ประวัติชาติไทยตั้งแต่ต้นกัป พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ(พิมพ์เป็นตัวอักษร)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เก่ากะลา, 27 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    [​IMG]

    รูปกงล้อธรรมจักรหินทั้ง๒นี้ มีในหนังสือธรรมจักร ได้นำมาอ้างเรื่องอย่างนี้ เพื่อให้สังเกตลวดลายตามที่ปรากฏนั้น
    ซ้าย จะเห็นลวดลายตื้นกระจะกระจ่างน้อน จึงเข้าใจว่าสร้างก่อน
    ขวา จะเห็นลวดลายละเอียดลึก กระจะกระจ่างกว่า จึงเห็นว่าสร้างทีหลังกว่า

    ตามจารึกที่เขียนแล้วแจ้งไว้ว่า ได้สลักหินเป็นกงล้อธรรมจักร์แทนของเก่าที่บิ่น แตก หัก ทำปี พ.ศ.๑๔๓๑-๓๓ เข้าใจว่าเป็นกงล้อนี้ ที่ลายดุม มีลายสือพอเห็นเค้า คงเป็นลายจารึก เย ธมฺมา ฯลฯ กับมีกวางด้วย จึงแน่ใจว่าคงจะใช่

    สำหรับกงล้อธรรมจักรไทย มีลักษณะพิเศษกว่าในชมพูทวีป ก็คือ มีลวดลาย

    เฉพาะกงล้อรูปนี้ ปรากฎลวดลาย ณ กง และกำ คือ ซี่ ตลอดถึงวงดุมนั้น เป็นลวดลายอธิบายพระธรรมที่เป็นรูปเคารพกงล้อธรรมจักรนี้ว่า พระศาสนธรรม เป็นพรหมจรรย พร้อมทั้ง อัตถ-พยัญชนะ คือ เนื้อความ และ ผลปรากฎมีบริสุทธิบริบูรณเป็นส่วนเดียว มีงดงามในเบื้องต้น คือ ศีล(อาทิกลฺยาณํ) งดงามท่ามกลาง คือ สมาธิ(มชเฌกลฺยาณํ) งดงามในที่สุดคือ ปัญญา(ปริโยสานกลฺยาณํ)
    ช่างรุ่นนั้นได้ทำลายงดงามไว้เป็นเครื่องอธิบายความ จึงปรากฎอย่างนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0307.jpg
      scan0307.jpg
      ขนาดไฟล์:
      708.1 KB
      เปิดดู:
      4,057
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2013
  2. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    กรุงเรืองฟ้า กรุงไทยทวาลาว เมื่อสร้างกงล้อธัม เมียชื่ออ่อนแสงฟ้า ออกลูกชายชื่อ กงล้อฟ้า เมื่อขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีกุน พระพุทธกาล ๑๔๓๒
    แม้ลุงอู่ทองมาช่วยสอนว่า

    อย่านอนเปล่า เอากันไว้บ้าง มิสิ้นเชื้อสาย

    ตอบว่า

    ลูกลุง ลุงว่า เมื่อแท้ ใช่ชีมีผัว คือ เอาเชื้อเก่า เฒ่า คือ หนอนตายอยาก เมื่อสาวหนุ่ม คือ อ้อยแห้วหวานมัน เมียผัวเอากิน เมื่อยังฟัน

    ค่อนปี ๑๔๓๒ อู่หอทอง มีญิงชื่อ ไสหอฟ้า เดือน ๑๒
    เข้าพรรษา เมื่อออกพรรษา ข้าหาจีวรแพร ไหมกฐินญิบร้อย ใคร่เรือแข่ง ผ้าไหมยี่สิบพัน ไปถึงเพชรพลี ราชพรี กาญจนบุรี อู่ทองถึงเขื่อนขัน มกอก เมืองฉอ ลโว้ แต่เมื่อแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปี ๑๔๓๓
    เมื่อถึงเรือน ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒
    อ่อนแสงฟ้า อู่หอทอง ออกลูกคืน ๑๕ ค่ำ ถึงคู่ เอาชื่อ เฉลิมเรือนทอง ฉลองหอฟ้า แจ่มฟ้า อีลูกป้าว่ามีท้อง ข้าเถียงมันว่ายี่ห้าคืน
    แจ่มฟ้าว่า สีสิบสี่มีแล้ว กูเลยรับ

    กรุงเรืองฟ้า ฝังฝากกรุงไทยทวาลาวให้เมียใหญ่ ขุนหญิงอ่อนแสงฟ้าแล้ว
    ให้หาขุนฆ่าศึกพ่าย ขุนทลายศึกพัง ให้ชุมหมู่ศึกสี่หมื่น ขุนเพชรห้าพัน ขุนปรานสี่พัน ขุนราชพลีห้าพัน สากอไทยห้าพัน เมืองขวัญเก้าร้อย เมืองแผดงสองพันห้าร้อย

    ยโสวรมันคลองอู่พิมาย ลโว้ ปี ๑๔๔๒ เดือน ๔ ขุนพวนออกยอมให้
    ยโสใคร่เอา อโยฌิยา และ อู่ทอง กูจัดศึกพร้อมสู้สี่หมื่นเข้าหา
    ขุนอู่ทองผู้ลุง เอาแม่น้ำสองพี่น้องกำแพงสู้ แม้ถิ่นพันร้อยเส้นศึกก้ามปูเอาหนีบเมื่อข้ามน้ำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  3. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    พระพุทธรูปนั่งตอ ห้อยพระบาท สมัยไทยทวาลาว

    [​IMG]
    ซ้าย
    พระพุทธรูปหินแลง
    ขวา
    พระพุทธรูปทองสำริด

    พระทั้งสององค์นี้ จะเห็นส่วนยาว แม้จอมพระเมาลีก็สูงขึ้น
    จริงอยู่ ในจารึกสมัยขุนกรุงเรืองฟ้านี้ ไม่มีระบุสร้างพระพุทธรูป
    ถึงกระนั้นเข้าใจว่าคงสร้างขึ้นแต่ไม่ได้จารึก และใช้พระพุทธรูปแบบนี้
    เป็นแบบไทยทวาลาว เพราะ ลักษณะที่ยาวกว่าสมัยสุวัณณภูมินั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0306.jpg
      scan0306.jpg
      ขนาดไฟล์:
      145.5 KB
      เปิดดู:
      2,298
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2013
  4. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2261298.jpg
    แผ่น ๗๒๔ หน้า ๑
    - กรุง เรือง ฟ้า พุทธกาล ๑๔
    - ๔๒ เมื่อ ศึก ข แม ย โส วร (ยโสชัดเจน)
    - มัน ถึง นคร ไทย ทวาลา(ว)
    - กู ยิน สู้ ที่สู้ อู่ ทอง เมื่อ
    - เดือนสี่ เข้าสี่เดือน ยโส
    - เมื้อ ลโว้ (ขุน) อู่ ทอง กู เดิน ถึงลโว้
    - เอาลโว้ ให้ ขอม ฟ้า พวน
    - แล้ว อู่ หิน พิมาย เคี่ยวสู้สิบเดือน
    - เอา อู่ พิมาย คืน ลาว



    กรุงเรืองฟ้า พุทธกาล ๑๔๔๒ เมื่อศึกขแม(๑)ยโสวรมัน ถึงนครไทยทวาลาว
    กูยิน(ข่าวแล้วไป)สู้ ที่สู้อู่ทอง เมื่อเดือนสี่ เข้าสี่เดือน ยโสวรมันเมื้อลโว้(ขุน)อู่ทอง(และ)กูเดินถึงลโว้
    เอาลโว้ให้ขอมฟ้าพวนแล้ว(ไปเอา)อู่หินพิมาย เคี่ยวสู้สิบเดือนเอาอู่พิมายคืนลาว
    เมื่อยโสวรมัน หนีไปเข้าขแม กูเอาส่วยคือ ฃ้าลาวเจลล ผู้ไม่ยอม กูเอาฆ่ามิยัง
    เอาคนต้นอู่หิน ชื่อ เจริญฟ้า เมียชื่อ แม่ผกายดาว ลูกชื่อ ขุนเมืองอู่หินเจลลฟ้า ขึ้นขุน
    ลูกสาวสอง(คน)ใหญ่ชื่อ ฟ้าผกายแสง น้องชื่อเรืองสีฟ้า พี่ยก(ให้)กู น้อง เอาให้อู่ทอง

    ---------------------------------------------------------------------------------------------
    (๑)พระเจ้ายโสวรมัน พ.ศ.๑๔๓๑-๑๔๕๓ ตามที่ท่านเสถียรโกเศศ กล่าวไว้ในหนังสือแหลมอินโดจีนสมัยโบราณ เห็นมีอยู่เท่านี้ ส่วนที่ยกกองทัพมาตีนี้ ไม่ปรากฎ

    ในหนังสือ The history of the khmers ANGKOR page ๔๙ กล่าวว่า

    มีราชอาณาจักรชื่อ ยโสธรปุระ จะเป็นที่เดียวกับจังหวัดยโสธรหรือไม่ ไม่ทราบแน่
    ที่จังหวัดยโสธร มีวัดมหาธาตุ พระอานนท ซึ่งเจตตานุวิน จินดาขานุ สร้างพระธาตุบรรจุธาตุพระอานนทเถร ซึ่งไปได้มาจาก เทวทหนคร ได้เขียนประวัติไว้ลงว่า พ.ศ. ๑๒๑๘
    ที่พระธาตุ มีจารึกหินทรายบอกว่า จ.ศ.๑๔๙ พ.ศ.๑๓๓๐ ถ้าจริงแล้วตามจารึกนี้ยืนยันจังหวัดยโสธรมีก่อน ยโสธรปุระ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0308.jpg
      scan0308.jpg
      ขนาดไฟล์:
      492.3 KB
      เปิดดู:
      1,486
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2017
  5. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    กงล้อฟ้า ครองไทยทวาลาว ปี ๑๔๖๑
    ขุนญิงเมียชื่อ แสงช่อฟ้า เมียกลางชื่อ สอิ้งทองฟ้า เมียน้อยชื่อ ก่องแก้วแสง มีสาวเชิญชื่อ สนมกำนัลอีก ๒๕
    แสงช่อฟ้า มีชายชื่อ เกริ่นฟ้าไทย เมื่อเดือน ๔ แรม ๑๒ ค่ำ ปี ๑๔๖๒
    ก่องแก้วแสง มีชาย ปี ๑๔๖๓ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ชื่อ แกนฟ้าไทย
    สอิ้งทองฟ้า เกิดญิง ปี ๑๔๖๕ แรม ๑๑ เดือนสาม ชื่อ กรองสร้อยสอาง

    เกริ่นฟ้าไทย คลองนครไทยทวาลาว ปีพุทธกาล ๑๔๘๑
    เมียชื่อ สุสีลา เมียกลางชื่อ ช่อฟ้าทอง เมียน้อยชื่อ เวียงหอฟ้า
    เมื่อพุทธกาล ๑๔๘๒ เดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ สุสีลา ออกชายคนที่เตียงนั่งฟ้า ชื่อ ใต้เมืองฟ้า
    ช่อฟ้าทอง มีญิงชื่อ ชื่นช่อฟ้า ขึ้น ๑๑ เดือน ๑๑ ปี ๑๔๘๔

    ใต้เมืองฟ้า ครองไทยทวาลาว เมื่อปี ๑๕๐๑
    เมียชื่อ เพญจันทรฉาย เมียกลางชื่อ สิรินทรเรืองฟ้า เมียน้อยชื่อ เฟื่องแสงฟ้า
    แม้พี่น้องให้สาวเพื่อใช้งาน ใช้ญิง ขอมสีสอนลายสือ
    ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ พุทธกาล ๑๕๐๒ เพญจันทรฉาย มีชายชื่อ ตรุง(กรุง)เมืองฟ้า
    สิรินทรเรืองฟ้า มีชาย ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ชื่อ ตรึงฟ้าไทย
    เฟื่องแสงฟ้า มีญิงชื่อ ฟ้าไสแสง เดือน ๗ ขึ้น ๕ ค่ำ ปี ๑๕๐๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  6. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    กงจักร์ฟ้า ครองกรุงไทยทวาลาว เมื่อปีพุทธศก ๑๕๒๕ พี่ตรุงเมืองฟ้าตายมิมีลูก
    เมียชื่อ นางแก้วขวัญฟ้า เมียน้อยชื่อ ลออสีฟ้า เมียพี่ ๓ คนข้าเลี้ยง
    แม่แก้วขวัญฟ้า มีลูกชายชื่อว่า พานเมืองฟ้า ปี ๑๕๒๖ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนเก้า
    ลออสีฟ้า มีชายชื่อ ปิ่นฟ้าเฟื่อง แรม ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปี ๑๕๒๙
    มีญิง ปี ๑๕๓๐ เดือนสี่ ชื่อ แสงเอี่ยมฟ้า
    --------------------------------------------------------------------------------------------
    กงจักร์ฟ้า อาจเป็นพระองค์เดียวกับ พระยากง ทั้งมีลูกชื่อพานเมืองฟ้า ก็เกือบเหมือนกับ พระยาพาน หรือชื่อหน้าเป็นชื่อเดียวกัน

    แต่ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑ ปี พ.ศ.ห่างกันมาก ทั้งกงจักร์ฟ้านี้คงเป็นลูกของใต้เมืองฟ้า ในจารึกไม่มีชื่อในทำเนียบ เพราะทำเนียบจารึก พ.ศ.๑๕๐๓ ฉะนี้ อาจเกิดหลัง พ.ศ. ๑๕๐๓ เท่าที่จารึกไว้ว่า พี่ตรุงเมืองฟ้าตาย ไม่ได้ระบุถึง ตรึงฟ้าไทย อาจตายหรืออย่างไรไม่ปรากฎ ในกาลได้ครองนี้มีอายุน้อยๆ กงจักร์ฟ้านี้ก็มีอายุน้อย ขณะกาลครองอาจมีอายุเพียง ๒๐ หรือไม่ถึง และมีลูกพานเมืองฟ้าในปีต่อมานั้น

    ในสมัยต่อจากสุวัณณภูมิ คือ ไทยทวาลาว เมื่อฉลองกรุงไทยทวาลาว ยังนิมนต์พระได้ถึงหมื่นองค์ ก่อนหน้าในการเผาศพ มีระบุชื่อพระอริยสังฆาจารย์เถระ เมื่อสร้างวัดที่ดอนยายหอม มีชื่อพระเถรอัคคสุนันโท เมื่อฉกันฟ้าไทย ให้ลูกบวชพระ ๑ พรรษาแล้ว ลาสิกขา จึงได้บวช และกอเพชรไทยได้ครอง ได้สร้างวัดมหาธาตุกำแพงแสน มีท่านองค์หนึ่งสลักวงล้อธรรมจักร์หิน ได้จารึกพระคาถาย่อธรรมจักร์ไว้ แต่ไม่ได้จารึกชื่อ

    สมัย ฟ้าก่องเดือน สร้างเมรุ ณ ป่าไผ่ล้อม เผาศพพ่อแม่แล้วยกขึ้นเป็นวัดไผ่ล้อม มีระบุชื่อพระเทพมุนี

    ในสมัยพระยากง เมื่อพระยาพานชนช้างได้ประหารพ่อแล้ว จึงนิมนต์พระมาถาม มีระบุชื่อว่า พระคิริมานนท และพระองคุลีมาล ทั้งนี้เข้าใจว่าเป็นชื่อสมณศักดิ์ เช่น พระอุบาลีในปัจจุบัน ทั้งกับเล่าว่า พระสังฆราชมาจากเมืองหงษาวดี จะมาถามถึง อัตถกถา และผู้ทรงจำพระไตรปิฎก ได้ไปอยู่วัดโพธิ์หอม ได้ลง จ.ศ.ไว้ว่า ๕๕๒พ.ศ. ๑๗๓๓/จ.ศ.๖๖๙/พ.ศ.๑๘๕๐/จ.ศ.๙๐๖ พ.ศ.๒๐๘๗ ครั้นพระราชบัณฑิตได้ครองเปลี่ยน จ.ศ. เป็น พ.ศ. ว่า ๙๕๕ ที่สุโภรหัน =พม่าได้ตั้งจุลศักราชนั้น พ.ศ.๑๑๘๑ ฉะนี้ จึงคลาดเคลื่อนหรืออาจตก ๑ ไป ถ้ามี ๑ ก็คงเป็น๑๙๕๕ ก็เป็นสมัยอยุธยา

    สาระสำคัญคือ มีระบุถึง อัตถกถา และผู้ทรงจำพระไตรปิฎกได้ อันยืนยันว่ามีพระไปเรียนและคัดลอกนำมาเป็นแบบแผน เพราะพุทธโฆสเถระไปกลับจากภาษาลังกาเข้าสู่ภาษาเดิมหรือมูลภาสานั้น พ.ศ.๙๘๖-๙๘๗ ก็คงไปกันในระยะกาลนี้
    ท่านมีชื่ออยู่ในจารึกนี้ คงเป็นพระที่ไปนำมา จึงมีชื่อในจารึก ครั้นอัตถกถา หรือ อัฎฐกถา ได้คืนเข้าสู่คำมคธ เป็นมูลภาสาแล้ว พระสงฆ์ก็คงได้ข่าว คงพากันไปเรียนเขียนคัดลอกกันมา แต่ว่าไม่ได้มีปกรณหรือคัมภีร์เขียนไว้ หรืออาจมีแต่สูญหายไป จึงไม่ปรากฎชื่อ ปรากฎเพียงจารึก เช่น เย ธมฺมา ฯลฯ อวิชฺชาปจฺจยา ถึงกระนั้นก็ยังเห็นมีชื่อพระเถรต่างๆ ในสังฆกรรม เช่น กระทำ พัทธสีมา หรือ ขัณฑสีมา อย่างที่จารึกไว้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  7. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    พระยากง สมัยไทยทวาลาว

    เป็นตำนานพิเศษแซกเข้าไทยทวาลาวตอนนี้

    พระยากง ตามพงศาวดารเหนือไม่มีบอกกาล พ.ศ.ไว้ ได้ครองเมืองกาญจนบุรี กับ พระอรรคมเหษี บางแห่งระบุชื่อว่า พระนางปทุมเทวี ได้ทรงครรภ์ โหราจารย์ได้พิเคราะห์ทราบว่าเป็นชายใจฉกรรจ์ มีบุญมากนัก จะฆ่าพระราชบิดามั่นคง ครั้นประสูติใช้พานรับ พระนลาตกระทบขอบพานเป็นรอยอยู่เป็นสำคัญ จึงให้ฆ่า พระมารดาทรงพระกรุณาจึงเบี่ยงบ่ายมอบให้ยายหอมนำไปเลี้ยง และได้นำไปให้พระยาราชบุรีเลี้ยงเป็นบุตรบุณธรรม กระทั่งเจริญวัย ตอนนั้นพระยาราชบุรีต้องถวายราชบรรณาการแก่พระยากงทุกปี พระยาราชบุรีจึงให้งด พระยากงเห็นว่าเป็นขบฎ จึงเกณฑ์พลทัพเพื่อจะจับพระยาราชบุตรและพระยาราชบุรีจึงเกณฑ์พลประจำหน้าที่ พระยาราชบุรีจัดช้างพลายงางอนสูงหกศอกให้บุตรบุญธรรมเป็นนายทัพ ได้ยกออกกระทำยุทธหัตถี ได้ท่าจึงจ้วงฟันพระยากงตายกับคอช้าง จึงเข้ายึดเมืองกาญจนบุรีได้ โหราจารย์ปุโรหิตจึงยกขึ้นครอง ทรงพระนามชื่อว่า พระยาพาน

    พระยาพาน ได้ครองเมืองแล้ว(๑) (ในเรื่องนี้ไม่มีบอกกาลเวลา) ได้ข่าวอยู่ก่อนแล้วว่าพระอรรคมเหษี คือพระนางปทุมเทวีนั้นมีพระศิริโฉมสวยงามนัก (ความจริงก็พระมารดาของพระองค์) ตั้งใจหมายจะสังวาสด้วย ในประถมยามจะเข้าไปข้างใน ได้ยินวิฬาร(แมว)ซึ่งลูกร้องจะกินนม แม่ห้ามว่าอย่าร้อง ดูลูกจะเข้าหาแม่ ก็สะดุ้งใจ ครั้นทุติยยามจะเข้าไปอีก ก็ได้ยินแม่ม้าพูดห้ามลูกว่า อย่าเพ่อกินนมก่อน ดูลูกจะเข้าหาแม่ ก็ตกใจและถอยออก ครั้นตติยยามก็ย้อนเข้าไปอีก มารดาถามได้ฟังตอบว่าเป็นลูกพระยาราชบุรี จึงเล่าบอกว่าเป็นลูก เมื่อประสูติพระบิดาเอาพานทองรับกระทบนลาตเป็นรอยปรากฎอยู่ เพราะโหรทำนายว่ามีบุญหนักจะฆ่าพ่อ บิดาจึงให้เอาไปฆ่า แม่จึงเอาไปฝากยายหอมจึงนำไปให้พระยาราชบุรี ทรงทราบแล้ว ก็กรรแสงว่าได้ผิดไปแล้ว ทรงพิโรธว่ายายหอมไม่บอก จึงให้ประหารชีวิต ก่อนจะประหารยายอมขอรำเพื่อให้ศพแก่แร้งกิน ที่นั่นจึงเรียกว่า ท่านางรำ ท่าแร้ง
    ต่อมา ทรงรู้สึกเป็นเวร ทรงทำบุญแจกทานเสมอ ได้ทรงอภิเษกกับพระอรรคมเหษี พระนางทรงครรภ์ ประสุติพระราชโอรส ทรงเสน่หาเป็นกำลังยิ่งนัก ทรงดำริถึงพระราชบิดากับทั้งยายหอมผู้เลี้ยง ได้ทรงเสียพระทัยสลดลง ทรงปรึกษากันว่าจะลบล้างบาปกรรมเวรนี้ได้อย่างไร จึงให้ไปอาราธนาพระมหาเถรทั้ง ๒ คือ พระคิริมานนท และ พระองคุลีมาล ซึ่งได้พระอรหัตตรัสรู้ธรรมพิเศษ ให้มารับอาหารบิณฑบาต แล้วได้ตรัสถาม
    พระมหาเถรทั้งสองถวายพระพรว่า ทรงรู้สึกตัวจะบำบัดให้เบาบางลงได้ ๑๐ ส่วนเท่า ให้ก่อพระเจดีย์สูงชั่วนกเขาเหินสร้างวัด ประธม(หรือพระโทน) ทำพระวิหาร ๔ ทิศ สร้างพระจงกรม พระสมาธิทั้ง ๓ ด้าน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้ว แล้วให้มีมหรสพฉลอง๗ วัน ๗ คืน

    พระแท่นดงรัง พระแท่นประสูติ(และปรินิพพาน) พระพุทธเจ้า ณ เมืองโกสินาราย ก็ทรงบูรณะให้ดีมีชื่อสืบมา
    พระแท่นดงรัง ในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า"พระแท่นประสูติ" แต่ในสมัยนี้เรียกว่า"พระแท่นปรินิพพาน"และมีเขาถวายพระเพลิงอยู่ด้วย จะอย่างไรก็ตามสิ่งทั้งนี้ก็มีอยู่และปรากฎนานมาแล้ว ก่อนจะสันนิษฐานกันหลายร้อยปี

    พระยาพาน ลุพุทธศักราช ๑๗๓๓ (จ.ศ.๕๕๒)ได้ยกกองทัพขึ้นไปเมืองลำพูน ไปนมัสการพระบรมธาตุพระพุทธเจ้าถึง ๓ปี แล้วยกทัพกลับลงมาเมืองใต้ จึงปรายเงินทองต่างข้าวตอกดอกไม้ ถวายพระบรมธาตุมาทุกๆตำบล มาแต่เมืองลำพูน ลำปาง ลงมาทางเดิมบางนางบวช จนถึงเมืองนครไชยศรี สิ้น ๙ ปี รู้กันทั่วว่า พระยาราชบุรีเป็นบิดาเลี้ยงจะมาจับก็ยกทัพขึ้นไปยังประเทศราช(๒) เสนาบดีจึงเชิญขึ้นครองราชสมบัติ ๔๗ ปี สวรรคต จ.ศ.๖๖๙ พ.ศ.๑๘๕๐
    ------------------------------------------------------------------------
    (๑)ในประชุมพงศาวดารไม่ได้บอกว่าเมืองอะไร เข้าใจว่าคงเป็นเมืองกาญจนบุรี แต่สถานที่ๆระบุชื่อ เช่น ดอนยายหอม ท่าแร้ง พระประธม เว้นพระแท่นดงรัง อยู่ ณ นครปฐม ตอนนั้น ถึงแม้จะตั้งชื่อว่า กรุงไทยทวาลาว แล้ว ผู้เขียนพงศาวดารคงใช้ชื่อเดิมคือ เถือมทอง เป็นชื่อศัพท์ว่า กาญจนบุรีได้ เช่น กรุงเทพฯ เมื่อสัก๕๐ ปีมาแล้ว(พ.ศ.๒๔๗๐)ชาวชนบทยังเรียกว่า บางกอก อยุธยาก็ยังเรียกว่า กรุงเก่า ดังนี้ ตอนนั้น กรุงเทพฯและอยุธยา ก็เรียกกันเป็นราชการเท่านั้น

    (๒)คงจะเป็นที่ชื่อ อำเภอ นครหลวง ในชื่อว่า กรุงไทยทวาลาวนี้ได้เห็นในจารึกว่า กรุงนคร ก็มี เช่น ที่อ้างไว้ในหนังสือนี้ แผ่นที่ ๒ ลำดับอ่านที่ ๗๒๑ จะเห็นตัวชัดว่า กรุงไทยทวาลาว จึงนำไปตั้งที่นั่นว่า กรุงนครหลวงพระยาพาน

    เรื่องนี้ แม้ชื่อ กงจักร์ฟ้า และ พานเมืองฟ้า ตรงกันเพียงตัวหน้า และเรื่องไม่เหมือนกับตำนานพื้นเมือง เรื่องพระยากง พระยาพาน จึงเชื่อว่าเป็นเรื่องบันทึกไว้จริง ทั้งรู้ว่า พานเมืองฟ้านี้ เป็นผู้สร้างนครไชยศรี หรือนครไชยสีห์ ตั้งชื่อแม่น้ำนครไชยศรี ตั้งชื่อ โกรกกราก ว่า มหาชัย จึงเรียกกันว่า โกรกกรากมหาชัย เป็นที่ระลึกการได้ชัยชนะสงครามสุริยวรมัน นับว่าเป็นสงครามใหญ่มากขั้นเป็น ไทย หรือ เป็นทาสขะแม
    เมื่อชนะ และได้เมืองคืนจากพ่อตา ต้องเสียค่าขวัญเมืองอีก ที่ไม่ทำอะไรพระยาราชบุรีก็เนื่องจากรักเมีย และได้อพยพชาวไทยทวาลาวไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งต่อมา ขุนศรีนาวนำถมก็อพยพไปหมด ไทยทวาลาวจึงร้างและสูญชื่อ
    และขุนศรีนาวนำถมเมื่ออกจากเมืองไปแล้ว ได้ไปอยู่เป็นสุขด้วยพ้นจากค่าขวัญเมือง และนำชื่อไทยไปด้วย จึงตั้งชื่อว่า สุโขไทย หรือเขียนว่า สุโขทัย

    ส่วนเรื่องพื้นเมืองนั้น คงมีนักเล่าเล่าเรื่องเพื่อสนุกและเพลิดเพลิน และเข้ากับสถานที่ต่างๆจึงเป็นเรื่องขึ้น และอย่างนี้ พอรู้ผู้สร้างและตั้งชื่อนครไชยสีห์ แม่น้ำนครไชยสีห์ มหาชัย ฯลฯ แล้ว และพ้นจากเรื่องลูกฆ่าพ่อครองราชย ทั้งจะเอาแม่เป็นเมียอันผิดเยี่ยงอย่างไทย และยืนยันลูกไทยว่า มีธรรมเนียมเป็นวัฒนธรรมมาแต่โบราณ ว่าไม่สู้พ่อแม่แม้จะเป็นเพียงพ่อตาหรือพ่อเมียก็ไม่สู้ และหลีกไปหาที่อยู่ใหม่อย่างคนมีความรู้และมีสมรรถภาพพอจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2017
  8. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ขุนพานเมืองฟ้า หรือ พระยาพาน

    ตามจารึกสมัยไทยทวาลาว

    ตามที่พบเรื่อง อันปรากฎในจารึก ณ กเบื้องจาน มีบอกปี เรื่องเล่า เหตุที่มีเรื่องกับพระยาราชบุรี รับศึกสุริยวรมัน พิธีทำลายล้าง เหตุที่สร้างนครไชยศรี กับเหตุที่ต้องละทิ้งเมืองย้ายไปตลอดจนถึงไปอยู่ที่เมืองใหม่ อาจเป็นนครหลวงที่อยุธยาสมัยอโยฌิยา

    พานเมืองฟ้า คลองไทยทวาลาว พุทธกาล ๑๕๔๘ แลมีขวบ ๒๒ เมื่อรักลูกขุนลุงราชพลี ชื่อขุนญิงปทุมมา
    พามาไทย พ่อคงรู้ ตกใจสิ้นแล้ว ข้าคลองไทย เมื่อขุนแม่แก้วขวัญฟ้าราศีเมืองไปหาถึง ราชพลี ขอขุนไทยทับฟ้า
    (ขุนไทยทับฟ้า)ว่า น้องขอพี่ให้ ขอเฆี่ยนมันพอกลัว (พอ)ยินศึกแขม ถึงเกาะช้าง ข้าว่าผิดนี้ เอาไว้มื้อหลัง เคี่ยวศึกก่อน
    คนศึกห้าหมื่นคอยโกรกกราก เขื่อนขัน แม่กลอง ถึงเพชรพลี

    พานเมืองฟ้า คอยเขมน ที่เมืองโกรกกราก
    สุริยวรมัน เถิงปี ๑๕๔๙ เดือน ๕ เรือมาศึกพันลำ คนศึก ๕๑,๑๖๐ คน เข้าปากอ่าว ๓ หมื่นคน เข้าผแดง ๑ หมื่น เข้าแม่กลอง ๑ หมื่น๑พัน
    ข่าวถึงกู ให้ปล่อยเข้าถึง
    ในอ่าวดงป่าใต้โกรกกราก เรือศึกเต็มป่าพันกว่าลำ เมื่อจอดลอยลำ คนศึกไทยดำน้ำ เจาะด้วยสว่าน เรือจม
    เมื่อน้ำแห้งเรือติดเลนจุดดินไปเผา แม้มาบก แอบกอไม้ ยิงน่าไม้ มื้อมืด เอาขะดานถีบเมื้อเลน และหาดินไปเตรียมพอเผา ๒ เดือน ใส่เรือมาด ใส่กะบุงเหล็กซ่อนป่าหมื่นถัง
    ขึ้น๑๕ ค่ำ เดือน ๗ บอกจุดไฟพร้อมเผาป่า เผาศึก จุดดินไฟ ปล่อยเรือ ลงเผาเรือศึก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  9. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    [​IMG]

    ๑.ขุนพานเมืองฟ้า
    ผู้สู้ศึกสุริยวรมัน ตั้งชื่อมหาชัย และสร้างนครไชยสีห
    รูปขุนพานแท้ไม่ได้มา ใช้รูปนี้คือรูปท้าวสักกเทวราชอยู่ซ้ายพระพุทธรูปปางเสด็จลงจากดาวดึงส์
    ซึ่งขุนสมัยนั้นคงแต่งอย่างนี้จึงนำมาแทน

    ๒.ขุนหญิงประทุมมา
    รัดเกล้าพุ่ม ทำกลีบปทุมไว้บนเศียรเกล้าและที่นาภีบอกชื่อ(ปทุม)
    มีสร้อยคอและเป็นขอบคอเสื้อและขอบแขน แสดงว่า ทรงเสื้อรัด
    ทำเต้าถันอย่างนี้ชัดว่าทรงครรภ์ จึงตามขุนพานเมืองฟ้า
    หัตถ์ซ้าย ชี้หัวใจ แสดงถึง ความรักและวิตกกังวล

    ...........................................................................

    เรื่องนี้ แม้ชื่อ กงจักรฟ้า และ พานเมืองฟ้า ตรงกันเพียงตัวหน้า และเรื่องไม่เหมือนกับตำนานพื้นเมือง
    เรื่อง พระยากง พระยาพาน จึงเชื่อว่าเป็นเรื่องบันทึกไว้จริง
    ทั้งรู้ว่าพานเมืองฟ้านี้ เป็นผู้สร้างนครไชยศรี หรือนครไชยสีห์ ตั้งชื่อแม่น้ำนครไชยศรี
    ตั้งชื่อ โกรกกราก ว่า มหาชัย จึงเรียกกันว่า โกรกกรากมหาชัย เป็นที่ระลึกการได้ชัยชนะสงครามสุริยวรมัน นับว่าเป็นสงครามใหญ่มาก ขั้นเป็นไทย หรือเป็นทาสขะแม
    เมื่อชนะ และได้เมืองคืนจากพ่อตา ต้องเสียค่าขวัญเมืองอีก
    ที่ไม่ทำอะไรพระยาราชบุรีก็เนื่องจากรักเมีย
    และได้อพยพชาวไทยทวาลาวไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งต่อมา ขุนศรีนาวนำถมก็อพยพไปหมด ไทยทวาลาวจึงร้างและสูญชื่อ
    และขุนศรีนาวนำถมเมื่อออกจากเมืิองไปแล้ว
    ได้ไปอยู่เป็นสุข ด้วยพ้นจากค่าขวัญเมือง และนำชื่อไทยไปด้วย จึงตั้งชื่อว่า สุโขไทย (สุโขทัย)

    ส่วนเรื่องพื้นเมืองนั้น คงมีนักเล่า เล่าเรื่องเพื่อสนุกเพลิดเพลิน และเข้ากับสถานที่ต่างๆจึงเป็นเรื่องขึ้น
    และอย่างนี้ พอรู้ผู้สร้างและตั้งชื่อนครไชยสีห์ แม่น้ำนครไชยสีห์ มหาชัย ฯลฯ แล้ว
    และพ้นจากเรื่อง ลูกฆ่าพ่อครองราชย์ ทั้งจะเอาแม่เป็นเมียอันผิดเยี่ยงอย่างไทย
    และยืนยันลูกไทยว่า มีธรรมเนียมเป็นวัฒนธรรมมาแต่โบราณว่า ไม่สู้พ่อแม่ แม้จะเป็นเพียงพ่อตาหรือพ่อเมียก็ไม่สู้ และหลีกไปหาที่อยู่ใหม่อย่างคนมีความรู้และมีสมรรถภาพพอจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0309.jpg
      scan0309.jpg
      ขนาดไฟล์:
      387.4 KB
      เปิดดู:
      2,715
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2013
  10. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    พานเมืองฟ้า เมื่อเผาศึกขุนสุริยวรมัน ยังมิสิ้นไฟดับ สิ้นไม้ดับ ขุนสุริยวรมันถึงถิ่นว้าใหญ่ เมื่อนั้น ขุนราชพลียึดไทยทวาลาว
    กูน้าสองพันขอเคี่ยวรบขับขแมแม้สองน้าหลาน
    ขุนพริบพลี ขุนกาญจน ขุนอ่างทอง ว่า ช่วยกัน
    ข้าเอาตัวออกหน้า สุริยตั้งค่ายมิแล้ว ข้าว่า เอาคน ๒พันตีค่ายคืนนี้ เข้าขอช่วยให้ตีสุริยแพ้ ข้อยขอตีฆแม แยกศึก ๕กอง น้าสองพัน และลูกคนละพัน อ
    อู่ทอง เพชร อู่ทองเข้าฝั่งตะวันออก น้องปิ่นฟ้าคุมเข้าตะวันตก กูเข้าว้าใหญ่ ร้องไทโยเข้าค่ายยังมิแล้ว ตีค่ายฆ่าทั้งคืนเช้าลุงมาช่วย ช้างบุกค่ายพังวันนั้น

    เมื่อสุริยวรมัน(๑) ออกจากว้าใหญ่ ไปตั้งที่โกรกกราก ข้าเฉย แลลุงว่ามิสู้
    กูว่าพ่อลุง ยึดไทยทวาลาวอยู่ มิมีบ้านเมือง สู้เปล่า มิได้อะไร
    ลุงเชื่อคืนไทยทวาลาว ข้าขอตีฆแมเอาคนแม่นปืนเผาศึก พลุ ตไล กรวดยิง
    เมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ปี ๑๕๕๑ ข้อยตีทับสุริยวรมันสลาย แล้วตั้งชื่อโกรกกราก ชื่อมหาชัย แม่น้ำคอนลว้า ชื่อ ชัยสีสุริยไปแม่กลอง สองพัน ราชพลี ไปปราบ ข้าไปผแดงเผา จับฆ่ามิไว้ให้เปลือง เผาสิ้นแล้วไปบางปกง
    หมู่ขแมเอาสุริยหนีไป ราชพลี พริบพลี ได้อ่างแม่กลองคืนตลอด(ไทนเมืองต่างๆร่วมช่วยกันอย่างนี้ จึงรักษาไทยมาได้ตลอดกาล)
    --------------------------------------------------------------------
    (๑)หนังสือแหลมอินโดจีนสมัยโบราณเล่าว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่๑ ครอง พ.ศ.๑๕๔๖ ถึง พ.ศ. ๑๕๙๒
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  11. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ต้นพานเมืองฟ้า เมื่อไล่สุริยขแมหมดสิ้น ขึ้นพานเมืองฟ้า ขุนลุงไทยทับฟ้าน้าขุนสองพัน อู่ทองว่า หลานสู้ขุนขแมได้ ครองไทยเถิด
    พ่อสิ้น กูทำเหม สร้างเมรุเอาเผาสางผี ผีพ่อ ใคร่เผา พุทธกาล ๑๕๕๓ ก่อเจดีย นกเขาเหิน อุทิศกุศลให้พ่อแม่ ชื่อวัดพระโทน

    ขุนพานเมืองฟ้า ขุนพ่อ(ลุง)ไทยทับฟ้าว่า เจ้าบุกศึกหมดแล้ว ครองเมืองไทยทวาลาว แลพอปทุมมามีลูกชายชื่อ พันธุพัสสิน(ทร) พุทธกาล ๑๕๕๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ พ่อว่า บ้านเมืองข้าและหลาน ข้อยว่าพ่อสังเด๋า ใคร่จะฆ่าดีก่า
    เมียว่า ไม่ควรทำพ่อ (กูว่า กูคน)ส้างทั้งเมืองวัด ใครจะเอาก็มาเอา

    พันธุพัสสิน พ่อส้างเมืองอู่(อยู่)ใหม่ในที่เคียงน้ำให้ชื่อ กรุงไทยชัยสีห ข้าและแม่อู่(อยู่)ไทยทวาลาวนี้ ปี ๑๕๖๖(๑)
    แม่ปทุมมา นำพ่อคุนเข้าในอู่ไทยแล้วไปอยู่ชัยสีห พ่อเที่ยวไหว้พระธาตุ ปี ๑๕๗๐ กลับถิ่น พ่อเว้า ไทยหย่าทำกัน พาไปส้างเมืองอื่น

    ศรีถมไทย(๒) ครองไทยทวาลาว ปีพุทธกาล ๑๖๗๗ เมียแฉล้มผิวทอง เมียน้อยประโลมใจ แลเมียสามชื่อแจ่มใสศรี
    แม้ไทยทวาลาวนี้ต้องเสียขวัญเมืองปีละพัดตำลึง ข้าครองไม่ให้ขวัญขึ้นใช้
    พอแฉล้มผิวทองปสูตชายชื่อ ศรีเฉลิมฟ้า ปี ๑๖๗๙ เดือน ๕ เอาเมือง ไว้ว่าง ย้ายไปอู่ชัยสีห
    ว่าว่างก็มิเอาขวัญ ข้อยว่าปีหน้าจะเข้าอยู่
    ---------------------------------------------------------------------------
    (๑)แผ่นนี้ มีบอกปี พ.ศ.๑๕๖๖ กับแผ่นต่อไปว่า ปี ๑๖๗๗ ระยะกาลห่างกัน ๑๑๑ ปี จึงเห็นว่า พ่อขุนพานเมืองฟ้า พาเมียลูกและข้าบริวารออกไปแล้ว วงศ์เครือคงครองไทยทวาลาวต่อมา คงใช้ชื่อประจำวงศ์ ซึ่งมี "ศรี" นำ เช่นแผ่นต่อไป ศรีถมไทย มีลูกชื่อ ศรีเฉลิมฟ้า และ ศรีลาวนำถม หรือ ศรีนาวนำถม (ไทย ล. น. ใช้กันได้ ช่วยเหนือ ช่วยเหลือ นพบุรี ลพบุรี)

    ประชุมพงษาวดารภาคที่ ๑ พระราชพงษาวดารเหนือ เรื่องพระยากง เล่าว่า "รู้กันทั่วว่าพระยาราชบุรีเป็นบิดาเลี้ยงจะมาจับ ก็ยกทัพหนีขึ้นไปยังประเทศราช เสนาบดีจึงเชิญขึ้นครองราชสมบัติ ๔๙ ปี สวรรคต จุลศักราช ๖๖๙(พ.ศ.๑๘๕๐) พระราชบุตรได้ครองต่อ ทรงพระนามว่า พระพรรษา สร้างวัดสรรเพชร วัดสวนหลวง สวรรคตพระชนม์ ๙๐ จุลศักราช ๙๐๖(พ.ศ.๒๐๘๗)"
    ว่ากันง่ายๆ คือเป็นคนละองค์ แต่ชื่อพระนามเดียวกัน หรือว่า เพื่อให้ได้กาลกับพระพรรษวสา ขุนหลวงพะงั่วก็อาจเป็นได้

    (๒)จากแผ่นนี้ซึ่งบอก ปี พ.ศ.ไว้ว่า ขุนศรีถมไทย ครองไทยทวาลาวนั้น พ.ศ.๑๖๗๗ มีขุนศรีเฉลิมฟ้า พ.ศ.๑๖๗๘ อาจได้ครอง พ.ศ. ๑๗๐๐ และมีลูกชื่อ ศรีนำถม หรือศรีนาวนำถม พ่ออาจให้ครองหรือมีศึก เช่น ราชบุรีมาทวงค่าขวัญเมือง เมื่อไม่ยอมก็ต้องสู้อาจเสียท่า สิ้นชีวิตในสงคราม พ่อขุนศรีนำถมผู้เป็นลูกยังเด็กอยู่ มุขมนตรีทั้งหลายก็ไม่ยอมอยู่ จึงรวมกันทั้งหมดหนีขึ้นไปตามที่ขุนฟ้าเมืองราชลงไว้ว่า พ.ศ.๑๗๒๑ ไทยทวาลาวจึงร้างและสูญชื่อตั้งแต่นั้นมา

    กระทั่งถึง พ.ศ.๒๐๘๖ พระราชพงษาวดารกรุงศรีอยุธยาแผ่นดินพระเจ้ามหาจักรพรรดิ์ ตรัสว่า ให้แบ่งเอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครไชยศรี
    ฉะนี้ จึงเห็นว่า ไทยทวาลาวและนคไชยสีห เดิมคงจมเข้าไปในชื่อราชบุรี สุพรรณบุรี
    และสากอไทย ก็เปลี่ยนไปเป็นบ้านท่าจีน
    เมื่อตรัสตั้งใหม่ก็ตรัสสั่งว่า สาครบุรี แทน
    สากอ จึงหายไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  12. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    a.2261357.jpg
    แผ่น ๗๕๕ หน้า ๑
    - ขุน ฟ้า เมือง ราช เข้า พัก
    - ไทย ทวา ลาว ไป นคร
    - ไชย สีห แล สากอ ไทย
    - เมือง ว่าง ไม่ มี คน
    - ขุน ศรี นำ ถม พา
    - เมื้อ ส้าง สุ โข ไทย ศรี
    - สัชช นา ลัย ปี ๑๗๒๑


    ขุนฟ้าเมืองราช เข้าพักไทยทวาลาว ไปนครไชยสีห และ สากอไทย เมืองว่างไม่มีคน
    ขุนศรี(นาว)นำถม พา(คนพลเมือง) เมื้อส้างสุโขทัยศรีสัชชนาลัย ปี ๑๗๒๑

    ตนกูเอาคน(ศึก)ไปช่วยเพื่อนขุนศรีอินทราทิตย เอาสุโขทัย ศรีสัชชนาลัย พ่อเพื่อน ขุนบางกลางท้าวเมืองยาง เมื่อปี ๑๗๘๖ ให้ขึ้นชื่อ ศรีอินทราทิตย
    (มาถึงพักไทยทวาลาวได้พบจารึกให้รวมแล้ว)
    ให้จารึกเรื่องเมื่อปี ๑๗๘๘
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0310.jpg
      scan0310.jpg
      ขนาดไฟล์:
      426.8 KB
      เปิดดู:
      1,457
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2017
  13. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ....................กรุงไทยทวาลาว สุดสิ้น...............

    พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ มีเล่าว่า

    "ที่เมืองนั้นแต่โบราณ เป็นเมืองหลวงของชาวสยามแต่เดิมมา ชื่อว่านครชัยศิริ สังเกตได้ที่พระเจดีย์ใหญ่ปรากฎอยู่ในป่าเป็นหลายตำบล แล้วที่วัดสังเกตได้ติดเนื่องกันไปไม่ขาดระยะยิ่งกว่ากรุงเก่า ที่วังเดิมนั้นอยู่ข้างตะวันตกพระปฐมเจดีย์ ห่างประมาณ ๓๐ เส้น มีฐานปราสาทและท้องพระโรง โบสถ์ พราหมณ์ สระน้ำ กำแพงชั้นในชั้นนอกก็ยังปรากฎอยู่บ้าง"

    ตามที่ปรากฎนี้ และตามจารึกจะมีระยะกาลที่เป็นกรุงหรือเมืองมาถึง ๗๐๐ ปี คือตั้งแต่ พ.ศ.๑๑๐๐-๑๗๐๐ นับว่านานกว่า อยุธยา และ สุโขทัย
    เหตุนี้ก็มีสิ่งต่างๆได้ อย่างที่ทรงพบเห็นและทรงให้บันทึกหลักฐานในพงศาวดาร
    ครั้นเจริญมาขนาดนี้แล้วจะเสื่อมถึงสิ้นสุดไปได้อย่างไร แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ก็ทราบได้ว่า เพราะแพ้สงครามพม่า พ.ศ.๒๓๑๐ ขึ้นไปถึงสมัยสุโขทัย พระเจ้าไสยลือไทยมีสงครามกับกรุงศรีอยุธยา ได้เสด็จออกถวายบังคม และเสด็จสวรรคต พ.ศ.๑๙๔๖
    ขึ้นไปถึง "ไทยทวาลาว" หรือ นครปฐม นั้น ก็ไม่ทราบเรื่อง
    พบเรื่องพระยากง และพระยาพาน ก็บอกว่าเมืองกาญจนบุรี มีเมืองและพระยาราชบุรีบ้าง แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก
    เมื่อได้จารึกมาแล้วจึงได้ทราบ พอได้เค้าความ แต่ก็ไม่ตรงกัน

    ในเรื่องพระยากงพระยาพาน มีเรื่องกันด้วยราชบรรณาการ ก็คงเป็นค่าขวัญเมืองคือ ภาษี ในเรื่องว่า พระยาราชบุรีต้องส่งราชบรรณาการแก่พระยากงเป็นประจำปี ครั้นไม่ส่งก็เป็นเหตุเกิดขบฎ และเป็นสงคราม กระทั่งพ่ายแพ้
    เมื่อพระยาราชบุรีซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงพระยาพาน ครั้นพระยาพานได้ครองราชสมบัติแล้ว จึงจะไปจับ พระยาพานจึงยกทัพหนีไปอยู่ ณ ประเทศราช พระยาราชบุรีจึงได้แต่เมือง
    ตอนที่พระยากงยังอยู่ คงมีอธิปไตยแผ่ไปถึงราชบุรี พระยาราชบุรีจึงต้องส่งราชบรรณาการเป็นประจำ ครั้นพระยาพานชนะได้ครองแล้ว พระยาราชบุรีคงต้องการราชบรรณาการเป็นค่าขวัญเมือง จึงจะไปจับ พระยาพานจึงหนีไป เมืองจึงร้าง

    ส่วนตามจารึกกบื้องจานเล่าว่า ขุนกงจักร์ฟ้า ครองไทยทวาลาวไป ได้แก้วขวัญฟ้าราศีเมือง ซึ่งเป็นน้องของขุนไทยทับฟ้าพระยาราชบุรีมาเป็นเมีย และมีพานเมืองฟ้า เมื่อการปกครองเป็นเมืองพี่น้องกันอย่างนี้ คงจะไม่เก็บค่าขวัญเมืองกัน
    พานเมืองฟ้า เมื่อขึ้นเป็นหนุ่มฉกรรจ์ ได้ไปราชบุรีพบเกิดชอบพอรักใคร่ถึงได้กันกับ ปทุมมา ลูกสาวของลุงขุนไทยทับฟ้า
    นางถึงมีครรภ์จึงได้หนีตามกัน พอกงจักร์ฟ้าได้ทราบถึงตกใจตาย แม้ขุนไทยทับฟ้าพระยาราชบุรีก็พิโรธนัก เมื่อน้องสาวแก้วขวัญฟ้าไปขอก็อภัยให้ แต่จะขอทำโทษเพื่อเข็ดหลาบ จึงไปไทยทวาลาว

    พอได้ข่าวศึกสุริยวรมัน ยกกองทัพมา ขุนพานเมืองฟ้าได้ครองต่อ ตกลงจะสู้ศึกสงครามก่อน กระทั่งได้ชัยชนะจึงครองได้สมบูรณ์
    แต่ลุงขุนไทยทับฟ้า ได้เรียกเก็บค่าขวัญเมืองถึง ๑๐๐๐ ตำลึง ซึ่งเป็นเหตุให้ พานเมืองฟ้า ไปสร้าง "อู่ใหม่" หรือ "เมืองใหม่" ให้ชื่อว่า "นครไชยสีห์" หรือ "นครไชยศรี"

    ได้ย้ายไปอยู่ แต่เมียและลูกยังอยู่ที่เดิม กระนั้นก็ยังเอื้อมไปถึง อันเป็นเหตุให้พานเมืองฟ้ายกกองทัพไปนมัสการพระถึงลำพูน ลำปาง
    กลับมาก็จะเก็บอีก จึงหนีไปยังประเทศราช
    ราชวงศ์ "ศรี" ได้ครองต่อ ก็ยังถูกค่าขวัญเมืองปีละ ๑๐๐๐ ตำลึง
    ถึงพ่อขุนศรีถมไทย พ.ศ.๑๖๗๗ กับพระมเหษีแฉล้มผิวทอง ประสูติชายชื่อ ศรีเฉลิมฟ้า
    ศรีเฉลิมฟ้า อาจครอง พ.ศ.๑๗๐๐ ไม่ทราบชื่อมเหษี อาจมีศรีนาวนำถม พ.ศ.๑๗๐๑
    ครั้น พ.ศ.๑๗๒๐ คงงดไม่ยอมให้ค่าขวัญเมือง จึงเกิดสงครามในปี ๑๗๒๐
    พ่อขุนศรีเฉลิมฟ้า คงปราชัยและสิ้นในสมรภูมิ
    พ่อขุนศรีนาวนำถมได้ครอง พอเตรียมพร้อมแล้ว จึงยกพลเมืองจากไทยทวาลาว ไปสู่ สระหลวง สองแคว
    ฉะนี้ ไทยทวาลาว จึงสูญสิ้นทั้งคนพลเมือง และชื่อ เหลืออยู่เพียงสถานโบราณ
    ร่องรอยที่ชาวเถือมทองได้ทำไว้ ในพระราชพงศาวดารทรงให้บันทึกไว้ว่า
    "แต่เดี๋ยวนี้พวกจีนไปตั้งทำไร่รื้อทลายส่ำเสียเป็นอันมาก"

    ไทยทวาลาว ซึ่งมีขึ้นยืนยาวมาได้ ๗๐๐ ปี ได้สุดสิ้นลงแล้ว ชื่อเหลือเพียง "ทวา" และได้จมลงไปใน ราชบุรี และ สุพรรณบุรี กับ สากอ หรือ สาคร จาก พ.ศ.๑๗๒๑ จนถึง พ.ศ.๒๐๘๖ แผ่นดินพระเจ้ามหาจักรพรรดิอยุธยา ตรัสว่า
    "เอาแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครไชยศรี"
    นครไชยศรีจึงขึ้นมาแทนที่ ซึ่งยังเป็นไทยอยู่

    เถือมทอง ถมทอง ไทยทวาลาว กับทั้งโบราณสถาน โบราณวัตถุ ซึ่งยืนยันถึงชาวเมืองได้สร้างขึ้นจึงมีอยู่ โดยเฉพาะพระปฐมเจดีย์ ซึ่งยืนหยัดอยู่ได้ ชาวเมืองใกล้เคียงจึงเรียกชื่อกันติดประจำมาว่า พระปฐม แม้ชาวไทยหรือพวกจีนที่ไปอยู่ก็ยังเรียกว่า พระปฐม จีนเขาออกเสียงว่า ฮุดท้ม ก็คงไปจากคำว่า พระปฐมนั้น
    คำชื่อว่าพระปฐมนี้ได้ขึ้นชื่อมาแทนชื่อที่จมหายไปนั้น
    สมัยรัชกาลที่ ๔ ได้เสด็จไปทอดพระเนตร์ ได้ทรงระบุขึ้นว่า พระปฐมเจดีย์ พ.ศ.๒๓๙๘ ทรงปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ และทรงสร้างพระราชวังนครปฐมจึงตั้งชื่อว่า เมืองนครปฐม ครั้นประกาศระบบการปกครองจึงเรียกกันว่า จังหวัดนครปฐม นครปฐมจึงได้ปรากฎอยู่กระทั่งปัจจุบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  14. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ...................................สมัยกรุงสุโขทัย................................

    จากกเบื้องจารซึ่งพบที่วัดไผ่ล้อมนั้น ในแผ่นที่ ๓๕ นี้ เล่าถึงพ่อขุนฟ้าเมืองราช ยกไปช่วยพ่อขุนบางกลางท้าวเมืองยางนั้น พ.ศ.๑๗๘๖ กลับลงมาคงเข้าไปดูเมืองไทยทวาลาวนครไชยสีห์ สากอไทย ซึ่งร้างไปแล้ว
    คงพักอยู่นานวัน ได้พบจารึก หรือกเบื้องจารในราชสำนักจึงเก็บรวมไว้
    และในแผ่นที่ ๓๕ นั้น คงให้เขียนเติมลงไป หรืออาจให้ขอมเสมียนจารึกขึ้นใหม่เก็บไว้ ที่ขาดหายไป ก็คงแตกหักในเมืองมีช้างม้าวัวควายป่าสมัยนั้น หรือที่ชาวไทยทวาลาวทิ้งไว้ ไม่พาไป ก็คงเที่ยวหากินอยู่ในที่นั้นๆเข้าเหยียบแตกหักเสียหาย หรือผู้เก็บมาไม่หมด และอาจมีคนอื่นๆนำไปบ้าง จึงได้มาไม่ครบ จะขาดหายไปเท่าไรไม่ทราบได้

    ถึงกระนั้น ก็เป็นอุดมเหตุที่กระทำไว้ ถ้ามิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสได้รู้เรื่องนครปฐม หรือไทยทวาลาวเลย ได้เพียงเท่านี้ก็พอมีประวัติไทย พ.ศ.๑๐๐๐ ถึง ๑๗๐๐ ติดต่อกับสุโขทัยพอดี จึงพอรู้เรื่องและประวัติไทยได้

    ในแผ่นที่ ๓๕ นี้ พ่อขุนฟ้าเมืองราช ก็ไม่ได้บอกว่าครองเมืองอะไร ในจารึกสุโขทัยจารึกว่า ขุนผาเมืองราด และว่า พระยาผาเมืองราด ซึ่งปรากฎว่าอยู่ในจารึกหลัก ๒ นั้น ชื่อ "เมืองราด" จึงไม่แน่ใจว่าเมืองไหน

    ในกเบื้องจาร วัดไผ่ล้อม นี้ จารึกว่า "เมืองราช" พอมีเค้าว่า ราชพลี หรือ ราชบุรี

    ฉะนี้ ถ้าชื่อเมือง ราด เอา ช สะกดแทน ด ก็ทราบชัด เมืองราชพลี ราชบุรี

    เมืองราชพลี ใน พ.ศ.๑๗๘๖ ยังมีผู้คนบริบูรณ์ มีขุนผู้มีฝีมือเข้มแข็งจะยกพลทัพไปช่วยพ่อขุนบางกลางท้าวเมืองยาง
    ได้กระทำยุทธหัตถีกับขุนขอมสมาดโขลญลำพงรบ ขอมสมาดโขลญพ่ายพังได้สุโขทัยคืน

    ในจารึกหลัก ๑ มีว่า เบื้องหัวนอนรอด...ราชบุรี พ.ศ.๑๘๒๖
    ในหลัก ๒ มีว่า ...พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดนั้น ให้สร้างเจดีย์มีคุณแก่ท้าวพระยา ... มีหลานพ่อขุนผาเมืองผู้หนึ่งชื่อ สมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุลามุนี หลานพ่อขุนผาเมืองนั้น ... ดังนี้

    ซึ่งแสดงว่า ตัวขุนและว่านเครือขุนอาจเป็นส่วนมาก ได้ย้ายไปอยู่สุโขทัยกันแล้ว ที่ราชพลี หรือ ราชบุรี อาจยังเหลือแต่ชาวพื้นเมืองเดิม
    จารึกพระบรมราชโองการพ่อขุนรามคำแหงพระปริวิชานมหาราชเจ้า จึงปรากฎในหลัก ๑ ว่า
    "เบื้องหัวนอนรอดคนทีพระบางแพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งสมุทรเป็นที่แล้ว" ที่เล่ามาเป็นเรื่องของไทยทวาลาวที่ร้างไป และราชพลี ราชบุรีหมดขุนและขอมไป

    จารึกขุนฟ้าเมืองราช วัดไผ่ล้อม จารึกพระนามไว้ว่า ขุนฟ้าเมือง
    แต่ในจารึกสุโขทัย จารึกว่า "ขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด"
    คำกล่าวว่า ผา และ ฟ้า นี้ไทยรุ่นนี้ไม่จำกัด คำออกเสียงเช่นเดียวกันได้ เช่น เมืองฟ้า ออกว่า เมียงพา เมืองผา
    จอมฟ้า จอมผา ในสมัยกำกัดเสียงแล้ว ผา หมายว่า หินผา ฟ้า หมายว่า ฟ้า ในเสียงกล่าวยังออกอย่างเดียวกันได้

    จารึกระบุไว้ว่า พ่อขันศรีนาวนำถม ย้ายไป พ.ศ.๑๗๒๑ ปรากฎในจารึกหลัก ๒ ว่า (ในวงเล็บเติมเข้าให้เต็ม)
    "ในนครสระหลวงสองแคว ปู่ชื่อพระยาศรีนาวนัมถม (เมื้อแต่ใต้ไทยทวาลาว) เป็นพ่อ (ขุนพระยา) สร้างในนครสองอัน
    อันหนึ่งชื่อนครสุโขทัย อันหนึ่งชื่อนครศรีสัชนาลัย"
    และมีอีกว่า
    "ลูกพ่อขุนศรีนาวนัมถมผู้หนึ่งชื่อพระยาผาเมือง เป็นขุนในเมืองราด" ซึ่งเป็นหลักฐานว่ากาลนั้น ราชพลี ราชบุรี หมดขุนแล้ว ขุนศรีนาวนัมถม จึงส่ง ขุนฟ้าเมือง มาเป็นเจ้าเมืองราชพลี
    จารึกวัดไผ่ล้อมว่า "เมื่อปี (พ.ศ.) ๑๗๘๖ " ขึ้นไปถึง พ.ศ.๑๗๒๑ เป็นเวลาห่างกัน ๖๕ ปี พ่อขุนศรีนาวนำถมขึ้นไป พ.ศ.๑๗๒๑ อาจมีพระราชโอรสก่อนแล้ว หรืออาจไปมีเมื่อครองสุโขทัยศรีสัชนาลัยแล้ว เมื่อไปสร้างและครองเป็นรัชกาลที่ ๑ ของสุโขทัย ศรีสัชนาลัย

    จารึกหลัก ๒ นั้นต่อไปมีว่า - เป็นขุนยี่ จารึกตอนนี้ลบเลือน จึงไม่ปรากำชื่อ แต่ระบุว่าเป็นขุนยี่ คือที่สอง ในชื่อรูปพระร่วง มีชื่อว่า พระร่วง พระเลื่อง พระลือ พระราม และสระหลวง สองแคว
    พ่อขุนศรีนาวนำถม มีพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ชื่อ ขุนร่วงนำไทย องค์ที่ ๒ คือ ขุนฟ้าเมือง ซึ่งอาจมีอายุห่างจากพระเจ้าพี่ ๑๐ ปี หรือกว่า
    ขุนศรีนาวนำถม เห็นว่าพระราชโอรสองค์ใหญ่มีชนมายุ ๒๐ หรือกว่า จึงให้ไปครองศรีสัชนาลัย พ.ศ.๑๗๔๐ ส่งขุนผาเมือง ซึ่งเปลี่ยนว่า "ฟ้าเมือง" ไปเป็นขุนพระยาเมืองราช (ราชพลี=ราชบุรี)
    ขุนร่วง ขุนพระยาร่วง คงมีลูกอยู่ก่อนหรืออาจไปมีที่นั่น ซึ่งชื่อ ขุนบางกลางทาว
    ขุนพระยา เห็นว่ามีอายุ ๒๐ จึงส่งไปครองเป็นเจ้าเมืองบางยาง พ.ศ.๑๗๖๐ หรือกว่า
    ฉะนี้ เมื่อกลับมายึดเมืองคืน ขุนบางกลางทาว รู้ชัดว่า ศรีสัชนาลัยเป็นเมืองพ่อ สุโขทัยเป็นเมืองปู่ ขุนศรีนาวนำถม จึงแยกกัน
    จารึกหลัก ๒ ว่า "พ่อขุนบางกลางทาวได้เมืองศรีสัชนาลัย"จึงเรียงได้ว่า
    ขุนศรีนาวนำถม เมื่อขึ้นมาพระชนมายุ ๒๑ จึงประสูติ พ.ศ.๑๗๐๐ ครองสุโขทัยถึง พ.ศ.๑๗๖๘ สวรรคตพระชนมายุ ๖๘ พรรษา

    เมื่อได้เค้าเรื่องมาอย่างนี้ จึงควรมีพงศาวดารกรุงสุโขทัย จริงอยู่ ดินแดนย่านสุโขทัยนี้มีอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่ได้ก่อสร้างสถาปนาเป็นเมืองหลวงระดับชั้น "กรุง"
    อย่างจารึกหลัก ๒ มีเล่าถึงว่า สระหลวง สองแคว ซึ่งก็คงมีอยู่อย่างนั้น ครั้นได้ก่อสร้างขึ้นแล้ว จึงตั้งชื่อตรงสร้างนั้นเป็นสุโขทัย และศรีสัชนาลัย เฉพาะตรงนั้น
    ส่วนตรงที่เป็น สระหลวง สองแคว ก็คงเป็นชื่ออยู่อย่างนั้น
    เมื่อได้ความอย่างนี้จึงนำจารึกนั้นเป็นหลักเรียงเป็นพงศาวดาร สำหรับกาล พ.ศ. เมื่อยังไม่พบจะใช้กะๆเอาก่อน ก็ชื่อปรากฎก่อน ครั้นสถาปนาชื่อใหม่ขึ้นทับลงไป ชื่อใหม่ขึ้นทับชื่อเก่าก็จะจางหายไป แต่จะไปปรากฎอยู่ที่อื่นๆ อย่างกรุงเทพมหานคร สถาปนาขึ้นในบางกอกก็จะตระหง่านขึ้น ชื่อบางกอกซึ่งมีอยู่ก่อนนั้นได้ขจรไปสู่ที่อื่น ก็ปรากฎอยู่ เช่น ในแผนที่ต่างประเทศและประวัติชื่อจะเห็นบางกอก(Bangkok)ตลอด กรุงเทพฯไม่ปรากฎเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  15. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ............................... พระราชพงศาวดาร กรุงสุโขทัย ................................

    ตามจารึกสมัยไทยทวาลาวเล่าว่า ขุนศรีถมไทย ครองไทยทวาลาว พ.ศ.๑๖๗๗ มีพระมเหษี ซึ่งสถาปนาพระนามว่า แฉล้มผิวทอง
    ในกาลนั้น กรุงไทยทวาลาว (นครปฐม) ต้องเสียค่าขวัญเมือง แก่ พระยาราชบุรี ปีละพันตำลึง
    พ.ศ.๑๖๗๙ พระนางแฉล้มผิวทอง ประสูติพระโอรส สถาปนาพระนามว่า ศรีเฉลิมฟ้า

    ลุพุทธศักราชได้ ๑๖๙๙ ขุนศรีถมไทย เสด็จสวรรคต พระราชโอรสซึ่งทรงพระนามว่า ศรีเฉลิมฟ้า ได้ขึ้นครองไทยทวาลาว ได้อุปภิเษก พระนางศรีถนอมงาม เป็นพระมเหษี ซึ่งได้ทรงครรภ์ ครบกำหนดแล้วได้ประสูติพระราชโอรส พ.ศ. ๑๗๐๑ ได้ทรงตั้งชื่อว่า ศรีนาวนำถม

    แม้ในกาลนี้ ก็ยังต้องเสียค่าขวัญเมืองแก่ราชบุรีอยู่ ปีละ ๑๐๐๐ ตำลึงตามเดิม เมื่อเก็บบ่อยๆ พระเจ้ากรุงไทยทวาลาวพิจารณาเห็นว่ามีกำลังพอแล้ว กระทำตามที่มีมาก่อนๆ เช่นสมัยพ่อขุนพานเมืองฟ้า ก็ได้หลบไปสร้างกรุงนครไชยศรี
    ในสมัยขุนศรีถมไทยก็ย้ายไป ก็หยุดเก็บ ครั้นกลับมาอยู่อีก ก็ได้เก็บค่าขวัญเมืองอีก
    ฉะนี้ พ่อขุนศรีเฉลิมฟ้า จึงตกลงพระทัยได้งดส่งค่าขวัญเมือง พ.ศ.๑๗๑๘ ได้มีการต่อว่าต่อขาน ขุนศรีเฉลิมฟ้า เห็นว่าไม่แข็งแรงเท่าไรจึงงด
    เมื่อแน่ใจแล้วพระยาราชบุรี ก็ตกลงพระทัย เกณฑ์พลทัพครบแล้วได้ยกขึ้นมาเข้าเขตไทยทวาลาว
    ขุนศรีเฉลิมฟ้า ทราบข่าว จึงเตรียมพลทัพรับ
    ทั้งคู่ได้ทรงช้างออกกระทำยุทธหัตถีกัน ขุนศรีเฉลิมฟ้าคงเสียท่าจึงถูกประหารสิ้นพระชนม์ในพระราชสงครามนั้น

    พระยาราชบุรี ครั้นกระทำยุทธหัตถีชนะแล้ว ได้เข้ากรุงไทยทวาลาว
    เนื่องจากพ่อขุนพระยาไทยทวาลาว ได้สืบต่อเป็นพระญาติพี่น้องกันมานาน จึงได้ยก พระเจ้าหลานเธอพระนามว่า ขุนศรีนาวนำถม ขึ้นครองกรุงไทยทวาลาว เป็นประเทศราชแทนขุนศรีเฉลิมฟ้าซึ่งได้สิ้นไปแล้ว ณ ปี พ.ศ.๑๗๒๐ นั้น เมื่อขุนศรีนาวนำถมได้ครองและสงบเรียบร้อยแล้ว
    แต่ในฐานะประเทศราชนั้น ไม่เป็นที่ต้องพระทัย จึงชักชวนพรรคพวกญาติพี่น้องพลเมือง ย้ายไปหาที่อยู่ใหม่
    ครั้นพร้อมแล้ว จึงเคลื่อนย้ายทิ้งกรุงไทยทวาลาวไป พ.ศ.๑๗๒๐ นั้น แต่แล้วประชาชนพลเมืองก็ติดตามไปหมด ไทยทวาลาวจึงร้างสร่างคนมา เหลือแต่แผ่นดิน และโบราณวัตถุสถานกับซากสลักหักพังนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กันยายน 2012
  16. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    พ่อขุนศรีนาวนำถม รัชกาลที่ ๑

    พ่อขุนศรีนาวนำถม พร้อมกับพลทัพ ได้เดินทางมาถึงถิ่นแดนสระหลวง ได้อาศัยลำแม่น้ำ สมพาย หรือปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำลำพัน และสระหลวงนั้นเป็นถิ่นแดนดีมีชัยภูมิมากพอ จึงพักพลทัพได้อาศัยคนพลพรรคประจำท้องถิ่นด้วยดี จึงถางป่าละเมาะไม้ ปลูกสร้างโรงเรือนพลับพลาเป็นที่พักพิงไปก่อน
    ทรงดำริว่า ครั้นมีโรงเรือนพลับพลาพอพักได้แล้ว จึงค่อยสร้างบ้านปรุงเมืองต่อไป เมื่อมีพอแล้ว ประชาชนพลทัพก็ได้ยกขึ้นเป็นขุนพ่อบ้านเมืองตามเดิม

    ขุนศรีนาวนำถม จึงนำขุนหญิงพระญาติสาวชื่อ รวยรื่นใจ เป็นพระอรรคมเหษี เมื่อเป็นปึกแผ่นดีแล้ว ทั้งหลุดพ้นจากค่าขวัญเมือง และข้าทาษแล้ว ก็เป็นสุขจิตสนิทใจ จึงให้ชื่อที่ใหม่นั้นว่า สุโขทัย หรือ สุโขไทย ต้น พ.ศ.๑๗๒๑ นั้น
    พร้อมกับพระนางรวยรื่นใจ ทรงครรภ์ครบถ้วน จึงประสูติพระราชโอรสได้พระราชทานชื่อว่า ขุนร่วงนำไทย ต่อมาอีกหลายปี พระนางก็ประสูติพระราชโอรสอีกองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ขุนผาเมือง พ.ศ.๑๗๓๑
    จากนั้นก็ทรงสร้าง พระเรือนต้น พระที่นั่ง และวัด ทั้ง ธานี เพื่อให้มีสมกับสถานะเมืองกรุงสุโขทัย ได้ทำถนน ทาง ครอก สร้าง นา ไร่ สวน ทำร้าน ตลาด และโรงเตาเผาเครื่องปั้นดินเผา สร้างเรือนแพ และเรือค้าขาย ตลอดจนจับช้างม้าวัวควายมาใช้งาน
    กรุงสุโขทัย จึงมีความเจริญงอกงามคับคั่งด้วยหมู่ชนชายหญิง ทั้งพระภิกษุ สามเณร พลเมือง พลทัพ ได้ชักชวนสร้างบ้านปรุงเมืองตลอดระยะกาล ๑๐ ปีนั้น

    ครั้น พ.ศ.๑๗๓๕ พ่อขุนศรีนาวนำถม ได้ขึ้นถึง สองแคว เห็นชัยภูมิเหมาะสมดี จึงวางแบบแผนสร้างเป็นเมืองขึ้นอีก ได้ประทับอยู่ เมื่อว่างสร่างการทำนาสวน ก็สร้างบ้านปรุงเมืองต่อไป มีทั้งวัด ร้าน ตลาด ตรอก ถนน เรือน บ้าน นา สวน เรือนแพ เรือค้าขาย ในกาลนั้น ขุนร่วงนำไทย มีอายุจะเข้า ๒๐ พ่อขุนศรีนาวนำถม จึงให้ครอง และได้ตั้งชื่อว่า ศรีสัชนาลัย ตามชื่อฤษีสัชนาลัย
    ได้สถาปนาเป็นนครลูกหลวง ทั้งให้เป็นเมืองป้องกันหน้าด่านทิศเหมือด้วย
    ครั้นขุนร่วงนำไทย อายุครบ ๒๐ แล้ว จึงทรงให้เป็นพ่อเมืองเต็มที่ พร้อมกับได้จัดให้แต่งง่านกับ แม่นางผิวทอง ได้สถาปนาชื่อใหม่ว่า พระนางพระยาผิวทอง ได้ทรงครรภ์ประสูติพระราชโอรสพระนามว่า "บางกลางทาว" พ.ศ.๑๗๔๒

    ต่อมา พระนางพระยาได้ประสูติพระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่ง สถาปนาพระนามว่า "ศรีจุลารัตน"(คิดตัดจากพระราชทินนามว่า สมเด็จพระศรีสรัทธาราชจุลามุนีศรีรัตนลังกาทีปมหาสามิเป็นเจ้า)
    พ่อขุนร่วงนำไทย ได้ครองแล้ว ได้สร้างเสริมปรุงเมืองขึ้นอีกมาก(๑)

    พ่อขุน ศรีนาวนำถม ได้กลับลงมาครองสุโขทัยตามเดิม เมื่อายุมากก็ได้พักการงานบ้าง กับลูกคนเล็กชื่อ "ขุนผาเมือง" ได้ช่วยราชการตลอด ต่อมาได้สถาปนาเป็น พระยาฟ้าเมือง ส่งไปครองเมืองราช
    ฉะนี้ ขุนร่วงนำไทย จึงได้มาช่วยราชการกรุงสุโขทัยเป็นประจำ
    พ่อขุนศรีนาวนำถม ได้เสด็จสรรคต พ.ศ.๑๗๖๘ มีพระชนมายุได้ ๖๘ ครองกรุงไทยทวาลาวได้ ๑ พรรษา ไปครองสุโขทัยได้ ๔๘ พรรษา
    ----------------------------------------------------------------------
    (๑)ตลอดมานั้นเรียบเรียงตามจารึกหลัก๒ ว่า ปู่ชื่อพระยาศรีนาวนำถม....เป็นพ่อ......สร้างในนครสองอัน อันหนึ่งชื่อนครสุโขทัย อันหนึ่งชื่อนครศรีสัชนาลัย ได้เรียงไว้อย่างนั้น ถ้าเจอหลักฐาน จะได้แก้ในโอกาสต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2017
  17. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    ขุนร่วงนำไทย รัชกาลที่ ๒

    (๑)จารึกหลัก ๒ ว่า ปู่ชื่อพระยาศรีนาวนำถม ขุนร่วงนำไทยเป็นพ่อ ....เป็นขุนยี่ขุนนางนัก ..... เมืองชเลียง .....พ่อขุนนัมถม

    ขุนร่วงนำไทย ซึ่งพระราชบิดาขุนศรีนาวนำถมได้ราชาภิเศกให้ครองกรุงนครศรีสัชนาลัย เป็นขุนยี่ที่สอง พ.ศ.๑๗๔๐ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๘ พรรษา ครั้นพระราชบิดาเสด็จสวรรคต พ.ศ.๑๗๖๘ จึงได่เสด็จขึ้นครองกรุงสุโขทัย เป็นขุนยี่ที่ ๒ จึงเป็นขุนทั้ง ๒ กรุงนคร พระชนมายุได้ ๔๖ พรรษา เมื่อทรงครองทั้ง ๒ พระนครนั้น ก็คงไปๆมาๆ และคงทรงสร้างปรุงบ้าน ปรุงเมือง ปรุงวัดเพิ่มเติม และขยายกรุงให้ใหญ่ตามจารึกหลัก ๒ นี้ ในสมัยพ่อขุนศรีนาวนำถมนั้นก็มีเหตุการณ์ หรืออาจเป็นศึกสงครามก็ได้ เพราะจารึกลบเลือนจึงไม่รู้เรื่องเหตุการณ์อะไร เข้าใจว่าคงมีเหตุการณ์ทั้งทางนอกพระราชอาณาเขต แม้ในภายในก็คงมีการไม่ปรองดองกัน แต่ส่วนมากคงสงบเรียบร้อยหรือแก้ไขได้ ก็ปกครองด้วยความร่มเย็นเป็นสุข

    พ.ศ.๑๗๖๘ ขุนร่วงนำไทย ได้เป็นขุนพระเจ้ากรุงสุโขทัย ศรีสัชนาลัย ทรงอุปภิเศกและมีพระราชโอรสแล้ว ๒ พระองค์ เมื่อทรงเป็นขุนพระยาก็อาจมีอีก แต่ไม่ได้จดจารึกไว้จึงไม่ทราบได้ ที่ปรากฎตามจารึกแล้วก็มี ๒ พระองค์คือ ขุนบางกลางทาว และขุนศรีจุลารัตน์ ซึ่งทรงมีมาก่อนแต่จะได้เป็นขุนพระยา หรือพระเจ้ากรุงสุโขทัย ศรีสัชนาลัย พระราชโอรสทั้ง ๒ พระองค์ทรงเจริญวัยแล้ว ทรงให้ศึกษาศิลปวิทยาต่างๆ ซึ่งมีปรากฎอยู่ในตำรานพมาศ และในจารึกต่างๆนั้น เมื่อทุกสิ่งสมควรแล้ว จึงทรงสั่งขุนบางกลางทาวไปเป็นเจ้าเมืองบางยาง พระองค์เล็กคือขุนศรีจุลารัตน์คงฝักใฝ่ในพระศาสนา เช่นนี้จึงอาจมีพระองค์อื่นๆอีกที่อยู่ช่วยราชการพระราชบิดา ที่อยู่ใกล้ชิดนี้คงจะก่อเรื่องให้วุ่นวาย หรืออาจประพฤติไม่เป็นธรรม จึงมีเรื่องอย่างปรากฎในจารึกหลัก ๒นั้น แต่จารึกลบเลือนจึงไม่สามารถกำหนดได้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็ได้มีแล้ว ตลอดระยะกาล๑๐ปีนั้น คงมีหลายอย่าง

    ตอนนี้ พ่อขุนศรีจุลารัตน์คงมีอายุครบ หรืออาจทรงผนวชตั้งแต่เป็นสามเณร เพราะในจารึกเล่าถึงทรงปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณจึงทรงกระทำสัจจกิริยาเสี่ยงพระบารมี และบูรณะพระพุทธรูปต่างๆด้วยประการฉะนี้ อุปนิสัยบารมีตักเตือน จึงทรงผนวช ไม่ได้จารึกจึงไม่รู้กาลเวลา อุปัชฌายาจารและวัด เมื่อทรงผนวชแล้ว ด้วยอาศัยที่พระราชบิดาเป็นพระเจ้ากรุงสุโขทัยศรีสัชนาลัย จึงเป้นการง่ายที่พระองค์จะเสด็จชมพูทวีปและลังกา จึงได้มีระบุไว้ในจารึกถึงสังเวชนียสถาน ตลอดถึง ราชบุรมหานคร ถืออนุราธบุรมหานคร ซึ่งเป็นพระราชธานีของลังกาทวีป แต่จะไปกับใครมีพระอื่นๆอีกหรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่เข้าใจว่าคงมีไปกันหลายท่าน ก็คงเป้นแบบธุดงค์ และคณะอื่นๆก็อาจมี เมื่อกลับมาจึงได้ทรงรับสถาปนาสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระมหาเถรชั้นมหาสามิ อันเป็นตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชของลังกาทวีป มีพระนามเต็มว่า สมเด็จพระมหาเถรศรีสรัทธาราชจุลามุนีศรีรัตนลังกาทีปมหาสามิเป็นเจ้า เพราะไม่ได้ลงกาลไว้จึงไม่ทราบได้ อาจได้รับสมณศักดิ์ในกาลภายหลังนานมาก็ได้

    ในระหว่างนี้ คือ ตอนขุนพระยาร่วงนำไทยครองนี้ อาจมีการไม่ปรองดองกันเสมอ หรือขุนร่วงนำไทยอาจไม่เป็นที่กริ่งเกรงของแคว้นอื่น ขุนขอมสมาดโขลญลำพงรบแห่งลโว้(๒) ลพบุรี ก็กรีฑาพลทัพลโว้มาประชิดทั้งสุโขทัยและศรีสัชนาลัย คงมาปี พ.ศ.๑๗๘๒-๑๗๘๔ ขุนพระยาร่วงนำไทยคงตั้งสู้เข้มแข็ง ป้องกันบ้านเมือง ทั้งขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดและขุนบางกลางทาวเจ้าเมืองบางยางก็คงมาช่วย แต่เนื่องจากศึกยืดยาว ย่อมต้องสิ้นเปลือง สองขุนต้องออกไปเที่ยวเสาะหาคนพลทัพ และเสบียงอาหาร ณ ต่างเมือง และเมืองของตนจึงต้องใช้กาลนาน

    ตอนนี้ ขอมสมาดโขลญคงทราบ จึงโหมกำลังโจมตีทั้งสุโขทัยและศรีสัชนาลัย ในฐานะขุนพระยาเมืองกรุง ขุนร่วงนำไทยทรงสู้สงครามประชิด ได้ทรงคชาธารออกกระทำยุทธหัตถีคงเสียท่า ถูกขอมจ้วงฟันสิ้นพระชนม์กลางสมรภูมิ ขอมจึงเข้าครองสุโขทัยและศรีสัชนาลัยได้

    ขุนร่วงนำไทย ได้ครองสุโขทัยและศรีสัชนาลัยอยู่ ๔๔ ปี สิ้นพระชนม์ พระชนมายุได้ ๗๒ ปี
    -------------------------------------------------------------------------
    (๑)จารึกวัดศรีชุม(หลักที่๒)นี้ ตามคำอธิบายเล่าว่า เป้นจารึกสมัยพระธรรมราชาที่ ๑ คือพระเจ้าลือไทย ซึ่งในจารึกระบุว่า หลานพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ผู้หนึ่งชื่อ ธรรมราชา พ่อรู้บุญรู้ธรรมมีปรีชา ซึ่งเป็นพระบิดาพระเจ้าลิไทยตามจารึกปรากฎเป็นทำนองจารึกที่สมเด็จพระมหาเถรศรีสรัทธาราชจุลามุนีทรงกระทำขึ้น
    สมเด็จพระศรีสรัธาราชจุลามุนีพระองค์นี้ ตามจารึกเป็นหลานปู่พระยาศรีนาวนัมถม ก็เข้าใจว่าเป็นพระราชโอรสของพระยาผาเมืองราช ความจริงไม่ใช่ ตามจารึกต่อไปอีกว่า "มีหลานพ่อขุนผาเมืองผู้หนึ่งชื่อ สมเด็จพระมหาเถรศรีสรัทธาราชจุลามุนีฯ"ดังนี้ จึงเป็นพระราชโอรสของพ่อขุนร่วงนำไทย ครั้นคิด พ.ศ. แล้ว ตั้งแต่เกิดถึงจารึก มีระยะกาล ๑๐๐ กว่าปี จึงเข้าใจว่าผู้อื่นกระทำจารึกในคราวหลัง แต่เล่าเรื่องของท่านได้ตลอดทุกกระบวนความ หรือว่าจะมีอายุยืนยาวถึงกาลจารึกได้ คือจารึกนี้กะว่าจารึกในราว พ.ศ.๑๘๗๕ รัชสมัยพระเจ้าลือไทยธรรมราชาที่ ๑ นั้น ท่านประสูติประมาณ พ.ศ.๑๗๔๕ ถึง พ.ศ.๑๘๗๕ ก็มีระยะกาล ๑๓๐ ปี อย่างนี้ ก็มากเกินกว่าจะเชื่อกันแล้ว

    และได้นำจารึกลงมาเป็นข้อนำนั้น เพื่อเป็นหลักฐานแต่ตรงพระนามก็ลบเลือนไปเจ้าหน้าที่ไม่ได้อ่านไว้จึงใส่เข้ามาอย่างนั้น ถ้าพบชื่อเมื่อไรจะได้แก้ไขต่อไป ก็การเรียงพงศาวดารไทยนั้น เรียงกันตามความรู้ไทยจึงสำเร็จรูปได้ และชื่อบางแห่งใช้ว่า ขุน และ พระยา เข้าใจว่าครั้งต้นๆ คงใช้พระนามว่า ขุน ครั้นต่อมาหรือรัชกาลหลังๆ สถาปนาว่า พระยา ในกาลจารึก จึงใช้แบบเดิมบ้าง ใช้แบบสถาปนาใหม่บ้าง จึงเป็นอย่างนั้น

    (๒)ในจารึกไม่ได้บอก เท่าที่ใช้อย่างนี้ตามจดหมายเหตุจีนมีระบุว่า เซียมก๊ก และ หลอฮกก๊ก คือ สยามและลโว้ และ พ.ศ.ก็ไม่มีในจารึก จึงกะและใส่เอาเอง เมื่อพบหลักฐานแล้วจะได้แก้ในคราวต่อไป ถ้าไม่พบก็ต้องอย่างนี้ไปก่อนถึงจะผิดก็คงไม่มากนัก ดีกว่าไม่รู้เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2017
  18. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402

    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ รัชกาลที่ ๓

    (ขุนบางกลางทาว เจ้าเมืองบางยาง )



    พ่อขุนบางกลางทาว หรือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือ ศรีอินทรบดินทราทิตย์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของพ่อขุนร่วงนำไทย และนางพระยาผิวผ่อง ประสูติณ นครศรีสัชนาลัย ประมาณ พ.ศ.๑๗๔๒-๑๗๘๔ จึงมีอายุได้ ๔๒ ณ สงครามขอมลโว้

    ได้ร่วมกับพระเจ้าอา ขุนฟ้าเมืองราด ช่วยสงครามพระราชบิดา ครั้นพลทัพ กับสะเบียงขาดแคลนต้องออกไปเสาะแสวงหา กว่าจะได้ พระราชบิดาต้องสิ้น กรุงสุโขทัยศรีสัชนาลัยต้องเสียแก่ขอม พ.ศ.๑๗๘๔ สองขุนออกไปหาพลทัพและเสบียงกว่าจะได้ก็กรุงแตกเสียแล้ว เมื่อพร้อมสรรพพอจึงยกไปกู้คืน

    ในจารึกหลัก ๒ จึงมีว่า(ภายในวงเล็บเติมให้เต็ม)

    "..... เมื่อก่อน พ่อขุนบางกลางทาว (ทาวะ หรือ ทวา ) เป็นเจ้าเมืองบางยาง ให้เอา (พลมาผสม) พลพ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด พาพ่อขุนผาเมืองผดาจ (แยก) กันแลกัน พ่อขุนบางกลางทาวได้เมืองศรีสัชนาลัย (คืนแล้ว) พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดเอาพลมา (รอดพ่อขุนบางกลางทาวที่) บางขลง (พ่อขุนบางกลางทาว) เวนบางขลงแก่พ่อขุนผาเมือง แล้วพ่อขุนผาเมืองเอาพลเมื้อ (ไปยัง) เมืองราด เมืองสากอได (พร้อมแล้วไปยัง) ศรีสัชนาลัย สุโขทัย
    ขอม สมาดโขลญลำพงรบ (ออกตั้งพลรับสู้) แล้ว พ่อขุนบางกลางทาวไป (ร่วมผสมกับ) พลพ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดมา (ด้วยกันพร้อมแล้ว) ให้ประชุมพล พ่อขุนบางกลางทาว และพ่อขุนผาเมืองขี่ช้าง (ชื่อคชพระยา หัตถี) พระยาผสมกัน (ตัวช้างสองคุก) ตีนให้ขี่ด้วยกันเหนือหัวช้างประคนแล้วพ่อขุนบางกลางทาวแลขอมสมาดโขลญลำพงรบกัน
    พ่อขุนบางกลางทาวให้ไปบอกแก่ขุนผาเมือง พ่อขุนผาเมือง (เอาพลมาช่วยรบ) ขอมสมาดโขลญลำพงรบ (รบด้วยช้าง) พ่ายพัง พ่อขุนผาเมืองจึงยังเมืองสุโขทัยเข้าได้ เวนเมืองแก่พ่อขุนบางกลางทาว พ่อขุนบางกลางทาวมิสู้เข้า เพื่อเกรงแก่มิตรสหาย พ่อขุนผาเมืองจึงเอาพลออก พ่อขุนบางกลางทาวจึงเข้าเมือง
    พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเศกพ่อขุนบางกลางทาวเจ้าเมืองสุโขทัย ให้ชื่อตนแก่พระสหาย เรียกชื่อศรีอินทรบดินทราทิตย นาเดิม กมรเตงอัญ (พระเจ้ากรุงพระยา) ผาเมือง เมื่อก่อนผีฟ้า (จ้าวฟ้า) เจ้าเมืองยโสธรปุระ
    (เมืองยส จังหวัดยโสธร ตามจารึกหินทรายว่า จ.ศ.๑๔๙ คือ พ.ศ.๑๓๓๐ จารึกชื่อพระอริยสังฆเจ้า ในวัดบ้านท่า มีมหาราชเจ้าทั้งสองเป็นเค้า มีเจ้าสังฆราชาวัด วชิรปัญญา ซึ่งมีมหาราชเจ้าและพระสังฆราชเจ้าเป็นฐานะกรุงเมืองหลวงเอกราชอยู่แล้วตั้งแต่ พ.ศ.๑๓๓๐)
    ให้ลูกสาวชื่อ นางสิขรมหาเทวี กับ ขันไชยศรี ให้นามเกียรติแก่ขุนผาเมือง เหียม (เหตุ) พ่อขุนบางกลางทาวได้ชื่ออินทรบดินทราทิตย เมื่อพ่อขุนผาเมืองเอาชื่อตนให้แก่พระสหาย (เมื่ออภิเศกเป็นเจ้า) เมืองสุโขทัยพ่อขุนศรีอินทรบดินทราทิตย และพ่อขุนผาเมืองเอาพลตบกันพาทั่ว (เมืองสุโขทัย ศรีสัชนาลัย) แต่เมื่อเพรง (ก่อน) เตร่ลาคลาทุกแห่งทุกหน ต่างคนต่างเมื้อเมืองดังเก่า ลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตยผู้หนึ่งชื่อพ่อขุนรามราชปราชญ์รู้ฑฃธรรม .... หลานพ่อขุนศรีอินทราทิตยผู้หนึ่งชื่อ ธรรมราชา พ่อรู้บุญรู้ธรรมเนียมมีปรีชาแก่กม (ที่สุด) บ่มิกล่าว (ถ้วน) ถี่เลย พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดนั้นให้สร้างเจดีย์มีคุณแก่ฝูงท้าวพระยา เป็นอาจารย์ พรนธิบาล (พระอภิบาล) แก่ฝูงกษัตราธิราชทั้งหลายมา (รวม) อยู่ในศรีสัชนาลัย

    ที่ยกจารึกมานั้นไม่มีปีอภิเศก จารึกขุนเมืองฟ้าว่า พ.ศ.๑๗๘๖ จึงเรียงได้ว่า เสร็จงครมแล้วต้องตระเตรียมกันบูรณะซ่อมแซมจึงอาจล่วงไปปีหรือกว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ได้ปราบดาภิเศกเป็นพระเจ้ากรุงสุโขทัยและศรีสัชนาลัย พ.ศ.๑๗๘๖ พร้อมกับได้ทรงอุปภิเศก พระนางเสือง ทรงมีพระราชโอรสพระราชธิดา ๕ พระองค์ ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง เจ้าพี่ผู้ใหญ่ตายจากแต่ยังเล็ก จึงเหลือปรากฎพระนามคือ ขุนบานเมือง อาจประสูติ พ.ศ.๑๗๘๑ พ่อขุนรามคำแหง อาจประสูติ พ.ศ.๑๗๘๒ ส่วนผู้หญิงสองไม่ปรากฎชื่อ ทั้งนี้อาจมีตั้งแต่สมัยไปเป็นเจ้าเมืองบางยาง เมื่อได้เป็นขุนพระยากรุงสุโขทัยแล้ว จึงกระทำพระราชพิธีอุปภิเศกในกาลนั้น

    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ได้ครองเป็นพระเจ้ากรุงสุโขทัย ศรีสัชนาลัยแล้ว ได้จัดการทะนุบำรุงบ้านเมืองซึ่งถูกภัยสงครามมาเป็นแรมปีนั้นให้ฟื้นคืนสภาพและส่งเสริมก่อสร้างให้เจริญยิ่งขึ้น พร้อมกับได้ทะนุบำรุงทะแกล้วทหารให้ชำนาญศึก เมื่อพร้อมสรรพด้วยกำลังช้างม้าสเบียงอาหารบริบูรณ์แล้ว จึงกรีฑาทัพไปกรุงลโว้ พ.ศ.๑๗๙๔ ยึดกรุงลโว้ได้(๑) ได้นำมาขึ้นแก่กรุงสุโขทัย

    พ.ศ. ๑๗๙๗ ได้ทรงยกกองทัพขึ้นไปถึง เจลลในลงไปเจลลนอก(๒) คือพิมายลงไปปาเจลล (พ่อเจริญ=ปา ป๋า คือ พ่อ เจลล=คือเจริญ=พ่อเจริญ) หรือ ปราจีน ได้ทรงรวบรวมขึ้นแก่กรุงสุโขทัย
    ส่วนทางใต้คือ อโยฌิยา ไทยทวาลาวนั้นมีพระยาพาน และญาติพี่น้องบางส่วนยังอยู่ก็ไม่ได้รบกวน ฉะนี้ถิ่นแดนทางนี้ จึงไม่มีระบุในจารึก

    -------------------------------------------------------------------------
    (๑)ตามจดหมายเหตุจีนที่เล่าว่าเซียมล่อก๊กได้รวมกับลกฮกก๊ก เป็นเซียมล่อก๊กแล้ว

    (๒)ตามที่ปรากฎชื่อ ณ แผนที่ประเทศชวาโบราณว่า ลวุ สุขุ เจ-ลา คือ ลโว้ สุโขทัย จเลล ซึ่งเป็นชื่อที่รวมกันทั้ง ๓ ชื่อ ได้พิมพ์แผนที่ไว้หน้า ๖๑๘
    ซึ่งแผนที่ประเทศชวาโบราณได้ใส่ชื่อไว้ และมีชื่อไทยปรากฎอยู่ ซึ่งยืนยันว่าคนไทยไปตั้งชื่อและอาจไปอยู่ ซึ่งยืนยัน ไดยักคือ ไทย
    ภูเขาและอนุสาวรีย์ถาวร ลำดับเลขโรมันที่ ๘ ปรากฎ ๓ ชื่อ มีชื่อ ลวู สุขุ ตฺเจลา คือ ละโว้ สุโขทัย จเลล หรือ เจริญ ลำดับที่ ๑๗ ร่วง เมรปิ ภูเขาพระร่วงเหนือบาหลี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2017
  19. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    พระร่วงสมัยสุโขทัย วัดรังแร้ง หินแก้วสี เหลือง เขียวอ่อน บุศราคำไทย

    [​IMG]

    ๑.ขุนศรีอินทรบดินทราทิตย

    ๒.พระนางเสือง มีสังเกตเพียงหน้าอกใหญ่เท่านั้น

    ๓.ขุนบานเมือง
    ที่รู้ก็เพราะถามจ้าว(ผีฟ้า) เล่าเพียงว่า ทำแล้วสมมุติเท่านั้น
    ใช้บุศราคำเพราะเป็น เครื่องทรงแล้วทรงหมวกยอด พระเครื่องคลุมฐานกลีบบัวคว่ำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0311.jpg
      scan0311.jpg
      ขนาดไฟล์:
      465.5 KB
      เปิดดู:
      2,655
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2013
  20. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,402
    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ได้ทรงรวบรวมถิ่นดินแดนเมืองต่างๆเข้ากับสุโขทัย อาจไปถึงเมืองฉอด เมืองแถง ซึ่งมีระบุอยู่ในจารึกหลัก ๒
    จากจารึกหลัก ๑ ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงจารึกเล่าไว้ว่า เมื่ออายุเข้า ๑๙ ได้สู่สงครามพ่อขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด เหตุนั้นสุโขทัยจึงถูกสงครามอีกครั้งหนึ่ง ครั้งสู้กันที่เมืองตาก เพราะทรงจารึกว่า อายุย่าง ๑๙ จึงประสูติ พ.ศ.๑๗๘๒ สงครามคราวนี้เกิด พ.ศ.๑๘๐๑ ตามจารึกหลัก ๑ มีอย่างนี้

    จารึกหลัก๑
    [​IMG]
    จารึกหลัก ๑
    ๑.พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง
    ๒.กู พี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้หญิงสอง พี่เผือ
    ๓.ผู้อ้ายตายจาก เผือเตียมแต่ยังเล็กเมื่อกูขึ้น
    ๔.สิบเก้าเข้า ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด มา ท่ เมืองตาก พ่อกูไปรบ
    ๕.ขุนสามชนหัวซ้าย ขุนสามชนขับมาหัวขวา ขุนสามชน
    ๖.เคลื่อนเข้าไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกูหนี ญ ญ่ายพ่ายจะแจ้น
    ๗.กูบ่อหนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อ...


    พระลูกเจ้า พ่อขุนรามคำแหงทรงร่วมกับพระราชบิดาเข้าสงครามตั้งแต่พระชนมายุ ๑๙ ได้ชัยชนะ กระทำให้สุโขทัยแข็งแกร่งยิ่งขึ้น กองทัพเมืองฉอดล่าถอยไป พระราชบิดาพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงโปรดพระราชทานชื่อว่า พระรามคำแหง ยังทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแหง คือตาก นั้น ตามที่ปรากฎพระนามจารึกไว้หลังพระพุทธรูป
    [​IMG]
    พระพุทธรูปหินไพลิน สีคราม พระเมาฬีชั้นเดียว มีจารึกมหาศักราช ๑๒๐๗ พ.ศ.๑๘๒๘

    จารึกพระนาม ณ ฐานพระพุทธรูปไพลิน ซึ่งเป็นหินสีครามหนัก ๕ ก.ก
    [​IMG]
    พ่ อ ขุ น ร า ม คำ แหง พ่ อ เ มื อ ง แ ห ง

    ด้านหน้ามีเลขไทย(มหาศักราช ๑๒๐๗ พ.ศ. ๑๘๒๘ ดูแล้วจะเห็นว่าลายจารึกนี้ ไม่เหมือนจารึกหลัก ๑

    ในจารึกระบุว่า พ่อกูหนีญะญ่ายพ่ายจะแจ้น ซึ่งอาจทรงตรากตรำและถูกอาวุธบ้าง และทรงมีพระชนมายุเกิน ๖๓ ด้วย เมื่อเสร็จสงครามแล้ว คงอาจประชวนกะเสาะกะแสะและหนัก จึงเสด็จสวรรคต พ.ศ.นั้น หรือต่อไปอีก ๑ ปี คือ พ.ศ.๑๘๐๒ พระชนมายุได้ ๖๑ ทรงครองสุโขทัยได้ ๒๐ ปี ขณะนั้นพ่อขุนบานเมืองได้ทรงเป็นผู้สำเร็จแทนอยู่ พ่อขุนรามคำแหงนั้นไปเป็นเจ้าเมืองแหงแล้ว แต่ก็คงมา จึงได้ร่วมกันเชิญเจ้าพี่ขึ้นครอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • scan0313.jpg
      scan0313.jpg
      ขนาดไฟล์:
      382.8 KB
      เปิดดู:
      2,842
    • scan0081.jpg
      scan0081.jpg
      ขนาดไฟล์:
      199.8 KB
      เปิดดู:
      2,117
    • scan0082.jpg
      scan0082.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.1 KB
      เปิดดู:
      2,823
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...