ประวัติหลวงพ่อปาน-คัดลอกจากไฟล์อริยบุตรหนังสือธรรมะ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ตุปั๊ดตุเป๋, 16 มีนาคม 2019.

  1. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๑.หลวงพ่อเป็นพระทรงอภิญญา

    เรื่องอภิญญาเป็นเรื่องธรรมดาของพุทธสาวก ไม่ใช่ของวิเศษมหัศจรรย์อะไรเลย เป็นของธรรมดาสามัญแท้ ๆ หนังสือตำราเขียนยกย่องเลยพอดีไปเองต่างหาก เลยทำให้นักศึกษาภายหลังท้อถอยคิดว่ายากลำบากเต็มที เลยพากันไม่เอาเสียเลย

    อภิญญาโลกีย์เป็นเรื่องของคนที่เกิดมาในโลกมีสิทธิ์จะทำให้เกิดได้ เพราะเมื่อมาเป็นคนได้เหมือนกัน สิ่งที่มีสิทธิ์เสมอกันตามปกติธรรมดาที่สามารถเห็นกันง่าย ๆ มีอยู่ คือ จะเป็นคนเกิดในตระกูลใดก็ตาม มีฐานะ มีความรู้ศักดิ์ศรีเพียงใดก็ตาม มีสิทธิ์แก่ ป่วย ตาย เหมือนกันหมด เพราะเป็นโลกียวิสัยคือเป็นวิสัยของคนที่เกิดในโลกจะทำได้

    ทีนี้มาพูดกันถึงเรื่องฌานและอภิญญา ท่านบอกแล้วว่าเป็นฌานโลกีย์และอภิญญาโลกีย์ เป็นทรัพย์สินที่คนเกิดมาในโลกจะพึงทำให้มี ให้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ของยากเกินไป เพียงแต่ทำให้ถูก ทำพอดี ทำตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่เห็นต้องลงทุนลงรอนอะไรเลย เสียเวลารวบรวมกำลังใจนิดเดียวก็ได้

    ที่ว่าทำไม่ได้ก็เพราะอยากดีเกินไปหรือขี้เกียจเกินไป รู้มากเกินไป หลงลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุขมากเกินไป จึงทำไม่ได้ เรื่องความดีทางใจ คนจนพวก จนยศ จนสรรเสริญ จนพะเน้าพะนอ ทำได้ดีกว่า คนที่รวยประเภทนั้นเพราะเมาน้อย คน เมามาก ขาดสติมาก เมาน้อย ขาดสติน้อย ไม่เมาเลยมีสติสมบูรณ์
     
  2. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๒.อภิญญามีสภาพไม่เหมือนกัน

    เรื่องของอภิญญา คนส่วนใหญ่เมื่อฟังว่าอภิญญาแล้วก็มักจะคิดว่า ท่านที่ได้อภิญญาจะต้องมีความรู้แจ่มใสเหมือนพระพุทธเจ้าเสียทุกอย่าง เป็นการเข้าใจผิดถนัด พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูคือ มีบารมีเป็นจอมอรหันต์ ย่อมทรงอภิญญาดีเลิศเป็นพิเศษ สำหรับพระสาวกที่ได้มีกำลังไม่เท่ากัน และไม่มีทางจะไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าได้เลย จะเปรียบให้ฟัง เอาเพียงทิพยจักษุญาณอย่างเดียว อย่างอื่นให้เข้าใจว่าเหมือนกัน

    1.ทิพยจักษุญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสว่างคล้ายพระอาทิตย์ส่องแสงจัดไม่มีเมฆบัง ไม่มีเผลอ ไม่มีพลาดในการเห็น

    2.ของพระปัจเจกพุทธเจ้า มีความสว่างเหมือนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง มองเห็นคนกลางคืนเมื่อเดือนหงายมีสภาพอย่างไร ต่างกับกลางวันอย่างไร พิสูจน์เอาเอง

    3. พระอัครสาวกทั้งสอง มีความสว่างเหมือนคบเพลิงดวงใหญ่สว่าง แต่แสงสว่างไม่ไกลเหมือนความสว่างของดวงจันทร์

    4.ของพระอรหันต์สาวก สว่างเหมือนแสงตะเกียงดวงน้อย

    5.ของท่านที่ได้ฌานโลกีย์ สว่างเหมือนอากาศเมื่อพระอาทิตย์ลับแล้ว กำลังมัวตา มองดูอะไรก็ไม่เห็นถนัดนัก

    ข้อเปรียบเทียบนี้ยังไม่ละเอียดพอ แต่เกรงว่าลูกหลานจะเบื่อฟัง เอามาเปรียบเทียบเพียงย่อ ๆ ท่านที่ได้ฌานและอภิญญาไม่ใช่รู้อะไรหมด ยิ่งเป็นฌานโลกีย์ด้วยแล้ว ยิ่งมีจังหวะพลาดง่ายเหลือเกิน เพราะมีอุปาทานมาก ต้องระวังให้มาก ถ้าไม่ประมาทคิดว่าตัวดีไม่เป็นไร ถ้าประมาทเมื่อไรเจ๊งเมื่อนั้น สำหรับพระอริยท่านรู้ว่าท่านไม่ดีเสมอ ไม่มีความประมาท เรื่องเจ๊งไม่มี

    ทีนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องที่เล่ามาแล้ว ที่ฉันบอกเห็นอะไร ไปไหน คิดอะไร แล้วหลวงพ่อปาน รู้เรื่องที่บอกมา ไม่ใช่ฉันอวดตัวฉัน ที่บอกก็เพื่อให้ทราบว่าหลวงพ่อปานท่านรู้อภิญญา ที่เราเรียกว่าทิพยจักษุญาณ แต่ที่แท้แล้วญาณต่าง ๆ ของอภิญญามีชื่อหลายอย่าง จะนำมาเล่าให้ฟัง
     
  3. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๓.โลกียอภิญญา

    โลกียอภิญญานี้ท่านแยกเรียกว่าวิชชา 8 ก็มี อภิญญา 5 ก็มี จะเอามารวมไว้ที่เดียวกัน และบอกวิธีปฏิบัติโดยย่อไว้ด้วย ใครอยากได้ เดินไปหาอาจารย์ที่ทำได้แล้วก็เรียนแล้วกัน คนที่อ่านหนังสือจำได้ แต่ทำไม่ได้ อย่าไปขอเรียน จะพากันเลอะใหญ่

    ฉันเคยเป็นนักเทศน์สอนคนจนตัวฉันเกือบลงนรกมาหลายที ทั้งนี้เพราะตีความหมายของตำราไม่ตรง เมื่อทราบแล้วต้องกลับไปเทศน์แก้ใหม่เกือบแย่

    อยากหุงข้าวเป็นก็ไปเรียนกับพ่อครัว อย่าไปเรียนกับลิงที่ไม่มีวิชาความรู้เรื่องหุงข้าว อยากเดินป่า จงอย่าเอาปลาในทะเลเป็นครู อยากได้อภิญญา ถ้าไปหาคนที่ไม่ได้ จะเอาอะไรมาสอน ตัวเองก็ยังสอนตัวเองไม่ได้ จะเสียเวลาเปล่า
     
  4. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๔.ชื่ออภิญญาโลกีย์

    1. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้

    2. ทิพยโสตญาณ มีประสาทหูเป็นทิพย์

    3. มโนยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ ถอดกายใจออกท่องเที่ยวได้

    4. ทิพยจักษุญาณ มีอารมณ์เป็นทิพย์ คล้ายตาทิพย์

    5. จุตูปปาตญาณ รู้สัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน สัตว์มาเกิดนี้มาจากไหน

    6. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์ใจของคนและสัตว์

    7. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วได้ตามความต้องการ

    8. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว

    9. อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวที่ยังไม่ได้เกิด

    10. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เรื่องราวในปัจจุบันที่ปรากฎขึ้นในที่ไกลหรือโลกอื่น

    11. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฎของกรรม
     
  5. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๕.วิธีฝึก

    อิทธิฤทธิ์ฝึกด้วยการทรงกสิณ 10 อย่างครบถ้วน นอกนั้นทรงกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นบาท แล้วก็สามารถทำให้เกิดได้ไม่ยากเลย ที่ทราบว่าหลวงพ่อปานท่านเป็นพระทรงอภิญญา ในอันแรกทราบจากทานรู้อารมณ์คิด คิดว่าจะทำอะไร ผิดหรือถูก ท่านทราบก่อนเสมอ

    ตามที่ลูกหลานฟังมาแล้วในตอนต้น จะเห็นว่าท่านรู้ก่อนบอกเสมอ แถมรู้ก่อนฉันเกิดด้วย ที่ท่านกล้าบอกว่า พวกแกบำเพ็ญบารมีด้านพุทธภูมิกันมาคนละมาก ๆ แล้ว อันนี้ท่านรู้ก่อนฉันเกิด ท่านจะพูดตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ก็ช่าง

    แต่ที่พบในปัจจุบันท่านพูดตรงทุกอย่าง ฉันเชื่อว่าท่านทรงอภิญญา คำว่าอภิญญา แปลว่า รู้ยิ่งกว่าความรู้ปกติ ความรู้ปกติจะรู้อารมณ์คิดโดยตรงไม่ได้นอกจากเดาจากอาการ มันก็ไม่แน่นักว่าจะถูกเสมอไป เท่าที่ท่านใช้ ส่วนใหญ่ท่านใช้เจโตปริยญาณได้คล่องมาก พวกฉันตั้งอารมณ์กรรมฐานอยู่ในป่าผิด ไม่มีใครพูดบอกใคร

    พอพบท่านตอนเช้าท่านเตือนทันทีว่า ตั้งอารมณ์ผิดควรแก้ไข เป็นอย่างไรก็บอกกันเลย ไม่ใช่มานั่งสอบอารมณ์ศิษย์ ปล่อยหรือหัดศิษย์เป็นคนชอบโกหกครู ตามที่พระองค์หนึ่งห่มจีวรคร่ำหาว่าฉันเป็นเถรส่งบาตร ทำตามแบบเก่าไม่ทันสมัย ท่านเองปล่อยให้ศิษย์โกหกเล่นตามสบายใจ ทำกันไม่เท่าไรก็สำเร็จ อย่างนี้พุทธสาวกท่านไม่ใช่

    ครูกรรมฐานถ้าไม่ได้เจโตปริยญาณ ฉันคิดว่ามีผลแก่ศิษย์น้อยเหลือเกิน เรื่องนี้ขอพักไว้เท่านี้ มาพูดกันถึงปฏิปทาของหลวงพ่อปานต่อไป คำว่าปฏิปทาแปลว่าความประพฤติ คนอื่นเขาแปลว่าอย่างไรช่างเขา ฉันพอใจแปลอย่างนี้ มันฟังง่ายดี
     
  6. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๖.ธุดงค์

    ต่อไปนี้จะนำปฏิปทาของหลวงพ่อปานเรื่องธุดงค์มาเล่าให้ลูกหลานฟัง คำว่า ธุดงค์ ลูกหลานคงเห็นว่าเป็นของปกติธรรมดา คือ มีพระเดินถือกลด (ร่มผ้าขาว) มีมุ้งกลม ๆ พอจะกางกับกลดได้ เที่ยว ปักกลดตามข้างเสาเรือนชาวบ้านบ้าง ตามกลางทุ่งนาบ้าง เข้าปักกลดในตลาดแม้ใจกลางกรุงเทพฯ ก็มีบ้าง

    ท่านพวกนี้ท่านธุดงค์เหมือนกัน แต่ทว่าเป็นธุดงค์ตามแบบของพระพุทธเจ้าบ้าง แบบเดียรถีย์บ้าง เอาแน่นอนอะไรไม่ค่อยได้ คำว่า ธุดงค์มีข้อปฏิบัติอยู่ 13 ข้อ จะออกป่า ออกทุ่ง หรืออยู่ในวัดก็ทำได้ สุดแล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน

    แบบที่อยู่ในวัดก็ทำได้ เช่น ฉันอาหารเวลาเดียว ถือนั่งเป็นวัตร บิณฑบาตทางเดียว ถือผ้าใช้นุ่งห่มเฉพาะ 3 ผืน ดังนี้เป็นต้น หรือจะออกป่าอยู่ตามโคนไม้ก็ได้ เรื่องข้อปฏิบัติธุดงค์จะไม่พูดให้ฟังละเอียด จะพูดแต่ธุดงค์ออกนอกวัดที่พวกเธอเห็นกันประจำ สมัยนี้ฉันสงสัยเห็นท่านธุดงค์กันแปลกมาก เที่ยวปักกลดใกล้บ้านเกินไป ปักอยู่แห่งละหลาย ๆ วัน รับเงินที่เขาถวาย แจกพระ แจกตะกรุด และให้หวยบอกบุญให้ชาวบ้านไปทำบุญที่วัด

    ฉันแปลกใจมากที่พระสมัยนี้มีความรู้มาก มีตำแหน่งหน้าที่เป็นใหญ่เป็นโตกันมาก ทำไมปล่อยให้เรื่องธุดงค์แปลกไปมาก พระธุดงค์ความจริงเป็นพระละ ตามระเบียบท่านให้ปักกลดไกลบ้านไม่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร เพื่อไม่ให้เสียงชาวบ้านรบกวนเมื่อยามที่ต้องการความสงัด และไม่ไกลเกินไปสำหรับเมื่อต้องการอาหารจากชาวบ้าน

    ท่านบัญญัติให้ปฏิบัติเพื่อละ แต่เห็นพระท่านรับเงินรับของถวายที่มีค่า ฉันแปลกใจคิดว่าพระพุทธศาสนาสิ้นแล้วหรืออย่างไร ปฏิปทาภายนอกจึงเข้ามาแทรกแซงได้ ธุดงค์ที่ฉันจะเล่าให้ฟังนี้มีระเบียบดังนี้

    1.พระธุดงค์มีหลักปฏิบัติเหมือนกันหมด คือ ไปหาที่สงัดเพื่อปฏิบัติละกิเลส ไม่ใช่ไปแสวงหากิเลส (ลาภผลหรือบอกบุญชาวบ้าน)

    2.ปฏิบัติแบบอุกฤษณ์ คือ ออกจากวัดแล้วมุ่งเข้าป่าสูง ไม่ต้องการอาหารจากชาวบ้าน ถ้าไม่ดีจริงให้มันตายไปเลย

    3.ออกธุดงค์แบบธรรมดา ปักกลดไกลบ้านเกินกว่า 1 กิโลเมตร ไม่รับเงิน ไม่ให้หวย ไม่แจกของขลัง มุ่งปฏิบัติความดี เงินทองก็ไม่มีติดตัวไป

    4.ก่อนออกธุดงค์ฝึกพระกรรมฐานด้านสมถภาวนาดีพอสมควรที่จะเลี้ยงตัวรอด

    5.ถือการละเมิดกิเลสเป็นสรณะ

    ตามที่กล่าวมาเป็นการบอกแต่โดยย่อพอเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตามใจ การธุดงค์ที่จะพูดต่อไปจะแสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อปานเป็นพระอภิญญา พวกฉันที่เป็นศิษย์เมื่อฝึกตามครบ 1 พรรษา

    เมื่อออกพรรษาแล้วก็อยากออกธุดงค์ ท่านฝึกฝนวิธีการธุดงค์อย่างเครียด เพราะพวกฉันสามสัตว์หรือสามลิงหรือสามองค์ จะเรียกว่าอย่างไรมันก็ถูกทั้งนั้น อยากปฏิบัติแบบอุกฤษณ์ เมื่อไม่ดีก็ให้ตายเสียในป่า ฉันเคยบอกแล้วว่าคณะฉันไม่มีใครเต็มเต็งเลย บ้า ๆ บอ ๆ เกินชาวบ้าน หลวงพ่อปานชอบคนบ้า ท่านสั่งมาเราบ้าทำทุกอย่าง เรื่องกำหนดเวลาหรือไม่ทันครบ เราทำกันเสร็จก่อนเป็นไหน ๆ ท่านชอบใจ

    เมื่อบอกท่านว่าจะออกธุดงค์แบบยอมถวายชีวิต ท่านก็ตกลง ซ้อมพระกรรมฐานทุกแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรหมวิหาร 4 ต้องรักษาเป็นฌานได้ตลอดเวลา หลักสูตรวิชชา 3 สองข้อต้น เพียงไม่กี่เพลงพวกเราเอามาครองเสียสบายใจ เมื่อของในกระเป๋าเป็นของสำคัญที่ต้องมีไปในระหว่างธุดงค์

    เมื่อถึงเวลาซักซ้อมไม่มีอะไรหนัก การซ้อมหาข้าวที่ไม่ต้องหุงกิน พวกฉันได้ป่าอำเภอศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เป็นสนามซ้อม ไม่มีอะไรบกพร่อง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เดือนยี่ มีนาคม 2480 ก็ออกเดินทางเข้าป่า สมัยนั้นการเปลี่ยน พ.ศ. เปลี่ยนกันเดือนเมษายน เดือนมีนาคมยังเป็น พ.ศ. 2480

    เมื่อสมาทานเสร็จ ท่านก็สั่งว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจงพยายามหนีบ้าน รีบเดินให้พ้นเขตบ้านภายใน 3 วัน เป็นอย่างช้า ต่อจากนั้นจงอยู่แต่ในป่าที่ไม่มีบ้านบิณฑบาต ถ้าเธออยู่ในป่าโดยไม่พบบ้านเลยไม่ถึง 3 เดือน เข้าเขตบ้าน เธอจงอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้า ถ้าอยู่ในป่าเป็นปกติครบ 3 เดือน โดยไม่อาศัยชาวบ้านกินเลย เธอกลับมาหาฉันได้

    เมื่อได้รับบัญชาแล้ว สามลิงสามสัตว์หรือสามฤาษีมุนีบวมต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีใครวิตกกังวลอะไรเลย พวกเราหวังเดินเข้านิพพาน นิพพานอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หวังส่งเดชไปอย่างนั้น ท่านว่าธุดงค์ต้องหวังนิพพาน ไม่ใช่ธุดงค์ไปประจบชาวบ้าน หรือมุ่งขอทานชาวบ้าน หรือขายของให้แก่ชาวบ้าน ท่านบอกว่าพวกนั้น ไม่ใช่พระ เป็นเดียรถีย์ปลอมเข้ามาบวช ฉันฟังแล้วฉันไม่เข้าใจเดียรถีย์มันเป็นอย่างไร สนใจอย่างเดียวคือป่าสูง

    ออกจากวัดร่วมกับสหาย ข้ามหน้าวัด เดินตัดออกทางหัวเวียง มุ่งผักไห่ ปักกลดที่ใกล้ตำบลท่าแก้ว พอฉันข้าวเช้าแล้วเดินตัดเข้าเขตอำเภอศรีประจันต์ จ.สุพรณณบุรี ข้ามเขตศรีประจันต์ ปักกลดที่ อ.ไร่รถ รุ่งขึ้นออกจากไร่รถ ตอนนี้ไม่รู้ว่าตำบลอะไรบ้าง เพราะมีแต่ป่า

    เดินกัน 7 วัน ก็ถึงป่าที่ชอบใจ คือ มีต้นไม้สูง ภายล่างร่มรื่น เตียน อากาศสบาย สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่เดินกันเป็นปกติ ไก่ป่าตัวน้อย ๆ ที่เขาว่าเปรียว เห็นพวกฉันเข้าไม่หนี เพราะมันไม่เคยถูกสัตว์คนรบกวน ด้วยเป็นดินแดนที่พวกพรานเดินไปหาสัตว์ไม่ถึง มีเขาใหญ่ มีธารน้ำที่ใสสะอาด มันจะมีชื่อว่าตำบลอะไร สามลิงสามสัตว์ไม่สนใจ หาทำเลได้เหมาะก็ปักกลด
     
  7. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๗.ปฏิปทาในยามอยู่ป่า

    1. เจริญพรหมวิหาร 4 ในระดับฌานเสมอ

    2. เจริญเทวตานุสติ สลับพรหมวิหาร 4

    3. เอาใบไม้ที่ร่วงหล่น ต้นไม้ที่ยืนตาย กระดูกสัตว์ที่ตายและปรากฏให้เห็นเป็นอารมณ์วิปัสสนาญาณ

    4. ตอนเช้า เช้ามืด ทรงพรหมวิหาร 4 พอใกล้สว่างทรงเทวตานุสสติกรรมฐาน พอสว่างใช้วิปัสสนาญาณและพรหมวิหาร 4

    ออกเดินบิณฑบาตทั้ง ๆ ที่ไม่มีบ้าน เราอยู่กันที่โคนต้นไม้ เห็นทางไกลหลาย ๆ กิโล เพราะไม่มีป่าบัง เป็นป่าไม้ใหญ่ มีใบเฉพาะยอด ข้างล่างโปร่งเตียนน่าสบาย และก็สบายจริง ๆ

    เราเดินกันไปไม่ถึง 200 เมตร ก็มีเด็กหญิงชาวป่าแต่งตัวด้วยผ้าเก่ารุ่งริ่ง อายุประมาณไม่เกิน 13 ปี มารอใส่บาตรพวกเรา ข้าวของเธอสีเหลืองหอมใส่มาคนละ 3 ทัพพีไม่มีกับข้าว มีแต่ดอกไม้ที่ฉันไม่เคยเห็นใส่มาในข้าวองค์ละ 1 ดอก ดอกไม้มันมีกลิ่นหอมชื่นใจชอบกล คล้ายกลิ่นกระแจะผสมเกสร

    เมื่อกลับมา ฉันข้าว 3 ทัพพีอิ่ม พอดีและชุ่มชื่น ไม่อยากแม้แต่น้ำ มีอาการปลอดโปร่ง เธอใส่บาตรอย่างนั้น 2 วัน วันที่สองเจ้าลิงเล็กมันขี้สงสัย มันว่าเด็กคนนี้มาจากไหนวะ บ้านไม่มีสักหลัง เดินสำรวจออกไปประมาณเกือบ 10 กิโลเมตร ก็ไม่ปรากฏว่ามีบ้าน เวลาเธอมาใส่บาตรไม่ทราบว่ามาจากไหน พอเดินไปก็พบ เจ้าลิงถุงนี่สร้างความระยำ

    วันรุ่งขึ้นพอเธอมาใส่บาตร มันถามว่า น้องสาว บ้านเธออยู่ไหน เธอเดินมาคนเดียวไม่กลัวเสือหรือ เธอมองหน้าเจ้าลิงเล็กแล้วเธอก็ไม่ว่าอะไร เธอหัวเราะเสียงดังเข้าป่าไปประมาณ 10 เมตร ก็มองไม่เห็นตัว นับตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่มีใครมาใส่บาตรให้กินอีก

    เจ้าลิงระยำนั่นมันสร้างความเดือดร้อนทั้งพวก มีความรู้แต่ไม่ได้นำออกใช้เพราะเข้าใจว่าเป็นคน ตอนที่ซ้อมนั้น ซ้อมหาจากต้นไม้ ไม่ทันอาศัยต้นไม้ก็มีคนมาดักทางใส่บาตร เลยคิดว่าคนธรรมดา เจ้าลิงปากอยู่ไม่สุข ไปถามเธอเข้าเลยไม่ให้กินทั้งเหล่า ปลาข้องเดียวกัน เมื่อเน่า 1 ตัวพลอยเหม็นไปด้วยกัน

    เมื่อไม่ใครให้พวกเราก็ตัดใจละ ไม่ละเลยทีเดียว ละการออกหากินแต่ไม่ละการกิน คงกินต่อไป ไม่ได้กินข้าว กินหญ้าแทน เห็นเปราะป่าอยู่ใกล้ ๆ ดึงใบที่ม้วนอยู่ตรงกลางมากินแทนข้าว เป็นคนเป็นแล้ว เป็นลิงก็เป็นแล้ว แต่ควายยังไม่ได้เป็น คราวนี้มาสมาทานเป็นควายดูบ้างเห็นมันดีแน่ ไม่เป็นไร อาหารไม่เหม็นคาวดี
     
  8. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๘.หลวงพ่อเมตตา

    ขณะที่อดอาหารเข้าวันที่ 3 แม้จะอดอาหาร เรื่องอาหารเมื่อยากอดก็อดไป แต่ระเบียบใด ๆ ที่หลวงพ่อสั่งไป พวกเรารักษากันด้วยชีวิต ไม่ละ ไม่ขาด ไม่บกพร่อง เพราะพร้อมที่จะตายเพื่อพระนิพพาน ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าพระนิพพานอยู่ที่ไหน ท่านสั่งอย่างไร พวกเราทรงไว้อย่างนั้น

    คืนวันที่ 3 จากวันอดข้าว เวลาประมาณ 2 ทุ่ม 20 นาที เรื่องเวลานี่เอาแน่นอนไม่ได้ เพราะไม่มีนาฬิกาไป ใช้แต่นาฬิกากะ คือกะ ๆ เอาอย่างนั้นเอง ด้วยฉันเวลาเดียวไม่ต้องมีนาฬิกา นั่งทำสมาธิกันตามปกติ ทุกองค์ต่างก็เห็นหลวงพ่อปานไปหา ท่านพูดว่าคนที่เขาใส่บาตรเขาเป็นเทวดา ทำไมเจ้าขัดคำสั่งพ่อ เรื่องของเขา ๆ จะอยู่ที่ไหน มีอาชีพอะไร เราไม่ควรสนใจ เราต้องการอย่างเดียวคืออาหาร เขาให้แล้วก็แล้วกัน ไปถามเขาทำไม พรุ่งนี้ไปสายเดิม (ทางเดิน) พ่อตกลงกับเขาไว้แล้ว จะมีคนใส่บาตรเพิ่มเป็น 3-4 คน จงอย่าคุยกับเขา อย่าสนใจเขา เราต้องการแต่อาหารจงจำไว้ แล้วท่านก็หายไป

    เมื่อเลิกกรรมฐานก็ลืมตาและคุยกัน ต่างคนต่างก็พูด แย่งกันพูด เล่าเรื่องที่หลวงพ่อปานมาบอก ท่านบอกเหมือนกันทั้งสามสัตว์ อาการที่ต่างคนต่างบอกช่างเหมือนกับพวกดูหนังดูละครมาด้วยกัน ต่างคนต่างเล่าเรื่องละครนั้นสู่กันฟัง เคยพบเสมอเมื่อยามอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกุฎิอยู่กับทางผ่าน แกมาดูแล้วแกเล่าสู่กันฟัง เหมือนกับฉันและเพื่อนต่างคนต่างเล่าเรื่องหลวงพ่อปานมาส่ง เป็นอันว่าท่านสงเคราะห์ และท่านมีญาณพิเศษจริง ๆ รุ่งเช้าเมื่อเดินไปบิณฑบาตก็ปรากฏว่ามีคนใส่บาตร 4 คน มีผู้ชายรวมอยู่ด้วย 1 คน ท่านแน่มาก อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าอภิญญา เราจะเรียกอะไรดี

    ตอนกลางคืนหลังจากที่เห็นหลวงพ่อปานแล้ว พวกฉันก็คุยกันตามประสาลิงสามสัตว์เท่านั้น เมื่อคลายอารมณ์ก็คุยกัน เรื่องที่คุยกันก็ปรารภพระนิพพานและอารมณ์พระกรรมฐาน เจ้าสองลิงชำนาญกสิณ ฉันมีกสิณกับเขา 7 กอง ไม่ครบ 10 ก อง

    หลวงพ่อท่านให้พักหันไปเจริญอนุสสติและอสุภ และอย่างอื่นตามที่เห็นว่าสมควร พวกสองลิงเขาสงสัยเรื่องอสุภ ฉันบอกเขา ฉันสงสัยวิธีฝึกอภิญญา เขาก็บอกให้ คุยกันไปพอเพลิน เจ้าเพื่อนรักเพื่อนเกลอย่อมาเมื่อไรไม่รู้ มานั่งพับเพียบขาหลังข้างหนึ่งเรียงหน้าอย่างเรานั่งพับเพียบ อีกรายขาหนึ่งไปข้างหลัง สองขาหน้ายันพื้น

    เจ้าเพื่อนนี้เป็นใครลูกหลานคงสงสัย เขาคือเสือโคร่งตัวมหึมา มันใหญ่จริง ๆ หัวมันนั่งเลยหัวพวกฉันไปหลายศอก มันนั่งทำหนวดดุบดิบ ๆ เหมือนจะคุยด้วย ทำท่าคล้ายยิ้ม เขามองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วขยับหนวด ไม่รู้มันคุยเรื่องอะไรของมัน ท่าทางมันไม่น่ากลัวเลย พวกฉันมีอาการและใจปกติ เขาคุยอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็อำลาไป

    มันคงจะคิดว่า เอ เจ้าเสือ 3 ตัวนี่ทำไมไม่มีลายและหัวก็โล้น เขี้ยวก็สั้น หรือมันจะคิดว่าเจ้าลิง 3 ตัวนี่ทำไมไม่มีหาง เสือกมานั่งอยู่ทำไมที่โคนไม้ เมื่อมันไปแล้วพวกฉันเข้ากรรมฐาน ทรงฌานกันใหม่ พอเหนื่อยก็หลับสบาย เรื่องตายไม่สนใจ

    เรื่องธุดงค์ของฉันที่นำมาเล่าก็เพื่อให้ทราบว่าเมื่อทำอะไรผิดหลวงพ่อปานท่านรู้ด้วยญาณจริง พอมาถึงวัดท่านพูดเรื่องปากเสียก่อนอื่น เจ้าลิงเล็กทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมชอบกล เป็นอันว่าธุดงค์ของคณะฉัน ฉันเล่าให้ฟังเท่านี้ ด้วยไม่ต้องการโฆษณา ที่นำมาเล่าเพราะเกี่ยวพันกับเรื่องของหลวงพ่อ ต่อไปจะนำเรื่องของหลวงพ่อปานโดยตรงมาเล่าสู่ลูกหลานฟังตามที่จะพึงทำได้ วันนี้ขอเอวังกันเท่านี้ วันหน้าฟังต่อไป
     
  9. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๒๙.หลวงพ่อปานออกธุดงค์

    ต่อไปนี้มาเข้าเรื่องหลวงพ่อปานกันเสียที จะลืมบอกเสียแล้วว่าวันนี้วันที่ 28 พ.ย. 2514 อากาศยังหนาวเย็นสบายใจของอากาศ เรื่องดินฟ้าอากาศอย่าไปทะเลาะกับแกเลย แกไม่มองหน้าใคร แกเคร่งครัดกับหน้าที่ของแก เมื่อแกจะหนาวจะร้อน ใครจะไปทัดทานห้ามปรามหรือให้สินจ้างรางวัล บวก 20, 50 หรือ 80% อะไรกับแก ๆ ไม่เอาด้วย แกมีระเบียบวินัยแน่นอน น่าจะยึดถือเป็นแบบฉบับไว้ปฏิบัติบ้าง

    พวกเธอและฉันที่กำลังคุยกันอยู่นี้ก็มีระเบียบปฏิบัติที่ดี แต่พวกเราคอยพยายามไม่สนใจมีอยู่ คือ เมื่อเกิดแล้วก็ต้องคิดว่าจะตาย มันน่าแปลกไหม เรื่องธรรมชาติปล่อยไป เขาดีเราจงพยายามมองความดีของ ธรรมชาติ ธรรมชาติมีระเบียบวินัย จงพยามยามมองความมีระเบียบวินัยของธรรมชาติ กฎธรรมดามี สภาพไม่เที่ยงไม่ผันแปร จงยอมรับนับถือกฎนั้น แล้วเธอทั้งหลายจะมีความสุขใจ

    พวกอรหันต์ทุกองค์เข้าพระนิพพานได้ ท่านไม่ได้เอาอะไรมาเป็นกำลัง นอกจากอารมณ์ตั้งมั่นและยอมรับนับถือกฎธรรมดา เท่านี้ท่านก็เข้านิพพานได้ เรื่องของหลวงพ่อปานธุดงค์มีหลายตอน รอก่อนนะ เพราะเมื่อคืนวันที่ 27 ฉันฝันสองรอบ จะเล่าเรื่องฝันให้ฟังก่อน คนแก่ขี้ฝัน แต่พวกลูกหลานต่อไปก็จะแก่เหมือนฉัน อาจจะขี้ฝันหรือ ขี้บ่นเหมือนฉัน ความฝันของฉันถ้าเห็นว่าดีก็จงจำไว้ใคร่ครวญ ถ้าเห็นว่าไม่เป็นเรื่องก็กองทิ้งไว้ตรงนี้ อย่านำไปใคร่ครวญให้เปลืองเวลาที่เป็นประโยชน์เลย

    คืนวันที่ 27 ฉันนอน 2 รอบ คือ รอบหัวค่ำและรอบเช้ามืด รอบหัวค่ำเริ่มนอนตั้งแต่ 20 น. ตื่น 21 น. แล้วไปหลับเอา 23 น. เศษ ตื่น 2.30 น. ตามแบบฉบับของคนแก่
     
  10. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๐.ฝันรอบแรก

    เมื่อฉันนอนรักษาอานาปานานุสสติกรรมฐาน กำหนดลมหายใจเข้าออกตามแบบฉบับของฤาษี-ลิงดำ เมื่ออารมณ์สบายฉันก็เริ่มฝัน ๆ ว่า ฉันออกจากที่อยู่ของฉันลอยขึ้นไปบนอากาศ มองเห็นพระจุฬามณี ยกมือไหว้แต่ไม่ได้แวะ ลอยเลยขึ้นไป ๆ พบสถานที่ ๆ หนึ่ง สวยงามมาก มีแสงสว่าง แพรวพราวราวกับแสงพระอาทิตย์สักพันดวง

    มีพระใหญ่นั่งอยู่ 1 องค์ มีแสงสว่างมาก มีพระบริวารนั่งแวดล้อมอยู่หลายองค์ ฉันเข้าไปหา พระใหญ่ท่านยิ้มแล้วพูดว่าคุณ ชีวิตเราเรียกร้องทวงคืนไม่ได้ เมื่อเราเกิดมาและแก่เพียงนี้แล้ว เมื่อเห็นเด็กหรือพวกหนุ่มสาวที่เขามีกำลังกายดี เขาสนุกสนานกัน เราอยากทำอย่างนั้นบ้าง แต่ทำไม่ได้เพราะความแก่ขัดขวาง อยากจะหันหลังกลับไปเป็นเด็กอีก หรือเป็นหนุ่มสาวอีก เราก็กลับหลังหันไม่ได้ ไม่เหมือนสถานที่ที่เราอาศัย ไปสถานที่อื่นแล้วกลับมาที่เดิมได้ สำหรับชีวิต เดินทางไปหาความตายเป็นปกติ

    ในที่สุดก็ตาย ทรัพย์สินที่เรามีอยู่ก็เหมือนกัน ส่วนที่เราหามาได้แล้วและเราใช้ไป มันก็หมดไปแล้ว ส่วนที่ยังปรากฎอยู่มันเป็นทรัพย์ที่เรายังไม่ได้ใช้ หรือทรัพย์สินที่หามาได้ใหม่ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เราใช้ไปแล้วกลับคืนมา สำหรับทรัพย์สินแตกต่างกับชีวิตอยู่หน่อยหนึ่ง คือ เมื่อชีวิตสลาย ทรัพย์สินมันคงอยู่กับโลก เราหามาด้วยความเหนื่อยยากมันไม่มีประโยชน์กับเราเลย เมื่อเราตายไปแล้วมันไม่ตามเราไป และกลับเป็นประโยชน์แก่คนอื่น เธอจะมาเอาชีวิตเพื่ออะไร

    จงคิดว่าเธอจะต้องตายคนใหม่มาอยู่ เขาจะไม่ทำอย่างเธอ ๆ อย่าห่วงมัน ต่อไปหาทางอบรมลูกศิษย์ลูกหาทางใจให้มาก สอนอารมณ์ให้มาก จะสุขใจเมื่อมีชีวิตอยู่ และตายแล้วจะมีความสุข ฉันฝันแล้วฉันก็รู้สึกตัว

    คิดว่านี้เป็นอารมณ์ของสมถะผสมวิปัสสนาญาณ การกำหนดรู้ว่าจะตายและจะสบายเมื่อตาย แล้วเป็นมรณานุสสติในสมถกรรมฐาน การรู้สภาพของทรัพย์สินและร่างกายสลายตัวเป็นอนัตตาตามอารมณ์วิปัสสนา ฉันฝันแล้วฉันชอบใจ เธอชอบหรือไม่ชอบก็ตามใจพวกเธอ
     
  11. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๑.ฝันรอบ 2

    เมื่อฉันรู้ตัวตามอำนาจของภวังค์ คำว่า ภควังค์ นักศึกษาทางใจยังเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่มาก ที่เข้าใจถูกก็มาก ที่เข้าใจคลาดเคลื่อนก็คือ คิดว่าอารมณ์เคลิ้มคล้ายหลับเป็นภวังค์เข้าใจอย่างนี้ไม่ถูก ภวังค์เป็นศัพท์ที่หมายถึง รู้ตัวตามอารมณ์เดิม คือตื่นนั้นเอง ตื่นจากหลับ ตื่นจากคิด ตื่นจากหลงผิด มันก็ตื่นเหมือนกัน นักสมาธิต้องเรียกสมาธิตกไป อารมณ์คืนสู่สภาพปกติ อาการเคลิ้มเป็นอาการหลับใน สมาธิ ไม่ใช่เป็นภวังค์

    เมื่อฉันรู้ตัวตามอำนาจของภวังค์แล้ว ฉันก็คิดถึงความฝัน ใคร่ครวญหาความจริง เห็นว่าฝันมีประโยชน์ก็เลยถือเป็นอารมณ์ พอเวลา 2. น. เศษ ก็หลับตามประสาคนแก่เจ้าอารมณ์ ถึงเวลา 2.30 น. ฉันตื่นตามปกติ ฉันใคร่ครวญชีวิตฉันตามปกติของลิงเจ้าอารมณ์

    เมื่อใคร่ครวญอารมณ์ปลดพอใจแล้ว เห็นใจไม่มีสี (จิตตานุปัสสนากรรมฐาน) เขาดูจิตในจิตด้วยอำนาจสมาธิ ใครทำได้เห็นเอง ทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องของคน ลิงป่าไม่เกี่ยว ฉันก็เริ่มจับอานาปานานุสสติร่วมกับอุปสมานุสสติ อนุสสติแบบนี้พวกสามลิงสามสัตว์ดิรัจฉานคล่อง เพราะหลวงพ่อปานสอนเสียจนมีอารมณ์เป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นของหนักเลย

    เมื่อฉันใคร่ครวญพระนิพพานตามกำลังของอานาปานานุสตติช่วยประคับประคอง อาการเคลิ้มก็ปรากฏ เมื่อมีอาการเคลิ้มปรากฏ ฉันก็ฝันรอบที่ 2 คราวนี้ฝันว่าลอยไปบนอากาศ ไปพบพระที่นิพพาน ท่านเป็นพระพุทธเจ้า

    เมื่อไปไหว้กราบท่าน ท่านบอกว่าคุณจงตามฉันมา แล้วท่านก็เดินนำหน้า ฉันเดินตามหลัง ไปถึงวิมานหลังหนึ่ง มีอาคาร 3 หลัง มีหอระฆังตั้งอยู่ข้างหน้า มีพื้นเป็นแก้วสวย วิมานก็สวยมาก พระท่านนั่งที่หอระฆัง ฉันนั่งข้างล่างตรงหน้าท่าน ฉันนั่งพนมมือ พระท่านสวยเหลือเกิน สว่างไสวมาก ท่านบอกว่าวิมานหลังนี้เป็นวิมานของคุณ เพราะผลที่สร้างวัด สร้างที่สาธารณประโยชน์ คุณชักชวนชาวบ้านทำ เขาก็พลอยมีวิมานไปตาม ๆ กัน แต่ที่นี่เป็นวิมานของคุณ มันสวยงามมาก แพรวพราวทั้งหลัง แม้แต่พื้นที่เดินก็ดีกว่าห้องนอนฉันในชาติปัจจุบันอย่างเทียบกันไม่ได้

    ท่านเตือนว่า คุณ ตัวคุณใสเหมือนเพชร ฉันก้มมองตัวมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่แก่เหลาเหย่เหมือนที่กำลังคุยอยู่นี่ ฉันนึกชอบใจตัวฉันมาก มีรัศมีสุกสว่างมาก ท่านบอกว่าที่นี่คุณเคยมาแล้วจำได้ไหม มองมามองไปก็จำได้ว่าเมื่อตายวาระที่ 3 เคยมาจริง ท่านชี้ให้ดูท่อนไม้เสี่ยงทายก็จำได้ เรื่องนี้เอาไว้พูดกันละเอียดเมื่อถึงตอนตายวาระที่ 3

    แล้วท่านบอกว่า คุณจะเอาแก้วมณีหรือเพชรสีน้ำมันก๊าดไปคลุกเปือกตมเพื่ออะไร คุณมองดูคนที่หลงอยู่ในกามคุณ ท่านพูดแล้วท่านก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์เห็นสกปรกโสโครกน่าสะอิดสะเอียน ท่านว่ามันมีสภาพเป็นทุกข์ ทุกคนมีแต่ความเร่าร้อน มีความทุกข์ประจำ ร่างกายก็โสโครก จิตใจก็ไม่สะอาด

    ความปรารถนากามารมณ์ หมายถึง การหลงในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ไม่ใช่อารมณ์ใคร่เพื่อร่วมรักอย่างเดียว คำว่ากาม แปลว่า ความใคร่ รมณ์มีคำเต็มว่าอารมณ์ แปลว่าความคิด คนที่คิดว่ารูปสวยทนทานไม่เปลี่ยนแปลง เสียงเพราะ เพราะฟังแต่เสียงประจบเอาใจ ลืมฟังเสียงด่า กลิ่นหอมคือดมแต่ที่หอม ตรงที่เหม็นแกไม่ยอมดม รสอร่อยดูกันตรงที่อร่อย ของร้อนยังไม่บูดไม่เน่า

    ตอนที่บูดเน่าจริง ๆ แกไม่ดื่มไม่กิน สัมผัสถูกต้องก็เลือกตอนที่นุ่มนวลแข็งแรง ตอนเหลาเหย่ไม่มีใครสนใจ ท่านว่าพวกที่หลงใหลในกามารมณ์มีสภาพเหมือนคนที่ถูกขังในเรือนจำ ต้องถูกลงโทษทรมานด้วยประการทั้งปวง มีกิเลสตัณหาเป็นผู้บัญชาการ ลงโทษตามกฎของกรรมชั่วที่หลงเพ้อละเมอฝันว่ามันเป็นของดี ทำไปแล้วเขาก็ลงโทษ

    จงอย่าเมาชีวิตเลยคุณ อารมณ์ใดที่เคยมาที่นี่ได้เมื่อ 15 ปีมาแล้ว เธอจงรักษาอารมณ์นั้นให้ปกติ เธอจะไม่มีทางได้รับทุกข์อย่างชาติปัจจุบันอีก ฝันเท่านี้แล้วฉันก็รู้สึกตัว พอใจไหมลูกหลาน ถ้าพอใจก็จำไว้คิด ไม่พอใจก็ตามใจ ต่อไปนี้ฟังเรื่องหลวงพ่อปานกันต่อไป
     
  12. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๒.พบโขลงช้างที่สระบุรี

    การธุดงค์ของหลวงพ่อปานมีมากวาระด้วยกัน จะคัดมาแต่ตอนที่เห็นว่าควรคุยกันเล่นเท่านั้น ที่นำมาคุยกันสู่กันฟังนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะร่วมทางกับท่านทุกครั้ง ที่ไม่ได้ร่วมทางก็มี ทราบจากท่านพูดให้ฟังในที่ประชุม

    ท่านออกธุดงค์ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า ตามที่ท่านมหากัสสปนำไปปฏิบัติเป็นปกติ ท่านไม่เที่ยวปักกลดตามข้างเสาเรือน ตามข้างตลาด กลางใจเมืองหลวง ธุดงค์แบบนี้ควรเรียกว่าธุดงค์ทำลายพระพุทธศาสนา หรือเรียกตามภาษาฉันว่า ธุดงค์จัญไร รับเงินรับทองรับของมีราคาก็ได้ สร้างความเสื่อมเสียให้แก่พระพุทธศาสนา ช่างไม่มีใครดูแลว่ากล่าวกันเสียบ้างเลย ปล่อยให้รกตาลิงอยู่ได้

    ท่านสมาทานกับหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา พระอุปัชฌาย์ของท่าน เมื่อสมาทาน คำว่าสมาทานคือ ขอเรียนวิธีปฏิบัติตนเมื่อขณะไปธุดงค์ เมื่อสมาทานแล้วท่านก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปพระพุทธบาท สมัยนั้นหารถยนต์เรือยนต์ที่ไหน ต้องใช้รถเท้าหรือถ่อกันทั้งนั้น

    เมื่อเข้าเขตสระบุรี ท่านเห็นป่าแห่งหนึ่งว่าทุ่งว่างประมาณร้อยไร่ เห็นหมู่บ้านไกลจากทุ่งประมาณ 2 กม. ท่านเป็นหัวหน้า มีพระติดตามมาอีก 4 องค์ รวมเป็น 5 องค์ทั้งท่าน สมัยนั้นพระออกธุดงค์อย่างมากไม่เกินชุดละ 5 องค์ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ลำบากชาวบ้านที่จะสงเคราะห์

    เมื่อท่านเห็นเหมาะ ท่านสั่งพลพรรคปักกลดตามระเบียบของธุดงค์ เมื่อปักกลดแล้วจะมีอันตรายขนาดไหนก็ตามจะถอนกลดหนีไม่ได้ ต้องยอมตายเพื่อธรรมเสมอ เมื่อท่านจะปักกลด ท่านเลือกชัยภูมิที่ท่านเห็นว่าเหมาะสม คือ เลือกเอาปากทางที่ออกมาจากป่า มีทางเดินออกจากป่าทางเดียว ตรงนั้นมีแอ่งน้ำแต่แห้ง แล้วท่านปักกลดตรงแอ่ง กลดของท่านคลุมปากแอ่งน้ำ ทุกองค์ต่างปักกลดเสร็จ พอเรียบร้อยชาวบ้านที่เป็นเจ้าของที่ในป่าที่มองเห็นมีบ้านประมาณ 4 หลังคาเรือน

    เมื่อเขามองเห็นสีเหลืองก็ทราบว่าเป็นพระมาปักกลด ต่างก็พากันออกมา นำน้ำตาลน้ำดื่มมาถวาย เมื่อพระฉันครบแล้ว เขาก็บอกว่าที่ทุ่งนี้มีโขลงช้างอยู่ 1 โขลง มันอาศัยอยู่ในป่านี้ มันออกมาอาละวาดเสมอ พระที่มาปักกลดทุ่งนี้ตายเพราะช้างหลายองค์แล้ว เขาขอให้ถอนกลดไปปักใกล้บ้านเขาจะได้ไม่มีภัย ถ้าหากมีก็จะได้ช่วยทัน หลวงพ่อท่านรักธรรมวินัยยิ่งกว่าชีวิต ท่านบอกว่าเมื่อปักกลดแล้วถอนไม่ได้ ถ้าจะมีอันตรายถึงตายก็ยอม เพราะมาเพื่อตายกับธรรม ไม่ใช่มาแสวงหาความสุขทางกาย ชาวบ้านจะอ้อนวอนเท่าไรท่านก็ยืนยันระเบียบ พวกเขาก็จนปัญญาเมื่อเขาหวังดีแต่ไม่มีผล ต่างก็สั่งว่าถ้าบังเอิญช้างออกมาให้เคาะฝาบาตรเขาจะรีบมาช่วย

    เมื่อเวลาใกล้ค่ำเขาก็พากันกลับ ก่อนกลับแสดงความห่วงใยมาก เมื่อชาวบ้านกลับ พระก็ต่างเข้าเจริญกรรมฐานตามความสามารถของตน เวลาผ่านไปประมาณ 22 น. ปรากฏว่าฝูงช้างออกมาจากป่าจริง ๆ เมื่อพระจะเจริญกรรมฐาน ท่านสั่งให้ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4 ให้เป็นฌาน ให้แผ่เมตตาไปทั่วจักรวาลแล้วจึงพิจารณาตามอารมณ์วิปัสสนาหรือภาวนาตามแบบสมถะ ท่านมีอาวุธของท่านครบทุกองค์ พระต่างใช้พรหมวิหารเป็นหลัก

    เมื่ออารมณ์สบายก็ทรงฌานตามปกติ มันเป็นเรื่องกล้วย ๆ สำหรับพระธุดงค์สมัยนั้น เมื่อฝูงช้างปรากฎ มีช้างตัวใหญ่ประเภทสีดอ ช้างงาสั้น ตัวใหญ่มาก ออกมาก่อนช้างตัวอื่น มายืนคร่อมกลดหลวงพ่อปานไว้ ด้วยท่านปักกลดปากทางออกพอดี ช้างตัวอื่นเมื่อจะออกมาต่างก็ต้องเบียดช้างตัวใหญ่ออกมาแล้วเดินไปตามทางเฉย ๆ ไม่มีใครสนใจกลดพระเลย เมื่อโขลงช้างตัวปกติออกไปหมดแล้ว ช้างตัวเอกจอมเกเรมาล่าสุด ชาวบ้านเรียกมันว่าไอ้เก เพราะงามันบิดเกไม่ตรงอยู่ข้างหนึ่ง

    พ่อเก พระเอกของโขลงออกมาแล้วแกเดินแบบคนเก ตอนนั้นเป็นตอนข้างขึ้น เดือนสว่างมากเพราะใกล้กลางเดือน พระเห็นช้างถนัดทุกเชือก คำว่าเชือกแทนคำว่าตัว นายเกเมื่อเดินมาถึงทุ่งกว้างแทนที่แกจะเดินเข้าป่าตรงข้ามอย่างเชือกอื่น แกก็เริ่มวางท่าทางเกของแกออกมา

    เมื่อแกเหลียวซ้ายแลขวามองเห็นกลดพระธุดงค์ที่ปักอยู่เป็นระยะ แกมองด้วยใจที่ไม่เป็นมิตร แล้วก็วิ่งเข้าใส่กลดหลวงพ่อทันที ท่านบอกว่าตอนนั้นฉันมีอารมณ์เป็นปกติ ฉันคิดถึงพระโพธิญาณเป็นอารมณ์ คิดว่าตายเมื่อไรฉันก็จะสบาย คือไปนอนรอเวลาที่ชั้นดุสิต

    ท่านบอกว่าท่านไปของท่านเป็นปกติจนมีอารมณ์รักชั้นดุสิตเป็นกำลังใหญ่ และพอใจพระโพธิญาณยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อเจ้าเกวิ่งเข้ามา ท่านบอกว่าท่านไปนอนดูมันอยู่ชั้นดุสิต แบบนี้จะหวาดหวั่นอะไร สำหรับพระที่ไปด้วยท่านบอกว่าฉันมองดูใจเขาทุกองค์ เขาเอาใจจดจ่อพระนิพพานทุกองค์ ฉันเลยสบายใจที่ฉันมีเพื่อน ไม่เสียทีที่ร่วมทางกันมา

    เมื่อเจ้าเกวิ่งมาใกล้กลดท่าน พอได้ระยะงวง เจ้าสีดอที่ยืนคร่อมกลดท่านอยู่ เจ้าสีดอก็เอางวงเหวี่ยงเจ้าเกเข้า 3 ปัป แต่ละทีเจ้าเกหัวซุนเกือบทิ่มดิน เมื่อหวดเข้า 3 ทีแล้วก็จับงาเจ้าเกบิด ท่านว่าที่งามันเกคงจะเป็นเพราะอานิสงส์เกเรของมันที่ถูกนายของมันจับงาบิดนั่นเอง เมื่อถูกบิดงา เจ้าเกก็เสียหลักล้มลงอย่างแรง เมื่อนายมันปล่อยปรากฏว่าหมดแรง เดินอย่างช้างสิ้นกำลังเข้าป่าตรงข้ามไป

    เมื่อเจ้าเกไปแล้วสักครู่ นายมันเดินวนเวียนสักพักใหญ่ เห็นพระไม่มีอันตราย ไม่มีใครมารบกวน แล้วก็หันมาทางกลดพระคุกเข่าลงชูงวงขึ้น ทำท่าเหมือนจะไหว้ แล้วก็ตามโขลงช้างลูกน้องไป ท่านบอกว่าสงสัยว่าช้างตัวนี้จะเป็นช้างพระโพธิสัตว์ ท่านสงสัยหรือท่านรู้ก็ไม่ทราบ เพราะถ้าพระองค์ไหนดีท่านมักจะใช้คำว่าสงสัยเสมอ

    เมื่อช้างไปแล้วพระธุดงค์ยังไม่ปลอดภัย ไม่ใช่เสือหรือหมูมารบกวน คราวนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ พระจันทร์ที่กำลังส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าดี ๆ มีดาวล้อมดูสวยสดงดงามในราตรีนั้น เพียงชั่วเวลาที่ช้างไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง อากาศก็มืดเอาเฉย ๆ มืดจนมองไม่เห็นแสงเดือนและดาว ท้องฟ้าเริ่มต่ำ หยาดน้ำเริ่มไหลลงจากฟากฟ้า มันมาแบบไม่คอยใคร ต่างคนต่างแย่งกันมา

    พระมีระเบียบว่าปักกลดแล้วถอนไม่ได้ยอมตายกับธรรม เมื่อช้างไปฝนมา คราวนี้เจ้าสีดอยอดเมตตาไม่มาช่วยแล้ว ด้วยตัวเองก็อาจจะกำลังหนีฝน ฝนกระหน่ำชนิดลืมหูลืมตาไม่ขึ้น พระนั่งไม่ได้ต้องยืนในกลด ออกก็ไม่ได้

    ขณะที่ยืนปรากฏว่าพระลูกน้องปักกลดบนพื้นดินปกติ น้ำท่วมขึ้นมาถึงเข่า ส่วนหลวงพ่อเองท่านว่าแอ่งมันลึกกว่าพื้นดินประมาณ 1 ศอก น้ำขึ้นมาถึงโคนขา กว่าฝนจะหายก็ผ่านไปเกือบ 2 ชม. โดยประมาณ

    เมื่อฝนหายแล้วพื้นแผ่นดินไม่แห้ง พระทุกองค์ต่างก็เอาบาตรมารองนั่งตาม ๆ กัน รุ่งเช้าชาวบ้านมาแต่เช้าเห็นพระไม่ตายเพราะอ้ายเก ต่างพากันเลื่อมใสมาก เมื่อเห็นพระเปียกไม่มีผ้าแทน ก็เอาผ้าพื้นผ้านุ่งผู้ชายนุ่งแทนจนกว่าผ้าเดิมจะแห้ง เมื่อจำเป็นนุ่งได้ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต ชาวบ้าน 5 หลังคาเรือนเลื่อมใสท่าน ขอให้อยู่โปรด 3 วัน

    เมื่อจะจากไปเขาขอของป้องกันเจ้าเก ท่านให้คาถาบทใหญ่และสำคัญที่สุดไว้ คาถาบทนั้นว่าดังนี้ “พุทโธ” ก่อนภาวนาขอให้นึกถึงบารมีพระพุทธเจ้าก่อน และแผ่เมตตาถึงเจ้าเกประกาศเป็นสัมพันธไมตรีกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน แล้วจึงภาวนาคาถา ปีต่อไปท่านผ่านไปต้องปักกลดที่นั่นทุกปี ด้วยเขาขอร้อง

    ปรากฏว่าคาถาของท่านได้ผล เขาพากันบอกว่านับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจ้าเกไม่เคยอาละวาดเลย ในกาลก่อนเคยทำลายฟ่อนข้าวและทรัพย์สิน เห็นคนก็ไล่แทง เมื่อได้คาถาแล้วมันมามันก็ไม่อยากมอง เดินก้มหน้าก้มตาไปเฉย ๆ ผลนี้มาจากไหน ใครทราบบ้าง ถ้าไม่ทราบจะบอกให้มาจากเมตตาบารมีพระพุทธา-นุสติกรรมฐานอย่างไรเล่า วันนี้พักเท่านี้นะ วันต่อไปฟังใหม่ เรื่องธุดงค์ยังไม่จบ
     
  13. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๓.หลวงพ่อปานไหว้พระพุทธบาท

    วันนี้วันที่ 29 พ.ย. 2514 วันนี้ฉันไม่ได้นอนฝัน คงไม่เสียเวลาเล่าเรื่องของหลวงพ่อปานตามที่ลูกหลานอยากรู้เรื่อง มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า อย่ามัวเล่นสำนวนกันเลย ฉันเป็นคนแก่ใจร้อน ด้วยทราบว่าเวลาตายใกล้เข้ามาเต็มที มีอะไรพอระบายได้ก็จะรีบระบาย ที่เกินวิสัยจะพูด เพราะถ้าพูดไปลูกหลานจะลงนรก ก็จะงดไม่พูด เพื่อความสุขของลูกหลาน

    เมื่อหลวงพ่อปานและคณะของท่านมีใครบ้าง ไม่บอกให้ทราบ เพราะเรื่องข้างหน้าหนัก คนที่ร่วมทางยังไม่ตายก็มี จะสร้างความหนักใจให้ท่าน เมื่ออำลาคณะท่านสาธุชนผู้ทรงความดีมีเมตตาแด่พระสงฆ์จริง ๆ ไม่ใช่พระสงฆ์ที่ธุดงค์ปลอม แล้วท่านก็มุ่งเข้าเขตพระ พุทธบาท ทางของพระธุดงค์ที่ผ่านเข้าพระพุทธบาทสมัยนั้นไม่มีทางรถ ใช้ทางเกวียนหรือทางเดินเท้าของชาวบ้าน เรื่องทางของดเพราะไม่มีความสำคัญ

    เมื่อเข้าพระพุทธบาทแล้วต่างก็นมัสการตามปกติของนักบุญ เวลาที่เข้านมัสการไม่ตรงกับเทศกาลนมัสการพระพุทธบาท ทั้งนี้หลวงพ่อท่านให้ความเห็นว่า การมานมัสการในงานเทศกาลคนแย่งกันไหว้ อารมณ์ตั้งมั่นน้อย มาไหว้แบบนี้เงียบสงัด อารมณ์เยือกเย็น มีปีติโสมนัสดีกว่าไหว้ในงานเทศกาลมาก

    เมื่อเวลายังไม่ใกล้ค่ำเหลือเวลามาก ท่านก็คุยเรื่องพระพุทธบาทให้คณะที่ร่วมทางไปด้วยฟัง ท่านว่าประวัติที่เขาเขียนจะเขียนว่าอย่างไรอย่าคำนึงถึง ทุกองค์จงใช้หลักวิชชา 3 ใช้ให้เป็นประโยชน์ คำว่าวิชา 3 หมายถึงอภิญญาเล็ก คือมีทิพยจักษุญาณและปุเพนิวาสานุสสติญาณ สำหรับทิพยจักษุญาณมีผลงานขยายออก
    มีชื่อต่าง ๆ ดังนี้
    ทิพยจักษุญาณ เป็นญาณแม่บท
    ญาณที่มีผลจากทิพยจักษุญาณ คือ ทำทิพยจักษุญาณได้อย่างเดียว ญาณต่าง ๆ เหล่านี้ติดตามมาคือ

    ก.จุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน คนและสัตว์ที่เกิดมาในปัจจุบันมาจากนรก สวรรค์ หรือมาจากพรหม

    ข.เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์คนและสัตว์ตามความรู้สึกของอารมณ์

    ค.อตีตังสญาณ รู้เรื่องที่ล่วงมาแล้วกี่ชาติก็ได้

    ง.ปัจจุบันนังสญาณ รู้เรื่องในปัจจุบันว่า คน สัตว์ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย กำลังทำอะไรอยู่ สบายหรือมีทุกข์

    จ.อนาคตังสญาณ รู้เรื่องที่จะมีต่อไปกี่ชาติก็ได้

    ฉ.ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลของความสุข ความทุกข์ของคน สัตว์ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ที่มีสุขมีทุกข์อยู่ในปัจจุบัน เพราะความดีความชั่วอะไรให้ผลความดีหรือความชั่วในอดีตหรือปัจจุบันให้ผล

    ช.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่ล่วงมาแล้วได้

    ตามที่พูดมานี้เพียง 2 ในวิชชา 3 เท่านั้น ส่วนอีกข้อหนึ่งคือ อาสวักขยญาณ การทำกิเลสให้สิ้นไป ยังไม่ใช้ในเวลานี้ หมายถึงเวลาที่ท่านไปธุดงค์กัน

    เข้าใจว่าขณะไปธุดงค์ยังคงไม่มีใครบรรลุอรหันต์ แต่คณะที่ร่วมทางคงทรงญาณตามที่กล่าวมาแล้วคล่องตัวทุกองค์ เมื่อท่านบอกว่าทุกองค์จงอย่าอาศัยประวัติ เพราะคนเขียนประวัติเอาแน่นักไม่ได้ เพราะเขียนตามความคิดว่าอาจจะเป็นตามนั้นก็ได้ ให้ใช้ญาณที่มีตามลำดับ อารมณ์จะได้ไม่เกาะอุปาทาน

    ท่านให้เวลาคนละ 3 นาที แล้วต่างคนต่างให้เขียนตอบท่านว่ามีอะไรสำคัญ ท่านทำแบบนี้เป็นการซักซ้อมคณะของท่านให้คล่องในการใช้ญาณ ทุกองค์เมื่อรับบัญชาไม่มีใครกล้าหลับตาด้วยเขาคล่องทั้งลืมตาและหลับตา ลืมตาดูเหมือนจะคล่องกว่าหลับตาเสียอีก ต่างก็หยิบกระดานที่ติดตัวไปออกมาเขียนตรงกัน

    ที่นี่มีความสำคัญทางพุทธศาสนาจริง นอกจากมีรอยพระพุทธบาทที่ไม่ปลอมซ่อนอยู่ใต้รอยพระพุทธบาทเทียมที่ท่านสร้างคลุมของเก่าไว้แล้ว ยังมีพระบรมสารีริกธาตุที่พระอรหันต์ท่านนำมาบรรจุไว้อีก 3 องค์ เมื่อทุกองค์ส่งหนังสือถวายท่าน ๆ อ่านแล้วก็ยิ้ม กล่าวว่า พวกเธอพอใช้ได้ แต่ยังไม่ดีแท้ เอาเท่านี้พอคุ้มตัวได้ คืนนี้มาพิสูจน์ความจริงกัน ที่พวกเธอว่ามีพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุมีที่ไหนต้องมีปาฏิหาริย์ที่นั่น

    เอาล่ะซี ท่านเกิดจะซ้อมความสามารถของญาณด้วยการพิสูจน์ปาฏิหาริย์ ทุกคนใจระทึกอยากเห็นพระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ หลวงพ่อท่านกำชับว่าอย่ามีอารมณ์อยากจนเป็นอุทธัจจะกุกกุจจะ คือ อารมณ์ฟุ้งเกินพอดี จิตไม่เป็นสมาธิ พระท่านจะไม่โปรด จงรักษาอารมณ์ให้สงบเป็นปกติ ดำรงฌานเป็นปกติ มีอารมณ์วิปัสสนาเป็นอารมณ์ หวังพระนิพพานเป็นที่ไป ชีวิตเธอและฉันอาจจะตายก่อนแสงจันทร์ที่มองเห็นในค่ำวันนี้ก็ได้ เรามีอันตรายรอบตัว อันตรายจากสัตว์ร้าย อันตรายจากคนพาล และอันตรายจากลมปราณที่มันอาจจะเกิดหยุดหมุนเวียนเสียเมื่อไรก็ได้ เมื่อมันหยุดเราก็ตาย

    ตายแล้วจะไปไหน ถ้ามีอารมณ์ฟุ้งซ่านอาจไปอบายภูมิได้ ควรรักษาสมาธิ มีเมตตา และอารมณ์วิปัสสนาที่ไม่มีอารมณ์เกาะ ปล่อยชีวิต ปล่อยทรัพย์สิน ปล่อยญาติ พวกพ้อง บิดามารดา คิดว่าเราไม่มีอะไร แม้แต่ร่างกายมันก็กำลังจะพัง โลกนี้เป็นทุกข์ เทวโลก พรหมโลกก็ไม่สิ้นทุกข์ พระนิพพาน เท่านั้นจะทำให้สิ้นทุกข์ ปลดเสียให้หมด

    อยู่อย่างคนมีความสุข เรื่องปาฏิหาริย์ของพระบรมธาตุเป็นภาระของฉัน พวกเธอยังมีกำลังอ่อน เชิญท่านอาจไม่ปรากฏ ขอให้เธอจงปล่อยให้เป็นภาระของฉัน โน่นต้นไม้ใบไม้ที่กำลังร่วงโรยหรือสดใส จงไปพิจารณาให้เป็นวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาไม่ใช่เกาะแต่ตำรา จงหาของจริงมาใคร่ครวญ วิปัสสนาท่านให้ดูของจริง ไม่ใช่มัวถ่างตาดูแต่ตำราแล้วก็ติดตำราแจ ของจริงไม่ใช้จะได้อะไรเป็นที่พึ่ง ท่านว่าแล้วท่านก็ขับคณะของท่านให้หาที่พักตามสบาย ต่างคนต่างอยู่ ห้ามรวมกันตั้งแต่ 2 องค์ขึ้นไป

    ตอนนี้หลานแปลกใจไหม ทำไมหลวงพ่อท่านเตือนพระของท่านอย่างนั้น ที่เตือนไม่ให้คำนึงถึงพระบรมธาตุ เพราะอารมณ์อยากเป็นนิวรณ์ที่กั้นความดีคือตัวทำลายสมาธิ อยากดีอยากชั่วก็ช่างเถอะ ต้องหยุดอยาก ถ้าขืนอยากอารมณ์ก็ฟุ้งหาอารมณ์สงัดไม่ได้

    แล้วท่านสอนให้มีอารมณ์เมตตา มีวิปัสสนา ลูกและหลานคงจะเห็นว่า มีอารมณ์คราวเดียวหลายอย่างพร้อมกันเหมือนพ่อครัวหุงข้าว เราต้องการผลคือข้าวที่สุกแล้ว แต่ขณะหุงต้องมีเตา มีเชื้อเพลิง มีเพลิง มีหม้อ มีน้ำ มีอุปกรณ์สำหรับเช็ดน้ำ มันต้องมีพร้อมกันจึงจะมีข้าวสุกได้ จะมีอะไรลำบากสำหรับพ่อครัวถ้าได้รับคำสั่งให้หุงข้าว ด้วยอุปกรณ์มีครบแล้ว และคล่องในการหุงดีแล้ว

    เรื่องพระคณะของหลวงพ่อก็เหมือนกัน ท่านทำจนไม่มีความรู้สึกหนัก จะมีอะไรลำบาก ลูกและหลานที่นั่งรับฟัง ถ้าอยากดีตามนี้ก็ลองดูบ้างก็ดี ไม่เสียผลประโยชน์ แต่อย่าหวังผลเร็วนักนะจะเสียเรื่อง เอาผลอะไรไม่ได้ ทำไปด้วยความเต็มใจ เชื่อผล ทำตามที่ท่านแนะนำ ความดีที่เป็นความดีไม่ใช่ดีปลอม จะเข้าถึงอย่างไรไม่มีอะไรหนัก และคงจะแปลกใจที่ท่านไม่สอนวิชาทำพระ ทำตะกรุดแจกเวลาไปธุดงค์ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นกิเลส

    พระธุดงค์ท่านตัดแล้ว ท่านไปเอาดีกัน ท่านไม่เอาเลวกัน แต่สมัยนี้ท่านคงพากันคิดว่า ถ้าได้ทรัพย์ได้ของมีค่า มีคนรับปวารณาเวลาธุดงค์เป็นของดีกระมัง จึงเห็นธุดงค์แบบมอญแปลงมากเหลือเกิน พระอุปัชฌาย์ควรเตือนสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกเสียบ้าง อย่าทำตนเป็นเต่าใหญ่ไข่กลบ ไม่เหลียวแลพระของตนบ้างเลย จะกลายเป็นต้นตอทำลายความดีของพระพุทธศาสนาไป
     
  14. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๔.ปาฏิหาริย์พระบรมธาตุ

    เมื่อเวลาใกล้ค่ำ คณะห้าธุดงค์มีหลวงพ่อปานเป็นประมุข ต่างก็หาที่ปักกลดตามที่ตนเห็น สมควร เมื่อปักกลดเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์ตามระเบียบของพระที่เดินไปหาที่ตายเพราะอยู่วัดสบายกว่า ท่านเดินไปกันอย่างชนิดไม่ทราบว่าอาหารมื้อหน้าหรือมื้อนี้จะมีที่ไหน ไม่มีใครสนใจเรื่องอาหาร เพราะคิดว่าตายเดี๋ยวนี้ไปนิพพานเดี๋ยวนี้ ไปนิพพานดีกว่าอยู่เป็นพระกินข้าว

    เมื่ออารมณ์ทุกท่านเป็นอย่างนี้ นอกจากหลวงพ่อปานท่านปรารถนาพระโพธิญานอย่างเดียว แต่ท่านก็มีชั้นดุสิตเป็นที่ไปเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว สมัยก่อนท่านสอนไปนิพพานช้า ไม่ใช่โตแล้วเรียนลัด แต่ท่านหวังผลแน่นอน ถ้ามีอารมณ์ถึงสวรรค์ชั้นกามาวจร ท่านก็สอนให้ไปชั้นที่ตัวมีวาสนาถึงเป็นประจำเพื่ออารมณ์จะได้ผูกพัน เมื่อตายอารมณ์จะ แจ่มใส มีที่ไปแน่นอน หรือท่านองค์ใดไปพรหมตามกำลังฌานได้ ท่านก็ไปของท่านเป็นประจำ พวกที่เบื่อสวรรค์กามาวจรหรือพรหม มีอารมณ์ถึงพระนิพพาน ถ้าได้มโนมยิทธิต่างก็ไปนอนนิพพานเป็นปกติ

    ตอนนี้พวกนักธรรมอาจจะสงสัยว่านิพพานนี่สูญนี่เจ้าประคุณ ไปนอนกันได้อย่างไร เอาอย่างนี้นะขอตอบแบบนักเทศน์ก่อน เพราะนักธรรมเป็นพวกนักเทศน์ เมื่อนิพพานสูญเรามีอารมณ์ถึงนิพพานได้และได้ มโนยิทธิ เราก็ไปนอนมันที่สูญตามที่เราเข้าใจ มันจะสูญแบบหมดไปเหมือนกระดาษเผาไฟ หรือสูญจากอำนาจกิเลสตัณหาก็ตามใจเถิด นอนมันตรงนั้นแหละ ทีนี้ถ้าตอบอย่างนักปฏิบัติตามลำดับคำสอน ก็ไม่มีอะไรยาก เราไปสวรรค์ได้ไปพรหมได้ ทำไมจะไปนิพพานไม่ได้ ถ้าอารมณ์เราละเอียดพอที่จะเข้านิพพานได้ ถ้าสงสัยเชิญทำให้ถึงจะหมดสงสัยเอง นักปฏิบัติต้องค้นคว้าด้วยการทำจริง ไม่ควรยึดอุปาทานที่ได้ยินได้ฟังมาเป็นหลัก ถ้าคิดอย่างนั้นไม่มีทางถึงอะไรเลย

    คุยฟุ้งไปเสียนาน ลูกหลานคงอยากฟังเรื่องพระบรมธาตุแสดงปาฏิหาริย์กันแย่แล้ว ฉันมันคนแก่ ลงได้บ่นอะไรแล้วก็มักจะบ่นเลอะเทอะเสมอ พวกลูกหลานจงจำไว้เมื่อเวลาที่เธอแก่ลงมากแล้ว อย่างไหนที่ฉันทำไว้หรือคนแก่คนอื่นทำไว้เห็นว่าไม่ดีจงอย่าลอกแบบไปทำ จงเป็นคนแก่ที่ทรงอารมณ์ปกติ ดีกว่าเป็นคนแก่ขี้บ่นอย่าฉัน ฉันคงรักพระพุทธศาสนามากไปกระมัง เรื่องของฉันเองไม่ใคร่บ่น แต่เห็นใครทำให้พระศาสนาผันแปรฉันอดบ่นไม่ได้ ถ้ารำคาญจงคิดว่าเราฟังเสียงลิงของหลวงพ่อบ่นให้ฟังก็แล้วกัน และจงภูมิใจที่ฟังเสียงสัตว์ดิรัจฉานรู้เรื่อง คงจะโก้กว่าคิดว่าฟังเสียงตาแก่บ่น

    เมื่อยามค่ำมาถึงเวลาประมาณ 20 น. อากาศกำลังสบาย ท่านเรียกพระเข้าประชุม ให้ทุกองค์ทรงพุทธานุสสติกรรมฐานจนอารมณ์ทรงฌานตามความพอใจของท่าน ท่านตรวจของท่านรู้ ไม่ต้องมานั่งถามให้ลูกศิษย์โกหกอาจารย์ เมื่อท่านพอใจแล้วท่านสั่งให้ทุกคนถอนออกจากฌาน ตั้งอารมณ์อยู่อุปจาร-สมาธิ เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของพระชุดนั้น

    เมื่อทุกองค์ทรงอุปจารสมาธิพร้อมแล้ว ท่านเปล่งวาจาดัง ๆ ว่า ด้วยข้าฯ เคยบำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ถ้าการบำเพ็ญบารมีนี้จะเป็นปัจจัยให้ข้าฯ ได้บรรลุพระโพธิญาณในอนาคตแล้ว ขอสมเด็จองค์พระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดแสดงปาฏิหาริย์ให้เป็นมหัศจรรย์ จะเป็นปาฏิหาริย์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ตามแต่พระพุทธองค์จะทรงเมตตา เพื่อปลูกฝังศรัทธาของพระที่ร่วมเดินทางมา ณ บัดนี้เถิดพระพุทธเจ้าข้า แล้วท่านก็เข้าสมาธิ บรรดาลิงหน้าพลับพลาทั้งหลายก็เข้าสมาธิบ้าง เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่าพยายามขี้ตามช้าง เมื่อเห็นช้างขี้ลิงก็ขี้บ้าง แต่ทว่าจะขี้ก้อนเท่าช้างหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอให้ขี้อย่างช้างได้ก็แล้วกัน

    เมื่อต่างคนต่างขี้ตามช้าง เวลาผ่านไปไม่ถึง 2 นาที ก็ปรากฏเป็นดวงดาวดวงใหญ่ ประมาณว่าผ่าศูนย์กลางสัก 200 เซนต์กว่า ใหญ่เหลือเกิน ขึ้นมาจากยอดเขาที่พระพุทธบาท มี 3 ดวงด้วยกัน มีแสงสว่างมาก หลวงพ่อปานมีคำสั่งให้บรรดาลิงหน้าพลับพลาทั้งหลายลืมตาชมพระพุทธบารมี ดวงดาวดวงนั้นตั้งอยู่ที่ยอดเขานานประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วก็ลอยวนรอบเขา 3 รอบ แล้วมาตั้งอยู่ที่พระพุทธบาทนานประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ เลื่อนไปที่เดิมอย่างช้า ๆ หลวงพ่อปานท่านกราบ พวกลิงหน้าพลับพลาก็กราบ กราบด้วยอารมณ์ปีติชุ่มชื่น

    เมื่อดวงดาวหายเข้าที่เดิม หลวงพ่อสั่งเจริญพุทธานุสสติตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ ลูกหลานทั้งหลาย พระที่ไปคราวนั้นแต่ละท่านบอกว่าเกิดธรรมปีติบอกไม่ถูก ตลอดคืนไม่มีใครหลับ อารมณ์โพลงตลอดคืน อารมณ์สมถะและภาวนาแจ่มใสกว่าที่เคยทำมาแล้วหลายเท่า เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างไม่มีอะไรสงสัย เชื่อมั่นในหลวงพ่อปานว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีแก่กล้าจริง ความเชื่อ 2 ประการนี้เป็นผลใหญ่ ทำให้ไม่มีใครหลับ เมื่อไม่หลับก็ต้องออกเที่ยวเป็นการสร้างความเพลิดเพลินให้แก่อารมณ์ การเที่ยวไม่ได้เที่ยวป่า ด้วยเกรงว่าเสือจะอ้วนเร็วเกินไป

    สถานที่เที่ยวก็คือกามาวจรทุกชั้น พรหมโลกทุกชั้น และไปหยุดเอาที่นิพพานที่พวกนักธรรมว่าสูญ ไปไหนมีเจ้าถิ่นต้อนรับด้วยดีอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์แจ่มใส ร่างที่ออกไปใสกว่าเดิมหลายเท่า เรื่องคบอาจารย์ชั้นจานแก้วนี่ดีนัก ดีกว่าคบจานถ้วยเพราะแตกง่าย จานกะละมังก็มีกระเทาะ จาน 2 อย่าง ความสวยสดสะอาดน้อยกว่าจานแก้ว จานแก้วสะอาดกว่ามาก ศักดิ์ศรีก็ดีกว่าเยอะ อาจารย์ผู้สอนธรรมก็เหมือนกัน ถ้าไปพบจานกะละมังหรือจานถ้วยก็แย่หน่อย พบจานแก้วก็บุญตัว

    เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎของกรรม ช่วยอะไรใครไม่ได้ พระชุดนั้นท่านมีบุญ ท่านพบจานแก้ว ท่านเลยเป็นแก้วไปด้วย แต่ละท่านต่างเอาตัวรอดได้ไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้หมดเท่านี้ วันนี้พักเท่านี้นะเพราะฉันมีงานมาก ต้องมีภาระเป็นพ่อบ้านเอง ขอพักไปทำงานอื่นก่อน วันพรุ่งนี้ถ้ามีเวลาจะเล่าให้ฟังใหม่

    แต่ไม่แน่นัก ด้วยพวกศาลไม่ใช่ศาลเจ้าเป็นศาล ตัดสิน เขาว่าเขาจะมาหา ถ้าเขามีก็คงไม่มีเวลาคุย ถ้าเขาไม่มาจะเล่าเรื่องพระพุทธฉายให้ฟัง มีปาฏิหาริย์เหมือนกัน ที่แปลกออกไปก็คือ พระเขียนที่ร่วมเดินทางไปด้วยเกือบเสียทียักษ์ เอาไว้รู้กันวันหน้า วันนี้เหลืออีก 15 นาที จะ 11 น. จะพักฉันเพล และทำงานอื่น ขอลูกหลานทุกคนที่รับฟังจงทรงตัวอยู่ในความดีโดยธรรมทั่วกันเถิด
     
  15. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๕.นมัสการพระพุทธฉาย

    เมื่อคณะธุดงค์ทั้งห้า มีหลวงพ่อปานเป็นประมุข นมัสการพระพุทธฉาย และอยู่ในบริเวณนั้นรวม 3 วัน เมื่อมีความอิ่มในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอสมควรแก่ความประสงค์แล้ว ปูชนียสถานที่คณะธุดงค์ทั้งห้าต้องการนมัสการอีกก็คือ พระพุทธฉาย เขตสระบุรีเหมือนกัน แต่ต้องเดินทางไปทางตะวันออก และล่องใต้นิดหน่อย เรื่องทางที่จะไปเป็นภาระของหลวงพ่อปาน

    เมื่อก่อนออกเดินทางต่างก็เจริญพุทธานุสสติเพื่อเป็นการถวายความเคารพในพระพุทธเจ้า จนเข้าอยู่ในระดับฌานสูงสุดเท่าที่แต่ละท่านจะทำได้ แล้วถอนสมาธิออกจากฌานมาตั้งอยู่ในอารมณ์สมาธิขั้นอุปจารสมาธิ พิจารณาวิปัสสนาญาณเต็มระดับ คือปล่อยหมด เห็นว่าโลกนี้ เทวโลก พรหมโลก ไม่มีอะไรน่ารัก น่าพอใจ มีอารมณ์ยึดพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง

    เมื่ออารมณ์ละเอียดปลดได้ตามความพอใจแล้วก็เข้าฌาน 4 ในสมถะใหม่ ทำให้ฌานกลายเป็นผลสมาบัติไป เมื่อความอิ่มในพระพุทธบารมีเต็มตามความพอใจแล้ว ทุกท่านก็ถวายนมัสการอีกวาระหนึ่ง ทำวัตรขอขมาโทษหากจะพึงมีการพลั้งพลาดเพราะประมาทหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ถ้าหากจะพึงมี เป็นการป้องกันความผิดไว้ก่อน แล้วแต่ละท่านก็ออกเดินทางไปพระพุทธฉาย

    การเดินทางรอนแรมจากพระพุทธบาทไปพระพุทธฉายระยะทางไม่ไกลนัก แต่คณะธุดงค์ชุดนี้ก็เดินทางอย่างพระธุดงค์ ไม่ใช่เดินดงคือค่อยไป เดินประมาณวันละ 5 กิโลเมตร ไปตามสบาย พักตามสบาย เพราะสมัยนั้นไม่มีอะไรไม่สบาย ไม่ผ่านตัวเมืองสระบุรีเพราะไม่ต้องการพบบ้าน ไม่อยาก รบกวนอาหารจากชาวบ้าน ได้อาศัยอาหารจากต้นไม้เป็นอาหารหลัก แต่ก็ไม่ใช่สมาทานเป็นลิงขึ้นยอดไม้เพื่อเก็บผลไม้รับประทาน

    ด้วยคณะธุดงค์เชื่อว่าเทวดาประจำต้นไม่มี ไม่เป็นเรื่องของพราหมณ์พูดเล่นพล่อย ๆ เมื่อเชื่อว่าต้นไม้มีเทวดาก็เลยถือโอกาสขอข้าวจากเทวดากิน เพราะเทวดาไม่ต้องหุงข้าว แกคง ไม่ลำบากนักเมื่อขอจริง เทวดาก็มีอาหารให้จริง เมื่อได้เท่าไรก็ตาม กินแล้วอิ่มตลอดทั้งวัน และอิ่มจนกว่าจะถึงรอบใหม่ ไม่หิว ไม่เพลีย แม้น้ำก็ไม่กระหาย ใครว่าเทวดาตามต้นไม้เป็นเทวดาพราหมณ์ก็ช่างปะไร จะเป็นเทวดาพรามหณ์หรือเทวดาพุทธ เราก็เอาข้าวกินได้ จะเสียหายอะไร

    เมื่อเดินทางโดยลัดตัดป่าเป็นสรณะ แปลว่าที่พึ่ง คือพึ่งป่า เพราะร่มรื่นไม่ร้อนจากแสงอาทิตย์มากนัก เป็นสถานสงัด ภาษาพระท่านเรียกว่ากายวิเวกคือสงัดกาย หมายถึงไม่หนวกหู ชาวบ้านคุยกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ยั่วเย้าเคล้ากามารมณ์กันบ้าง อาการอย่างนี้พระธุดงค์รำคาญ ด้วยมีความประสงค์สงัดกายเป็นอันดับแรก และต้องการความสงัดที่ 2 ก็คือจิตวิเวก แปลว่าสงัดจิต ที่เอาศัพท์วัด ภาษาวัดมาเขียนและพูดไว้ก็เพื่อให้ลูกหลานที่ไม่ใคร่ได้เข้าวัดจะได้รู้ภาษาวัดไว้บ้าง ด้วยพวกนักคุยอวดวัดชอบใช้ภาษา แต่เขาไม่ใคร่ชอบใช้ปฏิปทา คือ พูดได้ แต่การปฏิบัติไม่ค่อยเอาไหน

    แม้พระนักเทศน์ที่เทศน์สอนชาวบ้านก็เถอะ ลองไปถามแกเข้าเถอะ ดีไม่ดีแกบอกว่าแกไม่ว่างทำเอง เพราะงานสอนชาวบ้านมากเกินไป แกเลยไม่มีเวลาทำเอง พระอย่างนี้น่าเห็นใจท่านที่ชาวบ้านรบกวนเวลาท่านมาก ควรจะเลิกรบกวนท่าน เพื่อท่านจะได้สงเคราะห์ตัวเองสะดวก วิธีสงเคราะห์ก็คือไม่นิมนต์ท่านเทศน์หรือนิมนต์เทศน์ไม่ถวายเงิน เท่านี้ก็หมดเรื่อง ท่านจะได้ว่างทำเองเสียบ้าง หนวดเคราของท่านจะได้เกลี้ยงเกลาคล้ายหัวฉัน เธอดูหัวฉัน ๆ จะโกนหรือไม่โกนมันก็ล้านมากเข้าทุกวัน ฉันดีใจที่หัวฉันล้าน เพราะเป็นที่ยอมรับถือ

    กรรมฐานอันดับแรกที่ฉันบวช ท่านอุปัชฌาย์ท่านสอนว่าเกศา ผม มันไม่เที่ยง มันเกิดแล้วก็เสื่อม ตอนต้น ๆ ไม่เชื่อเห็นมันดกดำดี หนาทึบ มาตอนนี้ชักเห็นจริงที่มันพยายามล้านมากขึ้นทุกปี ฉันดีใจที่กรรมฐานหัวฉันเป็นจริงตามที่ท่านอุปัชฌาย์ท่านว่า แอบมาคุยอวดหัวล้านเพลินไปเสียแล้ว ว่ากันด้านสงัดที่ 2 คือจิตวิเวก สงัดจิต ได้แก่อารมณ์ฌาน เมื่อจิตจะเป็นฌานได้ต้องปราบนิวรณ์ 5 สงบ เมื่อนิวรณ์ 5 สงบ จิตก็สงัดจากนิวรณ์ ท่านเรียกว่าฌาน

    เมื่อกายวิเวกเพราะไม่มีเสียงชาวบ้านรบกวน อารมณ์ก็เป็นสมาธิง่าย เรียกว่าเข้าฌานสบาย เมื่อวิเวกทั้งสองได้แล้วก็ต้องการวิเวกที่ 3 ต่อไป คือ อุปธิวิเวก แปลว่าสงัดกิเลส อันนี้ไม่ยาก เมื่อสมาธิดีแล้ว ทรงฌานเต็มกำลังได้แล้ว ก็เอาฌานเป็นบาท คือที่ตั้งอารมณ์ แสวงหาความจริงมาใคร่ครวญ ทรงอารมณ์ให้เห็นจริงตามความเป็นจริง มันเป็นเรื่องกล้วย ๆ ของท่านที่ทรงฌาน และไม่คิดว่าฌานเป็นของเลิศ พยายามแสวงหาความบริสุทธิ์ของจิตต่อไป

    พระที่เดินทางร่วมกับหลวงพ่อปานคราวนั้น เป็นพระทรงสมาบัติ 8 ทั้งหมด เมื่อทรงสมาบัติ 8 แล้วยังรักษากำลังวิปัสสนาไม่สมบูรณ์ หลวงพ่อท่านจึงนำออกป่าเพื่อซ้อมรบใหญ่ นอกจากทรงสมาบัติ 8 แล้ว เป็นพระทรงฌาน 2 ในวิชชา 3 ทั้งหมด ส่วนอภิญญานั้นใครจะทรงได้บ้างคณะของท่านไม่ได้บอก เมื่อเจ้าของไม่บอก ฉันจะแอบไปรู้เกินท่านบอกมันอาจจะเกินพอดีไป เขาจะว่าหัวล้านนอกครูหรือหัวล้านทะเล้น ไม่รู้ดีกว่า จะได้ทรงความหัวล้านไว้เป็นปกติ คือมันล้านแล้วมันจะได้ไม่มีผมยาวขึ้นมาอีก

    ฉันมันเลอะเทอะใหญ่แล้ว ลูกหลานรำคาญที่จะฟังหรือยัง วันนี้ฉันเผลอไป ลืมบอกไปว่าวันนี้เป็นวันที่ 30 พ.ย. 2514 ยังเช้ามาก พวกศาลในเมืองเขายังไม่มา ก็เลยหาโอกาสคุยกับลูกหลานแก้รำคาญไปพลาง ๆ แต่ทว่าทำให้ลูกหลานรำคาญหรือเปล่าไม่รู้ ใครรำคาญก็เฉยไว้ ไม่รำคาญก็ตั้งใจฟังต่อไป เรื่องพระพุทธฉายนี้ต่อไปข้างหน้ารบกันใหญ่ จะพบพระทะเลาะกับยักษ์ คำว่ายักษ์นี้ไม่ใช่ยักษ์ทศกัณฐ์ หรือ ยักยอก เป็นยักษ์ผี ฟังกันต่อไป

    เมื่อรอนแรมมาในระยะทางใกล้ๆ แต่เดินไม่ใคร่ถึง เพราะเดินกันแบบธุดงค์ ไม่ใช่เดินดงจะให้รีบไปพ้นป่า คณะนี้เป็นคณะอาศัยป่า สมาทานเป็นอรัญวาสีแท้ คือ ไม่อยากเห็นบ้าน ไม่อยากกินข้าวชาวบ้าน เพราะรำคาญเสียง ลำบากในการกินที่รสอาหารชาวบ้านมีกลิ่นคาว อาหรจากต้นไม้ไม่มีกลิ่นคาว กินแล้วอิ่มสบาย ไม่กระหายน้ำ ดีกว่าอาหารชาวบ้านเยอะ อ้ายสองลิงมันถึงไม่ยอมเข้าบ้านเข้าเมือง ชวนเท่าไรมันไม่เอา มันบอกว่ามันไม่ได้เป็นขี้ข้าชาวบ้าน มันอยู่ป่าของมันสบายกว่า ด้วยอาหารป่า การอยู่ป่าสบายบอกไม่ถูก

    เมื่อถึงพระพุทธฉาย เรื่องก็เป็นไปตามเดิม ท่านให้ทุกองค์เข้าอาโลกกสิณเต็มระดับ ฟังแล้วอย่าคิดว่ายากนะ เขาใช้เวลากันไม่ถึงครึ่งวินาทีก็เต็มแล้ว ด้วยปกติมันคอยจะเต็มอยู่แล้ว ยิ่งเดินผ่านอารมณ์ยิ่งเต็ม ก่อนออกเดินต้องเข้าฌาน 4 เต็มอัตราก่อน แล้วถอยมาตั้งอยู่ระดับปฐมฌานหรืออุปจารฌาน พร้อมที่จะเข้าฌาน 4 ได้อย่างฉับพลัน

    เมื่อได้รับบัญชาทุกองค์จึงเข้าอาโลกกสิณเต็มระดับ ต่างก็ทราบว่าหลวงพ่อจะได้พิสูจน์ความจริงเรื่องพระพุทธฉายอีกแล้ว ต่างก็เข้าฌาน 4 ในอาโลกกสิณทันที ปัปเดียวถึงเลย หายใจเข้ายังไม่ทันหายใจออก ลมหายใจมันก็หายไปเลย เป็นอันว่าฌาน 4 มาถึงแล้ว ไม่เห็นยากเลย เมื่อท่านตรวจเห็นว่าทรงฌานดี อารมณ์สะอาด ท่านบอกให้ทดสอบเรื่องพระพุทธฉายว่าพระพุทธเจ้ามาฉายไว้จริงหรือเปล่า มีใครเป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้ามาฉาย


    คณะสี่ลิงหน้าพลับพลาต่างก็ตรวจตามความสามารถ ผลงานที่เขียนไว้ตรงกัน คือเห็นแถวบริเวณพระพุทธฉายเป็นเขตใกล้ทะเล มีคน 2 คน คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ สูง ผิวขาว หน้ามน ๆ อีกคนหนึ่งผิวดำ สันทัดคน ร่างเล็กกว่าคนก่อน เป็นหัวหน้าสร้างที่พักด้วยไม้เหลือง เสร็จแล้วมีพระนิมนต์พระพุทธเจ้ามาพร้อมด้วยพระสาวกไม่กี่รูป เมื่อพระองค์ทรงเทศน์จบแล้วจะกลับ เขา 2 คน ขอให้พระองค์ทรงทำของที่ระลึก ท่านเลยเนรมิตรูปท่านกับพระอัครสาวกทั้งสองไว้เพื่อให้เขาบูชา

    พอผลงานปรากฏต่างก็ถวายอักษรสาร แต่ไม่ใช่ตราตั้ง เป็นสารผลงาน หลวงพ่อตรวจแล้วท่านชมว่าดี แต่ยังมีผลน้อยไป ควรรู้มากกว่านี้ แล้วท่านก็ว่าดีแล้ว พวกแกเอาตัวรอดได้ เดินห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว ระวังให้ดีนะ ถ้าเผลออาจลงนรกได้ไม่ยาก ทำเกือบตายท่านว่าห่างปากขุมนรกนิ้วเดียว แล้วก็พวกที่เขาว่าเป็นฝ่ายคามวาสี อรัญวาสี แกบวชของแกยังไง อุปัชฌาย์ไหนบวชให้ ไม่สั่งสอนกันเสียบ้างเลย ได้เงินค่าจ้าง บวชแล้วก็หายไปหมด แบบเต่าใหญ่ไข่กลบ ไม่โผล่หน้าโผล่ตามาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาเสียบ้างเลย ปล่อยให้พระในพุทธศาสนาขายหน้าไปตาม ๆ กัน พูดกับเขาได้ว่าตนเป็นฝ่ายคามวาสี พวกอยู่ในบ้านในเมืองเจริญสมถภาวนาไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ พวกที่เจริญสมถภาวนาต้องเป็นอรัญวาสี พวกอยู่ป่า ถามจริง ๆ เถอะ

    สมัยพระพุทธเจ้า พระคามวาสีมีจำนวนเท่าไรที่บรรลุอรหัตผล ฝ่ายอรัญวาสีมีจำนวนเท่าไร ท่านโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร ท่านก็ฝ่ายคามวาสีทำไมท่านเป็นพระอรหันต์ได้ พระแบบนี้บวชอุปัชฌาย์ไหนนะ อยากรู้จริง ๆ ให้ท่านดูพระไตรปิกฎเสียบ้าง พระอย่างนี้มีมากเท่าใดก็ทำให้พระศาสนาเศร้าหมองมากเท่านั้น เลี้ยงขโมยเราก็เป็นขโมยด้วย เลี้ยงผู้มีอารมณ์สงเคราะห์ เราก็เป็นนักสงเคราะห์ด้วย เลี้ยงพวกทำลายศาสนาเราจะเป็นอะไร พวกนี้เขาจะเดินห่างนรกสักกี่วา พวกทรงสมาบัติ 8 ได้วิชชา 2 ใน 3 อภิญญาไม่ทราบท่านได้หรือไม่ ด้วยท่านไม่ได้บอก

    หลวงพ่อท่านว่าเดินห่างปากนรกนิ้วเดียว ตามขวางของนิ้วท่าน ท่านทำท่าให้ดู ไม่ใช่นิ้วฟุต แล้วพวกคามวาสีไม่เอาไหนเลย อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา กฎที่พระจำต้องทำไม่ใช่ว่าควรทำ คำว่าจำต้องทำมันเป็นกฎตายตัวหรือข้อบังคับ ตัวไม่ทำ ชาวบ้านทำได้ พระทำไม่ได้ มันไม่เลวเกินไปหรือหลวงพ่อ พวกนี้เขาจะเดินห่างนรกสักกี่วา ลืมถามหลวงพ่อท่านไป ดีไม่ดีพญายมเบื่อความเลวที่ไม่เอาไหนอาจจะปล่อยเป็นสัมภเวสีไปตามอารมณ์ก็ได้

    เมื่อท่านสั่งให้พิสูจน์เพื่อฝึกซ้อมศิษย์ในด้านการใช้ญาณเพื่อผลในการช่วยตัวเองแล้ว ท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านจะมาฉายไว้ จริงหรือไม่ค่ำวันนี้ก็รู้กัน ฉันจะพิสูจน์อย่างที่พระพุทธบาท เมื่อยามค่ำปรากฏการพิสูจน์ก็มีขึ้น พิธีอย่างเดียวกัน แต่ผลที่ปรากฏ ไม่ใช่ดวงดาว ปรากฏเป็นรูปพระพุทธเจ้าอย่างพระสงฆ์ ไม่ใช่แบบเชียงแสนหรือสุโขทัย อู่ทอง เป็น พระสงฆ์เราเอง สวยบอกไม่ถูก พระทุกองค์จำได้ เพราะเห็นเป็นปกติ มีรัศมีช่วงโชติพุ่งออกจากพระ วรกาย สวยงามมากดูเหมือนคล้ายเอานีออนไปประดับ แต่สวยกว่าแสงไฟฟ้ามาก มีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรนั่งองค์ละข้าง ลืมตาดูสบาย ดูแล้วก็เกิดธรรมปีติ ไม่ต้องบรรยายดีกว่า พูดไปก็ซ้ำกัน รำคาญเปล่า ๆ

    เมื่อถึงเวลาดึกประมาณ 24 น. เรื่องเวลานี้ต้องถือว่าไม่ตรงเสมอไป ด้วยใช้คำว่าประมาณเพราะกะเอา ไม่มีนาฬิกา ใช้แต่นาฬิกากะ คือกะเอาอย่างนั้นเอง เพราะฉันข้าวเวลาเดียว เรื่องอะไรจะต้องดูนาฬิกา เรื่องถึงไหน เมื่อไรไม่ใช่ธุระ ไปกันตามสบาย ไปตามอารมณ์ อยากไปก็ไป ไม่อยากก็พัก ไม่มีกำหนดแน่ว่าจะเดินเมื่อไร พักเท่าไร เมื่อเวลา 24 น. ผ่านไป ต่างก็เข้ามุ้งนอนตามปกติ แต่ไม่มีใครหลับ เพราะธรรมปีติเบิกลูกตา

    พอเวลาผ่านไปประมาณ 2 น. ดวงจันทร์ปรากฏบนท้องฟ้าเริ่มจะหาย เพราะท่าน ไม่อยากอยู่ตลอดคืน มีแสงดาวค่อยสว่างเต็มที่ ต่างก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อปานพูดในกลดของท่านว่า นั่นใครมายืนอยู่ข้างกลดพระเขียน ทุกองค์มองไปก็ไม่เห็นมีใคร เห็นแต่ต้นไม้สูงมาก สูงขนาดยอดยางเห็นจะได้ ต้นยางขนาดสูงนะ ไม่ใช่ต้นยางขนาดฟุตเดียว ต่างก็แปลกใจที่ตรงนั้นขณะปักกลดไม่มีต้นไม้แล้ว ต้นไม้นี้มามีขึ้นได้อย่งไร มองไปด้านบนเห็นกิ่งไม้สองกิ่งแกว่งไปแกว่งมา ดูท่อนล่างเห็นเป็นต้นไม้แฝด มีลำต้นสองต้นเบื้องล่าง แต่พอสูงขึ้นไปต้นไม้กลับรวมเป็นต้นเดียว มีกิ่งสองกิ่งแต่ก็ห้อยลงมา ขาดพับตามต้นแกว่งไปแกว่งมา ปลายกิ่งมีก้านสั้น ๆ กิ่งละ 5 ก้าน มองสูงขึ้นไปบนยอดเห็นมีไฟแดง 2 ดวง ทุกองค์มองดูอยู่ในกลด

    เมื่อเห็นทั่วตัวต่างก็ทราบว่าไม่ใช่ต้นไม้ เป็นยักษ์ ไม่มีใครสะดุ้ง เสียงหลวงพ่อปานถามต่อไปว่ามายืนอยู่ทำไม เจ้าหมอนั่นนิ่งสักครู่หนึ่งแล้วมันพูดว่าผมขอพระองค์นี้ได้ไหมครับ พระองค์นั้นคือพระเขียนที่ร่วมทางไปด้วย เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน เสียงหลวงพ่อตอบว่าไม่ได้ ญาติโยมเขาฝากมา จะเอาไปไม่ได้ เจ้าตาแดงสูงเหมือนต้นตาลมันยืนนิ่งสักครู่หนึ่ง มันก้มลงมองที่กลด พระเขียน เสียงมันพูดว่าไม่ให้ก็ไม่เอา ลาล่ะ มันพูดแล้วมันก็เดินหายไปทางทิศตะวันตก

    เมื่อเจ้าต้นไม้ประหลาดหายไปแล้ว ได้ยินเสียงหลวงพ่อปานร้องถามว่า ใครไม่หลับบ้าง นิมนต์มาหาฉัน ทุกองค์ปรากฏว่าไม่มีใครหลับเลยและต่างก็ได้ยินหลวงพ่อปานพูดกับเจ้ายักษ์ดำ เห็น เหตุการณ์ตลอดเหมือนกันทุกองค์ เมื่อพระมาประชุมพร้อมกัน ท่านก็บอกให้พระทุกองค์ทราบว่า พระเขียนเข้าสู่เขตกาลมรณะ จะต้องตายตามวาระของอายุขัย แต่ทว่าอาศัยความดีที่ทรงศีลบริสุทธิ์ ทรงสมาธิและวิปัสสนาญาณ ประกอบกับมาธุดงค์ เป็นการที่ท่านพอจะขอร้องเขาไว้ได้ชั่วขณะเดียว

    เมื่อกลับถึงวัดแล้วท่านบอกว่า อาจจะประวิงเวลาไม่ได้อีกนานนัก ขอให้พระเขียนและทุกองค์เตรียมตัวพร้อมที่จะตายได้ อะไรที่ไม่เกินวิสัยที่จะทำ นั้นคือวิปัสสนาญาณ ให้ขยันหมั่นเพียรให้มาก ชำระจิตใจให้สะอาดเป็นปกติ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ จงวางภาระว่าเราของเราเสียให้สิ้น ด้วยไม่มีอะไรเลยเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายก็มีเจ้าของคือมรณภัยมันมาทวงคืน ทุกองค์รับคำสอนด้วยดี

    มีท่านหนึ่งในจำนวน 4 ท่านถามท่านว่า หลวงพ่อทราบหรือไม่วาพระเขียนจะต้องเข้าระยะมรณะในวันนี้ ท่านบอกว่าท่านทราบมาก่อน ท่านทราบมาจากนายบัญชี ท่านรู้จักกับเขาดี ที่ชวนมาธุดงค์ด้วยและคุณเขียนก็เต็มใจมา ไม่ใช่ชวนมาประวิงเพื่อให้ตายช้า ชวนมาเพื่อให้ทำความดีให้สมควรแก่วาสนาบารมี ถ้าอยู่ที่วัดจะทำความดีไม่เท่ามาธุดงค์ แล้วท่านก็สอนอารมณ์วิปัสสนาย่อ ๆ เพียงให้คิดว่า เราไม่มีอะไรเป็นของเรา เราไม่ต้องการมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เรามีพระนิพพานเป็นที่ไป ท่านให้พระเขียนเจริญอุปสมานุสสติ คือการคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติที่เขาให้ภาวนาว่านิพพานังนั่นแหละ


    เมื่อสนทนากันไม่นาน มันอาจจะนาน แต่คณะธุดงค์อาจจะชุ่มชื่นในพระพุทธานุภาพและประสบกับสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบมาก่อน มองไปดูท้องฟ้า เห็นใกล้สว่าง มีท่านหนึ่งถามหลวงพ่อว่าที่มาทวงชีวิตพระเขียนเป็นใคร ท่านบอกว่ายักษ์ ถามเขามาทวงเพราะเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรือ ท่านบอกว่าไม่ใช่ เขามาตามหน้าที่

    เมื่อเขามีหน้าที่มารับเขาก็ต้องมา ถามท่านว่าถ้าพระเขียนตายเวลานี้จะไปทางไหน นรกหรือสวรรค์ หรือพรหมโลกหรือนิพพาน ท่านบอกว่าสุดแล้วแต่พระเขียนจะชอบใจ ชอบใจอย่างไหนก็ไปได้ตามชอบใจ เมื่อตายแล้วจะไปทางไหนก็ไปได้ตามใจชอบ ท่านโคธิกะท่านเชือดคอตายเพราะเบื่อสังขาร มันป่วยเสมอท่านไปนิพพาน พระเขียนจะชอบใจอะไรก็เป็นเรื่องของเธอ ท่านเล่นใบ้หวยแบบนี้ ไม่มีใครแทงถูก เมื่อถามพระเขียนเอง ท่านบอกว่าท่านเบื่อขันธ์ 5 เบื่อชีวิต เบื่อหมดทุกอย่าง เมื่อท่านเบื่ออย่างนี้แล้วท่านจะลงนรกก็ตามใจท่าน

    พอรุ่งสางท้องฟ้ามีสีทองปรากฏ คณะธุดงค์ก็ออกบิณฑบาตตามปกติ ไม่ได้ไปไกลเพราะเห็นมีต้นไม้ใหญ่มีสาขางามสะพรั่งไว้ตั้งแต่ตอนมาถึง ต่างก็มั่นหมายไว้แล้วว่าต้นนี้แหละเป็นโรงผลิตอาหารในวันพรุ่งนี้ อยู่ห่างจากที่ปักกลดไม่ถึง 20 วา ต่างก็เอาบาตรไปแขวนตามเคย เมื่อได้อาหารมาแล้วก็ฉันกันหมดบาตร ความจริงได้มาประมาณ 3 ทัพพีเท่านั้นเอง

    เมื่อฉันเสร็จทุกองค์ก็เข้าที่พักเพราะตลอดคืนไม่ได้หลับเลย เมื่อทุกองค์พักพอเหยียดกายเรียบร้อยก็เห็นพระเขียนเดินเข้าป่า เมื่อกลับมาไม่ถึง 5 นาทีก็เดินไปอีก ต่างสงสัยถามว่าไปไหนมา ท่านบอกว่าไปถ่ายอุจจาระ ตอนนี้หลวงพ่อลุกขึ้นจากที่พัก เรียกพระเขียนเข้าไปใกล้ พระเขียนดูท่าทางเพลียมาก ท่านถามว่าท้องถ่ายกี่ครั้งแล้ว พระเขียนบอกว่า 2 ครั้งแล้วครับ ท่านบอกว่าอีกครั้งเดียวก็หยุด ยังไม่ตาย มาเอายาหมู่ไปฉันเสีย เห็นท่านฝนกิ่งไม้กับฝาละมีหม้อดินที่ท่านเตรียมติดตัวไปด้วย

    เมื่อพระเขียนฉันแล้วก็ไปถ่ายอุจจาระอีกครั้งหนึ่งแล้วก็หยุดถ่าย ท่านบอกว่ายังไม่ตายเตรียมตัวไว้ กลับไปวัดแกก็สบายก่อนฉัน ฉันต้องใช้หนี้กรรมอีกหลายปี แกดีกว่าฉัน สบายกว่าฉัน แล้วท่านก็สั่งให้พักผ่อนต่อไป เรื่องพระฉายก็เห็นจะจบกันเท่านี้ วันต่อไปฟังเรื่องพระได้อภิญญาถูกวัวเขาอ่อนขวิด เล่นเอาสบงจีวรหลุด เรื่องจะเป็นอย่างไรฟังวันหน้า วันนี้ฉันชักเหนื่อย ขอยุติเพียงเท่านี้
     
  16. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๖.ไปเขาวงพระจันทร์

    ลูกหลานที่น่ารักทุกคนที่กำลังฟังฉันเล่าเรื่องธุดงค์ของหลวงพ่อปานมาหลายวันแล้ว วันนี้วันที่ 1 ธ.ค. 2514 เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังต่อไปเป็นเรื่องเข้าสู่เขาวงพระจันทร์ เขต จ.ลพบุรี เรื่องนี้มีเรื่องประกอบหลายประการ อาจจะเล่าให้ฟังวันเดียวไม่จบ เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน เหนื่อยเมื่อไรก็พักเล่าให้ฟัง วันต่อไปพูดกันใหม่ ตกลงตามนี้นะ

    เข้าเรื่องกันเลยนะ เมื่อออกจากเขตพระพุทธฉายต่างก็มุ่งเข้าเขตลพบุรี สมัยเดินนี่นะจะเอาอย่างสมัยรถอย่างปัจจุบันไม่ได้ เดินกันตามอารมณ์ เดินมาพักแรมกันมา เมื่อถึงเขตแต่ละเขตที่พัก หลวงพ่อปานท่านไม่ยอมให้พวกเรามีเวลานั่งนอนได้ตามสบาย คือคอยควบคุมอารมณ์ไว้เสมอ วิธีคุมอารมณ์ของท่านก็มีบัญชาให้คณะธุดงค์ใช้วิชชา 2 ในวิชชา 3

    1.ให้ตรวจตราสถานที่ที่พักและผ่านมาว่า มีสถานที่ใดเคยตั้งบ้านตั้งเมืองบ้างไหม มีอะไรสำคัญ เมื่อตรวจตราแล้วก็ทำรายงานถวายด้วยสมุดปกแข็งที่ชาวบ้านซื้อมาถวาย ความจริงสมุดที่เขาถวายนี้มาคิดเดี๋ยวนี้เองว่าราคาแพงมาก เพราะเป็นบันทึกของคณะธุดงค์ ธรรมดาของพระโบราณ ที่พวกนักเทศน์นักธรรมสมัยใหม่ว่าครึเต็มทน แม้คนสมัยใหม่เขาก็หาว่าไร้เหตุไร้ผล

    แต่ทุกท่านต่างคนต่างเขียน มันเกิดมีข้อความที่สำคัญตรงกัน เช่นที่ตรงไหนเคยตั้งบ้านตั้งเมือง บ้านเมืองเขาสร้างด้วยอะไร ใครเป็นคนสำคัญของบ้านเมืองนั้น เขามีจริยาเป็นประการใด ขณะนี้เขาอยู่ในนรก สวรรค์ หรือพรหมโลก หรือเขาหายสาบสูญไปจากอำนาจกิเลสตัณหาแล้ว งานที่ทำต่างก็บันทึกต่อหน้า ท่านห้ามปรึกษาหารือกัน ในบางขณะท่านจะชี้จุดที่ดินที่ใดที่หนึ่ง แล้วถามว่าตรงนี้เคยมีความสำคัญอะไรบ้าง

    เมื่อท่านถามแล้วท่านให้คณะธุดงค์เขียน ทันที นั่งห่างกัน ต่างคนต่างเขียน เมื่อเขียนแล้วเอามาถวายท่าน มันเป็นการบังคับการควบคุมฌานและญาณกันตรง ๆ อย่างนี้ท่านเรียกว่ากีฬาสมาธิ มันเพลิดเพลินมีอารมณ์สบาย ต้องอยู่ในฌานตลอดวัน ด้วยเกรงว่าจะมีบัญชาให้ตรวจอะไร เมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าสั่งแล้วทำยืดยาดก็จะได้ฟังเทศน์มหาชาตินอกแบบ (ถูกหาว่าประมาทเกินไป)

    เมื่ออารมณ์ทรงฌาน นิวรณ์คือเหยื่อความชั่วของจิตก็เข้าใกล้จิตไม่ได้ แต่ถ้าเอาแต่ฌานอย่างเดียว การรู้เห็นอะไรก็ไม่แจ่มใส มันมืดชอบกล ต้องอาศัยอารมณ์วิปัสสนาคอยเป่าฝุ่นคือละอองกิเลสที่คอยเข้ามาทำจิตให้มัวหมอง จะได้รู้เห็นเหตุที่จะพึงรู้ได้แจ่มใสชัดเจน จัดว่าท่านฉลาดฝึกศิษย์ของท่าน คณะธุดงค์คณะนี้เป็นคณะพิเศษของท่านกระมัง ท่านจึงสั่งตามที่ท่านต้องการได้เสมอ การปฏิบัติตนอย่างนี้มีผลเพียงใดลูกหลานคิดเอา ฉันคิดว่าผลที่พึงได้ในญาณต้นนี้คือ ทิพยจักษุญาณ ที่แยกตัวออกได้เท่าใด ก็ได้บอกไว้แล้วในวันก่อน หวังว่าลูกหลานที่น่ารักทุกคนคงจำได้ เอาผลตามญาณนี้คือ

    ก. รักษาอารมณ์สมาธิเป็นอธิจิตสิกขา ด้วยอาศัยที่มีศีลสิกขาบริสุทธิ์อยู่แล้ว สามารถกีดกันนิวรณ์อารมณ์ชั่วไม่ให้เข้ามาพัวพันกับจิตใจได้ จนเห็นเนกขัมมบารมีที่แท้ที่บวชกันแล้วปล่อยนิวรณ์ครอบงำจิตได้นั้น ท่านไม่ถือว่าเป็นเนกขัมมะคือการถือบวช ท่านถือว่า หลอกลวงชาวบ้าน เอาเปรียบชาวบ้าน และเป็นมารสังคมต่างหาก ทำตัวเป็นผู้ดี แต่เนื้อแท้เป็นผู้รายที่ปล้นชาวบ้านได้อย่างกฎหมายไม่กล้าลงโทษ

    ข. มีผลในการคล่องในการใช้ญาณ มีความเพลิดเพลินบันเทิงใจ มีความรู้เรื่องที่คิดว่าจะไม่รู้ เป็นกำไรชีวิตมหาศาล

    ค. ได้เห็นตามความเป็นจริง ตามอารมณ์วิปัสสนาญาณตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ว่าอะไรมันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลง มีทุกข์ และมีการสลายตัวในที่สุด บ้านเมือง คน สัตว์ที่พบ มันไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ซากก็ไม่มี มันไม่เป็นอนัตตา มันจะเป็นอะไร เป็นอันว่าเขาถึงวิปัสสนาด้วยอารมณ์รื่นเริง ไม่ต้องมานั่งจับเจ่าในห้องในกุฏิให้โรคประสาทรบกวน ดีไม่ดีก็เกิดพองไม่ยุบ หรือยุบไม่พองอย่างคุณแม่เขียน อนันตวงษ์ ท่านบอกให้ฟังว่า ฉันเข้ากุฏิ 3 เดือน เกิดพองไม่ยุบ คือไม่ได้เดินไปไหนเกิดบวมขึ้นมาเลยพอง ไม่ยุบ วิชชานั้นไม่ใช่เป็นวิชชาที่ใช้ไม่ได้ ดีเหมือนกันถ้าใช้ถูกแบบ แต่คนใช้เกิดใช้เลยแบบหรือไม่ถึงแบบก็เลยมีผลอย่างนั้น

    ญาณที่ 2 ที่ท่านสั่งก็คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ใช้ญาณนี้ระลึกชาติของตนเอง ถอยหลังเข้าไปตามกำลังของตน ให้ทราบว่าสถานที่นี้ตนเองเคยมีความเกี่ยวพันอะไรมาด้วยบ้าง วิชชานี้มีผลไม่น้อย เมื่อพบภาพของตนและทราบว่ามีความสุขความทุกข์อะไรเนื่องด้วยสถานที่นั้น แล้วก็ตายด้วยอาการอย่างไร มีเมีย มีลูก มีทรัพย์สิน พวกนั้นหายไปไหน ตัวตนขณะนั้นบางรายทำท่าเบ่งเป็นพ่อบ้านพ่อเมือง แล้วเจ้าคนนั้นมันหายไปไหน ตามภาพไป มันตายแล้ว ไปนรกบ้างไปสวรรค์บ้าง จากคนรวยไปเกิดเป็นคนจนบ้าง ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานบ้าง

    ในที่สุดก็มาปรากฎเป็นคณะลิงหน้าพลับพลา มองดูแล้วก็สบายใจที่ทราบ แต่ก็สลดใจที่เมาเกิด เมาสมบัติ เมาเมีย เมาลูก เมาอำนาจ เมาทรงอยู่ ในสุดก็เอาอะไรไว้ไม่ได้เลย เลยพากันเบื่อเกิดต่อไป นอกจากเพลิดเพลินแล้วก็ยังมีผลในด้านวิปัสสนาญาณ จัดว่าท่านฉลาดไม่น้อยเลย แต่ถ้าท่านโง่กว่านั้นก็คงปราบพวกลิงหน้าพลับพลาไม่อยู่ ด้วยแต่ละตัวเป็นลิงเปรียวทั้งนั้น ไม่เปรียวอย่างเดียว เป็นลิงจอมดื้อ จอมพิสูจน์ทั้งหมด ถ้าสงสัยอะไรสักนิด คณะลิงหน้าพลับพลาจะต้องค้นคว้าหาความจริงให้ได้ ถ้าไม่สามารถจะหาได้จะยอมตายดีกว่าที่จะยอมแพ้ ท่านรู้นิสัยคณะลิงหน้าพลับพลาดี เมื่ออยู่วัดก็ไม่เห็นแสดงอะไร พอออกป่าเท่านั้นเอง ท่านแสดงความสามารถออกมาอย่างคนละองค์เลย ไม่น่าเชื่อแต่ต้องเชื่อ เพราะลิงทั้งหลายประสบมาเอง เสียดายที่ลูกหลานไม่มีโอกาสพบท่านนะ ถ้าได้พบท่านจะลืมพัดยอดแหลมไปตาม ๆ กัน

    นี่ฉันพูดอะไรไปบ้าง เวลาเลยมานานแล้วคงไปไม่ถึงไหน เพราะคนแก่ แถมหัวล้านเสียด้วย พูดไปพูดมาชักเหงื่อหัวล้านจะเริ่มซึมออกมาแล้ว เวลาจะเอวังมันก็ใกล้เข้ามา ๆ เดินต่อไปกันดีกว่า เมื่อออกจากพระพุทธฉายก็มุ่งมาเขาวงพระจันทร์ ระหว่างทางยังไม่คุยนะ เพราะเกริ่นไว้วานนี้ว่าจะเล่าเรื่องพระได้อภิญญาถูกวัวเขาอ่อนขวิด หลาน ๆ คงคงไม่รู้จักวัวเขาอ่อนกระมัง ประเดี๋ยวก็รู้จัก ฟังต่อไปจะเล่าให้ฟังแบบลัด เพราะมันเริ่มเหนื่อย ขืนอ้อมไปมากเหงื่อหัวล้านจะไหลมาก เป็นอันว่าระหว่างทางจากพระพุทธฉายมาพระพุทธบาทไม่มีอะไรมากนัก เมื่อเลยพระพุทธบาทมาเข้าเขตลพบุรี หลวงพ่อท่านบอกคณะลิงทั้งหลายไม่มีใครรู้จักทางและไม่ทราบเขตแดน หลวงพ่อท่านชำนาญ

    ท่านพาเข้าไปพบพระองค์หนึ่ง อยู่ในถ้ำองค์เดียว ไม่ทราบว่าเขาเรียกว่าถ้ำอะไร ด้วยไม่ได้ถามท่าน สถานที่นี้ไม่มีบ้านเลย แม้เสียงสุนัขชาวบ้านก็ไม่เคยได้ยิน มันไกลบ้านจริง ๆ เมื่อแวะเข้าไปปรากฏว่าพระองค์นั้นท่านต้อนรับหลวงพ่อด้วยดี รู้จักกันมานาน ท่านแนะนำพวกคณะลิงหน้าพลับพลาว่า ท่านองค์นี้ทรงอภิญญาโลกีย์สมาบัติ ชำนาญในการเนรมิต พวกลิงไหว้ท่านก็รับไหว้ด้วยดี ท่านคุยกัน 2 องค์สนุกสนาน คุยเรื่องที่ลิงไม่ค่อยจะรู้เรื่อง

    ในที่สุด หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ที่พาคณะศิษย์ชุดนี้มาก็เพราะอยากให้เขาเห็นของจริง ของจริงของพระพุทธศาสนานำออกในบ้านในเมืองไม่ได้ เพราะพวกเดียวกันคอยลิดรอน เมื่อพระด้วยกันว่าไม่มี ทำไม่ได้เสียแล้ว ชาวบ้านเขาก็เชื่อ เมื่อเขาเชื่อพระใหญ่หรือพระหมู่มาก พวกเราเป็นพระเล็กที่ไม่มีเครื่องหมายยศให้ ชาวบ้านนับถือ ไปทำอะไรเข้าเขาก็พากันประณาม คณะศิษย์ผมเขาอยากเห็นของจริงชอบค้นคว้า ชอบนึกทุกอย่างที่มีในหลักสูตร

    เมื่ออยู่ในวัดก็ได้แต่บอกหรืออย่างมากก็ใช้เจโตปริยญาณเป็นคราวๆ เพื่อให้สนใจเป็นอัศจรรย์บ้าง แต่พอออกป่าก็ออกท่าได้เต็มที่ เขาจะได้ทราบว่าความรู้ทุกอย่างในพระพุทธศาสนาแม้แต่อรหัตผลก็ยังไม่คลายตัว นักปราชญ์ท่านเขียนไว้อย่างนั้นเองว่าพระอรหันต์ไม่มีแล้ว ท่านกลัวคนจะตกใจว่าเมื่อพระอรหันต์ยังมี คนที่มีเมียแล้วถ้าจะบวชเกรงว่าเมียจะคิดว่าถ้าผัวเป็นพระอรหันต์แล้วตัวจะเป็นม่าย จะไม่อนุญาตให้ผัวบวช ท่านเลยเขียนเสือหลอกวัวไว้ให้

    ท่านพูดแล้วท่านก็ชวนกันหัวเราะ ฟังท่านคุยกันแล้วไม่รู้เรื่อง ต่อมาท่านเจ้าของถิ่นหันมาคุยว่า ผมเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์เพียงแต่ได้ฌานโลกีย์ ที่ออกจากหมู่คนก็เพราะยังไม่แน่ใจตนเองและประสงค์อรหัตผล ฟังแล้วสบายใจดีแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อยามค่ำก็นอนในห้องของท่าน ถ้ำนั้นกว้างขวางมาก สมัยนี้ที่เขาเรียกว่าถ้าคูหาสวรรค์จะใช่หรือไม่ใช่ไม่เคยไปดูอีกเลย

    พอรุ่งเช้าท่านทั้งสองนั่งคุยกันอีก วันนี้หลวงพ่อไม่สั่งให้บิณฑบาต เมื่อท่านไม่สั่งคณะธุดงค์ก็ ไม่เตรียมตัว เมื่อท่านคุยกันสักครู่ ท่านเจ้าของถิ่นถามหลวงพ่อว่า ที่นี่กับข้าวก็หายากแต่บอนใกล้ถ้ำในบึงเล็ก ๆ มีมาก ท่านถามว่าฉันแกงบอนไหม หลวงพ่อบอกว่าฉัน เมื่อถามกันแล้วท่านเจ้าของถิ่นก็ไปตัดบอนมา 1 ต้น มาถึงก็ไม่ปอกเปลือก หั่นตามแบบแกง แล้วก็เอาหม้อดินใหม่เอี่ยมมา 1 ลูก หั่นออกใส่ แล้วก็เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาหม้อปิด แล้วเอาข้าวสารหยิบมือหนึ่งใส่ในหม้อดินอีกลูกหนึ่ง เอาน้ำใส่หน่อยหนึ่ง เอาฝาปิด เอาหม้อทั้งสองลูกวางไว้ข้างหน้า ไม่เห็นตั้งเตา

    วางไว้กับพื้นเฉย ๆ นั่งคุยกันไปสักครู่หนึ่ง เวลาประมาณ 8 น. ท่านเจ้าของถิ่นถามว่าหิวหรือยัง หลวงพ่อท่านตอบว่าหิวแล้ว ท่านเจ้าของถิ่นท่านตอบว่าหิวก็ฉันได้แล้วนี่ ข้าวแกงสุกนานแล้ว ว่าแล้วท่านก็เปิดฝาหม้อข้าวหม้อแกง ปรากฏว่าข้าวสุกเต็มหม้อถึงฝาละมี มีควันคลุ้งเหมือนเอาลงจากเตาใหม่ ๆ แกงก็เต็มหม้อ มีควันขึ้น กลิ่นหอมเหมือนแกงบอนปกติ แถมมีเนื้อปลาในแกง หม้อทั้งสองลูกดูแล้วเห็นว่าจุข้าวไม่ถึงจาน เพราะมันลูกเล็กนิดเดียว ท่านให้ล้อมวงกันฉัน แต่ตัวท่านเองไม่ฉัน

    ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ฉันมาหลายปีแล้ว พวกคณะลิงหน้าพลับพลาสงสัย ถามท่านว่าท่านไม่หิวหรือ ท่านบอกว่าอยู่ด้วยธรรมปีติ ไม่หิวและมีกำลังเป็นปกติ คณะห้าธุดงค์มีหลวงพ่อปานเป็นประมุขต่างก็ล้อมวงกันฉัน แต่ละองค์ฉันจนเต็มอัตราศึก ข้าวสุกกับแกงที่คิดว่าแม้องค์เดียวก็ไม่ได้ตึงท้อง มันแปลกเมื่อยังไม่มีใครอิ่ม ตักออกมาเท่าไรก็ไม่หมด รสก็อร่อยดีกว่าพ่อครัวแม่ครัวชั้นเลิศแกงกว่าไหน ๆ

    แต่พอทั้งหมดอิ่มพร้อมกันแล้ว หาข้าวสุกสักเม็ด น้ำแกงสักหยดก็ไม่มี หลวงพ่อท่านรู้ใจศิษย์ท่าน ท่านรีบบอกว่าข้าวแกงอย่างนี้เรียกว่าอาหารอภิญญา คือเกิดได้จากการเนรมิต คำว่าเนรมิตหรือนิรมิตแปลเหมือนกัน นิรมิตเป็นศัพท์เดิมที่ยังไม่แปลง ท่านแปลงสระอิเป็นสระเอตามแบบของภาษาบาลี มีความหมายอย่างเดียวกัน เมื่อฉันเสร็จแล้วก็พักกับท่าน 3 วัน ท่านก็สอนวิชาอภิญญากับคณะธุดงค์ เมื่อครบ 3 วันแล้วก็ลาท่านเดินทางต่อไป
     
  17. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๗.ท่านเจ้าของอาหารพบวัวเขาอ่อน

    ขอเล่าเรื่องท่านให้จบไปเลย เวลากาลผ่านไปกลาง พ.ศ. 2481 ตอนเย็นวันหนึ่ง เวลาประมาณ 15 น. หลวงพ่อปานกำลังรับแขกอยู่ มีชายคนหนึ่งไปหาหลวงพ่อ ขึ้นจากเรือเดินประจำทาง กรุงเทพฯ – ผักไห่

    เมื่อขึ้นไปหาท่าน ก็ถามว่าจำผมได้ไหมครับ หลวงพ่อปานก็เอามือป้องหน้าตามแบบฉบับของคนแก่ที่ตาไม่ใคร่ดีอย่างฉันอย่างนี้แหละ แต่ทว่าท่านไม่ดีแต่ตา ฉันไม่ดีมากกว่าท่านหน่อยที่ตาก็ไม่ดีแถมหัวล้านเสียด้วย หัวที่ล้านมันเป็นอนัตตามีประโยชน์ เอาอีกแล้วเกิดมาอวดคุณภาพหัวล้านเสียอีก ขอผ่านไป ฉันมันจัญไรเสียจริง ๆ ทีคนอื่นเขาหัวล้านเขาถนอมศักดิ์ศรีไม่ยอมให้ใครมาเลียบเคียง มันอดโชว์หัวล้านไม่ได้ รู้สึกว่ามันโก้ ๆ ชอบกล

    เล่าเรื่องของท่านต่อไป เมื่อหลวงพ่อปานจ้อง ท่านก็บอกว่าผมคือพระที่ถ้ำที่ท่านไปพักแล้วแกงบอนให้ฉันอย่างไรเล่า เมื่อท่านกล่าวประวัติ หลวงพ่อก็นึกออก ถามว่านี่ทำไมนุ่งกางเกงเสียเล่าพ่อคุณ ท่านบอกว่าถูกวัวเขาอ่อนมันขวิดเอา หลวงพ่อปานหัวเราะชอบใจ ถามว่าไปทำอย่างไรจึงเสียทีมันเล่า ท่านบอกว่าเมื่อท่านจากไปแล้วมีคนเดินป่าไปพบท่านเข้า เขาคงคิดว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐขนาดไต้อ๋องหรือไท้แป๊ะกิมแชกระมัง ที่ว่ามานี้ไม่รู้เรื่องเลยว่าไต้อ๋องหรือไท้แป๊ะกิมแชเขามีความหมายว่าอะไร

    เมื่อมีคนไปพบและเข้าใจว่าท่านวิเศษ ความจริงก็น่าจะเห็นว่าท่านวิเศษ เอาอะไรท่านก็ใช้อภิญญาช่วย ผัวหาย เมียหาย เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยได้ ที่จะต้องตายก็บอกก่อนว่าจะต้องตาย ค้าขายไม่ดีก็ช่วยได้ หนักเข้าพวกชาวพระนครก็เข้าไป คราวนี้แต่ละวันมีคนไม่ขาด ข้างถ้ำกลายเป็นที่พักคนด้วย สมัยนั้นต้องใช้เดินหรือเกวียน เมื่อมีคนมามากเข้าก็มีงานสังสรรค์มาก

    ในที่สุดอารมณ์ฌานก็ทรุดคือใกล้จะพัง และก็พอดีพบสาวคู่ปรับอายุ 18 ผิวขาวอวบอัด เชื้อเจ๊กผสมจีนมีไทยปน ไปมาหาสู่จากกรุงเทพฯ ไม่หยุด เมื่อไปก็ค้างหลายๆ คืน ในที่สุดก็คงจะไปวอบ ๆ แวม ๆ เข้ากระมัง ท่านก็เลยแสดงปาฏิหาริย์ขอแต่งงานด้วย คุณหนูไม่ยอมปฏิเสธหรืออิดเอื้อนเลย ท่านบอกว่าไม่มีผ้านุ่งห่ม คุณหนูบอกว่าเตรียมมาให้พร้อมแล้ว เมื่ออุปกรณ์ครบ มีงานทำ ไม่ใช่งานรับจ้างหรืองานราชการ มีงาน มีเมีย

    เมื่อครบก็ลาสิกขาตามระเบียบ ไม่ใช่แต่งงานก่อนสึก เมื่อสึกแล้วเธอก็พาไปอยู่กรุงเทพฯ เมื่ออยู่กับเมียรักที่มีวัยต่างกันประมาณ 20 ปี ด้วยเจ้าสาวอายุ 18 ปี ตัวท่านเองประมาณ 40 ปี อาจมีเศษนิดหน่อยโดยประมาณ เมื่อครบ 6 เดือน ท่านบอกว่ารู้สึกเบื่อรสสัมผัส พยามยามจัดหาเงินด้วยอำนาจฌานที่พอจะรวบรวมได้ คือทำให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ เขาก็ให้ค่าน้ำมนต์ ค่าพยากรณ์

    เมื่อรวบรวมเงินได้ประมาณหมื่นบาทเศษ ก็มอบให้เจ้าสาวหมื่นบาท เหลือนอกนั้นขอเอามาทำทุนบวช เจ้าสาวก็อนุญาต ท่านเล่าให้ฟังแล้วก็ขอให้ หลวงพ่อปานเป็นเจ้าภาพบวชให้ หลวงพ่อปานท่านก็ไม่ขัดข้อง จัดการบวชวันรุ่งขึ้นเลย มีท่านพระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านบวชแล้วได้ 7 วัน ก็ไม่ฉันข้าวตามเดิม หลวงพ่อปานบอกว่าเขารวบรวมกำลังฌานของเขาเข้าระดับเดิมได้ตามปกติ เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็อำลา ท่านบอกว่าคราวนี้ที่ไหนมีคน ที่นั่นไม่ยอมอยู่ จะเอาดีให้ได้ อ้ายเนื้อสดที่เขาสนใจกันว่าดี ไม่เห็นมันดีตามเขาว่าเลย เรื่องของท่านก็จบเท่านี้

    ลูกหลานคงสงสัยว่า ทำไมท่านที่ทรงอภิญญาขนาดนั้นยังมีอารมณ์แพ้แก่กามคุณ ขอตอบง่าย ๆ ว่า ก็อภิญญาโลกีย์ยังไม่พ้นวิสัยกามคุณจะบังคับบัญชา เผลอเมื่อไรเป็นจอดอย่างท่านองค์ที่กล่าวมา ฉะนั้น เมื่อได้ฌานแล้วท่านที่ไม่ประมาทจึงพยามยามเร่งรัดตนเองให้ตัดสังโยชน์ให้ถึง 5 ให้ได้ ถ้าตัดสังโยชน์ได้ยังไม่ถึง 5 ข้อ จะทรงอภิญญาขนาดไหน แก่ขนาดไหน ก็ยังมีอารมณ์หอมหวาน ถ้าตัดสังโยชน์ได้ 5 ข้อแล้วไว้ใจได้ ไปวางไว้ในฝูงกินรียังไม่มีความรู้สึกอะไรเลย การถูกต้องสัมผัสไม่มีอะไรมีผลทำให้มีความรู้สึกทางเพศ จับคนก็มีความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับจับซากศพ สังโยชน์ 5 ข้อมีดังนี้ จะบอกไว้จะได้ไม่สงสัย

    1.สักกายทิฎฐิ เห็นว่าขันธ์ 5 (ร่างกาย) เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย

    2.วิจิกิจฉา สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าจะมีจริงหรือ

    3.สีลัพพัตตปรามาส ไม่รักษาศีลจริงจัง สักแต่ว่าสมาทานส่งเดชตามเขาไปอย่างนั้นเอง เป็นพระเป็นเณรก็สักแต่ว่าเป็น ไม่มีศีลดีตามที่ควร เรียกว่าลูบคลำศีล

    สามข้อนี้ถ้าใครแก้ความรู้สึกให้มีลักษณะตรงข้าม คือ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่มีใน ร่างกาย ไม่เมากาย ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า เห็นจริงด้วยปัญญาที่มองเห็น รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่บกพร่อง ท่านเรียกว่าพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามี เป็นพระอริยเจ้า 3 ข้อนี้พระที่บวชจริง ไม่บวชและหลอกชาวบ้านทำได้ไม่ยาก อีก 2 ข้อมีดังนี้

    4.กามราคะ เมาในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสซาบซ่าน

    5.มีอารมณ์โกรธและผูกโกรธไว้ คือ จองล้างจองผลาญเรื่อยไป

    ถ้าแก้ให้เห็นด้วยปัญญาว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไม่น่ารักเพราะมีอสุภสัญญา มีเมตตาแทนความโกรธ เท่านี้อารมณ์เลวก็หายไป หมดรัก หมดกำหนัด มีแต่เมตตาและอุเบกขา เรื่องจะสึกก็หมดไป ไม่มีอะไรยากถ้าบวชกันจริง ๆ วันนี้เหนื่อยมากแล้ว ขอพักตรงนี้นะ วันหน้าฟังใหม่ สวัสดี

    วันนี้ตรงกับวันที่ 2 ธันวาคม 2514 เป็นวันธรรมสวนะ คือ วันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย ฉันมีเวลาว่างนิดหน่อย แต่เมื่อว่างจากคุยกับพวกรักษาอุโบสถแล้ว เห็นว่าเวลายังไม่ค่ำ พอมีเวลาบ้างก็หาโอกาสคุยกับลูกหลาน จะมีเวลาคุยสัก 2-3 นาทีก็ตาม ดีกว่าปล่อยให้ชีวิตฉันเปล่าประโยชน์ ไหน ๆ ก็จะตายแล้ว

    มีอะไรบ้างที่พอจะขยายให้ฟังได้ก็จะขยายให้ฟังเสียให้หมด ที่เกินวิสัยที่จะรับฟังก็ต้องขอสงวนไว้บ้าง แต่ว่าคงไม่มากนักที่จะสงวน ก็เกรงว่าผู้รับฟังจะตกนรก มันเป็นภัยใหญ่ที่แก้ไขไม่ได้ เอากันแต่ที่เห็นว่าพอรับฟังได้ก็แล้วกัน แต่ทว่าก็ดูเหมือนว่ามันหนักสมองคนและพระสมัยใหม่ไม่น้อยเลย จะอย่างไรก็ตาม จะพยายามเล่าให้ฟังตามสัญญา และตามที่เห็นว่าไม่หนักเกินไป

    เมื่อวานนี้เล่าเรื่องวัวเขาอ่อน ลูกหลานพอเข้าใจหรือยังว่าวัวเขาอ่อนคือใคร ถ้าไม่เข้าใจก็จะบอกให้เสียเลยว่า เจ้าวัวเขาอ่อนคือแม่ลูกสาวเจ๊กหลานจีนคนนั้นเอง มีเขาที่อกและเขาก็ไม่แข็งเหมือนวัวที่ใช้งาน เจ้าเขาอ่อน ๆ อย่างนี้แหละมันขวิดพรานตายมาไม่รู้เท่าไรแล้ว นักบวชที่มีความทะนงคิดว่าฉันมีความรู้มาก มีราชทินนามว่า มหา พระครู เจ้าคุณ ฯลฯ ต้องพ่ายแพ้แม่กระทิงเปลี่ยวมามากต่อมาก

    บางรายรับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ไม่กี่วันก็ต้องลอกคราบทิ้ง บางท่านเป็นอาจารย์สมถวิปัสสนาก็ต้องถลกหนังทิ้ง เป็นอันว่าวัวเขาอ่อนมีอานุภาพมากกว่าวัวเขาแข็ง ฉันเองสมัยที่เนื้อหนังยังดี หัวไม่ล้านเหมือนขณะที่กำลังพูดอยู่นี่ เคยพบวัวเขาอ่อนตั้งท่าจะขวิดหลายที แต่ฉันเคยปราบวัวประเภทนี้มามากสมัยที่กำลังเมามัน ยังขวิดฉันไม่อยู่เลย เมื่อมาสวมเขี้ยวแก้วเข้าแล้วจะขวิดกันอย่างไร เมื่อตั้งท่ามาฉันสำรากเสียไม่กี่คำพากันวิ่งอู้เข้าคอกไป แต่ไม่เคยประมาท ต้องลับศรจ่อหลังวัวไว้เสมอ

    ศรศิลป์ที่พอจะรบกับวัวพวกนี้ได้ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานแก่พระที่บวชทุกองค์ก็คือ อสุภกรรมฐาน กายคตาสติกรรมฐาน มรณานุสสติกรรมฐาน และเพิ่มวิปัสสนาอีกนิดก็ได้ แก้สักกายทิฎฐิภาวนา มีไว้เท่านี้ และไม่ลืมลับไม่ลืมเล็งศรให้ตรงเป้าหมาย ไปนอนในคอกวัว วัวก็ไม่กล้าแสดงเดชเลย แม้แต่เบิ่งก็ไม่มี รู้จักคำว่าเบิ่งไหม เป็นภาษาชาวบ้านใช้กับวัวควาย เห็นจะติดมากับภาษาต้นตระกูล ฉะนั้น เบิ่ง คำนี้จึงแปลว่า ดู คือ ดูอย่างจะทำลายหรือลอกหนัง ท่านองค์นั้นท่านเล่นอภิญญาคือกสิณเพลินไป

    เรื่องของกสิณมีอานุภาพมากจริง แต่ไม่ได้มองหาความจริงจากร่างกาย มุ่งเล่นฤทธิ์เดชเดชาศักดานุภาพเกินไป เข้าทำนองนักมวยที่เก่งบนเวที คอยแต่จะหาทางปราบศัตรูในด้านชก แต่ลืมพิจารณาเสียงที่ประโลมใจ เมื่อไม่ระวังศัตรูมาแนวใหม่ แทนที่จะชวนชกกลับเอาสตรีรูปงาม เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสสัมผัสนิ่มนวล โดนเข้าแบบนี้ตาย ทุกราย ท่านมหาเถระผู้ใดก็ตาม

    เมื่อบวชแล้วไม่ได้ใช้ศรศิลป์ของพระพุทธเจ้ากี่รายก็ตาม โดนแม่วัวขวิดเมื่อไรก็หงายท้องเมื่อนั้น ถ้าเธอไม่มีอานุภาพจริง คงไม่มีข่าวพระทรงสมณศักดิ์สึก แต่สมัยนี้ข่าวพระทรงสมณศักดิ์มีข่าวสึกทุกปี เห็นจะเป็นเรื่องวัวเขาอ่อนนี่กระมัง ช่วยกันสืบสวนทวนความให้ดีด้วย ถ้าสึกแล้วท่านไปอยู่คนเดียวไม่แต่งงานก็แสดงว่าท่านสึกเพราะหิวข้าวตอนเวลาเย็น ถ้าสึกแล้วแต่งงานก็แสดงว่าท่านหิวคนคือวัวเขาอ่อน เรื่องพระสึกจะโทษวัวเขาอ่อนเกินไปก็ไม่ได้ บางรายวัวไม่ไปอาละวาด ท่านเองก็วิ่งไปให้วัวขวิดเสียไม่น้อย เป็นว่าพอกัน วัวก็ร้าย ควายก็เลว ไม่รู้จักฐานะของตัว นักบวชแบบนี้เมื่อยัง ไม่สึกท่าทางดี มีอาการสำรวมน่ารัก เพราะต้องปกปิดกลิ่นชั่ว สีหมอง ไม่เหมือนพระอริยเจ้า ไม่เห็นท่านปิดชั่ว ตรงกันข้าม มักจะทำให้ชาวบ้านเห็นว่าชั่วคือไม่ค่อยจะสำรวม

    ถามท่านแล้ว ท่านบอกว่าเราสบายแล้ว ไม่อยากทำตนให้ลำบาก เมื่อเขาไม่ชอบเราที่ไม่สำรวม เขาก็ไม่มากวนเรา ๆ ก็สบาย เราไม่บรรลุเพราะสำรวมหลอกลวง เราได้ผลเพราะอาการเปิด เมื่อเปิดดีกว่าปิด ผลปรากฏเพราะเปิด เมื่อมีผลแล้วเราจะปิดทำไม มีเลวเท่าไรงัดออกอวดให้หมด ชาวบ้านจะได้เห็นจริง เขาจะเอาเลวจากเราคือปฏิปทา หรือเอาดีจากธรรมก็ตามใจชาวบ้าน เราหมดหนี้แล้ว จะต้องหาหนี้มาชำระอีกหรือ ท่านหมายว่าท่านสบายแล้วจะต้องไปเอาใจชาวบ้านด้วยทำท่าสำรวมให้เขาเห็นว่าเคร่ง เขาจะได้ไปมาหาสู่ อาการอย่างนั้นเป็นอาการของทาสกิเลสตัณหา ท่านพวกนี้ไม่ยอมก้มหัวให้แน่

    ในชีวิตฉันเคยพบพระอริยะหลายแบบ บางแบบก็ทำตนเหมือนคนบ้า เที่ยวได้เดินกลางทุ่งกลางนา นอนกลางดินกินกลางทุ่ง บางรายก็ทำท่าสงบเสงี่ยมเสียจน น่าเกลียด เกินพอดี เมื่อทักท้วงเข้าก็ออกฤทธิ์ทางปากว่ามันเรื่องของข้า ชาวบ้านไม่ต้องเสือก ปล่อยลายเสือออกมาให้ปรากฏ ใครว่าก็ทำหูทวนลมหรือหูกะทะเสีย หูกะทะฟังอะไรไม่ได้ยิน เพราะไม่ได้มีไว้ฟัง มีไว้ถือหรือแขวน มีหลายรายที่เมื่อไปถึงท่านจัดแจงสถานที่พักไว้ให้เรียบร้อย

    แต่พอถามธรรมเข้าทำท่าเหมือนตาวัวตาควาย พูดแบบคนไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็มี บางรายก็ออกแบบเหมือนคนปากคลองสานเฉพาะในเขตหลังคาแดง นุ่งผ้าผืนเดียวลอยชายพูดกับหมูกับหมาเพลิน พอพวกเราเข้าไปหาก็ทำท่าเอะอะโวยวาย ไม่รู้เรื่องรู้ราว ดีไม่ดีด่าพ่อล่อแม่เสียเต็มอัตราศึก เมื่อพวกเรานิ่งและเห็นว่าท่าเหนื่อย พวกเราก็พูดกันเองว่า อ้ายคนไม่บ้ามันทำบ้าอย่างนี้ควรให้กิเลสตัณหาถลกหนังหัวเสียใหม่ พอเห็นว่ารู้ทันบางรายลงนั่งขอขมา บางรายหัวเราะลั่นฟ้าชอบใจ แล้วตอบว่าเมื่อรู้แล้วมากวนกันทำไมเพื่อน

    ท่านที่ทำแบบนี้ส่วนใหญ่เป็นพระทรงวิชชา 3 หรืออภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณ สำหรับพระทรงวิชชา 3 ถ้าไม่เก่งจริง ๆ ไม่ค่อยออกฤทธิ์นัก แต่ก็เอาพระวินัยเป็นใหญ่ ระเบียบใหม่ ๆ ที่พวกกิเลสหนาออกกฎไม่สู้สนใจนัก และมีการระมัดระวังตัวคือ ไม่ใคร่อยากพูดกับคนที่ไม่ควรเปิด ท่านถือว่าท่านสบายแล้ว จะอย่างไรก็ช่าง เมื่อรับฉันให้ แต่ถ้าอวดดี เมื่อเห็นว่ามีดีแล้วก็เลยไม่ให้อะไรเลย แม้แต่ว่าเขาจะมีดีผิด ๆ ก็ตาม

    ถ้ารู้ตัวว่าดี ท่านพวกนี้ปล่อยให้ดีไปตามอารมณ์ ไม่ใช่ท่านจะไม่เมตตา ที่ทำอย่างนั้นเพราะท่านเมตตา ด้วยคนที่มีกิเลสหนาเมื่อเห็นตัวว่าดีก็มักไม่ฟังเหตุผลของใคร ต้องปล่อยให้หมดดีจึงจะฟังเสียงคนตักเตือน สำหรับท่านสุกขวิปัสสโก ท่านพวกนี้ไม่มีฤทธิ์ เพราะท่านไม่มีอะไรพิเศษ ท่านคงรักษาอารมณ์และอาการตามปกติ ส่วนท่าน 2 พวกคือฉฬภิญโญ กับปฏิสัมภิทัปปัตโต ฤทธิ์แสดงออกนอกรีตนอกรอยมากเหลือเกิน พบท่านยาก ต้องยี่ห้อคล้ายคลึงกันก็พบไม่ยากเหมือนกัน เพราะเมาเท่า ๆ กัน เมื่อพบแล้วหมดฤทธิ์แล้วก็จะพบฤทธิ์พระธรรมที่หวานสดชื่นบอกไม่ถูกเลย ท่านพูดให้ฟัง ดูเหมือนเราจะบรรลุไปด้วย

    ลูกหลานที่รัก ฉันฟุ้งเลยธงไปอีกแล้วตามแบบฉบับของฤาษีหัวล้าน และมีเผ่าพันธุ์ลิงเป็นสรณะ จะคุยต่อไปเรื่องของธุดงค์ เมื่อออกจากสำนักท่านวัวเขาอ่อนแล้วก็มุ่งเข้าสู่เขาวงพระจันทร์ ที่เขา วงพระจันทร์นี้มีเรื่องประกอบหลายรายการ จะเล่าแต่ย่อ ๆ

    เรื่องแรกก็คือ นางสาวพระจันทร์เป็นลูกสาวท้าวกกขนากที่พระรามแผลงศรทำด้วยอะไรไม่ทราบปักอกนอนอยู่ในถ้ำ นางสาวพระจันทร์หรือชีจันทร์ก็ไม่ทราบ เธอเป็นลูกสาว ทอผ้าคอยถวายพระศรีอาริย์ อายุแกมากแล้ว ตั้งแต่สมัยพระรามรบยักษ์ มัน เมื่อไรฉันก็ไม่รู้ ถ้าเป็นสาวก็คงสาวแก่เต็มทน ความเป็นสาวมิยานโทกเทกไปหมดเสียแล้วก็ไม่รู้ เมื่อเขาว่าอย่างนั้นก็ว่าไป พอถึงที่ตั้งวัดเขาสะพานนาค เดิมไม่มีวัด หลวงพ่อปานท่านมาสร้างไว้ เพราะคนจะเข้าเขตเขาวงพระจันทร์ต้องเข้าทางนี้

    ท่านจึงบัญชาการให้นายห้างขายยาตราใบโพธิ์ ท่าเตียน พระนคร คือนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร ออกทุนสองหมื่นบาทสร้างกุฎี หอสวดมนต์ ศาลาการเปรียญเสร็จแถมเริ่มอุโบสถเข้าไปเกือบเสร็จ ตอนนั้นฉันก็ไปเป็นช่างแบกช่างยกกับเขาเหมือนกัน แบกไม้ขึ้นหลังคา ช่างที่ทำส่วนใหญ่เป็นพระวัดบางนมโค

    บางท่านเกือบจะมาเป็นเจ้าของตลาดหนองเต่าเสียก็มี เพราะถ้าต้องการอาหารต้องเดินมาซื้อที่ตลาดหนองเต่า หรือจะเดินทางมาเดินทางกลับต้องเดินไปขึ้นรถที่สถานีหนองเต่า เมื่อไปมาหลายวาระเข้าก็เจอวัวเขาอ่อนเข้า วัวก็ร้ายควายก็แรงมันก็ต้องขวิดกัน ใครจะสู้ใครได้ เขาไม่ตั้งให้เป็นกรรมการ เลยไม่ทราบว่าใครแพ้ใครชนะ วัวที่มีกำลังส่วนใหญ่เป็นวัวพันธุ์เมืองจีน

    ขั้นแรกหลวงพ่อท่านตั้งใจจะสร้างเป็นศาลาที่พักคนเดินทาง ด้วยคนมาเขาวงพระจันทร์เมื่อถึงตรงนี้ (วัดเขาสะพานนาค) ต่างก็หยุดพัก ท่านจึงสร้างศาลาหลังเดียวก่อน และต่อมาสร้างเป็นวัด เพียง 2 ปีก็มีสถานที่สมบูรณ์ ด้วยช่างหาง่าย ช่างท่านใดถูกวัวขวิดก็ไปเก็บซากมาทำงานตามเดิม ที่ทนทานวัวขวิดไม่ไหว

    มีหลายรายที่ต้มวัวเสียสุก คือบอกว่าถ้าวัดเสร็จก็จะตกลงขึ้นเวทีขวิดกันเป็นทางการ แม่วัวตัวสวยตกหลุมพราง ส่งข้าวส่งน้ำ พองานเสร็จงวดคือไม่เสร็จหมด หลวงพ่อท่านก็เปลี่ยนช่าง เจ้าควายเลยไป ไม่กลับ พวกรุ่นใหม่มาก็รับฟ้องจากแม่วัว ว่าแล้วก็โอ๋กันต่อไป เมื่อไม่ได้รุ่นแรกฉันก็ต้องจัดการกับรุ่นนี้ให้ได้ ข่าวนี้เข้าหูบ่อย ๆ บางรายก็ได้จริง ๆ แต่บางรายก็เสียเหยื่อเป็นวาระที่ 2 ที่ 3 เพราะเจ้าควายไม่ยอมสู้ ยิ่งพวกควายที่สงบเสงี่ยม เขาคิดว่าเขามาทำบุญไม่สุงสิงสนใจ แม่วัวตัวร้ายยิ่งสนใจเป็นพิเศษ เรื่องของกิเลสเป็นเรื่องธรรมดา
     
  18. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๘.พบลาวเก่งวิชา

    นักบุญหรือพระที่มาทำการก่อสร้างก็มาจากฐานะไม่เสมอกัน บางท่านก็หยาบบาง ท่านก็สงบเสงี่ยม มีพระองค์หนึ่งอย่าออกชื่อเลยนะ ท่านยังมีชีวิตอยู่ เวลานี้ก็เป็นคนดีน่าบูชา อายุก็มากแล้ว เห็นจะ 60 ปีกว่าหลายปี ด้วยท่านบวชก่อนฉันหลายปี มีแรงมาก ทำงานเก่ง องค์นี้ดี ไม่ต้องเกรงว่าวัวเขาอ่อนจะลอกหนัง ด้วยปากแกหยาบเสียจนหาคนรักยาก แต่ทว่างานดีมาก

    วันหนึ่งเมื่อพระขึ้นไปติดเครื่องบนศาลาการเปรียญ แดดร้อน หลวงพ่อท่านอนุญาตให้ใช้คลุมศรีษะได้ ท่านบอกว่าอานิสงส์สร้างวัดมากกว่าโทษที่เสียจริยาเล็กน้อยมาก เราลงทุนน้อยได้กำไรมาก ควรทำ ต่างองค์ก็เอาผ้าบ้าง หมวกบ้าง คลุมศรีษะ ท่านองค์ปากสว่างล่อหมวกปีกใหญ่ที่พวกจีนทำไร่ชอบใช้ ความจริงก็ดี ร่มมากดีมาก ฉันยังเคยอาศัยร่มแกในการบางคราว เจ้าลาวคนนั้นมาเห็นเข้ามันก็ร้องว่า พระไม่สำรวม ใส่หมวกอย่างฆราวาส ทุกองค์เขา ไม่อยากตอบ มีองค์ปากสว่างองค์เดียวทนไม่ได้ แกร้องด่าลงมาจากข้างบนว่า อ้ายลาวปากหมา มึงเสือกไม่เข้าเรื่อง ประเดี๋ยวพ่อทุ่มด้วยไม้ขื่อ

    เจ้าลาวโกรธมาก มันร้องประกาศว่า พระทุกองค์จะต้องตายก่อนเพลวันนี้ เวลาที่พูดกันประมาณ 8 น. เศษ มันพูดแล้วมันก็เดินไปทางหลังเขา เมื่อมันไปแล้วก็ไม่มีพระอะไรสนใจเรื่องที่มันบอกว่าจะให้ตาย เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 30 นาทีเศษ เจ้าลิงขาวเขาไปทำงานด้วยและเจ้าลิงเล็กด้วย สามเตื้อ เมื่ออยู่ไหนก็อยู่ร่วมกัน ที่เขาสะพานนาคหรือเขาวงพระจันทร์เป็นที่สงัด กลางวันทำงาน กลางคืนทำใจให้สบายบอกไม่ถูกเลย คณะของเราวัวเขาอ่อนสนใจมาก เพราะเป็นพวกสงบเสงี่ยมแต่เราก็ไม่หลอกใคร ให้ก็กิน เรื่องรับปากว่าจะเป็นผัวใครไม่มีในใครคณะสามเกลอหรือสามลิงของเรา เขาให้กินเรารับ เขาให้ใช้เรารับ เขาให้กกเราไม่ตกลงแน่ เพราะกกมาพอแรงแล้วไม่เห็นอะไรเป็นเรื่องเลย

    เมื่อเวลาผ่านไปเล็กน้อยหลังจากที่เจ้าลาวปากร้ายผ่านไป เจ้าลิงขาวมันบอกว่าเจ้าลาวคัดของ พวกเราระวัง ของที่อื่นต้านมันไม่ไหว มีพระหลวงพ่อกับยันต์เกราะเพชรเท่านั้นที่จะช่วยพวกเราได้ ฉันเลยร้องสำทับไปว่า ทุกองค์ปลุกยันต์เกราะเพชรเพื่อความอยู่รอดของพวกเรา ทุกองค์หยุดงาน ต่างก็ปลุกยันต์เกราะเพชร ประเดี๋ยวเดียวตะกรุดหรือพระที่ได้มาจากวัดอื่นหักหมด เหลือแต่พระหลวงพ่อให้ไปเท่านั้นที่ไม่ยอมหัก พวกเราทราบทันทีว่าเจ้าลาวระยำนั่นมันคงใช้วิชาทำเราไม่มีผล มันคิดว่ามีของกัน จึงคัดของ

    เมื่อปรากฏว่าพระวัดอื่นแตก พระบางองค์ตกใจหน้าเสีย จึงบอกท่านว่ายันต์เกราะเพชรคุ้มได้และวิชาที่ทำเราจะย้อนเข้าตัวคนทำเอง ทุกองค์จงว่า อิติปิโส ทุกองค์วางงาน พนมมือตาม ๆ กัน เขาว่าในใจ เขาอะไรบ้างไม่ทราบ เวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที เจ้าลิงขาวก็บอกว่าขอให้ทุกองค์ทำงานตามปกติ เจ้าลาวหมอบแล้ว ช่างมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา เราทำงานกันไป ของมันสังหารมันเอง ฉันเพลแล้วจึงค่อยไปดูมัน เจ้าลิงขาวมันทรงอภิญญา ฉันสู้มันไม่ได้สักอย่าง และเจ้าลิงเล็กด้วย มันทรงอภิญญาเหมือนกัน พวกเขาเป็นทหารคุ้มครอง

    เรื่องอันตรายนอกจากกฎของกรรมใหญ่แล้วเขาคุ้มได้จริง ๆ เมื่อทุกองค์ฟังแล้วก็ทำงานตามปกติ เมื่อถึงเวลา 11 น. เศษ ต่างก็พักจากงานมาอาบน้ำฉันข้าวเพล เมื่อฉันเสร็จก็พักเหนื่อยถึง 13 น. จึงจะขึ้นทำงาน คราวนี้เราพักกันจวนค่ำคือตะวันยอแสงจริง ๆ ด้วยอยากให้งานเสร็จเร็วๆ ไม่ใช่กลัววัวเขาอ่อน ไม่อยากให้งานยืดเยื้อ เผื่อว่าแม่วัวแก่หิวจัดจะได้ดื่มอาหารเร็วๆ พูดเรื่อยไปอย่างนั้นเอง เมื่อขณะพักงานนอนลงไปชั่วครู่ก็มีคนมาบอกว่า มีลาวคนหนึ่งนอนบวมทั้งตัว นอนร้องครวญครางอยู่ที่หลังเขา ทุกองค์ไปดูก็พบเจ้าลาวปากเสียคนนั้น มันบวมเกือบปริ ร้องครวญครางอยู่ที่หลังเขา ทุกองค์ไปดูก็พบเจ้าลาวปากเสียคนนั้น มันบวมเกือบปริ ร้องครวญครางน่าสงสาร

    เมื่อสอบถามก็ยอมรับว่าหวังจะทำให้พระทั้งหมดตาย มันเอาก้อนหินมาวางเป็นแถวจะเอาก้อนหินเข้าท้องพระ มันเก่งมาก แต่พอเริ่มทำก็ปรากฏว่ามีบาทาใครไม่ทราบมากระทบมันทั้งตัว เล่นเอานอนคว่ำนอนหงาย ในที่สุดหมดแรงลุกไม่ขึ้น บวมทันทีทันใด เรื่องต่อไปก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของคู่ปรับเขานำส่งหลวงพ่อที่วัดบางนมโค สมัยนั้นการคมนาคมดีมาก แต่ว่ามีน้อยเหลือเกิน กว่าคนป่วยจะผ่านด่านมาถึงวัดบางนมโคก็เป็นวันที่ 3 ของวันป่วย มันร้องครวญครางไพเราะมาก

    เมื่อถึงหลวงพ่อ ท่านจัดการให้ขมาพระรัตนตรัยและรับว่าจะบวช เมื่อเขารับคำแล้วท่านก็ถอนหายภายในไม่ถึง 30 นาที เพราะไม่ใช่ไข้ เป็นโรคบาทาท่านขุนด่านกระทบ (ท่านขุนด่าน ท่านเป็นคณะเดียวกับพระกาฬลพบุรี) ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉันอย่างไร วันหน้าค่อยฟังใหม่ วันนี้ถึงเวลา อาบน้ำเย็นเสียแล้ว ต้องต้มน้ำอุ่นอาบ ตามใจคนอุปถัมภ์เขา เขาหวังดีไม่มีผลร้ายก็ต้องตามใจเขา ตามลำพังคนเดียวดีไม่ดีกินข้าวส่งเดช นอนคอยเท่งทึงเสียสบายใจ เอาล่ะ คนต้มน้ำเขามาบอกว่าน้ำร้อนนานแล้ว เขาทำแล้ว ฉลองความดีเขา ใจเขาจะได้สดใส ตายแล้วจะได้ไปสวรรค์ ขอลูกหลานทุกคนจงสบายดีนะ สวัสดี
     
  19. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๓๙.เจ้าพ่อขุนด่าน

    วันนี้วันที่ 3 ธันวาคม 2514 เมื่อวานนี้ฉันพูดถึงเรื่องเจ้าพ่อขุนด่าน ท่านใช้บาทากระทบ เจ้าลาวอันธพาลคนนั้นเข้า จนเจ้าลาวเจ็บและบวมไปทั้งตัว ในที่สุดพระองค์ปากเสียก็ต้องเป็นเจ้าภาพนำส่งหลวงพ่อปาน คนที่จัดรายการนี้ก็คือเจ้าลิงขาวเขาเป็นผู้สั่ง เพราะเขามีฐานะเป็นผู้รักษาความปลอดภัย ที่เขาสั่งอย่างนั้นก็ประสงค์ให้ทั้งสองฝ่ายเลิกอาฆาตมาดร้ายกันเสีย

    เมื่อเจ้าลาวอันธพาลไปพบหลวงพ่อปาน ท่านขอให้ขมาพระรัตนตรัย ด้วยทำกับพระที่ช่วยเสริมสร้างพระศาสนา เป็นการทำลายความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนา ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล ความเห็นของท่านเป็นอย่างนี้ เมื่อหายแล้วจะบวชมันก็ยอมรับ เพราะถ้าไม่ยอมรับท่านไม่รักษาให้ เมื่อมันยอมรับแล้วท่านทำน้ำมนต์ให้กิน เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมันก็หายเป็นปกติ

    ลูกหลานอาจจะสงสัยว่าน้ำมนต์วิเศษอย่างไรจึงแก้โรคได้ชะงัดนักและหายรวดเร็ว เรื่องนี้จงทราบว่าไม่ใช่โรคธรรมดาที่เกิดกับร่างกาย มันเป็นโรคบาทากระทบและเกิดจากบาทาของผี นี่ว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ถ้าพูดตามภาษาพระที่พอจะเอาแบบเอาแผนตามพระพุทธเจ้าสักหน่อย ไม่มาก ก็เพียงใช้ฌานโลกีย์ ก็ต้องพูดว่าโรคเกิดจากบาทาเทวดาหรือบาทายักษ์ คำว่ายักษ์ จงทราบไว้ด้วยว่าไม่ใช่ยักษ์ในแบบเรื่องรามเกียรติ์ เพราะยักษ์พวกนั้นพระที่ทรงฌานไม่รู้จัก ยักษ์ที่กล่าวนี้เป็นชื่อของเทวดาพวกหนึ่งที่มีอานุภาพมาก ตายจากมนุษย์ที่ทรงฌาน แต่ทว่าเวลาตาย ๆ นอกฌาน ไม่ได้เข้าฌานตาย ไปเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวัณ ท่านเรียกว่ายักษ์ แปลว่าผู้ที่คนควรบูชา ไม่ใช่ยักษ์อันธพาลอย่างพวกยักษ์ทศกัณฐ์

    ความจริงยักษ์พวกทศกัณฐ์จะหาว่าเป็นอันธพาลก็อาจจะบาปเกินไปสำหรับคนพูด ด้วยยักษ์พวกนี้มีจริงหรือไม่ ไม่มีใครรับรอง หาเหตุหาผลกันยากเต็มที ถ้ามี ฉันก็คิดว่าคงจะไม่น่ากลัวเท่ายักษ์อีกพวกหนึ่ง ยักษ์พวกนี้มีตื่นในสมัยปัจจุบัน มีทั้งที่ตัวเราเอง ที่ลูก ที่เมีย ที่บริวาร แม้ในวงราชการก็ได้ยินข่าวว่ายักษ์พวกนี้เข้าสิงอยู่หมด เห็นวิทยุออกข่าวว่าอย่างนั้น ทางหนังสือพิมพ์เขาก็ลงข่าวว่ายักษ์พวกนี้ แม้ชาวบ้านชาวเมืองชาวราชการเขาก็พูดกันว่ายักษ์พวกนี้มีมาก มันมีอำนาจมากด้วย ไม่เกรงกลัวใคร แม้พวกทหาร ตำรวจที่ถืออาวุธ เจ้ายักษ์พวกนี้ก็ไม่กลัว ยักษ์พวกนี้เวลาเขียนหนังสือไม่ต้องใช้ตัว ข หรือตัว ษ การันต์ ด้วยมันเป็นยักพิเศษ

    ลูกหลานที่รักรู้จักยักพวกนี้ไหม ลองนั่งนึกสักครู่ นึกออกไหม ถ้านึกไม่ออกจะบอกให้ เจ้ายักพวกนี้เราเรียกชื่อเต็มเขาว่ายักยอก เมื่อรู้จักชื่อแล้วลองช่วยกันใคร่ครวญกันดูทีหรือว่ามันร้ายแรงมากไหม มันยักไม่เลือกที่ ไม่เลือกบุคคล ยักดะไปหมด ยักผัว ยักเมีย ยักลูก ยักหลาน ยักญาติ ยักราชการ มันยักได้ทุกสถานที่ แม้ตัวเราเองที่คบมันไว้ มันก็ยัก จะสมมติให้เห็นอาการที่มันยักตัวเราเองก็คือ

    สมมติว่าลูกหลานทำงานรับจ้าง นายจ้างจะเป็นรัฐหรือบุคคลก็ตาม ตามระเบียบงานเขาว่าเขาจะให้เงินเดือนเพื่อเลี้ยงตัว เวลาที่เราจะทำงานเราก็ว่าจะเอาเงินมาเลี้ยงตัว จะจ่ายในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พอได้เงินเข้าจริง ๆ เจ้ายักพวกนี้มันก็สอนให้เราเป็นยักษ์ คือ ยักเงินค่าอาหารประจำวัน ค่าเล่าเรียนของลูก ค่ากระโปรงเมีย ค่ากางเกงตนเอง เอาไปซื้อเหล้าเมายาเสีย บางรายก็ยักเมีย ได้รับเงินมามากบอกเมียว่าได้น้อย แอบไปหาความสำราญนอกบ้าน ฯลฯ

    เอากันเท่านี้พอ เห็นหรือยังว่าเจ้ายักพวกนี้มีความร้ายแรงกว่ายักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์มาก เรื่องยักษ์พักกันดีกว่า มาว่ากันถึงเรื่องท่านเจ้าพ่อขุนด่านต่อไป ว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกฉัน หมายถึงพระทุกองค์อย่างไร และรู้ได้อย่างไรว่าบาทาที่กระทบเจ้าลาวอันธพาลนั้นเป็นบาทาท่านเจ้าพ่อขุนด่าน
     
  20. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๐.อานุภาพท่านเจ้าพ่อขุนด่าน

    ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องรู้จักท่านเจ้าพ่อขุนด่าน มาพูดถึงเรื่องอานุภาพท่านสักหน่อย ลูกหลานจะได้ไม่สงสัย หรือใครจะสงสัยก็ตามใจ ไม่ว่าอะไร ถ้าสงสัยก็จงหัดขยันทำสมาธิตัดความชั่วทางใจที่อยากสนใจเรื่องของชาวบ้าน ใครเขาจะดีจะชั่วช่างเขา

    ถ้าเป็นคนที่เนื่องกับเราก็ตักเตือนโดยธรรม เมื่อเขาไม่รับฟังก็ตัดหางปล่อย ไม่สนใจกับเขาต่อไป ไม่ข่มขู่ใคร ไม่อวดว่าเราดีกว่าใคร สนใจแต่รักษาอารมณ์ของเราเป็นสำคัญ อารมณ์ที่ควรรักษาก็คือ ไม่มีอารมณ์โหดร้ายฆ่าใคร ทำร้ายใคร ไม่ลักเล็กขโมยน้อยใคร ไม่โกหกมดเท็จใคร ไม่ย้อมใจด้วยน้ำเมาแม้แต่หยดเดียวก็ไม่เอา

    ต่อไปก็ตัดอารมณ์อยากเสียชั่วคราว คือ อยากเป็นผัวเป็นเมียใคร แม้ชั่วขณะก็ไม่อยาก ไม่อยากฆ่าใคร กลั่นแกล้งใคร มีอารมณ์จับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออกจริง ๆ วันละ 10 นาที ไม่ต้องมาก ไม่ปล่อยอารมณ์ให้ง่วงเคลิบเคลิ้มเมื่อนั่งจับ คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่สงสัยผลที่รู้ลมหายใจเข้าออกว่าจะไม่เป็นผล ให้รู้จักฝึก

    ต่อไปก็รักษาอารมณ์ใจให้สดชื่นด้วยความเมตตาปรานี อยากสงเคราะห์คนและสัตว์ที่มีทุกข์ มีอารมณ์สดชื่น ไม่คิดว่าใครเป็นศัตรูกับเรา ไม่ริษยาใคร เมื่อเขาได้รับรางวัลจากใครก็ช่าง หรือจากผลงานของเขาเองก็ช่าง วางอารมณ์เฉยไม่ซ้ำเติมเมื่อคนอื่นถึงความวิบัติ หัดไว้เท่านี้ทุกวัน ใช้เวลารักษาอารมณ์อย่างนี้เพียงวันละ 10 นาที

    ถ้าทำได้เรื่องผีเรื่องเทวดาเรื่องเล็กเหลือเกิน รู้ได้กระทั่งว่าเราตายแล้วจะไปไหน เมื่อก่อนเกิดมาจากไหน ไม่มีอะไรยากเลย ทำได้ไหมจ๊ะ ถ้าทำได้ก็รู้เองได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ฟังฤาษีหัวล้านเล่าเรื่องนี้เป็นนิทานต่อไป ฟังแล้วอย่าเชื่อ ใครเชื่อก็เป็นคนโง่ เมื่อฟังแล้วปฏิเสธว่าไม่มี ไม่จริง โดยที่ตนเองไม่พยายามทำตาม ฉันก็ว่ายิ่งโง่มากกกว่าพวกที่เชื่อเฉย ๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าบรมโง่ ทั้งนี้เพราะนิทานที่เล่าให้ฟังเป็นนิทานมีแบบปฏิบัติ

    ว่ากันต่อไป เมื่อรักษาอารมณ์ดีแล้วก็หัดฝึกอารมณ์รักษานิมิต ปล่อยนิมิต ตามแบบฝึกวิชชา 3 ตามที่ท่านผู้รู้เขียนไว้ในหนังสือฝึกสมาธิ หรือคู่มือนักปฏิบัติกรรมฐาน หรือในวิสุทธิมรรคเผด็จ 6 เล่ม ที่ท่านเอาเป็นหลักสูตรประโยค 8 ของพระก็ดี ฝึกตามนั้นง่ายนิดเดียว เดี๋ยวก็เห็นหมด หมดสงสัย

    คนที่ไม่ยอมโง่เขาทำกันอย่างนี้ ไม่ใช่มานั่งอวดเป็นนักปราชญ์ออกอากาศสอนชาวบ้าน แล้วก็คัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หาว่าเรื่องภาณยักษ์ ภาณพระเป็นเรื่องของพราหมณ์ ในพระพุทธศาสนาไม่มี ท้าวมหาราชทั้งสี่ คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวกุเวร หรือที่เรียกว่าท้าวเวสสุวัณ ไม่มีในพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่พราหมณ์แต่งขึ้น พูดอย่างนี้รู้มากไป อายท่านผู้พูด อายุเท่าไร ทำไมแอบไปรู้เรื่องก่อนพระพุทธศาสนาเกิด และท่านอ้างว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวไว้

    แสดงว่าท่านติดตามพระพุทธเจ้ามาทุกระยะ เป็นอันว่าท่านเกิดก่อนพระพุทธเจ้าเสียอีก เกิดก่อนต้นตระกูลศาสนาพราหมณ์ถึงได้ทราบว่าพราหมณ์บัญญัติขึ้น และท่านติดตามพระพุทธเจ้าตลอดมา พระพุทธเจ้าได้ไปเทศน์ที่ไหน พูดกับใคร ท่านคอยฟังตลอดเวลา ความจำท่านเองก็ดีมาก จำได้ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยพูดกับใครเรื่องนี้ ท่านเองก็มีอายุยืนมาก ท่านมีชีวิตได้ถึงวันนี้ วันที่ 3 ธันวาคม 2517 แสดงว่าท่านมีอายุหลายพันปี ท่านเก่งกว่าพระพุทธเจ้ามาก ท่านคงจะเป็นญาติกับท่านเทวทัต

    มันแน่นักหรือนายที่ออกข่าวมาอย่างนั้น การพูดที่คิดเอาเองไม่ใคร่ครวญให้ดี ไม่มีเครื่องมือพิสูจน์ เที่ยวรื้อโบสถ์รื้อศาลา รื้อประเพณีที่ดีงาม ถึงแม้ว่าจะพลาดเป้าไปบ้าง ถ้าไม่มีภัยควรแล้วหรือที่จะไปรื้อของเขา ความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอน ท่านสร้างอารมณ์ทรงไว้ได้หมดแล้วหรือ หรือว่าเพียงแต่อ่านผ่านไป ท่านทรงปฏิสัมภิทาแล้วหรือยัง แม้แต่พระที่ทรงปฏิบัติสัมภิทายังมีโง่ตั้งเยอะ

    โดนพระพุทธเจ้าถามสิ่งที่ไม่ใช่วิสัยยังเป็นไก่ตาแตก คลำหาคำตอบไม่ได้ เพื่อนเอ๊ยไหน ๆ ก็อาศัยพระพุทธบารมีสร้างวาสนาบารมีจนมีชื่อเสียงโด่งดัง อย่าสมัครไปอยู่กับเทวทัตเลย ลูกหลานเอ๋ย นี่ฉัน พล่ามมากไปกระมัง ที่พูดนี้บังเอิญฟังวิทยุได้ยินนักปราชญ์ท่านปฏิเสธเรื่องภาณยักษ์ ภาณพระ เรื่องท้าวมหาราชไม่มีตัวตน แม้ฉันอยู่ในป่าที่ไกลเมืองหลายร้อยกิโลเมตร ฉันก็มีวิทยุฟัง เพราะลูกอัศนียา อนันตวงษ์ เธอให้ไว้ 1 เครื่อง ใช้ถ่านไฟฉาย 2 ลำโพง มีเครื่องเล่นจานเสียงด้วย แต่ฉันก็ใช้ฟังน้อยเหลือเกิน

    ด้วยฤาษีมีเวลาว่างยาก เกรงว่าเจ้าเสือร้ายในป่ากิเลส มันจะทำอันตราย เลยต้องระวังตัวเสมอ เพื่อนรัก ขอพูดกับนักปราชญ์อีกนิด ตั้งตัวเสียใหม่เถิดเพื่อน ฟังเพื่อนพูดแล้วแสดงว่าเพื่อนไม่มีเลยแม้แต่ฌานโลกีย์ เพื่อนกลับตัวเสียใหม่นะ อายุเพื่อนคงไม่มากนัก เพื่อนคงมีอายุไม่ถึงหมื่นปี ฉันคิดว่าเพื่อนเป็นเด็กไม่เกิน 70 ฝนเป็นอย่างมาก เพื่อนอย่าคะนองปากนักซิ ฝึกฝนอารมณ์ตนตามพุทธวัจนะเสียบ้าง จะได้เลิกพูดแบบนี้

    ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้สาระน้อยไปหน่อยนะ เพราะมัวไปทะเลาะกับท่านนักปราชญ์เพลินไป มาพูดกันถึงอานุภาพท่านขุนด่านอีกหน่อย เพราะชักเหนื่อยแล้ว ท่านขุนด่านเป็นเทวดาของท่านท้าวเวสสุวัณ มีเครื่องทรงประจำสีแดง คือ นุ่งห่มสีแดง และโพกผ้าก็สีแดงเหมือนกัน ท่านที่ทรงเครื่องแดงนี้จัดเป็นเทวดามีอานุภาพมาก

    สมัยที่เขาวงพระจันทร์ยังมีสถานที่ยังไม่สมบูรณ์อย่างปัจจุบัน หลวงพ่อปานท่านกำลังสร้างมณฑปและบันไดขึ้นเขา มีพระองค์หนึ่งเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของหลวงพ่อปาน ชื่อท่านสำราญ ชาวบ้านเรียกว่าอาจารย์สำราญ ขณะนี้สำราญอยู่เมืองผีนานแล้ว เพราะท่านแก่กว่าฉันมาก สมัยฉันอายุ 20 ปีเศษ ท่านมีอายุเกือบ 40 ปีแล้ว ท่านอยู่ประจำที่เขาวงพระจันทร์ เป็นเขตอารักขาของท่านขุนด่าน

    หลวงพ่อปานท่านสั่งไว้เสมอว่า อย่าประกาศตัวเป็นศัตรูกับผี ควรทำตนเป็นมิตรกับผีจะได้อยู่เป็นสุขเพราะผีไม่ใช่คน ถ้าเป็นศัตรูกัน เวลาที่เขามาทำอันตรายไม่มีนิมิตปรากฏ ท่านก็ไม่เชื่อ ปกติท่านสวดบทวิปัสสิทธิ์เสมอเพื่อไล่ผี คาถาบทนี้เป็นคาถาในบทภาณยักษ์และภาณพระ คำว่า ภาณยักษ์ แปลว่า ยักษ์พูด คำว่า ภาณ แปลว่า พูด เป็นคาถาที่ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ท่านประชุมกันร้อยกรองขึ้น

    เมื่อร้อยกรองเสร็จท่านก็ประชุมผีทั้งหมด ท่านสั่งว่าใครเขาสวดคาถาบทนี้อยู่ห้ามทำอันตราย ถ้าใครไม่เชื่อจะลงโทษฐานกบฏ มาตรนี้มีโทษรุนแรงมาก เมื่อประกาศแล้วท่านจึงเรียกว่าภาณยักษ์ ตอนที่ท้าวเวสสุวัณพูด แปลว่ายักษ์พูด เมื่อท้าวเวสสุวัณกราบทูลถวายกับพระพุทธเจ้า ได้กราบทูลมีใจความว่า พวกยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาค และบริวารส่วนอื่นของข้าพระพุทธเจ้าที่ไม่เลื่อมใสในพระองค์มีมาก เมื่อบรรดาพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ไปทำสมณธรรมคือชำระอารมณ์ให้หมดจากกิเลส

    พวกนี้มักจะกลั่นแกล้งให้ตกใจกลัว เป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์มาก คำว่าพรหมจรรย์ ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ไม่เคยผ่านใครมาเลย นั่นยังไม่เรียกว่าพรหมจรรย์ ควรเรียกว่าคนยังไม่เคย ส่วนพรหมจรรย์แปลว่าประพฤติประเสริฐ คือไม่เป็นอันตรายแก่ใคร ได้แก่คนมีพรหมวิหาร 4 นั่นเอง พวกที่ไม่เคยผ่านการร่วมรัก อาจจะเคยลักขโมย ฆ่าสัตว์ โกหกมดเท็จ กินเหล้าเมาสุราบ้างก็ได้ เรียกว่าพรหมจรรย์จึงไม่ตรงเป้าหมาย

    ส่วนพรหมจรรย์แท้ท่านหมายเอามีความประพฤติอย่างประเสริฐ คือ มีอารมณ์เหมือนพรหม มีศีลบริสุทธิ์ มีเมตตาปรานี มีฌานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เป็นพรหมจรรย์อันดับปฐม พรหมจรรย์อย่างมัธยม ก็ต้องตัดกิเลสสิ้นไปเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เรียกพรหมจรรย์ระดับมัธยม หรือเรียกดุษฎีบัณฑิต เป็นอันว่ารู้กันนะว่าพรหมจรรย์หมายความว่าอย่างไร

    เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทของพระองค์ไปเจริญสมธรรมในป่าในรกที่สงัด ถ้าเกรงว่าบรรดาผีอันธพาลทั้งหลายจะรบกวน ให้เขาสวดคาถาบทนี้ผีจะไม่ทำอันตราย เมื่อท่านอธิบายแล้วก็ถวายคาถา จึงเรียกว่าภาณยักษ์ เพราะเป็นตอนยักษ์พูด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านรับไว้แล้ว ท่านมหาราชกลับแล้ว ท่านเรียกประชุมพุทธบริษัท ท่านก็ให้บริษัทเรียนและอธิบายตามนั้น ตอนนี้ในตำนานท่านกล่าวว่า พระพูด เรียกว่าภาณพระ

    ท่านสำราญท่านถือคาถานี้เป็นสำคัญ ท่านไม่ได้ทำดีคือสมณธรรม ท่านถือว่าท่านเก่ง พ่อสวดมนต์บทนี้ไล่ผีทุกวัน ผิดระเบียบพระที่ดี ไม่ทำดีแต่เอาอาวุธของคนดีมาใช้ก็เลยไม่มีผล พอเผลอท่านขุนด่านเลยจัดการเสียตามระเบียบ คือเวลาประมาณ 17 น. โดยประมาณ อาจจะไม่ตรงเผง ฉันและเพื่อนได้ยินเสียงท่านสำราญร้องโอย ๆ เสียงดังมาก ก็พากันวิ่งไปดู คิดว่าใครทำอันตรายท่าน ไม่ได้คิดว่าผีทำ คิดว่าคน คือพวกของเจ้าลาวอันธพาล

    เมื่อวิ่งไปถึงปรากฏแก่ตาของพระทุกองค์ เห็นคนนุ่งแดง ใส่เสื้อแดง ผ้าโพกหัวแดง ถือหวายขนาดใหญ่ กำลังหวดซ้ายป่ายขวาท่านสำราญ ๆ ลงไปนอนบิดไปบิดมาอย่างสำราญอยู่กับพื้น เจ้าสองลิงคือเจ้าลิงขาวกับเจ้าลิงเล็กวิ่งเข้าไปร้องขอว่าท่านขุนด่าน ขอทีเถอะ หยุดลงโทษเสียทีเท่านี้พอแล้ว แกหันมามอง ตาแดงก่ำ แดงเป็นสีตายักษ์ แกยิ้ม แต่ทว่ายิ้มของแกไม่น่ารักเลย มันน่ากลัวมากกว่า

    พระที่วิ่งไปด้วยเห็นยิ้มของแกเข้าหลบก้มหน้าลงดินเป็นแถว ที่ยืนปกติมีฉันกับเจ้า 2 ลิง เมื่อแกเลิกยิ้มแกบอกว่า เจ้านี่อวดดีนัก เอาคาถาท่านมหาราชมาขับเทวดาขับผี เขาให้ไว้สำหรับคนดี ไม่ใช่ธุระของคนอันธพาลจะนำมาใช้ เลยจัดการเสียนิดหน่อย คราวต่อไปทำอย่างนี้อีกจะลงโทษให้หนักกว่านี้ แล้วแกก็ก้าวขึ้นขื่อหายไป

    พระทุกองค์ที่ไปเห็นและได้ยินเหมือนกัน นับแต่นั้นมา ท่านสำราญท่านเห็นว่าที่เขาวงพระจันทร์สำราญเกินไป ท่านทนความสำราญไม่ไหวเลยลาไปสำราญที่อื่น พวกฉันเห็นได้ท่าก็เลยหันมาสำทับพวกเดียวกัน บอกว่าที่นี่เจ้าที่ดุ ต่อไปจงระมัดระวังความประพฤติ ถ้าใครทำชั่วไม่มีใครช่วยใครได้ อาจจะต้องมีโทษมากกว่านี้ เรื่องวัวเขาอ่อนเป็นเหตุ ถ้ายุ่งมากอาจจะถึงตาย และความประพฤติส่วนอื่นก็เหมือนกัน จงระงับเสีย อย่าเอาชั่วมาใช้ เรามาทำบุญกัน อย่าเอาบาปกลับวัด

    เป็นเรื่องน่าประหลาด เมื่อฉันและเพื่อนเตือนพระเย็นวันนั้น พอเช้าก็มีพระทุกองค์มารายงานว่าเมื่อคืนนี้ทุกองค์เห็นท่านขุนด่าน ท่านมาคาดโทษว่า ถ้าท่านใดทำเลวปล่อยใจอย่างฆราวาส ท่านจะจัดการยิ่งกว่าท่านสำราญ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระที่อยู่ร่วมกันสำรวมเรียบร้อยดีทุกองค์ ไม่มีใครสนใจกับแม่วัวเขาอ่อน จะรักจะชอบก็ไม่กล้าแสดงออก ลูกหลานที่รัก นึกว่าปลอดแล้วหรือที่พลพรรคของฉันจะไม่ถูกรุกรานจากวัวเขาอ่อน เปล่าเลย ยิ่งเฉยยิ่งเรียบร้อย

    ก็เกิดมีวัวตัวแปลก ๆ ปรากฏมากขึ้น ดูเหมือนจะเป็นวัวพันธ์ดีกว่าที่เคยเห็นมา เมื่องานเสร็จงวดจากหน้าที่ของท่านเหล่านั้น แทนที่ท่านจะกลับภูมิลำเนาเดิม ต่างก็เดินเข้าคอกวัวกันเป็นแถว แม่วัวเขาอ่อนนี้ช่างมีอานุภาพมากจริง ไม่รู่ว่าย่องไปตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเธอมาไม่เห็นพูดอะไรกัน ต่างก็วางท่าวางทางสงบเสงี่ยม แต่หลังจากพ่อวัวเหลืองสลัดหนังเดิมออกกลายเป็นควายเปลี่ยวไปแล้ว และเดินเข้าคอกวัวเขาอ่อนไป

    พวกเราก็พบจดหมายรักที่ที่นอนของพ่อวัวเหลืองเป็นปึก ๆ เป็นจดหมายตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงอวสาน คือตกลงแต่งงานตามคำขอร้อง และช่วยเป็นภาระธุระด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าเรื่องอานุภาพของท่านขุนด่านตอนนี้ก็หยุดเพียงเท่านี้นะ เพราะถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี พรุ่งนี้ค่อยคุยกันใหม่ ขอลูกหลานทุกคนจงมีอารมณ์สบาย ทรงฌาน ทรงญาณ และเข้าถึงวิปัสสนาญาณโดยทั่วกันทุกคนนะ สวัสดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...