https://palungjit.org/threads/หลวงพ่อสิงห์-วัดไผ่เหลือง-ดูหมอครั้งละ-แสน-แม่นจริงหรือ.37194/
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระผงสุพรรณรุ่น 1 หลวงพ่อเส็งวัดไผ่เหลืองให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
ปรกโพธิ์ชนะมารกองทุนหลวงพ่อปานพระผงหลวงปู่บุญวัดบ้านนาระยอง พระปิดตาลป.เจียง เนินหย่องระยอง.
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.
หน้า 61 ของ 105
-
-
จัดสร้างโดย จอมพลประภาส จารุเสถียร สมัยนั้นดำรงตำแหน่ง รมต.มหาดไทย เป็นประธานในการสร้างใน ปี พ.ศ.2515 จำนวนการสร้างประมาณ 3,0000 องค์ สร้างจากเนื้อเก่าพระกรุวัดสามปลื้มที่แตกหักจากการกรุ และผงอิทธิเจ มวลสารศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย ผ่านพิธีปลุกเสกโดย หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และพระเกจิอาจารย์ อีกหลายรูป จุดสังเกต ของพระชุดนี้คือ จะมีสิงห์ประทับอยู่ที่ด้านหลังขององค์พระ เหตุอันเนื่องมาจากเพื่อเป็นการให้เกียรติ เจ้าพระยาบดินเดชา สิงห์ สิงหเสนี เป็นแม่ทัพใหญ่ในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้บูรณะพระอาราม มีศาลท่านอยู่ในเขตพุทธาวาส ใกล้บ่อจรเข้ของวัด และยังเป็นการสื่อถึงสัญญาลักษณ์ของกระทรวงมหาดไทยด้วย พุทธคุณ ดีทางเมตตามหานิยม ดีทางมหาอุตม์เเละเหนียว เคยมีตำรวจลองยิงที่หลังโรงพักเมืองสาด้วย .38 ปรากฏว่ายิงไม่ออก พระชุดนี้จอมพลประภาสเป็นผู้จัดสร้างขึ้น โดยมีพิธีพุทธาภิเษกใหญ่โตสมเกียรติ ส่วนหนึ่งท่านแจกแก่ทหาร โดยจอมพลประภาสได้กล่าวกับเหล่าทหารว่า
" พวกเอ็งมันเล่นพระไม่เป็น พร้อมชูพระชุดนี้ขึ้น แล้วพูดต่อไปว่า ของดีจริงต้ององค์นี้
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
เนื้อผงใบลานให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
โอนแล้วครับ 20/02/67 จำนวน 280 บ.เวลา 11.02 น.จัดส่งที่เดิมครับ
-
พระญาณรังษี เป็นผู้สืบทอดสายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามแนวของ สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร
(สุก ไก่เถื่อน) จากพระครูสังวร สมาธิวัตร(หลวงปู่แป๊ะ) จนมีความเชี่ยวชาญและได้เป็นอาจารย์ อบรมวิปัสสนา
กัมมัฏฐานแก่ศิษยานุศิษย์ จนท่านได้ฉายา หลวงพ่อตาทิพย์ เนื่องจากท่านสามารถนั่งสมาธิ หยั่งรู้ถึงเหตุการณ์
ในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ได้ ทำให้มีศรัทธาจากญาติโยมทั่วสารทิศ มาขอให้ ท่านช่วยตรวจดูความเป็นไปที่เกิดขึ้น
ใน อดีต อนาคต ปัจจุบัน เพื่อการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมปฏิปทาของท่านเป็นที่น่าเลื่อมใส
ศรัธทาแก่ญาติโยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากท่านมีความเมตตาอย่างสูง
พระญาณรังษี ( จวบ สุภัทโท ) ฉายา สุภัทโท อายุ 92 พรรษา วิทยาฐานะ นักธรรมชั้นเอก วัดราชสิทธาราม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ดำรงตำแหน่ง รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ปัจจุบันท่านได้ถึงแก่มรณภาพ เมื่อเช้าวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2550 เมื่อเวลา04.04น. ที่โรงพยาบาลธนบุรี ด้วยโรคชราภาพ สิริรวม อายุ 94 ปี 73 พรรษา
สถานะเดิม ชื่อ จวบ นามสกุล เกิดมงคล เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2456 ปีฉลู บิดาชื่อ ท่านขุนมัธยมกิจ เกิดมงคล(ขำ) มารดาชื่อ นางแย้ม เกิดมลคล อาศัยอยู่ หมู่ที่ 1 ต.ดอนตะหนิน อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่ธุระกันดารในสมัยนั้น บิดาท่านประกอบอาชีพ รับราชการเป็นนายอำเภอหลายแห่ง ซึ่งท่านได้สร้างประโยชน์แก่ทางราชการเป็นอย่างมาก ได้ย้ายไปประจำในหลายจังหวัด ส่วน มารดาท่านประกอบอาชีพ ทำนา ซึ่งหลวงปู่ได้อาศัยป้าและญาติพี่น้องดูแลเลี้ยงดู จนเติบโต และได้รับการศึกษาชั้นประถมศึกษา โรงเรียนเดิม ใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ต่อมาท่านได้ย้ายตามบิดาไปหลายแห่ง
บรรพชา เมื่อท่านมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2477 ณ วัดบ้านเสมาใหญ่ ต.ดอนตะเนิน อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา โดยมีพระครูจันทร สรคุณ (หลวงปู่เสี่ยง) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นได้ อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในวันเดียวกัน
เหตุแห่งการบวชตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดแห่งธรรม เหตุที่ท่านได้อุปสมบท เพื่อต้องการทดแทนพระคุณบิดา มารดา เมื่อย่างเข้าอายุ 20 ปี จึงได้อุปสมบทให้กับบิดาและมาราดา หลังจากนั้นในพรรษาแรกท่านได้ไปจำพรรษา ณ วัดบ้านทองหลางน้อย อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา และได้ศึกษาเล่าเรียนพระกัมมัฏฐาน จากนั้นได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่แจ้ง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น มีวาจาสิทธิ์และมีญาณหยั่งรู้ และได้เป็นสัทธรรมมิกกับพระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเป็นเพื่อนทางธรรมกัน ในพรรษาแรกหลวงปู่แจ้งได้เรียกพระสงฆ์เข้าไปพบหลายองค์ ได้ให้เข้าแถว หลวงปู่แจ้งได้ชี้บอก "รูปนี้สึก รูปนี้สึก รูปนี้สึก องค์นี้สึก" พอชี้มาที่หลวงปู่จวบ หลวงปู่แจ้ง ท่านพูดว่า "องค์นี้ไม่ศึก" หลวงปู่จวบท่านคิดในใจว่าอยากลาสึก ท่านแปลกใจว่าทำไมหลวงปู่แจ้งถึงบอกว่า ไม่สึก ดังนั้นหลวงปู่จวบจึงได้กลับมาคิดใคร่ครวญถึงคำพูดของพระอาจารย์แจ้ง หลังนั้นจากอีก 3 วันต่อมา ท่านได้เรียกหลวงปู่จวบเข้าไปพบเพราะว่ามีศพผู้หญิงตายมาได้ 2 วัน ตั้งศพไว้ที่ศาลา หลวงปู่จวบได้เข้าไปที่ศาลา ในใจของท่านเกิดความกลัวเพราะไม่เคยเห็น อีกใจนึงก็เกรงใจท่านพระอาจารย์แจ้ง จึงขึ้นไปที่ศาลา เพื่อพิจารณาซากอสุภะ เมื่อเห็นแล้วได้พิจารณาจนเกิดความสังเวชขึ้นในใจและได้พิจารณาซากศพที่ศาลาเป็นเวลาหนึ่งคืน เพราะหลวงปู่แจ้งไม่ให้ท่านลงจากศาลา หลังจากออกพรรษา พระสงฆ์ในรุ่นราวคราวเดียวกันได้ทยอยลาสึก เป็นไปตามลำดับ ตามคำที่หลวงปู่แจ้งได้บอกอย่างไม่น่าเชื่อ จึงทำให้หลวงปู่เกิดความประหลาดใจ หลังจากนั้นหลวงปู่จวบจึงยังไม่ตัดสินใจที่จะลาสิกขาในพรรษานั้น จนท่านได้ศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์แจ้ง และประพฤติปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ให้การช่วยเหลือกิจการของสงฆ์ พร้อมอุปัฏฐากรับใช้พระอาจารย์แจ้งเป็นเวลา 6 พรรษา หลังจากนั้นท่านได้ขอลาหลวงปู่แจ้ง เพื่อไปธุดงค์และแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ท่านได้เริ่มออกเดินธุดงค์จาก จ.นครราชสีมา ผ่านป่าดงพญาเย็น ซึ่งเป็นปารกชัดและน่ากลัวเป็นยิ่งนัก หลวงปู่มีความองอาจ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มักน้อย สันโดด ได้ธุดงค์ผ่าน อ.ปากช่อง ใช้เวลาเดินธุดงค์เป็นเวลานาน ท่านมุ่งหน้ามาที่กรุงเทพมหานครฯ พอเดินทางมาถึง อ.ปากช่อง ท่านเข้าใจว่าได้มาถึง จ.อยุธยาแล้ว เพราะหนทางลำบากธุระกันดารมาก แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อต่อหนทางที่ลำบาก จากนั้นได้สอบถามเส้นทางจากชาวบ้าน เพื่อมุ่งหน้าออกเดินทางไปที่สำนัก วัดพลับ กทม. ซึ่งท่านได้ยินชื่อเสียงและคำบอกกล่าวจากพระอาจารย์แจ้ง ว่าเป็นสำนักที่ปฏิบัติเคร่งครัด น่าเลื่อมใสศรัทธา และมีอาจารย์ผู้สอนวิชาชั้นสูง (สำนักวัดพลับในสมัยนั้นเป็นดินลูกลัง มีต้นไม้ลังใหญ่คู่หนึ่ง และต้นไม้อีกจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้เจริญอย่างปัจจุบันนี้) เมื่อท่านได้เดินทางมาถึง สำนักวัดพลับ ได้พักพำนักในบริเวณสำนักวัดพลับ และได้เข้าไปติดต่อขอพำนักและศึกษาเล่าเรียน ได้มาขอพำนักอาศัยกับพระเลขาที่มีหน้าที่ผู้ดูแลพระสงฆ์ เข้าออกภายในวัด พระเลขาเห็นว่าหลวงปู่เป็นพระต่างจังหวัดจึงไม่รับท่านเข้ามาพำนักอาศัย หลวงปู่จวบจึงเกิดความท้อใจ ท่านจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน "ข้าพเจ้าตั้งใจมาประพฤติปฏิบัติและศึกษาเล่าเรียนอย่างเคร่งครัด ณ สำนักวัดพลับแห่งนี้ ขอให้มีผู้ช่วยเหลือ ให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จตามความประสงค์" หลังจากต่อมานั้นอีก 3 วัน ได้เกิดเหตุการณ์ปาฏิหารย์ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ หลวงปู่จวบได้พบกับเจ้าอาวาส พระอาจารย์สังวรานุวงศ์เถระ (พระอาจารย์ สอน) โดยความบังเอิญ เมื่อท่านพระอาจารย์สอนได้เห็นและได้พูดคุยกับหลวงปู่จวบ ท่านได้ให้ความเมตตากับหลวงปู่จวบ จึงได้เป็นผู้รับรอง กับพระเลขาที่ท่านได้หมอบหมายให้ดูแล ท่านได้ให้การรับรองหลวงปู่จวบพำนักอาศัย ณ สำนักวัดพลับแห่งนี้ และหลวงปู่ได้ศึกษาเล่าเรียนในสำนักวัดพลับ ระยะเวลาหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์สอน ได้ฝากหลวงปู่จวบให้เป็นศิษย์ของพระครูสมาธิวัตร (พระอาจารย์ แป้ะ) และได้ให้อาจารย์แป้ะ เป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอน ทางด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน จากนั้นหลวงปู่จวบได้ศึกษานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ควบคู่กันไป กับการเรียนพระกัมมัฏฐาน หลวงปู่ได้ศึกษานักธรรมจาก สำนักวัดอรุณราชวราราม กทม. เมื่อหลวงปู่จวบศึกษานักธรรมชั้นเอกสำเร็จ หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ตั้งใจปฏิบัติตน และฝึกสมถะกัมมัฏฐาน อย่างจริงจัง ตั้งแต่บัดนั้นมา
ในปี พ.ศ.2485 เป็นต้นมาหลวงปู่จวบได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์กับพระครูสมาธิวัตร (อาจารย์ แป้ะ) ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนากัมฏฐาน ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น (พระครูสมาธิวัตร ท่านได้รับพระราชทาน พัดยศงา ที่ทำจากงาช้างสาร จากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 9) เป็นพระสงฆ์ที่มีคุณธรรมน่าเลื่อมใสศรัทธาในสำนักวัดพลับ ท่านพระอาจารย์แป้ะ เป็นพระที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์และมีญาณหยั่งรู้ ในอดีต อนาคต ปัจจบัน และ สามารถรู้ความคิดของบุคคลได้ หลวงปู่จวบได้เล่าให้ฟังว่าในสมัยนั้นมีพระสงฆ์ได้มาศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์แป้ะเป็นจำนวนมาก ท่านพระอาจารย์แป้ะ ได้ตรวจดูจริตนิสัยของพระสงฆ์แต่ละรูปที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ ได้ให้พระกรรมฐาน ซึ่งแตกต่างกันตามจริตนิสัยของลูกศิษย์แต่ละรูป จึงให้หลวงปู่จวบปฏิบัติพระกรรมฐานแนวสมถะกัมมัฏฐาน โดยใช้คำภาวนาบริกรรมว่า "พุธโธ" หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ ฝึกฝนจนชำนาญ จนเกิด ปิติ ทั้ง 5 เป็นลำดับขั้น (จะกล่าวอย่างละเอียดในวิธีปฏิบัติ) จนจิตได้เข้าถึงจตุรฌาณและได้วสีทั้ง 5 จนเป็นผู้ชำนาญในการเข้าออกฌาณ และพระอาจารย์แป้ะได้สอนวิธีการเพ่งกสิณ หลวงปู่ได้ ฝึกฝนกสิณทั้ง 10 กอง ในเหตุการณ์ครั้งนั้น หลวงปู่ได้เล่าว่า ท่านได้ทดสอบกสิณไฟ ที่ได้ฝึกฝนมา ในขณะนั้นมีพระสงฆ์รูปหนึ่งในสำนักที่ไม่ชอบจริตนิสัยกันได้พูดจาดูถูกตำหนิท่าน หลวงปู่จวบจึงได้ทดสอบกสิณไฟ กำหนดเพ่งไปที่ก้นของพระสงฆ์รูปนั้น ปรากฏว่าพระสงฆ์รูปนั้นเอะอะโวยวายร้องลั่นกุฏิที่พัก ว่า " ใครทำกู " หลวงปู่จวบแอบยิ้มชอบใจ ในวันต่อมาช่วงเช้า หลังฉันภัตตาหารเสร็จ พระอาจารย์แป้ะ ได้เรียกหลวงปู่จวบเข้าไปพบตักเตือน โดยท่านพระอาจารย์แป้ะ บอกว่า "ที่ได้เพ่งกสิณไฟเมื่อคืน อย่าได้ทำอีก มันเป็นบาป" จึงทำให้หลวงปู่จวบตกใจกลัวในพระอาจารย์ ว่ารู้ได้อย่างไร หลังจากนั้นหลวงปู่ได้เชื่อฟังและปฏิบัติตามจนสำเร็จวิชากสิญทั้ง 10 กอง ในระยะเวลาไม่นาน หลวงปู่ได้นั้งพระกรรมฐานที่กุฏิวิปัสสนากรรมฐานที่รายรอบพระอุโบสถ ซึ่งเป็นกุฏิสำหรับพระสงฆ์ใช้ปฏิบัติพระกรรมฐาน หลังละ 1 รูป ในแต่ละวันจะมีพระสงฆ์เข้าปฏิบัติในกุฏิทั้งหลายนี้ หลังฉันภัตตาหารเช้าและทำภาระกิจส่วนตัวเสร็จหลวงปู่จวบจะเข้าไปนั่งปฏิบัติพระกรรมฐานในกุฏิแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน ในช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นในประเทศไทย ในเขตธนบุรี ในใจหนึ่งก็กลัวระเบิดจะทิ้งลง แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ ทางราชการได้เกณฑ์ผู้คนให้หลบหนี และส่งสัญญาณเตือนภัย เมื่อสัญญาณเตือนแต่ละครั้งดังขึ้น ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน วิ่งหนีเพื่อเข้าหลุมหลบภัยที่ทางการจัดไว้ หลวงปู่ใช้กุฏินั่งกรรมฐานเป็นที่หลบภัย "ในใจก็บริกรรมภาวนา พุธโธ" ท่านขอให้บารมีคุณพระช่วยปกปักรักษาคุ้มครองอย่าได้มีภัยเกิดขึ้นในสำนักวัดพลับแห่งนี้ เมื่อเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นติดต่อกันหลายปี ทางการเห็นว่าไม่ปลอดภัยในบางช่วง ได้เตือนให้ประชายนในเขตใกล้เคียง ในเขต ธนบุรี ลี้ภัยไปในจังหวัดอื่น หลวงปู่จวบจึงได้ลี้ภัยไปใน จ.อยุธยา ก็เป็นโอกาศดีที่ท่านได้ไปรู้จัก และศึกษาพูดคุยสนทนาธรรม กับหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จึงได้ข้อธรรมชั้นสูง และหลวงปู่บุดดาได้รับรองหลวงปู่จวบว่าเป็นพระสงฆ์ที่มีคุณธรรมสูงอีกองค์หนึ่งในกรุงเทพมหานครฯ ต่อมาหลวงปู่ทั้ง 2 องค์ ได้เป็นสหธรรมมิกซึ่งกันและกัน โดยหลวงปู่บุดดา ได้มีอายุพรรษามากว่า หลวงปู่จวบถึง 12 พรรษา แต่ทั้ง 2 ท่านก็ได้นับถือกันเป็นเพื่อน (เมื่อไหร่ที่หลวงปู่จวบได้มีโอกาสเดินทางผ่าน จ.อยุธยา หลวงปู่จวบมักจะแวะเวียนไปเยี่ยมหลวงปู่บุดดา และสนทนาธรรม กันบ่อยครั้งในช่วงบั้นปลายชีวิต) หลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลง หลวงปู่จวบได้กลับมาประพฤติปฏิบัติที่สำนักวัดพลับตามเดิม
ต่อมาในปี พ.ศ.2500 พระอาจารย์สอน เจ้าอาวาส องค์ที่ 17 สำนักวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) ได้ถึงกาลมรณะภาพลงด้วยโรคชราภาพ ท่านพระอาจารย์สอน ได้มอบภาระให้หลวงปู่เป็นผู้ดูแล พระอาจารย์แป้ะ ก็ชราภาพมากแล้ว หลวงปู่จวบได้อุปัฏฐากดูแลพระอาจารย์แป้ะ จนถึงวาระสุดท้าย และพระอาจารย์แป้ะได้ถึงกาลมรณะภาพลง ในปี พ.ศ.2502 หลังจากนั้นสำนักวัดพลับได้ ว่างเว้นเจ้าอาวาส ในสมัยนั้นพระสังฆาธิการได้เรียกหลวงปู่จวบเข้าไปพบหลายครั้ง เพื่อจะหมอบหมายแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสสำนักวัดพลับ แต่หลวงปู่ได้ให้การปฏิเสธพระสังฆาธิการทุกครั้ง หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังว่า " ถ้าท่านให้ผมเป็นเจ้าอาวาส ผมจะหนีเข้าป่า " เพราะหลวงปู่ได้ให้เวลาต่อการประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างมาก เกรงว่าถ้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งมีภาระหน้าที่มาก จะทำให้ไม่มีเวลาต่อการประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ท่านจึงไม่รับตำแหน่งเจ้าอาวาส เป็นเพียงผู้รักษาการเจ้าอาวาส หลังจากนั้นพระสังฆาธิการเห็นว่าสำนักวัดพลับ ว่างเว้นเจ้าอาวาสเป็นระยะเวลานานแล้ว จึงได้มีคำสั้งแต่งตั้งพระราชวิสุทธิญาณ (พระอาจารย์ อยู่) เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาส องค์ที่ 18 สำนักวัดพลับ และยังได้เมตตาหลวงปู่จวบ โดยแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส และเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น "พระครูวิจิตรวิหารวัตร"
ปฏิปทา หลังจากปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา หลวงปู่จวบจะโปรดญาติโยม และให้การช่วยเหลือศรัทธาญาติโยมจากทุกสารทิศที่ได้เดินทางมา เพราะท่านเป็นหมอยาแพทย์แผนไทย
ญาติโยมที่ป่วยไข้เป็นโรคต่างๆที่รักษาไม่หาย จะมาขอความช่วยเหลือจากหลวงปู่ และในบางครั้งมีญาติโยมที่ป่วยไข้อาการหนักมาพักรักษาตัว หลวงปู่ท่านไม่รังเกียจและให้การช่วยเหลือทันที โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ท่านยังคงทำวัตร สวดมนต์ เจริญจิตภาวนา เจริญพระกรรมฐาน เป็นประจำทุกวัน ในวันพระท่านจะลง อุโบสถเพื่อเทศน์โปรดญาติโยมเป็นประจำ และท่านยังเป็นอาจารย์ผู้มอบกัมมัฏฐานให้แก่ศิษยานุศิษย์ที่สนใจ มาประพฤติประฏิบัติ นำไปเป็นหลักเกณฑ์ตามแบบฉบับสำนักวัดพลับ (รายละเอียดขึ้นครูพระกรรมฐาน) จนเป็นที่เลื่องลือถึงความสามารถ ท่านได้ตรวจดูดวงชะตาในเหตุการณ์ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ที่ได้จากภาพนิมิตแต่ละเหตุการณ์มารวมกัน และทายผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้แก่ญาติโยม ที่ได้ญาณหยั่งรู้จากการฝึกฝนปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยทายผลได้อย่างแม่นยำ จนลูกศิยษ์และประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ ให้ขนานนามท่านว่า "หลวงพ่อตาทิพย์ หลวงปู่ตาทิพย์ " หลวงปู่ได้ให้การช่วยเหลือ ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั้งหลาย ให้ประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริต ทำให้ศิษยานุศิษย์และประชาชนมีความเจริญรุ่งเรื่อง ทางด้านตำแหน่งหน้าที่ การงาน ทางด้านอาชีพค้าขาย นักธุรกิจ นักการเมือง พ่อค้า ประชาชน และอีกหลายสาขาอาชีพ ท่านได้นำวิชาความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา เป็นประโยชน์ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั้งหลาย ปฏิปทาของท่านเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่ญาติโยมที่พบเห็น และได้อบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ของท่านให้เป็นผู้มีความเมตตาซึ่งกันและกัน ท่านได้ช่วยเหลือวัดว่าอารามเป็นจำนวนนวนมาก โดยเฉพาะวัดบ้านเกิดและใกล้เคียง ท่านเป็นพระสงฆ์ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีงาม มีคุณธรรมสูง ให้การช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยม มักน้อย สันโดด หายากที่จะมีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ ท่านได้สงเคราะห์ช่วยเหลือญาติโยมติดต่อกันเป็นเวลานาน ถึง 40 ปี จวบจนถึงกาลมรณะภาพ ด้วยโรคชรา ท่านมาคติธรรมที่น่าเลื่อมใสศรัทธาแก่ศิษยานุศิษย์ เป็นพระสงฆ์ผู้เปี่่ยมล้นด้วยความเมตตาแก่ชาวโลก ท่านพูดเสมอว่า " มีเมตตามากมาก ต้องมีขันติมากมาก " เป็นการบ่งบอกถึงยความอดทนและปฏิปทาที่น่าเลื่อมใสของท่าน ที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้า ท่านสละเวลาของท่านช่วยเหลือผู้คน ถึงแม้ว่าจะชราภาพลง หลวงปู่ก็ยังสงเคราะห์ญาติโยมตลอดเวลา
วัตถุมงคลและวิชาความรู้ต่างๆ หลวงปู่จวบ ได้ศึกษาวิชาอักขระขอมและเลขยันต์ การปลุกเสกอักขระเลขยันต์ จากเกจิอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน หลวงปู่ได้จัดทำวัตถุมงคล เช่น พระผงหมอดินยาใบโพธิ์ ตระกรุดกันภัย น้ำเต้ากันภัย น้ำเต้าเรียกเงินเรียกทอง ผ้ายันต์ เหรียญรูปหล่อ พระผงสมเด็จ พระผงพระร่วงเปิดโลก (พิมพ์แบบพระต่างๆ ที่หลวงปู่ได้อธิตฐานจิต ดูลายละเอียด) หมีดหมอ และน้ำพระพุทธมนต์ค้าขาย น้ำพระพุทธมนต์ปัดเป่ารักษาโรคภัย และยังได้ศึกษาศาสตร์วิชาแขนงต่างๆทางโหราศาสตร์ เช่น การตั้งชื่อ พิธีกรรมบวงสรวง สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา พิธีกรรมรับดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 เจิมรถยนต์ เจิมบ้านเรือน เสริมบารมีลงนะหน้าทอง นะมหานิยม นะเรียกเงินเรียกทอง จตุโรบังเกิดทรัพย์ ยันต์ตรีนิสิงเห การยกเสาเอกบ้านเรือนและบริษัทห้างร้าน การวางศิลาฤกษ์ การอธิษฐานจิตให้ค้าขายดี อธิษฐานจิตวัตถุมงคเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และอีกมามาย ซึ่งเป็นเมตตามหานิยมค้าขาย ร่ำรวยเงินทอง และทำให้ลาภผลทวีเพิ่มพูล สมบูรณ์พูนผล ทั้งทางโลกและทางธรรม จึงเป็นประโยชน์แก่ศิษยานุศิษย์และประชาชน
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
วัตถุมงคลท่าน คนไม่ค่อยรู้จักในวงกว้าง พระมหาเกระกลางกรุงอีกองค์
พระซุ้มกอพระพุทธชินราชหลวงปู่จวบวัดพลับให้บูชา ๒ องค์
บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
-
วันนี้จัดส่ง
ขอบคุณครับ -
พระญาณรังษี เป็นผู้สืบทอดสายวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามแนวของ สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร
(สุก ไก่เถื่อน) จากพระครูสังวร สมาธิวัตร(หลวงปู่แป๊ะ) จนมีความเชี่ยวชาญและได้เป็นอาจารย์ อบรมวิปัสสนา
กัมมัฏฐานแก่ศิษยานุศิษย์ จนท่านได้ฉายา หลวงพ่อตาทิพย์ เนื่องจากท่านสามารถนั่งสมาธิ หยั่งรู้ถึงเหตุการณ์
ในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ได้ ทำให้มีศรัทธาจากญาติโยมทั่วสารทิศ มาขอให้ ท่านช่วยตรวจดูความเป็นไปที่เกิดขึ้น
ใน อดีต อนาคต ปัจจุบัน เพื่อการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมปฏิปทาของท่านเป็นที่น่าเลื่อมใส
ศรัธทาแก่ญาติโยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากท่านมีความเมตตาอย่างสูง
พระญาณรังษี ( จวบ สุภัทโท ) ฉายา สุภัทโท อายุ 92 พรรษา วิทยาฐานะ นักธรรมชั้นเอก วัดราชสิทธาราม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ดำรงตำแหน่ง รองเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นเอก ปัจจุบันท่านได้ถึงแก่มรณภาพ เมื่อเช้าวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2550 เมื่อเวลา04.04น. ที่โรงพยาบาลธนบุรี ด้วยโรคชราภาพ สิริรวม อายุ 94 ปี 73 พรรษา
สถานะเดิม ชื่อ จวบ นามสกุล เกิดมงคล เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2456 ปีฉลู บิดาชื่อ ท่านขุนมัธยมกิจ เกิดมงคล(ขำ) มารดาชื่อ นางแย้ม เกิดมลคล อาศัยอยู่ หมู่ที่ 1 ต.ดอนตะหนิน อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่ธุระกันดารในสมัยนั้น บิดาท่านประกอบอาชีพ รับราชการเป็นนายอำเภอหลายแห่ง ซึ่งท่านได้สร้างประโยชน์แก่ทางราชการเป็นอย่างมาก ได้ย้ายไปประจำในหลายจังหวัด ส่วน มารดาท่านประกอบอาชีพ ทำนา ซึ่งหลวงปู่ได้อาศัยป้าและญาติพี่น้องดูแลเลี้ยงดู จนเติบโต และได้รับการศึกษาชั้นประถมศึกษา โรงเรียนเดิม ใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ต่อมาท่านได้ย้ายตามบิดาไปหลายแห่ง
บรรพชา เมื่อท่านมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2477 ณ วัดบ้านเสมาใหญ่ ต.ดอนตะเนิน อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา โดยมีพระครูจันทร สรคุณ (หลวงปู่เสี่ยง) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นได้ อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในวันเดียวกัน
เหตุแห่งการบวชตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดแห่งธรรม เหตุที่ท่านได้อุปสมบท เพื่อต้องการทดแทนพระคุณบิดา มารดา เมื่อย่างเข้าอายุ 20 ปี จึงได้อุปสมบทให้กับบิดาและมาราดา หลังจากนั้นในพรรษาแรกท่านได้ไปจำพรรษา ณ วัดบ้านทองหลางน้อย อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา และได้ศึกษาเล่าเรียนพระกัมมัฏฐาน จากนั้นได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่แจ้ง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น มีวาจาสิทธิ์และมีญาณหยั่งรู้ และได้เป็นสัทธรรมมิกกับพระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเป็นเพื่อนทางธรรมกัน ในพรรษาแรกหลวงปู่แจ้งได้เรียกพระสงฆ์เข้าไปพบหลายองค์ ได้ให้เข้าแถว หลวงปู่แจ้งได้ชี้บอก "รูปนี้สึก รูปนี้สึก รูปนี้สึก องค์นี้สึก" พอชี้มาที่หลวงปู่จวบ หลวงปู่แจ้ง ท่านพูดว่า "องค์นี้ไม่ศึก" หลวงปู่จวบท่านคิดในใจว่าอยากลาสึก ท่านแปลกใจว่าทำไมหลวงปู่แจ้งถึงบอกว่า ไม่สึก ดังนั้นหลวงปู่จวบจึงได้กลับมาคิดใคร่ครวญถึงคำพูดของพระอาจารย์แจ้ง หลังนั้นจากอีก 3 วันต่อมา ท่านได้เรียกหลวงปู่จวบเข้าไปพบเพราะว่ามีศพผู้หญิงตายมาได้ 2 วัน ตั้งศพไว้ที่ศาลา หลวงปู่จวบได้เข้าไปที่ศาลา ในใจของท่านเกิดความกลัวเพราะไม่เคยเห็น อีกใจนึงก็เกรงใจท่านพระอาจารย์แจ้ง จึงขึ้นไปที่ศาลา เพื่อพิจารณาซากอสุภะ เมื่อเห็นแล้วได้พิจารณาจนเกิดความสังเวชขึ้นในใจและได้พิจารณาซากศพที่ศาลาเป็นเวลาหนึ่งคืน เพราะหลวงปู่แจ้งไม่ให้ท่านลงจากศาลา หลังจากออกพรรษา พระสงฆ์ในรุ่นราวคราวเดียวกันได้ทยอยลาสึก เป็นไปตามลำดับ ตามคำที่หลวงปู่แจ้งได้บอกอย่างไม่น่าเชื่อ จึงทำให้หลวงปู่เกิดความประหลาดใจ หลังจากนั้นหลวงปู่จวบจึงยังไม่ตัดสินใจที่จะลาสิกขาในพรรษานั้น จนท่านได้ศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์แจ้ง และประพฤติปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด ให้การช่วยเหลือกิจการของสงฆ์ พร้อมอุปัฏฐากรับใช้พระอาจารย์แจ้งเป็นเวลา 6 พรรษา หลังจากนั้นท่านได้ขอลาหลวงปู่แจ้ง เพื่อไปธุดงค์และแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ท่านได้เริ่มออกเดินธุดงค์จาก จ.นครราชสีมา ผ่านป่าดงพญาเย็น ซึ่งเป็นปารกชัดและน่ากลัวเป็นยิ่งนัก หลวงปู่มีความองอาจ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มักน้อย สันโดด ได้ธุดงค์ผ่าน อ.ปากช่อง ใช้เวลาเดินธุดงค์เป็นเวลานาน ท่านมุ่งหน้ามาที่กรุงเทพมหานครฯ พอเดินทางมาถึง อ.ปากช่อง ท่านเข้าใจว่าได้มาถึง จ.อยุธยาแล้ว เพราะหนทางลำบากธุระกันดารมาก แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อต่อหนทางที่ลำบาก จากนั้นได้สอบถามเส้นทางจากชาวบ้าน เพื่อมุ่งหน้าออกเดินทางไปที่สำนัก วัดพลับ กทม. ซึ่งท่านได้ยินชื่อเสียงและคำบอกกล่าวจากพระอาจารย์แจ้ง ว่าเป็นสำนักที่ปฏิบัติเคร่งครัด น่าเลื่อมใสศรัทธา และมีอาจารย์ผู้สอนวิชาชั้นสูง (สำนักวัดพลับในสมัยนั้นเป็นดินลูกลัง มีต้นไม้ลังใหญ่คู่หนึ่ง และต้นไม้อีกจำนวนมาก ซึ่งไม่ได้เจริญอย่างปัจจุบันนี้) เมื่อท่านได้เดินทางมาถึง สำนักวัดพลับ ได้พักพำนักในบริเวณสำนักวัดพลับ และได้เข้าไปติดต่อขอพำนักและศึกษาเล่าเรียน ได้มาขอพำนักอาศัยกับพระเลขาที่มีหน้าที่ผู้ดูแลพระสงฆ์ เข้าออกภายในวัด พระเลขาเห็นว่าหลวงปู่เป็นพระต่างจังหวัดจึงไม่รับท่านเข้ามาพำนักอาศัย หลวงปู่จวบจึงเกิดความท้อใจ ท่านจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน "ข้าพเจ้าตั้งใจมาประพฤติปฏิบัติและศึกษาเล่าเรียนอย่างเคร่งครัด ณ สำนักวัดพลับแห่งนี้ ขอให้มีผู้ช่วยเหลือ ให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จตามความประสงค์" หลังจากต่อมานั้นอีก 3 วัน ได้เกิดเหตุการณ์ปาฏิหารย์ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ หลวงปู่จวบได้พบกับเจ้าอาวาส พระอาจารย์สังวรานุวงศ์เถระ (พระอาจารย์ สอน) โดยความบังเอิญ เมื่อท่านพระอาจารย์สอนได้เห็นและได้พูดคุยกับหลวงปู่จวบ ท่านได้ให้ความเมตตากับหลวงปู่จวบ จึงได้เป็นผู้รับรอง กับพระเลขาที่ท่านได้หมอบหมายให้ดูแล ท่านได้ให้การรับรองหลวงปู่จวบพำนักอาศัย ณ สำนักวัดพลับแห่งนี้ และหลวงปู่ได้ศึกษาเล่าเรียนในสำนักวัดพลับ ระยะเวลาหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์สอน ได้ฝากหลวงปู่จวบให้เป็นศิษย์ของพระครูสมาธิวัตร (พระอาจารย์ แป้ะ) และได้ให้อาจารย์แป้ะ เป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอน ทางด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน จากนั้นหลวงปู่จวบได้ศึกษานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ควบคู่กันไป กับการเรียนพระกัมมัฏฐาน หลวงปู่ได้ศึกษานักธรรมจาก สำนักวัดอรุณราชวราราม กทม. เมื่อหลวงปู่จวบศึกษานักธรรมชั้นเอกสำเร็จ หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ตั้งใจปฏิบัติตน และฝึกสมถะกัมมัฏฐาน อย่างจริงจัง ตั้งแต่บัดนั้นมา
ในปี พ.ศ.2485 เป็นต้นมาหลวงปู่จวบได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์กับพระครูสมาธิวัตร (อาจารย์ แป้ะ) ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนากัมฏฐาน ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น (พระครูสมาธิวัตร ท่านได้รับพระราชทาน พัดยศงา ที่ทำจากงาช้างสาร จากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 9) เป็นพระสงฆ์ที่มีคุณธรรมน่าเลื่อมใสศรัทธาในสำนักวัดพลับ ท่านพระอาจารย์แป้ะ เป็นพระที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์และมีญาณหยั่งรู้ ในอดีต อนาคต ปัจจบัน และ สามารถรู้ความคิดของบุคคลได้ หลวงปู่จวบได้เล่าให้ฟังว่าในสมัยนั้นมีพระสงฆ์ได้มาศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์แป้ะเป็นจำนวนมาก ท่านพระอาจารย์แป้ะ ได้ตรวจดูจริตนิสัยของพระสงฆ์แต่ละรูปที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ ได้ให้พระกรรมฐาน ซึ่งแตกต่างกันตามจริตนิสัยของลูกศิษย์แต่ละรูป จึงให้หลวงปู่จวบปฏิบัติพระกรรมฐานแนวสมถะกัมมัฏฐาน โดยใช้คำภาวนาบริกรรมว่า "พุธโธ" หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ ฝึกฝนจนชำนาญ จนเกิด ปิติ ทั้ง 5 เป็นลำดับขั้น (จะกล่าวอย่างละเอียดในวิธีปฏิบัติ) จนจิตได้เข้าถึงจตุรฌาณและได้วสีทั้ง 5 จนเป็นผู้ชำนาญในการเข้าออกฌาณ และพระอาจารย์แป้ะได้สอนวิธีการเพ่งกสิณ หลวงปู่ได้ ฝึกฝนกสิณทั้ง 10 กอง ในเหตุการณ์ครั้งนั้น หลวงปู่ได้เล่าว่า ท่านได้ทดสอบกสิณไฟ ที่ได้ฝึกฝนมา ในขณะนั้นมีพระสงฆ์รูปหนึ่งในสำนักที่ไม่ชอบจริตนิสัยกันได้พูดจาดูถูกตำหนิท่าน หลวงปู่จวบจึงได้ทดสอบกสิณไฟ กำหนดเพ่งไปที่ก้นของพระสงฆ์รูปนั้น ปรากฏว่าพระสงฆ์รูปนั้นเอะอะโวยวายร้องลั่นกุฏิที่พัก ว่า " ใครทำกู " หลวงปู่จวบแอบยิ้มชอบใจ ในวันต่อมาช่วงเช้า หลังฉันภัตตาหารเสร็จ พระอาจารย์แป้ะ ได้เรียกหลวงปู่จวบเข้าไปพบตักเตือน โดยท่านพระอาจารย์แป้ะ บอกว่า "ที่ได้เพ่งกสิณไฟเมื่อคืน อย่าได้ทำอีก มันเป็นบาป" จึงทำให้หลวงปู่จวบตกใจกลัวในพระอาจารย์ ว่ารู้ได้อย่างไร หลังจากนั้นหลวงปู่ได้เชื่อฟังและปฏิบัติตามจนสำเร็จวิชากสิญทั้ง 10 กอง ในระยะเวลาไม่นาน หลวงปู่ได้นั้งพระกรรมฐานที่กุฏิวิปัสสนากรรมฐานที่รายรอบพระอุโบสถ ซึ่งเป็นกุฏิสำหรับพระสงฆ์ใช้ปฏิบัติพระกรรมฐาน หลังละ 1 รูป ในแต่ละวันจะมีพระสงฆ์เข้าปฏิบัติในกุฏิทั้งหลายนี้ หลังฉันภัตตาหารเช้าและทำภาระกิจส่วนตัวเสร็จหลวงปู่จวบจะเข้าไปนั่งปฏิบัติพระกรรมฐานในกุฏิแห่งนี้เป็นประจำทุกวัน ในช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นในประเทศไทย ในเขตธนบุรี ในใจหนึ่งก็กลัวระเบิดจะทิ้งลง แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ ทางราชการได้เกณฑ์ผู้คนให้หลบหนี และส่งสัญญาณเตือนภัย เมื่อสัญญาณเตือนแต่ละครั้งดังขึ้น ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน วิ่งหนีเพื่อเข้าหลุมหลบภัยที่ทางการจัดไว้ หลวงปู่ใช้กุฏินั่งกรรมฐานเป็นที่หลบภัย "ในใจก็บริกรรมภาวนา พุธโธ" ท่านขอให้บารมีคุณพระช่วยปกปักรักษาคุ้มครองอย่าได้มีภัยเกิดขึ้นในสำนักวัดพลับแห่งนี้ เมื่อเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นติดต่อกันหลายปี ทางการเห็นว่าไม่ปลอดภัยในบางช่วง ได้เตือนให้ประชายนในเขตใกล้เคียง ในเขต ธนบุรี ลี้ภัยไปในจังหวัดอื่น หลวงปู่จวบจึงได้ลี้ภัยไปใน จ.อยุธยา ก็เป็นโอกาศดีที่ท่านได้ไปรู้จัก และศึกษาพูดคุยสนทนาธรรม กับหลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข จึงได้ข้อธรรมชั้นสูง และหลวงปู่บุดดาได้รับรองหลวงปู่จวบว่าเป็นพระสงฆ์ที่มีคุณธรรมสูงอีกองค์หนึ่งในกรุงเทพมหานครฯ ต่อมาหลวงปู่ทั้ง 2 องค์ ได้เป็นสหธรรมมิกซึ่งกันและกัน โดยหลวงปู่บุดดา ได้มีอายุพรรษามากว่า หลวงปู่จวบถึง 12 พรรษา แต่ทั้ง 2 ท่านก็ได้นับถือกันเป็นเพื่อน (เมื่อไหร่ที่หลวงปู่จวบได้มีโอกาสเดินทางผ่าน จ.อยุธยา หลวงปู่จวบมักจะแวะเวียนไปเยี่ยมหลวงปู่บุดดา และสนทนาธรรม กันบ่อยครั้งในช่วงบั้นปลายชีวิต) หลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลง หลวงปู่จวบได้กลับมาประพฤติปฏิบัติที่สำนักวัดพลับตามเดิม
ต่อมาในปี พ.ศ.2500 พระอาจารย์สอน เจ้าอาวาส องค์ที่ 17 สำนักวัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) ได้ถึงกาลมรณะภาพลงด้วยโรคชราภาพ ท่านพระอาจารย์สอน ได้มอบภาระให้หลวงปู่เป็นผู้ดูแล พระอาจารย์แป้ะ ก็ชราภาพมากแล้ว หลวงปู่จวบได้อุปัฏฐากดูแลพระอาจารย์แป้ะ จนถึงวาระสุดท้าย และพระอาจารย์แป้ะได้ถึงกาลมรณะภาพลง ในปี พ.ศ.2502 หลังจากนั้นสำนักวัดพลับได้ ว่างเว้นเจ้าอาวาส ในสมัยนั้นพระสังฆาธิการได้เรียกหลวงปู่จวบเข้าไปพบหลายครั้ง เพื่อจะหมอบหมายแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสสำนักวัดพลับ แต่หลวงปู่ได้ให้การปฏิเสธพระสังฆาธิการทุกครั้ง หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังว่า " ถ้าท่านให้ผมเป็นเจ้าอาวาส ผมจะหนีเข้าป่า " เพราะหลวงปู่ได้ให้เวลาต่อการประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างมาก เกรงว่าถ้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งมีภาระหน้าที่มาก จะทำให้ไม่มีเวลาต่อการประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ท่านจึงไม่รับตำแหน่งเจ้าอาวาส เป็นเพียงผู้รักษาการเจ้าอาวาส หลังจากนั้นพระสังฆาธิการเห็นว่าสำนักวัดพลับ ว่างเว้นเจ้าอาวาสเป็นระยะเวลานานแล้ว จึงได้มีคำสั้งแต่งตั้งพระราชวิสุทธิญาณ (พระอาจารย์ อยู่) เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาส องค์ที่ 18 สำนักวัดพลับ และยังได้เมตตาหลวงปู่จวบ โดยแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส และเลื่อนสมณศักดิ์ เป็น "พระครูวิจิตรวิหารวัตร"
ปฏิปทา หลังจากปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา หลวงปู่จวบจะโปรดญาติโยม และให้การช่วยเหลือศรัทธาญาติโยมจากทุกสารทิศที่ได้เดินทางมา เพราะท่านเป็นหมอยาแพทย์แผนไทย
ญาติโยมที่ป่วยไข้เป็นโรคต่างๆที่รักษาไม่หาย จะมาขอความช่วยเหลือจากหลวงปู่ และในบางครั้งมีญาติโยมที่ป่วยไข้อาการหนักมาพักรักษาตัว หลวงปู่ท่านไม่รังเกียจและให้การช่วยเหลือทันที โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ท่านยังคงทำวัตร สวดมนต์ เจริญจิตภาวนา เจริญพระกรรมฐาน เป็นประจำทุกวัน ในวันพระท่านจะลง อุโบสถเพื่อเทศน์โปรดญาติโยมเป็นประจำ และท่านยังเป็นอาจารย์ผู้มอบกัมมัฏฐานให้แก่ศิษยานุศิษย์ที่สนใจ มาประพฤติประฏิบัติ นำไปเป็นหลักเกณฑ์ตามแบบฉบับสำนักวัดพลับ (รายละเอียดขึ้นครูพระกรรมฐาน) จนเป็นที่เลื่องลือถึงความสามารถ ท่านได้ตรวจดูดวงชะตาในเหตุการณ์ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ที่ได้จากภาพนิมิตแต่ละเหตุการณ์มารวมกัน และทายผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้แก่ญาติโยม ที่ได้ญาณหยั่งรู้จากการฝึกฝนปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยทายผลได้อย่างแม่นยำ จนลูกศิยษ์และประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ ให้ขนานนามท่านว่า "หลวงพ่อตาทิพย์ หลวงปู่ตาทิพย์ " หลวงปู่ได้ให้การช่วยเหลือ ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั้งหลาย ให้ประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริต ทำให้ศิษยานุศิษย์และประชาชนมีความเจริญรุ่งเรื่อง ทางด้านตำแหน่งหน้าที่ การงาน ทางด้านอาชีพค้าขาย นักธุรกิจ นักการเมือง พ่อค้า ประชาชน และอีกหลายสาขาอาชีพ ท่านได้นำวิชาความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา เป็นประโยชน์ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั้งหลาย ปฏิปทาของท่านเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่ญาติโยมที่พบเห็น และได้อบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ของท่านให้เป็นผู้มีความเมตตาซึ่งกันและกัน ท่านได้ช่วยเหลือวัดว่าอารามเป็นจำนวนนวนมาก โดยเฉพาะวัดบ้านเกิดและใกล้เคียง ท่านเป็นพระสงฆ์ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีงาม มีคุณธรรมสูง ให้การช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยม มักน้อย สันโดด หายากที่จะมีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ ท่านได้สงเคราะห์ช่วยเหลือญาติโยมติดต่อกันเป็นเวลานาน ถึง 40 ปี จวบจนถึงกาลมรณะภาพ ด้วยโรคชรา ท่านมาคติธรรมที่น่าเลื่อมใสศรัทธาแก่ศิษยานุศิษย์ เป็นพระสงฆ์ผู้เปี่่ยมล้นด้วยความเมตตาแก่ชาวโลก ท่านพูดเสมอว่า " มีเมตตามากมาก ต้องมีขันติมากมาก " เป็นการบ่งบอกถึงยความอดทนและปฏิปทาที่น่าเลื่อมใสของท่าน ที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้า ท่านสละเวลาของท่านช่วยเหลือผู้คน ถึงแม้ว่าจะชราภาพลง หลวงปู่ก็ยังสงเคราะห์ญาติโยมตลอดเวลา
วัตถุมงคลและวิชาความรู้ต่างๆ หลวงปู่จวบ ได้ศึกษาวิชาอักขระขอมและเลขยันต์ การปลุกเสกอักขระเลขยันต์ จากเกจิอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน หลวงปู่ได้จัดทำวัตถุมงคล เช่น พระผงหมอดินยาใบโพธิ์ ตระกรุดกันภัย น้ำเต้ากันภัย น้ำเต้าเรียกเงินเรียกทอง ผ้ายันต์ เหรียญรูปหล่อ พระผงสมเด็จ พระผงพระร่วงเปิดโลก (พิมพ์แบบพระต่างๆ ที่หลวงปู่ได้อธิตฐานจิต ดูลายละเอียด) หมีดหมอ และน้ำพระพุทธมนต์ค้าขาย น้ำพระพุทธมนต์ปัดเป่ารักษาโรคภัย และยังได้ศึกษาศาสตร์วิชาแขนงต่างๆทางโหราศาสตร์ เช่น การตั้งชื่อ พิธีกรรมบวงสรวง สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา พิธีกรรมรับดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 เจิมรถยนต์ เจิมบ้านเรือน เสริมบารมีลงนะหน้าทอง นะมหานิยม นะเรียกเงินเรียกทอง จตุโรบังเกิดทรัพย์ ยันต์ตรีนิสิงเห การยกเสาเอกบ้านเรือนและบริษัทห้างร้าน การวางศิลาฤกษ์ การอธิษฐานจิตให้ค้าขายดี อธิษฐานจิตวัตถุมงคเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และอีกมามาย ซึ่งเป็นเมตตามหานิยมค้าขาย ร่ำรวยเงินทอง และทำให้ลาภผลทวีเพิ่มพูล สมบูรณ์พูนผล ทั้งทางโลกและทางธรรม จึงเป็นประโยชน์แก่ศิษยานุศิษย์และประชาชน
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
วัตถุมงคลท่าน คนไม่ค่อยรู้จักในวงกว้าง พระมหาเกระกลางกรุงอีกองค์
พระซุ้มกอพระพุทธชินราชหลวงปู่จวบวัดพลับให้บูชา ๒ องค์
300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
ชุดที่๒ (ปิดรายการ)
-
-
เหรียญหลวงปู่จวบ และ พระซุ้มกอ ไม่มีกล่อง นะครับ ให้บูชาชุดละ 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
หลวงพ่อเมียน กัลยาโณ วัดบ้านจะเนียง ต.บ้านสองชั้น อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
ท่านถือกำเนิดเมือ พ.ศ.๒๔๘๒ ที่บ้านปะนึม ต.บึงขนา จ.โพธิสัตว์ ประเทศกัมพูชา โยมบิดาชื่ออุมขัน โยมมารดาชื่อเปร็ง บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๐ ขวบ และได้อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๐ ปี ได้ศึกษาวิชาอาคมจากพระอาจารย์ฝั่งกัมพูชาถึง ๑๒ ท่าน ท่านที่หลวงปู่ให้ความสำคัญมากคือพระอาจารย์ลุน ส่วนผู้ที่ถ่ายทอดวิชาทำหุ่นพยนต์ให้กับท่านเป็นฆราวาสคือโยมปู่ของท่านเอง ระหว่างที่บวชพระที่ประเทศกัมพูชา ท่านได้ธุดงค์ไปยังเมืองต่างๆโดยตลอด จนกระทั่งถึงพรรษาที่ ๖ ได้เกิดสงครามภายในประเทศกัมพูชา มีการเข่นฆ่าไม่เว้นแม่แต่พระเณร ท่านจึงลาสิกขาบทลี้ภัยสงครามอพยพมาอยู่ที่ อ.ตาพระยา เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ หลังจากนั้นท่านเข้าอุปสมบทอีกครั้งเมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๒๒ ณ พัทธสีมาวัดหนองติม โดยมีหลวงพ่อแพน เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นท่านก็ออกจำพรรษาไปยังวัดต่างๆหลายจังหวัด จนมาอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ อีก ๕ พรรษา ในระหว่างนั้นเองท่านก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน) ศึกษาวิชาอาคมจนแตกฉาน หลวงพ่อเมียน กัลยาโณ ยังเป็นสหธรรมิกที่สนิทเป็นอย่างมากับหลวงปู่เจียม อติสโย ด้วยเป็นคนบ้านเดียวกันและบวชเรียนมาด้วยกัน รวมทั้งเป็นสหธรรมิกรุ่นน้องกับหลวงปู่ธรรมรังษี เกจิอาจารย์ชื่อดัง หลวงปู่ได้มารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านจะเนียง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๖ หลวงพ่อเมียน ท่านเป็นที่มีเมตตาสูงจึงมีลูกศิษย์แวะเวียนไปขอพรจากท่านเสมอ ยามว่างท่านก็ปฏิบัติกิจของสงฆ์ไม่ได้ขาด
พระเกจิสายเขมรอีกท่านหนึ่ง เพราะท่านยังอยู่ให้เราสามารถไปกราบไหว้ท่านได้ แม้ว่าท่านจะเข้ามาอยู่ในเมืองไทยไม่นาน ท่านก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้เราได้ยินกันไม่น้อย ทั้งน้ำมันพรายเทียน อันน่าประหลาดใจ ทั้งผงพรายกุมาร ตำรับเฉพาะของท่าน ยังสีผึ้งแมลงทับ และหุ่นพยนต์อันมีประสบการณ์มากมาย
และเมื่อผ่านมาไม่นานนี้ ท่านถูกนำประวัติ ประสบการณ์และเรื่องราวต่างๆ ไปลงตีพิมพ์ในหนังสือพระเครื่องหลายฉบับอยู่มิได้ขาด ชื่อเสียงของท่านจึงขจรขจายยิ่งๆขึ้นทุกวัน จึงเป็นโอกาสดีที่เพื่อนๆ จะได้เร่งศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับท่าน และพระเครื่องของท่าน ท่านจะได้บูชาพระเครื่องแท้ๆ ถูกๆ ทันยุคที่ท่านยังมีชีวิยอยู่
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
รูปหล่อโบราณหลวงพ่อเมียนเนื้อสัมฤทธิ์วัดบ้านจะเนียงให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
วันนี้จัดส่ง
ขอบคุณครับ
คุณพี่ ทวีศักดิ์ พระลพ.สิงห์ ขอหาก่อน ไม่รู้ เก็บไว้ไหน พระสมเด็จ ขี่สิงห์ ผมน่าจะมี2-3องค์
กล่องเดิมๆเก็บไว้หลายปี จนลืม เอาพระผงสุพรรณไปก่อนครับ หาเจอจะลงในกระทู้ แล้ว ติดต่อไปครับ -
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่กอง จันทวังโส มีนามเดิมว่า กอง ถนอมทรัพย์ เป็นบุตรคนที่ ๒ ใน ๓ คน ของคุณพ่อฝอย และคุณแม่ทัด ถนอมทรัพย์ เกิดเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๔๒ ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๕ บ้านเดิมอยู่ที่ ต.บ้านพราน อ.แสวงหา จ.อ่างทอง ซึ่งท่านก็ได้เรียนหนังสือและจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ที่โรงเรียนวัดบ้านพราน อ.แสวงหา จ.อ่างทอง นั่นเอง
มูลเหตุบรรพชา
ครั้นเมื่อมารดาของหลวงปู่เสียชีวิตลง ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร และไม่ได้ลาสิกขาจนกระทั่งอายุครบบวช เนื่องจากหาจะสึกเมื่อไร ก็มักจะเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่เสมอ ในขณะที่หลวงปู่ยังเป็นสามเณรอยู่นั้น ได้ติดตามพี่ชายไป จ.สุพรรณบุรี และอยู่วัดพระลอยกับหลวงพ่อแต้ม เมื่ออายุครบบวช จึงได้กลับไปอุปสมบท ณ วัดบ้านแก อ.แสวงหา จ.อ่างทอง หลังจากนั้นจึงได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดข่อย หรือ วัดข่อยวังปลาในปัจจุบัน
ที่วัดข่อยนี้เอง หลวงปู่ได้ศึกษาวิทยาการต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม กับหลวงพ่อเข็ม ท่านได้ศึกษาอยู่จนได้เป็น พระปลัดกอง มีหน้าที่อบรมสั่งสอนพระเณรที่วัด ซึ่งท่านเป็นพระที่มีวินัยเข้มงวดกวดขันมาก หลังจากนั้นจึงได้ลาสิกขาบทกลับมาใช้ชีวิตฆราวาส
ลาสิกขา
ในช่วงชีวิตฆราวาส หลวงปู่ได้มีครอบครัวเฉกเช่นคนทั่วไป แต่เมื่อภรรยาของท่านออกลูกสาวคนแรกก็เสียชีวิตลง ท่านจึงได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง โดยมีบุตร-ธิดาที่เกิดจากภรรยาคนที่สองอีก ๓ คน ท่านใช้ชีวิตอยู่ที่ จ.อ่างทองระยะหนึ่ง จึงย้ายมาอยู่ที่ จ.พิจิตร ซึ่งที่นี่เอง ภรรยาคนที่สองของท่านก็ได้เสียชีวิตลงอีก ท่าานจึงเกิดความเบื่อหน่ายทางโลก อีกทั้งบุตรและธิดาท่านโตพอจะช่วยเหลือตนเองได้แล้ว จึงนำไปฝากไว้กับตาและยายเพื่อให้ไปศึกษาต่อในชั้นมัธยม ส่วนท่านจึงได้กลับเข้าอุปสมบทอีกครั้ง
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
การอุปสมบทครั้งนี้ ท่านได้สละเพศฆราวาสของท่าน ณ วัดเทวประสาท ต.ห้วยเกต อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ในขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๕๕ ปีแล้ว โดยมีท่านพระครูพิบูลย์ศีลสุนทรเป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอธิการทองอยู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฏาคม พ.ศ.๒๔๙๕ โดยได้รับฉายาว่า จันทวังโส เมื่อบวชแล้วท่านได้ศึกษาวิทยาการต่างๆจากหลวงปู่มหาทิม ซึ่งพระอาจารย์มหาทิม เป็นพระผู้มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม รวมถึงคาถาอาคมต่างๆ ต่อมาหลวงปู่กองจึงได้ติดตามอาจารย์มหาทิมลงมากรุงเทพ ฯ ด้วย โดยไปจำพรรษาที่วัดพระสิงห์ กรุงเทพฯ จากนั้นท่านจึงได้ไปศึกษาอบรมอยู่กับหลวงพ่อมิ ซึ่งเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์มหาทิม (หลวงพ่อมิ เป็นศิษย์ของหลวงปู่คง วัดซำป่างาม จ.ชลบุรี) เมื่ออยู่ได้ระยะหนึ่ง ท่านจึงได้แยกย้ายกับพระอาจารย์มหาทิม เพื่อไปธุดงค์แสวงหาโมกขธรรมตามป่าเขา
ในการธุดงค์ของหลวงปู่กอง ได้ปลีกวิเวกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ตามที่สงบสงัด บางครั้งก็ได้ไปพบกับครูบาอาจารย์และสหายธรรมมากมาย ครั้นเมื่อกลับจากธุดงค์แล้ว ท่านจึงได้ไปจำพรรษาวัดโน้นบ้างวัดนี้บ้าง ตามที่สหายธรรมของท่านได้ชักชวนไป จนกระทั่งในที่สุด หลวงปู่ได้มาจำพรรษาที่วัดสระมณฑลซึ่งเป็นพระอารามเก่าแก่ในสมัยอยุธยา ซึ่งเหลือเพียงโบสถ์และพระพุทธรูปโบราณ วัดมีอาณาเขตเพียงแค่รอบโบสถ์ ล้อมรอบด้วยบ้านเรือนประชาชน
ในสมัยที่หลวงปู่ออกธุดงค์อยู่นั้น หลวงปู่ได้เดินธุดงค์ไปถึงที่ถ้ำวัวแดง จ.ชัยภูมิ ณ สถานที่นั้นเองที่ท่านได้เจอกับพระอาจารย์อีกองค์หนึ่งของท่าน ที่ท่านให้ความเคารพเทิดทูนมาก นั่นคือ หลวงปู่เทพโลกอุดร ด้วยความเคารพรัก และบูชาในคุณธรรมของท่าน หลวงปู่จึงได้สร้างรูปเหมือนหลวงปู่เทพโลกอุดรขนาดใหญ่ ไว้ให้ศิษยานุศิษย์บูชาไว้ภายในโบสถ์ด้วย
หลวงปู่กอง ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสระมณฑล จนกระทั่งละสังขาร ในวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๖ สิริอายุได้ ๑๐๔ ปี ๙ วัน ๕๑ พรรษา ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
ศิษย์สายลป.เทพโลกอุดร
ผ้ายันต์มหาละลวยใหญ่หลวงปู่กอง ขนาดประมาณ ยาว20 กว้าง16 นิ้ว
ไม่บูชา บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
-
เหรียญหลวงพ่อฮวดรุ่นสร้างโรงพยาบาลท่าตะโกให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
จองครับ -
หลวงพ่อหมอ สุดยอดพระเกจิ เพื่อนรักของหลวงพ่อคูณ พระเกจิองค์เดียวที่หลวงพ่อคูณ มวนและจุดยาสูบให้
พระสงฆ์ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำยกย่องว่าเป็น
“…เจ้าของธนาคาร…”
ขออนุญาตยกบทความของคุณพยุงศักดิ์ เศรษฐมาตย์
ที่ได้รวบรวมเรื่องราวของท่านไว้
มาเผยแพร่บารมีองค์หลวงพ่อนะครับ
: #เจ้าของธนาคาร :
ครั้งหนึ่ง ราวปี พ.ศ 2532
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
มาร่วมงานเททองหล่อพระที่วัด
แห่งหนึ่งใน อ.ท่าเรืองานนั้น
หลวงพ่อหมอ ก็ไปร่วมงานด้วย
ผู้คนที่มาในงานต่างมาห้อมล้อม
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
กันมากมายเพื่อกราบขอเมตตา
ขอบารมีจากท่าน
ระหว่างที่ผู้คนห้อมล้อมท่านอยู่นั้น
หลวงพ่อฤษีลิงดำ ก็ได้ชี้ไปที่
หลวงพ่อหมอที่นั่งอยู่คนละฝั่งกัน
กับท่านแล้วพูดว่า
" ผู้ใดมีบารมี ผู้ใดจะโชคดีโน้น...
ไปขอหลวงพ่อหมอโน้น นี้แหล่ะ
เจ้าของธนาคารตัวจริง
ไปกราบขอท่านไป "
เป็นคำกล่าวของครูบาอาจารย์ผู้รู้ซึ้ง ซึ่งภูมิธรรมของกันและกัน
" ปราชญ์ย่อมรู้ในปราชญ์ ".
หลวงพ่อประเสริฐ(หมอ) โอภาโส
วัดโคกกระต่ายทอง ท่าเรือ อยุธยา
พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา
วาจาสิทธิ์หูทิพย์ ตาทิพย์
วัตรปฏิบัติแปลกๆ ทำตัวแปลกๆ
จนชาวบ้านหาว่าท่านเป็น " พระบ้า "
คน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร นับถือท่านมาก
เรื่องโชคลาภนั้นเป็นเลิศนัก
ผู้สร้างตำนานโรงทานอันลือลั่น
ฝ่ามือมหาลาภ วัตถุมงคลท่านศักดิ์สิทธิ์นัก
เรื่องหวยเรื่องเบอร์นั้นท่านโดงดังมาก
แนวทางปฏิบัติ กิน เดิน นั่ง นอน ท่านจะภาวนาตลอดเวลา กิจสำคัญของท่านที่ขาดไม่ได้เลยคือการ ออกบิณฑบาต
โปรดญาติโยม เรื่องราวพิสดาร
ปาฏิหาริย์ ความศักดิ์สิทธิ์
อัศจรรย์พันลึก วัตรปฏิบัติแปลกๆ
จนชาวบ้านเรียก " พระบ้า "
ปริศนาธรรมคำคมหลวงพ่อหมอ
* ศรัทธาตัวเดียว
ผู้ปฏิบัติต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้า
ถึงจะได้พบธรรมะเบื่องสูง ที่ไม่มีตัวตน *
* ธรรมะต้องเกิดในดวงจิต
ดวงใจถึงจะเป็นของจริง *
* สมาธิเปรียบเหมือนต้นไม้ ศีลเหมือนพื้นดินสมาธิอาศัยศีล เหมือนต้นไม้อาศัยดิน *
* เรากางร่มก่อน ร่มถึงจะมากางเรา
ถ้าเรามีศีลมีธรรมแล้ว ศีลธรรมก็มารักษาเราเป็นเรื่อง ปัจจัตตัง อัตตะโน นาโถ
(ทำเอง รู้เอง เห็นเอง) *
เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวง ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้คือเรื่องราวพิสดาร ปาฏิหาริย์ ประสบการณ์ต่างๆ คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง
จากบันทึกของศิษย์และคำบอกเล่าจาก ลพ.ทอง เจ้าอาวาสวัดโคกกระต่ายทอง รูปปัจจุบัน
เรื่องราวปาฏหาริย์ พิสดารลึกลับ
ของหลวงพ่อหมอ ยังมีอีกมากเล่ากันเจ็ดวันเจ็ดคือก็ไม่หมด เอาพอหอมปากหอมคอ
ให้รู้ว่า พระดีๆ เก่งๆ ที่ทรงฤทธิ์อภิญญา แบบนี้ยังมีให้เราได้ค้นหากันอยู่
" โยมไม่ทันท่าน แต่ได้พระท่านไปบูชา ก็เหมือนได้แก้ววิเศษของท่านแล้ว "
( หลวงพ่อทอง เจ้าอาวาสวัดโคกกระต่ายทอง เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันได้กล่าวไว้ )
ชาติภูมิ
หลวงพ่อหมอ โอภาโส
ถือกำเนิดในสกุล จันทรส ณ บ้านบักเขียบ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ
เกิดเดือน ๑๒ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๕๘
เดิมท่านชื่อว่า เพชร แล้วเปลี่ยนมาเป็น ประเสริฐส่วนชื่อ หมอ นั้นชาวบ้านพร้อมใจกันตั้งให้ท่านเพราะกิตติศักดิ์ของท่านนั้นเอง
หลวงพ่อหมอ ท่านเป็นพระอริยะสงฆ์อีกรูปหนึ่งผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัตชอบ ท่านใช้ชีวิตในสมณเพศอย่างเป็นประโยชน์ยิ่ง ไม่เคยสะสมเงินทองมาเป็นของส่วนตัวมีเท่าไหร่ท่านนำไป บริจาก สร้าง แจก เพื่อก่อประโยชน์ต่อบวรพุทธศาสนา เลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กยากจนที่อยู่ในความอุปการะคุณของท่านทั้งหมด
สงเคราะห์ญาติโยมผู้ตกทุกข์ได้ยาก
จากวัตรปฎิบัติแบบแปลกๆ ของท่าน เเม้ยางคนที่ไม่เข้าใจ มองท่านอย่างผิวเผินว่าท่าน ออกจะแปลกๆ พิกลไม่เหมือนพระสงฆ์ทั่วไป
การออกธุดงค์ของทาานก็แปลก ไม่เคยมีกลดหรือมุ้งติดตัวเลย จะมีเพียงแค่จีวรห่มกาย และบาตรใบเดียวเท่านั้น
แต่เมื่อได้สัมผัสได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ
วัตรปฏิบัติ อุบายธรรม หลักคำสอนต่างๆ ของท่านแล้ว ความสงสัยในตัวท่านนั้น ก็จะคลายสิ้น.
______________________________
: #นวโกวาทเป็นครู :
หลวงพ่อหมอ ท่านว่าท่านเอาตำราเป็นครู
เอานวโกวาทเป็นครู ภูมิธรรมที่เกิดขึ้นนั้นได้จากตำรา
หลวงพ่อหมอ เคยปรึกษาหารือสนทนาธรรมกันกับ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ถึงนวโกวาท
ซึ่งในนวโกวาทนี้เขาบอกไว้ทุกเรื่อง ทุกเหลี่ยมทุกมุม
แต่ไม่ปฏิบัติกัน
ท่านว่าคนที่จะบรรลุธรรมะ คือ ศรัทธาตัวเดียว ไม่ได้เรียนมามากท่านเอ่ยตามพระวินัยสนใจให้มากรักษาตามนวโกวาทให้ดีๆ
ศรัทธาตัวเดียว ผู้ปฏิบัติต้องมีศรัทธาอย่างแรงกล้า ถึงจะได้พบธรรมะเบื่องสูง ที่ไม่มีตัวตน.
___________________________
: #หมอ :
ที่มาของคำว่า หมอ
ที่ อ.ตะพานหินคือมีญาติโยมผู้หญิงที่ตั้งท้องมากราบ หลวงพ่อหมอ แล้วถามว่าเด็กในท้องเป็นยังไง ปรากฏว่าหลวงพ่อหมอ ท่านบอกเพศ วัน เดือน ปี ที่เด็กจะเกิดไว้ ชึ่งพอถึงเวลาก็คลอดตามที่หลวงพ่อพูดตรงทั้งหมด ทำให้เป็นเรื่องที่แปลกมาก คนท้องในสมัยนั้นแห่กันมาถามหลวงพ่อจนวุ่นวาย
เท่านั้นยังไม่พอบางคนมาขอให้ท่านแผ่บารมีรักษาอาการเจ็บป่วยให้หาย ท่านก็รักษาตามนิมิตของท่านบางท่าน หลวงพ่อหมอ ให้ไปกินก๋วยเตี๋ยวสามชามก็หาย
บางคนโดนท่านถีบ ท่านพลักก็หายหรือบางท่านโดนตบก็มีส่วนใหญ่ ญาติโยมไปหาหลวงพ่อแล้วท่านทำให้หายหมด คนตะพานหินจึงเรียกท่าน หลวงพ่อหมอ ตั้งแต่นั้นมา
สมัยที่หลวงพ่อหมอ ท่านออกธุดงค์ ปฏิบัติตัวแปลกๆ เป็นคนสติไม่ดี ดำเนินจิตตามนิมิตรบอก
การธุดงค์หลวงพ่อหมอ มีอัฏฐบริขารติดตัวเพียงจีวรห่มกาย และบาตรเท่านั้น กลดมุ้งไม่เคยมีแต่แปลกผิวหลวงพ่อหมอ ไม่มีรอยยุงกัดเลย.
______________________________
: #พระบ้า :
ลูกศิษย์ท่านหนึ่งชาวตะพานหิน เล่าว่ามีชาวบ้านแถวบ้านตนเอง ไปดูหลวงพ่อหมอ อยากรู้ว่าพระบ้าเป็นอย่างไร ก็ได้พบหลวงพ่อหมอ เมื่อได้สัมผัสหลวงพ่อหมอ อย่างจริงจังแล้วขนลุกรู้สึกได้ทันทีว่า
พระองค์นี้ไม่เพียงมิใช่พระบ้า แต่เป็นพระที่ไม่ธรรมดาและเป็นพระที่เก่งมากๆ เสียด้วย นึกคิดอะไรในใจท่านรู้หมด ก่อนหวยออกไม่กี่นาที
หลวงพ่อหมอ ท่านได้เขียนเลขเล่นๆ ไว้ 6 ตัว พอหวยออกมา รางวัลที่ 1 ออกตรงแป๊ะไม่มีคลาดเคลื่อนเลยทั้ง 6 ตัว
แบบนี้จะเป็นพระบ้าได้อย่างไร.
______________________________
: #ยาสีฟันรักษาโรคประหลาด :
คนนครสวรรค์ผู้หนึ่ง ได้ดูถูกปรามาสว่า
หลวงพ่อหมอ เป็นพระผีบ้า
จู่ๆได้เกิดเป็นโรคประหลาด เป็นก้อนเนื้อขึ้นตามผิวหนังของแขนทั้งสองข้าง ไปหาหมอรักษาโรงบาลไหนก็ไม่หาย รู้สึกปวดทรมานมาก
ก็เลยนึกได้ว่าก่อนเป็นนั้น ตนเองนั้นได้ดูถูกปรามาสหลวงพ่อหมอ ว่าเป็นพระผีบ้า
ก็เลยจะมาขมาหลวงพ่อหมอ
เมื่อเจอหน้ากัน ยังไม่ทันได้พูดอะไร
หลวงพ่อหมอ ถามขึ้นก่อนโดยทันทีว่า
" เป็นบ้ามั๊ย โยมคนนี้จึงตอบท่านไปว่า ไม่บ้าครับ หลวงพ่อหมอ ก็พูดขึ้นว่า เอ้อ..แก่ก็ยอมรับแล้วว่า ข้าไม่บ้า แล้วหลวงพ่อหมอ ก็บอกให้ไปซื้อยาสีฟันจากร้านที่ท่านบอก ให้เอามาทาแล้วจะหายภายใน 7 วัน "
เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งที่ยาสีฟันที่หลวงพ่อหมอ
บอก ให้ไปซื้อมาทา สามารถรักษาอาการทุกข์ทรมานจากโรคประหลาดที่เป็นอยู่นั้น หายอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ไปรักษาจากโรงพยาบาลมาหลายแห่งแล้วไม่หาย.
_____________________________
: #จากตะพานหินสู่วัดโคกกระต่ายทอง :
หลังจากที่หลวงพ่อหมอได้อยู่สร้างความเจริญทางวัตถุที่วัดพฤษะวันโชติการาม
ควบคู่กับปลูกฝังรากแห่งความศรัทธาต่อบวรพุทธศาสนาให้เกิดขึ้นและฝังลึกในจิตใจชาวตะพานหินและละแวกใกล้เคียงเป็นเวลาหลายปี
ร้านค้าชาวจีนหรือเหล่าศิษย์ในอ.ตะพานหิน
จะมีรูปท่านบนหิ้งพระทุกร้าน
พระอาจารย์ทองอยู่ แห่งวัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ
ได้ยินกิตติศัพท์ชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ของท่านได้ไปพบท่าน
จึงขอให้ท่านนำกฐินมาทอดที่
วัดบัวงาม ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา เมื่อท่านนำกฐินมาทอดแล้ว
ชาวบ้านท่าเรือเลื่อมใสศรัทธาท่านมากต่างปรึกษากันว่าจะหาวัดให้ท่านมาอยู่ จึงนิมนต์ให้ท่านมาอยู่ที่ วัดโคกกระต่ายทอง ซึ่งวัดนี้เป็นวัดโบราณเก่าแก่มาก เป็นวัดร้างมานานแล้ว อยู่ที่ ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา.
______________________________
: #เดินข้ามแม่น้ำป่าสัก :
ครั้งหลวงพ่อหมอ มาอยู่ วัดโคกกระต่ายทอง ท่านได้นั่งรถไฟมาลงที่ท่าเรือ แล้วเดินเท้ามายังวัดชุมแสง เพื่อที่จะข้ามท่าเรือ มายังวัดโคกกระต่ายทอง
ซึ่งอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งแม่น้ำกัน
ขณะที่หลวงพ่อหมอ มาถึงท่าวัดชุมแสงนั้น เป็นเวลาค่ำแล้วจึงไม่มีเรือข้ามฝากไปยังท่าวัดโคกกระต่ายทอง
ทันใดนั้นหลวงพ่อหมอ ได้เดินลงเหยียบบนผิวน้ำอัศจรรย์ยิ่งตัวท่านยืนอยู่เหนือผิวน้ำแล้วเดินข้ามแม่น้ำไปยังท่าวัดโคกกระต่ายทอง
โดยที่มีชาวบ้านเห็นเหตุการณ์ว่าเห็นพระเดินข้ามแม่น้ำ บ้างก็ว่าท่านเหยียบยืนบนฝาบาตรลอยข้ามแม่น้ำในครั้งนั้น
จนเป็นที่กล่าวขานล่ำลือไปทั่วในเขต อ.ท่าเรือ ในสมัยนั้น
(เรื่องราวจาก ลพ.ทอง เจ้าอาวาสวัดโคกกระต่ายทอง รูปปัจจุบัน).
______________________________
: #สหมิกธรรม :
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่
ให้ความเคารพนับถือ ยอมรับในคุณธรรมของ
หลวงพ่อหมอ เป็นพระองค์เดียวที่หลวงพ่อคูณ มวนและจุดยาให้สูบ เรียกว่าท่านเป็นเพื่อนชี้กันเลยทีเดียว ท่านทั้งสองต่างรู้ภูมิกัน
อันที่จริงหลวงพ่อคูณ ท่านเคารพนับถือในองค์หลวงพ่อหมอ มาก หลวงพ่อหมอ ท่านจะอายุมากกว่า หลวงพ่อคูณ 8 ปี
หลวงพ่อคูณ ท่านกล่าวว่า
" หลวงพ่อหมอ เก่งกว่ากูเยอะ ".
____________________________
: #เขาดีกว่ากูอีก :
หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค นครสวรรค์
บอกแก่ชาวบ้านช่องแค
สมัยที่หลวงพ่อหมอ ท่านออกธุดงค์ ปฏิบัติตัวแปลกๆ ทำตัวเป็นคนสติไม่ดี ดำเนินจิตตามนิมิตรบอก
ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อหมอ ได้ธุดงค์ผ่านไปแถวช่องแค อ.ตาคลี ชาวบ้านที่พบเห็นต่างโจษขานกัน กับความแปลกประหลาดในวัตรปฏิบัติแปลกๆของท่านที่ไม่เหมือนพระทั่วไป จนชาวบ้านบางส่วนมองท่านว่าเป็นพระบ้า
ด้วยความสงสัยจึงนำเรื่องราวไปถาม
หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ว่ามีพระสติไม่ดีนุ่งจีวรเก่าๆ มาธุดงค์ปักกรด แถวช่องแค ชาวบ้านเอาภัตตาหารไปถวายบางวันไม่ฉันนั่งนิ่งทั้งวัน บางทีชาวบ้านมาพบเจอฉันภัตตาหารกลางคืน
บางวันมีญาติโยมที่ศรัทธา มานั่งห้อมล้อมเยอะเพราะไปถามอะไรท่าน ในเรื่องที่ตนเองทุกร้อนใจ ท่านรู้ตอบถูกหมด รู้ทุกอย่างที่ชาวบ้านถาม บ้างก็มาให้ท่านทำน้ำมนต์ ให้ดูดวง บ้างก็มารักษาให้ท่านพ่นเป่า บ้างก็มาขอหวย มีทั้งคนที่นับถือ มีทั้งคนที่มาก่อกวนท่าน เพราะหาว่าท่านเป็นพระบ้า
ชาวบ้านจึงนำเรื่องนี้ไปถามหลวงพ่อพรหม
ว่าเป็นพระบ้า หรือ อย่างไรกันแน่
หลวงพ่อพรหม นั่งนิ่งสักพักแล้วท่านบอกกับโยม
ที่สงสัยในตัวหลวงพ่อหมอว่า
" เขาดีกว่ากูอีก "
จึงไม่มีใครกล้าไปตอแยก่อกวนหลวงพ่อหมออีกเลย.
______________________________
: #ฝ่ามือมหาลาภ :
เรื่องมหาลาภ ของหลวงพ่อหมอนั้นว่ากันว่าขลังเป็นยิ่งนัก
ฝ่ามือมหาลาภของท่าน นับว่าเป็นของวิเศษนัก
หลวงพ่อหมอ ท่านจะเน้นไปทางด้าน
โชคลาภ โภคทรัพย์ เงินไม่ขาดมือ
ในวัตถุมงคลของท่านมักจะมีรูปฝ่ามือมหาลาภของท่าน วางประทับอยู่ด้านหลังวัตถุมงคลนั้นๆ
ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ หรือพระสมเด็จ
จะมีรูปฝ่ามือมหาลาภ ของท่านประทับอยู่ข้างหลังขององค์พระเกือบทุกรุ่น
ฝ่ามือมหาลาภที่ประทับไว้ด้านหลังวัตถุมงคลของท่านนั้นยังแฝงไว้ด้วยซึ่งปริศนาธรรรม
ว่าฝ่ามือของท่านนั้นค่อย ช่วยเหลือ ผลักดัน
ส่งเสริม อุปถัมภ์ค้ำชู มิให้ตกต่ำ
วัตถุมงคลของท่านนั้นจะดีไปในทาง
โชคลาภ โภคทรัพย์ เมตตา ค้าขาย เจริญก้าวหน้า ทำมาหากินคล่องตัว ทั้งยังคุ้มครองป้องกัน
นักเสียงโชคและคนค้าขาย ควรหามาบูชายิ่งนัก
วัตถุมงคลของท่านนั้นราคาไม่แพง เพราะคนไม่ค่อยรู้จักท่าน
แต่ที่น่าแปลกคือหาไม่ค่อยได้ไม่ค่อยพบเจอ.
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระสมเด็จปรกโพธิ์หลังรูปเหมือนหลวงพ่อหมอปลุกเสก 3 วาระเหรียญหลวงพ่อหมอหลังฝ่ามือมหาลาภ
ให้บูชาคู่กัน 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
-
พระผงรูปเหมือนรุ่นแรก ครูบาอ่อน วัดสันต้นหวีด จ.พะเยา
วัดหลวงปู่ครูบาอ่อน รัตนวัณโณ วัดสันต้นหวีด
เกจินักบุญเมืองพะเยาครูบาอ่อนแห่งวัดสันต้นหวีด ต.แม่ปืม อ.เมือง จ.พะเยา
#ประวัติหลวงปู่พระครูสันติธรรมาภิรม (ครูบาอ่อน รตฺนวณฺโณ)
นามเดิมชื่อ อ่อน สมวรรณ เป็นบุตรของ พ่อถา แม่ปั๋น สมวรรณ มีพี่น้องร่วมบิดา – มารดา ด้วยกัน ๕ คน
เกิดเมื่อ วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๔๖๕ ตรงกับ วันพุธกลางคืน
เดือน ๑๒ เหนือ แรม ๘ ค่ำ ปีจอ จบการศึกษา ป.๔ น.ธ.ตรี
เมื่อครั้นอายุ ครบบวชบรรพชา เป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ โดยมีพระอุปัชฌาย์ คือ ครูบาอิ่นแก้วสาร เจ้าอาวาส วัดใหม่หลวง และ ได้อุปสมบท พ.ศ. ๒๔๘๖
อายุ ๒๕ ปี ได้ลาสิกขาไป จากนั้น ได้กลับเข้ามาบรรพชาอุปสมบท ครั้งที่ ๒
ณ อุโบสถวัดศรีโคมคำ ต.เวียง อ.เมือง จ.พะเยา วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๐๕
โดยมีหลวงพ่อพรอุบาลีคุณูปมาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์
ได้ถวายตัว อุปฐาก ครูบาแก้ว คนฺธวํโส
- พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ย้ายมารักษาการเจ้าอาวาสวัดสันต้นหวีด
- พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสันต้นหวีด
- พ.ศ. ๒๕๑๑ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลแม่ปืม เขต ๒
- พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พัดยศเป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามใหม่ ชื่อ พระครูสันติธรรมาภิรม
- พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พัดยศเป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม
- พ.ศ. ๒๕๔๓ เนื่องปัญหาด้านสุขภาพ จึงได้ลาตำแหน่งเจ้าคณะตำบลแม่ปืม เขต ๒ และได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะตำบลกิตติมศักดิ์จนถึง ปัจจุบัน
นอกจากนี้ท่านได้ทำหน้าที่ ปกครองวัด และช่วยเหลือคณะศัทธาญาติโยม
ให้คำปรึกษา ทั้งในด้านการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ด้านสมุนไพร และอักษรภาษาพื้นเมืองล้านนา
ผลงานด้านต่างๆ ที่สำคัญในระยะเวลาที่ผ่านมา
๑. เป็นผู้ทำหนังสือขอพระราชทานวิสุงคามสีมา ของวัดสันต้นหวีด
ซึ่งวัดสันต้นหวีดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ และในปีเดียวกันนั้นได้สร้างศาลา โรงธรรม ศาลาบาตร อย่างละ ๑ หลัง ไว้กับวัด พร้อม ทำการฉลองและผูกพัทธสีมาในปีเดียวกัน และในปี ๒๕๑๓ ได้สร้างหอพระไตรปิฏก ใช้เวลาในการสร้าง ๑ ปี ในปี ๒๕๑๖ ได้กฐินจากชลบุรีมาทอด จึงได้ นำเงินที่ได้ ๑๐,๐๐๐ บาท ไปขยายพื้นที่ของวัด โดยได้ซื้อที่ดินของพ่ออ้าย ยอดวงค์ และที่ดินดังกล่าวได้ สร้างเชิงตะกอน (เมรุ) เผาศพ พร้อมทั้ง ศาลา ในปีเดียวกันนี้ได้ก่อสร้างกุฏิหลังใหญ่ และแล้วเสร็จในปี ๒๕๑๙
๒. เป็นผู้นำในการคิดริเริ่มการใช้ ระบบการ ฌาปนกิจโดยใช้วิธีการเผา แทนการฝัง
“ เนื่องด้วยในสมัยก่อนนั้น อาจเป็นเพราะเป็นหมู่บ้านในชนบทดังนั้นงบประมาณในพัฒนาประเทศจึงได้กระจายไม่ทั่วถึง ทำให้ ไม่ได้มีการสร้าง เมรุสำหรับเผาศพ เหมือนในปัจจุบัน จึงใช้วิธีการฝัง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ หลังจากที่อาตมาได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสันต้นหวีด จึงได้นำชาวบ้านช่วยกันพัฒนา ป่าช้าและสร้างเชิงตะกอนสำหรับเผาศพขึ้น โดยอาศัย การใช้เหล็ก ลางรถไฟ มาเพื่อนำมาทำเชิงตะกอน”
ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เหรียญที่ระลึกพระอนุสรณ์ อนุสาวรีย์ล้นเกล้าฯ ร.๖ พระราชทานกำเนิดรักษาดินแดน ออกเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๕
หรือ ที่เรียกกันส่วนใหญ่ว่า เหรียญ ร.6 ของกรมการรักษาดินแดน ปี 2505 นี้ได้ถูกจัดเข้าอยู่ในทำเนียบวัตถุมงคลของพระภิกษุธมฺมวิตกฺโก พระยานรรัตน์ราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) วัดเทพศิรินทราวาส แม้ว่าท่านจะมิได้เป็นพระภิกษุรูปเดียวที่ได้ปลุกเสกอธิษฐานจิตเหรียญ ร.6 นี้ก็ตาม คือหมายความว่าเหรียญรุ่นนี้ได้ผ่านพิธีพุทธาภิเษกหมู่โดยคณาจารย์หลายองค์ แต่คนทั่วไปก็ยกเหรียญ ร.6 ให้เป็นเครดิตของท่านไป
ทำนองเดียวกับพระเครื่องที่ปลุกเสกในพระอุโบสถวัดบวรฯ แม้เป็นพิธีหมู่คือมีครูบาอาจารย์ทั่วประเทศเข้าร่วมนั่งปรก คนทั้งหลายก็ยกให้เป็นพระเครื่องของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าไปทั้งหมดเหมือนกัน
เหรียญพระบรมรูปของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 กรมการรักษาดินแดนจัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกพระอนุสรณ์อนุสาวรีย์ ที่ประดิษฐานอยู่หน้าสวนลุมพินี โดยทำขึ้นหลายแบบทั้งกลมใหญ่ กลมเล็ก และใบเสมา จำนวนสร้างคาดว่าถึงหลักแสน เมื่อสร้างสำเร็จแล้ว ได้จัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นในวันที่ 17 พ.ย. 2505 มีคณาจารย์รับนิมนต์มานั่งปรกปลุกเสกหลายองค์ เช่น หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร หลวงปู่อาคม วัดสุทัศน์ฯ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อคล้าย วัดจันดี หลวงพ่อนาค วัดระฆัง พระสุธรรมธีรคุณ วัดสระเกศ พระอาจารย์ผ่อง วัดสามปลื้ม และหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ในพิธียังได้มีการอัญเชิญดวงพระวิญญาณของอดีตพระมหากษัตริย์ไทย แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ ร.1-ร.8 มาประทับทรงในร่างของนายทหารและนายตำรวจ เพื่อทรงเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีปลุกเสกด้วย
คุณท.สิริปัญโญ ได้กล่าวถึงเหรียญ ร.6 ไว้ในหนังสือทำเนียบประวัติของท่านเจ้าคุณนรฯ ว่า
“ในสมัยนั้นข้าพเจ้ายังรุ่นหนุ่ม ยังได้ดูเขาทำพิธีกันเห็นมีอาสนะว่างอยู่ 2 ที่ เท่าที่จำได้มีพระเกจิอาจารย์จากวัดต่างๆ มานั่งปรกกันเป็นจำนวนมาก และมีพระครูประกาศสมาธิคุณ สำนักวัดมหาธาตุเป็นผู้บรรยาย (โฆษก) ฝ่ายสงฆ์ในสมัยนั้น พอเสร็จพิธีได้มีหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่งท่านนั่งปรกอยู่ข้างอาสนะที่ว่าง ท่านได้สอบถามเจ้ากรมรักษาดินแดนว่าเป็นพระรูปใดที่มานั่งปรกอาสนะข้างท่าน ท่านเจ้ากรมจึงกราบเรียนว่าเป็นอาสนะของท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านบอกว่าเห็นมานั่งปรกอยู่เสร็จแล้วก็ได้หายไปเฉยๆ ยังความแปลกใจให้กับทุกคนที่ได้ยินและได้ฟัง เพราะต่างเห็นว่าว่างเปล่า ไม่เห็นมีใครมานั่งอยู่บนอาสนะนั้น”
เรื่องที่อาสนะของท่านเจ้าคุณนรฯ ว่างเปล่า จนเป็นเหตุอัศจรรย์ว่ามีหลวงพ่อองค์ที่นั่งใกล้อาสนะว่างนั้น เกิดนิมิตเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมานั่งปรกปลุกเสกด้วย คือมานั่งเดี๋ยวเดียวก็หายตัวไปนั้นมีอยู่ว่า ในการกระทำพิธีพุทธาภิเษกเหรียญ ร.6 ครั้งนั้น คณะกรรมการทุกคนจำเป็นต้องระลึกถึงท่านเจ้าคุณนรฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าท่านเป็นผู้หนึ่งที่จงรักภักดีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 จนปวารณาตัวบวชไม่สึก และล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ก็ทรงไปโปรดปรานท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นอย่างยิ่ง เมื่อระลึกถึงท่านเจ้าคุณนรฯ ได้อย่างนี้แล้ว ก็ไปกราบอาราธนาท่านเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกด้วย
แต่ท่านได้ปฏิเสธและบอกว่า
“อาตมาจะขอนั่งปรกปลุกเสกอยู่ในกุฏินี้ เพื่อส่งกระแสจิตไปร่วมพิธีพุทธาภิเษก ด้วยจนกว่าจะเสร็จ”
และท่านยังได้สั่งให้จัดอาสนะสำหรับท่านไว้ในพิธีนั้นด้วย
คณะกรรมการสร้างเหรียญ ร.6 ชุดนั้นได้นำชื่อของท่านเจ้าคุณนรฯ ออกประกาศให้ประชาชนทั้งหลายทราบว่า ท่านจะส่งกระแสจิตเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้ด้วย แม้ว่าท่านจะไม่มา
จนกระทั่งเกิดเป็นเรื่องฮือฮา ถึงกับมีการจองเหรียญ ร.6 นี้เป็นจำนวนมาก ชั่วเวลาไม่ถึงสิบวันก่อนพิธี ปรากฏว่ามีการจองเหรียญกันแล้วไม่น้อยกว่า 4 หมื่นเหรียญ นี่ก็เห็นจะเป็นเพราะคำประกาศที่ว่าท่านเจ้าคุณนรฯ จะส่งกระแสจิตเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกนั่นเอง
เรียกว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ไม่มีใครคิดว่าจะได้ยิน
แต่ว่าในที่สุดก็มีเหตุแปลกประหลาดยิ่งกว่าเกิดขึ้น เมื่อหลวงพ่อองค์หนึ่ง (เสียดายที่ไม่ทราบชื่อของท่าน) ได้เกิดมีอันเห็นพระรูปหนึ่งที่ท่านเองไม่เคยรู้จัก มานั่งบนอาสนะว่างของเจ้าคณนรฯ ในระหว่างที่พิธีปลุกเสกกำลังดำเนินอยู่ จึงทำให้ทุกคนเชื่อว่า นั่นต้องเป็นภาพที่เกิดด้วยอำนาจการส่งกระแสจิตของท่านเจ้าคุณนรฯ อย่างไม่ต้องสงสัย
จะเรียกว่ากายทิพย์หรือเรียกอย่างไรก็สุดแล้วแต่ศรัทธา
สาเหตุที่ท่านเจ้าคุณนรฯ ไม่ได้มาร่วมพิธีปลุกเสกเหรียญ ร.6 นั้นก็เพราะว่าท่านได้อธิษฐานการไม่ออกจากวัดเอาไว้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าแม้สงครามจะเกิดถึงขั้นมีเครื่องบินมาทิ้งระเบิดใส่วัด ท่านก็ไม่หนีไปไหน ยังคงนั่งภาวนาแผ่เมตตาให้นักบินข้าศึกอยู่ในกุฏิของท่านตามลำพัง คนอื่นๆ พากันทิ้งวัดหมด แต่ท่านไม่ทิ้ง เพราะว่าได้อธิษฐานไว้อย่างนั้นแล้ว
คราวภิกษุผู้เป็นบิดาของท่านมรณภาพลงที่วัดโสมนัสวิหาร ท่านก็ยังไม่ออกจากวัดไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพ หรืองานพระราชทานเพลิงศพภิกษุบิดาท่านแต่อย่างใด เพราะสัจจะที่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ออกจากวัดจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ซึ่งท่านก็ทำได้ตามนั้นจนกระทั่งถึงวันหมดลมหายใจไปจริงๆ
อย่างไรก็ตาม พระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ได้เคยปลุกเสกหรืออธิษฐานจิตไว้มากมายนั้น โดยมากมีราคาแพงมากๆ คงมีเหรียญ ร.6 ที่กรมการรักษาดินแดนจัดสร้างในปี 2505 นี้เท่านั้นที่ยังมีราคาถูกๆ อาจเรียกว่าถูกที่สุดในบรรดาของขลังทั้งหมดของท่านก็ว่าได้
เหรียญที่ระลึกพระอนุสรณ์ อนุสาวรีย์ล้นเกล้าฯ ร.6 พระราชทานกำเนิดรักษาดินแดน ออกเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2505
ประกอบพิธีมหามงคลปลุกเศกโดยพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิเวทยาคม 9 รูป คือ หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี, หลวงปู่อาคม วัดสุทัศน์เทพวราราม พระนคร, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม นครปฐม, พระเทพสิทธินายก วัดระฆังฯ ธนบุรี, พระสุธรรมธีรคุณ วัดสระเกศ พระนคร, หลวงพ่อคล้าย วัดจันดี นครศรีธรรมราช, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา มีพระอาจารย์ต่อจินดา วัดจักรวรรดิราชาวาส (สามปลื้ม) พระนคร เป็นผู้อำนวยการพิธี
และผู้หลักผู้ใหญ่ท่านมักเล่ากันว่า ท่านเจ้าคุณนรได้อธิษฐานจิตระยะไกลจากวัดเทพศิรินทร์เพื่อปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นนี้ด้วยครับ
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม
เนื้อผง ผสม ดินกากยายักษ์ ฝังข้า
ยอดพระเกจิ ที่ ท่านคงแก่เรียน ได้วิชาดีมากมาย
โดยเฉพาะ มหายันต์กำเนิดนารายณ์ อันมีฤทธานุภาพยิ่ง
หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ถือกำเนิดเมื่อ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๔ ตรงกับพุธ แรม ๖ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา ณ บ้าน ราชคราม อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุทยา บิดาชื่อ “เสือ” มาราชื่อ “ยิ้ม” นามสกุล
“พุทธศร” โดยโยมบิดาเป็นผู้ใหญ่บ้านจอมขมังเวทย์ เป็นคนใจดี แต่สนใจเรื่องวิชาอาคมต่างๆ เวลาดื่มเหล้าชอบเคี้ยวแก้วเล่นประจำ แสดงให้ชาวบ้านเห็นว่าวิชาคงกระพันชาตรีของโบราณเป็นของแท้มีจริง แถมยังมีพุทธาคมดับพิษไฟได้ถึงขนาดพ่นไฟ อมไฟเล่นให้ชาวบ้านเห็นเสมอๆ และเป็นการจุดประกายขึ้นภายในจิตใจของ ด.ช. ไสว พุธทศร ให้ชอบและเชื่อในเรื่องของอำนาจเวท์มนต์คาถาอาคมขมัง และพุทธานุภาพของพุทธมนต์ต่างๆ ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเยาว์ ต่อมาบิดาเสียชีวิตแล้ว ท่านก็ได้ร่อนเร่พเนจร ไปอยู่ที่ต่างๆ หลายแห่งกระทั่งผลบุญนำมาเป็นเด็กวัดยายส้มหรือวัดปรีดารามในปัจจุบัน ได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดปรีดารามเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๑ จึงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดปรีดาราม โดยหลวงปู่ใจ วัดเชิงเลนเป็นพระอุปัชฌาย์สามเณรไสว พุทธศร ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ที่วัดปรีดารามเป็นเวลา ๔ ปี ครั้นที่วันที่ ๔ กรกฎาคม
พ.ศ.๒๔๘๔ เวลา ๑๔.๐๐ น.จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมา วัดปรีดาราม โดยหลวงพ่อใย วัดบางช้างใต้ เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เจิมวิสุทธิญา โณ เจ้าอาวาสวัดยายส้ม (วัดปรีดาราม) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เปลื้อง ยติมณี วัดจินดาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ฐิตวณฺโณ” จำพรรษาอยู่ที่วัดปรีดาราม ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมสอบ ได้นักธรรมชั้นเอก พร้อมทั้งศึกษาด้านวิปัสสนากรรมฐาน และร่ำเรียนอย่างอุกฤษฏ์ด้านวิทยาคม ไสวเวทย์ วิชาอาถรรพณ์ เร้นลับ พุทธคมต่างๆ มีความรู้ลึกซึ่งเป็นพหูสูตมาตั้งต้น และนำมาช่วยญาติโยมเห็นผมเป็นที่ประจักษ์
บูรพาจารย์ที่ถ่ายทอดวิทยาคม ให้หลวงพ่อมีทั้งฆารวาสและบรรพชิต โดยท่านเป็นผู้คงแก่เรียนเมื่อทราบว่ามีครูบาอาจารย์ดีเก่งกล้าอยู่ที่ทิศใด ท่านก็จะดั้นด้นไปหา ขอศึกษาหาความรู้จนแตกฉาน เรียกว่า ปรนนิบัติอาจารย์เป็นเลิศ อาจารย์ก็เมตตาเห็นว่าตั้งใจจริง จึงถ่ายทอดวิชาให้ ชนิดแบบหมดไส้หมดพุง ถึงลูกถึงคนถึงพริกถึงขิง คือทดลอง ให้เห็นกันจะจะเลยทีเดียว ศิษย์ทำได้ถือว่าสำเร็จ แม้บางครั้งเสี่ยงต่อชีวิตแต่หลวงพ่อก็ไม่ย้อท้อ ขอเพียงให้ได้วิชาหรือศาสตร์อันลึกล้ำพิสดารนั้นมาท่านก็พอใจแล้วครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อไสว เท่าที่พอจะประมวลได้พอสังเขปมีดังนี้
๑.หลวงปู่พูน เกสโร อดีตเจ้าอาวาสวัดใหม่ปิ่นเกลียว เป็นยอดพระเกจิฯ ร่นเดียวกับหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม หลวงพ่อวงษ์ วัดทุ่งผัดกูด และสหธรรมิกรุ่นพี่ของ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ซึ่งหลวงพ่อเงินท่านนับถือหลวงปู่พูน ในฐานะเป็นพระเกจิฯ รุ่นอาวุโสและเคยนิมนต์ให้มาปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นแรกๆ ของท่านหลวงปู่พูนท่านเป็นเจ้าตำรับวิชาคงกระพันชาตรี ขนาดใช้ฝ่ามือผ่าไม้รวกได้ วัตถุมงคลหลวงปู่พูน เซียนพระรุ่นเก่าๆรู้จักกันดี เช่นพระสังกัจจายน์ เนื้อผงใบลาน นางกวัก เนื้อผงดินเผา ปลัดขิก เหรียญรุ่น ๑ พ.ศ.๒๔๙๐ ผ้ายันต์-ผ้าประเจียด-ตะกรุดโทนปัจจุบันโด่งดังแต่หายากมาก หลวงพ่อไสว ได้รับการถ่ายทอดวิชา การลงอักขระเลขยันต์คงกระพันชาตรี วิชามหาอุด วิชาเมตตามหานิยม และอาถรรพ์เวทย์หลายด้านครบถ้วนจากหลวงปู่พูน ชนิดที่เรียกว่าครอบจักรวาลทีเดียว ที่หลวงพ่อไสวโด่งดังมากคือ ตะกรุดโทน ตำรับหลวงปู่พูน
หลวงปู่พูน มรณะภาพ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ปัจจุบันมีรูปเหมือนขนาดเท่าองศ์จริงประดิษฐานอยู่ที่ ณ วัดใหม่ปิ่นเกลียว เป็นที่เคารพนับถือของคนนครปฐมมาก ทุกครั้งที่ทางวัดมีงานสำคัญ จะนิมนต์หลวงพ่อไสว ไปร่วมงานในฐานนะศิษย์เอกหลวงปู่พูน วัดใหม่ปิ่นเกลียว อันเป็นที่ อมตะในตำรับผ้ายันต์-ตะกรุดโทน
๒.หลวงพ่อเงิน วัดยายส้ม (วัดปรีดาราม) ท่านบวชที่ วัดใหม่ปิ่นเกลียว เป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่พูน ลำได้รับการถ่ายทอดพุทธวิทยาคมไปจากหลวงปู่พูน หลวงพ่อไสว ได้รับการฝึกฝนสมาธิจิตพื้นฐาน จากหลวงพ่อเงิน วัดยายส้ม เมื่อได้เคล็ดวิชาเบื้องต้นแล้ว หลวงพ่อเงิน วัดยายส้ม จึงได้นำหลวงพ่อไสวไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่พูน ซึ่งเป็นปรมาจารย์จึงได้รับการถ่ายทอดสรรพวิทยาคาทั้งหมดฯลฯ ในปัจจุบันมีรูปเหมือนเท่าจริงหลวงพ่อเงิน ประดิษฐานอยู่หน้าอุโบสถหลังเก่าวัดปรีดาราม
๓.อาจารย์ยัง เพชรบุรี เป็นครูสักยันต์ชื่อดังระดับประเทศ เคยบวชเรียนและศึกษาพุทธาคมจากหลวงปู่พูน วัดใหม่ปิ่นเกลียว อาจารย์ยัง ท่านเก่งทางวิชาหาสะเดาะ สะเดาะลูกกุญแจหรือกลอนประตูดุจ ขุนแผน กลับชาติมาเกิด หลวงพ่อเงิน วัดยายส้ม นำหลวงพ่อไสว ไปเรียนวิชาบางประการ อันเป็นเอตทัคคะของอาจารย์ยัง อาจารย์ยังเกรงใจหลวงพ่อเงิน จึงถ่ายทอดวิชาพิเศษให้
หลวงพ่อไสว อาทิเช่น การทำมหายันต์กำเนิดนารายณ์ อันมีฤทธานุภาพยิ่งต่อมาผ้ายันต์กำเนิดนารายณ์ของหลวงพ่อไสว ก็โด่งดังลือลั่นมีศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งเผชิญมหาภัย ใช้ผ้ายันต์อธิษฐาน
ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมองมาเห็นตัว กลับเห็นคนโพกผ้าแดงเต็มไปหมด จึงหนีรอดจากปวงภัยไปได้ด้วยปาฏิหาริย์ผ้ายันต์นั้น นอกจากนี้ป้องกันภูตผีปีศาจ ด๗รผู้ร้ายไม่อาจทำอันตรายได้ นิยมติดผ้ายันต์นี้ไว้เหนือประตูบ้าน มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก มีผู้นักพบประสบการณ์มากมาย
๔.เสือย้อยชูรอด เป็นเสือร้ายจำใจในอดีต เป็นคนหมู่บ้านถนนขาด แถวเกาะวังไทร นครปฐม ตอนหลังกลับใจเป็นคนดีเป็นจอมขมังเวทย์ฤทธิ์เวทย์ขมังขลังนักเป็นที่เลื่องลือหลวงพ่อไสว ได้ขอเรียนวิชา “ยันต์หน้าพระ” หรือนะหน้าคนจากเสือย้อย ซึ่งได้รับการประสิทธิ์ประสาทให้ด้วยความเต็มใจชนิดครอบครูยกตำรับตำราให้เลย หลวงพ่อไสวฝึกฝนสูตรสนธิแม่นยำ และประทับใจในยันต์หน้าพระมาก หลวงพ่อไสวจึงใช้ยันต์เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวท่าน โดนใช้ยันต์นี้ประทับอยู่ด้านหลังเหรียญของท่านแทบทุกรุ่น ได้รับปรากฏอิทธานุภาพเป็นที่รำลือเช่นกัน ตำรับยันต์หน้าพระเสือย้อยได้มอบแก่ “พระอาจารย์สำราญ” วัดเขาตะเครา และพระราชสุธรรมเมธี (หลวงพ่อ-เทพ) เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวิหาร อีกด้วย หลวงพ่อไสวจะเขียวยันต์นี้เจิมบ้าน เจิมรถ ลงกระหม่อมให้ลูกศิษย์ โดยบริกรรมภาวานาเรียกสูตรเรื่อยไปตากตำรับ ห้ามยกดินสอ กระทั่งเขียวเสร็จ
๕.หลวงพ่อขาว วัดสวนส้ม อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาครเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา “ปิดทองเข้าหน้าผาก” หรือลงนะหน้าทองตำรับพิสดารให้แก่หลวงพ่อไสว เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง ต้องใช้พลังจิตชั้นสูงบริกรรมภาวานา โดยปิดทองคำเปลวที่หน้าผาก โดยใช้ ๓ แผ่นบ้าง ๙แผ่นบ้าง โดยไม่ต้องแกะกระดาษปิดออก หลวงพ่อเสกบริกรรม แล้วตบเบาๆ เปรี้ยงเดียวแผ่นทองคำก็หายไปในหน้าผากทั้งหมด มีอาณุภาพทางเมตตามหานิยม คุ้มภัยนานา
๖.อาจารย์ปิ่น รอดคลองตัน สมุทรสาคร เก่งในเรื่อง “ปลัดขิก” เพราะเป็นศิษย์หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นศิษย์หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา เป็นศิษย์หลวงปู่พูน
วัดใหม่ปิ่นเกลียว ปลัดขิกของหลวงพ่อไสวมีผู้อาราธนาฟาดสายรุ้ง ขาดออกจากกัน และเมื่อปลุกเสกในบาตรน้ำมนต์ วิ่งพล่านดุจมีชีวิต และกระโดดออกจากบาตรได้ ปัจจุบันหลวงพ่อไสว เป็นศูนย์รวมหนึ่งเดียวของการปลุกเสกปลัดขิกมีอาณุภาพอัศจรรย์ปรากฏชื่อเกียรติคุณอยู่ในขณะนี้
๗.อาจารย์แช่ม ตะโกสูง จ.นครปฐม เป็นศิษย์หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อแช่มนั้นเป็นศิษย์ของหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์หลายประการรวมทั้งย่นระยะทางได้ อาจารย์แช่มเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาแพทย์แผ่นโบราณตำรับพุทธมนต์โอสถแก่หลวงพ่อไสว ซึ่งหลวงพ่อไสว เคยรักษาโรคร้ายแรง ที่โรงพยาบาลไม่รับ หายมาแล้วมากมาย ฯลฯ
๘.พระปลัดตู่ วัดหนองเสือ มีวิชาเร้นลับสำคัญอยู่ เรียกว่า วิชาตกวิญญาณ สำหรับใช้เรียกวิญญาณคนตกน้ำตายเพื่อนำวิญญาณไปอยู่ในที่อันควร พระปลัดตู่ได้ถ่ายทอดวิชาตกวิญญาณ
ให้หลวงพ่อไสวอย่างสมบูรณ์แบบได้ผลอัศจรรย์ยิ่งพิธีสังเขปคือ เมื่อเรียกวิญญาณปลุกเสกหุ่นเสร็จ ตั้งเครื่องเสียกบาลต่างๆ แล้วใส่กระทงกากล้วย ทำบัตรพลี ใช้เบ็ดตกปลาเกี่ยวดินอาคมหย่อนลงไปในน้ำที่มีคนตกไปตาย บริกรรมคาถาเรียกวิญญาณ ผู้ที่มาเห็นปรากฏการณ์ประหลาดมีคลื่นวิ่งเป็นทางยาว สายเบ็ดกระตุกดุจมีปลาใหญ่มากินเหยื่อ จนคันเบ็ดโค้งโก่งไปโก่งมา ต้องกันดึงขึ้นมา ฯลฯ เรื่องนี้ชาวบ้านคลองจินดาต่างประจักษ์กันดี การตายโหงทุกรูปแบบหลวงพ่อก็ไปทำพิธีมาหมดแล้วแม้แต่มีผีเจ้าของสิงที่ไหนท่านก็เคยปรากมาหมดแล้ว โดยมากพาคน โดนผีเข้าที่อาการหนัก มารดน้ำมนต์หลวงพ่อ ผีดิ้นพราด ร้องโหยหวนวังเวง ก่อนจะออก
๙.หลวงพ่อประพันธ์ คำสิงห์ อยู่ในถ้ำดงพญาไฟ ได้ถ่ายทอดวิชาสร้างพระปรอท-ธาตุกายสิทธิ์ให้ศิษย์คนหนึ่งที่รับสัจจะเลิกเป็นโจรสลัด ต่อมาศิษย์คนนั้น ได้ถ่ายทอดวิชาให้แก่หลวงพ่อไสว หลวงพ่อได้สร้างพระปรอทแจกทหารเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารหาญผ่านสมรภูมิอย่างโชกโชน ถูกยิงไม่เข้า แคล้วคลาดจากระเบิด ปราศจากโรคภัยรอดมาได้ฯลฯนอกจากนี้หลวงพ่อไสวยังได้ไปเรียนวิชาอาคมเป็นเกร็ดเล็กน้อย จากพระเกจิอาจารย์อีกหลายรูป อาทิ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง เจ้าแห่งการสร้างพระราหูดันเลื่องลือ เป็นต้น เหตุที่หลวงพ่อไสวมีจิตตานุภาพสูง ก็เพราะท่านได้บำเพ็ญธุดงค์วัตรฝึกสมาธิจิตหลังจากสอบได้นักธรรมเอก โดยอธิฐานออกธุดงค์ในพรรษาที่ ๓ มุ่งหน้าสู่ภาคอีสานไปมนัสการ พระธาตุพนม พรรษที่ ๗ ธุดงค์จาริกไปทางเขาวงพระจันทร์ ดินแดนถ้ำผาท้าวกกขนาก จ.ลพบุรี สู่ จ.อุตรดิตถ์ ฯลฯ สมัยนั้นเป็นป่ารกทึบ เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด และคลาคล่ำด้วยภูตผีปีศาจโขมดดง ผีก็องกอย ไข้ป่า และกฎอันศักดิ์สิทธิ์ของการสมาทานธุดงค์ เช่นครั้งท่านปักกลดลงไปแล้วครอบเอารังมดเข้าถอนกลดก็ไม่ได้จึงสมาธิแผ่เมตตาว่าคาถากันหมด ซึ่งได้มาจากหลวงพ่อพระครูสาครคุณาธาร เจ้าอาวาส วัดเดชาฯ จ.นครปฐม เกิดปรากกฎการณ์อัศจรรย์ มดฝูงใหญ่รวมกันอยู่ภายในกลดไม่มาไต่ท่านเลย เรื่องราวปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ยังอีกมาก เท่าที่เสนอมานี้เป็นเพียงสังเขปเท่านั้น เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า การที่หลวงพ่อกว่าจะก้าวขึ้นมาสู่การเป็นยอดพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าของเมืองไทยอีกรูปหนึ่งนั้น ยังมีหนทางอีกยาวไกล ผ่านมามิใช่น้อย
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระปิดตารุ่นแรก หลวงพ่อไสว วัดปรีดารามเนื้อผง ผสม ดินกากยายักษ์ ฝังข้าวสารดำ สร้างประมาณราวๆปี๒๕๐๘
องค์นี้ สภาพไม่สวย เนื้อราน แต่บูชาได้ครับเอาไว้ศึกษา เนื้อหามวลสาร ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
หลวงพ่อบุญธรรมวัดนาคนันทาราม(บางจิก)สิงห์บุรี
ท่านเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับหลวงพ่อเพี้ยนบวชวันเดียวกันและเรียนวิชามาด้วยกัน
เหรียญหลวงพ่อบุญธรรมและสิงห์หลวงพ่อบุญธรรม ให้บูชาคู่กันเหรียญและสิงห์ 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
มี๓ชุดนะครับ สวยทุกชุดสภาพเดิมๆ
( ที่วัด ตอนนี้เฉพาะสิงห์ ให้บูชา๓๐๐บาทครับเหรียญปี๕๑ ก็ ราคาขยับ)
-
หลวงปู่เหล็งท่านเป็นพระอนุสาวนาจารย์ของหลวงปู่ม่น วัดเนินตามากครับ ท่านมีชื่อเสียงมากในพื้นที่ วัตถุมงคลท่านเด่นทางด้านแคล้วคาดคงกระพันครับ ท่านเป็นพระที่มีศีลวัตรดีงามอีกรูปหนึ่งครับ
พระครูอาจารสุนทร โชติธโร สถานะเดิมชื่อ เหล็ง แซ่จึง เกิดวันอังคาร ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๙ บิดาชื่อ ม่วย มารดาชื่อ เปี่ยม แซ่จึง อยู่บ้านเลขที่ ๖๑ หมู่ที่ ๑ ต.โคกเพลาะ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี อุปสมบทเมื่อ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๘ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๐ ณ วัดโคกเพลาะ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ได้รับฉายาว่า โชติธโร พระครูอาจารสุนทร เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๗๗-๒๕๔๑ เป็จเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดโคกเพลาะ ท่านได้พัฒนาวัดด้วยการปรับปรุงเสนาสนะตลอดมา สร้างโรงเรียนสำหรับเป็นที่ศึกษาของเด็กในแวกนั้น ท่านเป็นผู้ที่ยึดหลักปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด พระครูอาจารสุนทร อาพาธด้วยโรคชรา ท่านมรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๑ รวมสิริอายุ ๙๓ ปี พรรษา ๗๒
ขอบคุณข้อมูลจากสำนักงานวัฒนธรรม จังหวัดชลบุรี เหรียญรุ่นแรกลป.เหล็งปี๒๕๑๙ และ รูปหล่อลป.เหล็งเสาร์๕
ให้บูชา 420 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
เมื่อปี พ.ศ.2523 หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ลงข่าว ผู้หญิงถูกผู้ชายยิงในตรอกหลักหินใกล้หัวลำโพง สาเหตุที่สามาคนเก่าเกิดความแค้นที่อดีตภรรยาเดินคู่กับสามีคนใหม่ แต่ลูกปืนที่ยิงผู้หญิงนั้นยิงไม่เข้า เมื่อดูในคอจึงรู้ว่ามีเหรียญของหลวงพ่อคงห้อยคอเพียงองค์เดียวเท่านั้น เป็นเหรียญเสมาด้านหลังนางกวัก เป็นเหรียญรุ่นแรกของท่าน จากข่าวที่ลงในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันทำให้คนจากหลาย ๆ จังหวัดที่มีความเลื่อมใสเดินทางไปยังวัดเพื่อบูชาเหรียญของท่าน ปรากฏว่าช่วงนั้นพระเครื่องของท่านมีไม่กี่รุ่นได้หมดไปจากวัดในเวลาอันรวดเร็ว และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้คนก็เดินทางไปหากันไม่เคยขาด พระเครื่องของท่านได้จัดสร้างกันมาตลอดเวลา และแต่ละรุ่นนั้นก็มีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เป็นที่กล่าวขานถึงบุญญาอภินิหาร
พระอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบศึกษาธรรมะ และเล่าเรียนวิชาอาคมขลังเอาไว้ช่วยเหลือผู้คนที่มีความเดือนร้อน นับว่าเป็นความโชคดีอย่างมากที่สมัยนี้การเดินทางนั้นสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งข่าวสารก็ช่วยกันเผยแพร่ให้คนรู้จัก จากวัดตะคร้อที่มีสิ่งก่อสร้งไม่มากมายอะไรนักก็เจริญขึ้นมาใหญ่โตมากในระยะเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น เมืองโคราช หรือนครราชสีมานี้ อดีตนั้นเคยมีผู้หญิงกล้า พระอาจารย์ในอดีตที่ผ่านมานับเป็นร้อย ๆ รูปที่ทรงคุณวิเศษในด้านต่าง ๆ ก็มากมายและศิษย์ก็ได้รับการสืบทอดวิชานั้นเอาไว้จนมาถึงปัจจุบัน
ชาติภูมิ นามเดิมว่า คง นามสกุล เทพนอก เกิดเมื่อปีกุน พ.ศ.2454 ที่บ้านดอนเมือง อ.คง พ่อของท่านชื่อ พูน แม่ของท่านชื่อ แย้ม ท่านเป็นลูกชายคนโตในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 8 คน พ.ศ.2471 ท่าบวชเป็นสามเณร พ.ศ.2475 ก็บวชเป็นพระต่อเลยที่ วัดบ้านวัด ต.เทพาลัย อ.คง จ.นครราชสีมา พระครูศรีวิสุทธิพรต วัดเดิม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สุข เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ทิม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ภายหลังบวชไปอยู่วัดแจ้งนอกในตัวเมืองโคราชเพื่อเล่าเรียนด้านธรรมะ และเดินทางไปอยู่ที่วัดหนองจะบก สองปีที่ผ่านมาอยู่วัดนี้เพื่อสะดวกในการเดินทางไปเรียนหนังสือและศึกษาด้านธรรมะที่ วัดบึง อันเป็นสำนักยิ่งใหญ่ในสมัยนั้น ได้นักธรรมเอกและติดตามพระอาจารญ์ของท่านไปอยู่อีกหลายวัด และเดินทางเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ นอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค จากสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร แล้วไปอยู่ที่บัวใหญ่ ต่อจากนั้นก็ไปอยู่วัดตะคร้อเมื่อปี พ.ศ.2495 พ.ศ.2496 ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอและเป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาอาคมขลังให้ท่านมีดังนี้ หลวงพ่อเสี่ยง วัดเสมาใหญ่ หลวงพ่อรอด วัดดอนผวา หลวงพ่อเขียว วัดปอปิด แต่ละรูปนั้นในด้านคุณวิเศษของท่านแล้วยอดเยี่ยมที่สุดสมัยนั้น แต่ละรูปเหรียญหรือพระเครื่องของท่านล้วนแต่ราคาแพงมากด้วย
หลวงพ่อคงท่านเป็นพระที่สร้างความเจริญให้กับวัดตะคร้อเป็นอย่างมาก พระเครื่องของท่านนั้นมีไม่ต่ำกว่า 50 รุ่น คิดเอาเถอะครับว่าพระบ้านนอกอยางนั้นถ้าไม่แน่จริงแล้วคงไม่มีการสร้างพระเครื่องมามากขนาดนั้น แต่ด้วยความศรัทธาของประชาชนที่มีพระเครื่องของท่านติดตัวแล้วมีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ นั่นเอง
ยิงไม่เข้า
เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๓๔ เวลา ๑๙.๒๐ น. นางสุดใจ จันทร์พุ่ม อายุ ๒๐ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๑๗๙/๑๒ ซอยร่วมฤดี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ได้แจ้งความ ร.ต.อ.ธีรศักดิ์ ณ นคร สน.ลุมพินี ว่าเพิ่งถูกนายสมบัติ พรหมจิต อายุ ๒๕ ปี อดีตสามีซึ่งเลิกร้างกันไปปีกว่าแล้วยิงด้วยปืน
โดยนางสุดใจเล่าว่า ปกติหาเงินอยู่แถวโรงแรมเกรซ เมื่อ ๔ เดือนที่แล้ว ได้พบกับนายซ้านซ์ สลอด ชาวเยอรมัน ได้ตกลง เป็นเมียเช่า โดยได้รับเงิน เป็นรายเดือน ระหว่างอยู่เมืองไทยก่อนหน้ามาแจ้งความ ได้พานายซ้านซ์ ไปที่บ้านเช่า ก็พอดีนายสมบัติ ซึ่งปกติแม้เลิกกันแล้ว ก็ยังมาหาที่บ้านเช่าและแบมือขอเงินอยู่เสมอ วันนี้เมื่อนายสมบัติมาถึง ก็ฉุดมือนางสุดใจ ต่อหน้านายซ้านซ์ ทำให้นายซ้านซ์ไม่พอใจมากถึงกับปฏิเสธที่ให้เงินนางสุดใจอีก ทำให้นายสมบัติโกรธมาก จึงชักปืนยิงนางสุดใจ ๑ นัด ล้มทั้งยืน จากนั้นนายสมบัติ ก็หันปลายกระบอกปืนเข้าใส่นายชานซ์ ซึ่งวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต กระสุนนั้นหลังนี้ ได้เลยไปถูกทีวีเครื่องหนึ่ง ของเจ้าของบ้านเช่า (ชื่อนางอรุณ คำปาวงศ์) หัวกระสุนลูกที่ ๒ นี้เป็นกระสุน .๓๘ หัวทองแดง
หลังจากให้ปากคำร้อยเวร นางสุดใจ ได้เปิดรอยแผล ที่บริเวณไหล่ซ้าย ให้เจ้าหน้าที่ ดูรอยแผลที่ถูกสามีเก่ายิง ปรากฏเป็นเพียงจุดแดงกลม ๆ เป็นรอยช้ำมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย ร้อยเวรได้ส่งตัวไปให้แพทย์ ร.พ. ตำรวจ ตรวจรักษาบาดแผล แพทย์ก็เพียงเอายาแดงทาให้ แล้วกลับมาโรงพัก ท่ามกลางตำรวจ นักข่าว ช่างภาพหนังสือพิมพ์ นับสิบคน ได้มีผู้ขอดูพระที่แขวนคอ นางสุดใจได้ถอดสร้อยคอนาก เส้นเล็กออกมาให้ดู เป็น เหรียญหลวงปูคง รุ่นสาวหนังเหนียว (ที่มาของชื่อ ได้มาจากเรีองนี้) นางสุดใจแจ้งว่า ได้มาจาก วัดสามง่าม (วัดชำนิหัตถการ กทม.) ส่วนหลวงปู่คง ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดตะคร้อ จังหวัดนครราชสีมา ท่านเป็นทั้งพระวิปัสสนา มีผู้เคารพ นับถือมากผู้หนึ่ง ในเมืองไทย
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
สมเด็จรุ่นผูกพัทธสีมา หลวงพ่อคง วัดตะครัอ จ.นครราชสีมา ปี พ.ศ.2523 หาเหรียญรุ่นสาวหนังเหนียวใช้ไม่ได้ ใช้รุ่นนี้แทนได้ครับ ในบรรดาวัตถุมงคลของหลวงปู่ รุ่นนี้ ดังสุด มีลงหนังสือพิมพ์สมัยนั้น เรียกชื่อรุ่นว่าอีสาวหนังเหนียวประสพการณ์เกี่ยงกับเหรียญท่าน สมเด็จพิธีเดียวกัน ครับ
เหรียญสาวหนังเหนียวบล๊อคเสริม ปี๓๓ มีรอยจารใต้มือนางกวัก
ให้บูชาคู่กัน ๒ องค์ 550 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
แยก บูชาเดี่ยว ได้ครับ
พระสมเด็จ 350
เหรียญ 300
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
วันนี้ จัดส่ง
ขอบคุณครับ
หน้า 61 ของ 105