่า วัตถุมงคลทั้งหลายล้วนเข้มแข็งด้วยอำนาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
    การเข้ากราบไหว้ขอพรจากหลวงพ่อสุวรรณ ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันหมด ไม่มีผู้ใดกีดกัน และท่านมักจะนำวิชาความรู้ด้านวิทยาคมเป็น กุศโลบายในการอบรมสั่งสอนศีลธรรมแก่ประชา ชนทั่วไป โดยให้ยึดหลักธรรมคำสั่งสอนตามแนว ทางพระพุทธศาสนา

    เป็นวิถีสำคัญในการประพฤติปฏิบัติตน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อสุวรรณวัดยางอ่างทองสภาพสวยเดิมให้บูชา 600 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทระบบflashหรือ j&t หรือ kerry
     
  20. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,781
    ค่าพลัง:
    +21,343

    วัดจันทร์เจริญสุข ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง หมู่ที่ 10 ตำบลบ้านปรก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นวัดเก่าวัดหนึ่ง ที่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างมาแต่สมัยใด “วัดจันทร์เจริญสุข” เจริญรุ่งเรืองมากในยุคสมัยก่อน มีพระสงฆ์ จำพรรษาประมาณ 100 รูป เป็นแหล่งศึกษาอักขระสมัย มีกุฏิหลายหลัง แบ่งเป็นหลายคณะการปกครอง ภายหลังชำรุดผุพังไปตามสภาพกาลเวลาพระอธิการเขียน พระอธิการสวาท พระแจ้ง พระใจ พระครูเหว่า พระอธิการผึ่งพระครูแหร่ม พระรอด พระครูสมุทรมงคล (สาย สุมงฺคโล) พระครูสมุทรนวการ (สวัสดิ์ อภิสมาจาโร) ย้ายมาจากวัดขันแตก เมื่อปี พ.ศ.2518 และเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน พระครูรัตนปัญญาโสภณ (โชคชัย ธฺมมทฺธโช) ด้านการศึกษา พระครูสมุทรมงคล (หลวงปู่สาย) ได้ริเริ่มเปิด “โรงเรียนประชาบาล” ขึ้นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2483 โดยอาศัยศาลาต่างๆ ภายในวัดเป็นที่เรียน ต่อมาสร้างเป็นอาคารถาวร 1 หลัง ปัจจุบันย้ายอาคารเรียนมาปลูกในที่ใหม่มีอาคาร 2 หลัง มีโรงฝึกงาน โรงอาหาร มีสนามกว้างขวาง มีนักเรียนมาก ปัจจุบันมีครู 13 คน
    ประวัติความเป็นมาของ “พระครูสมุทรมงคล (หลวงปู่สาย สุมงฺคโล เอี่ยมสะอาด) หลวงปู่สาย ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 8 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2452 ที่บ้านฝั่งตรงข้ามวัดจุฬามณี อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวน 5 คน ของพ่อสังข์ แม่คุ้ม เอี่ยมสะอาด เมื่อเยาว์บิดามารดา ส่งไปศึกษาอยู่กับพระที่ “วัดธรรมนิมิต” เรียนต่อที่ “วัดนางวัง” ใกล้บ้านจนจบการศึกษาในสมัยนั้น แล้วกลับไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพ พออายุได้ 20 ปี ในปี พ.ศ.2472 บิดามารดาและญาติจัดให้อุปสมบท ณ พัทธสีมา “วัดบางกะพ้อม” อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมี “ท่านเจ้าอธิการคง ธมฺมโชโต” วัดบางกะพ้อม เป็นพระอุปัชฌาย์ “ท่านพระอธิการแช่ม โสฬะสะ” วัดจุฬามณี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ “พระอาจารย์เกิด” วัดบางกะพ้อม เป็นอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยอยู่ที่วัดบางกะพ้อม จนสามารถสอบนักธรรม ตรี โท เอก ได้ตามลำดับ จนได้เป็นครูสอนนักธรรมอยู่ที่วัดบางกะพ้อม และสอนนักเรียนประถมที่วัดนางวังเป็นครั้งคราว ได้ทำหน้าที่เป็นเลขา ช่วยเหลือ “หลวงพ่อคง” เพราะสมัยนั้น “หลวงพ่อคง” ท่านเป็นเจ้าคณะตำบล ปกครองวัดต่างๆ ตลอดทั้งช่วยหลวงพ่อ ปกครองดูแลพระสงฆ์ภายในวัด/font>
    นอกจากนั้นหลวงพ่อสาย ยังใช้เวลาว่าง ศึกษาเล่าเรียนหนังสือขอม เรียนมูลกัจจายน์ ฝึกหัดปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน ตลอดจนศึกษาอาคมต่างๆจากหลวงพ่อคงเป็นเวลานานหลายปี และในการสร้าง “เหรียญรูปหลวงพ่อคง” หลวงพ่อสายมีส่วนร่วมในการสร้างด้วย วัดจันทร์เจริญสุข ได้ว่างเจ้าอาวาสลง ชาวบ้านจึงพร้อมกันไปหา “หลวงพ่อคง” มาขอ “หลวงพ่อสาย” มาเป็นเจ้าอาวาส วัดจันทร์เจริญสุข เมื่อหลวงพ่อคงอนุญาตแล้ว ชาวบ้านย่านวัดจันทร์เจริญสุข จึงแห่หลวงพ่อสายมาเป็นเจ้าอาวาส และได้รับแต่งตั้งเป็นพระใบฎีกา ฐานานุกรมของ “ท่านพระครูธรรมวิถีสถิติ์” เจ้าคณะอำเภอเมืองสมุทรสงคราม เมื่อปี พ.ศ.2496 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลบ้านปรก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม เมื่อปี พ.ศ.2501 ได้รับการแต่งตั้ง เป็นพระอุปัชฌาย์ และเลื่อนจากพระใบฎีกา เป็นพระครูใบฎีกา ฐานานุกรม ในตำแหน่งของท่านเจ้าคุณพระเทพเมธี วันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2502 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สัญญาบัตรเป็น พระครูสมุทรมงคล พ.ศ.2518 จัดงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต อุโบสถวัดจันทร์เจริญสุข ในช่วงก่อนงานปิดทองฝังลูกนิมิต คือ พ.ศ.2517 ได้ป่วยหลายโรคและไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ้าง กลับมารักษาเองที่วัดบ้าง ภายหลังจากการจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิตอุโบสถหลังที่ได้ตรากตรำก่อสร้างมาเป็นเวลาหลายปี เป็นผลสำเร็จแล้ว ไม่นานนักท่านก็ล้มป่วยลงอีก อาการทรุดลงเรื่อยๆจนในที่สุด หลวงพ่อสาย ก็ถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2518 สิริอายุรวมได้ 67 ปี พรรษา 45

    เหรียญหลวงพ่อสาย วัดจันทร์เจริญสุข จ.สมุทรสงคราม ปี 2517 รุ่น3เนื้อทองแดงรมดำทันหลวงพ่อครับ ตามสภาพ
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง 30 บาท flash หรือ j&t
     

แชร์หน้านี้