พระสมเด็จแสน เป็นพระที่จัดสร้างขึ้นโดยสมเด็จพระสังฆราช ป๋า วัดเชตุพนหรือวัดโพธิ์ กรุงเทพ ในปี ๒๕๑๒ ท่านสมเด็จป๋า เป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง ท่านเป็นชาวสุพรรณบุรี เป็นพระสังฆราชที่ชาวสุพรรณยกย่องมากเพราะท่านเป็นพระที่ไม่ติดในยศศักดิ์ สมเด็จป๋า มีความสนิทสนมกับยอดพระเกจิดังๆในอดีตหลายองค์ เช่น หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ เป็นต้น
เนื้อหามวลสาร และการจัดสร้างพระสมเด็จแสน ของสมเด็จป๋า ถือว่าเป็นยอดพระผงที่มีมวลสารจากทั่วประเทศ เป็นของดีที่ซ่อนเร้นอยู่ในวงการ พุทธคุณพระรุ่นนี้ไม่เป็นรองพระแพงๆ เพราะเจตนาผู้สร้างบริสุทธิ์ มวลสารดีมากๆจากทั่วประเทศ พระเกจิที่นิมนต์มาปลุกเสก เช่น หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่โต๊ะ หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ หลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยา หลวงพ่อฑูรย์ วัดโพธินิมิต เป็นต้น สมเด็จแสน ที่สร้างโดยสมเด็จสังฆราชป๋า ปี 2512 (ตอนนั้นท่านยังดำรงตำแหน่งสมเด็จพระวันรัต) ได้สร้างพระสมเด็จแสน ออกแจกลูกศิษย์ในงานฉลองอายุครบ ๗๒ ปีของท่านครับ
ในส่วนของวัตถุมงคลนั้นได้จัดสร้าง 2 พิมพ์คือ พิมพ์ใหญ่และเล็ก มีทั้งแบบ พิมพ์หน้าเดียวและพิมพ์ 2 หน้า ( พบเจอยากมากๆ ) สร้างทั้งหมด หนึ่งแสนองค์ เอกลักษณ์ของพระพิมพ์นี้คือ ด้านหลังเป็นลายก้านโพธิ์
จัดว่าเป็นอีกหนึ่ง พระดี ปีลึก พิธีใหญ่ ที่ราคาเช่า บูชา ในปัจจุบัน อยู่แค่เพียง หลักร้อยถึงหลักพันต้น ซึ่งเมือดูจากมวลสารและพิธีที่จัดสร้างนั้นนับว่าราาเบามากๆ ( รุ่นนี้ชาวต่างชาติตามเก็บสะสมกันมาก )
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
กล่องที่ใส่โดนความร้อนจนละลายบิดเบี้ยว เสียรูป
ให้บูชา 270 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
ปรกโพธิ์ชนะมารกองทุนหลวงพ่อปานพระผงหลวงปู่บุญวัดบ้านนาระยอง พระปิดตาลป.เจียง เนินหย่องระยอง.
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.
หน้า 98 ของ 105
-
-
เหรียญหลวงพ่อคง วัดบ้านสวน ปี ๒๕๓๐
พระครูพิพัฒน์สิริธร หรือ"หลวงพ่อคง สิริมโต" (7 มกราคม พ.ศ. 2445 - 23 กันยายน พ.ศ. 2517) อดีตเจ้าคณะตำบลมะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ท่านเป็นศิษย์ของพระครูสิทธยาภิรัต (พระอาจารย์เอียด) วัดดอนศาลา และศึกษาเพิ่มเติมจากตำราไสยศาสตร์ของท่านอาจารย์เฒ่า วัดเขาอ้อ จนมีความรู้แตกฉานและทรงวิทยาคุณในวิชาแขนงนี้ เป็นที่รู้จักและเคราพนับถือจากประชาชนทั่วไปทั้งในจังหวัดพัทลุง และจังหวัดอื่นๆ
ในงานผูกพัทธสีมาวัดบ้านสวน เมื่อปีพ.ศ.2530 ทางวัดได้จัดสร้างเหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อคงขึ้นเป็นที่ระลึก มีพิธีปลุกเสกใหญ่โดยนิมนต์เกจิสายเขาอ้อและสายใต้มาร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิต
แม้จะเป็น"เหรียญตาย" แต่ได้สุดยอดเกจิร่วมกันอัดพลังคาถาอาคม และมีประสบการณ์มากมายหลายด้าน
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
มี ๓ เหรียญ
ให้บูชาเหรียญละ 270 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
ประสบการณ์ในการปลุกเสกวัตถุมงคลของท่านนั้นยังมีอีกมากมาย ที่หลายท่านได้ประสบพบเจอกัน เช่นการปลุกเสกน้ำมนต์จนโอ่งแตกที่จ.พิจิตร
โดยมีผู้ร่วมพิธีหลายพันคนต่างตกตะลึงในความมหัศจรรย์ ทั้งทีโอ่งใบนี้ใหญ่และแข็งแรงมากระดับว่าต้องใช้ชายฉกรรณ์ถึงกว่า10คนยกขึ้นมาในสถานที่ทำพิธี
รวมถึงการลอยตัวลงจากอาสนะขณะปลุกเสกน้ำมนต์ที่ ลอสแองเจอลิส สหรัฐอเมริกา และการปลุกเสกประจุพลังยกวัตถุมงคลที่หนักกว่า 40-60 กิโลให้ลอยเหนือศรีษะ ด้วยมือเพียงข้างเดียว ฯลฯ ยังมีอีกมากมายเลยครับเล่ายังไงก็ไม่จบ
พระครูสุนธรธรรมประภาส (หลวงพ่อแขก วัดสุนทรประดิษฐ์) ตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก
นามเดิมชื่อ ลำยอง นามสกุล นาทีทองพิทักษ์ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ.2467 ตรงกับแรม 7 ค่ำ เดือน 10 ปีชวด ณ บ้านกรุงกรัก ต.บางระกำ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก บิดาชื่อ นายเฮง มารดาชื่อ นางพัน อาชีพทำนา มีพี่น้องรวม 7 คน
ท่านเป็นพระอาจารย์ที่ชาวจังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือท่านเป็นอย่างมาก เพราะท่านเป็นพระที่ถือสันโดษ บำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง
ในด้านการปฏิบัติของท่านนั้น ถือเอาปฏิบัติสัจจะเป็นที่ตั้ง ท่านจึงมีสานุศิษย์ใกล้ชิดที่มีความเคารพมาก เพราะได้ประจักษ์แก่สายตาของตนเองมาแล้วทั้งนั้น
ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระฝักไม้ขาวปี๒๕๓๔ตะกรุดโทน เหรียญโภคทรัพย์ ๓ รายการ
ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
-
คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ
เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเดชพระคุณพระอริยสงฆ์ ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเรียกว่า พระสุปฏิปันโน มาหลายองค์แล้ว ชักจะเบื่อ ๆ ลองมาเปลี่ยนบรรยากาศติดตามเรื่องของฆราวาส ๒ ท่านดูบ้าง คือ เรื่องของ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ เดี๋ยวพอให้คลายหายง่วงหายเหงา แล้วค่อยกลับเรื่องไปคุยถึงหลวงพ่อ ฯ หลวงปู่องค์อื่น ๆ กันอีกก็แล้วกันนะครับ
ในสมัยที่ผมได้มาพบกับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมมียศเป็นร้อยตำรวจเอก แต่ได้รับเกียรติยศเป็นอย่างสูง ให้ไปช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า (ปัจจุบันเรียกชื่อใหม่ว่า “ศูนย์อำนวยการร่วม กองบัญชาการทหารสูงสุด”)
ทั้งนี้ เป็นความกรุณาอย่างยิ่งของท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งในขณะนั้นมียศเป็น พ.อ. ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองยุทธการ ท่าน พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นมียศ พล.ท. ดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ท่าน พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหาร และท่าน พล.อ. ทำเนียบ ทับมณี รองประธานคณะเสนาธิการ กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ขณะนั้นยศ พ.ท. ดำรงตำแหน่งประจำกองยุทธการ
ความจริงนอกจากผู้หลักผู้ใหญ่ทางฝ่ายทหารจะได้กรุณาผมดังกล่าวแล้ว ท่านผู้ใหญ่ทางตำรวจที่ให้ความกรุณาเป็นอย่างยิ่งกับผมในครั้งนั้นก็มี คือ ท่าน พล.ต.ท. ประเนตร ฤทธิ์ฤาชัย อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน และท่าน พล.ต.อ. วสิฏฐ์ เดชกุญชร ณ อยุธยา อดีต รมช. กระทรวงมหาดไทย ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ได้ช่วยเหลือและชักชวนให้ผมไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดนเช่นเดียวกัน
ผมจำได้ดีว่า ทั้งสองท่านยังได้กรุณาพาผมไปเลี้ยงอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งแถวถนนพหลโยธิน แต่แล้วในที่สุด ด้วยความจำเป็นและความสะดวกสบายที่ได้รับมากกว่าจากทางกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ผมจึงจำเป็นต้องเลือกการไปช่วยราชการอยู่กับฝ่ายทหาร ทั้งๆ ที่ความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งนั้นอยู่กับตำรวจตระเวณชายแดนมากกว่า
แต่ถ้าท่านเป็นผม ก็คงจะต้องเลือกเช่นเดียวกับที่ผมเลือกไปแล้ว ก็ลองคิดดูว่าจะให้ผมเลือกทางไหน ในเมื่อขณะนั้นผมยังเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เหน็บรักแร้ค้ำยันเวลาเดิน และต้องไปรักษาพยาบาลที่ ร.พ. พระมงกุฎทุกวัน ผมและภรรยาเช่าบ้านอยู่ที่ท่าดินแดงฝั่งธนบุรี ผมจะไปทำงานที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยสายลม พหลโยธินได้อย่างไร จะเบียดขึ้นรถประจำทางรึ ก็คงจะไปไม่รอด ครั้นจะขึ้นรถแท็กซี่อีกรึ ก็คงจะไม่มีปัญญา
สำหรับทางฝ่ายทหารนั้นมีขีดความสามารถในการสนับสนุนและช่วยเหลือผมได้ดีกว่ามาก กล่าวคือ ได้จัดรถยนต์รับ-ส่ง พร้อมพลขับให้ อันเป็นการดูแลและอำนวยความสะดวกตลอดจนบรรเทาความเดือดร้อนในการเดินทาง ทั้งการไปทำงานและการไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ
ดังนั้น ผมจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางที่จะสามารถดำรงชีวิตได้เอาไว้ก่อน และในระหว่างที่ผมช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้านี้นั่นเอง ผมก็ได้รับความกรุณาจากท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต เป็นอย่างยิ่ง โดยท่านได้กรุณาสนใจและเอาใจใส่ ให้ความสนิทสนม ให้ความคุ้นเคยประดุจบิดาซึ่งกระทำต่อบุตร
ท่านมักเข้ามาที่ห้องทำงานของผมบ่อย ๆ นอกจากจะเข้ามาคุยเฮฮาสัพเพเหระ หรือเข้ามาสอนเรื่องหน้าที่การงานต่าง ๆ แล้ว ยังสอบถามเกี่ยวกับสาระทุกข์สุขดิบไม่เคยขาด เพราะความดีมีน้ำใจอันสม่ำเสมอของท่านนี่เอง ทำให้ท่านได้เห็นหนังสือที่เกี่ยวกับหลวงพ่อของเรา (ประวัติหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค) ที่ผมได้พยายามซ่อนเร้นแล้วบนโต๊ะทำงานของผม
(ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจซ่อนให้จริงจังอะไร เพราะไม่ได้เป็นความผิดอะไร เพียงแต่อายนิดหน่อย กลัวท่านจะหาว่าบาดเจ็บแค่นี้ถึงกับเสียอกเสียใจจนต้องเข้าหาพระหาเจ้า จึงเอาหนังสือเล่มอื่นวางทับไว้ และด้วยเกรงว่าท่านจะหาว่าเอาเวลาราชการมาอ่านหนังสืออย่างหนึ่ง และงมงายอีกอย่างหนึ่ง)
ต่อมาท่านก็คงจะสังเกตว่า เมื่อมีเวลาว่างคราใด ผมจะต้องหยิบหนังสือของหลวงพ่อ ฯ ขึ้นมาอ่านทุกที (ส่วนใหญ่เป็นเวลาหลังอาหารเที่ยง) ท่านจึงหยิบไปเปิดอ่านดูบ้าง พลิกไปพลิกมาแล้วก็คืน ผมเดาว่าท่านคงจะมีความสนใจ ดังนั้น ถ้าผมมีหนังสือเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ผมจะหามาเผื่อให้ท่านด้วยอีก ๑ ชุดเสมอ หลังจากนั้นเมื่อท่านพบผม ท่านถามทำนองหยั่งเชิงผมทันทีว่า
“คุณว่าจริงเร๊อะ” (ท่านคงจะหมายถึง เรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนเล่าเอาไว้)
ผมก็ได้แต่มองหน้าท่านแบบยิ้ม ๆ ไม่ตอบท่านตรง ๆ ในทันที (เพราะผมก็ยังไม่แน่ใจนั่นเอง) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมจากหลวงพ่อ ฯ และยังได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ ที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ ฯ และเมื่อสังเกตว่าท่านมีเวลาว่างพอ ผมจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ที่ผมได้ประสบพบมาให้ท่านฟัง ซึ่งท่านก็ฟังเรื่องที่ผมเล่าอย่างสนใจ แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปจากผมว่า จริงหรือไม่จริง
ส่วนผมเองนั้นก็ไม่ทราบว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ (บุคคลในระดับนี้นั้น เด็กระดับผมชักจูงท่านไม่ได้หรอกครับ) เพราะภูมิปัญญาและความรู้ตลอดจนประสบการณ์ของท่าน สูงกว่าผมมากมายนัก
เวลาล่วงเลยไปอีกระยะหนึ่ง ผมจึงได้ทราบว่า ท่านนั้นมีความเคารพเชื่อถือใน “หลวงปู่พล” เป็นอย่างยิ่ง สาเหตุนั้นมีอยู่ กล่าวคือ ท่าน พล.อ.ท. ลิขิต สุวรรณทัต (ยศ น.ท. สมัยนั้น) ญาติของท่านและภรรยา ได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับ “หลวงปู่พล” อยู่เสมอ ๆ
สมัยนั้นทราบว่า หลวงปู่พล ฯ ท่านมักจะมาสอนกรรมฐานอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งแถว ๆ บางแค ท่านลิขิต ฯ กับภริยาก็มักจะหาโอกาสไปฝึกเสมอ และได้นำบุตรชายของท่าน ๒ คนติดตามไปด้วย คือ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ซึ่งเมื่อท่านบิดามารดากำลังฝึกกรรมฐาน คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันอยู่ข้างนอกตามประสาเด็ก
ครั้นเล่นจนเหนื่อยอ่อนจึงมานั่งคอยบิดามารดา และได้ยินการสอนของ หลวงปู่พล ฯ ไปด้วยโดยบังเอิญ และก็ตามประสาเด็กอีกนั่นแหละ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็ชวนกันเล่นนั่งสมาธิเลียนแบบผู้ใหญ่ตามที่ได้ยินคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ นั้น
ปรากฏว่า ทั้ง คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ นั้น พอจิตเป็นสมาธิก็ได้ทิพจักขุญาณทันที สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระ และไม่ใช่เพียงแต่เห็นอย่างเดียว ยังสามารถติดต่อพูดคุยด้วยได้อีก สิ่งของต่าง ๆ ที่บ้านใคร คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ บอกได้หมดว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปที่บ้านนั้นมาก่อน
แม้สิ่งของบางอย่างที่เจ้าของลืมไปแล้วว่าสิ่งของในกล่องที่เก็บเอาไว้นั้นเป็นอะไร ก็สามารถบอกได้เลยว่าสิ่งของนั้นเป็นอะไร ทีนี้ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณตาท่านก็สนุกใหญ่ ท่านพา คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปที่บ้านของท่าน พาไปที่ห้องเก็บของ แม่จ้าวโวย...สัพเพเหระ สิ่งของกองเป็นพะเนินอยู่ในห้อง อยู่ในกล่องก็มี ห่อเอาไว้ก็มี ขี้ฝุ่นหนาปึ้ก
ท่านเจ้าของเองก็ลืมไปหมดแล้วว่า ภายในมีอะไรบ้าง แล้วคุณตาก็ถามคุณหลานว่าห่อนั้นห่อนี้มีอะไร คุณหลานก็บอก ซึ่งเมื่อแก้กล่องหรือห่อออกมาพิสูจน์ดู ก็ตรงตามที่คุณหลานบอกเอาไว้ไม่มีผิดพลาด คุณตากับคุณหลานก็มักจะเล่นทายสิ่งของที่หมกเอาไว้จนคุณตาลืมอยู่เป็นประจำ จนคุณหลานสุดแสนจะเบื่อหน่าย แต่คุณตาไม่เบื่อเลย (สมัยนั้น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ อายุราว ๆ ๔-๕ ขวบ)
คุณตาอยากเล่นแบบนี้ด้วยทุกวัน เพราะการทายสิ่งของดังกล่าวนี้ คุณตาสามารถท้าพิสูจน์กับใครก็ได้ว่าคุณหลานเห็นจริง ๆ นอกจากนั้น เรื่องที่ตลกและขำขันก็คือ คราวหนึ่ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นึกสนุกอยากจะรู้ใจเจ้าสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ขึ้นมา จึงได้ผลัดกันหลอกถามเจ้าสุนัขน้อยนั้นว่า ระหว่าง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เจ้าหมาน้อยรักใครมากกว่า
คำตอบของเจ้าหมาน้อยทำให้ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ หัวเราะลั่นจนงอหาย ชอบอกชอบใจว่าสุนัขนั้นตอบถูกใจ แต่ก็ทำเอาคุณพ่อคุณแม่ตกอกตกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้มาสอบถาม และจึงพลอยได้รู้เรื่องนี้ไปด้วย
ทั้งนี้ไม่ว่าใคร พอได้ทราบว่าเจ้าหมาน้อยตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไรแล้ว ต่างก็หัวร่อกันงอหายเช่นเดียวกับ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปตาม ๆ กัน เพราะสำหรับสุนัขแล้ว คำตอบนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าสุนัขน้อยตัวนี้ นอกจากจะฉลาดแล้วยังมีปฎิภาณไหวพริบและ IQ ไม่เบา
อยากรู้ไหมว่าเจ้าสุนัขตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไร มันตอบว่า “รักเท่ากัน”
ผมยังจำได้ดีในขณะที่ได้ฟังเรื่องนี้จากท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ท่านจะเล่าไปหัวเราะไปขบขันขนาดน้ำหูน้ำตาไหล ท่านว่า “แหม...ไอ้หมาตัวนี้มันฉะหลาด (ฉลาด)” แล้วก็หัวร่อต่อจนงอหงาย..!
เหรียญหัวใจหลวงปู่พล
ัวัดหนองคณฑี สระบุรีเลี่ยม เก่า
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
-
วันนี้จัดส่ง
ขอบคุณครับ -
สมเด็จพิมพ์คะแนน หลัง “ธ ” หลวงพ่อบุญธรรม วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ทางเลือกของคส
น ที่อยากมีพระผงยันต์เกาะเพชร ดีๆ ไว้ใช้สักองค์ หรือ คนที่อยากใช้ผงยันต์เกราะเพชร หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งหลวงพ่อบุญธรรม ได้รับมอบจากหลวงพ่อปานมาเยอะมาก เพื่อทำพระเครื่องชุดนี้
หลวงพ่อบุญธรรม นับได้ว่าไม่เป็นสองรองใครในเรื่องของความขลังและศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากท่านได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆไว้มากมาย จากหลากหลายอาจารย์ และท่านยังเป็นผู้ที่ระลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์ต่างๆโดยเสมอ ดังนั้นเมื่อถึงวันเสาร์แรกของเดือนห้า ทุกๆปี ท่านจะจัดงานไหว้ครู ขึ้นโดยที่จะมีลูกศิษย์ของท่านเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทุกปี นอกจากจะเป็นที่พึ่งให้บรรดาชาวบ้านทางด้าน ยาแผนโบราณ และทางเวทย์มนต์คาถาแล้ว ท่านก็ยังเป็นหัวแรงในการพัฒนาชุมชนและวัดวาอารามต่างๆที่ขัดสน อีกด้วย ซึ่งก็ปรากฏหลักฐานเป็นอาคารต่างๆ ทั้งในวัดและโรงเรียนในท้องที่ต่างๆทั้งในจังหวัดนครปฐมเองและที่อื่น
พระเครื่องที่ท่านสร้างไว้มีหลายพิมพ์ เช่น พระพิมพ์สมัยทวาราวดี ซึ่งท่านได้แม่พิมพ์ของเก่าจากในวัดพระปฐมเจดีย์นั่นเอง พระพิมพ์สมเด็จ มีหลายขนาด ท่านสร้างขึ้นด้วยผงสีขาว โดยมีผงยันต์เกาะเพชรที่ท่านทำขึ้นจากวิชาที่เรียนมาจาก หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ( หรือบางตำราว่าท่านได้รับผงยันต์เกาะเพชร จากหลวงพ่อปาน มาเป็นส่วนผสมจำนวนมาก ) เป็นมวลสารสำคัญ ด้านหลังพระพิมพ์สมเด็จของท่านมักจะมีตัวอักษร ธ กดจมลงในเนื้อ ซึ่งคงจะหมายถึง หลวงพ่อบุญธรรม นั่นเอง
สมเด็จ หลัง "ธ" สร้างโดยพระปฐมเจติยาทร (หลวงพ่อบุญธรรม ธมฺมาราโม) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ศิษย์เอกและหลานของหลวงพ่อปาน โสนนฺโท วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้สืบทอดต้นตำรับวิชาเป่ายันต์เกราะเพชร พุทธคุณครอบจักวาล โดยเฉพาะพระสมเด็จหลัง ธ ของหลวงพ่อบุญธรรม คุณสุธี
สูงกิจบูลย์ เคยเล่าให้พระมหาวัดพระปฐมเจดีย์ฟังว่าได้มีเพื่อนที่รู้จักกันกับแกเคยรอดตายจากการถูกงูเห่ากัดในขณะอยู่ในป่า แต่นึกขึ้นได้ว่ามีพระสมเด็จหลัง ธ อยู่ที่ตัวด้วยความเชื่อและศรัทธาในพุทธคุณของพระสมเด็จเลยตัดสินใจเคี้ยวกินพระสมเด็จเนื้อผงหลัง ธ ไปครึ่งองค์จึงรอดตายมาได้ ส่วนอีกครึ่งองค์ได้นำไปเลี่ยมทองขึ้นคอ นี่คืออานุภาพของพระสมเด็จหลัง ธ ผสมผงยันต์เกราะเพชรและทุกวันเสาร์ 5 แรกจะมีพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรเป็นประจำจนหลวงพ่อบุญธรรมมรณภาพจากไป นี่แหละสุดยอดพระเครื่องพุทธคุณที่ควรหามาบูชาติดตัวทั้งเมตตามหาลาภป้องกันคุณไสย คุณผี อันตรายต่าง ๆ ที่สำคัญคนนครปฐมเก็บเงียบเป็นพระใช้ประจำกาย
" อานุภาพพุทธคุณสมเด็จหลัง ธ "
หลวงพ่อบุญธรรม วัดพระปฐมเจดีย์
เรื่องราวนี้กระผมผู้เขียนได้ฟังเรื่องเล่า จากหลวงพ่อสายันต์ วัดไทร
ท่านเล่าให้ฟังว่า ครั้งสมัยที่ท่านยังเป็นสามเณรอยู่วัดใหญ่กับหลวงพ่อทิม ศิษย์หลวงพ่อบุญธรรม คนสมัยนั้นมักจะมีหลายท่านรู้ว่า หลวงพ่อทิมท่านนั้นเป็นพระที่มีวิชาดีเก่งทั้งเรื่องดูดวงและไล่ของได้เหมือนหลวงพ่อบุญธรรม ซึ่งท่านได้สืบวิชาการสับเขียงไล่ผี(ตามตำหรับหลวงปู่ปานวัดบางนมโค) โดยการสับเขียงไล่ผีนั้น ท่านกล่าวไว้ว่ากำลังจิตนี้สำคัญคนทำแป๊บเดียว ของที่เข้าตัวคนโดนทำมาก็ออกจากตัวได้อย่างรวดเร็ว(อย่างหลวงพ่อบุญธรรมสับเขียงไล่ผีแหละครับ) วิชานี้เขาว่า ใช้เขียงที่ทำครัวเรียกว่าป่าช้าร้อยศพเป็นการข่มว่าสัตว์ต้องมาตายที่เขียงนี้และนำมีดหมอมาสับเรียกชื่อนามของคนที่โดนของเข้า ใส่ไปในเขียงและท่องคาถาภาวนาไปเลื่อย บ้างก็ว่าในสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคบางครั้งท่านก็ยังเคยนำเขียงขึ้นไว้เหนือบนศรีษะแล้วสับเขียงบนศรีษะ(เขาว่ากันอย่างนั้นก็ไม่สามารถมีอะไรยืนยันได้) เมื่อคนที่โดนทำมาของออกแล้วก็ให้ไปรดน้ำมนต์(เพื่อประสานเนื้อหนัง) ถือว่าเป็นเสร็จพิธี
ส่วนเรื่อง อานุภาพพุทธคุณของสมเด็จหลัง"ธ" หลวงพ่อบุญธรรมนั้น สมัยก่อนท่านจะลบผงเกราะเพชรเพื่อทำพระให้ลูกศิษย์ได้นำไปใช้พกติดตัว
แต่เรื่องสมเด็จหลังธ นี้ มีอยู่ว่า คราวที่หลวงพ่อสายันต์ท่านอยู่กับหลวงพ่อทิม อาจารย์สำราญท่านเคยพาโยมคนนึงมาหาหลวงพ่อทิม โยมคนนี้เป็นคนจีน อาศัยอยู่ในตลาดนครปฐมแถวห้วยจระเข้ พามาหาหลวงพ่อทิม โดนของผีเข้า มาให้ท่านรักษา ท่านจึงพูดคุยกันและทำการเอามีดหมอไล่ผี จิ้มไล่ผีก็แล้ว รดน้ำมนต์ก็แล้ว อะไรก็แล้ว จึงได้สับเขียงไล่ของไล่ผี คนที่โดนของนั้นก็ดิ้นทุรนทุราย ไปไหนก็ไม่ได้ ดิ้นไปดิ้นมาอยู่กับที่(เพราะหลวงพ่อทิมท่านสะกดผีไว้ให้อยู่) จนหลวงพ่อสายันต์เห็นว่าผีไม่ยอมออกสักที จึงได้เปิดประตูเดินออกมาจากกุฏิ สักพักต่อมาท่านจึงคิดว่าจะเข้าไปดูอีกรอบ ปรากฏว่า คราวนี้คนจีนที่โดนของผีเข้าคนนี้ ธุรนธุรายดิ้นคลานหนีด้วยอาการความเจ็บปวดนี้ออกไปจากประตูกุฏิหลวงพ่อทิม ขณะหลวงพ่อสายันต์เปิดประตู ลงจากชั้นบนสู่ชั้นล่างของกุฏิ(ซึ่งแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือจริงๆคนที่คลานไปแบบทุนรนทุรายนั้นต้องมีร่องรอยขีดข่วนตามร่างกายแต่คนๆนี้กลับไม่มีอะไร) หลวงพ่อทิมท่านจึงสั่งให้ลูกศิษย์จับคนๆนี้กลับมาแล้วทำพิธีรดน้ำมนต์ ให้เสร็จปรากฏว่าอาการก็ดีขึ้น
ต่อมาประมาณ อีกสองวันหลวงพ่อทิม ท่านจึงใช้ให้อาจารย์สำราญ ไปดูอาการโยมคนจีนคนนั้นว่าหายหรือยังอาจารย์สำราญ จึงชวนหลวงพ่อสายันต์ซึ่งเป็นสามเณรไปด้วยที่บ้านแถวห้วยจรเข้ อาจารย์สำราญจึงนำเอาพระสมเด็จเล็กหลัง ธ. หลวงพ่อบุญธรรม วัดพระปฐมเจดีย์ มาฝนกับน้ำ เพื่อทำน้ำมนต์ประพรมคนป่วยที่โดนของคนนั้น แกก็หลบไม่ให้พรมน้ำมนต์ถูกตัวแก อาจารย์สำราญจึงให้ญาติคนป่วยจับตัวไว้ แล้วนำเอาน้ำมนต์กรอกปากส่วนที่เหลือก็ให้เอาไว้ให้กินน้ำมนต์อีก ต่อมาอีกสองวันญาติจึงพาคนป่วยที่ถูกของซึ่งมีอาการหน้าตาสดใสพามาไหว้หลวงพ่อทิม ที่กุฏิคณะบูรณานนท์และบอกกล่าวว่า อาการนั้นได้หายดีขึ้นแล้ว
โดยที่ไม่มีอาการอะไรอีกเลย แต่ก็เป็นที่อานุภาพพุทธคุณสมเด็จหลังธ และบารมีของหลวงพ่อบุญธรรม วัดพระปฐมเจดีย์ที่ช่วยรักษาคุ้มครองให้โยมคนนั้นหายจากอาการโดนของ(ที่เรียกกันว่า คุณไสยมนต์ดำของที่ไม่เห็นตัวตน)
#เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลและเป็นความเชื่อที่คนไทยเชื่อถือกันมานานนะครับ
ข้อมูลที่มา
พระครูวิสุทธิ์ธรรมโฆส(หลวงพ่อสายันต์)
วัดไทร อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระสมเด็จคะแนนหลัง ธ. หลวงพ่อบุญธรรม ให้บูชาราคา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
สมเด็จคะแนนหลวงพ่อแลวัดพระทรง ปี๒๕๑๙
ประวัติ พ่อแล
สุดยอดพระเกจิเมืองเพชรบุรี
พระเกจิอาจารย์ ผู้ทรงวิทยาคมศิษย์สายพุทธาคม #หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง และหลวงพ่อเพลิน วัดหนองไม้เหลือง ท่านเป็นเจ้าของตำนาน #หนุมานและวิชามหาเมฆ อันลือลั่นเกจินามนี้มีนามว่า....
#หลวงพ่อแล ทิตัพโพ" วัดพระทรง จ.เพชรบุรี
........หลวงพ่อแล ทิตฺตพฺโพ ท่านเป็นพระผู้ปฎิบัติผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนชื่นชอบในไสยเวทวิทยาคม ทั้งวิชาถอนพิษ สักยันต์ โหราศาสตร์ เสริมดวงชะตา วิชาทำตะกรุด ท่านมีความเชี่ยวชาญในฐานะพระอาจารย์สักยันต์ โดยเฉพาะ “ยันต์หนุมาน” เป็นที่กล่าวขานถึงประสบการณ์ต่างๆมากมาย มีลูกศิษย์ ทั้งทหาร ตำรวจ ดารา คนดัง ในสมัยก่อน
.......ชื่อเสียงของหลวงพ่อแลเริ่มโด่งดังเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปมานานนับสิบปี เมื่อท่านได้ลงมือสักยันต์ต่างๆ ทั้งหนุมาน ลิงลม พญาหงส์ และลงนะหน้าทองให้แก่บรรดาลูกศิษย์ แล้วบังเกิดอภินิหาร ทั้งในทาง เมตตามหานิยม โดยเฉพาะทาง อยู่ยงคงกระพัน จนเป็นที่ร่ำลือไกล จนกระทั่ง เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ต้องมาขอร้องให้หลวงพ่อเลิกสักยันต์ เนื่องจากมีลูกศิษย์บางคนไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น แต่ด้วยความเมตตา ประกอบกับคำสั่งขององค์อาจารย์ ทำให้ หลวงพ่อแลไม่อาจเลิกสักยันต์ด้วยตัวเองได้ แต่ท่าน ก็เพียรพยายามเน้นย้ำสั่งสอนญาติโยมให้หมั่นทำความดี-มีศีลธรรม เพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้ปกปักรักษาคุ้มครอง ตัวตลอดไปไม่เสื่อมคลาย
#ประวัติ
......หลวงพ่อแล วัดพระทรง มีสายเลือดชาวเพชรบุรี เกิดในสกุล วาดวงศ์ เมื่อวันพุธที่ 19 ก.ค. 2459 ที่บ้านไร่สัตว์ ต.ไร่มะขาม อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายอยู่ และนางทอง วาดวงศ์ เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 7 คน
อายุ 14 ปี เข้าพิธีบรรพชาที่วัดบ้านเกิด
กระทั่งอายุครบ 20 ปี หลวงพ่อแล ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดหนองไม้เหลือง จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2477 มี #หลวงพ่อใหม่ วัดเขาทะโมน เป็นพระอุปัชฌาย์, #หลวงพ่อยอด วัดหนองไม้เหลือง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ #หลวงพ่อเพลิน วัดหนองไม้เหลือง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ทิตัพโพ"
ท่านเคยจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองไม้เหลือง ก่อนจะย้ายมาอยู่ที่วัดพระทรง เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘
.....#ท่านมีคณาจารย์ที่ได้ศึกษาเรียนวิทยาคมไสยเวทต่างถึง ๑๕ ท่าน เฉพาะในเพชรบุรีเพียงจังหวัดเดียวถึง ๗ ท่าน
๑. #จากหลวงพ่อเพลิน วัดหนองไม้เหลือง อ.เมือง เรียนวิชาถอนพิษแมลงต่างๆ
๒. #จากหลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง อ.ท่ายาง ร่ำเรียนวิชาสักยันต์ครู ซึ่งเป็นยันต์สูงสุดของการสัก เป็นยันต์แรกที่เรียกว่า "หัวใจพระราม" มีหน้าที่ควบคุมยันต์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นลิงลม, หนุมาน, พญาหงส์เงิน-หงส์ทอง
๓. #หลวงพ่อชิต วัดมหาธาตุวรวิหาร ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ วิชานี้เชื่อกันว่าทำให้หลวงพ่อแลได้สัมผัสที่ ๖ สามารถทราบเหตุการณ์ต่างๆ ล่วงหน้าได้
๔. #ศึกษาวิชาพระขรรค์ จากหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี
๕. #วิชาตะกรุดโทน ตะกรุดแฝด จากหลวงพ่อผัน วัดมหาธาตุวรวิหาร
๖.#ได้เรียนสักตัวมหาเมฆ จากคุณพ่อต่อ และคุณพ่อจันทร์ ศิษย์พระครูสันต์ แห่งวัดเขาวัง จ.เพชรบุรี พระเถราจารย์สมัยรัชกาลที่ ๕ สำหรับการสักตัวมหาเมฆนี้ในประเทศไทยมีหลวงพ่อแลเพียงรูปเดียวที่สามารถสักได้
ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ เกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝัน ผลักดันชีวิตของท่านให้ต้องเปลี่ยนไป เมื่อครั้งที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุ ได้เกิดเหตุร้ายแรงกับครอบครัวและญาติโยมของท่าน เมื่อมีโจรเข้าปล้นเงินทอง ทำร้ายโยมมารดาและพี่น้องทุกคนเสียชีวิต (โยมบิดาเป็นอัมพาตและได้เสียชีวิตไปก่อนแล้ว) ท่านต้องนำเงินจากการขายทองคำหนัก ๖ บาท ที่พวกโจรรีบร้อนทำตกไว้ เพื่อนำไปจัดงานศพครอบครัว
จากเหตุการณ์นี้เป็นเหตุให้ท่านตัดสินใจออกเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่า เพื่อปฏิบัติธรรมและแสวงหาความรู้ มาช่วยคนรุ่นหลังที่ต้องถูกทำร้ายโดยไม่มีทางสู้ โดยออกเดินทางจาก จ.เพชรบุรี มุ่งสู่ จ.นครปฐม เรียนวิชาต่างๆจากเกจิอาจารย์อีกหลายท่านคือ
๗.-#หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง. วิชากะลาตาเดียว ราหูอมจันทร์ และวิชาเสริมดวงกับ
๘-#วิชาลงนะหน้าทองกับหลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม
๙-#วิชาผงยาจินดามณี ที่ทำมาจากเบี้ยแก้ กับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
......จากนั้นจึงเดินทางสู่ จ.สมุทรสาคร
๑๐.#เรียนวิชาชูชกกับหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน.
๑๑. #เรียนวิชาตะกรุดไม้ไผ่ จากหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ .
......ก่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี
๑๒. #เรียนวิชาเบี้ยแก้ กับหลวงปู่รอด วัดนายโรง ตลิ่งชัน
......แล้วมุ่งไปเมืองอยุธยา
๑๓..#เรียนวิชาตะกรุดพวง และยันต์หัวใจ ปลาตะเพียนมหาลาภ จากหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
.......ก่อนเดินทางขึ้นเหนือถึง จ.นครสวรรค์
๑๔.#เรียนวิชาศาสตรามีดหมอจากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ
........และสุดท้ายย้อนมาทางภาคตะวันออก ฝากตัวเป็นลูกศิษย์
๑๕..#หลวงปู่อี๋ วัดสัตหีบ อ.สัตหีบ เรียนวิชาคุณปลัดขิก
....เห็นได้เลยว่าหลวงพ่อแลท่านเป็นพระที่คงแก่เรียนมากๆๆครับครูบาอาจารย์ของท่านนั้นเป็นสุดยอดพระเกจิทรงอภิญาฌานทุกรูปครับ...
.......นอกจากเป็นพระเกจิอาจารย์สุดยอดด้านสักยันต์ มีลูกศิษย์ลูกหามากมายแล้ว ด้าน พระเครื่อง เครื่องรางของขลัง ที่เลื่องลือของหลวงพ่อแล คือ เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อแลรุ่นแรก ที่โด่งดัง ต่อมา ได้สร้างรุ่น 2 และรุ่น 3 อีกทั้ง มีตะกรุด เหรียญพระพิฆเนศวร หนุมาน พญาหงส์ เป็นต้น
ต้นปีพ.ศ.2551 ได้จัดสร้างพระพิฆเนศ เนื้อผง รุ่น "แก้วมหามงคล" ด้านหน้ารูปพระพิฆเนศ 4 กรถือลูกแก้ว ด้านหลังรูปหนุมานเชิญธงขี่สิงห์ โดยอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยว มอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ศิษยานุศิษย์
.....วัตถุมงคลดังกล่าวถือเป็นรุ่นสุดท้าย ที่หลวงพ่อแลจัดสร้าง เพราะหลังจากนั้น หลวงพ่อแล ได้อาพาธติดเชื้อทางกระแสโลหิต เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เพชรรัชต์ แต่ปรากฏว่าอาการไม่ดีขึ้น มีการทรงตัวตลอด
กระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 10 มี.ค. 2551 หลวงพ่อแล ละสังขารด้วยอาการสงบ สิริอายุ 92 ปี พรรษา 54
สร้างความอาลัยให้ชาวเมืองเพชรบุรี อย่างยิ่ง
ขอบคุนที่มา....
❀#จดหมายเหตุพระเกจิ❀
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระสมเด็จคะแนน ลวงพ่อแลวัดพระทรงปี๒๕๑๙ ให้บูชา300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
ปิดตาพ้นบ่วงมาร พิมพ์เล็ก ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาตรตากผ้า ครูบาหล้า วัดป่าตึง ลำพูน หลวงปูครํ่า วัดวังหว้า ระยอง
พระปิดตาพ้นบ่วงมาร เป็นพระปิดตาที่ทางคณะศิษย์รัศมีพรหมได้จัดสร้างขึ้นในปีพ.ศ 2526 เพื่อได้มีการแจกจ่ายผู้ที่มาร่วมทำบุญสร้างอนุเสาวรีย์ครูบาพรหมมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า โดยสูตรพระเนื้อผงชุดนี้เป็นเดิมที่ อาจารย์หมอสมสุข คงอุไร เคยสร้างพระเนื้อผงของหลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค พระสมเด็จปัจเจกโพธิ หรือสมเด็จปัจเจกธรรม ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย พระชุดเนื้อผงต่างๆของครูบาขันแก้ว อุตตฺโม วัดสันพระเจ้าแดง
เดิมทีพระปิดตาชุดนี้มีทั้งหมด 3 พิมพ์
1.พิมพ์ใหญ่(ตัวอย่างที่นำมาลงให้ชมนี้ ขนาดสูง3.5 ซ.ม กว้าง3 ซมหนา1 ซ.ม)
2.พิมพ์กลาง(พิมพ์นี้ได้ถวายให้ ณวัดป่าตึง เรียกว่า ปิดตาป่าตึง)
3.และพิมพ์เล็ก (ถวายวัดวังหว้้า ออกให้บูชาในนามปิดตาพ้นบ่วงมาร วัดวังหว้า) โดยทั้ง 3 พิมพ์นี้ข้างหลังได้โรยไหมเจ็ดสีที่ปลุกเสกโดยหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ทุกองค์
เป็นความคิดของอาจารย์หมอสมสุขที่ต้องการที่จะสร้างถวายให้ วัดพระพุทธบาทตากผ้าโดยขอเมตตาจากครูบาพรหมมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า ปลุกเสกพระชุดนี้ใน วันที่14 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2527 คราวที่ครูบาได้นำอนุเสารีย์ท่านมาประดิษฐานที่วัดพระธาตุดอยน้อย อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ด้วยที่ครูบาพรหมาท่านกล่าวว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่านไม่สามารถลืมได้เลยเพราะเป็นสถานที่ท่านได้มาบรรลุธรรมและเป็นที่แห่งแรกที่มาธุดงค์เมื่ออายุ24 พรรษาที่4 ได้อธิฐานจำพรรษาที่วัดพระธาตุดอยน้อยเป็นระยะเวลา3เดือน
เมื่อขนย้ายอนุเสาวรีย์มาถึงวัดพระธาตุดอยน้อยแล้ว ครูบาพรหมมา ท่านได้นั่งหาสถานที่ว่าจุดไหนควรจะตั้งอนุเสาวรีย์ โดยท่านได้เข้าไปนั่งในพระอุโบสถ เข้านิโรธสมาบัติและปลุกเสกพระปิดตาชุดนี้เป็นระยะเวลา2ชั่วโมงกว่าๆ เมื่อท่านปลุกเสกและหาสถานที่ตั้งอนุเสาวรีย์ได้แล้วท่านก็บอกกับ อาจารย์หมอสมสุขว่า พระปิดตาและวัตถุมงคลอื่นๆปลุกเสกเสร็จหมดแล้ว (โดยที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติปลุกเสกแบบพระอริยะเจ้าครั้งสุดท้ายในชีวิตท่าน) หลังจากนั้นอีก3วัน ทางคณะศิษย์รัศมีพรหมได้ทราบข่าวการมรณะภาพของครูบาวัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.หมอสมสุขท่านจึงเรียกพระปิดตารุ่นนี้ว่า
"พระปิดตาพ้นบ่วงมาร" เพื่อที่ว่าได้รำลึกถึงท่านครูบาพรหมา แห่งวัดพระพุทธบาททตากผ้า ว่าจิตของท่านได้หลุดพ้นแห่งกิเลสเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
และหลังจากนั้น อาจารย์หมอท่านก็นำพระปิดตาชุดนี้ไปขอเมตตาครูบาหล้า วัดป่าตึง และหลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า ระยองปลุกเสกอีกจนถึงปี พ.ศ.2528 พระปิดตาชุดนี้ไม่ค่อยมีเห็นตามสนามพระทั่งไปสักเท่าไหร่เพราะเป็นการสร้างให้กับบรรดาคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก แต่ก็มีหลุดไปบ้าง ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้ประวัติ ผมเลยขออนุญาตฺนำประวัติพระชุดนี้นำมาเผยแพร่ เพื่อที่ใครมีจะได้รู้ถึงประวัติที่แท้จริงว่าที่มาเป็นแบบไหน
ใครมีพระปิดตาชุดนี้บูชาติดตัวอยู่ผมก็ดีใจด้วยนะครับ ถือว่าเป็นพระปิดตาที่สมบูรณ์ที่สุดผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระอริยะเจ้าที่แท้จริงได้เมตตาปลุกเสกด้วยการเข้านิโรจธสมาบัติก่อนมรณะภาพ แค่3 วัน และนำไปไห้พระอริยะเจ้าอีก2 รูปปลุกเสกอีก
พุทธคุณนั้นเป็นเมตตาร่มเย็นดั่งปรกติวิสัยแห่งครูบาพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า เป็นโชคลาภโภคทรัพย์แก่ผู้ที่บูชา ปลดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ถือว่าเป็นที่สุดแห่งพระปิดตาก็ว่าได้ครับ
ปิดตาพ้นบ่วงมาร พิมพ์เล็ก ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาตรตากผ้า ครูบาหล้า วัดป่าตึง ลำพูน หลวงปูครํ่า วัดวังหว้า ระยอง
พระปิดตาพ้นบ่วงมาร เป็นพระปิดตาที่ทางคณะศิษย์รัศมีพรหมได้จัดสร้างขึ้นในปีพ.ศ 2526 เพื่อได้มีการแจกจ่ายผู้ที่มาร่วมทำบุญสร้างอนุเสาวรีย์ครูบาพรหมมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า โดยสูตรพระเนื้อผงชุดนี้เป็นเดิมที่ อาจารย์หมอสมสุข คงอุไร เคยสร้างพระเนื้อผงของหลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค พระสมเด็จปัจเจกโพธิ หรือสมเด็จปัจเจกธรรม ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย พระชุดเนื้อผงต่างๆของครูบาขันแก้ว อุตตฺโม วัดสันพระเจ้าแดง
เดิมทีพระปิดตาชุดนี้มีทั้งหมด 3 พิมพ์
1.พิมพ์ใหญ่(ตัวอย่างที่นำมาลงให้ชมนี้ ขนาดสูง3.5 ซ.ม กว้าง3 ซมหนา1 ซ.ม)
2.พิมพ์กลาง(พิมพ์นี้ได้ถวายให้ ณวัดป่าตึง เรียกว่า ปิดตาป่าตึง)
3.และพิมพ์เล็ก (ถวายวัดวังหว้้า ออกให้บูชาในนามปิดตาพ้นบ่วงมาร วัดวังหว้า) โดยทั้ง 3 พิมพ์นี้ข้างหลังได้โรยไหมเจ็ดสีที่ปลุกเสกโดยหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ทุกองค์
เป็นความคิดของอาจารย์หมอสมสุขที่ต้องการที่จะสร้างถวายให้ วัดพระพุทธบาทตากผ้าโดยขอเมตตาจากครูบาพรหมมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า ปลุกเสกพระชุดนี้ใน วันที่14 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2527 คราวที่ครูบาได้นำอนุเสารีย์ท่านมาประดิษฐานที่วัดพระธาตุดอยน้อย อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ด้วยที่ครูบาพรหมาท่านกล่าวว่า สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่านไม่สามารถลืมได้เลยเพราะเป็นสถานที่ท่านได้มาบรรลุธรรมและเป็นที่แห่งแรกที่มาธุดงค์เมื่ออายุ24 พรรษาที่4 ได้อธิฐานจำพรรษาที่วัดพระธาตุดอยน้อยเป็นระยะเวลา3เดือน
เมื่อขนย้ายอนุเสาวรีย์มาถึงวัดพระธาตุดอยน้อยแล้ว ครูบาพรหมมา ท่านได้นั่งหาสถานที่ว่าจุดไหนควรจะตั้งอนุเสาวรีย์ โดยท่านได้เข้าไปนั่งในพระอุโบสถ เข้านิโรธสมาบัติและปลุกเสกพระปิดตาชุดนี้เป็นระยะเวลา2ชั่วโมงกว่าๆ เมื่อท่านปลุกเสกและหาสถานที่ตั้งอนุเสาวรีย์ได้แล้วท่านก็บอกกับ อาจารย์หมอสมสุขว่า พระปิดตาและวัตถุมงคลอื่นๆปลุกเสกเสร็จหมดแล้ว (โดยที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติปลุกเสกแบบพระอริยะเจ้าครั้งสุดท้ายในชีวิตท่าน) หลังจากนั้นอีก3วัน ทางคณะศิษย์รัศมีพรหมได้ทราบข่าวการมรณะภาพของครูบาวัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.หมอสมสุขท่านจึงเรียกพระปิดตารุ่นนี้ว่า
"พระปิดตาพ้นบ่วงมาร" เพื่อที่ว่าได้รำลึกถึงท่านครูบาพรหมา แห่งวัดพระพุทธบาททตากผ้า ว่าจิตของท่านได้หลุดพ้นแห่งกิเลสเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
และหลังจากนั้น อาจารย์หมอท่านก็นำพระปิดตาชุดนี้ไปขอเมตตาครูบาหล้า วัดป่าตึง และหลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า ระยองปลุกเสกอีกจนถึงปี พ.ศ.2528 พระปิดตาชุดนี้ไม่ค่อยมีเห็นตามสนามพระทั่งไปสักเท่าไหร่เพราะเป็นการสร้างให้กับบรรดาคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก แต่ก็มีหลุดไปบ้าง ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้ประวัติ ผมเลยขออนุญาตฺนำประวัติพระชุดนี้นำมาเผยแพร่ เพื่อที่ใครมีจะได้รู้ถึงประวัติที่แท้จริงว่าที่มาเป็นแบบไหน
ใครมีพระปิดตาชุดนี้บูชาติดตัวอยู่ผมก็ดีใจด้วยนะครับ ถือว่าเป็นพระปิดตาที่สมบูรณ์ที่สุดผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระอริยะเจ้าที่แท้จริงได้เมตตาปลุกเสกด้วยการเข้านิโรจธสมาบัติก่อนมรณะภาพ แค่3 วัน และนำไปไห้พระอริยะเจ้าอีก2 รูปปลุกเสกอีก
พุทธคุณนั้นเป็นเมตตาร่มเย็นดั่งปรกติวิสัยแห่งครูบาพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า เป็นโชคลาภโภคทรัพย์แก่ผู้ที่บูชา ปลดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ถือว่าเป็นที่สุดแห่งพระปิดตาก็ว่าได้ครับ
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระปิดตาพ้นบ่วงมารพิมพ์เล็ก ครูบาพรหมมาเข้านิโรธสมาบัติปลุกเสกอธิฐานจิต ให้บูชา 1,500 บาทครับ
-
เหรียญฉลองสมณศักดิ์หลวงพ่อเล็กวัดหนองดินแดงพิมพ์หน้าแก่รุ่นประสบการณ์ปี๒๕๑๖
พระเกจิอาจารย์ที่ถูกลืมเลือน
.......ท่านเป็นพระเกจิ รุ่นเดียวกับ หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร ,#หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม ,#และหลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง ท่านเป็นพระบ้านนอก ที่เก่งจริง วัตถุมงคลของท่าน ศักดิ์สิทธิ์ และมีอภินิหาร ป้องกันอันตราย ได้อย่างแท้จริง..ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าไม่เป็นสองรองเกจิองค์ใดเลยครับ..เมื่อครั้งปี๒๕๑๒ ท่านติดหนึ่งในพระเกจิอาจารย์เมืองนครปฐม ที่ได้เข้าร่วมปลุกเสกพระในงานสำคัญมาแล้วในงานพุทธาภิเษกใหญ่วัดไร่ขิงท่านอาวุโสน้อยสุดแต่ได้เข้าร่วมกับพระเกจิใหญ่เช่น หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อน้อย หลวงพ่อเต๋และทุกงานในช่วงปี๓๐จะมีรายชื่อท่านติดเกือบทุกงานสาธยายมาเยอะแล้วแฟนเพจจดหมายเหตุพระเกจิคงยากรู้กันแล้วใช่ไหมครับท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรกัน...ผมขอบอกและขอนำเสนอประวัติหลวงพ่อเลยแล้วกันครับท่านมีนามว่า.
#พระครูสาถุกิจวิมล หรือ #หลวงพ่อเล็ก_ชิโต ) วัดหนองดินแดง จ.นครปฐม
#ประวัติพอสังเขป
พระครูสาถุกิจวิมล หรือ #หลวงพ่อเล็ก (เล็ก ชิโต ) วัดหนองดินแดง เดิมชื่อ นายเล็ก กิจเดช บิดาชื่อ นายร้อย กิจเดช มารดาชื่อ รอด กิจเดช
.......หลวงพ่อเล็กท่านเกิดปีมะเเม วันอังคารที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ ๒๔๖๐ ตรงกับเดือน ๑๐แรม๗ค่ำที่บ้านหนองดินแดง อำเภอเมือง จ.นครปฐม อาชีพทำนา อุปนิสัยไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย ช่วยบิดามารดาทำงานขยันศึกษาเล่าเรียน อยู่ในโอวาสของบิดามารดา ครู อาจารย์ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบิดามารดา
..........ได้จัดการบรรพชาอุปสมบท วันที่๒๐ เมษายน พ.ศ ๒๔๘๒ ที่วัดหนองดินแดง โดยมีพระธรรมวโรดม เจ้าคณะมณฑลนครชัยศรีเป็นพระอปชฌาย์ พระอธิการใช้ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองดินแดงเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการฉอย วัดโพรงมะเดื่อ อดีตเจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม เป็นอณุสาวนาจารย์ ในด้านการศึกษาวิปัสนาธุระและพุทธาคมท่านได้ศึกษากับครูบาจารย์คณาจารย์ยุคนั้น อาทิ
#ท่านเจ้าคุณโชติ วัดพระปฐมเจดีย์
#หลวงพ่อพร้อม วัดพระงาม
#หลวงปู่สุข วัดห้วยจระเข้ (ศิษย์เอกหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ )
#หลวงปู่จันทร์ วัดบ้านยาง
#หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
#หลวงปุ่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว
#หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา
#หลวงพ่อฉอย วัดโพรงเดื่อ เป็นต้น.
พระครูสาถุกิจวิมล (เล็ก ชิโต ) เป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ผู้ทรงคุณวิทยาคมดังเห็นได้จากงานพุทธาพิเษกตามวัดต่างๆ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อีกทั้งหลวงพ่อเล็กยังมีความรู้ทางการแพทย์แผนโบราณ รักษาโรคใช้กระแสจิตเป็นสมาธิ พ่นน้ำมัน ปรากฎว่าโรคต่างๆ ก็หายน่าอัศจรรย์ หลวงพ่อยินดีอนเคราะห์สาธุชนด้วยการุณาเมตตาจิต ไม่เลือกชั้นวรรณะ เป็นที่เลื่อมใสและศัทธาแก่ชาวบ้านและเหล่าศิษยานุศิษย์....
.........ครั้งหนึ่งเคยมีหนังสือพระหรือรายการไปหาท่านท่านไม่อนุญาติเพราะท่านเป็นพระเกจิแบบโบราณคือดุเสียงดังฟังชัดฉันหมากไม่เคยใส่รองเท้าท่านก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆด้วยตัวท่านเองและพระเณรชาวบ้านไม่เคยจ้างช่างท่านสร้างโรงเรียนสร้างวิทยาลัยสารพัดช่างโดยไม่เคยเรี่ยไรแต่ทุกคนช่วยกันสร้างสะพานสร้างปะปาท่านทำเพื่อส่วนรวมวัตถุมงคลท่านสร้างเพื่อตอบแทนน้ำใจชาวบ้านที่เสียสละกำลังเงินกำลังแรงผู้ที่ได้รับไปจึงเกิดอิทธิบารมีแคล้วคลาดปลอดภัยมีโชคลาภ
........พระเครื่องของท่านที่ได้รับการปลุกเสก จะมีพุทธคุณทางด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาด เป็นหลัก และมีประสบการณ์ มาแล้วนับไม่ถ้วนกับผู้ที่บูชาพระเครื่องของท่าน ซึ่งจัดได้ว่า พระเครื่องของหลวงพ่อเล็กนั้น เป็นของดีราคาถูกอีกสำนักหนึ่ง ซึ่งมีพุทธคุณ ไม่แพ้หรือเป็นรองกับสำนักอื่นๆ เมื่อเทียบกับพระเกจิรุ่นเดียวกับหลวงพ่อเล็ก
......ยิ่งพระปิดตา หลวงพ่อเล็ก นั้นสุดยอดประสพการณ์ครับทุกวันนี้เริ่มหายาก เพราะมีคนเคยถูกยิงแบบจ่อ ๆ แล้วไม่เป็นอะไร นายตำรวจท่านหนึ่ง ยังเคยให้ผมหาพระปิดตา ของหลวงพ่อเล็ก เอาไว้ติดตัวเวลาปฏิบัติหน้าที่ เพราะเลื่อมใสในพุทธคุณของท่านใดเจอก็รีบ ๆ เก็บไว้บ้างนะครับ..แอดมินแนะนำครับ
.....หลวงพ่อเล็กท่านมรณะภาพในวันที่๑๓สิงหาคม๒๕๓๖
...............
ประสบการของหลวงพ่อ
ที่หลวงพ่อได้ไปอธิฐานจิต
ที่วัดดวงแข ทางวัดเล่าเองเลย
ไม่มี เมก
หลวงพ่อเล็กวัดหนองดินแดง
หลวงปู่วิเวียร วัดดวงแข
สวัสดีครับวันศุกร์ที่ 7/3/2563
หลวงพ่อเล็ก วัดหนองดินแดง
พระเถระที่มีอาคมขลังสุดสุดนครปฐม
เรื่องเหนียวนี่ผมก็ขอยกให้อีกรูป1.
ลป... ไอ้ตี๋ลพ.เล็กนี่ท่านเก่งมากนะ
เห็นท่านเงียบๆสมถะไม่พูดมากเรียบ
ง่าย ท่านแฝงไปด้วยเมตตาบารมีนัก
พอลพ.เล็กนั่งปรกเสร็จ ลป.เข้าไป
นั่งคุยกับลพ.เล็ก ผมเดินเข้าไปทีหลัง
ได้ยินท่านคุยกัน และเสียงหัวเราะของท่านทั้งสอง
ลป... แสงจากมือหลวงพ่อเหมือนแสง
จากพระอาทิตย์สาดส่องลงมา
ลพ.เล็ก... ท่านพระครูเวียรก็เหมือน
น้ำฝนที่พรมลงมา
.... แล้วท่านทั้งสองก็ยิ้มหัวเราะกัน
ลป.เดินจูงมือลพ.เล็กไปขึ้นรถกลับ
ลพ.เล็ก.. พูดกับผมว่าเอ็งนี่เก่งดีจังทำ
งานได้ดีมากเลย ลพ.เล็กหยิบลูกอม
ส่งให้ผม 1ลูก เอ็งเก็บให้ดีนะไม่มีแล้ว
และหยิบตะกรุดให้เฮียฮั้ว1ดอก
⭕️เฮียฮั้วได้ตะกรุดจากลพ.เล็ก1ดอก
ใส่กระเป๋าเสื้อไว้ สร้อยคอที่แขวนพระ
หลวงปู่ใส่อยู่ในบาตรเอาเข้าพิธีด้วย
ในตัวเฮียฮั้วเลยมีตะกรุดลพ.เล็ก
อยู่ดอกเดียว แกเอามะพร้าวอ่อนมาสับ
ผมเห็นแกเอาอีโต้สับไปที่ลูกมะพร้าว
เสียงดังตึก โดนเข้าที่นิ้วมือซ้ายจังจัง
แกร้องลั่นทิ้งอีโต้เอามือขวามากุมนิ้วมือ
ซ้ายไว้ ไม่มีเลือดนิ้วไม่ขาดฟันไม่เข้า
นิ้วมือแกสั่นระริกเลย บวมแดงเห็นชัด
ผม... เห็นกับตาเสียวแทนเลยหละ
ผมให้เฮียฮั้วไปหาลป. ให้ลป.เป่าให้
ลป.เอาเทียนถูที่นิ้วมือแกแล้วว่าคาถา
เป่าให้ สักพักนิ้วที่บวมแดงก็ค่อยๆหาย
ลป...หัวเราะเป็นไงเห็นฤทธิ์ลพ.เล็กยัง
เฮียฮั้ว...รุ่งขึ้นขับรถไปกราบลพ.เล็ก
ที่วัดหนองดินแดงลพ.เล็กมาเสกพระ
ปี2533 พระพุทธชินราช
ปี2534 รูปเหมือนลป.เหรียญพรหม
ยังมีเรื่องราวอีกหลายๆลป.+ลพ.
ผมต้องหาพยานก่อนถึงจะเขียนได้
1.จากคำบอกเล่าของหลวงปู่
2.คนขับรถที่พาลป.และผมไปในพิธี
วัดต่างๆตามตจว. ที่วัดเขานิมนต์ไป
3.คนที่อยู่เห็นในเหตุการณ์
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
-
วันนี้ จัดส่ง
ขอบคุณครับ -
-
หลวงพ่อลำเจียก วัดศาลาตึก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม สุดยอดเกจิอาคมขลัง ท่านเป็นพระอริยะเจ้าชั้นสูง บารมีท่านสูงมากๆ ครูบาอาจารย์หลายท่าน ให้ความยกย่อง เช่น หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม เป็นต้น.
หลวง พ่อลำเจียก วัดศาลาตึก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม สุดยอดเกจิอาคมขลัง อีกรูป (ท่านไม่ค่อยยอมให้หนังสือพระเข้าไปทำประวัติออกเผยแพร่ ) แต่ในหมู่ลูกศิษย์ลูกหา จะรู้จักกันดี ท่านเป็นไปเรียนวิชากับเกจิดัง ๆ หลายรูปอาทิเช่น
1.หลวงพ่อจันทร์วัดบ้านยาง พระอุปัชฌาย์ ของท่าน หลวงพ่อจันทร์ ท่านมีวิชามนต์จินดา มีชื่อเสียงทางด้านพระปิดตา เนื้อเมฆพัดและยันต์นะปัดตลอด ท่านเป็นสหธรรมมิกกับหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง กล่าวกันว่า ท่านสักยันต์ ที่หน้าอกแล้วตบเปรี้ยงเดียวยันต์กลับมาอยู่ด้านหลังอย่างมหัศจรรย์ )
2.หลวงพ่อหว่าง วัดกำแพงแสน ยอดพระเกจิอาคม ขลังอีกรูปหนึ่ง ซึ่งได้ถ่ายทอดวิชาให้ หลวงพ่อลำเจียก ตลอด 3 พรรษา
3.หลวงพ่อเกลี้ยง วัดเขาใหญ่ ซึ่งเก่งด้าน วิชาหวายคาดเอว ซึ่งหลวงพ่อลำเจียกท่านสามารถนำมาสร้างได้ เข้มขลัง มีอานุภาพมาก หวายทั้งเส้นต้องลงอักขระโดยรอบ สามารถกันภูตผีปีศาจ แก้คุณไสย์ ทำน้ำมนต์ ฯลฯ ปัจจุบันหายากมาก
4.ศึกษา วิชา ทำตะกรุดลูกอมโลกธาตุ ตำหรับ หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว กาญจนบุรี
ท่านสืบสายวิทยาคมมาจาก หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และ หลวงพ่อยิ้ม วัดหนองบัว..
ท่านเป็นพระอภิญญา สามารถเสกหยวกกล้วยให้เป็นจระเข้ได้ เสกใบไม้เป็นต่อเป็นแตนได้..
โดยเฉพาะเครื่องรางที่สร้างชื่อเสียงให้กับท่าน คือ หวา่ยคาดเอว โดยหลวงพ่อต้องเสกให้ปลายหวายม้วนเข้ามาหากันเองได้จึงจะถือว่าสำเร็จ..หวายนี้หายากยิ่งนักเพราะท่านสร้างเอง พบของแท้ได้ยากมากๆ...
วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์ในพื้นที่ มากมายครับ..
ประสบการณ์เล่าสู่กันฟัง
สำหรับประสบการณ์เหรียญรุ่นนี้ เกิดขึ้นที่โรงเรียน วัดศาลาตึก ขณะที่ครูกับนักเรียนกำลังพัฒนาโรงเรียน ถางหญ้า อยู่ข้างๆ ต้นโพธิ์ใหญ่ ได้เกิดฟ้าผ่าลงมา โดนตัวครูและนักเรียนอย่างจัง ทั้งครูและนักเรียนกระเด็นไปคนละทิศละทาง เด็กคนนึงถึงกับสลบเหมือดไปเลย. หลังเกิดเหตุทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ปรากฏว่า รอดตายทุกคน แถมไม่ร่องรอยบาดแผลอันเกิดจากฟ้าผ่าเลย เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากๆ ในตัวครูและเด็ก มีเพียงเหรียญหลวงพ่อลำเจียก ติดตัวกันทุกคน เรื่องนี้ดังมากๆ ในกำแพงแสน ด้วยอิทธิคุณของหลวงพ่อลำเจียกแท้ๆ ทำให้ทุกคนรอดตายมาได้อย่างเหลือเชื่อครับ.
หวายอาคม หลวงพ่อลำเจียก !!! ของวิเศษหายาก !!!
การสร้างหวาย
ท่านจะนั่งเหลาหวาย และจารอักขระบนเส้นหวายทั้งเส้น อีกทั้งใช้ด้ายพันรอบหัวหวายและทำที่ร้อยหัวหวายที่ปลายอีกข้าง ใช้หวายที่สวยงามอักขระสวยงามชัดเจนทุกเส้นท่านมีความเพียรพยายามอย่างมาก ท่านทำด้วยความวิริยะอุตสาหะมาก ๆ กว่าจะได้แต่ละเส้นต้องใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงเป็นต้นไป เมื่อได้จำนวนมากก็รวบรวมนำมาปลุกเสกจนเคลื่อนไหวได้ โดยปลายหวายจะม้วนเข้าหากันเอง จึงนำออกแจก (หากหวายไม่เคลื่อนไหวจะถือว่าใช้ไม่ได้ ท่านจะเก็บเอาไว้ไม่แจกใคร)....
ท่านบอกว่าหวายนี้ใช้เหมือนเชือกคาดเอวทุกอย่าง ยิ่งด้านเหนียวสุดยอดตรง ๆ หากไม่คาดเอว ให้ติดตัวเข้าป่า หากเจองู หรือ อสรพิษ ให้วางบนตัวงู งูจะหมดแรง และมีอุปเทห์อีกหลายอย่าง (กันไฟ กันฟ้า กันคุณไสย คุณผีทั้งปวง แขวนไว้กับบ้านป้องกันโจร ภูติผีปีศาจ กันลมเพลมพัด แคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง)....
เป็นความเมตตาจากพระเกจิที่ทำด้วยเมตตาแท้ ๆ ไม่สุกเอาเผากิน ทำขึ้นมาด้วยเมตตาจำนวนไม่มาก แต่พุทธคุณเต็มเปี่ยม เพราะกว่าจะได้แต่ละเส้นต้องเหลาหวาย จารอักขระจนจบเส้นต้องจารกว่า 50 ตัวขึ้นไป....
การจารหวายให้ชัดเจนสวยงามต้องออกแรงมากซึ่งลายมือท่านสวยงามชัดเจน และบรรจุพลังจิตทุกตัวอักขระ ไหนจะต้องทำหัวหวายและปลายหวายด้วยเส้นด้ายก็ต้องบริกรรมคาถา
ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
เหรียญหลวงพ่อลำเจียกวัดศาลาตึก รุ่น๑หันข้างและรุ่น๒ กลมหันข้าง
ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
เหรียญหันข้างรุ่น ๒ หลวงพ่อลำเจียกวัดศาลาตึก
ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
พระชุดเบญจภาคีหลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ นครปฐม
พระธาตุแม่โพสพ มีอุดจีวร ฐานพระรอดและพระซุ้มกอ
ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
-
-
หลวงปู่ทวดพิมพ์แป๊ะยิ้มพ่อท่านฉิ้นวัดเมืองยะลาและหลวงปู่ทวดอาจารย์นองวัดทรายขาว ๒ องค์
ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
หลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต พระครูวิทิตพัชราจาร วัดหนองย่างทอย
(วัดเทพประทานพร) ต.หนองย่างทอย อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์
ชาติภูมิ
หลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๑ (วันอาทิตย์ เดือนอ้าย ปีมะโรง) เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๕ คน ซึ่งเป็นชาย ๒ คน หญิง ๓ คน ของนายทำ นางมาก ยืนยง ณ บ้านคลองเม่า หมู่ที่ ๕ ตำบลโคนสะลุด อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
เริ่มการศึกษา
เมื่อเจริญวัยสมควรได้รับการศึกษาได้แล้ว บิดามารดานำไปเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดคลองเม่า ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งจบชั้นประถมปีที่ ๔ อันเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น ครั้นจบการศึกษาแล้ว แม้จะมีความตั้งใจปรารถนาใคร่จะเล่าเรียนต่อก็ไม่มีโอกาสเนื่องจากฐานะทางครอบครัวยากจน ประกอบอาชีพกสิกรรม และไม่เอื้ออำนวยโดยประการทั้งปวงจึงอยู่ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบอาชีพเหมือนลูกหลานตามชนบททั่วไป ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการที่จะแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อบุพพการีที่ได้โอบอุ้มอบรมเลี้ยงดู สั่งสอนมาด้วยความรัก ความเมตตาเอื้ออาทร และอีกประการหนึ่งก็เห็นว่าท่านเป็นบุตรคนสุดท้องที่พ่อแม่หวังจะได้พึ่งในบั้นปลายแห่งชีวิตต่อไปด้วย
อพยพครอบครัว
ในขณะที่อายุได้ ๑๔ ปี พ.ศ.๒๔๘๕ จังหวัดลพบุรีได้ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นโดยน้ำได้ท่วมหนักเป็นประวัติการณ์ถึงหลังคาบ้านไปทั่วทุกหมู่บ้าน ข้าวกล้านาล่ม เสียหายอย่างย่อยยับ แรงงานจากแรงคนที่ได้ลงแรงไป ก็มาสิ้นสลายไปกับสายน้ำอันหฤโหดอย่างหมดสิ้น ปลายทางที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง หมดหนทางที่จะประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว บิดามารดา จึงใคร่ครวญตัดสินใจอพยพครอบครัวทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องอันเป็นถิ่นกำเนิด โดยย้ายไปอยู่ที่ตำบล เขาช่องแค จังหวัดนครสวรรค์เพื่อเริ่มต้นชีวิต ทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า
สู่ร่มกาสาวพัสตร์
เมื่ออพยพครอบครัวมาอยู่นครสวรรค์ ได้ประกอบสัมมาชีพ ยกฐานะครอบครัวมีชีวิตเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง บิดามารดาได้ปรารถนาที่จะให้ท่านได้บรรพชาเป็นสามาเณร เพราะเล็งเห็นว่า การบวชเณรเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรมวินัย ทั้งเป็นการผูกญาติสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นพระเพณีนิยมไปด้วย ซึ่งท่านเองเมื่อรู้เรื่องนี้แล้วก็ไม่ขัดข้องยินดีปฏิบัติตามความประสงค์ของบุพพการีทุกประการ
บิดามารดา ได้นำไปบรรพชาที่วัดหนองแขม ต.ทุ่งทะเล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ กับพระอาจารย์อ่อน เจ้าอาวาสวัดหนองแขม ผู้มีศักดิ์เป็นอาของท่าน ให้ช่วยดูแลอบรมสั่งสอน พระอาจารย์อ่อนรูปนี้เป็นพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียน ทั้งเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐานและแก่กล้าสรรพวิชาอาคมต่างๆอีกด้วย ครั้นบรรพชาแล้วในพรรษาแรกๆ ได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ และวิชาอาคมกับหลวงอาพระอาจารย์อ่อน จนเป็นที่พอใจแล้ว หลวงอาคิดจะทดสอบหลานจึงคิดทดสอบความอดทนและวิชาที่สั่งสอนให้ แล้วออกอุบายที่จะพาไปเที่ยวโดยให้เตรียมข้าวของเท่าที่จำเป็นสำหรับในการเดินธุดงค์ออกธุดงค์กับพระอาจารย์อ่อน ในปีนั้น เมื่ออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์อ่อน ได้นำสามเณรประเทืองเดินธุดงค์ไปยังจุดหมายปลายทางเพื่อนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี แม้ว่ายังเป็นสามเณรอายุน้อยนิด ก็มีความอดทน แบกกลด ถือกรรมฐานกับพระอาจารย์อ่อนไปด้วย การเดินป่าในสมัยนั้น ประสบการความยุ่งยากลำบากเหลือเข็ญ ยังไม่มีรถยนต์ เป็นพาหนะเหมือนสมัยนี้ อีกทั้งตามป่าเขาลำเนาไพรยังชุกชุมไปด้วยไข้ป่า สัตว์ร้ายนานาชนิด เดินขึ้นเขาลงห้วยหาบ้านผู้คนก็ยากเย็นเต็มที แม้ว่าในตอนออกเดินทางจากวัดไปด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นเข้มแข็ง แต่พอนานเข้าเอาเข้าจริงๆ แล้ว ได้สัมผัสกับความอดอยาก ลำบากในป่าเขา ก็เกิดอาการท้อแม้ใจขึ้นมาเหมือนกัน บางครั้งคิดอยากจะกลับวัดกลับบ้าน หลวงอาก็ปลอบโยนให้กำลังในอยู่เสมอๆ จะทำอย่างไรได้ เมื่อตัดสินในแล้วก็ต้องสู้ต่อไปให้ถึงที่สุด สำหรับการเดินธุดงค์นั้น พระอาจารย์อ่อนมีกฎอยู่ว่าห้ามถามห้ามพูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นและให้เฉยๆ ไว้ เดินตามหลวงอาไปอย่างเดียว พอถึงเวลาปักกลด หลวงอาก็ปักให้ (กลดสมัยนั้น คล้ายกับมุ้ง ๔ สาย) พอปักกลดเสร็จก็แยกไปปักอีกที่หนึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐วา ตกกลางคืนก็ร้องไห้แต่ไม่กล้าร้องเสียงดัง กลัวหลวงอาดุเอา ทำให้เกิดความกลัว คิดไปต่างๆ จิตใจก็ไม่สงบ ยิ่งได้ยินเสียงเสือร้อง ก็ร้องไห้ตามเสือไปด้วย คิดจะกลับวัดอย่างเดียว ที่ยิ่งไปกว่านั้น พอรุ่งเช้าอาหารบิณฑบาตก็ไม่มีฉัน เพราะอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน จนบางครั้งต้องอาศัยข้าวตากแห้งที่เตรียมมาขบฉัน พอประทังชีวิตไปวันๆ หนึ่งก็เคยมี ครั้นรุ่งเช้าหลวงอาชวนออกเดินบิณฑบาต ก็คิดไปว่าป่าทั้งป่าจะไปบิณฑบาตที่ไหนกัน มองไปข้างไหนก็เห็นแต่ป่าทั้งนั้นแต่ก็ไม่กล้าถาม โดยหลวงอาสั่งว่า ทำอะไรก็ให้ทำตาม พอเดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ หลวงอาเปิดบาตรไว้สักครู่แล้วก็ปิดบาตร เดินมาที่อีกต้นหนึ่งก็ทำเหมือนเดิมอีก ก็ปฏิบัติตามเหมือนหลวงอาทุกอย่าง ถึงจะสงสัยก็ไม่กล้าถามอยู่ดี สามเณรประเทือง คิดอยู่ในใจว่า หลวงอาทำอะไรแปลกๆ หรือท่านจะรู้เห็นอะไรที่เราไม่รู้ก็เป็นได้ ครั้นกลับมาถึงที่พักก็เปิดบาตรดู ว่ามีอะไรอยู่บ้างเห็นแต่ความว่างเปล่าแต่ก็ยังไม่กล้าถามอยู่ดีว่าท่านทำเพื่ออะไร แล้วหลวงอาก็สั่งให้เอาน้ำล้างบาตรนั้นมาดื่มกิน พอดื่มแล้วเหมือนกับว่า รู้สึกอิ่มอย่างแปลกประหลาดคล้ายกับว่าได้ฉันข้าวอย่างนั้นแหล่ะ สามารถอยู่ได้ตลอดทั้งวันโดยไม่รู้สึกหิวกระหายแต่อย่างใดเลย เมื่อปฏิบัติอยู่ป่านานวันเข้า อาหารที่เตรียมมาก็หมดไปโดยปริยาย สิ่งที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง อาหารของหลวงอาไม่รู้จักหมด ครั้นถามท่านก็โดนดุว่าไม่ใช่กิจที่จะต้องรู้ ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ต้องปฏิบัติอีกมาก ท่านเปรียบเหมือนใบไม้ในกำมือกับไม้ในป่าทั้งหมด จึงไม่กล้าที่จะถามท่านอีก จะถามได้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเท่านั้น พอพูดจบท่านก็หยิบเอามาจากย่ามให้ฉันเป็นดังนี้อยู่เสมอมิได้ขาด ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจอยู่ตลอดมา ว่าทำไมข้าวตากแห้งของหลวงอาไม่รู้จักหมดสักที ท่านเอามาจากไหน ท่านมีคาถาอาคมอะไรหรือ
กลับมาเยี่ยมบ้าน
หลายปีที่สามเณรประเทือง เดินธุดงค์ไปกับพระอาจารย์อ่อน ก็ได้ร่ำเรียนวิชาอาคมอย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ก็หลายครั้งเหมือนกัน ที่คิดอยากจะกลับบ้านไปเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่และญาติๆก็ยังไม่มีโอกาสสักครั้ง วันหนึ่งได้รับอนุญาตจากหลวงอาว่าถึงเวลาอันควรแล้วอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านได้แล้ว พอกลับมาถึงวัดหนองแขม ก็กราบลาพระอาจารย์อ่อนไปเยี่ยมบ้านทันที ได้พูดคุยสนทนาเล่าเรื่องราวต่างๆ ในการออกธุดงค์เดินป่าที่เป็นไปอย่างยากลำบาก เมื่อโยมทั้งสองได้ฟังแล้วก็เกิดสงสารห่วงใยอย่างจับใจ ขอร้องอ้อนวอนให้สามเณร ลูกชายลาสิกขากลับมาอยู่กับพ่อแม่ดีกว่า เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายในระหว่างอยู่ป่า ในตอนแรกก็เห็นด้วยกับความคิดของโยมพ่อโยมแม่ จึงตัดสินใจที่จะลาสิกขาอย่างแน่นอน ครั้นกลับมาได้ถึงวัดได้กราบเรียนให้หลวงอาทราบเรื่องเอาเข้าจริงๆ แล้ว ได้รับโอวาทธรรมจากหลวงอาว่า การปฏิบัติธรรมกรรมฐานเท่านั้น ที่จะได้กุศลแรงกล้าที่สุด ไม่เพียงแต่บุคคลผู้ปฏิบัติเท่านั้น แม้ผู้เป็นบิดามารดาชื่อว่าผู้ได้เป็นญาติพระศาสนาก็พลอยได้บุญกุศลไปด้วย ได้ฟังโอวาทธรรมดังนั้น ท่านก็เห็นด้วยแล้วตัดสินใจที่จะไม่ยอมลาสิกขา ยังคงเดินธุดงค์ไปกับพระอาจารย์อ่อนต่อไปอีกหลายปี พระอาจารย์อ่อน เป็นพระที่นิยมศึกษาชอบแสวงหาความรู้และมีวิทยาคมแก่กล้า ทั้งชอบการปฏิบัติธรรมได้ถ่ายทอดสรรพวิชาอาคมให้สามเณรประเทืองทุกอย่างอย่างเช่น การหุงสีผึ้ง วิชานะหน้าทอง เป็นต้น
ศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์
พระอาจารย์อ่อน นับว่าเป็นพระที่เชี่ยวชาญเวทวิทยาคมมากทีเดียว และที่สำคัญยังมีความคุ้นเคยกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ยอดพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเดิมอยู่เป็นประจำ เมื่อกลับจากเดินธุดงค์แล้ว หลวงอาอ่อน ได้นำสามเณรประเทือง เดินทางไปวัดหนองโพธิ์ ฝากฝังไว้เป็นศิษย์คอยปรนนิบัติรับใช้ต้มน้ำร้อนน้ำชาอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อเดิมตลอดเวลา หลวงพ่อเดิมเรียกท่านว่า “เณรจ้อน” เพราะท่านตัวเล็กกว่าสามเณรในวัดรุ่นเดียวกันทั้งหมด ทั้งยังเมตตาแนะนำสั่งสอนวิชาอาคมต่างๆ ให้อยู่เสมอ ในขณะที่อยู่รับใช้หลวงพ่อเดิมอยู่นั้น สามเณรประเทืองได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมอะไรบ้าง เราท่านคงไม่อาจจะทราบได้ แต่เท่าที่สอบถามศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อประเทือง ได้ความว่าท่านไม่เคยพูดว่า หลวงพ่อเดิมถ่ายทอดวิชาอะไรให้ เพียงแต่กล่าวอยู่เสมอว่า วิชาอาคม ที่หลวงพ่อเดิมสั่งสอนนั้นว่าวิชาอะไรก็ตามตะเข้มขลังได้ต้องอาศัยพลังจิตเป็นกำลังสำคัญ หากเราฝึกจิตสมบูรณ์แล้วก็สามารถปลุกเสกอะไรให้เกิดพลังเข้มขลังได้ จากพื้นฐานวิทยาคมที่หลวงพ่อเดิมแนะนำสั่งสอนให้กับสามเณรประเทืองนั้นท่านก็ยึดถือปฏิบัติเป็นแบบครูบาอาจารย์ มาจนกระทั่งเป็นหลวงพ่อประเทือง ถึงทุกวันนี้
อุปสมบทปฏิบัติธรรมในสำนักหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค
เมื่ออกพรรษาแล้ว สามเณรประเทืองก็ตัดสินใจลาสิกขาถือเพศฆราวาสวิสัย ไปประกอบสัมมาชีพทำไร่ มันแกว อยู่ที่บ้านหนองกระทะ ตำบลช่องแค จังหวัดนครสวรรค์ ครั้งอายุได้ ๒๐ ปี ในพ.ศ.๒๔๙๑ ก็ปรารถนาจะเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ พัทธสีมา วัดช่องแค นครสวรรค์ โดยมีท่านพระครูทอง วิสาโร เจ้าคณะอำเภอตาคลีในสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์มีพระอาจารย์แบ๊ง วัดช่องแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใบฎีกาตี่ วัดเขาวงศ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ในช่วงที่อยู่จำพรรษาวัดช่องแค เป็นห้วงเวลาเดียวกัน กับหลวงพ่อพรหม ยอดพระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงอีกรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสครองวัดนั้นอยู่ นับว่าเป็นบุญโชคของท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน สรรพวิทยาคมในสำนักหลวงพ่อพรหมแต่เป็นที่น่าเสียดาย ว่า ท่านได้ครองสมณเพศอยู่ได้เพียงพรรษาเดียว ก็จำต้องลาสิกขาเพราะถูกกฎหมายเกณฑ์ทหาร ไปเป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ที่เขาน้อย จังหวัดลพบุรี อยู่ได้ ๒ ปีเศษ แล้วสมัครเป็นสารวัตรทหารอยู่ที่ลพบุรี ครั้นเบื่อหน่ายอาชีพราชการ ก็ลาออกมาทำงานชลประทานซีเมนต์อยู่ช่องแค นครสวรรค์ หลังจากใช้ชีวิตฆราวาสเพศวิสัยอยู่ ๘-๙ ปี ก็เบื่อหน่ายปรารถนาจะบวชอีกสักครั้งซึ่งในขณะนั้นมีอายุได้ ๒๙ ปี พ.ศ.๒๔๐๐ เป็นการฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษไปด้วยก็ตัดสินใจอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโนทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับสมณฉายาว่า อติกฺกนฺโต แล้วอยู่ปฏิบัติธรรมกับ หลวงพ่อเล็ก วัดโพธิ์ทอง (หลวงพ่อเล็กรูปนี้เป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมมาจากหลวงพ่อปาน วัดบางเ**้ย)
ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรม
เนื่องจากหลวงพ่อประเทืองท่านมีอุปนิสัยชอบความสงบวิเวกใฝ่ใจในการศึกษาเล่าเรียนมาแต่เดิม ครั้นได้กลับมาบวชใหม่อีกครั้ง ก็มีความตั้งใจที่วัดโพธิ์ทอง พอออกพรรษาแล้วได้เล็งเห็นว่าวัดไม่เป็นที่สงบเท่าที่ควร เพราะท่านไม่ชอบที่จะระคนด้วยหมู่คณะจึงปลีกตนออกปฏิบัติกราบลาพระอุปัชฌาย์ออกเดินธุดงค์ แสวงหาความรู้กับครูบาอาจารย์ เพื่อศึกษาสรรพวิชาเพิ่มเติม หลวงพ่อประเทือง ได้เดินธุดงค์ไปตามเขาทั่วภาคตะวันออกเฉียงจรดไปถึงถ้ำนาแก นครพนม ได้พบกับพระป่านักปฏิบัติหลายรูปทั้งได้ขอเล่าเรียนวิชาอาคมต่างๆ จนกระทั่งได้มีโอกาสพบกับอาจารย์บุญลือเป็นฆราวาสชาวเขมร ผู้เก่งกล้าในด้านไสยศาสตร์ ท่านก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาถอนคุณไสยต่างๆ จนเป็นที่พอใจแล้วเดินธุดงค์ต่อไปอีก หลังจากนั้นเดินธุดงค์กลับมานมัสการรอยพระพุทธบาท สระบุรี ซึ่งในช่วงนั้นเอง ได้เกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายเป็นว่าเล่น ชาวบ้านก็ปลื้มในที่ได้พบพระธุดงค์ ได้ขอร้องให้ท่านโปรดเมตตาช่วยอนุเคราะห์รักษาโรค ท่านก็ยินดีอยู่ช่วยรักษาให้โดยใช้สมุนไพรตามที่ได้ศึกษามาประกอบมาปรุงยาต้มให้ชาวบ้านกินกันจนหายเป็นปกติ ยังความปลื้มปิติเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของคนในหมู่บ้านกันทั่ว
สืบสายพุทธาคม
ความเป็นหนึ่งในเวทวิทยาคมของหลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต ในปัจจุบันย่อมเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ศิษยานุศิษย์และผู้นิยมวัตถุมงคล เพราะวัตถุมงคลหรือเครื่องรางวัลขลังของท่านนั้น ที่สร้างขึ้นโดยหลวงพ่อหรือคณะศิษย์สร้างถวายก็ตาม โดยท่านเป็นผู้ปลุกเสกล้วนมีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับเชื่อถือในความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์
ปาฏิหาริย์ล้ำเลิศมากมาย
การกล่าวได้อย่างมั่นใจเช่นนี้ก็เพราะท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มากไปด้วยครูบาอาจารย์ แสวงหาความรู้เล่าเรียนศึกษาพุทธาคมอย่างไม่รู้จบ และเหตุที่ครูบาอาจารย์ของท่านก็ล้วนแต่เลื่องลือกิตติศัพท์เป็นที่เคารพของสาธุชนทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐ ปี ที่ออกเดินธุดงค์ ก็ได้ศึกษาสรรพวิชาอาคมจากครูบาอาจารย์ต่างๆ มามากมายเท่าที่ได้กราบนมัสการเรียนถามว่ามีพระเกจิอาจารย์รูปใด บ้างที่ท่านเคยเป็นศิษย์ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาอาคมซึ่งท่านได้ลำดับครูบาอาจารย์ดังนี้
๑. พระอาจารย์อ่อน วัดหนองแขม นครสวรรค์ (มีศักดิ์เป็นอา ได้ศึกษาตั้งแต่เป็น สามเณร)
๒. หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ (เมื่อครั้ง ไปอยู่ปรนนิบัติรับใช้เป็นสามเณรที่วัดหนองโพธิ์)
๓. หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นครสวรรค์ (ศึกษาอยู่ได้ 1 พรรษา ตอนบวชครั้งแรก)
๔. พระอาจารย์เล็ก วัดคลองเม่า ลพบุรี
๕. หลวงพ่อเล็ก วัดโพธิ์ทอง นครสวรรค์ (เมื่อครั้งอุปสมบทอยู่วัดโพธิ์ทอง ซึ่งหลวงพ่อเล็กรูปนี้ เป็นศิษย์ที่สืบทอดพุทธาคมมา จากหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย(วัดคล่องด่าน)
๖. อาจารย์บุญลือ (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นชาวเขมร (เมื่อคราวออกธุดงค์)
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
เหรียญนั่งพานหลวงพ่อประเทือง
ให้บูชา หลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต พระครูวิทิตพัชราจาร วัดหนองย่างทอย
(วัดเทพประทานพร) ต.หนองย่างทอย อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์
ชาติภูมิ
หลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๑ (วันอาทิตย์ เดือนอ้าย ปีมะโรง) เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๕ คน ซึ่งเป็นชาย ๒ คน หญิง ๓ คน ของนายทำ นางมาก ยืนยง ณ บ้านคลองเม่า หมู่ที่ ๕ ตำบลโคนสะลุด อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี
เริ่มการศึกษา
เมื่อเจริญวัยสมควรได้รับการศึกษาได้แล้ว บิดามารดานำไปเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดคลองเม่า ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งจบชั้นประถมปีที่ ๔ อันเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น ครั้นจบการศึกษาแล้ว แม้จะมีความตั้งใจปรารถนาใคร่จะเล่าเรียนต่อก็ไม่มีโอกาสเนื่องจากฐานะทางครอบครัวยากจน ประกอบอาชีพกสิกรรม และไม่เอื้ออำนวยโดยประการทั้งปวงจึงอยู่ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบอาชีพเหมือนลูกหลานตามชนบททั่วไป ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการที่จะแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทิตาคุณต่อบุพพการีที่ได้โอบอุ้มอบรมเลี้ยงดู สั่งสอนมาด้วยความรัก ความเมตตาเอื้ออาทร และอีกประการหนึ่งก็เห็นว่าท่านเป็นบุตรคนสุดท้องที่พ่อแม่หวังจะได้พึ่งในบั้นปลายแห่งชีวิตต่อไปด้วย
อพยพครอบครัว
ในขณะที่อายุได้ ๑๔ ปี พ.ศ.๒๔๘๕ จังหวัดลพบุรีได้ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นโดยน้ำได้ท่วมหนักเป็นประวัติการณ์ถึงหลังคาบ้านไปทั่วทุกหมู่บ้าน ข้าวกล้านาล่ม เสียหายอย่างย่อยยับ แรงงานจากแรงคนที่ได้ลงแรงไป ก็มาสิ้นสลายไปกับสายน้ำอันหฤโหดอย่างหมดสิ้น ปลายทางที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง หมดหนทางที่จะประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว บิดามารดา จึงใคร่ครวญตัดสินใจอพยพครอบครัวทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องอันเป็นถิ่นกำเนิด โดยย้ายไปอยู่ที่ตำบล เขาช่องแค จังหวัดนครสวรรค์เพื่อเริ่มต้นชีวิต ทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า
สู่ร่มกาสาวพัสตร์
เมื่ออพยพครอบครัวมาอยู่นครสวรรค์ ได้ประกอบสัมมาชีพ ยกฐานะครอบครัวมีชีวิตเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง บิดามารดาได้ปรารถนาที่จะให้ท่านได้บรรพชาเป็นสามาเณร เพราะเล็งเห็นว่า การบวชเณรเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรมวินัย ทั้งเป็นการผูกญาติสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นพระเพณีนิยมไปด้วย ซึ่งท่านเองเมื่อรู้เรื่องนี้แล้วก็ไม่ขัดข้องยินดีปฏิบัติตามความประสงค์ของบุพพการีทุกประการ
บิดามารดา ได้นำไปบรรพชาที่วัดหนองแขม ต.ทุ่งทะเล อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ กับพระอาจารย์อ่อน เจ้าอาวาสวัดหนองแขม ผู้มีศักดิ์เป็นอาของท่าน ให้ช่วยดูแลอบรมสั่งสอน พระอาจารย์อ่อนรูปนี้เป็นพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียน ทั้งเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐานและแก่กล้าสรรพวิชาอาคมต่างๆอีกด้วย ครั้นบรรพชาแล้วในพรรษาแรกๆ ได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติ และวิชาอาคมกับหลวงอาพระอาจารย์อ่อน จนเป็นที่พอใจแล้ว หลวงอาคิดจะทดสอบหลานจึงคิดทดสอบความอดทนและวิชาที่สั่งสอนให้ แล้วออกอุบายที่จะพาไปเที่ยวโดยให้เตรียมข้าวของเท่าที่จำเป็นสำหรับในการเดินธุดงค์ออกธุดงค์กับพระอาจารย์อ่อน ในปีนั้น เมื่ออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์อ่อน ได้นำสามเณรประเทืองเดินธุดงค์ไปยังจุดหมายปลายทางเพื่อนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี แม้ว่ายังเป็นสามเณรอายุน้อยนิด ก็มีความอดทน แบกกลด ถือกรรมฐานกับพระอาจารย์อ่อนไปด้วย การเดินป่าในสมัยนั้น ประสบการความยุ่งยากลำบากเหลือเข็ญ ยังไม่มีรถยนต์ เป็นพาหนะเหมือนสมัยนี้ อีกทั้งตามป่าเขาลำเนาไพรยังชุกชุมไปด้วยไข้ป่า สัตว์ร้ายนานาชนิด เดินขึ้นเขาลงห้วยหาบ้านผู้คนก็ยากเย็นเต็มที แม้ว่าในตอนออกเดินทางจากวัดไปด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นเข้มแข็ง แต่พอนานเข้าเอาเข้าจริงๆ แล้ว ได้สัมผัสกับความอดอยาก ลำบากในป่าเขา ก็เกิดอาการท้อแม้ใจขึ้นมาเหมือนกัน บางครั้งคิดอยากจะกลับวัดกลับบ้าน หลวงอาก็ปลอบโยนให้กำลังในอยู่เสมอๆ จะทำอย่างไรได้ เมื่อตัดสินในแล้วก็ต้องสู้ต่อไปให้ถึงที่สุด สำหรับการเดินธุดงค์นั้น พระอาจารย์อ่อนมีกฎอยู่ว่าห้ามถามห้ามพูดในสิ่งที่ไม่จำเป็นและให้เฉยๆ ไว้ เดินตามหลวงอาไปอย่างเดียว พอถึงเวลาปักกลด หลวงอาก็ปักให้ (กลดสมัยนั้น คล้ายกับมุ้ง ๔ สาย) พอปักกลดเสร็จก็แยกไปปักอีกที่หนึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ ๑๐วา ตกกลางคืนก็ร้องไห้แต่ไม่กล้าร้องเสียงดัง กลัวหลวงอาดุเอา ทำให้เกิดความกลัว คิดไปต่างๆ จิตใจก็ไม่สงบ ยิ่งได้ยินเสียงเสือร้อง ก็ร้องไห้ตามเสือไปด้วย คิดจะกลับวัดอย่างเดียว ที่ยิ่งไปกว่านั้น พอรุ่งเช้าอาหารบิณฑบาตก็ไม่มีฉัน เพราะอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน จนบางครั้งต้องอาศัยข้าวตากแห้งที่เตรียมมาขบฉัน พอประทังชีวิตไปวันๆ หนึ่งก็เคยมี ครั้นรุ่งเช้าหลวงอาชวนออกเดินบิณฑบาต ก็คิดไปว่าป่าทั้งป่าจะไปบิณฑบาตที่ไหนกัน มองไปข้างไหนก็เห็นแต่ป่าทั้งนั้นแต่ก็ไม่กล้าถาม โดยหลวงอาสั่งว่า ทำอะไรก็ให้ทำตาม พอเดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ หลวงอาเปิดบาตรไว้สักครู่แล้วก็ปิดบาตร เดินมาที่อีกต้นหนึ่งก็ทำเหมือนเดิมอีก ก็ปฏิบัติตามเหมือนหลวงอาทุกอย่าง ถึงจะสงสัยก็ไม่กล้าถามอยู่ดี สามเณรประเทือง คิดอยู่ในใจว่า หลวงอาทำอะไรแปลกๆ หรือท่านจะรู้เห็นอะไรที่เราไม่รู้ก็เป็นได้ ครั้นกลับมาถึงที่พักก็เปิดบาตรดู ว่ามีอะไรอยู่บ้างเห็นแต่ความว่างเปล่าแต่ก็ยังไม่กล้าถามอยู่ดีว่าท่านทำเพื่ออะไร แล้วหลวงอาก็สั่งให้เอาน้ำล้างบาตรนั้นมาดื่มกิน พอดื่มแล้วเหมือนกับว่า รู้สึกอิ่มอย่างแปลกประหลาดคล้ายกับว่าได้ฉันข้าวอย่างนั้นแหล่ะ สามารถอยู่ได้ตลอดทั้งวันโดยไม่รู้สึกหิวกระหายแต่อย่างใดเลย เมื่อปฏิบัติอยู่ป่านานวันเข้า อาหารที่เตรียมมาก็หมดไปโดยปริยาย สิ่งที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง อาหารของหลวงอาไม่รู้จักหมด ครั้นถามท่านก็โดนดุว่าไม่ใช่กิจที่จะต้องรู้ ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ต้องปฏิบัติอีกมาก ท่านเปรียบเหมือนใบไม้ในกำมือกับไม้ในป่าทั้งหมด จึงไม่กล้าที่จะถามท่านอีก จะถามได้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเท่านั้น พอพูดจบท่านก็หยิบเอามาจากย่ามให้ฉันเป็นดังนี้อยู่เสมอมิได้ขาด ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจอยู่ตลอดมา ว่าทำไมข้าวตากแห้งของหลวงอาไม่รู้จักหมดสักที ท่านเอามาจากไหน ท่านมีคาถาอาคมอะไรหรือ
กลับมาเยี่ยมบ้าน
หลายปีที่สามเณรประเทือง เดินธุดงค์ไปกับพระอาจารย์อ่อน ก็ได้ร่ำเรียนวิชาอาคมอย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่ก็หลายครั้งเหมือนกัน ที่คิดอยากจะกลับบ้านไปเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่และญาติๆก็ยังไม่มีโอกาสสักครั้ง วันหนึ่งได้รับอนุญาตจากหลวงอาว่าถึงเวลาอันควรแล้วอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมบ้านได้แล้ว พอกลับมาถึงวัดหนองแขม ก็กราบลาพระอาจารย์อ่อนไปเยี่ยมบ้านทันที ได้พูดคุยสนทนาเล่าเรื่องราวต่างๆ ในการออกธุดงค์เดินป่าที่เป็นไปอย่างยากลำบาก เมื่อโยมทั้งสองได้ฟังแล้วก็เกิดสงสารห่วงใยอย่างจับใจ ขอร้องอ้อนวอนให้สามเณร ลูกชายลาสิกขากลับมาอยู่กับพ่อแม่ดีกว่า เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายในระหว่างอยู่ป่า ในตอนแรกก็เห็นด้วยกับความคิดของโยมพ่อโยมแม่ จึงตัดสินใจที่จะลาสิกขาอย่างแน่นอน ครั้นกลับมาได้ถึงวัดได้กราบเรียนให้หลวงอาทราบเรื่องเอาเข้าจริงๆ แล้ว ได้รับโอวาทธรรมจากหลวงอาว่า การปฏิบัติธรรมกรรมฐานเท่านั้น ที่จะได้กุศลแรงกล้าที่สุด ไม่เพียงแต่บุคคลผู้ปฏิบัติเท่านั้น แม้ผู้เป็นบิดามารดาชื่อว่าผู้ได้เป็นญาติพระศาสนาก็พลอยได้บุญกุศลไปด้วย ได้ฟังโอวาทธรรมดังนั้น ท่านก็เห็นด้วยแล้วตัดสินใจที่จะไม่ยอมลาสิกขา ยังคงเดินธุดงค์ไปกับพระอาจารย์อ่อนต่อไปอีกหลายปี พระอาจารย์อ่อน เป็นพระที่นิยมศึกษาชอบแสวงหาความรู้และมีวิทยาคมแก่กล้า ทั้งชอบการปฏิบัติธรรมได้ถ่ายทอดสรรพวิชาอาคมให้สามเณรประเทืองทุกอย่างอย่างเช่น การหุงสีผึ้ง วิชานะหน้าทอง เป็นต้น
ศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์
พระอาจารย์อ่อน นับว่าเป็นพระที่เชี่ยวชาญเวทวิทยาคมมากทีเดียว และที่สำคัญยังมีความคุ้นเคยกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ ยอดพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเดิมอยู่เป็นประจำ เมื่อกลับจากเดินธุดงค์แล้ว หลวงอาอ่อน ได้นำสามเณรประเทือง เดินทางไปวัดหนองโพธิ์ ฝากฝังไว้เป็นศิษย์คอยปรนนิบัติรับใช้ต้มน้ำร้อนน้ำชาอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อเดิมตลอดเวลา หลวงพ่อเดิมเรียกท่านว่า “เณรจ้อน” เพราะท่านตัวเล็กกว่าสามเณรในวัดรุ่นเดียวกันทั้งหมด ทั้งยังเมตตาแนะนำสั่งสอนวิชาอาคมต่างๆ ให้อยู่เสมอ ในขณะที่อยู่รับใช้หลวงพ่อเดิมอยู่นั้น สามเณรประเทืองได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมอะไรบ้าง เราท่านคงไม่อาจจะทราบได้ แต่เท่าที่สอบถามศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อประเทือง ได้ความว่าท่านไม่เคยพูดว่า หลวงพ่อเดิมถ่ายทอดวิชาอะไรให้ เพียงแต่กล่าวอยู่เสมอว่า วิชาอาคม ที่หลวงพ่อเดิมสั่งสอนนั้นว่าวิชาอะไรก็ตามตะเข้มขลังได้ต้องอาศัยพลังจิตเป็นกำลังสำคัญ หากเราฝึกจิตสมบูรณ์แล้วก็สามารถปลุกเสกอะไรให้เกิดพลังเข้มขลังได้ จากพื้นฐานวิทยาคมที่หลวงพ่อเดิมแนะนำสั่งสอนให้กับสามเณรประเทืองนั้นท่านก็ยึดถือปฏิบัติเป็นแบบครูบาอาจารย์ มาจนกระทั่งเป็นหลวงพ่อประเทือง ถึงทุกวันนี้
อุปสมบทปฏิบัติธรรมในสำนักหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค
เมื่ออกพรรษาแล้ว สามเณรประเทืองก็ตัดสินใจลาสิกขาถือเพศฆราวาสวิสัย ไปประกอบสัมมาชีพทำไร่ มันแกว อยู่ที่บ้านหนองกระทะ ตำบลช่องแค จังหวัดนครสวรรค์ ครั้งอายุได้ ๒๐ ปี ในพ.ศ.๒๔๙๑ ก็ปรารถนาจะเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ พัทธสีมา วัดช่องแค นครสวรรค์ โดยมีท่านพระครูทอง วิสาโร เจ้าคณะอำเภอตาคลีในสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์มีพระอาจารย์แบ๊ง วัดช่องแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระใบฎีกาตี่ วัดเขาวงศ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ในช่วงที่อยู่จำพรรษาวัดช่องแค เป็นห้วงเวลาเดียวกัน กับหลวงพ่อพรหม ยอดพระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงอีกรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสครองวัดนั้นอยู่ นับว่าเป็นบุญโชคของท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน สรรพวิทยาคมในสำนักหลวงพ่อพรหมแต่เป็นที่น่าเสียดาย ว่า ท่านได้ครองสมณเพศอยู่ได้เพียงพรรษาเดียว ก็จำต้องลาสิกขาเพราะถูกกฎหมายเกณฑ์ทหาร ไปเป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ที่เขาน้อย จังหวัดลพบุรี อยู่ได้ ๒ ปีเศษ แล้วสมัครเป็นสารวัตรทหารอยู่ที่ลพบุรี ครั้นเบื่อหน่ายอาชีพราชการ ก็ลาออกมาทำงานชลประทานซีเมนต์อยู่ช่องแค นครสวรรค์ หลังจากใช้ชีวิตฆราวาสเพศวิสัยอยู่ ๘-๙ ปี ก็เบื่อหน่ายปรารถนาจะบวชอีกสักครั้งซึ่งในขณะนั้นมีอายุได้ ๒๙ ปี พ.ศ.๒๔๐๐ เป็นการฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษไปด้วยก็ตัดสินใจอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโนทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ได้รับสมณฉายาว่า อติกฺกนฺโต แล้วอยู่ปฏิบัติธรรมกับ หลวงพ่อเล็ก วัดโพธิ์ทอง (หลวงพ่อเล็กรูปนี้เป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมมาจากหลวงพ่อปาน วัดบางเ**้ย)
ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรม
เนื่องจากหลวงพ่อประเทืองท่านมีอุปนิสัยชอบความสงบวิเวกใฝ่ใจในการศึกษาเล่าเรียนมาแต่เดิม ครั้นได้กลับมาบวชใหม่อีกครั้ง ก็มีความตั้งใจที่วัดโพธิ์ทอง พอออกพรรษาแล้วได้เล็งเห็นว่าวัดไม่เป็นที่สงบเท่าที่ควร เพราะท่านไม่ชอบที่จะระคนด้วยหมู่คณะจึงปลีกตนออกปฏิบัติกราบลาพระอุปัชฌาย์ออกเดินธุดงค์ แสวงหาความรู้กับครูบาอาจารย์ เพื่อศึกษาสรรพวิชาเพิ่มเติม หลวงพ่อประเทือง ได้เดินธุดงค์ไปตามเขาทั่วภาคตะวันออกเฉียงจรดไปถึงถ้ำนาแก นครพนม ได้พบกับพระป่านักปฏิบัติหลายรูปทั้งได้ขอเล่าเรียนวิชาอาคมต่างๆ จนกระทั่งได้มีโอกาสพบกับอาจารย์บุญลือเป็นฆราวาสชาวเขมร ผู้เก่งกล้าในด้านไสยศาสตร์ ท่านก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาถอนคุณไสยต่างๆ จนเป็นที่พอใจแล้วเดินธุดงค์ต่อไปอีก หลังจากนั้นเดินธุดงค์กลับมานมัสการรอยพระพุทธบาท สระบุรี ซึ่งในช่วงนั้นเอง ได้เกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายเป็นว่าเล่น ชาวบ้านก็ปลื้มในที่ได้พบพระธุดงค์ ได้ขอร้องให้ท่านโปรดเมตตาช่วยอนุเคราะห์รักษาโรค ท่านก็ยินดีอยู่ช่วยรักษาให้โดยใช้สมุนไพรตามที่ได้ศึกษามาประกอบมาปรุงยาต้มให้ชาวบ้านกินกันจนหายเป็นปกติ ยังความปลื้มปิติเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของคนในหมู่บ้านกันทั่ว
สืบสายพุทธาคม
ความเป็นหนึ่งในเวทวิทยาคมของหลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต ในปัจจุบันย่อมเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ศิษยานุศิษย์และผู้นิยมวัตถุมงคล เพราะวัตถุมงคลหรือเครื่องรางวัลขลังของท่านนั้น ที่สร้างขึ้นโดยหลวงพ่อหรือคณะศิษย์สร้างถวายก็ตาม โดยท่านเป็นผู้ปลุกเสกล้วนมีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับเชื่อถือในความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์
ปาฏิหาริย์ล้ำเลิศมากมาย
การกล่าวได้อย่างมั่นใจเช่นนี้ก็เพราะท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มากไปด้วยครูบาอาจารย์ แสวงหาความรู้เล่าเรียนศึกษาพุทธาคมอย่างไม่รู้จบ และเหตุที่ครูบาอาจารย์ของท่านก็ล้วนแต่เลื่องลือกิตติศัพท์เป็นที่เคารพของสาธุชนทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐ ปี ที่ออกเดินธุดงค์ ก็ได้ศึกษาสรรพวิชาอาคมจากครูบาอาจารย์ต่างๆ มามากมายเท่าที่ได้กราบนมัสการเรียนถามว่ามีพระเกจิอาจารย์รูปใด บ้างที่ท่านเคยเป็นศิษย์ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาอาคมซึ่งท่านได้ลำดับครูบาอาจารย์ดังนี้
๑. พระอาจารย์อ่อน วัดหนองแขม นครสวรรค์ (มีศักดิ์เป็นอา ได้ศึกษาตั้งแต่เป็น สามเณร)
๒. หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ (เมื่อครั้ง ไปอยู่ปรนนิบัติรับใช้เป็นสามเณรที่วัดหนองโพธิ์)
๓. หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค นครสวรรค์ (ศึกษาอยู่ได้ 1 พรรษา ตอนบวชครั้งแรก)
๔. พระอาจารย์เล็ก วัดคลองเม่า ลพบุรี
๕. หลวงพ่อเล็ก วัดโพธิ์ทอง นครสวรรค์ (เมื่อครั้งอุปสมบทอยู่วัดโพธิ์ทอง ซึ่งหลวงพ่อเล็กรูปนี้ เป็นศิษย์ที่สืบทอดพุทธาคมมา จากหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย(วัดคล่องด่าน)
๖. อาจารย์บุญลือ (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นชาวเขมร (เมื่อคราวออกธุดงค์)
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
เหรียญนั่งพานหลวงพ่อประเทือง
ให้บูชา 130 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
หลวงปู่คีย์ กิติญาโณ วัดศรีลำยอง สุรินทร์
ข้อมูลประวัิติ พระครูวิสุทธิกิตติญาณ (หลวงปู่คีย์ กิติญาโณ) วัดศรีลำยอง สุรินทร์
หลวงปู่คีย์ กิตติญาโณ มีนามเดิมว่า คีย์ จงพูนศรี เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2471 ที่ ต.ปรือ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
ปัจจุบันอายุ 81 ปี 60 พรรษา บรรพชาและอุปสมบทเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2492 ณ วัดเพชรบุรี ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
ท่านได้เดินทางธุดงค์เพื่อปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานและศึกษาวิชาอาคมต่างๆ ตามแถบเทือกเขาพนมดงรักร่วมกับหลวงปู่เชิดแห่งวัดเพชรบุรีเป็นเวลาหลายปี เป็นพระเจ้าพิธีเสริมดวง เสริมบารมี สะเดาะเคราะห์ต่อชะตาราศรีด้วยการสาวน้ำตาเทียนจากบาตรน้ำมนต์ครอบลงบนศีรษะของผู้เข้าพิธีแต่ละคนที่เรียกว่าครอบมงกุฎพระเจ้า เก่งทางเมตตามหานิยมเป็นที่เคารพสักการะของศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศ
หลวงปู่คีย์ กิตติญาโณ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูวิสุทธิกิตติญาณ เมื่อปี 2536 และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท เมื่อปี 2542
เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีลำยอง หมู่ที่ 4 ตำบลสมุด อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์
ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว
พระพุทธชินราชรุ่นปลดหนี้ มหาเศรษฐี
พิธีมหาพุทธาอธิษฐานจิตปลุกเสกประจุพระคาถาและประจุธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยหลวงปู่คีย์วัดศรีลำยอง สุรินทร์
ครั้งที่ 1 วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555
ครั้งที่ 2 วันที่ 9 มีนาคม 2555
ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
หน้า 98 ของ 105