ประวัติชาติไทยตั้งแต่ต้นกัป พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ(พิมพ์เป็นตัวอักษร)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เก่ากะลา, 27 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2232822.jpg
    ธ่าน ปุณณ ฤษี ขอ ขุน ญิง งาม
    ตาเรือง(ฟ้า) เอิ้น เอา แม่ อู่ ทอง
    ด้วย มา ทอ ผืน ผ้า ให้ ผัว
    เพื่อ มอบ แก่ พระ นันท อานันท
    ผ้าไหม เอาต้ม สีเหลือง(เลือหง)
    เหมือน สี คำ คือ เมือง ทอง ไทยลว้า

    แผ่นที่ ๑ นี้ ขุดบ้านหัวดอน หรือ ดอนโตนด คูบัว พระเจ้าทับไทยทอง หรือ ขุนเสมียนเมือง เขียนไว้
    มีชื่อพระปุณณฤษี งามตาเรืองฟ้า เมืองทองชัดเจน ได้มานาน
    ที่อ่านไม่ออกคือรูปเส้นสี่เหลี่ยมมีขีดทแยงออกนั้น อ่านไม่ออกอยู่ถึง ๗ ปี (อ่านว่าผืน) นำมาลงไว้เพื่อรู้ว่า พระปุณณเถร ขอให้พระเจ้าทับไทยทอง นำของถวายต่างๆไป และก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นสุวัณณภูมิ

    อันอรหันต ปุณณ หาทับไทยทอง เมื่อเดือน ๕ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีโล ๑๑๖๘
    งามตาเรืองฟ้า ทองประดับตน ดวงขวัญใจ ขุนญิง ๓ เมียใหญ่
    ฤษีมาเถิงหอต้น ขอยกยองไหมทอง เอาฝากผัว เผื่อเป็นของขวัญแก่ พระนางเวเทหิ(โกสลเทวี)
    ผ้าไหม ยกลายเชิงทอง ๗ ผืน ดอกคำ พื้นดำ เมืองทองไทยลว้า ๑๐ ผืน

    ธ่านปุณณฤษี ขอขุนญิงงามตาเรือง(ฟ้า)เอิ้นเอาแม่อู่ทองด้วย มาทอผืนผ้าให้ผัวเพื่อมอบแก่(พระ)นันท อานันท ผ้าไหม เอาต้ม สีเหลืองเหมือนสีคำ คือ เมืองไทยลว้า
    ต้นพ่อเมืองเอาผ้าไหมร้อยผืน เพื่อองคสัมพุทธ
    ห้าสิบผืน เพื่อพิมพิสารจอมมคธ ห้าสิบผืน สีแดง เพื่อ เวทหิโกสลเทวี

    พ่อเมืองทับไทยทอง ปุณณมุนีผู้ฟังพิมพิสารเจ้าเมืองมคธ
    เหนควรไปมคธเมืองเพื่อนพิมพิสาร
    ปุณณมุนีเถร เป็นผู้นำทางเรือ
    ให้เตรียมคนพันหนึ่ง ข้าวปลาเตมพร้อม
    ขุนอินเมืองทอง
    คุ้มเมืองดอมเมียน้อยผู้น้องเมียกลางหม่อมเมียใหญ่
    หม่อมเมียกลางไปด้วย
    ออขุนลือลบลว้า นายเรือผู้คุมเรือ ๗๘ ลำ ออกเดือนยี่ ขึ้น ๓ค่ำ ปีโล ๑๑๖๙

    บุณณมุนี ถ้ำพุทธ ผู้แจ้งข่าว พาตัวทับไทยทอง หาพิมพิสาร
    เมืองมคธ เพื่อนพิมพิสาร พาหาเถรนนท พาไปเวฬุวัน เฝ้าพุทธ
    เทส อนุปุพพิกถา แล
    ธัมมจักกัปปวัตตนสูตต เห็นธัมมเบื้องต้นแล้ว

    ปุณณมุนี นำทับไทยทอง เมื้อ
    ถึง ราชคห เมื่อวันขึ้น ๑๓ ค่ำ พุทธวัสสา ๒๓ เดือน ๓ เข้าเวฬุวัน ฟังเทสน วันขึ้น๑๕ ค่ำ
    (พระพุทธเจ้าตรัส อนุปุพพิกถา
    แล้วตรัสธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า)

    ทับไทยทอง บุณณมุนี เมื่อเข้าอยู่ในถ้ำพุท
    ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ พุทธพัสสากาล ๔๓ ปุณณว่าให้นั่งระลึกถึงธัมมอันฟังในเวฬุวัน ให้ปุณณเขียนลงเบื้องคอย ธัมมทัตโต อ่านเมื่อพุทธกาล ล่วง ๒๕๐๘
    ทับไทยทอง
    กล่าวว่า พุทธว่า(๑) ท่านทั้งหลาย
    ทาน อันคนควรให้ เมื่อทานมีผลให้ไปสวง
    เหืองทานทนนานเนิ่น ควนมีศีล คือ ไม่ฆ่าคน สัตต มีขวบยืนยาว
    ไม่ถือเอาสินคนอื่นๆ ให้มีเงินทองมาก
    ไม่ผิดลูกเมียเขา ให้คนเชื่อถือ
    ไม่พูดเทด ให้มีปากคำจริง
    ไม่กินเหล้าเมา ให้ไม่เป็น คน บอ บ้า
    สวงเมื่อให้สิ่งได้ตามใจ ไม่แน่เหืองไม่ได้สมหวัง ก่อความร้อนใจ กามนี้ไม่เที่ยงทุกข์เสมอ บังคับไม่ได้ ควนเบื่อหน่าย เมื่อหน่ายโทสแล้ว ควนชอบใจในเนกขัมม คือ ไม่คิดหาลูกเมีย
    ถึงสงบ

    ทับไทยทองว่า พุทธว่า ทางสุดสอง อันปวงชีไม่ควนทำมากคือ ทางความรัก
    อันมากทุกข ไม่ใช่ดี อนึ่ง ทางทำตนให้ลำบากเปล่า ไม่ใช่ทางพระอริยเดิน
    ทาง ๘
    อันอริย เดิน คือ ทางเหนชอบ ดำริชอบ พูดชอบ ทำงานชอบ เลี้ยงตัวชอบ หมั่นชอบ ตั้งคิดชอบ ตั้งใจชอบ
    ทาง ๘ อันตถาคตเดินจบรู้เหนแล้ว
    ทำดวงตารู้เห็นมีสว่างแจ้ง เหนธัมมทั้งหลายว่า(๒)
    ทุกข์ คือ เกิดแก่ เจ็บ
    ตาย พรากพลัดรัก เจอสิ่งพึงชัง ความไม่ได้สมหวัง อันยึดถือขันธ ๕ ทุกข์นี้อันพึงเข้าใจ เหนตามจริง
    รู้อยู่ กำหนดรู้แล้ว เหืองทุกข์ คือ
    กามต้องร้อนร่านหา ร้อนมี ร้อน ให้หายนี้ เหืองทุกข์ ให้ละ เอาใจออกห่าง
    ครั้นรู้ละ พึงละ และ ละแล้ว อันตถาคตขาดสิ้น ควนละเหืองทุกข์
    เหืองทุกข คนตัดขาดแล้ว เป็น ทุกขนิโรธ อันพึงรู้ว่าจิง พึงทำให้แจ้ง
    ให้แจ้งแล้ว อันทางสายกลาง ๘ ให้ถึงนิโรธ
    ควนรู้จิง พึงเจริญ เจริญแล้ว
    เมื่อเปนเช่นนี้ พร้อม ๑๒ อันอย่างนี้ เกิดดวงตา(๓) ผ่องใสขึ้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีเกิดขึ้น เป็นธรรมดา ทั้งหมดมีดับ เป็นธรรมดา
    .............................................................................................................
    (๑) ตามกระเบื้องจารเล่าไว้ว่า พระปุณณอยู่ถ้ำพุทธ (ถ้ำฤษี)กับพระเจ้าทับไทยทอง ณ พุทธพัสสา ๔๓ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ พระปุณณ ทูลพระเจ้าทับไทยทองให้ทรงระลึกถึงพระธรรมที่ได้ทรงฟังจากพระโอษฐ์นั้น และตรัสเล่าให้พระปุณณ จดลงแผ่นกระเบื้อง ซึ่งหมายความว่า เขียนหลังจากได้ฟังมาถึง ๒๑ ปี และพระเจ้าทับไทยทองมีพระชนมายุได้ ๑๐๒ ปี ซึ่งก็ยังทรงจำได้ดี แต่ตามกระเบื้องจารนี้เล่าว่า พระเจ้าทับไทยทองทรงบรรลุโสดาปัตติผล ท่านย่อมมีสติอย่างอริยบุคคล
    พระปุณณจดไว้เป็นธรรมภาษาไทย
    ซึ่งแน่ชัดว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยภาษาไทย

    (๒)ใจความธัมมจักกฯนี้ เข้าใจว่าจะเป็นธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่ ๒ ในสังยุตตนิกาย เล่ม ๑๙ หน้า ๕๓๒ -๕๓๔ ในพระสูตรตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลาย แต่มีคำว่า ตถาคตเหมือนที่นี้ แทนคำว่า "เม""เรา"เข้าใจว่าจะทรงแสดงอย่างเดียวกับที่ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย จึงไม่มีในพระไตรปิฎก

    (๓)เพราะพระพุทธภาษิตว่า เกิดดวงตาผ่องใสขึ้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นทั้งหมดมีดับ ฉะนี้เท่ากับเป็นพระพุทธพยากรณ์ในพระธรรมเทศนาว่า ได้ดวงตาเห็นชั้นโสดาปัตติผล และพระปุณณพร้อมกับพระเจ้าทับไทยทอง จารึกแผ่นกระเบื้องไว้ว่า เห็นธรรมเบื้องต้นเป็นโสดาบัน
    เมื่อพระเจ้าทับไทยทองได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ได้พักอยู่กับพระเจ้าพิมพิสารพระสหายเมือง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0127.jpg
      scan0127.jpg
      ขนาดไฟล์:
      222.3 KB
      เปิดดู:
      1,757
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2017
  2. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    พิมพิสาร รับ ทับไทยทองแล้ว ส่งไปสาวัตถี เมื่อแรม ๗ ค่ำ มี อภย(ราชา) เปนสหายเดินเถิงเมืองปันเสน (พระเจ้าปัสเสนทิโกสล พระสูตรเขียน = ปเสนทิโกสล) ต้อนรับแล้วพาไปเชตวัน เหนร่างนิมิตพุทธรูป ณ เชตวันนั้น (๑)
    พรรษาที่ ๗ แต่กาลตรัสรู้แล้ว เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปประทับอยู่บนสวรรคืชั้นดาวดึงส์ และทรงแสดงพระธรรมเทศนาอภิธรรมโปรด พระพุทธมารดา สิริมหามายาเวทีเทพกัญญา เพื่อเป็นคุณประโยชน์แก่พระพุทธมารดาอยู่ ๙๐วันนั้น ในระหว่างที่พระพุทธองค์ไม่อยู่ พระเจ้าปัสเสนชิดมีความปรารถนาใคร่จะได้เห็นพระพุทธองค์ จึงเป็นมูลเหตุให้พระองค์แกะสลักด้วย โคศีร์ษะจันทน และประดิษฐานไว้ในสถานที่ที่พระองค์ประทับนั่งอยู่เสมอๆนั้น

    เมื่อพระพุทธองค์เสด็จกลับจากดาวดึงส์แล้ว เสด็จกลับเข้าไปในพระวิหาร
    ในทันทีนั้นพระพุทธปฏิมากร ก็ละที่เดิมเข้าไปบันจบกับพระองค์
    พระองค์จึงตรัสกับพระปฎิมาว่า ให้กลับไปยังที่นั่งเดิม
    ภายหลังเมื่อเราบรรลุปรินิพพานแล้ว จะเป็นตัวอย่างแก่บริษัท ๔ ซึ่งเป็นศิษย์ของเรา
    ดังนั้นแล้ว
    พระปฎิมาก็เลื่อนกลับไปสู่ที่นั่งเดิม

    พระปฎิมานี้เป็นพระพุทธปฎิมาองค์แรกของพระพุทธปฎิมาทั้งหมด
    และซึ่งบุคคลสืบต่อมาได้ถือเอาเป็นตัวอย่าง
    พระพุทธองค์ได้เสด็จเลื่อนไปประทับอยู่ในวิหารเล็กทางด้านใต้อีกหลังต่างหาก จากสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั้น ซึ่งห่างจากกัน ๒๐ ก้าว

    ทางทิศใต้ของเมืองนี้ (แว่นแคว้นนคาร) ต่อไปครึ่งโยชน์มีถ้ำหินแห่งหนึ่งอยู่ภายในเนินใหญ่ของลูกเขา หันหน้าลงทางตะวันตกเฉียงใต้
    ในถ้ำแห่งนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงฉายพระฉายา(เงา)ไว้ หากยืนแลดูอยู่ในระยะห่างกว่า ๒๐ ก้าว จะได้เห็นเหมือนพระพุทธรูปอันแท้จริง ซึ่งมีพระฉวีเป็นสีทอง กับเครื่องหมายแห่งพุทธลักษณะทั้งหลายด้วยความประณีตแจ่มแจ้งสุกใสซึ่งสำแดงออกให้เห็น

    ..................................................................................................................
    (๑)พระพุทธรูปองค์นี้ ต่อไปจะเจอท่านเล่าว่า ปางขอฝน
    ส่วนองค์ที่ประดิษฐานอยู่นี้คงเป็นแบบประทับนั่ง และมีประทับยืน
    ได้เห็นแบบมีทั้งชมพูทวีป ลังกา จีน และไทย อย่างแบบที่เรียกกันว่า อมรวดี
    ต่อไปจะเจอพระพุทธรูปไม้จันทน์ซึ่งส่งมาในสุวัณณภูมิ แต่ตามจดหมายเหตุของพระถังซัมจั๋งว่า องค์เดิมยังอยู่
    ที่ปรากฎตามกระเบื้องจาร จำลองใหม่ส่งมา
    ในตำนานพระจันทนสารสติคติ ว่า องค์เดิม

    เท่าที่เห็นในไทย ที่ปรากฎเป็นแบบหินสลักปูนปั้น ดินเผา และโลหะ มี ๒ แบบ คือ ประทับห้อยพระบาท ทอดพระหัตถ์ซ้าย ยกพระหัตถ์ขวา ณ พระอุระ พระองคุลีกวัก ที่เรียกกันว่า นั่งตอ มีประภามณฑลบ้าง ไม่มีบ้าง
    อีกแบบหนึ่ง ประทับนั่งขัดตะหมาดเพ็ชร์ ทรงจีวรกลีบ พระเมาลีเส้น คันธารราษฎร์แบบกรีก
    ที่พบพระพักตร์ ไทยมีรอยยิ้ม จีวรกลีบหยาบและมีรอยน้อย ถ้าเอาเข้าเทียบศิลปกรีกแล้ว เป็นฝีมือทำกลีบผ้าที่เลวสุด แต่แบบไทยนิยมกันอย่างนี้ คือ รอยแข็งไม่เป็นรูปร่าง ทำพอรู้ แต่เล่นศิลปที่พระพักตร์มีรอยยิ้ม

    ซึ่งศิลปลักษณะแบบนี้มีอยู่แห่งเดียวในโลกคือ ไทย และตามกระเบื้องจารนี้ซึ่งจะมีต้อไปอีก บอกกาลไว้ก่อนกว่า คันธารราษฎร์ ๖๐๐ ปี อันแน่นอนว่า เราออกแบบเอง แขกรุ่นหลังน่าจะเลียนไปจากไทย ถ้าแขกมาติดต่อกับไทยจริงอย่างว่ากัน

    (๒)จดหมายเหตุแห่งพุทธอาณาจักรของพระภิกษุฟาเหียน หน้า ๖๖ เท่าที่นำมาเรียงไว้อีกตอนหนึ่งนี้ เพราะมีพระฉาย
    บางทีที่พระพุทธฉาย จังหวัดสระบุรีของเราอาจเป็นแบบเดียวกัน
    ยิ่งกว่านี้ตามกระเบื้องจารยังกล่าวว่า พระปุณณ อาศัยเงา(พระฉาย)สลักพระพุทธรูปองค์แรกขึ้นที่ถ้ำฤษีเขางูด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2017
  3. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2244122.jpg
    พระเจ้าทับไทยทอง ทองคำสำริด

    ได้ไปพบและฟังธรรม ณ เัวฬุวัน บรรลุโสดาปัติผล
    รูปนี้เป็นปางทรงเพศพระชีไทย เหมือนพระพุทธรูป อันหมายถึงเป็น อนุพุทธ คือตรัสรู้ตาม
    ที่บนพระเศียรมีพวงดอกไม้ประดับเป็นรัดเกล้า จึงไม่ใช่พระพุทธรูป

    ปุณเล่า พาต้นทับไทยทอง สู้เดินถอถิ่นกปิลวัตถุ ถิ่นของพุทธเดิม เดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ มหานาม ออนตนรับ ถึงมหาวัน ดงใหญ่ ให้พักที่ห้องปสาทของพุทธ ยโสธราเคยอยู่ต้นมหาราช เชิญต้นทับไทยทอง เข้าร่วมกินข้าว

    ปุณณ เคยเย้มคนเผ่าศากย
    โดยอุปัชฌาย อานันทพาไป ว่าไทยพูดได้เหมือนกันแท้
    ทับไทยทองว่า ต้องไปเหน แลพูด
    ได้ฟังกันจิง เหนหน้ากัน
    มหานาม ทักเว้าต้นเชิญขึ้นเวียงเรา
    ทับไทยทองหาต้นสาล ปลูก รลึก เมื่อเยี่ยม เมื่อวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พุทธพัสสา ๒๓

    พ่อเมืองสุวัณณภูมิ ขุนทับไทยทอง จอมคนชาวว้า ตัวท้านให้เมียชื่องามตาเรืองฟ้าผู้ท้อง แม้มีลูกชายแรกชื่อ
    ทองจอมฟ้าลืองามอิน ข่าวพุทธถอหูแล้วท้านเดินทางเรือไปราชคห พบจอมมคธชื่อ พิมพิสาร เข้าเฝ้า
    นนท พาเข้าเฝ้า พุทธเจ้าแสดงอนุปุพพิกถาและธัมมจักกัปปวัตนสูตรให้เข้าใจแจ้งชัดเหนธัมมได้โสดาปันอริยบุคคลในพุทธสาสนา

    ขุนทับไทยทองผู้เจ้าในถิ่นแดนไทสุวัณณภูมิ ผู้พบพุทธเจ้าสักยมุนีแดนมคธราชคห พุทธแสดงธัมจักกให้เห็นอริยผลแล้ว
    ท้านกลับถึงบ้านเมืองแล้ว เริ่มเผยแพร่ความรู้ให้แก่คนชาวเมืองลว้า
    ปุณณมุนี ท้านมาดอมกัน แสดงธัมมมัคผลในเมืองสุวัณณภูมิและพวกสุนาปรันตรู้แจ้งธัมมมัคคผลนิพพาน แล้วส้างอุโบสถอารามชื่อ (๑)วัดปุณณรามดำรงอริยสงฆแล้วมอบเถรบุณณแล้ว ปีพุทธพัสสา ๒๔ ปีโล๑๑๖๙

    ...................................................................................................................

    (๑)วัดปุณณารามนี้ อยู่ ณบริเวณที่เรียกกันว่า หนองวัด บริเวณใกล้กับบ้านโพธิงาม ใกล้กับหนองเกสร คูบัว
    ได้เจออิฐสมัยนั้นแผ่นหนึ่งมีรอยเขียนอ่านได้ความว่า ปุญนมุนีจึงเป็นหลักฐานได้แน่
    เวลานี้ ที่นี้กลายเป็นพื้นนา ที่เรียกว่า หนองวัดเป็นเพียงอันนาที่ลึกหน่อยเท่านั้น ระยะ ๒๕๐๐กว่าปีก็คงทำให้หนองตื้นได้
    แต่ก็ยังดีที่มีชื่อและมีเค้าที่พอรู้เห็นเป็นหลักฐานได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0018.jpg
      scan0018.jpg
      ขนาดไฟล์:
      112.6 KB
      เปิดดู:
      1,395
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2017
  4. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ..............ตั้งชื่อสุวัณณภูมิ" .......................
    ............................ปลูก "ต้นโพธิ" และ "บ้านโพธิงาม".................

    พุทธพรรษา ๒๕ ปีโล ๑๑๗๐ ก่อน พ.ศ.๒๐ปี

    เรื่องย่อ
    ย้ายมาจากคูบัว ซึ่งเป็นชื่อสุวัณณภูมิเมืองทอง
    ขุนทองจอมฟ้า ได้ขุดคู รอบ และยาวทะลุลงไปถึง บ้านหัวดอน หรือ ดอนโตนด ริมอู่ตะเภา ติดแม่น้ำอ้อมเดิมนั้น
    ขุนทองจอมฟ้า จารึกไว้ว่า ปีโล ๑๑๙๐ ทำอยู่ ๕ปี ถึงปี ๑๑๙๕ (คือ พ.ศ.๑ ถึง พ.ศ.๕)
    ตั้ง ณ ที่เดิมอันมีชื่อว่า “หนองยาว” ริมวัดปุณณารามเดิม หรือ หนองวัดปัจจุบัน
    คือ บริเวณติดและใต้สถานีคูบัวปัจจุบัน
    และยังดำรงชื่อ สุวัณณภูมิเมืองทอง เดิมนั้น
    และดำรงอยู่นานถึง ๑๐๓๐ปี ขุนอินไสเรนทร ย้ายลงไปใต้ ขุนหาญบุญไทย ได้ย้ายมาสร้างเมืองหน้าเขางู
    ให้ชื่อว่า “ราชพลี คู่ พริบพลี”
    สุวัณณภูมิ มีสถานที่ตั้งเมืองและดำรงอยู่นานนั้น แต่ก่อนก็เป็นที่มา-ไป ของพระอรหันต์ทั้งหลาย
    แม้เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมกับพระอรหันต์สงฆ์๕๐๐ มา ก็เป็นที่รับ และเป็นที่ประทับแรมคืน
    กับประทับพระฉายในถ้ำเขางู พระมหาปุณณเถร ได้สลักเป็นพระพุทธฉาย และจารึกชื่อไว้ด้วย
    พ.ศ.๒๓๕ พระเถรปัญจวัคค มีพระโสณเถร เป็นต้น ได้มาประดิษฐานพระพุทธศาสนา ได้สร้างวัด มีนิมิตสีมา
    พ.ศ.๓๐๐ พระเจ้าตะวันอธิราช ได้สร้าง “วัดสุวัณณภูมิ” ทำฐานและพระเจดีย์บรรจุอัฎฐิธาตุพระอรหันต์๕องค์ที่มานั้น
    จึงมี “วัดโขงสุวัณณภูมิ” และอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่มากมาย


    a.2234141.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0368.jpg
      scan0368.jpg
      ขนาดไฟล์:
      859.8 KB
      เปิดดู:
      1,303
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2017
  5. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2234376.jpg

    ทับไทยทอง กลับเมือง พุทธพัสสา ๒๔ แลปีโลขึ้น ๑๑๖๙
    ให้เอาคำ มคธ ว่า สุวัณณภูมิ (๑)เป็นชื่อ เมืองทอง คนไทย เมื่อปีโลได้ ๑๑๗๐
    พุทธพัสสา ๒๕

    ทับไทยทอง พิมพิสาร เมื่อพุทธ
    อนุญาติให้ตอนต้นโพธิที่พุทธนั่งรู้ความจริง เมื่อขึ้นพุทธวสา ๒๕ เดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ให้ปลูกใน สุวัณณภูมิ

    ทับไทยทอง ปุณณมุนี
    ตอนต้นโพธิที่พุทธนั่งรู้ความจริง ปลูกในเมืองสุวัณณภูมิ เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ พุทธพัสสา ๒๕ ใช้ชื่อที่นั้นว่า บ้าน โพธิงาม

    ทับไทยทอง สุวัณณภูมิ
    ตั้งทองจอมฟ้า ให้เป็นขุนเมืองทองสุวัณณภูมิ เมื่อขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีโล ๑๑๘๖ ปีฉลู ตั้งงามตาเรืองฟ้า เปน แม่อยู่หัวเมืองทองสุวัณณภูมิ เมื่อวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีโล ๑๑๘๖

    ทับไทยทองสุวัณณภูมิ(๒) รับพุทธรูปจากปัสเสนทิโกศล

    ให้ทองจอมฟ้าส้างอุโบสถใหญ่ ด้านตวันตกเมืองทอง แล้วถวายสงฆพุทธพัสสากาล ๔๓ ปีโล ๑๑๘๘ จึงให้มีงานฉลองห้าวัน ตั้งพุทธองค์ให้คนกราบไหว้บูชาสักการะ
    มีงานแห่น้ำ
    แห่บก(๓) เพญเดือน ๑๒ อีก ๓ วัน เป็นพุทธบูชา จึงตั้งในอุโบสถให้คนทั่วไหว้กราบบูชาด้วยดอกไม้ เทียน ธูป ทุกคืนวัน
    ทับให้เสมียนจานในพุทธพัสสา ๔๓

    ทองจอมฟ้า ผู้พ่อเมืองสุวัณณภูมิ
    ย้ายเมืองจากดอนโตนด มาถินหนองยาว ให้ขุดคูอันยาว ๒๐๐ เส้น กว้าง ๑๕๐ เส้น
    คูกว้าง ๒ๆ วา ลึก ๑๐ ศอก คนหมื่นห้าพัน ๕ปีแล้ว ปีโล ๑๑๙๕

    ...............................................................................................................
    (๑)สุวัณณภูมิ สุวรฺณภูมิ สุวรรณภูมิ อย่างเดียวกัน ตามที่เขียนในแผ่นกระเบื้อง มีเขียนก่อนตั้งชื่อ เข้าใจว่าคงเรียกกันตามที่ได้ยินแขกพูดกันก่อน
    คำว่า เมืองทอง หรือ แหลมทอง หรือ ดินทอง ถ้ากลับเป็นบาลี หรือ มคธ ก็คือ สุวัณณภูมิ(สุวณฺณภูมิ)
    ในมหาชนกชาดก มีกล่าวชื่อ สุวัณณภูมิ อันแสดงว่าพวกแขกพ่อค้าคงเรียก แหลมทองดินทอง เมืองทองนี้โดยภาษาของตัวว่า สุวัณฺณภูมิ มานานแล้ว
    เมื่อพระเจ้าทับไทยทองเสด็จถึงมคธได้ยินชื่อ จึงนำคำชื่อสุวัณณภูมิมาตั้งชื่อทับเมืองทอง จึงเป็นสุวัณณภูมิ แต่คงใช้ทั่วไปในราชการ
    คนทั่วไปคงใช้ชื่อ เมืองทอง เหมือนสยาม คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้จัก รู้จักทั่วไปและเรียกกันว่า เมืองไทย
    เรื่องประวัติศาสนา ของ พระยาประชากิจกรจักร์ หน้า ๔๓ ว่า สุวัณณภูมิ อยู่ใน รามัญประเทศ และอ้างอักษรจารึกแผ่นศิลา ณ สีมากัลยาณี แต่จารึกนี้เขียนสมัยสร้างสีมากัลยาณี ว่า ศกราช (จ.ศ.) ๘๓๘ หรือ พ.ศ.๒๐๑๙ ต้นกรุงศรีอยุธยา
    ถ้าพระเจ้าทรงธรรมมหาปิฎกธรธรรมเจดีย์ทรงเชื่อจริงจะต้องสร้างสีมากัลยาณีใหม่อีกทำไม

    (๒)ตามคัมภีร์สังคีติยวงศ์ ว่า พระเจ้าวิตุภ หรือ วิฑูฑภ ส่งมาในใมของพระเจ้าปัสเสนทิโกสลราชบิดา คงจะจริงเพราะพุทธพัสสา ๔๓ นี้ พระเจ้าปัสเสนทิโกศล ซึ่งถูกพระเจ้าวิฑูฑภ ยึดราชสมบัติอันเป็นเหตุให้พระเจ้าปัสเสนทิโกสลเสด็จไปสิ้นพระชนม์ ณ กรุงราชคฤห มคธ

    (๓) อาจเนื่องมาจากที่กระทำครั้งนั้น จึงมีพิธีแห่พระที่เรียกกันว่า ชักพระ แต่ที่ราชบุรีเลิกหมดแล้ว เพราะพวกขี้เมาและนักเลงก่อความร้ายจึงต้องเลิกไปประมาณปี พ.ศ.๒๔๖๘
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0012.jpg
      scan0012.jpg
      ขนาดไฟล์:
      545.3 KB
      เปิดดู:
      1,159
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2017
  6. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    พระพุทธรูปองค์แรกของไทย ณ ถ้ำฤษีเขางู

    a.2234093.jpg
    ภายในถ้ำฤษีเขางู ราชบุรี จากซ้าย-กลาง จะเห็นรอยเซาะเป็นเศียรงูใหญ่ หรือนาคราช ปรากฎดวงตาทั้งคู่ จะเห็นเป็นนาคค้อมเศียรต้อนรับ
    บน จะเห็นเป็นแผ่พังพานเป็นร่ม จะเห็นพระพักตร์ พระเศียร พระหัตถ์ขวา และรอยเซาะสลักหินเป็นพระองค์ยังไม่สำเร็จ มีส่วนให้ทราบว่าเป็นพระพุทธรูปปางลีลาเสด็จเข้าประทับ ณ ถ้ำ จากนั้นจะเห็นถ้ำว่างูใหญ่อยู่ในถ้ำนั้น และพระมหาปุณณได้ทำกเบื้องจารึกไว้ในถ้ำนี้
    พระพุทธรูปปางมารวิชัยนั้นเป็นหินทรายแดง ทำใหม่

    a.2234098.jpg
    ขวาสุด จะเห็นพระพุทธรูปปางประทับห้อยพระบาทแสดงธรรม(พระพุทธรูปองค์ที่๑ไทยทำในไทย) ยกพระหัตถ์ขวาเป็นวงล้อธรรม เพราะหินปูนตรงนั้นมีอย่างนั้น พระชงค์พระบาทซ้ายเป็นปูนก่อเป็นรูปและหินตรงนั้นไม่มี จึงดูคล้ายเปลือย ได้ทำรอยไว้ที่แข้ง และเหนือจารึกนั้นมีรอยแสดงผ้าครอง ส่วนพระพุทธรูปที่สถิตบนฐานนั้น เป็นหินทรายแดง ซึ่งทำในภายหลัง คือในสมัยราชพลี หรือไทยทวาลาว

    a.2232846.jpg
    พระพุทธรูปองค์แรกของไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0135.jpg
      scan0135.jpg
      ขนาดไฟล์:
      137.5 KB
      เปิดดู:
      913
    • scan0367.jpg
      scan0367.jpg
      ขนาดไฟล์:
      377.8 KB
      เปิดดู:
      1,175
    • scan0123.jpg
      scan0123.jpg
      ขนาดไฟล์:
      391.4 KB
      เปิดดู:
      1,659
    • scan0001.jpg
      scan0001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      446.6 KB
      เปิดดู:
      1,300
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2017
  7. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2235288.jpg

    พระพุทธรูปไทยองค์แรก มีจารึกว่า "ชื่อบุญวระฤษีงู คิรฺ สมาธิคุปฺต แปลว่า ชื่อบุญพระฤษีคุ้มครองสมาธิ ณ เขางู
    เนื้อหินปูนจะเห็นรอยเซาะยืนยันอยู่ ตัวที่ขาวชัดนั้น ได้ใช้แป้งขาวลงตามลายเส้นเดิม ให้คุณวิเชียร อาจารย์ราตรี น.ส.สมศรี เจียรณัย ลงสีจึงชัดขึ้น วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕

    แต่ยอร์ช เซเดซ อ่านว่า "บุญ วระ ฤ ษี - ศรี ส มาธิ คุปฺต "ไม่ได้แปลไว้ และไม่ได่อ่าน "งู"
    และ บ. ญ. ง. ส. ธ.มีเค้าเหมือนตัวปัจจุบัน แต่ ยอร์ชเซเดซไม่ให้เป็นลายสือไทย ยกไปให้อินเดียใต้
    เฉพาะ "งู" ที่เป็นทั้งลายสือไทย และชื่อไทยไม่อ่าน ไม่ยอมให้เป็นของไทย
    และคนไทยทั้งชาติ(เว้นธรรมวงศ์ (พระราชกวี))ยอมเชื่อตลอดกัน ด้วยเหตุอ่านหนังสือไทยไม่ออก

    บางส่วนของ คำนำในการพิมพ์ครั้งที่๒

    ".........เมื่อวันเสาร์ ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๐ ครู นักเรียนโรงเรียน ส.น. ได้ให้ร่วมไปเพื่อบรรยายจารึก และลายสลักพระ ครั้นได้ดูลายจารึก ก็ปรากฏว่า มีผู้เอารักดำใหม่ลงลบลายจารึกเกือบหมด เฉพาะที่ฝรั่งเขียนลอกเอาไปนั้นได้เอาแป้งผงลงไว้เมื่อลบแป้งออกก็เกือบมองไม่เห็นลายเส้น คงจะเป็นพวกนั้นจงเจตนาเพื่อลบลายหลักฐาน-ได้กระทำแล้ว นี่แหละ ฝีมือพวกจงใจทำลายของไทย.........."
    a.2235289.jpg

    a.2235300.jpg

    .......ณ วันที่ ๖เมษายน ๒๕๒๗ กับ ร.อ.สมนึก พัฒนวิบูลย์ ร.น.และสุนารีผู้ภรรยา ได้ไปถ้ำฤษีเขางู เมื่อเข้าไปดูก็ปรากฏทำพื้นใหม่ ช่องซองเปลในถ้ำสมาธิคุปต ซึ่งมีพื้นหินเลื่อมมันอันยืนยันว่ามีผู้ขึ้นไปนอนนั่งเสมอ คงเป็นขึ้นครั้งสมัยพระปุณณเถรก็ได้ ได้ถูกทุบทำลายหายไปแล้ว แม้ส่วนที่เป็นถ้ำ-มีรูปหัว,ตา,งูใหญ่ ก็ถูกทุบให้บิ่นหักหายไป ยิ่งตัวจารึกนั้น ก็ปรากฏให้มองเกือบไม่เห็นถ้าไม่สังเกตดีๆแล้วจะไม่เห็นเลย หากประชุมจารึกสยามภาคที่๒ไม่ทำไว้แล้ว คงไม่มีใครเชื่อว่ามีจารึก เพราะลบเลือนไปหมดแล้ว ได้ฟัง เล่าว่า มีนักโบราณคดีชั้นศาสตราจารย์ คณบดี และถึงอธิการบดี(พ.ศ.๒๕๒๗)ได้ให้ลูกกะแล่ซึ่งมีขีดใหญ่บนบ่า๒ขีด ๒คน นำรักไปลงทับไว้ ในเทศกาลงานประจำปีก็ลงรักทับเพื่อปิดทองอีก ตัวจารึกลบเลือนไปหมดอย่างที่ปรากฏนั้น ขอบันทึกไว้เพื่อไทยได้คงอยู่ตลอดไป

    a.2235305.jpg
    ปัจจุบัน
    แม้แต่จากเว็ปราชบุรีศึกษา]http://rb-history.blogspot.com/2011/02/3.html
    ก็ยังเชื่อกันตาม ยอร์ซ เซเดซ ตามข้อมูลข้างล่างนี้
    ..............ใน ปีพุทธศักราช 2519 ได้มีคนมาลักลอบจารึกข้อความต่อเติมคำจารึกเดิมนั้นด้วยอักษรไทยปัจจุบัน แต่ประดิษฐ์ให้พิสดาร แปลงเส้นและตัวอักษรให้ดูแปลกเหมือนเป็นจารึกโบราณ คือเพิ่มคำว่า “ชื่อ” ที่หน้าอักษรจารึกของเก่าและเพิ่มคำว่า “พุทธพัสสา 44” เป็นบรรทัดที่ 2 ต่อจากอักษรจารึกของเดิม ทำให้จารึกถ้ำฤาษีเขางูเมืองราชบุรี เปลี่ยนสภาพไป.........
    แต่ ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จ ถ้ำฤษีเขางู
    รูปถ่ายแสดงให้เห็นตัวจารึกที่สมบูรณ์ทั้งแถวบนแถวล่าง ยืนยันว่า"พุทพัสสา ๔๔"มีมานานแล้ว มิได้เพิ่งต่อเติม ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ ตามที่กล่าวหา

    a.2235363.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2017
  8. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    บุญวรอิสิ อู่(อยู่) ข้างเขางู ถ้ำมีงูใหญ่ งูอู่เป็นเพื่อน ทับไทยทองผู้อำนวย มีญิง ผัน เอื้อปิณฑ เสดกิจแล้ว ผัน วอนขอให้สลัก พุทธนิมิต

    เหนคำ ผัน ดี (๑ )นั่งนึก
    พุทธเล่าว่า คูหาที่พุทธอาศัยมีชื่อถ้ำฤษี คนเชื่อถือมาเคารพข้างหน้า พุทธเงาในถ้ำนี้
    เมื่อคนทำนิมิตขึ้น จึงอาศัยพุทธเงานั้น)
    จึงสลักองคพุทธในถ้ำฤษีเป็นรูปนั่งเทสนาธัม(๒) ซึ่งเราเคยเหนเมื่ออยู่สาวัตถี
    เมื่อเข้าพุทธพัสสา ๔๐

    a.2235367.jpg
    (๑)พระพุทธรูปนั่งเทศนาธรรมนี้ ยกพระหัตถ์ขวาท่ากวัก พระหัตถ์ซ้ายวาง ห้อยพระบาท
    ใช้แผ่นหินทรายทำจำลองจากองค์ในถ้ำ มีจารึกลายสือชนิดเดียวกับองค์ในถ้ำ
    พบ ๑๒ องค์ ในถ้ำอื่นแห่งเทือกเขางูนั้น เวลานี้ถูกระเบิดไปหมดแล้ว จึงบอกไม่ได้ว่าถ้ำนี้อยู่ตรงไหน
    และเก็บได้องค์เดียว นอกนั้นถูกขายไปหมดแล้ว
    ทั้งยังได้พระพุทธรูปแบบนี้ ทำด้วยหินปูนประสมสีดำ มีอักษรจารึกข้างล่างเหมือนกันนายชาญชัยยังบอกว่ามีอยู่อีก ยังไม่ได้นำมาให้ดู เล่าว่าได้ ณ บริเวณถ้ำที่ระเบิดหินมาขายที่เขางูนั่นมานานแล้ว เหลือที่จะรู้ว่าตรงไหน เพราะถูกระเบิดหมด

    a.2235368.jpg
    ตัวหนังสือที่ฐานพระจารึกว่า ชื่อ บุญ วระฤษี งู คิรฺ สมาธิ คุปฺต แปลว่า ชื่อบุญพระฤษีรักษาสมาธิอยู่ ณ เขางู
    แต่ ยอร์ชเซเดส อ่านว่า บุญ วระ ฤ ษี - ศรี ส มา ธิ คุ ปฺต
    ไม่ได้แปลไว้ จะเห็นว่าไม่ได้อ่าน"งู" และ บ. ญ. ง. ส. ธ. มีเค้าเหมือนตัวปัจจุบัน ฉะนี้ จึงไม่ให้เป็นหนังสือไทย ยกไปให้อินเดียใต้
    เฉพาะที่"งู"เป็นทั้งลายสือไทย และ ชื่อไทย ไม่อ่าน จึงไม่ยอมให้เป็นของไทยและคนไทยทั้งชาติ(เว้นธรรมวงศ์ พระราชกวี)
    ยอมเชื่อตลอดกันด้วยเหตุอ่านหนังสือไทยไม่ออก

    (๒)อาจเป็นประเพณีตั้งแต่นั้นมา แต่เวลานี้ การไหว้พระที่เขางูเปลี่ยนเป็นกาลสาดไทย คือขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ทุกปี เพราะกาลนี้น้ำเหนือนองมาก ณ บริเวณหน้าเขางูจึงเป็นทะเล ใช้แข่งเรือได้ เวลานี้มีประตูน้ำและรถยนต์ไปได้ การไปเรือจึงเลือนไปมาก

    ยอร์ชเซเดซ นี้ เคยแปลจารึกพ่อขุนรามฯผิดพลาดมาแล้ว (ข้อมูลตามลิ้งข้างล่างนี้)
    http://www.dek-d.com/board/view.php?id=632347
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2017
  9. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2235239.jpg

    กระเบื้องจารที่พระปุณณเถร จารึกไว้ ณ ถ้ำพระฤษีเขางูนั้น ที่เขียนเป็นลายสือไทยเดิม และตัวชัดเจนจะเห็นภิกขุ แต่ที่จารึกเป็นภิกษุ จึงอ่านให้ได้ความว่าภิกขุ ได้ถ่ายรูปและนำมาลงเฉพาะหน้า ๒

    แผ่นลำดับอ่านที่ ๑๓๗ หน้า ๒
    ภิกขุ ผู้คน เรียก
    คำไทย ชื่อว่า ชี เราเป็น
    ภิกขุ ผู้บวชจากคำของ
    พุทธ เมื่อชาวไทย
    เอิ้น ชื่อชี ฟังคล้าย
    ฤษี เขียน ปุณณ
    วรฤษีงูคิรสมาธิคุปต
    (วรฤษีงู เห็นชัด)

    บุณวรอิสิ อยู่ถ้ำ ข้างพระ ทำร่างพุทธองค์นั่งถ้ำ ต้นที่หนึ่ง ในพุทธสา ๔๔ เราว่าพุทธต้นที่หนึ่งในสุวัณณภูมิ ไทยลว้า
    ภิกขุผู้คนเรียกคำไทยชื่อว่า ชี เราเป็นภิกขุผู้บวชจากคำของพุทธ
    เมื่อชาวไทยเอิ้นชื่อว่า ชี ฟังคล้ายฤษี เขียน
    บุญญวรฤษีงูคิรสมาธิคุปต

    ทับไทยทองมาถ้ำพุทธ บุณนมุนี กรึงแง่หินในตรงถ้ำนั้น บุณ เราเมื่อไปสาวัตถี เหน ธ พุทธผู้ต้นปัสเสนส้างมา ช่วยส้างพุทธนั่งเทสนา บุณวรมุนี เฝ้าทำ ๔ ปี แล้วในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๖ พุทธวัสสา ๔๔ เรามานม(ไหว้กราบและ) ลงทอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0134.jpg
      scan0134.jpg
      ขนาดไฟล์:
      170.6 KB
      เปิดดู:
      1,476
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2017
  10. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ท่านผู้มีอายุ ปุณณ ได้สู่ชนบทสุนาปรันตแล้ว ได้ยินข่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ปุณณ อยู่ในชนบทสุนาปรันตนั้น
    ต่อจากนั้นแล
    ท่านผุ้มีอายุปุณณ โดยพรรษานั้นนั่นเอง ให้อุบาสก ประมาณ ๕๐๐ ปรากฎขึ้นแล้ว โดยระหว่างพรรษานั้นนั่นเอง ให้อุบาสิกาประมาณ ๕๐๐ ปรากฎขึ้นแล้ว โดยระหว่างพรรษานั้นนั่นเอง ได้กระทำให้แจ้งวิชชา ๓ แล้ว และต่อมาโดยสมัยกาลอื่น ท่านผู้มีอายุปุณณ ปรินิพพานแล้ว

    ทับไทยทอง ปุณณมุนี นิพพานวันขึ้น ๑ ค่ำ
    เดือน ๑๒ ปีมะโรง พุทธพัสสากาล ๔๔ ปุณณ อันมี ทับไทยทองเฝ้า นิพพาน พัสสา ๒๕ ปี ๖๕

    (๑)ครั้งนั้นแล มีพวกพระภิกษุเป็นอันมาก ได้ยินข่าวแล้ว
    จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว กราบพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง พวกพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว จึงทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

    "พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตร์ชื่อ ปุณณ
    นั้นใดแล อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาทแล้ว ด้วยพระโอวาทย่อๆ ท่านนั้นกระทำกาลเสียแล้ว ท่านมีคติอย่างไร มีภพหน้าเฉพาะอย่างไร?"

    "ภิกษุทั้งหลาย กุลบุตร์ ปุณณ เป็นบัณฑิต
    ได้บรรลุธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ให้เราลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม ภิกษุทั้งหลาย ปุณณกุลบุตร์ปรินิพพานแล้ว ดังนี้"

    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้แล้ว
    พระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ยินดีซึ่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว

    มหาชนกระทำบูชาสรีระร่างของพระเถระตลอด ๗ วัน
    รวบรวมไม้หอม(คนฺธกฎฐานิ-ไม้หอมทั้งหลาย)ได้เป็นอันมาก แล้วจึงประชุมเพลิงสรีระ
    เก็บธาตุทั้งหลาย ได้บัญจุในพระเจดีย์ (๒)
    ..................................................................................................................
    (๑) ท่านคงคุ้นเคยกับพระภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก เพราะเป็นผู้ได้ทูลเชิญเสด็จพระพุทธเจ้าเสด็จมา คงมีชื่อเสียงมาก พระภิกษุทั้งหลายจึงเฝ้าทูลถามคติของท่าน[
    และพระภิกษุเหล่านี้ อัฎฐกถาเล่าว่า พวกพระภิกษุซึ่งอยู่ในป่าช้าของพระเถระ

    (๒)เจดีย์นี้ได้ถ่ายรูปลงมาแล้ว และมีเหตุผลเท่าที่ได้อธิบ่ายไว้นั้น
    และเรื่องพระปุณณ มาสุนาปรันต กับ อัฎฐกถา ชื่อ ปปัญจสูทนี ได้เล่าถึงการที่พระพุทธเจ้า พระอัคคสาวกและพระสาวกอื่น ทั้งพระสัจจพันธเถร และ สัจจพันธคิรี ได้เจอในคัมภีร์ศาสนวงศ์(สาสนวํส) ซึ่งพระปัญญาสามีแต่งในพม่าเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๕ ได้กล่าวไว้ว่า เป็นเรื่องในพม่า แต่ก็ตัดเรื่องรอยพระพุทธบาทออก เพราะในประเทศพม่าอาจไม่มีหลักฐาน

    ส่วนในกระเบื่องจาร ที่พระปุณณเขียนไว้นี้ มีเรื่องรอยตีนพระพุทธ หรือพระพุทธบาททั้ง ๒ แห่ง พร้อมกับยังสลักพระพุทธรูปไว้ที่ถ้ำฤษี ยังจารึกชื่อไว้ด้วย ที่รอยจารึกชื่อนั้น ที่ข้างล่างเลือนมาก พอเดาๆได้ว่า พุทธพัสสา ๔๔ ของเราน่าจะมีหลักฐานดีกว่า
    ทั้งใน ปุณโณวาทสูตร พระพุทธเจ้ายังตรัสถึงชาวนาสุนาปรันต ว่า ดุร้าย หยาบช้า(จณฺฑา โข ฯลฯ ผรุสา โข ปุณฺณ สุนาปรนฺตกา มนุสฺสา) คนไทยลว้าตั้งแต่ หลังสวน ปราน เพชรบุรี บางช้าง ราชบุรี สุพรรณ มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องดุร้าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2017
  11. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    พระเจดีย์ เขางู ที่บรรจุอัฏฐิธาตุ พระมหาปุณณเถร

    [​IMG]
    ทิวเขางู สุดด้านซ้ายมือ คือ พระพุทธบาทจำลอง
    ทิวต้นไม้ทึบกลางเขาด้านขวามือนั้น คือ ปากถ้ำฝาโถ
    ที่ราบหน้าเจดีย์ออกมานั้น บริเวณวัดราชสิงขรเดิม แต่ทั่วไปเรียว่า"วัดราชพลี"
    องค์เจดีย์ที่พระเจ้าทับไทยทองสร้างก่อน พ.ศ.๑ คงสลายลงไปใต้ดินแล้ว
    องค์นี้อาจเสริมต่อกันมากี่ครั้งแล้วไม่รู้ได้


    [​IMG]
    รูปนี้ สุระ สรณาคมน์ ถ่าย พ.ศ.๒๔๙๕ ยังมีใบเสมาประดับอยู่บริบูรณ์
    คือใบสีมาวัดราชสิงขรเก่า หรือวัดราชพลี
    เมื่อวัดร้างแล้ว เข้าใจว่า พระครูสิริปัญญามุนี(อ่อน อาสโภ)ได้บูรณะพระเจดีย์แล้วนำใบสีมา มาประดับไว้ประมาณ พ.ศ.๒๔๓๕-๒๔๕๐ จึงยังเหลืออยู่ให้เห็น
    ใบสีมาแบบนี้แสดงว่า วัดราชสิงขรเดิม สร้างสมัยราชพลี พ.ศ.๑๑๐๐-๑๕๐๐ และเรียกกันว่า วัดราชพลี



    [​IMG]
    รูปนี้ถ่าย พ.ศ.๒๕๑๕ ใบเสมาเหลืออยู่เท่านี้
    เดี๋ยวนี้ พ.ศ.๒๕๒๕ ไม่มีเหลือแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0369.jpg
      scan0369.jpg
      ขนาดไฟล์:
      253 KB
      เปิดดู:
      19,801
    • scan0370.jpg
      scan0370.jpg
      ขนาดไฟล์:
      442.2 KB
      เปิดดู:
      4,120
    • scan0371.jpg
      scan0371.jpg
      ขนาดไฟล์:
      402.9 KB
      เปิดดู:
      4,075
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2013
  12. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ทับไทยทอง เมื่อปุณณนิพพานแล้ว
    ผีวางโรง ๑๕ วัน ใครใจใคร่นำบุญมาไหว้ บนบวงดอมดอกไม้ เทียน ธูป
    ให้บุญทุกคนแล้วเชิญขึ้นเรือนยอดหน้าเขางู ชุมเพลิงแล้วด้วยไม้หอม
    ธาตุปุณณเอาใส่เจดีย์ เถ้าถ่านผสมปูนปั้นตัวร่าง

    (๑) ทับไทยทอง เสาะหาหินโฉงก ทำพุทธ ปจำ ถ้ำฝาไตกล (ตะไกร) เถรบุณทำต้น นางผันญิง คนช่วยจัดข้าวมาเลี้ยงผู้คน แลเป็นเพื่อนช่วยทำหิน เข้า ๒ ปีแล้ว ทับไทยทอง ผู้เชิญผันเข้างานฉลองเงิน ๒ ชั่ง ฉลองพุทธนอนเฝ้าถ้ำ เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พุทธพัสสากาล ๔๕ เดือน ๖ ฉลองงานมีตรงนิพพาน ถึงชุมไฟ (พุทธสรีระ) ๘วัน

    ทองจอมฟ้า เมื่อพ่อทับไทยทองตาย เดือน ๕ ขึ้น ๑ ค่ำ พุทธกาล ๑๒ ขวบ ๑๑๘ ปี เผาผีปีพุทธกาล ๑๓
    (๒) ทองจอมฟ้า แบ่งสินให้เมีย ๒๒ คน ลูก ๓๕ คน สนมนาง ๕๔ คน เฒ่านาง ๑๐๐ คน

    .......................................................................................................................
    (๑) จารึกของพระเจ้าทับไทยทองลงว่า พระปุณณเถรทำต้น ตอนฉลองไม่ได้ระบุชื่อท่าน ท่านปรินิพพานพุทธพัสสา ๔๔ แม้ในพระสูตรก็มิได้กล่าวแน่นอน ท่านใช้คำว่า อปเรน สมเยน แปลว่า โดยสมัยอื่น

    วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ ข้าพเจ้า(พระราชกวี)และสามเณรวัดราชสิงขรและเด็กๆได้ขึ้นไปตรวจดูในถ้ำฝาโถ ห่างถ้ำฤษีไป ได้เห็นพระพุทธรูปปางสีหไสยาส สลักติดกับผนังภูเขาในถ้ำนั้น เป็นรอยสลักแบบเดียวกับพระในถ้ำฤษี ดูพระพักตร์คล้ายคลึงเป็นแบบเดียวกัน และเชื่อกันว่าพระพุทธรูปทั้ง๒ นี้คงคล้ายคลึงพระพุทธเจ้า เพราะทรงมีพรรษา ๔๐-๔๔ พระชนมายุก็ ๗๕-๗๙ พระองค์คงทรงชรา และพระพุทธรูปนี้ก็มีพระพักตร์ชรา เข้าใจว่าจะเหมือนพระพุทธองค์

    ทุกคนชื่นใจมากที่พบพระพุทธรูปปางนอนเฝ้าถ้ำของพระเจ้าทับไทยทอง และที่ผนังถ้ำยังมีสลักและใช้ปูนขาวทำรูปกษัตริย์และนางกษัตริย์ถือดอกบัวและพวงมาลัยยกชุขึ้นแสดงว่าบูชาพระ จึงเข้าใจว่าพระพุทธรูปนี้เป็นปางเสด็จดับขันธปรินิพพาน คือพระเจ้าทับไทยทองคงได้ข่าวจากที่ใดที่หนึ่ง (อาจทราบเองเพราะเป็นโสดาบันแล้ว ได้ฌานและอภิญญาพร้อมก็อาจเป็นได้) ถึงการเสด็จดับขันธปรินิพพาน จึงกระทำพระพุทธรูปปางปรินิพพาน ณ ถ้ำนี้

    ถ้ำนี้ ในกระเบื้องจาร เรียก ถ้ำฝาไตกล (ตะไกร) ฝาตะไกร สมัยนี้คงเรียกกันว่าซองตะไกร เมื่อพิจารณาดูถ้ำไม่ใหญ่เท่าไร กว้างประมาณ ๒ วาเศษ แต่ลึกเข้าไปมากจึงดูลักษณะเป็นซองยาว คือ ซองตะไกร เพราะสมัยก่อนทำตะไกรแล้วมักใช้หนัง หรือ ไม้ทำซองใส่กันสนิม กันเปื้อน แต่เวลานี้เรียกว่า ถ้ำฝาโถ

    อนึ่ง พระเจ้าทับไทยทอง จากปีประสูติมาถึงกาลพุทธพัสสา ๔๔ นี้ มีพระชนมายุได้ ๑๐๐ กว่า แล้วให้ทองจอมฟ้าพระราชโอรสครองเมืองแทน พระองค์จึงเสด็จมาประทับอยู่กับพระปุณณ และอาจไปประทับอยู่ ณ ถ้ำฝาโถ ทรงกระทำกัมมัฎฐานหรือเจริญสมณธรรม ณ ที่นั้น[ เมื่อทรงว่างก็สลักพระพุทธรูปนอนเฝ้าถ้ำ ฉะนี้ จึงทรงใช้เวลานาน


    (๒)จากกฎหมายผัวเมีย ซึ่งพระเจ้าทับไทยทองประกาศใช้ ปีโล ๑๑๑๘
    เมื่อทองจอมฟ้าครองแทนพ่อแล้ว ได้แบ่งสินให้ เมีย ลูก สนมนาง เฒ่านาง ต่างๆ หลายคน อย่างนี้ อาจเป็นประเพณีของไทยที่เป็น "ดบดอก"(มรดก) ตกทอดแล้วต้องแบ่งกันแต่นั้นมา ๒๕๐๐ กว่าปี หรืออาจมีประเพณีมาก่อน ตั้งแต่สมัยขุนลือต้นไทยและแม่โพสบ ซึ่งประกาศใช้กฎหมายนา ตั้งแต่ปีอิน ๑๔๑๑ ซึ่งมีคำใช้ว่า "ดบดอก" (มรดก) มาแล้ว แต่เพิ่งมีกฎหมายเมื่อครั้งนั้นๆ ถึงอย่างไร บัดนี้ ไทยก็ยังมีประเพณีแบ่งสมบัติมรดกตกทอดกันอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2017
  13. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    พระพุทธรูปองค์ที่ ๒ ในไทย
    จารึกชื่อ ทับไทยทอง งามตาเรืองฟ้า

    [​IMG]
    พระพุทธรูปนอนเฝ้าถ้ำสกัดกับผนัง หินปูนดำ จะเห็นรอยเซาะที่ระหว่างแขน
    ซอกใต้พระนาภี มีลายเส้นยาวเป็นลายสือไทย ว่า "พระนอนเฝ้าถ้ำ" (ยังไม่ได้ถ่ายรูปมาทำแบบ)
    พระเจ้าทับไทยทอง กระทำให้เป็นอนุสรน์แห่งกาลปรินิพพาน พ.ศ.๑
    ถ้ำฝาตะไกรเดิม เวลานี้เรียก ถ้ำฝาโถ
    ที่พระอุระ มีรอยแตก คือ พวกหาของดี เอาชะแลงแซะ
    ส่วนพื้น ที่กระจายนั้น ถูกขุดทำลายตั้งแต่ กรม...พาฝรั่งเข้าไปขุดหาเครื่องของคนสมัยหิน พ.ศ.๒๔๗๗-๗๘ จำไม่ได้แน่นอน

    [​IMG]
    ปัจจุบัน

    [​IMG]

    [​IMG]
    หินปูนจารึกชื่อ "ทับไทยทอง" ให้เด็กวัดราชสิงขร เก็บให้เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๙



    [​IMG]
    จารึกชื่อ "งามตาเรืองฟ้า" นี้
    คุณเจริญ สุวรรณเตมีย์ ร่วมกับ คุณนายลมูล ได้ไปบูรณะพระพุทธรูปและพื้นฐาน ทำบันไดขึ้นถ้ำฝาโถ พ.ศ.๒๕๑๘ ได้พบและเก็บมาให้ ได้เป็นหลักฐาน
    คุณนายสละทุนทำ๔หมื่นกว่า ทั้งได้เปรยๆไว้ให้รับสร้างมณฑปพระพุทธบาทจำลองที่พระปุณณเถรทำไว้
    ก็ยังไม่ทันจะได้ทำ พอพวกเขารู้เข้า ก็เข้าคุ้มครองทั้งได้เขียนคำอ่านที่ฝรั่งอ่านผิดไว้ไปประกาศประจานไว้อีกด้วย
    พวกเราต้องถอย เพราะไม่มีเรื่องโกหกไปร่วมกับเขาได้
    พระราชกวี(อ่ำ ธมฺมทตฺโต)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2013
  14. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2236917.jpg ขุนทองจอมฟ้า ผู้สร้างกรุงคูเมืองทองสุวัณณภูมิ บอกชื่อไว้ที่สร้อยทำเป็นเม็ดๆคือเม็ดทอง และหมายถึงข้อกฎหมายที่พ่อกระทำไว้
    มือขวาชี้แผ่นดิน
    มือซ้ายถือหอยยอดเครื่องหมายมหาขุน

    ทองจอมฟ้าได้ครองแทนพ่อ จึงย้าย "วัง" หรือ เมือง มาสร้างใหม่ที่หนองยาว คือ คูบัว ปัจจุบันนี้ เสร็จ ปีโล ๑๑๖๙ พ.ศ.๕

    ทองจอมฟ้า ผู้ลูกขุนเมือง เมื่อครองสุวัณณภูมิ ขวบขึ้นเข้า ๖๕ เมื่อลุมเมีย ปีโล ๑๒๐๒ (พ.ศ. ๑๒) เมียชื่อ ทองงามเมืองฟ้า ท้อง คลอดลูกญิงชื่อ ดวงทองงาม (พ.ศ.๑๓) เมื่อพุทธกาลได้ ๑๕ คลอด เลืองทับขุนไทย คลอด ญิง เลืองทองจอมญิง ในปี พุทธกาล ๑๗ ทองจอมฟ้า ให้ขุนเสมียนเมือง เขียนในพุทธกาล ๓๓

    ทองจอมฟ้า กรุงสุวัณณภูมิ ผู้ได้รับพุทธสาสนาดำเนินธัมตามทับไทยทองผู้พ่อ
    ปีพุทธกาลได้ ๒๘ ให้ขุนทับไทยทอง ยก สึกสู่เมืองเสืองไทอู่ทอง ขุนหาญสู้ตายในสนามรบ รู้ถึงขุนเมือง และเมียกองทองคู่ผัวเมียอวยเงินทอง ดอกไม้ ธูป เทียน ขึ้นเมืองทอง

    ผัวเมียมาถอในเมืองไหว้พุทธรูปองค์อยู่อุโบสถ ออกคำอันจิงดอมกันแล้วให้กลับไปเมืองอู่ทอง
    องค์พุทธเมืองทองไม้จันทนหอมปัสเสนทิโกสลเพื่อนพ่อได้เห็นกันในก่อน ไปถออู่ทอง พุทธกาล ๒๙
    ทองจอมฟ้า ลูกพ่อเมืองทับไทยทอง สุวัณณภูมิ ผู้คุ้มองค์พุทธรูปไม้จันทนหอม ให้หอมขอมช่างจำลองออก ๑๒๒ รูป
    อวยขุนเมืองออกได้เป็นที่พึ่งตน ตัวขุนเมืองทุกเมืองไทออนสีลธัมม
    พุทธองคปธานในเมืองคนเช้าเยน
    ทองจอมฟ้าเขียนไว้ในปี พุทธกาล ๒๙
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0137.jpg
      scan0137.jpg
      ขนาดไฟล์:
      351.3 KB
      เปิดดู:
      1,253
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2017
  15. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0011.jpg
      scan0011.jpg
      ขนาดไฟล์:
      552.3 KB
      เปิดดู:
      3,476
    • scan0013.jpg
      scan0013.jpg
      ขนาดไฟล์:
      439.8 KB
      เปิดดู:
      3,515
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2013
  16. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    เลืองทับขุนไทยพ่อเมือง ลูกขุนทองจอมฟ้า(ครองปีพุทธกาล ๔๓) เฃื้อนขวบ ๒๘เข้าเมื่อพุทธกาลล่วงเข้า ๔๔ เมียชื่อ ดวงขวัญมา ท้อง คลอด เลืองลือขุนไทยในเดือน ๕ แรม ๙ ค่ำ
    เข้าใน ฉอ(ฉลู) หม่อมเมียแม่
    นางถนอมนวล คลอดลูกญิง นวลงามถนอมเมือง
    เข้าปี มเมีย ดวงขวัญมา ดับ
    มีเมียชื่อ
    เอี่ยมขวัญทอง แม่มีลูก ชาย พุทธกาล ๔๓ ชื่อ เลืองลพขุนไทย
    เมื่อพุทธกาล ๖๐ แม่ถนอมดับ
    มีเมียชื่อ
    เต็มงามตัว มีลูกชื่อ เลืองทองขุนไทย ปี ๖๑

    เลืองทับขุนไทย
    สุวัณณภูมิ พ่อเมืองไทย คิดความเมืองทองขุนไทยลว้าลูกขุนโลลาย แม่นางโห่มาดี
    ขุนไทยลว้าขึ้นเมืองทอง ปีโล ๘๕ เมียทองงามเมือง ลูกขุนหอทองขุนในเมืองนองทองเหนือไทย เมื่อพบกัน ทองงามเมืองเที่ยวตกปลาในท้องน้ำ
    ขุนไทยยินข่าวนางเมื่อเที่ยวขุนไปเมืองนองทอง
    เมื่อเย้มนาง เมื่อดูภอเจามาก ขอนาง ขุนเมืองพ่อแม่ไม่ยอมเกิดศึก
    ขุนหอทองแพ้

    จึงยอมยกให้นางทองงามเมือง
    ขุนไทยลว้ายึดเมืองนองทองขึ้นเมืองทอง ทองงามเมืองเปนเมีย มีลูกชื่อขุนไทยเมืองทอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2017
  17. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2237518.jpg
    ขุนเลืองลือลว้า ผู้ส่งพระสุฬภู (สอน)ไปอุปสมบทกับพระอานนทเถร
    มือขวาชี้แผ่นดิน มือซ้ายถือหอยสังข์ เครื่องหมายมหาขุน
    สร้อยศอทำพวงแก้วยอดลง หมายถึงใจแก้ว ใจมีแก้วแสง คือ พุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ สังฆรัตนะ ประดับ คือ ทรงประพฤติธรรม

    เลืองลือขุนทอง
    เนินไทย มีลูกแต่เมียใหญ่ ชื่อ เลืองลบลว้าขุนชาย
    แม่เอื้อเจ้าเสิมสีขุน(หญิง) เลี้ยงบำรุงเป็นลูกให้ใหญ่องอาด เว้าเจิงขุน พูดคนได้หลายพ้อง


    เมื่อเป็นฃุนฃวบท้านขึ้น ๒๘ เข้าปีพุทธกาลได้ ๗๓ คลองลวนั้นต่อพ่อตน คลองได้ ๓๔ ปี
    ขวบเฃ้าปีพุทธกาลไทได้ ๔๔ ตัว
    เลืองลบลว้า อันนางเอื้อเจ้า(เสิมสี)ผู้คลอดให้เป็นในหล้าแหล่ง
    พ่อตายในเดือนสาม มาฆมาส
    ท่านขึ้นแทนในแผ่นดินถิ่นแดนลว้าโดยธัมมปราศอคติ คนสัตตจงเป็นภู่ร่วมธงงามร่มเย็นทั่วแดนดินลว้า

    พุทธกาล ๗๘
    เลืองลือลว้า ถึงพุทธ (ธัมมสงฆ์) เป็นที่พึ่งอยู่จบสีลทุกคืนวัน นึกสีลธัมม

    ภิกขุ
    สุฬภู เป็น ธัมมปาฐ ข้อในสีลบัญญัติอริยธัมม รู้แจ้งถึงคุณความดี ถูกผิด ทั้งโทสคุณ เป็นอุปัชฌายอาจารย์ใหญ่
    ให้เรียน กฎเวยยากรสูตตสันธิ แปลสูตตข้อธัมมมาสู่คนไทย

    พุทธกาล ๑๕ เภิ้นภิกขุได้ไปถึงแดนพาราณสีราชคห เพื่อพบต้นพระพุทธเจ้า
    เภิ้นเข้านิพพานนาน ๑๕ ปี บัดปี จึงพบท่าน
    อานนทเถรราชคห
    เรียนธัมมวินัยจบปิฎกไตรยครบ ๑๐ พัสสา แล้วได้มาสู่สุวัณณภูมิให้บวชเรียนธัมมวินัยสอนคนไทยผู้มีใจใฝ่ดีเรียนอุโบสถ และฟังเทสธัมม
    พระภิกขุ
    สุฬภูสอน เขียนในพุทธกาล(ล่วงหน้า)๗๘
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0139.jpg
      scan0139.jpg
      ขนาดไฟล์:
      156.9 KB
      เปิดดู:
      998
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2017
  18. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    เลืองลบลว้า สุวัณณภูมิ เมื่อคลองเมืองทอง ปีพุทธกาล ๙๖ เมียชื่อ นางเรือนทอง เมียน้อย นางงามสง่า
    เมื่อปีจอม(จอ) พ.ศ. ๑๐๑ นางเรือนทอง มีลูกชื่อ ลือลบลว้า วันอา เดือน ๔

    เลืองลบลว้า คลองเมืองเมื่อลุ ปี ๑๐๓ นางเมียน้อย งามสง่า ออกลูญิง
    เดือน ๖ ชื่อ งามเรือนใจ
    นางเจริญงาม ท้องออกลูกญิง ชื่อ เจริญงามตา

    ลือลบลว้า ลูกขุนเลืองลพลว้า (เลืองลบ) เมื่อคลองเมือง พุทธกาล ๑๒๕ เมียชื่อ เรียงเรือนฟ้า เมียน้อย ดอกไม้ฟ้า
    เมื่อพุทธกาล ๑๒๖ เรียงเรือนฟ้า มีลูกชายชื่ออันพ่อให้ว่า เลอลบลว้าลูกไทย
    ดอกไม้ฟ้า มีลูกหญิง ชื่อ เดือนทับฟ้า
    เมื่อลุปี ๑๓๑ เรียงเรือนฟ้า มีลุกชายชื่อ ไทยลือฟ้า

    เลอลบลว้า ลูกขุนลือลบลว้า เมื่อคลองเมือง ลุเข้าปี ๑๕๘ นางเมียชื่อ รุ่งแสงฟ้า เมียน้อยชื่อ เรืองแสงทอง
    นางรุ่งแสงฟ้า คลอดลูกชาย พุทธกาล ๑๕๙ เดือน ๕ วันขึ้น ๑๕ ต่ำ
    เมื่อชื่อ ลือเลอลว้าเมืองทอง มีงานฉลองเดือน ๖ มีงาน ๑๕ วัน
    เลอลบลว้า เขียน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2017
  19. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2237647.jpg
    ๑.ขุนลือเลอลว้านี้ ทำรูป ณ มือขวาถือลักจั่น มือซ้ายถือขัน เป็นเครื่องหมายหลั่งน้ำประกาศเขตแดนที่รวบรวมเข้าด้วยกัน จึงขึ้นเป็นต้นแบบต่อมา
    แม้สมัยพระนเรศวรมหาราชก็ทรงสุวรรณภิงคารสืบแบบไทย

    ๒.ขุนหญิงพูนเอ็นดู มือขวาถือดินสอหรือเป็นเหล็กจาร มือซ้ายถือ กเบื้องจารครึ่งแผ่น ในหน้าที่ขุนหญิงและเสมียนเมือง ได้เป็นต้นแบบขุนหญิงเสมียนต่อมา แม้สมัยนี้ก็ยังสืบกันอยู่

    เมืองทอง สุวัณณภูมิ..................ต้นหลั่งน้ำบอกดินแดน
    ต้นขุนหญิงเสมียนเมือง.........

    ลือเลอลว้า เมืองทองขุนไทย เจ้าพยาเมืองสุวัณณภูมิ ต้นโปรดเมียน้อย ชื่อ พูนเอ็นดู
    เป็นผู้ที่โปรดปราน
    ยอดผู้ญิง รู้ในจานสือพุทธอักษร ไทยสือ
    เล่าจานสือหินไว้หลายพุทธกาล

    ล่วง ๒๗๘ ท้องมีลูกคนแรก ชื่อว่า
    โลกลว้าพุทธบุตตพูนเจริญ
    ท้านให้จัดงานฉลองควรขุนไทยอย่างดี
    ให้จานเรืองกับลวูต่อไป

    ลือเลอลว้า ลูกขุนเลอลบลว้าเหนือหัว เมืองไทยลว้า
    ลูกแม่รุ่งแสงฟ้า
    เมื่อเมืองเหนือขอมทว(ทวา)ไทย จึงออกจ้าวนาวเมืองเถือม
    จัดคัดลูกศึกไทลาวถ้วนนายไพร่ เกียน ช้าง ม้า เสบียงได้พร้อมไปรอด อู่เชียงเหล็ก โลว ธงไช พนมถ้ำ เถิงเมืองอู่หินเริญ โหปัลลาว เมืองหัว โฮนาง เวียงนัม
    ตัวกลับสู่เมืองทองแหล่งลว้า ปี ๒๑๔ ขึ้น ๘ ค่ำ
    เดือนอ้าย
    นางพูเอ็นดู ผู้เมียลือเลอลว้า เขียนสือนี้ เมื่อพุทธกาล ๒๑๗
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0140.jpg
      scan0140.jpg
      ขนาดไฟล์:
      445.1 KB
      เปิดดู:
      1,074
    • a.2237647.jpg
      a.2237647.jpg
      ขนาดไฟล์:
      445.1 KB
      เปิดดู:
      173
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2017
  20. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2239326.jpg
    ลายสือไทย ว่าเมืองทอง ออกแบบเป็นตราชื่อ ได้ทำไว้ในก้นจานเชิงห้าสี ได้พบ ๕ จาน ที่คนอื่นเขามี มีอยู่หลายสิบ หรือนับร้อย ต่างว่าเป็นตัวจีน
    ลายสือไทย
    ที่ช่างทำหรือจารึกไว้ที่ก้นจานเชิงสี ได้ที่หลุมดินราชบุรี พระครูใบฎีกาทวี ถวายไว้

    ลายในรูปสี่เหลี่ยมเป็นตัวนูน อ่านว่า "เมืองทอง" จะเห็น เ อยู่กลาง
    ม ทอง เขียนลง
    ลายล่างเป็นตัวลึก อ่านว่า เลือลว้า = ลือเลอลว้า หรือ
    เลอลือลว้า
    ลายสือโบราณ อ่านบนลง
    ครองสุวัณณภูมิ พ.ศ.๑๗๘-๒๒๐

    ได้ใช้หมึกอินเดียนเขียนทับเพื่อถ่ายตัวชัดได้แค่นี้ จึงแน่ใจว่าจานเชิงสี ไทยทำได้ มาแต่นั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0141.jpg
      scan0141.jpg
      ขนาดไฟล์:
      259.2 KB
      เปิดดู:
      1,037
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2017
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...