ประวัติจตุคามฤาษีดาบส รุ่น รวยข้ามรุ่น ปี พ.ศ.๒๕๐๗

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย maymaple, 19 กันยายน 2007.

  1. maymaple

    maymaple Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    ประวัติจตุคามฤาษีดาบส รุ่น รวยข้ามรุ่น ๒๕๐๗ หลวงพ่อบุญลือฐานะโชโต(พระครูโฆษิตโชติธรรม) วัดคำหยาด อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง

    อารัมภกถา

    ผมได้มีโอกาสสนทนากับหลวงพ่อบุญลือหลายครั้ง เกี่ยวกับเรื่องจตุคามฤาษีดาบส วัดคำหยาด อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง ด้วยความสงสัยถึงที่มาที่ไป เพราะความอยากรู้ต้นสายปลายเหตุ

    เรียนตามตรงว่าเมื่อแรกเริ่มนั้นผมมิได้มีความเชื่อมั่นหรือศรัทธามากนัก พอมีอยู่บ้างตามกระแสที่ได้รับจากการบอกเล่า ส่วนหนึ่งก็รู้ข่าวจากหนังสือพิมพ์ ในห้วงดังกล่าวกระแสความนิยมเกี่ยวกับองค์จตุคามรามเทพกำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วไป

    ผมมีโอกาสไปร่วมพิธีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดสร้างองค์จตุคามรามเทพหลายครั้ง และก็เช่ามาบูชาเป็นส่วนตัวเก็บไว้หลายรุ่น จึงได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องจตุคามรามเทพมาบ้าง

    เมื่อได้ยินข่าวเรื่องจตุคามฤาษีดาบสที่ขุดได้จากถ้ำมงคลนิมิต ตำบลโคกตูม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ตามข่าวนั้นแจ้งว่าสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๗ เกิดความรู้สึกแปลกใจเพราะตามความเข้าใจของผมเองนั้น รับรู้แต่เพียงว่าองค์จตุคามรามเทพรุ่นแรกสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒

    แต่ต่อมาภายหลังมีผู้ใหญ่ที่ผมเคารพท่านเล่าให้ผมฟังเป็นความรู้ว่าองค์จตุคามรามเทพนั้น มีสร้างกันมานานก่อนหน้านี้แล้ว ท่านเคยเห็นรุ่นที่ทำจากกระเบื้องเคลือบหรือที่เรียกกันว่ากังใส สร้างตั้งแต่ห้วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕)

    เมื่อมีโอกาสจึงได้มาที่วัดคำหยาด เพื่อมาให้เห็นกับตา และตั้งใจว่าจะมาเช่าไว้บูชาสักองค์ ผมมาที่วัดนั้นไม่ค่อยแน่ใจว่าจะมีให้เช่าหรือไม่ เนื่องจากว่ามาที่วัดหลังจากที่ข่าวหนังสือพิมพ์ได้ออกมาแล้วเดือนกว่า ด้วยเข้าใจว่าของดีจริงคงต้องมีคนสนใจหาเช่ากันมาก ยิ่งเป็นข่าวและอยู่ในกระแสอย่างนี้ คงจะหมดในเวลาอันรวดเร็ว

    อย่างที่บอกแรกๆมิได้ใส่ใจนักเพราะคิดว่าคงเป็นการสร้างข่าว ผมโชคดีเมื่อมาถึงวัดสามารถเช่ามาเก็บไว้บูชาได้องค์หนึ่ง แต่มีความรู้สึกแปลกใจว่าในบริเวณวัดนั้นไม่มีกระแสเรื่องจตุคามฤาษีดาบสให้ได้ยินเลย หลวงพ่อเองก็ไม่ได้พูดถึงจตุคามฤาษีดาบส จะบอกเมื่อถูกถามหรือพูดคุยถึงจตุคามฤาษีดาบสเท่านั้น จึงไม่มีใครรู้เรื่องนี้กันมากนัก

    แม้แต่ลูกศิษย์ที่แวะเวียนมากราบหลวงพ่อหลายๆคน บางคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าที่วัดมีจตุคามฤาษีดาบส ไว้ให้บูชา กรรมการวัดดำเนินการจัดให้เช่าบูชาด้วยการทำบุญองค์ละ ๓๐๐๐ บาท ซึ่งถือเป็นการทำบุญถวายวัด โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินส่วนนี้มาสร้างสถานที่ดูแลคนชราที่กำลังจัดสร้างภายในวัด

    สองสาเหตุนี้เองกระมังที่ตอบคำถามผมว่าทำไมจึงมีจตุคามฤาษีดาบสเหลือมาถึงผม ต่อมาหลังจากได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อบุญลือเล่าประวัติให้ผมฟังหลายครั้งจึงเกิดความศรัทธา ผมได้กลับมาเช่าเพิ่มอีก ๕ องค์ เพื่อมอบให้กับผู้ใหญ่ที่ผมเคารพและน้องที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เมื่อมาวัดบ่อยขึ้นผมได้เห็นคนหลายคนสอบถามเรื่องประวัติของจตุคามฤาษีดาบสนี้ เป็นคำถามที่สงสัยเหมือนกับที่ผมเคยตั้งคำถาม ได้เห็นหลวงพ่อเล่าเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่านมีเมตตากับลูกศิษย์ทุกคนด้วยถ้วนหน้าไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะเล่า

    ทุกครั้งที่ท่านเล่าถ้าผมอยู่ด้วยก็พยายามเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด ด้วยตั้งใจว่าจะพิมพ์เป็นเอกสารบันทึกประวัติจตุคามฤาษีดาบส เก็บไว้เพื่อให้ผู้สนใจได้ทราบ และเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระหลวงพ่อ อีกทั้งเป็นประวัติศาสตร์เกี่ยวกับจตุคามฤาษีดาบสเพื่อคนรุ่นหลังได้ศึกษา จึงได้กราบเรียนขออนุญาตหลวงพ่อเพื่อพิมพ์บันทึกประวัตินี้เก็บไว้ ผมได้เพิ่มเสริมบางเรื่องเท่าที่จำเป็นเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ แต่พยายามคงไว้ซึ่งเนื้อหาตามที่หลวงพ่อท่านได้เล่าให้ฟัง เพื่อให้บันทึกประวัตินี้ตรงกับความเป็นจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
     
  2. maymaple

    maymaple Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    [​IMG]

    หลวงปู่คำโป๋เป็นใคร

    ปี พ.ศ.๒๕๐๗ หลวงพ่อบุญลือ ยังมีฐานะเป็นเณร ออกธุดงค์ไปกับหลวงปู่คำโป๋ ร่วมกับพระและเณรอื่นๆรวม ๘ รูป หลวงปู่คำโป๋เป็นพระเกจิที่เดินทางมาจากประเทศลาว เดินทางเข้ามาประเทศไทยแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ ทราบแต่ว่าท่านได้ตระเวนไปพบกับพระอาจารย์ชื่อดัง ทั้งพระสายปฏิบัติและพระสายปริยัติในสมัยนั้นทั่วทั้งภาคอิสานและภาคกลาง หลวงพ่อเล่าว่าหลวงปู่คำโป๋มีวาจาสิทธิ์ยิ่งนัก ท่านเป็นพระพูดน้อย จึงเป็นที่เกรงขามกับบรรดาสายานุศิษย์โดยถ้วนหน้า ในปี ๒๕๐๗ นี้ท่านน่าจะมีอายุราวๆ ๘๙ ปี ในห้วงเวลาดังกล่าวท่านมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่ถ้ำมงคลนิมิต เขาจีนแล อยู่ในเขตตำบลโคกตูม อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ซึ่งขณะนั้นยังเป็นป่ารกชัฎอยู่มาก

    ปฐมเหตุก่อนเกิดจตุคามฤาษีดาบส

    ปฐมเหตุก่อนจะเกิดเรื่องจตุคาม คำว่าจตุคามนี้หลวงพ่อท่านชี้แจงว่าท่านเรียกเอง หลวงปู่คำโป๋ท่านไม่เคยบอก ไม่เคยพูด เริ่มเรื่องเกิดจากตาแป๊ะขายกาแฟซึ่งอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ หลวงพ่ออยู่ในเหตุการณ์กำลังนั่งคุยกันกับพระเณรอื่นๆเรื่องเกี่ยวกับการสวดพระปาฏิโมก เถียงกันอยู่ว่าพระพุทธเจ้าท่านมีพระพุทธโอวาสให้เดินไปข้างหน้าแต่พวกท่านกำลังคิดกันเรื่องสวดพระปาฏิโมกถอยหลัง มันจะได้เรื่องอะไรหรือไม่ จึงไม่ได้สังเกตุว่าตาแป๊ะคุยอะไรอยู่กับหลวงปู่คำโป๋ เห็นแต่หลวงปู่คำโป๋นำผงใส่ถุงเล็กๆให้ตาแป๊ะแกนำกลับไปบ้าน ทราบต่อมาว่าแกนำเอาไปแขวนไว้ที่ร้านกาแฟของแก ขายดิบขายดีจนสามารถซื้อตึกแถวได้ถึง ๒ หลัง หลวงพ่อท่านขยายความเพิ่มเติมถึงร้านกาแฟสมัยก่อนให้ฟังว่าเป็นกาแฟโบราณ ไม่เหมือนกาแฟสมัยใหม่ที่มีคาเฟอีนที่ชงให้คนดื่มแล้วทำให้คนติดใจ สมัยปู่ย่าตายายคาเฟอีนไม่มีใครรู้จัก การชงสมัยก่อนก็มีขั้นตอนพอสมควรกว่าจะได้กาแฟสักแก้วหนึ่ง เรื่องตาแป๊ะที่บุรีรัมย์น่าจะเป็นปฐมเหตุที่ทำให้หลวงปู่คำโป๋ได้คิดทำพระขึ้นมา โดยใช้ผงมวลสารที่ท่านให้กับตาแป๊ะ ซึ่งต่อมาภายหลังหลวงพ่อท่านเรียกว่าจตุคามฤาษีดาบส

    วิธีการทำพระของหลวงปู่คำโป๋

    จะเป็นวันใดในห้วงปี พ.ศ.๒๕๐๗ ไม่แน่ชัด หลวงปู่คำโป๋ได้นำผงมวลสารหลายอย่าง โดยเฉพาะผงว่านจูงนางเข้าห้องซึ่งเป็นเนื้อมวลสารหลักมีกลิ่นหอมมาก และเป็นผงว่านที่ให้กับตาแป๊ะที่บุรีรัมย์นำไปแขวนไว้ที่ร้านกาแฟของแก มีสรรพคุณในทางเมตตามหานิยม ผงว่านนี้นำมาจากเวียงจันทน์ นำมาวางรวมกันกับมวลสารอื่นๆในกระจาด สำหรับผงว่านจูงนางเข้าห้องอยู่ในกระป๋องรูปทรงเหลี่ยม หลวงปู่คำโป๋ได้เตรียมครกไม้และสากไม้เอาไว้แล้วจำนวนหนึ่ง ของพวกนี้ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน อยู่ๆก็มาปรากฎให้พร้อมใช้ หลวงปู่คำโป๋ท่านแสดงให้ดูโดยที่ไม่ได้พูดใดๆได้แต่แสดงอากัปกิริยาให้เห็นว่าต้องการอะไร แล้วท่านจะชี้ไปที่พระเณรทั้ง ๘ รูป ซึ่งเป็นอันรู้กันว่าท่านต้องการให้ทำพระ แต่ไม่รู้ว่าทำพระอะไร คิดกันว่าท่านคงให้ทำพระงบน้ำอ้อย หลวงปู่คำโป๋จะแสดงให้ดู ด้วยการใช้กระจ่าตักผงมวลสารต่างๆขึ้นมาให้ดูส่วนผสม ทำให้รู้ว่าเอาแค่นี้นะอย่าให้เกิน แล้วจึงใส่ลงไปในครกไม้ เพื่อตำให้เนื้อมวลสารเข้ากัน หลวงพ่อเล่าว่าไม่มีการใช้กล้วยเหมือนกับการทำพระทั่วไป ไม่มีน้ำมันตังอิ้วที่จะเป็นน้ำประสานเนื้อมวลสาร จำได้ว่ามีแต่ยางมะตูม ซึ่งเก็บอยู่ในขวดแก้วมีหูและน้ำมนต์ที่หลวงปู่คำโป๋ท่านปลุกเสกนำมาประพรมใส่ลงในครก การตำนั้นตำกันจนไหล่ระบม ตำกันจนสากแตก เมื่อตำจนเห็นว่าเนื้อมวลสารเข้ากันดีแล้วก็นำมาให้หลวงปู่คำโป๋ดู ท่านจะรับมา แล้วจะหยิบมวลสารที่ตำนั้นมาตรวจด้วยการจับยืดดู ถ้ายังใช้ไม่ได้ท่านก็จะโบกมือเป็นนัยว่ายังใช้ไม่ได้แล้วชี้ไปที่ครกซึ่งหมายถึงให้ตำใหม่จนกว่าจะได้ที่ การที่หลวงปู่คำโป๋ท่านไม่พูดทำให้หลวงพ่อซึ่งเป็นเณรในขณะนั้นเล่าว่าท่านรู้สึกอึดอัดมาก แบบพิมพ์ทำจากไม้ก็เช่นกันถูกแกะมาเรียบร้อยมาจากไหนไม่ปรากฏหลวงพ่อเล่าว่ามาเห็นก็ตอนที่จะใช้ ไม่เคยเห็นหลวงปู่คำโป๋ท่านแกะแบบให้เห็น เป็นแบบพิมพ์ที่มีสองด้านนำมาประกบกัน เมื่อเวลานำผงมวลสารที่ตำจนได้ที่แล้วมาใส่ลงแม่พิมพ์ตัวล่างแล้ววางลงบนท่อนไม้รองที่มีความหนาเกือบศอก จากนั้นจึงจะวางแม่พิมพ์ตัวบนให้ตรงแล้วจึงจะใช้ฆ้อนไม้ตีเต็มแรงอีกทีหนึ่งเป็นอันเสร็จกระบวนการ เมื่อได้พระจากแบบที่ถอดออกมาแล้วก็มิได้สนใจ จับโยนลงกระจาดเหวี่ยงๆไปตามเรื่อง วันหนึ่งๆหลวงพ่อเล่าว่าทำกันได้ห้าหรือหกองค์เท่านั้นเพราะแขนมันล้า ไหล่มันระบมไปหมด ความตั้งใจแรกนั้นจะทำกันคนละห้าวัน แต่ทำไปๆวันหนึ่งทำกันได้คนละไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตัวหลวงพ่อในขณะนั้นเป็นเณรตัวท่านเองนั้นทำไม่ไหวถึงกับหนีไปที่ชอนสรเดช หลวงปู่คำโป๋ท่านก็ให้พระไปตามกลับมาให้ทำต่อจนเสร็จ

    ลูกศิษย์ตั้งชื่อกันเองว่าพระรุ่นนี้เป็นรุ่นสากแตก
    การจัดทำจตุคามฤาษีดาบสนี้น่าจะใช้เวลาทำประมาณ ๗ ถึง ๘ ปี แล้วเสร็จในราวปี พ.ศ.๒๕๑๕ จำนวนที่ทำนั้นตัวหลวงพ่อท่านก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่เมื่อนำมาเรียงในกระด้งมอญใบใหญ่ กว้างประมาณวาหนึ่งวางซ้อนๆกันขึ้นไปได้สูงประมาณสองวากว่า หลวงพ่อเล่าว่าจากปี ๒๕๐๗ ที่เริ่มทำจนทำเสร็จ ท่านก็ไม่เคยได้ยินจากปากหลวงปู่คำโป๋เลยว่าพระที่ทำนั้นเป็นพระอะไร ไม่มีชื่อรุ่น ท่านไม่ได้พูดใดๆสักคำหนึ่ง มีแต่ลูกศิษย์ของท่านตั้งชื่อกันเองว่ารุ่นสากแตก และเป็นที่น่าสังเกตุว่าพระที่ทำนั้นมีลักษณะเป็นองค์กลมใหญ่ผิดกับพระทั่วไปที่จัดทำในสมัยนั้น แต่กลับมีลักษณะที่ไม่แตกต่างกับองค์จตุคามรามเทพที่ทำกันในปัจจุบัน การวางลวดลายรูปแบบก็คล้ายกัน แตกต่างกันเพียงพระที่หลวงปู่คำโป๋ทำนั้นเป็นรูปฤาษีแทนที่จะเป็นองค์จตุคามรามเทพ หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าตัวท่านเองนั้นตอนทำก็มิได้ใส่ใจ ไม่ได้สังเกตุ ทำเพียงแต่ให้เสร็จไปวันๆเท่านั้น ตัวหลวงพ่อเองท่านก็จำหน้าตาพระที่ท่านทำเองกับมือมาทุกวันตลอด ๗ หรือ ๘ ปีไม่ได้

    พิธีปลุกเสก ๘ ปี ปลุกเสกแต่ละวันพระต้องหมุนจึงจะถือว่าใช้ได้

    หลังจากการเพียรพยายามทำพระกันจนเสร็จในราวปี พ.ศ.๒๕๑๕ ก็นำพระทั้งหมดเข้าไปไว้ในถ้ำวางซ้อนกันดังที่กล่าวไปแล้ว พระทั้งหมดจะถูกพันด้วยสายสิญจ์วนเป็นวงรอบ ทุกวันหลังหกโมงเย็นไปแล้วหลวงปู่คำโป๋จะนำพระเณรทั้งหมดมานั่งล้อมรอบ เพื่อทำพิธีสวดมนต์ปลุกเสกด้วยกัน การปลุกเสกนี้จะสวดมนต์กันจนเลยตีสองหรือไม่ก็ตีสามทุกวัน ว่ากันว่าการสวดจะต้องสวดกันจนได้ที่ ต้องสวดจนกว่าพระ แหวน กำไลหยก ที่อยู่ด้านบนจะแกว่งหมุนเหมือนเหรียญที่ถูกปั่นด้วยมือ จากพลังพุทธคุณที่หลวงปู่คำโป๋ได้สวดมนต์บริกรรม เสียงกระทบกันขององค์พระ รวมทั้งแหวน กำไลหยก และพลอยที่ท่านนำมาจากพม่าเมื่อครั้งที่เดินธุดงค์ไปนมัสการเจดีย์ชะเวดากอง รวม ๕ เที่ยวก่อนหน้าที่จะทำพระนั้น ได้ถูกนำมาเข้าพิธีด้วย จะส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง อันเป็นสัญญานว่าพิธีในคืนนั้นๆเสร็จสมบูรณ์แล้ว เป็นเช่นนี้ตลอดระยะเวลา ๘ ปีมิได้ขาดการสวดมนต์ปลุกเสกเลยแม้แต่วันเดียว พิธีมาเสร็จสิ้นในปี พ.ศ.๒๕๒๒
     
  3. maymaple

    maymaple Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    [​IMG]


    แหวน กำไลหยก และพลอยนำมาจากเจดีย์ชะเวดากองประเทศพม่า

    แหวน กำไลหยก และพลอยนั้นไปได้มาจากพม่า ห้วงที่ออกธุดงค์กับหลวงปู่คำโป๋รวมกับพระเณร จำนวน ๘ รูป การเดินทางไปจาริกแสวงบุญที่เจดีย์ชะเวดากอง ประเทศพม่า ใช้เส้นทางเดินผ่านด่านเจดีย์สามองค์ ในสมัยนั้นเส้นทางลำบากมาก และเดินทางด้วยเท้าเปล่าใช้เวลา ๓ เดือนเต็มในการเดินทางไปและกลับ ไปรวมทั้งหมด ๕ เที่ยว ตอนไปก็แบกย่ามเปล่าๆไปกันคนละใบ เมื่อไปถึงเจดีย์ชะเวดากอง ก็ปักกลดนอนกันในบริเวณวัด ตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีแหวน กำไลหยก และพลอยซึ่งไม่รู้มาจากไหนมาอยู่เต็มย่ามกันทุกคน ไม่มีใครกล้าเปิดดู รู้กันแต่ว่าต้องแบกกลับมายังประเทศไทย ไม่มีใครทราบว่าหลวงปู่คำโป๋ท่านนำมาใส่ไว้ตอนไหน หลวงพ่อท่านเล่าว่าท่านเองก็ไม่เห็นกับตาสักที

    หลวงปู่คำโป๋ให้ข้อคิด
    เมื่อทำพิธีสวดมนต์ปลุกเสกครบ ๘ ปีเต็ม ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ หลวงปู่คำโป๋ซึ่งขณะนั้นมีอายุ ๑๐๔ ปี ท่านก็นำพระที่ทำซึ่งก็คือจตุคามฤาษีดาบส รวมกับแหวน กำไลหยก และพลอยเหล่านี้บรรจุลงโอ่งใบเขื่องขนาดไม่ใหญ่ไม่โตมากนัก รวม ๔ โอ่งนำลงฝังภายในถ้ำ โบกทับปากโอ่งไว้ด้วยซีเมนต์ ฝังลึกลงไปประมาณวากว่า เมื่อเสร็จเรียบร้อยดีแล้วหลวงปู่คำโป๋ท่านได้เรียกพระเณรทั้ง ๘ รูป มารวมกัน แล้วท่านก็กล่าวว่า “เอาไปใช้แต่พอควรเน้อ” ตัวหลวงพ่อท่านเองเล่าให้ฟังอย่างขำๆว่าเอาไปใช้ยังไงไม่เห็นได้สักองค์เลย ท่านเองทำมากับมืออยากได้ไว้ติดตัวก็ยังไม่ได้หลวงปู่คำโป๋เก็บฝังดินเรียบร้อยหมด หลวงปู่คำโป๋ท่านยังได้กล่าวต่อไปว่า “อย่าทะเลาะกันน้อ”__“อย่าขาดสวดมนต์ทำวัตรกันเน้อ”__“อย่าไปเอาเมียเขาน้อ” __ “อย่าไปโกหกเขาน้อ” และท่านก็เน้นย้ำว่า“อย่าไปเอาเมียเขาน้อ” __ “อย่าไปโกหกเขาน้อ” หลวงปู่คำโป๋ท่านเน้นย้ำในสองเรื่องหลัง หลังจากนั้นท่านก็บอกกับพระเณรทั้งหมดว่า “ข้อยจะกลับเวียงแล้วเน้อ” พระและเณรในขณะนั้นได้วิเคราะห์กันว่าการที่หลวงปู่คำโป๋ท่านเน้นย้ำในสองเรื่องหลังเพราะท่านรู้สรรพคุณของผงว่านจูงนางเข้าห้องในเรื่องเมตตามหานิยม และมหาเสน่ห์เป็นอย่างดี ผู้นำไปใช้จึงต้องระมัดระวังให้จงหนัก หลวงพ่อเล่าว่าว่านจูงนางเข้าห้องนี้เมื่อทำเป็นผงแล้วต้องเก็บไว้ในกล่องมิดชิด ถ้าเปิดออกมาแล้วเกิดลมแรงพัดผงว่านนี้ปลิวฟุ้งไปในทางใด ไกลถึงไหน เป็นได้เรื่อง

    หลวงปู่คำโป๋กลับเวียงจันทน์

    หลวงพ่อจำได้ว่าได้เดินมาส่งหลวงปู่คำโป๋ที่วงเวียนโคกตูม หลวงพ่อได้กล่าวส่งท่านว่า “พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผมขอส่งหลวงพ่อแค่นี้นะครับ” เปล่าเลยท่านไม่ได้หันกลับมาตอบใดๆสักคำ ท่านเดินจากไปโดยที่มิได้หันกลับมามองลูกศิษย์ที่มาส่ง ไกลจนภาพของท่านหายลับไปจากสายตา นับจากวันนั้นหลวงพ่อก็มิได้ทราบข่าวของหลวงปู่คำโป๋อีกเลย หลวงพ่อท่านวิเคราะห์ให้ฟังว่าหลวงปู่คำโป๋ท่านคงประสงค์ที่จะไม่หันกลับมามองลูกศิษย์ของท่านที่รับใช้กันมานานหลายสิบปี ด้วยเกรงว่าท่านจะใจอ่อนทำให้ท่านไม่สามารถเดินทางกลับเวียงจันทน์ได้ หลังจากที่หลวงปู่คำโป๋ได้จากไปแล้ว พระเณรทั้ง ๘ รูปก็ยังคงจำพรรษา สวดมนต์ทำวัตรปฏิบัติธรรม กันที่ถ้ำมงคลนิมิต อีกหลายปีก่อนที่จะแยกย้ายจากกันในกาลต่อมาตามวิถีทางของตน คงเหลือท่านหลวงพ่อบุญลือที่ครองสมณเพศแต่เพียงผู้เดียว
     
  4. maymaple

    maymaple Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    [​IMG]

    หลวงพ่อบุญลือได้กลับมาพัฒนาวัดคำหยาด

    หลวงพ่อบุญลือได้กลับมาพัฒนาวัดคำหยาด ซึ่งเป็นวัดโบราณ
    เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง วัดนี้ถูกปล่อยให้มีสภาพรกร้าง ในประวัติศาสตร์ได้มีการกล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์รองในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระนามเดิมเจ้าฟ้าดอกเดื่อ ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็น กรมขุนพรพินิต มีพระเชษฐาคือ เจ้าฟ้าเอกทัศน์ (กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) หลังจากเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล สิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ.๒๒๘๙ แล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ มิได้ทรงแต่งตั้งพระราชโอรสองค์ใด ขึ้นเป็นพระมหาอุปราชแทน เป็นเวลาถึง ๑๑ ปี ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๐๐ จึงทรงตั้งเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ด้วยทรงเห็นว่าทรงพระปรีชา มีพระสติปัญญาเฉลียวฉลาด เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศสวรรคต เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตได้ขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๑ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ แต่ก่อนหน้าที่จะมีพิธีบรมราชาภิเษกนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบและพระอนุชาต่างพระมารดาสามองค์ คือ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดี ได้พยายามแย่งชิงราชสมบัติ แต่สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ทรงขอให้พระราชาคณะเกลี้ยกล่อมจนสำเร็จ และพระองค์ได้ราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ เมื่อพระองค์ครองราชย์ได้เพียงเดือนเศษ ก็ทรงสละราชย์สมบัติแล้วถวายราชสมบัติแก่เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี ผู้เป็นพระเชษฐา แล้วพระองค์เสด็จออกผนวช โดยประทับอยู่ที่วัดประดู่โรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากนั้นสันนิษฐานว่าได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดคำหยาด ต่อมาภายหลังเมื่อเห็นว่าทางอยุธยามิได้แวดระแวงในตัวพระองค์ท่านแล้ว จึงได้ลาผนวชและลงหลักปักฐานโดยพำนักอยู่ที่พระตำหนักคำหยาดในบริเวณไม่ไกลนักจากวัดคำหยาด ตามการสันนิษฐานตำหนักคำหยาดนี้สร้างในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ในราวปี พ.ศ.๒๒๗๕-พ.ศ.๒๓๗๑ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรไม่ยอมกลับอยุธยา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์พม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้นกรุงศรีอยุธยาอยู่ในขั้นกลียุค ข้าราชบริพารมองไม่เห็นผู้ใดที่จะกอบกู้สถานการณ์ได้ จึงได้พากันมาทูลอัญเชิญท่านกลับมาช่วยแก้ไขวิกฤตการณ์บ้านเมือง แต่ไม่นานกรุงศรีอยุธยาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรถูกจับตัวไปยังพม่าและได้สิ้นพระชนม์ระหว่างทาง
     
  5. maymaple

    maymaple Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    [​IMG]

    กระแสจตุคามรามเทพปี พ.ศ.๒๕๕๐

    ปี พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งเป็นปีที่กระแสนิยมจตุคามรามเทพแพร่ครอบคลุมไปทั่วประเทศไทย ไม่มีใครที่ไม่รู้จักจตุคามรามเทพ ใครต่อใครล้วนแสวงหาจตุคามรามเทพมาไว้ในครอบครองด้วยชื่อรุ่นต่างๆที่เป็นมงคลทั้งในทางโชคลาภ ในทางอำนาจ วัดทุกวัดต่างหาทางจัดสร้างจตุคามรามเทพเพื่อหารายได้เข้ามาบำรุงวัด หลวงพ่อเล่าว่าท่านเองได้ยินกระแสจตุคามรามเทพ แต่ก็เพียงแต่ได้ยิน ไม่รู้ว่ามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ท่านเองก็ยังพูดให้ญาติโยมของท่านที่แวะมาเยี่ยมเยือนฟังอยู่บ่อยๆว่า ถ้าได้เห็นจตุคามของท่านแล้วพวกนี้จะหนาว ท่านก็ว่าท่านก็พูดของท่านไปอย่างนั้นไม่ได้คิดอะไร

    ปลัดบุญมาผู้มาถูกที่ถูกเวลา

    จุดเริ่มต้นของเรื่องจตุคามฤาษีดาบสแห่งวัดคำหยาด เกิดขึ้นเมื่อลูกศิษย์วัดของท่านคนหนึ่ง ชื่อนายมา หรือไอ้มา หรือที่หลวงพ่อเรียกแต่งตั้งกันเองว่าปลัดมา นายมาผู้นี้ชอบมาช่วยงานที่วัด กวาดลานวัดบ้าง ช่วยดูแลทำความสะอาดวัดบ้าง วันหนึ่งนายมาได้ห้อยจตุคามรามเทพมาที่วัด เมื่อหลวงพ่อเห็นก็สะดุดใจ สอบถามนายมาแล้วถึงรู้ว่านี่คือจตุคามรามเทพ ที่กำลังอยู่ในกระแสนิยม หลวงพ่อเคยแต่ได้ยินเรื่องราว ของจตุคามรามเทพ แต่ไม่เคยเห็น พอเห็นของนายมาก็เกิดสะกิดใจ ท่านเล่าว่าท่านลืมพระที่หลวงปู่คำโป๋ทำและฝังเสียสนิท พอเห็นจตุคามรามเทพนี้แล้วเหมือนกับทวนความจำท่าน ท่านรู้สึกเหมือนว่าท่านเคยเห็นที่ไหนสักแห่งนานมาแล้ว เมื่อคิดไตร่ตรองดูแล้วจึงค่อยๆนึกออก แต่ท่านก็ไม่แน่ใจว่าพระที่ฝังไว้จะเป็นเช่นจตุคามรามเทพนี้หรือไม่ หลังจากนั้นท่านก็กลับมาที่ถ้ำมงคลนิมิต โดยตั้งจิตอธิษฐานขอหลวงปู่คำโป๋ ท่านถามเองเออเองแบบเบ็ดเสร็จ โดยเบื้องต้นท่านขอเอามาดูหนึ่งองค์ แล้วกลับมาที่วัดคำหยาดขอยืมนายมาเอามาดูเปรียบเทียบกัน ปรากฎว่ามีความใกล้เคียงกัน แต่ของท่านมิใช่เป็นองค์จตุคามรามเทพ แต่กลับเป็นฤาษี ด้านหลังเป็นเกจิอาจารย์สี่องค์ หลวงปู่คำโป๋ท่านก็ไม่ได้แจงให้ทราบว่าแต่ละองค์เป็นผู้ใดกันบ้าง รู้แต่เพียงว่ามีรูปเหมือนตัวท่านหลวงปู่คำโป๋อยู่หนึ่งองค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2007
  6. maymaple

    maymaple Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    ทำไมถึงเป็นฤาษีไม่ใช่จตุคามรามเทพ

    ทำไมถึงเป็นฤาษีไม่ใช่จตุคามรามเทพ หลวงพ่อท่านขบคิดเรื่องนี้อยู่หลายวัน มีความเกี่ยวพันกันหรือไม่ หลวงพ่อเล่าว่าท่านต้องไปค้นหาหนังสือพุทธประวัติเล่ม ๑ ถึงเล่ม ๓ มานั่งอ่านศึกษาใหม่ และบังเอิญท่านเพิ่งได้รับหนังสือที่ท่าน ปยุต ปยุตโต เปรียญ ๙ เขียนถึงเรื่องจตุคามรามเทพ มาชุดหนึ่งด้วย จนถึงคืนหนึ่งท่านก็มีความรู้สึกเหมือนเกิดนิมิตรได้คำตอบที่เกี่ยวกับฤาษี อันเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธประวัติ หลวงพ่อท่านเล่าว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นหลังจากทรงผนวชแล้ว ทรงมุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ เพื่อค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร เมื่อเรียนจบทั้งสองสำนัก บรรลุฌาณชั้นที่แปด ก็ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ตามที่มุ่งหวังไว้ ท่านฤาษีทั้งสองนี้ที่จริงแล้วก็คือหนึ่งในบรรดาฤาษีที่ได้บำเพ็ญเพียรสั่งสมบารมีความรอบรู้มายาวนาน และน่าจะเป็นฤาษีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในขณะนั้น บรรดาฤาษีเหล่านี้เป็นเสมือนแหล่งวิชาการความรอบรู้ในศาสตร์ด้านต่างๆ ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็ต้องมุ่งมาศึกษาแสวงหาความรู้ ไม่เพียงแต่มนุษย์ธรรมดาแม้แต่องค์เทพเทวา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ก็ไม่เว้น เพียงแต่ว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านเหนือไปกว่าบุคคลธรรมดาทั้งหลาย ท่านเป็นผู้ที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ ซึ่งคงไม่มีใครในโลกนี้ที่จะรู้หนทางตามที่พระองค์ต้องการได้ หลังจากนั้นพระองค์ท่านได้ไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ปัจจุบันนี้สถานที่นี้เรียกว่า ดงคศิริ ทำการบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยการขบฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร หลังจากทดลองมา ๖ ปี ก็ยังไม่พบทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา หันมาบำรุงพระวรกายโดยปกติ โดยให้เหตุผลว่า เหมือนสายพิณควรจะขึงพอดีจึงจะได้เสียงที่ไพเราะ ซึ่งพระอินทร์ได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย พิณสายหนึ่งขึงไว้ตึงเกินไป พอถูกดีดก็ขาดผึงออกจากกัน จึงพิจารณาเห็นทางสายกลางว่า เป็นหนทางที่จะนำไปสู่พระโพธิญาณได้

    ในระหว่างที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ก็มีปัญจวัคคีย์ ได้แก่โกญฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ มาคอยปรนนิบัติพระองค์โดยหวังว่าจะทรงบรรลุธรรมวิเศษ เมื่อพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์จึงหมดศรัทธา พากันไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แคว้นเมืองพาราณสี พระพุทธองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณ ทรงนั่งประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก

    เวลาปฐมยาม ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกชาติได้

    เวลามัชฌิมยาม ทรงได้จตูปปาตญาณ(ทิพยจักษุญาณ)คือรู้เรื่องเกิด-ตายของสัตว์ทั้งหลายว่า เป็นได้ตามกรรมที่ตนกระทำไว้

    เวลาปัจฉิมยาม ทรงได้อาสวักขยญาณคือความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะหรือกิเลสหมายถึงตรัสรู้อริยสัจ ๔

    อาสวักขยญาณ ที่ทรงได้ทำให้ทรงพิจารณาถึงขันธ์ ๕ อันเป็นจุดแห่งความเป็นเหตุที่ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นต้นทางให้เข้าถึงอริยสัจ ๔ เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นแล้วจึงละอุปาทาน ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ปัญจวัคคีย์ เองก็คือฤาษีเช่นเดียวกัน การที่หลวงพ่อท่านต้องกลับไปศึกษาพระพุทธประวัติใหม่ เพราะท่านต้องการเชื่อมต่อให้เห็นถึงความเกี่ยวเนื่องของการศึกษา ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เหล่าบรรดาฤาษีนั้นเป็นเสมือนศูนย์กลางความรอบรู้ทั้งทางพระเวทย์ ทั้งทางพระธรรมเบื้องต้น ตลอดจนศิลปการต่างๆ ประเด็นสำคัญคือการชี้ให้เห็นว่าองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นเทพนั้นท่านเองก็คงจะต้องลงมาร่ำเรียนวิทยาการด้านศาสตร์และศิลปจากพระฤาษี หรืออาจกล่าวได้ว่าฤาษีดาบสนี้ก็คืออาจารย์ขององค์จตุคามรามเทพ ด้วยเช่นกัน ท่านจึงเรียกพระที่หลวงปู่คำโป๋ทำและฝังไว้ที่ถ้ำมงคลนิมิตนี้ว่าจตุคามฤาษีดาบส
     
  7. maymaple

    maymaple Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    หลวงพ่อไปขอจตุคามฤาษีดาบส นำมาใช้แต่พอควร

    หลวงพ่อบุญลือ ท่านเล่าให้ผมฟังตั้งแต่พบท่านครั้งแรกสุด ว่าท่านได้ไปที่ถ้ำมงคลนิมิต ตามที่เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ท่านเองก็จำสถานที่ฝังไม่ได้แน่ชัด แต่ท่านเล่าว่าท่านเข้าไปกับไอ้ทิ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในพระเณร ๘ รูป เมื่อครั้งอดีตที่ช่วยกันทำพระ แต่มาบัดนี้ได้ลาสิกขาบทออกจากการครองสมณเพศแล้ว ตอนที่ท่านเข้าไปในถ้ำ ได้เห็นงูตัวใหญ่นอนขดอยู่บนก้อนหิน ไอ้ทิ้งเมื่อเห็นงูนอนขดอย่างนั้นก็กลัวถอดใจ ส่วนตัวท่านบอกว่าท่านถือศีลคงไม่เป็นไร เมื่อคิดได้อย่างนั้นอยู่ๆก็มีพังพอนตัวใหญ่วิ่งมาชนหินที่งูนอนขดอยู่นั้นกลิ้งออกไป แล้วสัตว์ทั้งสองก็ต่างแยกย้ายกันไปตามเรื่อง หลวงพ่อจึงแน่ใจว่าตรงที่นั้นคือจุดที่ฝังโอ่งสี่ใบที่บรรจุจตุคามฤาษีดาบส รวมทั้งแหวน กำไลหยก และทับทิม หลวงพ่อจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน บอกหลวงปู่คำโป๋ว่าจะขอเอาไปใช้ และท่านก็ตอบตัวท่านเองแทนหลวงปู่คำโป๋ว่า เอาไปใช้แต่พอควรน้อ ตามที่เล่าไว้ข้างต้นว่าครั้งแรกนั้นท่านเอาออกไปเพียง ๑ องค์ เพื่อเอาไปดูเปรียบเทียบกับจตุคามรามเทพของนายมา ด้วยความสงสัยว่าใช่หรือไม่ หลังจากนั้นท่านจึงกลับไปขอเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ กับหลวงปู่คำโป๋อีกครั้ง โดยตั้งจิตอธิษฐานว่าจะนำมาใช้แต่พอควรและนำมาไว้ที่วัดคำหยาด โดยทราบแต่เพียงว่าท่านเอาผ้าห่อใส่ทะยอยมาจนหมด ๒ โอ่ง ตอนที่เอามาถึงวัดครั้งแรกนั้นจตุคามฤาษีดาบสนั้นติดกันเป็นก้อนๆเหมือนขี้ช้าง ลูกศิษย์จะแกะก็กลัวว่าจะหักเสียหาย ไม่รู้จะหาวิธีแยกออกจากกันได้อย่างไร ก็มีเหตุลูกศิษย์หัวดีนำเอาลงไปแช่ในน้ำผสมผงซักฝอก โดยที่หลวงพ่อห้ามไม่ทัน ได้แต่นึกเสียดายเพราะคิดว่าผงมวลสารต่างๆอาจจะละลายเสียหายเป็นแน่แท้ แต่ปรากฎว่ากลับได้ผลดี องค์จตุคามฤาษีดาบสไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด แต่กลับหลุดร่อนออกมาเป็นองค์ๆ เมื่อตากแห้งผงฝุ่นก็ยังคงเกาะติดอยู่กับเนื้อผิวหน้าไม่หลุดออกไปไหน เข้าใจว่าตั้งแต่วันที่เริ่มสร้างในปี พ.ศ.๒๕๐๗ ถึงปี พ.ศ ๒๕๕๐ นับเป็นเวลากว่า ๔๐ ปีเนื้อมวลสารนั้นอยู่ในสภาพแห้งจนแกร่ง

    [​IMG]
     
  8. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,159
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,349
    สรุปความจริงคือ พระผงรูปฤาษีไม่ใช่หรือครับ ไปเรียกว่าจตุคามซะงั้น ..
     
  9. maymaple

    maymaple Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    วิเคราะห์เรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับจตุคามฤาษีดาบส

    บทความในห้วงสุดท้ายนี้ หลวงพ่อไม่ได้เล่า แต่เป็นข้อสังเกตุจากผมเอง

    -ผมสังเกตุรายละเอียดในองค์จตุคามฤาษีดาบส มีรายละเอียดสูง มีความคมชัด มีแม้แต่รายละเอียดเล็กๆ เช่นฟันสองซี่ของพระฤาษี ข้อความเล็กๆ ที่เขียนว่ารวยข้ามรุ่น นิ้วเท้าที่ครบถ้วนของพระฤาษี เป็นต้น การสร้างจตุคามสมัยใหม่ที่ผลิตกันด้วยเครื่องจักรก็ทำได้ไม่ละเอียดอย่างนี้ สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร

    [​IMG]


    -แบบไม้ที่ทำนั้นแกะกันได้อย่างไร และผู้แกะแม่แบบต้องเป็นยอดฝีมือของการแกะไม้ เพราะต้องเป็นการแกะแบบไม้แบบกลับทาง ช่างไม้เช่นนี้มีอยู่จริงหรือไม่ หรือใครมาสร้างให้หลวงปู่คำโป๋

    -หลวงปู่คำโป๋ สร้างจตุคามฤาษีดาบส ที่มีลักษณะขนาดใกล้เคียงกับจตุคามที่ทำกันในปัจจุบัน ลักษณะท่านั่งของฤาษีก็เหมือนกับท่านั่งขององค์จตุคาม มีการใส่ข้อความเหมือนชื่อรุ่นจตุคามในยุคปัจจุบัน คือคำว่ารวยข้ามรุ่น แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าจตุคามรามเทพในยุคปัจจุบันมีการตั้งชื่อในลักษณะแบบนี้ หลวงปู่คำโป๋ท่านมองเห็นอนาคตได้หรือเปล่า

    [​IMG]

    -ด้านหลังของจตุคามฤาษีดาบสนี้เป็นรูปเกจิอาจารย์สี่องค์ มีพระพุทธรูปวางอยู่เหนือศีรษะของเกจิแต่ละองค์ ซึ่งหมายถึงว่าเกจิทุกองค์เป็นพระโพธิสัตว์ มีที่รู้แน่นอนองค์หนึ่งคือตัวท่านหลวงปู่คำโป๋เอง อีกสามองค์แม้หลวงปู่คำโป๋ท่านไม่ได้บอกว่าเป็นเกจิอาจารย์ท่านใดบ้าง แต่จากรายละเอียดที่คมชัดมากจนเหลือเชื่อนั้น ผมเชื่อว่าท่านคงจะมองออกว่าเป็นเกจิท่านใดกันบ้าง ผมมองเห็นเป็นหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ องค์หนึ่งผมมองเห็นเป็นสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆัง องค์หนึ่งและผมมองเห็นเป็นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน องค์หนึ่งแต่องค์หลังหลายท่านว่าเป็นหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ท่านมองเห็นเหมือนผมหรือไม่

    [​IMG]

    -เนื้อจตุคามฤาษีดาบสนี้มีกลิ่นหอมจางๆ เนื้อดูแกร่งเพราะแห้งมาก สังเกตุดูบริเวณตรงกลางขององค์จตุคามฤาษีดาบส จะยุบตัวลงไป ซึ่งน่าจะเกิดจากในเนื้อมวลสารนั้นไม่มีน้ำอยู่เลย แสดงว่าน้ำระเหยออกไปหมดแล้ว สังเกตุดูจตุคามที่มีอยู่ในปัจจุบันเนื้อขององค์จะเสมอกัน เพราะยังมีความอิ่มของน้ำอยู่ แสดงว่าจตุคามฤาษีดาบสนี้ต้องถูกสร้างมานานมากแล้ว ท่านเชื่อเหมือนผมหรือไม่

    [​IMG]

    -หลวงพ่อเล่าว่าจตุคามฤาษีดาบสนี้ใช้เวลาทำนาน ๗ ปี วันหนึ่งๆได้ไม่เกิน ๕-๖ องค์ หลวงพ่อเองท่านไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดแต่ผมลองคำนวณดูคร่าวๆ จากคำบอกเล่าของท่าน ถ้าท่านทำจตุคามฤาษีดาบสทุกวันตลอดเวลา ๗ ปีจะได้องค์จตุคามฤาษีดาบสประมาณ ๕ องค์X๓๖๕ วันX๗ ปีก็อยู่ในราว ๑๒,๗๗๕ องค์หรือคิดคร่าวๆราว ๑๒,๐๐๐ องค์ ผมลองคิดต่อไปว่าถ้าลองเรียงจตุคามฤาษีดาบส ขนาด ๕ ซ.ม.นี้ในกระด้งมอญขนาด ๑ วาก็น่าจะได้ความสูงราวๆ ๒ วา ตรงตามที่หลวงพ่อเล่า เมื่อแบ่งใส่โอ่ง ๔ โอ่งน่าจะตกโอ่งละ ๓,๐๐๐ องค์ โอ่งนั้นก็คงไม่ใหญ่มากนัก ผมคิดต่อไปว่าหลวงพ่อเอาออกมาจากถ้ำ ๒ โอ่ง ก็ประมาณ ๖,๐๐๐ องค์ ถ้าคิดเป็นสัดส่วนของประชากรในประเทศไทย ที่มี ๖๐ ล้านคน ผมเป็นหนึ่งในหนึ่งหมื่นคนเที่มีโอกาสเช่าบูชาจตุคามฤาษีดาบส ที่หลวงปู่คำโป๋ใช้เวลาถึง ๘ ปีในการสวดมนต์ปลุกเสก ก็ต้องถือว่าเป็นบุญของผมเป็นอย่างยิ่ง
    ปัจจุบันจตุคามฤาษีดาบส ๒ โอ่งแรกนั้นหมดลงแล้ว
     
  10. maymaple

    maymaple Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    [​IMG]

    จะใส่จตุคามจตุคามฤาษีดาบสได้ประมาณ ๓๐๐ องค์ ใช้กระด้งมอญประมาณ ๔๐ อัน กระด้งมอญหนาประมาณ ๒ นิ้วครึ่ง วางซ้อนกันจะได้สูงประมาณ ๒ วาหรือกว่านั้นนิดหน่อย

    [​IMG]

    หลังคาโบสถ์เก่าวัดโพธิ์งาม ลพบุรี น่าจะมีความใกล้เคียงกับโบสถ์เก่าที่วัดคำหยาด อ่างทอง และคงจะอยู่ในห้วงยุคใกล้เคียงกัน (นำมาให้ดูเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพ)

    [​IMG]
     
  11. maymaple

    maymaple Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +37
    สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมนี้ บังเอิญหรือเปล่า


    ฟันของฤาษี

    คืนหนึ่งที่บ้าน หลังจากที่ผมเช่าจตุคามฤาษีดาบสไว้องค์หนึ่ง และได้ฟังเรื่องราวต่างๆมาพอสมควรจากหลวงพ่อ ผมได้นำจตุคามฤาษีดาบสมานั่งเพ่งพินิจพิจารณา ดูไปก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวองค์จตุคามฤาษีดาบสจะมีความละเอียดได้เกือบทุกจุด จนผมต้องเอาแว่นขยายมาส่องดู สำหรับองค์จตุคามฤาษีดาบสที่ผมได้มานั้นหน้าของฤาษีจะไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ด้านหลังที่เป็นรูปเกจิอาจารย์นั้นชัดเจนมาก ขณะที่ผมส่องดูใบหน้าของฤาษี ผมสังเกตุเห็นฟันสองซี่ ผมนึกในใจว่าเป็นไปได้อย่างไร หรือผมตาฝาดไป แต่เมื่อใช้แว่นขยายส่องดูอย่างใกล้ชิดแล้ว จึงแน่ใจมีฟันอยู่จริง แต่ผมก็ยังคิดไปว่าหรือเป็นเฉพาะองค์นี้องค์เดียว เพราะความที่หน้าไม่ชัดเจนจากการกดแบบพิมพ์ อาจทำให้มีความคลาดเคลื่อนจนทำให้มีรอยที่มองดูแล้วคล้ายฟัน แต่อย่างไรผมก็ยังนึกขำ เพราะมองหน้าฤาษีที่มีฟันแล้วคล้ายฟันกระต่ายมาก ได้แต่เก็บความสงสัยไว้จนลืมเรื่องนี้ไป วันต่อมามีเหตุต้องไปที่วัดคำหยาด ได้มีโอกาสสนทนากับหลวงพ่อหลายต่อหลายเรื่อง มีห้วงหนึ่งที่หลวงพ่อท่านขำมากระหว่างคุยกันอยู่ๆท่านก็เอ่ยว่า มันแปลกนะ เขาทำจตุคามฤาษีดาบสนี้ละเอียดมาก ขนาดฟันของฤาษี ๒ ซี่ยังมองเห็น แล้วท่านก็ขำ แต่ผมเองประหลาดใจเพราะลืมเรื่องนี้เสียสนิท พอท่านพูดถึงเรื่องนี้จึงนึกขึ้นได้ว่าจะเก็บเรื่องนี้มาถามท่าน เป็นเหตุบังเอิญหรือว่าท่านล่วงรู้ความในใจผม

    หลวงพ่อพรหมวัดช่องแค

    องค์จตุคามฤาษีดาบสด้านหลังที่เป็นรูปเกจิอาจารย์นั้น ผมได้สอบถามจากคนในวัดว่าเป็นรูปของเกจิท่านใดบ้าง ก็ได้รับคำตอบมาว่าเป็นหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ องค์หนึ่ง เป็นสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆังองค์หนึ่ง เป็นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานองค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งนั้นเป็นรูปหลวงปู่คำโป๋ ผมดูด้านหลังองค์จตุคามฤาษีดาบสแล้วก็เห็นด้วยตามนั้น เพราะหลวงพ่อทวดและสมเด็จพุฒาจารย์โต ผมได้เห็นรูปหน้าท่านจากเหรียญ หรือองค์พระที่สร้างกันอย่างแพร่หลาย หรือจากหนังสือต่างๆ ก็พอจะเห็นเค้าหน้าและพอจำได้ ส่วนหลวงพ่อเงินนั้นผมเห็นว่าที่วัดมีเหรียญของหลวงพ่อเงินจำหน่ายอยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อคนที่วัดบอกจึงแน่ใจว่าอีกองค์หนึ่งนั้นคงเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อเงิน ส่วนหลวงปู่คำโป๋ผมไม่ได้นึกสงสัยแต่อย่างใด เพราะท่านเป็นผู้สร้าง การมีรูปเหมือนของท่านอยู่บนองค์จตุคามฤาษีดาบสจึงไม่ใช่เรื่องแปลก วันหนึ่งระหว่างคุยกันกับลูกน้องผมก็อธิบายถึงเกจิที่อยู่ด้านหลังองค์จตุคามฤาษีดาบส ว่าเป็นใครกันบ้าง พอผมบอกว่าองค์หนึ่งคือหลวงพ่อเงิน ลูกน้องผมก็ค้านทันทีว่าไม่ใช่ หลวงพ่อบอกเขาว่าเป็นรูปหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ผมนึกแปลกใจว่าทำไมข้อมูลถึงไม่ตรงกัน หลังจากนั้นจึงมาหาดูรูปหลวงพ่อพรหม เมื่อมองดูเปรียบเทียบในองค์จตุคามฤาษีดาบสก็คล้ายกับหลวงพ่อพรหมตามรูปจริง แต่เมื่อมองเป็นหลวงพ่อเงินก็ใช่อีก จึงได้แต่สงสัยและเก็บความสงสัยนี้ไว้ตั้งใจจะถามหลวงพ่อในโอกาสแรกที่พบกัน และวันหนึ่งก็ได้พบกับหลวงพ่อที่วัดโดยลืมเรื่องที่สงสัยนี้เสียสนิท ระหว่างสนทนากับหลวงพ่อนั้นอยู่ๆท่านก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า หลวงพ่อพรหมเคยมานั่งตรงโน้น (ท่านชี้ไปที่หน้าพระประธานในโบสถ์ที่อยู่ตรงกันข้ามกับที่พวกเรานั่งคุยอยู่กับหลวงพ่อ) ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่คุยกับลูกน้องได้ จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า พระที่อยู่ด้านหลังของจตุคามฤาษีดาบสนั้นมีองค์ใดบ้าง หลวงพ่อท่านก็บอกว่าท่านบอกไม่ได้ เพราะหลวงปู่คำโป๋ท่านไม่ได้บอกไว้ ผมก็เรียนท่านตามความเข้าใจไปว่าเป็นองค์โน้นองค์นี้ ท่านก็ว่าแล้วแต่จะคนมองกันโดยที่ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ที่ผมแปลกใจมากก็คือ อยู่ๆท่านก็กล่าวถึงหลวงพ่อพรหมโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ เป็นการกล่าวขึ้นมาลอยๆ เป็นเหตุบังเอิญหรือไม่หรือว่าท่านรู้ว่าผมมีอะไรสงสัยอยูในใจ

    เรื่องลูกสาวป่วย

    วันหนึ่งเหมือนเป็นวันโลกาวินาศสำหรับผมเลยทีเดียว เนื่องจากผมต้องมาจัดงานการแข่งขันฟันดาบระดับชาติในกีฬามหาวิทยาลัยโลก และต้องนอนค้างที่กรุงเทพฯหลายวัน การแข่งขันก็ยังไม่เรียบร้อยดีนักยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขหลายอย่างและเช้าวันนั้นกำลังจะมีการประชุมกับเจ้าหน้าของสหพันธ์ฟันดาบนานาชาติ ร่วมกับผู้จัดการทีมของชาติต่างรวม ๔๗ ประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องรีบแก้ไขโดยด่วน เพราะการแข่งขันจะเริ่มขึ้นในวันถัดไป ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายต่อประเทศของเราที่เป็นเจ้าภาพ และในเช้าวันนั้นก็ได้รับข่าวเรื่องงานในหน่วยของผมว่ามีเหตุวิกฤตเกิดขึ้นกระทันหันเกี่ยวกับการสูญเสียเครื่องมือสำคัญ ผู้บังคับบัญชาก็โทรมาปรึกษาว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร มีวิธีการอย่างไร เพราะเป็นเครื่องมือพิเศษที่ผมดูแลรับผิดชอบอยู่ ผมก็เรียนท่านกลับไปว่าจะให้ผมกลับไปที่หน่วยเพื่อแก้ปัญหาหรือไม่ ท่านก็กรุณาว่าไม่ต้องกังวล อีกไม่นานนักภรรยาก็โทรเข้าหาผมว่าให้ผมช่วยโทรกลับไปหาน้องพยาบาลซึ่งเป็นภรรยาของรุ่นน้องผมให้ด้วย เพราะไม่แน่ใจว่าน้องพยาบาลโทรเข้ามาหาหรือไม่ ซึ่งขณะนั้นภรรยาผมกำลังเดินทางอยู่ โทรศัพท์ที่โทรเข้าไม่แสดงหมายเลขจึงไม่ทราบว่าใครโทรมาหา แต่คิดว่าน่าจะเป็นน้องพยาบาล เพราะก่อนหน้านี้ได้มาช่วยดูแลเป็นธุระพาลูกสาวผมไปหาหมอที่โรงพยาบาล ซึ่งในช่วงนั้นลูกสาวคนเล็กของผมป่วยหนัก ปวดหูจนนอนไม่ได้มาหลายคืน โดยเฉพาะคืนก่อนเช้าวันเกิดเหตุ ลูกสาวนอนร้องไห้ตลอดคืน ทรมารมาก และไม่ยอมไปหาหมอ เพราะไปหาหมอมาหลายครั้งแล้วครั้งสุดท้ายหมอทำให้แกเจ็บมาก จนกลัวหมอ วันนั้นลูกสาวผมยืนยันไม่ยอมไปหาหมอที่โรงพยาบาลท่าเดียว ผมโทรไปปลอบลูกสาว ขอให้ลูกสาวให้ความร่วมมือ ปลอบอย่างไรก็ไม่ยอมไป จนผมหวั่นใจ คืนที่ผ่านมาผมต้องขับรถจากกรุงเทพกลับมาที่ลพบุรีไม่ได้นอนพักที่โรงแรมอามารีตามที่เขาจัดไว้ให้นอน เนื่องจากเป็นห่วงลูกและภรรยา เช้าก็ต้องรีบออกเดินทางไปที่สนามแข่งขันฟันดาบที่เมืองทองธานี ในคืนนั้นผมและภรรยาไม่รู้จะช่วยลูกอย่างไร ลูกทานยาก็ไม่ช่วยบรรเทาอาการปวด นึกถึงเบี้ยแก้ของหลวงพ่อ ก็ให้ลูกสาวเอาไปใช้ทดลองดู เนื่องจากไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว มันหมดหนทางจริงๆ โดยให้ลูกสาวผมภาวนาบอกหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อช่วยด้วย ลูกสาวผมต้องเข้าไปสวดมนต์ที่ห้องพระเพื่อผ่อนคลายจิตใจ เบี้ยแก้คงจะช่วยทางจิตใจได้บ้างเพราะดูเหมือนจะทำให้อาการปวดบรรเทาลง

    เช้าวันนั้นเรื่องมันเข้ามาประดังกันในเวลาที่ใกล้เคียงกัน จนอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงผ่านไปได้ ภรรยาผมเล่าให้ฟังทีหลังว่า เช้าวันนั้นปรากฎว่าน้องพยาบาลโทรเข้ามาหาจริงๆ เพราะคืนนั้นน้องพยาบาลเธอนอนฝันเห็นลูกสาวผมเดินร้องไห้อยู่ ตอนเช้าจึงรีบโทรมาหาภรรยาผม เพื่อสอบถามอาการลูกสาวผมด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากในฝันนั้นชัดเจนมาก จนทำให้เธอกังวล โดยน้องพยาบาลได้คุยถึงเรื่องหมอคนใหม่ให้ลูกสาวฟัง ซึ่งลูกสาวได้ฟังแล้วจึงยอมไปรักษา หลังจากรักษากับหมอนี้แล้วลูกสาวก็ดีขึ้นมาก โทรกลับมาหาผมเสียงใสผิดกับหลายๆคืนก่อนหน้านี้ ภรรยาผมบอกกับผมว่าสงสัยหลวงพ่อจะช่วยดลใจให้น้องพยาบาลได้รับรู้ ทำให้น้องเขาฝันถึงลูกสาวผม และเข้ามาช่วยเหลือจนลูกสาวหายดี เป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก เพราะก่อนหน้าภรรยาเล่าผมก็คิดอย่างนี้เช่นเดียวกัน

    ทานข้าวที่วัด

    ผมพาลูกๆมาอาบน้ำมนต์ที่วัดตอนช่วงเช้าวันหนึ่ง เมื่ออาบเสร็จแล้วก็จะลาหลวงพ่อกลับ ท่านก็บอกว่าให้ไปทานข้าวก่อน ผมเองนั้นรู้สึกเกรงใจไม่ต้องการรบกวนทางวัด ทำอย่างไรท่านก็ไม่ยอม บอกแต่ว่าอาหารได้จัดเตรียมไว้แล้ว จะเสียน้ำใจคนทำในที่สุดผมก็ไม่อยากจะขัดศรัทธาท่าน จึงต้องพาลูกๆมาทานอาหารที่โรงครัวตามที่ท่านขอร้อง ที่ผมต้องประหลาดใจมากก็คือ อาหารทุกอย่างที่เตรียมไว้นั้นล้วนเป็นอาหารที่ผมชอบทั้งสิ้น จนลูกๆผมเอ่ยปากว่าทำไมหลวงพ่อจัดเตรียมอาหารเหมือนรู้ใจผม ซึ่งผมเองก็รู้สึกแปลกใจมาก หรือท่านรู้ว่าผมชอบอะไร

    ตะกรุดจากหลังคาโบสถ์

    วันนั้นผมมีประชุมที่กรุงเทพฯ ระหว่างเดินทางกลับทราบว่า ผู้บังคับบัญชาผมท่านไปแวะเยี่ยมหลวงพ่อที่วัดคำหยาด เมื่อเดินทางใกล้ถึงอ่างทองจึงได้โทรติดต่อคุยกับลูกน้องที่อยู่ที่วัดทราบว่าผู้บังคับบัญชาผมท่านกำลังจะกลับ ผมเห็นว่าคงเดินไปไม่ทัน จึงตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปที่วัด แต่เมื่อถึงอ่างทองก็เปลี่ยนใจตั้งใจว่าจะเข้าไปกราบหลวงพ่อสักหน่อยแล้วก็จะกลับ มาสวนกับผู้บังคับบัญชาของผมที่ปากทางเข้าวัด ระหว่างเดินทางก็ได้เล่าเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับวัดคำหยาด โดยเฉพาะเรื่องประวัติจตุคามฤาษีดาบสให้รุ่นน้องไปประชุมด้วยกันอีกคนหนึ่งฟัง รุ่นน้องผู้นี้ไม่เคยมาที่วัดมาก่อน มีตอนหนึ่งก่อนเข้าวัดได้เล่าให้รุ่นน้องคนนี้ฟังว่า ผมได้เช่าสิ่งของต่างๆมาหลายอย่างทั้งจตุคามฤาษีดาบส กำไล พลอยสีต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย ยกเว้นอย่างเดียวที่ไม่ได้เช่าคือตระกรุด เพราะจะคอยตะกรุดที่จะหล่นมาเองจากหลังคาโบสถ์ ผมพูดนั้นเป็นการพูดเล่นๆ คุยจบก็ถึงวัดคำหยาดพอดี ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเรื่องตระกรุดที่ตกลงมาจากหลังคาโบสถ์หลายครั้ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ มีคนพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะครูบาตู้เลขาธิการของหลวงพ่อ ได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับตะกรุดที่ตกมาเองจากหลังคาโบสถ์ ตั้งแต่วันแรกที่มาพบหลวงพ่อ วันนั้นจำได้ว่ามีคนเข้ามานั่งรอหลวงพ่อ โดยนั่งดื่มน้ำชาที่หลวงพ่อชงให้อยู่ ๗ คน ๒ คนมาเรื่องยา เกี่ยวกับการรักษา เห็นกำลังพิมพ์เรื่องตัวยา ด้วยคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คและกำลังอ่านทวนให้หลวงพ่อฟัง อีก ๔ คนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและน้องที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ส่วนอีกหนึ่งท่านคือครูบาตู้ซึ่งวันนั้นเข้ามาช่วยงานหลวงพ่อพอดี ตัวหลวงพ่อเองก็กำลังใช้สมาธิเขียนอักขระลงบนถังไม้ที่มีอยู่ประมาณสักสิบใบ ซึ่งเป็นของลูกศิษย์ที่นำมาให้หลวงพ่อปลุกเสก ผมนั่งอยู่ได้พักหนึ่งก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงจะกราบลาหลวงพ่อกลับ หลวงพ่อท่านก็บอกให้รอก่อนอย่าเพิ่งไป ตัวผมเองขณะนั้นนั่งอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อกับรุ่นน้องคนหนึ่ง ลูกน้องอีกสองคนไปดูจตุคามฤาษีดาบสกับครูบาตู้ที่ตู้จำหน่ายสิ่งของ ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะ เหมือนมีอะไรตกลงมากระทบพื้นโบสถ์ที่เป็นกระเบื้อง แต่แปลกใจที่ไม่มีใครได้ยินเสียงนี้ หรือเห็นอะไรผิดสังเกตุนอกจากผม เพราะไม่เห็นคนอื่นๆแสดงปฏิกิริยาอะไร ทั้งที่ทุกคนอยู่ห่างกันไม่มากนัก หลังจากได้ยินเสียงแล้วผมมองไปในทิศทางที่ได้ยินเสียง ก็เห็นวัตถุสิ่งหนึ่งอยู่ห่างจากผมไปราวๆ ๓ เมตร ในใจคิดว่าเป็นตระกรุดแน่ๆ แต่ก็ไม่มั่นใจ จึงคลานเข้าไปเก็บเมื่อเก็บมาแล้วจึงมั่นใจว่าที่หยิบมานั้นเป็นตระกรุดจริงๆ จึงนำไปให้หลวงพ่อดู หลวงพ่อบอกว่าเป็นตระกรุด ทีนี้ทุกคนในที่นั้นต่างให้ความสนใจ หันไปมองจุดที่ผมคลานเข้าไปเก็บ ปรากฎว่าหลังจากที่หลวงพ่อพูดจบ มีตระกรุดตกลงมาอีก ๓ ดอก ลูกน้องผมได้มา ๑ อัน อีก ๒ อันคนที่มาเรื่องยาได้ไป ตระกรุดจะตกมาจากหลังคาโบสถ์ได้อย่างไร ผมและน้องๆที่ไปด้วยกันต่างแปลกใจ จุดต่างๆในโบสถ์ก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ไม่มีทางที่ใครจะปาหรือโยนเข้ามาได้ ผมดีใจมากที่ได้ตระกรุดนี้ถือว่าเป็นบุญ ไม่นึกว่าสิ่งที่ผมพูดก่อนมาถึงวัดจะเป็นไปได้ และได้เห็นกับตา นับเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดและมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตผมเลยก็ว่าได้

    เรื่องที่ผมนำมาเล่านี้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง บางเรื่องอาจดูเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ผมเองอยากบันทึกลงไว้เป็นเกร็ดประวัติ เพราะนานไปอาจจะลืม


    รู้จักพอ ก่อสุขทุกสถาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...