ประวัติหลวงพ่อปาน-คัดลอกจากไฟล์อริยบุตรหนังสือธรรมะ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ตุปั๊ดตุเป๋, 16 มีนาคม 2019.

  1. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๑.บวงสรวง

    เรื่องของการบวงสรวง ถ้ามองกันในแง่ที่เข้าใจในปัจจุบัน หรือในทัศนะของนักปราชญ์กระดาษ ก็ดูจะเป็นเรื่องงมงายเกินไป แต่ถ้าจะพูดกันตามมุมของท่านที่ฝึกทางจิตใจจนจิตมีความสว่างพอใช้งานได้ แม้แต่เพียงฌานโลกีย์และฝึกด้านวิชชา 3 ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่มีผลไม่น้อย การที่เอาเรื่องนี้มาพูดก็เพราะเรื่องที่จะรู้จักท่านขุนด่านก็มาจากเรื่องบวงสรวงเป็นปัจจัย

    คำว่าปัจจัยแปลว่าเครื่องอาศัย จะอาศัยทางวัตถุหรือทางจิตก็ตาม ต้องอาศัยแล้วเรียกปัจจัยทั้งสิ้น จะลืมบอกไปเสียแล้วว่าวันนี้ตรงกับวันที่ 4 ธันวาคม 2514 มาพูดกันเรื่องบวงสรวงต่อไป ฉันพบเรื่องบวงสรวงครั้งแรกตอนปลายเดือนกรกฏาคม 2480 วันหนึ่ง หลวงพ่อปานท่านมีธุระจะอัญเชิญพระพุทธรูปไปไว้ที่วัดเขาสะพานนาค มีคุณหลวงวิริยะฯ และคุณหลวงกิจฯ ทั้งสองท่านนี้มีบรรดาศักดิ์คือราชทินนามเต็มว่าอย่างไรฉันไม่ทราบ เพราะเห็นหลวงพ่อท่านเรียกว่าคุณหลวงวิริยะ คุณหลวงกิจ เท่านั้น ก็เลยทราบชื่อท่านเพียงเท่านี้

    ท่านทั้งสองมารับพระพุทธรูป หลวงพ่อท่านมีบัญชาให้ฉันไปนิมนต์พระมาในพิธีบวงสรวง ท่านเลือกเฉพาะพระที่ทรงฌานทั้งหมดรวม 4 องค์ ฉันกับสองลิงคงนั่งดูพิธีบวงสรวง ฉันสงสัยเรื่องของการบวงสรวงว่าที่ท่านทำนั้นมีผลเพียงใด จึงเรียนถามหลวงพ่อก่อนพิธีบวงสรวงว่า การบวงสรวงเชิญใครกันครับ ท่านบอกว่าเชิญท้าวมหาราชทั้งสี่ มีท้าวเวสสุวัณ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปปักษ์ และบริวารทั้งหมด

    ถามท่านว่าเชิญมาทำไม ท่านบอกว่าท่านทั้งสี่บอกท่านไว้ว่าเมื่อมีงานสำคัญเกิดขึ้นขอให้บอกท่าน โดยท่านแนะนำพิธีการไว้ เมื่อบอกแล้วทุกท่านจะมาช่วย ฉันยิ่งแปลกใจใหญ่ เรียนถามท่านว่าเมื่อเชิญแล้วท่านทั้งสี่พร้อมด้วยบริวารมาหรือเปล่าครับ ท่านหันมาถามว่าแกไม่เคยเห็นหรือ ฉันเคยเชิญมาหลายครั้งแล้ว แกไม่เคยเห็นท่านหรือ ความจริงเคยเห็นท่านเชิญเหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจและไม่ได้อยู่ในวงการ เมื่อเห็นท่านเชิญก็เดินเลยไปเสีย คิดว่าเป็นเรื่องมายืนว่าคาถาสวดมนต์ธรรมดา ไม่มีอะไรนอกไปจากธรรมดาของพระ

    เมื่อเอะอะก็สวดมนต์ดะ สวดเพื่อสงเคราะห์คนฟังบ้าง สวดเพื่อสงเคราะห์กระเป๋าตนเองบ้าง ที่สวดเพื่อสงเคราะห์กระเป๋าตนเองมีปริมาณมากกว่าสวดเพื่อสงเคราะห์คนฟัง ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะเคยอยู่ร่วมใน วงการของพระ จะสังเกตไม่ยากพวกสวดเพื่อสงเคราะห์กระเป๋าตนเองมีลีลาการสวดหลายแบบ พิธีนี้ใช้บทนั้น พิธีนี้ใช้บทนี้ พอสวดกลับมาก็ตรวจตราซองที่ใส่เงิน บ้านนี้ได้เท่านี้หว่า บ้านนี้ให้เท่าไร บ้านไหนให้น้อยคิดด่าส่ง ที่ออกปากด่าเสียก็ไม่น้อย บางรายไปบังสุกุล เจ้าภาพให้น้อย

    เท่าที่เคยเห็น เจ้าภาพถวายเงิน 1 สลึง น้ำตาล 1 ห่อ สบง 1 ตัว พอออกจากวัดไปบังสุกุลพวกเอาน้ำตาลที่เขาถวายมาวางไว้ที่ตรอกวัดเป็นแถว พวกจัญไรพวกนี้เป็นพวกทำลายพระศาสนาแท้ ๆ ไม่มีใครเหลียวแลเสียบ้างเลย น่าจะตรวจใบสุทธิ ทราบว่าใครเป็นอุปัชฌาย์แล้วจับอุปัชฌาย์สึกเสีย จะได้ไม่บวชส่งเดชเพื่อหวังเฉพาะค่าจ้างแรงงาน จะได้ปกครองสัทธิวิหาริกตามพระวินัย เลวจริง ๆ ที่ไม่มีใครสนใจพระธรรมวินัยกันเลย สำหรับท่านที่สวดเพื่อสงเคราะห์ ท่านสวดตามแบบที่ท่านประชุมตกลงกันและไม่หวังผลตอบแทน ได้หรือไม่ได้ ให้หรือไม่ให้ก็ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวคือสวดให้ฟังเล่นเพลิน ๆ พอมีผลทางใจบ้าง ไม่ใช่ไม่มีผลเลย เพราะคนฟังธรรมเพลิน แม้ไม่รู้เรื่องก็สามารถไปสวรรค์ชั้นกามาวจรได้

    มาพูดถึงเรื่องบวงสรวงกันต่อไป เมื่อฉันถามท่านว่าเขามากันหรือเปล่า ท่านก็ย้อนถามฉันว่าไม่เคยเห็นหรือ ความจริงตอนนั้นฉันบวชยังไม่ถึง 15 วัน มัวตั้งท่าตั้งอารมณ์คุมสมาธิท่าเดียว ยังไม่ได้ฝึกพิเศษ ก็ตอบท่านว่าไม่เคยเห็นและไม่เคยสนใจ ท่านร้องว่า ทุด! นี่เป็นศัพท์ที่ท่านผู้ใหญ่ชอบใช้เมื่อเห็นพลพรรคไม่เป็นเรื่อง แล้วท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้สิ เมื่อพวกฉันเชิญ แกคอยนั่งดูนะว่ามีใครมาบ้าง หรือไม่แน่ใจว่าจะเห็นได้

    เมื่อฉันเชิญจบสวด 5 ครั้งแล้ว แกบอกในใจว่า ขอเชิญท่านท้าวมหาราช ทั้ง 4 หรือองค์ใดองค์หนึ่ง ขอให้ท่านกรุณาไปพบในขณะที่ท่านทำสมาธิ จะเป็นเวลาเท่าไหร่ก็ได้ แต่แกต้องตั้งอารมณ์ให้เป็นสมาธิจริง ๆ นะจะเห็นท่านได้ ต้องการสี่องค์หรือองค์ไหนก็ตามจงทำตามนี้นะ ฉันรับปากท่านว่าจะทำตามนั้น เรื่องสงสัยยังไม่หมด คือ พระองค์ นิดเดียวที่ท่านจะมอบไปวัดเขาสะพานนาค ถามท่านว่า เขาบอกว่าจะช่วยงานใหญ่และสำคัญ ก็เวลานี้หลวงพ่อจะมอบพระองค์เล็กนิดเดียวให้วัดเขาสะพานาค เขาจะมาหรือครับ ท่านถามว่าแกเห็นว่าเรื่องอาราธนาพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องเล็กนักหรือ

    พอท่านถามก็ตกใจ และคิดว่าเราเลวมากเสียแล้วที่เห็นเรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องเล็ก ท่านสั่งให้ขอขมาพระพุทธเจ้าทันที ลูกหลานจำให้ดีนะ พระพุทธรูปในเมื่อเขาสร้างแทนองค์พระพุทธเจ้า เราเอารูปพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นปุถุชนเหมือนกันแต่ท่านมีบารมีมากกว่า ทำบุญมาดีกว่า ท่านจึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เอามาวางไว้ในที่ๆ ไม่สมควร

    ฉันคิดว่ากฎหมายอาจจะลงโทษฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ เขาร่างกันไว้ตามนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ฉันคิดเอาเอง และก็คิดว่าน่าจะมีกฎหมายบังคับ เพราะถ้าท่านบุญไม่ถึงจริง ๆ ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ เว้นแต่บุญของท่านจะไปยับยั้งลงเมื่อไรเท่านั้นเอง ก็พระพุทธรูปในเมื่อเขาสร้างแทนองค์พระพุทธเจ้า

    เมื่อเราปรามาสจะไม่มีโทษหรือ ที่เขาซื้อขายกันนั้นเขาไม่ได้ซื้อขายพระพุทธเจ้า เขาขายวัตถุ ตามที่เขาเข้าใจเพราะฉันเคยเห็นเจ้าของร้านค้าพระพุทธรูปที่เป็นจีนเคยขากถุยลงในที่ ๆ มีพระพุทธรูปวางอยู่นั่นเป็นเรื่องของคนขาย แต่เราพุทธศาสนิกชน เราทำอย่างนั้นไม่ได้
     
  2. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๒.พิสูจน์ด้วยการเชิญพบ

    ตามปกติฉันนอน 22 น. และตื่น 1.30 น. เป็นปกติ ทำวัตรสวดมนต์แบบย่อ ๆ พอเวลาใกล้ 2 น. ฉันก็เริ่มทำสมาธิ พอถึง 4 น. ฉันก็ดูตำรา 5 น. ฉันก็กลับทำสมาธิใหม่เพื่อรักษาอารมณ์ เวลาออกบิณฑบาตรตามแบบฉบับของพระโบราณ ปฏิปทาของพระสมัยใหม่ท่านทำกันอย่างไรฉันไม่รู้ ด้วยฉันแก่แล้ว และมานั่งเป็นฤาษีหัวล้านอยู่ในป่าห่างเมืองหลวงตั้ง 300 กม.เศษ จะรู้เรื่องของพระในเมืองหลวงได้อย่างไร

    วิธีที่เข้าฌานก่อนแล้วคลายอารมณ์มาสู่อุปจารฌานหรือปฐมฌานแล้วออกบิณฑบาตร แบบนี้ท่านเรียกว่าพระโปรดสัตว์ เพราะท่านที่ใส่บาตรมีผลมาก ได้บุญแรง มีลาภง่าย ยิ่งได้พระอริยเจ้าท่านเข้า ผลสมาบัติ คือ พิจารณาวิปัสสนาญาณก่อน เมื่อจิตสะอาดดีแล้วเข้าฌานเต็มกำลังแล้วคลายออก ทรงอยู่เพียงอุปจารฌานฌานหรือปฐมฌานอย่างนี้อานิสงส์ยิ่งมาก บุญมาก ลาภสูง

    ที่ท่านพอตื่นก็ร้องเพลงหรือนึกถึงคนรัก นึกถึงสถานหรือวิธีหากิน ซักซ้อมความคล่องเพื่อลาภสักการ อย่างนี้ท่านไม่เรียกพระโปรดสัตว์ ท่านเรียกว่าไปให้สัตว์โปรด ด้วยท่านไม่มีอะไรดีที่จะให้บรรดาท่านที่สงเคราะห์เลย นี่ว่ากันตามแบบพระโบราณไม่ทันสมัยนะ สำหรับท่านที่ทันสมัย มีลาภ มียศ มีคนสรรเสริญ มีกามสุขสมบูรณ์ ท่านอาจจะมีความเห็นไปอีกอย่างหนึ่งและทำให้พระทันสมัยขึ้น อาจจะมีผลดีกว่าที่ฉันว่าอย่างนี้ ได้ฟังแล้วอย่าถือเอาไปเป็นแบบแผนนะ ประเดี๋ยวจะหาพระครึ ๆ อย่างฉันพูดไม่ได้ เลยไม่มีโอกาสทำบุญ พูดเลยเรื่องไปเสียแล้วอีกกระมัง

    มาเข้าประเด็น คำว่าประเด็นหมายความว่าอย่างไรฉันไม่รู้เรื่อง เคยเข้าในเมืองหลวงเห็นเขาพูดกันฉันก็เลยพูดบ้าง มันเข้าท่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาแบบเก่าดีกว่านะ พูดว่าเรามาเข้าเรื่องที่ค้างไว้ดีกว่า อย่างนี้ฟังง่ายดีนะ ขณะที่หลวงพ่อท่านเชิญ พอท่านหยุดนิ่ง ฉันไม่ประสงค์องค์อื่น อยากรู้จักท้าวเวสสุวัณองค์เดียว เห็นช่างภาพเขาเขียนรูปท่านเป็นยักษ์ ไม่ใช่ยักยอก เป็นยักษ์มีเขี้ยวยาว มีกระบองยาวคล้ายพลองลูกเสือ ท่าทางน่ากลัว ก็เลยอยากเห็นยักษ์ ตามข่าวที่เล่าลือกัน เขาว่าท่านมีอานุภาพมาก ฉันเลยขอท่านท้าวเวสสุวัณองค์เดียว กรุณามาให้เห็นเวลา 2 น. ฉันก็เข้าสมาธิ

    เรื่องของสมาธิ เข้าเพียงหายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็จมเบ้า (เต็มอัตรา) คำว่าจมเบ้าเป็นภาษาเด็กเลี้ยงควาย เกรงว่าจะหายสาบสูญไปเสีย ก็เลยเอามาพูดไว้เพื่อรักษาศัพท์วัฒนธรรมเลี้ยงควาย เมื่อถึงเวลา 2 น. ตรง ฉันก็คลายออกมาสู่อุปจารสมาธิเป็นอารมณ์ที่พอจะเห็นนิมิตได้ เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลา 2 นาฬิกาเพียงเป๋งแรก ทั้ง ๆ ที่หลับตาก็มองเห็นชายคนหนึ่งนุ่งผ้าขาวห่มผ้าสไบเฉียงขาว ถือไม้พลองยาวแค่หัว เดินลิ่ว ๆ มาทางทิศเหนือ แกเดินเร็วเหลือเกิน ไม่ถึงนาทีมาถึงที่ฉันอยู่แล้ว ใจฉันบอกเลยว่าท่านผู้นี้คือท่านท้าวเวสสุวัณ ดูท่านแล้ว ท่านมายืนห่างจากฉันสัก 2 วา ท่านไม่มีเขี้ยว หน้าตาท่านสวย ผิวสวย ทรงงามมาก ไม่สวยตื้อต้าอย่างฉัน หัวท่านไม่ล้าน

    ความจริงตอนที่ฉันเห็นท่านวาระแรกหัวฉันไม่ล้าน แต่มีผมสั้นมากเพราะถูกโกน ดูท่านสักครู่ ท่านยืนเฉยไม่พูดอะไรเลย ชักนึกกลัวตะบองท่าน จึงออกปากเชิญ ท่านกลับบอกว่าขอบใจท่านอาจารย์ อาตมาขอชมบารมีเท่านี้ เชิญท่านกลับได้ ท่านยิ้มแล้วพูดว่า เมื่อท่านอยากเห็นผม ผมมาให้ท่านเห็นแล้ว ท่านกลัวผมทำไม ท่านแอบรู้ใจเสียนี่ พวกเทวดานี่แย่มาก รู้แม้การนึก เมื่อเห็นท่านพูดเพราะ ความจริงเสียงท่านเพราะมาก พูดจานิ่มนวลดีมาก ไม่เหมือนเสียงฉัน

    เสียงฉันไม่ต่างอะไรกับเสียงกะทะแตก เวลาพูดก็ไม่มีสำเนียงเพราะ ก็เรื่องของคนไกลเมืองหลวง มายาไม่ทันสมัย มันก็อย่างนั้นเอง จะดัดแปลงให้ทันสมัยหรือก็แก่จะเข้าเตาเผาเสียแล้ว ขนเอาวาจาโฮกฮากทิ้งไว้ เก็บเอาวาจาเพราะพริ้งมาใช้แทน ดีไม่ดีใครเดินมาพบวาจาโฮกฮากที่วางไว้เอาไปใช้แทน ถ้าอายุยังน้อยอยู่ อีกนานกว่าจะตายก็จะต้องใช้ไปอีกหลายปี เมื่อไม่มีคนชอบฟังก็จะลำบากอย่างฉัน ต้องเอาป่าเอาดงเป็นเรือนอาศัย และจะต้องตายในป่า ไม่มีเครื่องตั้ง ไม่มีเมรุประดับศพ อย่าทิ้งมันเลยพาตายไปด้วยดีกว่า

    เมื่อเห็นท่านพูดด้วยก็ชักมีกำลังใจ เลยชวนท่านคุย ท่านก็คุยด้วย เรื่องที่คุยก็ถามท่านว่า เมื่อช่วยหลวงพ่อได้ ช่วยฉันมั่งได้ไหม บอกท่านว่า ฉันมีสมาธิไม่ดี เวลาท่านมาขอให้เห็นง่ายๆ ท่านบอกว่าได้ ท่านว่าลืมตาหรือหลับตาก็ได้ จะได้เห็นสบาย ๆ เลยถามต่อไปว่าขอเห็นองค์อื่นและบริวารทั้งหมดด้วย องค์อื่น ๆ ท่านจะยอมไหม ท่านบอกว่ายอมทุกองค์ เลยบอกว่าอยากเห็นเดี๋ยวนี้ ท่านบอกว่าเขามากันครบแล้ว

    พอท่านพูดขาดคำก็เห็นครบทั้ง 4 องค์ ไม่เห็นมีเขี้ยวสักองค์ ท่านสวย ๆ ทุกองค์ เมื่อท่านใจดีผีเลยเข้า ถามท่านว่า เทวดาเขามีชฎา ท่านมากันนี้ไม่เห็นมีชฏาสักองค์ ท่านบอกว่ามาหาพระจะเอาหมวกสวมมาทำไม ท่านไม่ยักเรียกชฏา เรียกหมวก ถามท่านว่าขอเห็นภาพเต็มยศได้ไหม ท่านพูดว่าเขาไม่เรียกเต็มยศ เขาเรียกว่าเครื่องประดับเต็มอัตรา โดนท่านสอนภาษาไทยเข้าให้ ระยำจริง ๆ ท่านบอกอยากเห็นก็ได้ พอท่านพูดจบต่างก็มีเครื่องประดับแพรวพราวไม่เห็นไปแต่งตัวเปลี่ยนเครื่องเดิมที่ไหนเลย ถามท่านว่าทำไมแต่งตัวเร็วนัก ท่านบอกว่าพอนึกก็เสร็จ ดูของท่านมันง่ายทุกอย่างทั้ง 4 ท่าน

    ท่านถามว่าจำได้ไหม บอกว่าจำไม่ได้ ท่านพูดว่ามนุษย์ลืมง่าย ท่านกับพวกผม 4 องค์นี้เคยอยู่ร่วมกันมา วันหน้าจะเล่าให้ฟัง ท่านว่าอย่างนั้น เวลานี้สว่างมากแล้ว พระกำลังจะออกบิณฑบาตร ท่านเตรียมตัวไว้ออกบิณฑบาตร อยากฉันอะไร ตอบท่านว่าอยากฉันผักบุ้งต้มน้ำปลาที่เขาหั่นพริกใส่รวมกัน ท่านบอกว่าพอกลับถึงวัดจะมีคนเอามาให้ ถามว่าเมื่อบิณฑบาตรไม่ได้หรอกหรือ ท่านบอกว่าถือมา ลำบาก เมื่อกลับถึงวัดจะมีคนนำมาให้เอง ท่านลากลับ ฉันก็ไปบิณฑบาต

    พอกลับมาวัด หลวงปานท่านเรียกเข้าไปหา ท่านถามว่าเมื่อคืนนี้ คุยกับท่านท้าวมหาราชสนุกไหม เรียนท่านว่าสนุก ท่านบอกว่าท่านท้าวมหาราชมาฟ้องว่ากลัวท่าน นึกในใจว่าเทวดานี่ปากบอนจริง แล้วก็รับกับท่านว่ากลัว ท่านบอกว่าขอผักบุ้งต้มน้ำปลาใส่พริกเขาไว้หรือ เรียนท่านว่าขอรับ ท่านหัวเราะแล้วหยิบถ้วยใส่ผักบุ้งต้มที่ถอนทั้งต้น ผักบุ้งอะไรแปลกจริง มันใหญ่ขนาดแขนเกือบจะลงไปได้ ยาวหลายวา

    ถ้วยที่ใส่เป็นถ้วยดินโบราณ โตเกือบเท่าชามกะละมัง มีน้ำปลาผสมพริก ไม่รู้ว่าพริกอะไรมันเผ็ดน่าดู แตะเข้าไปนิดเดียวน้ำหูน้ำตาไหล ท่านบอกว่าเก็บเอาไว้ ผักกินไม่หมดตากแดดไว้ เอาไว้ดูเป็นอนุสรณ์ ถ้วยใบนั้นหายเสียเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ทราบว่าใครเอาไป ฉันไปอยู่เสียที่กรุงเทพฯ เพื่อเรียนภาษาบาลี ถ้าอยู่สมัยนี้ลูกหลานคงจะได้ชมของโบราณ

    เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงที่ท่านทั้งหลายสมัยใหม่มั่ง เก่ามั่งหาว่าครึหรือไร้ผลนั้น มันไม่แน่นักหรอกนายเอ๋ย ทำกันจริง ๆ ค้นกันจริง ๆ คงเห็นว่าไม่ไร้ผล แต่เอาผลตามที่ควรเอา อย่าหวังผลเลิศจนเกินพอดี เชิญมาขอหวย เชิญมาขอให้เลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์ นี่ว่าตามภาษาคนเก่า สมัยนี้บรรดาศักดิ์ไม่มีแล้ว ของเก่ายังเหลือแต่ทว่าของใหม่ไม่มี หรือใครจะนึกมีเอาเองก็ไม่ทราบ เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงที่พูดมาแล้วขอผ่านไป มาพูดถึงท่านขุนด่าน ที่พวกฉันรู้จักก็เพราะเมื่อหลวงพ่อปานท่านจะสร้างวัดที่ไหน ท่านต้องบวงสรวงก่อนเสมอเพื่อขอให้ช่วย เมื่อท่านบวงสรวง พวกฉันสามลิงรวมอยู่ด้วย จึงรู้จักท่านขุนด่าน เพราะท่านขุนด่านท่านรับเชิญมาในพิธีบวงสรวงด้วย ท่านขุนด่านเป็นเทวดาชั้นอำมาตย์ของท่านท้าวเวสสุวัณ

    เรื่องท่านขุนด่านขอผ่านไป คราวนี้มาวินิจฉัยกันถึงเรื่องเทวดา 4 ทิศ ทิศตะวันออกมีท่านท้าวธตรฐเป็นใหญ่ในบรรดาคนธรรพ์ทั้งหมด พวกคนธรรพ์นี้ได้แก่พวกเทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ในเรื่องกากี เป็นเทวดาผู้มีบุญเคยบำเพ็ญฌานมาในสมัยเป็นมนุษย์ ทิศใต้มีท่านวิรุฬหกเป็นใหญ่กว่ากุมภัณฑ์ทั้งหมด ทิศตะวันตกมีท่านวิรูปักษ์เป็นใหญ่กว่าบรรดานาคทั้งหมด

    คำว่านาคในที่นี้ไม่ใช่นาคตระกูลงู เป็นชื่อเทวดาหรือชื่อกองพลเทวดา ตัวจริงท่านเป็นเทวดาสวยงามมาก ทิศเหนือมีท่านท้าวเวสสุวัณเป็นใหญ่กว่ายักษ์ทั้งหมด ยักษ์ตระกูลนี้ก็ไม่มีเขี้ยวเหมือนยักษ์โขนหรือหนังตะลุง มีรูปสวยเหมือนกัน ท่านทั้งหมดมีความสัมพันธ์กับมนุษย์มาก ตามที่ท่านบอก ท่านว่ามีหน้าที่รับทราบความประพฤติของมนุษย์ และมีหน้าที่อารักขาชั้นดาวดึงส์ จัดเป็นกองทัพเทวดาที่รักษาเมืองสวรรค์

    ถ้าจะเรียกเป็นกองทัพก็จัดเป็น 4 ทัพ คือกองทัพภาคบูรพา ภาคทักษิณ ภาคปัจจิม ภาคอุดร รวม 4 ทัพด้วยกัน ท่านจะรบกับใครไม่ทราบท่าน แต่ละท่านไม่เห็นมีปืนผาหน้าไม้ เห็นมีแต่กระบองและอาวุธสั้น เมืองท่านคงยังไม่คิดสร้างปืนเพื่อรบกัน แต่ละกองท่านคัดเอาคนที่ได้ฌานเมื่อสมัยเป็นมนุษย์แต่ตอนตายไม่เข้าฌานตาย ปล่อยตายตามยถากรรม เลยให้เป็นเทวดาชั้นนี้

    เมื่อเป็นเทวดาอยู่พยายามบำเพ็ญบารมีคือบำเพ็ญฌาน เมื่อกลับทรงฌานได้ใหม่ท่านก็ไปอยู่ชั้นพรหม เป็นพรหมเลย เห็นท่านว่าอย่างนั้น และเคยทราบมาจากท่านที่เคยบอก และเคยไปนั่งดูเวลาเขาไป คิดว่าจะทิ้งวิมานไว้จะได้เอาไว้เป็นที่พัก พอแกไปมันก็หายไปพร้อมกัน คือทั้งเจ้าของและวิมาน ไม่ยอมทิ้งทรัพย์สินไว้ให้คนอื่นใช้เลย เทวดานี่ขี้เหนียวจัง ไม่เหมือนคน คนเมื่อตายแล้วไม่เอาอะไรไปเลย แม้แต่ตัวยังไม่เอาไป ยกให้คนที่ยังไม่ตายทั้งหมด ตลอดจนความแก่ โรคภัยไข้เจ็บ ความทุกข์เร่าร้อน ไม่มีใครเอาไปด้วย ยกให้เป็นทรัพย์สินเพื่อลูกหลานปกครองตลอดไป ใจดีจัง เทวดาขี้เหนียวกว่ามนุษย์เยอะ

    ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้ดูเหมือนสาระจะน้อยไปนะ ที่มีก็เครียดเกินไป แต่ทว่ามันเป็นเรื่องควรรู้ไว้บ้าง ก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง เป็นอันว่าเรื่องบวงสรวงหรือเชิญเทวดา ถ้าคนเชิญเห็นก็มีผลตรง เป้าหมาย ถ้าเชิญดะแบบชุมนุมเทวดา ก่อนที่จะเริ่มสวดมนต์ คนเชิญก็ไม่รู้ พระก็ไม่เห็น เรื่องของเรื่องมันก็ว่ากันตามธรรมเนียม บางรายแต่งทำนองดัดเสียหยดย้อยไปเลย ว่าแล้วเฉย มาหรือไม่มาฉันไม่เกี่ยว ความจริงก็ดีเหมือนกัน ถ้าพูดกันตามที่ถูกแล้ว ถ้าไม่คิดว่าทำกันตามประเพณี ตั้งใจเชิญด้วยความเคารพ มีผลไม่น้อยเลย ลองทำให้ใจสว่างจากนิวรณ์เถิดจะรู้จะเห็นเอง วันนี้เหนื่อยเสียแล้ว ขอพักเท่านี้นะ ขอลูกหลานทุกคนจงมีตาทิพย์หูทิพย์โดยทั่วกันเถิด สวัสดี

    วันนี้วันที่ 5 ธันวาคม 2514 ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาพอดี ฉันดีใจที่บ้านเมืองเรายังมีพระมหากษัตริย์ ด้วยการมีพระมหากษัตริย์นั้นฉันเห็นว่าเรายังมีคนมีบุญเห็นอยู่ ในด้านการปกครอง แม้พระมหากษัตริย์จะไม่ได้ทรงบริหารประเทศด้วยพระองค์เองโดยตรงก็ตาม ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็น พระประมุขของปวงชน ทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขได้ด้วยบุญบารมีของพระองค์ เพราะคนที่จะเป็นกษัตริย์ได้นั้นต้องมีบุญพิเศษที่ทำมาดีแล้ว และเป็นบุญยิ่งกว่าปวงชนในขอบขัณฑสีมาของพระองค์

    ถ้ามิฉะนั้นแล้วพระองค์จะทรงดำรงพระยศเป็นกษัตริย์ไม่ได้ เป็นอันว่าวันนี้เป็นวันเกิดของคนมีบุญ ทุกคน จงโมทนาในความดีของพระองค์ และก็ตั้งใจทำความดีตามที่พระองค์ทรงทำมา เมื่อไม่ทราบว่าชาติก่อนพระองค์ทรงทำมาอย่างไร ก็เลือกเอาความดีที่พระองค์ทรงทำในชาตินี้ ทำอย่างพระองค์ แต่ไม่ต้องลงทุนเท่าพระองค์ พระองค์ทรงพระเมตตาปรานี เราก็เป็นคนมีเมตตาบ้าง พระองค์ทรงบริจาคทรัพย์เพื่อความสุขของปวงชน เราก็บริจาคบ้าง พระองค์ทรงศีล เราก็รักษาศีลบ้าง พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนประชาชน เราก็เยี่ยมบ้าง อย่างนี้เป็นต้น

    เราทำเหมือน แต่ไม่ใช่ทำเท่า คือพระองค์ทรงเมตตาสงเคราะห์คนและสัตว์ด้วยทรัพย์มาก เราก็ทำเหมือนพระองค์ที่ทรงมีเมตตาสงเคราะห์ ทรัพย์ก็ทำมากสละมาก แต่มากเท่าที่ทุนของเราจะอำนวย ต้องแบ่งทรัพย์ก่อน ส่วนไหนที่มีความจำเป็นอย่างไร แบ่งปันไว้เสียให้พอเหมาะพอดีกับความจำเป็น ส่วนที่จะสงเคราะห์ต้องเป็นส่วนที่ไม่มีอะไรผูกพัน มีสักบาทหรือสลึงก็ตาม สงเคราะห์ไปตามที่มีอย่างนี้ เรียกว่ามาก คือมากตามความจำเป็น เอากันอย่างนี้ ไม่ใช่ขี้ตามช้าง มันจะเกิดยุ่ง

    พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงสรรเสริญคนที่ทำเกินตัว ที่แนะให้ทำไม่ใช่เพื่อหวังเป็นกษัตริย์ เพื่อหวังความสุขตามกษัตริย์ ด้วยพระองค์ทรงสร้างความดีมาอย่างนี้ จึงมาเป็นพระมหากษัตริย์ได้อย่างนี้ เมื่อปัจจัยความดีเดิมมีมา และพระองค์ก็ไม่ทรงทอดทิ้งความดีมาให้ขาดสาย กลับมาบำเพ็ญใหญ่อย่างไม่เห็นแก่ความสุขส่วน พระองค์ เมื่อตัวอย่างความดี เรารู้เองเห็นเอง ก็ถือเอาความดีของพระองค์เป็นครูทำบ้าง สร้างความดีบ้าง ก็จะพบดีและมีความสุข

    พระองค์มีความสุขอย่างพระมหากษัตริย์ เราก็มีความสุขอย่างราษฎรดี ต่างก็มีความสุขเหมือนกัน ต่างคนต่างสบาย พระมหากษัตริย์ก็ไม่ต้องทรงหนักใจเพราะพวกเราไม่ดี พวกเราก็ ไม่ต้องระวังภัยที่จะเกิดจากราชภัย คือ ความผิดตามกฎหมาย ต่างก็สบาย บ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข ไม่ต้องมีตำรวจก็ยังได้เลย เป็นเมืองที่มีความสุขอย่างจริงจัง ความสุขแบบที่ฉันว่านี้ เห็นเขาลือกันว่าศาสนาพระศรีอาริย์ท่านมีความสุขอย่างนี้ เขาลือกันนะ คนที่เอาข่าวมาบอกฉันเขาเก่ง เขารู้เรื่องก่อน พระศรีอาริย์เกิด แต่เป็นข่าวดีที่ควรรับฟัง เพราะเขาลือกัน ทำเป็นข่าวให้คนสร้างความดี

    ฉันว่าน่าจะมีข่าวอย่างนี้มาก ๆ ฉันชอบจริง ๆ เมื่อข่าวนี้มีมาก คนอยากดี อยากรวย อยากสวย อยากสบายมาก ก็ต้องทำความดีมาก เว้นความชั่วมาก ต่างก็มีความสุขมาก ฉันเห็นชอบด้วยกับข่าวนี้ และอยากให้ลือกันมาก ๆ ทั่ว ๆ ไป อยากให้คนที่ฟังข่าวลืออยากไปเห็นศาสนาพระศรีอาริย์ จะได้เห็นความสุขของโลกเสียที ฉันมันคนแก่หูมืดตามัว มองไม่ใคร่เห็นความสุขของโลก หูก็ฟังข่าวความสุขของโลกไม่ใคร่ได้ยิน

    ลืมตาเห็นแสงอาทิตย์ เขาเอาหนังสือพิมพ์มาให้อ่านก็เห็นแต่เรื่องทะเลาะกัน เรื่องฆ่ากัน เปิดวิทยุที่ลูกอัศนียาให้ไว้ฟัง ก็มีแต่เรื่องปล้นฆ่า มีเรื่องเดือดร้อน หูตาฉันเสียไปที่เห็นและได้ยินอย่างนั้นอย่างนั้น เพราะคนแก่ประสาทหู ตาไม่ดี หรือว่าเขาเขียนข่าว อ่านข่าวตามที่ฉันว่า ลูกหลานตาดี หูดีช่วยฉันฟัง ช่วยอ่านให้ฉันฟังด้วย

    ถ้าหากฉันอ่านไม่ผิด เพราะคนแก่ประสาทแก่แล้ว ฉันว่าโลกนี้ไม่น่ารักเลย มันเดือดร้อนจริง ๆ รีบทำความดีเสีย ไปศาสนาพระศรีอาริย์ดีกว่า ที่นั่นสบายมาก คนสวยน่ารักทุกคน รวยทุกคน มีความสุขทุกคน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บทุกคน ไม่แก่กระย่องกระแย่งอย่างฉันทุกคน ทำดีอะไรหรือที่จะไปเกิดในศาสนาพระศรีอาริย์ได้ ไม่ยาก ค่อย ๆ รักษาศีล 5 ไม่ต้องรักษาแรง ศีลจะช้ำและตกใจกลัว จงค่อย ๆ รักษา อย่ารักษาแรง ค่อย ๆ ดึงเอามาเก็บไว้ในใจและทำตามทีละตัวสองตัว อย่าเอามากจะหนักเกินไป รักษาตัวนี้ดีแล้วก็พยายามระมัดระวังอย่าให้มีอันตราย

    เมื่อแน่ใจว่ารักษาได้ไม่บกพร่องแล้ว ก็ค่อย ๆ เอามาใหม่อีกตัว ทำอย่างนี้จนกว่าจะมีครบ 5 ตัว เรื่องเมตตาให้ทานเป็นการสงเคราะห์ก็เหมือนกัน ค่อยทำจากวงแคบ ลงทุนน้อย ไปหาวงกว้างและลงทุนใหญ่ตามความสามารถของตนจะทำได้ ค่อย ๆ รักษาอารมณ์ใจให้เป็นสมาธิ อย่าทำแรง อย่าทำมาก

    วันหนึ่งใช้เวลา 10 นาที เอาพระพุทธรูปมาตั้งตรงหน้า ยกมือไหว้แล้วก็นั่งดูท่าน นึกถึงเฉพาะรูปพระพุทธ ไม่นึกเรื่องอื่น จะดูท่านสวย หรือดูว่าท่านเป็นพระสมัยไหนก็ตาม เมื่อครบ 10 นาทีก็พัก เอาพระพุทธเจ้าเก็บ วิปัสสนาก็ทำด้วย ไม่ต้องทำมาก ตั้งอารมณ์สักวันละ 5 นาที คิดว่าอะไรบ้างนะที่มันมีขึ้นแล้วจะไม่เก่า จะไม่พัง คนและสัตว์ประเภทใดที่เกิดแล้วไม่เแก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย ไม่ต้องกิน ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องทุกข์ คิดดู หาดู ค้นคว้าตำราเก่า ๆ จะเป็นตำราอะไรก็ช่าง หยิบมาดู ไม่ต้องดูหรืออ่านมาก ดูที่ปกหนังสือว่าหนังสือเล่มนี้ใครแต่ง คนเขียนแต่งเดี๋ยวนี้อยู่หรือตาย ทำเท่านี้แหละ ใช้เวลาวันละไม่ต้องมาก

    เท่านี้ก็ขี้เกียจจะได้เกิดทันศาสนาพระศรีอาริย์ ฉันรับรองว่าทันแน่ ได้เกิดแน่ สวยแน่ มีความสุขแน่ ใครไม่เชื่อก็เชิญทำ เมื่อทำแล้วถ้าเกิดไม่ทันศาสนาพระศรีอาริย์ จะปรับฉันอย่างไร ฉันยอมทุกอย่าง ใครจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่ขัดคอใคร แนะให้คนทำดีไม่ตกนรก
     
  3. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๓.เขาวงพระจันทร์

    ฉันเป็นคนแก่ทะเล้นไม่ใคร่จะเดินตรงทาง จะเล่าเรื่องเขาวงพระจันทร์ก็แอบเอาอะไรต่อ มิอะไรมาแทรกเสียหลายวัน ลูกหลานรำคาญไหมจ๊ะ ถ้ารำคาญก็ไม่ต้องแก้อารมณ์ ปล่อยให้มันรำคาญไป และก็คิดเสียด้วยว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง เพียงแต่ตาฤาษีหัวล้านเล่านิทานยังเอาเที่ยงไม่ได้

    แกว่าแกจะพูดตรงนี้แกก็ไพล่เอาอะไรมาว่าแทนเสียเป็นคุ้งเป็นแคว เสียเวลาอย่าบูชาความไม่เที่ยงเลย คิดไว้อย่างนี้จะคิดได้นาน จำได้นาน หรือคิดแล้วลืมเลยก็ช่าง คิดไว้เสมอ ๆ เถอะ ทันศาสนาพระศรีอาริย์แน่ ทีนี้มาว่ากันเรื่องเขาวงพระจันทร์ เมื่อผ่านแดนวัดเขาสะพานนาคเข้าไปแล้วก็ขึ้นยอดเขา ทางมันไม่ใกล้เลย ฉัน ไต่เดาะ ๆ แดะ ๆ ตามภาษาลิง ก็บอกว่า ตรงนี้เมื่อฉันมาธุดงค์มาครั้งแรก ขอเห็นสิ่งอัศจรรย์ ฉันพบพระบรมสารีริกธาตุตรงนี้

    ท่านชี้สถานที่ให้ดู และในกาลต่อมาท่านสร้างมณฑปครอบไว้และสร้างบันไดขึ้นเขาไว้ ปรากฏมีอยู่ในปัจจุบัน ถึงเวลากลางคืนก็พิสูจน์ตามเดิม ฉันไม่ได้พูดอะไรมาก พวกฤาษีทั้งหลายที่คิดตามท่านต่างก็พบเหมือนกัน คือ ปรากฏเห็นพระพุทธปาฏิหาริย์ในเวลาค่ำ มีแสงดาวปรากฏ 3 ดวงขนาดใหญ่ เห็นทั้งหลับตาและลืมตา

    พอรุ่งเช้าท่านก็แนะนำว่า การนับถือพระพุทธศาสนา พวกเธออย่าติดในเนื้อหนังและวัตถุ การที่ฉันพาพวกเธอมาธุดงค์ ไม่ใช่ให้มาติดตามสถานที่ คือเวลาจะเอาบุญก็ต้องไป พระบาท ไปพระฉาย มาเขาวงฯ ไปพระแท่นดงรัง ศิลาอาสน์ เป็นต้น บุญจริงอยู่ที่ตัวปฏิบัติ อยู่วัดเราก็ทำได้ดี จงรักพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติตาม ทาน ศีล ภาวนา 3 อย่างให้ครบ อารมณ์ซื่อถือความจริง คือไม่คด ไม่โกง ความจริงยอมรับว่าสิ่งที่เกิดมี มันเก่า แก่ คร่ำคร่าจริง มันเปลี่ยนแปลงจริง มันมีอันที่จะสลายตัวในที่สุดจริง เท่านี้พอแล้ว

    พอดีที่เกิดมาในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องตะเกียกตะกายมาก ต่อมาท่านก็พาเดินชมบริเวณ ท่านพาไปด้านตะวันตกของเขา ท่านชี้สถานที่ ๆ หนึ่งให้ดู ท่านบอกว่าตรงนี้ฉันเคยพบฤาษีคนนุ่งขาวห่มขาว นั่งภาวนาอยู่คนเดียวตรงนี้ แกปลูกศาลาเล็ก ๆ อยู่คนเดียว ถามท่านว่านานหรือยัง ท่านบอกว่าก่อนพวกเธอบวช 20 ปี

    ถามท่านว่าท่านคุยกับฤาษีองค์นั้นหรือเปล่า ท่านบอกว่าคุย ได้ความว่าเป็นฤาษีผี มานั่งดักทางท่านอยู่ และบอกว่าที่ตรงนี้คือยอดเขา มีพระบรมสารีริกธาตุ ท่านจึงอธิษฐานถาม ก็ปรากฏเป็นพระพุทธปาฏิหาริย์ตามที่พวกเธอเห็นแล้วเมื่อคืนนี้ ฉันจึงสร้างมณฑปทับที่ ๆ เห็น พระบรมธาตุปรากฏขึ้นมา

    ท่านพาเดินต่อไป ไม่ไกลนัก ท่านบอกว่า ตรงนี้ฉันพบชีในการมาคราวเดียวกัน แม่ชีอยู่คนเดียว มีศาลาเล็ก ๆ หลังหนึ่งเป็นที่อาศัย ท่านฤาษีธุดงค์องค์หนึ่งถามท่านว่าแม่ชีผีหรือคนขอรับ ท่านยิ้มแล้วตอบว่า ชีผี แต่แกทำเป็นคนเรา ๆ นี้เองแบบฤาษี อีกท่านหนึ่งถามว่านางสาววงพระจันทร์ ใช่ไหมครับ ท่านตอบว่า ถ้าใช่ก็คงไม่ใช่ลูกสาวท้าวกกขนาก คงเป็นเทวดาผู้หญิงที่มีอานุภาพมาก

    เมื่อท่านพบเป็นแม่ชี ประมาณตามรูป เทียบอายุคนปัจจุบัน ประมาณอายุ 30 ปี แกนั่งอยู่คนเดียว ฉันเดินผ่านฤาษีผีมาแล้วก็มาพบแม่ชีผีเข้า แม่ชีมีลีลาไม่เหมือนท่านฤาษี ท่านฤาษีมีแต่แนะนำว่ามีพระบรมธาตุ และแนะนำวิธีปฏิบัติธรรม และทราบว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ แล้วบอกด้วยว่า ท่าน หมายถึงหลวงพ่อปาน อายุ 40 ปี กรรมฐานได้เท่าไรจะไม่ได้ดีเกินกว่านั้นอีก

    ถามท่านว่าขณะนั้นหลวงพ่ออายุเท่าไร ท่านบอกว่า ฉันเกือบ 40 ปีแล้ว ขาดอยู่ปีหรือสองปีเท่านั้น ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อพบแม่ชีแล้ว แม่ชีก็นิมนต์ท่านนั่งบนศาลา ท่านบอกว่าอยากจะเดินชมสถานที่ แม่ชีรับอาสาเป็นมัคคุเทศก์คนนำทาง เดินไปประมาณ 10 วาก็พบบ่อน้ำบ่อหนึ่ง มีน้ำใสสะอาดมาก

    แม่ชีบอกว่าน้ำบ่อนี้เป็นน้ำทิพย์ ใครได้กินแม้แต่อึกเดียวก็จะไม่ตายตลอดกาล ร่างกายจะทรงความหนุ่มสาวขึ้นมาทันที คนที่ตายแล้วไม่นานเกินไป คือ ถ้ายังไม่เน่า เอาน้ำนี้ไปรดจะฟื้นคืนชีพทันที ว่าแล้วแม่ชีก็จับแมวมา 1 ตัว แกเอาหัวแมวฟาดหิน เจ้าแมวตัวนั้นตายสนิท เมื่อพิสูจน์ด้วยกันทั้งสองท่านว่าตายแน่แล้ว ก็เอาแมวโยนลงไปในบ่อ เจ้าแมวตัวนั้นพอตัวกระทบน้ำก็กลับฟื้น วิ่งอ้าว แม่ชีถามท่านว่าดีไหม ท่านตอบว่าดี

    แล้วแม่ชีก็พาไปพบน้ำอีกบ่อหนึ่ง ใสสะอาดมากเหมือนกัน ห่างกันไม่ไกล ไม่เกิน 10 วา ท่านชี้ให้ดูว่าอยู่ตรงนี้ แม่ชีอธิบายว่า น้ำบ่อนี้เป็นบ่อน้ำตาทิพย์ เมื่อทาตาแล้วเห็นอะไรได้ทุกอย่างตามต้องการ แล้วแม่ชีก็เอาน้ำมานิดหนึ่งให้ท่านทาตา ถามท่านว่าต้องการเห็นอะไร ท่านบอกว่าต้องการเห็นปลาไหลใต้ดิน แม่ชีบอกว่านึกเอา แล้วเอาน้ำแตะตาแบบล้างหน้า ไม่ใช่ต้องหยอดเข้าไปที่ใส่ลูกตา ท่านมองเห็นปลาไหลใต้ดินจริง ๆ และต้องการเห็นอะไรก็ได้ ดูมาทางวัดก็เห็นหมด ใครทำอะไรเวลานั้น เห็นและจำได้

    เมื่อกลับมาวัดฉันถาม เขารับตามความจริงทุกอย่าง นอกจากตาดีแล้ว เอาทาหู หูก็ดีเสียอีกด้วย ถามท่านว่า หลวงพ่อเก็บไว้บ้างหรือเปล่าครับ ท่านยิ้มแล้วบอกว่าเรื่องของฉัน พวกเธออย่าสนใจ ตั้งใจทำความดีต่อไปดีกว่า ท่านไม่ตอบตรง ๆ เข้าใจว่าคงได้ไว้ ถึงโกหกอะไร ไม่ได้เลย

    ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อแม่ชีจะให้น้ำทิพย์ ท่านไม่ยอมรับน้ำทิพย์บ่อแรก แม่ชีถามว่า ทำไมไม่เอา มันไม่แก่ ไม่ตายดีนะ ท่านบอกว่าไม่ต้องการตามนั้น และไม่อยากได้น้ำทิพย์แบบไม่แก่ไม่ตาย ตลอดจนตายแล้วทำให้ฟื้นก็ไม่ต้องการ แม่ชีพูดว่า พระบ้าอะไรอย่างนี้ พบของดีแล้วไม่เอา ท่านก็เลยตอบว่า ชีนั่นแหละบ้า จะพยายามฝืนกฎธรรมดา เป็นการถ่วงคนและสัตว์ให้ทุกข์ตลอดกาล ด้วยไม่รู้จักตาย

    แม่ชีเมื่อถูกศอกกลับแทนที่แกจะโกรธ แกกลับยิ้มยกมือไหว้ บอกว่าเห็นพระมานานแล้วเพิ่งพบพระแท้วันนี้เอง ผีก็มีลูกยอ ใครว่าลูกยอมีแต่เมืองคนรึ เมืองผียังมีเลย ท่านพูดเรื่องน้ำทิพย์บ่อเดียว อีกบ่อท่านไม่พูด พวกที่ไป คนที่สนใจมากที่สุดก็คือพระเขียน แกใกล้จะตาย แต่ไม่ใช่เอาไปแก้ไม่ให้ตาย แกอยากได้เอาไปให้ญาติโยมแก คงจะอยากเล่นโปก็ไม่ทราบ ด้วยเมื่อมองอะไรที่ไหนก็เห็น โปก็ต้องมองเห็นลิ้นที่จะแทงให้ได้เงิน ท่านอาจจะติดอย่างนั้น

    หลวงพ่อท่านพูดลอย ๆ ว่า เขียนเอ๋ย เรื่องเล่นโปเป็นกรรมชั่วนะลูกนะ เราควรช่วยพ่อแม่ด้วยให้ทำความดี ไม่ใช่จะมาขอน้ำทิพย์เทวดาไปให้พ่อแม่เล่นโป จะลงนรกนะลูก เพราะเป็นการปล้นทรัพย์สินชาวบ้านโดยเจตนา เป็นอทินนาทานตรงเผงทีเดียว พระเขียนอายเกือบตาย เรื่องกิเลส มันไม่ย่อย ตัวจะตายอยู่แล้วไม่ห่วงตัว มันแกล้งสอนให้ห่วงพ่อห่วงแม่ มันแน่จริง ๆ
     
  4. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๔.อยากเห็นฤาษีและแม่ชี

    บรรดาฤาษีทั้งหลาย ฤาษีปลอมที่เคยใช้นามว่า ลิงหน้าพลับพลา ตอนนี้มาเรียกฤาษีปลอม พวกลูกหลานจะแปลกใจ คิดว่าคนละพวก คือ คณะธุดงค์ เรียกอย่างไรก็ได้ แต่อย่าไปเรียกโยคีอย่างสำนักปฏิบัติเลย มันขัดหูอย่างไรชอบกล เมื่อทุกคนทราบเรื่องต่างก็อยากพบฤาษีและแม่ชี

    หลวงพ่อบอกว่า เดี๋ยวก่อน ถามเขาก่อน ท่านยืนก้มหน้า แต่ไม่หลับตา สัก 2 นาที ท่านบอกว่า เขาให้พบได้ แต่พวกแกอย่าโลภนะ ถ้าโลภจะมีอันตราย คณะธุดงค์ต่างก็รับคำ และกำหนดอารมณ์ไม่อยากได้ไว้ หลวงพ่อท่านสวดอะไรไม่ทราบ ฟังไม่ชัด ท่านว่าเบา ๆ หรือบ่นก็ไม่รู้

    พอท่านบ่นเสร็จก็ปรากฏศาลาแม่ชี ห่างไปอีกหน่อยหนึ่งมีศาลาฤาษี แม่ชีและฤาษีเห็นบรรดาลิงหน้าพลับพลาเข้าต่างก็ยิ้มให้ ท่านฤาษีมาพบ บรรดาฤาษีลิงทั้งหลายเข้าวิ่งเข้ากอดทันที ท่านถามว่าจำกันได้ไหมเพื่อน เล่นเอาบรรดาลิงหน้าพลับพลาทำหน้า ล่อกแล่กเป็นลิงจริง ๆ ไปตาม ๆ กัน ต่างก็สงสัย เสียงหลวงพ่อปานร้องมาว่าใช้อตีตังสญาณซิลูก

    ทุกท่านต่างองค์ต่างก็ใช้ญาณทันที ไม่มีเวลาที่จะต้องเสีย เพราะเขาคล่องกันแล้ว พอนึกก็ใช้ได้ ไม่อธิบายเรื่องฌานและญาณนะ เพราะหนังสือคู่มือมีแล้ว ใครไม่มีก็หาเอาเอง มัวอธิบายช้า ความรู้จริงก็ปรากฏ ท่านฤาษีองค์นั้นก็คือเพื่อนเก่าของบรรดาลิงหน้าพลับพลาในชาติอดีตนั่นเอง ขณะนี้เป็นพรหมอยู่ชั้นที่ 8 เพิ่งรู้เรื่องคราวนี้เอง ลิงกับพรหมหรือลิงอดีตพรหมกับพรหมปัจจุบัน ต่างก็คุยกันจ้อเลย ไม่ได้คิดว่าเพื่อนเป็นผี

    เมื่อมองมาดูแม่ชี ต่างก็ทราบว่าแม่ชีคืออดีตญาติผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ หรือผู้ใหญ่ที่เคยอุปถัมภ์มาก่อนนั่นเอง เมื่อคุยกันพอควรก็ถามถึงภาวะพรหม ไม่ใช่คุยเรื่องรัก โรงแรม โรงสุรา คุยกันตามภาษาพระที่ประสงค์สุข เมื่อคุยเสร็จ หมดเรื่องหรือไม่หมดก็ตาม หลวงพ่อท่านเตือนว่าจะค่ำแล้ว เลิกคุยกันเสียที เมื่ออยากคุยก็เข้าฌานไปคุยกัน ท่านเพื่อนก่อนจะลาลิงอดีตพรหมก็ตักเตือนเรื่องข้อวัตรปฏิบัติหลายอย่าง แล้วก็ชี้มาที่หลวงพ่อปานว่า องค์นี้มีบุญมาก จะหมดเขตปฏิบัติอยู่แล้ว ต่อไปจะได้พักรอการบรรจุเป็นพระพุทธเจ้า ต่อไป

    แกพูดแล้วแกก็ยกมือไหว้หลวงพ่ออย่างนอบน้อม พวกเราก็พลอยกราบหลวงพ่อกันอีก เรียกว่ากราบตามช้าง แต่มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริง ไม่ใช่ตามแกเพราะเห็นแกกราบ เมื่อทราบความจริงที่ไม่เคยทราบมาว่า หลวงพ่อจะหมดกิจ มันหาที่ฟังยากจริง ๆ ความดีใจก็คล้ายคนถูกหวย ไม่คิดว่าจะรวย พอมารวบปุปปัปเข้าอย่างไม่รู้ตัว มันก็ต้องดีใจมากเป็นธรรมดา ดีไม่ดีเกิดคิดว่าตัวเป็นเทวดาเอาอย่างไม่ยาก เรื่องความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นในตัวหลวงพ่อก็เหมือนกัน

    เมื่ออยู่วัดคิดว่าท่านเท่านี้ พอออกป่ากับท่านก็พบท่านเข้าอีกจังหวะหนึ่ง ชักเอะใจมาคราวหนึ่งแล้ว เมื่อมาพบท่านพรหมบอกเข้าอย่างนั้นก็เกิดดีใจจนบอกไม่ถูก ต่างก็กราบกันด้วยความเลื่อมใสแท้ไม่ใช่ขี้ตามช้าง คือ กราบตามพรหม ฝ่ายแม่ชีก็บอกว่าเสียใจนะคุณที่ถวายน้ำทิพย์ไม่ได้ เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา ถามว่าเมื่อไรจะถึง อีกกี่ปี แกตอบว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตทุกองค์ไม่ต้องหวัง เพราะเป็นของเฉพาะพระโพธิสัตว์ผู้มีบารมี สมบูรณ์ในการฝึกฝน คนอื่นเอาไปจะลำบาก ชาวบ้านชาวเมือง

    แต่ทว่าแกเมตตา ทาตาให้ทุกองค์ บอกว่าระยะเดินทางธุดงค์จนถึงกลับวัด จะได้ผลตลอดเวลา เมื่อกลับถึงวัดแล้วจะหมดอำนาจความเป็นทิพย์ แต่จะแบ่งโอกาสใช้ได้คือ เวลาไหนจะใช้ญาณ เวลาไหนจะใช้น้ำทิพย์ จงอย่าใช้น้ำทิพย์เสมอไป ญาณจะเสื่อม ถ้าสงสัยญาณจงนึกถึงน้ำทิพย์ น้ำทิพย์จะช่วยบอกให้หายสงสัย เป็นอันว่าคณะลิงหน้าพลับพลามีโชคมาก ในระยะธุดงค์มีกำลังการเห็นได้ดี ใช้คู่ไปเสมอ พยายามใช้ญาณให้มาก แล้วสอบด้วยการระลึกถึงน้ำทิพย์ ถ้าเมื่อใช้น้ำทิพย์เห็นว่าญาณพลาด เป้าหมาย ก็ใช้สมาธิในอาโลกกสิณให้หนัก ใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณช่วยให้หนัก

    เป็นอันว่ามีเครื่องมือทดสอบดีมาก อะไรก็ได้ ใกล้หรือไกล ตายแล้วหรือยังไม่เกิด เรื่องของตนเองหรือคนอื่น คน สัตว์หรือสถานที่ นรก สวรรค์ พรหม หรืออะไรดีเอ่ยที่อารมณ์วิปัสสนาช่วยไปไม่ได้ ก็ดูได้หมด ดีจริง ๆ เล่นเอาคณะลิงหน้าพลับพลามีกำลังฌานและญาณแก่กล้าขึ้นไม่น้อยเลย เมื่อสั่งเสียกันเสร็จ สองผีก็หายไป คณะธุดงค์ต่างก็กลับเข้ากลด เรื่องเขาวงพระจันทร์ตอนนี้ก็พักเสียที ด้วยเหนื่อยแล้ว วันต่อไปถ้าลูกหลานยัง ไม่เบื่อ ฟังกันใหม่ ขอลูกหลานทุกคนจงเป็นผู้มีโชคดี มีวาสนาบารมี มีความสุข ทันศาสนาพระศรีอาริย์ด้วยกันทุกคนเถิด สวัสดี

    วันนี้ตรงกับวันที่ 6 ธันวาคม 2514 วันนี้ฉันมาสายไป ด้วยร่างกายฉันมันไม่ดี ความจริงมันก็เป็นไปตามสภาพของมันเอง มันขึ้นแล้วก็ลง และพยายามลงเรื่อย ๆ ไปจนไม่มีที่ลง คือตาย ฉันมันยุ่งไปเอง คิดว่าจะงดคุยกับลูกหลานสักวัน ก็เป็นห่วงเรื่องที่พูดไว้เมื่อวันที่ 5 มันมีเรื่องคลุมเครืออยู่ คือเรื่อง น้ำยาทำให้ตาทิพย์ ฉันคิดว่าลูกหลานที่รับฟังคงจะสงสัยว่าเขาทำด้วยอะไร ฉันเองฉันก็สงสัยเหมือนกัน

    ฉันก็ถามหลวงพ่อปานท่านว่าเรื่องน้ำยาทำให้ตาทิพย์นั้นเขาเอาอะไรมาผสมครับ เวลานี้มีเหลือบ้างไหม กระผมอยากได้ไว้ใช้บ้าง หลวงพ่อท่านหัวเราะชอบใจ ท่านพูดว่า เจ้าลิงดำ เอ็งเป็นลิงตลอดกาล เมื่อมาเกิดเป็นคนแล้วทิ้งความเป็นลิงมาหลายร้อยชาติแล้วก็ยังไม่ทิ้งนิสัยลิง เอ็งสงสัยข้าจะบอกให้ ส่วนผสม น้ำยาทำให้ตาทิพย์ก็คือ ตอนนี้ลูกหลานตั้งใจฟังให้ดี จะได้น้ำยาตาทิพย์กันแล้วจำไว้ ใครไม่แน่ใจว่าจะจำได้จงจดไว้กลับไปที่พักรีบหาสมุนไพรมาผสมรีบทำ จะได้มีตาเป็นทิพย์ ยาขนานนี้มีส่วนผสม 2 อย่างคือ อย่างธรรมดา และอย่างพิเศษ อย่างธรรมดาเห็นไม่ใคร่ถนัด อย่างพิเศษใช้งานได้ดีมาก แต่ราคาแพงหน่อย คอยฟังนะจะบอกให้ จดและจำไว้ จดแล้วจำรีบปรุง จะได้ใช้ทันที
     
  5. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๕.ส่วนผสมน้ำยาที่ทำให้ตาทิพย์ขนาดปกติ

    1.ระงับอารมณ์ที่กังวลเสียให้หมด

    2.รักษาศีลให้บริสุทธิ์ตลอดเวลา

    3.ระงับอารมณ์ให้ว่างจากนิวรณ์ 5 คือ ไม่สนใจกับรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสที่ติดใจ นี้เป็นประการที่ 1
    ประการที่ 2 ไม่จองล้างจองผลาญใคร คือไม่ขังอารมณ์ไม่พอใจไว้ ให้อภัยเสมอ
    ประการที่ 3 ไม่ปล่อยอารมณ์ให้ง่วงเหงาเคลิบเคลิ้มเมื่อทำสมาธิ
    ประการที่ 4 รักษาอารมณ์ที่คิดว่าจะรักษาไว้เพียงอย่างเดียว ไม่ปล่อยให้อารมณ์อื่นมารบกวน
    ประการที่ 5 ไม่สงสัยผลในการปฏิบัติอย่างนี้ว่าจะมีผลหรือไม่มี ทำตามท่านว่า ก็เชื่อว่ามีผล

    4.ต่อไป ทำใจให้คุ้นเคยกับพรหมวิหาร 4 รักษาอารมณ์ให้อยู่ในพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ

    5.นำกสิณ 3 อย่าง เอาอย่างเดียวใน 3 อย่าง คือเตโชกสิณ เพ่งไฟ โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว อาโลกกสิณ เพ่งแสงสว่าง เอามาเพ่งตามแบบ จนนับนิมิตได้ในระดับดี ดูคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานหรือวิสุทธิมรรคประกอบ

    เมื่อได้นิมิตแล้วก็คลายนิมิตกำหนดใจเพื่อเห็น (เห็นทางใจ) คือมีความรู้สึกเหมือนเห็น จะเห็นอะไรก็ได้ขอเห็นแทนนิมิต

    ห้าอย่างนี้เป็นเครื่องสมุนไพรที่เอามาผสมเป็นยาทาตาให้มีตาทิพย์ เรียกว่ายาธรรมดา ใคร ๆ ก็หาใช้ได้
     
  6. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๖.ยาตาทิพย์ขนานพิเศษ

    ยาขนานนี้หายาก เพราะเป็นยาเทวานุภาพที่ท่านคณะธุดงค์ได้เป็นพิเศษ เมื่อท่านได้เจ้าของยาให้ใช้ได้เพียงระยะอยู่ในภาวะธุดงค์ พอกลับวัดก็หมดสิทธิ์ที่จะใช้ ได้พบคณะท่านถามท่านว่าหลังจากได้ยาแล้วเป็นอย่างไร ท่านบอกว่ามันคล่องและแจ่มใสมาก ญาณต่าง ๆ สดใสบอกไม่ถูก ทวนเกิดทวนตายได้อย่างสบาย ภพต่าง ๆ ที่ผ่านมา เคยเกิดกี่วาระ ตายเท่าไร เกิดเท่าไร มันตายเท่านั้น ไม่มีใครเกิดมากกว่าตาย หรือตายมากกว่าเกิด ไม่อยากขัดคอท่าน

    ท่านบอกว่าตกนรกกี่ชาติ เป็นสัตว์กี่ชาติ กี่ประเภท เป็นเปรต อสุรกาย เป็นผีสัมภเวสี เป็นคนรวย คนจน คนมีวาสนามาก วาสนาน้อย เป็นเทวดา พรหม กี่ครั้ง กี่วาระ มันเห็นได้สดใส จริง ๆ แบบนี้สิที่พยายามถามหลวงพ่อท่าน เพราะอยากได้บ้าง ขี้เกียจตั้งท่านิมิตกสิณ ท่านบอกว่าขนานนี้หาได้ 2 วิธี คือ

    1. ถ้าอยากจะทำให้ได้ ให้มีเป็นของตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยคนอื่นช่วยปรุง ให้สะดวกสบายในการใช้ และการใช้ยาก็ไม่กำหนดเวลา จะใช้เมื่อไรก็ได้ไม่มีใครบังคับ ทำไม่ยาก คือเมื่อขณะมีชีวิตอยู่ สร้างทิพยจักษุญาณให้มีให้เกิดขึ้นเอง เมื่อมีแล้วเกิดแล้วก็ตายไปเป็นธรรมดา หรือพรหม จะมีตาเป็นทิพย์แจ่มใส เห็นอะไรก็ได้ ไม่มีใครบังคับ

    2. เมื่อไม่ต้องการแบบนั้น ต้องการแบบที่คณะธุดงค์เขาได้กัน ต้องเร่งรัดสร้างความบริสุทธิ์ของจิตให้มากจนเทวดาเขาเห็นสมควร เขาจะสงเคราะห์ให้เห็นเองตามที่เขาจะสงเคราะห์ แบบนี้ไม่ดี ท่านบอกว่ามันไม่ใช่สมบัติของเรา

    ฟังแล้วไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้นมาเลย เรื่องฝึกกสิณเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนที่ท่านว่าสร้างเองให้ดีต้องตาย ตอนนี้ไม่มีเรื่อง เป็นอันว่าไม่มีอะไรเป็นเรื่อง เลยถามท่านใหม่ว่า น้ำทิพย์ที่เทวดาผู้หญิงให้หลวงพ่อและพระธุดงค์ใช้ มันเกิดมีได้อย่างไร ท่านบอกว่าไม่มีน้ำทิพย์ น้ำเทิบอะไรหรอก เป็นเรื่องของเทวานุภาพ เขาทำให้เราเห็นอย่างนั้นเอง

    ถ้าคนเมากิเลสเขาไม่ทำให้ดู เขาทดลองใจว่าคณะธุดงค์จะเป็นพระ หรือเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หรือเป็นเปรต ตอนนี้สงสัย ถามท่านว่าเป็นพระอย่างไรครับ ท่านตอบว่าเราไปธุดงค์เพื่อทำตนให้เป็นพระ คือมุ่งละกิเลส พระธุดงค์ทุกองค์ต้องคิดและปฏิบัติอย่างนี้

    ถ้าไปอยากได้ทรัพย์สิน ชื่อเสียง หรือหลงกามารมณ์ มันก็ใช้ไม่ได้ ไม่ใช่พระแล้ว อย่างเบาก็เป็นสัตว์ดิรัจฉาน หนักนิดก็เป็นเปรต หรือมิฉะนั้นก็เป็นสัตว์นรกไปเลย เมื่อเขาเห็นเราไม่อยากได้ เขาก็เห็นว่าเราดีควรที่เขาจะสงเคราะห์เพื่อให้สะดวกแก่การฝึกอารมณ์ เขาก็หาให้ อ้ายที่ทานั้นไม่มีน้ำมีท่าอะไรหรอก เขาทำให้เป็นน้ำหลอกเด็กเท่านั้นเอง ที่แท้แล้วเวลาที่เราต้องการรู้ เมื่อนึกถึงน้ำทิพย์ เขาใช้กำลังเขาช่วยให้เห็น พวกแกฟังเรื่องไม่เข้าใจเรื่อง คิดว่าเทวดาเอาน้ำทิพย์มาให้อย่างนั้นหรือ มันไม่ตรงกับความจริงของเรื่องเลย

    ตอนนี้เป็นอันว่าพอเข้าใจหน่อยแล้วว่า ที่เทวดาทำให้คณะธุดงค์เห็นเป็นบ่อน้ำ แกทำบ่อหลอกเด็ก ความจริงพระก็เหมือนเด็ก และเป็นเด็กประเภทเด็กเล็กเสียด้วย เล็กขนาดยังโกนหัวอยู่เลย เวลาขึ้นรถเมล์ รถไฟ เขาเก็บเท่าเด็ก แต่กินอาหารมีเวลาน้อยกว่าเด็ก คือ กินได้แค่เช้ายันเพลหรือเที่ยง ถ้ากินได้ตลอดวันเหมือนเด็กจะดีมาก เรื่องตาทิพย์เพราะน้ำทิพย์ขอผ่านไปนะ

    วันนี้ดูเรี่ยวแรงฉันมันน้อย ๆ ต่อไปคุยอยู่กับหลานได้วันละไม่กี่นาที เพราะดูท่าทางไม่ใคร่สบายกาย แรงมันเพลียลงไป คุยตามแรงแล้วกันนะ เรื่องที่เล่าให้ฟังก็ดูท่าจะยากเกินไป จะขอสรุปให้สั้นลงและจบให้เร็วเข้า ถ้าเล่าให้ฟังละเอียดเข้าใจว่าคุยกันวันละชั่วโมง 2 ปี คงยังไม่จบ คนฟังจะแย่ เอากันแบบย่อ ๆ ดีกว่า ที่เห็นว่าควรเว้นก็เว้นเสีย ด้วยฉันเป็นคนแก่มีเรื่องพูดมาก ปกติคนแก่ก็ขี้บ่นอยู่แล้ว คนที่บ่นเป็นคือคนที่มีเรื่องพูดมากนั่นเอง
     
  7. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๗.คณะธุดงค์ออกเดินดง

    ตอนนี้จะขอตัดเรื่องยืดยาด เล่าแต่เรื่องลัด ๆ เมื่อออกจากเขาวงพระจันทร์แล้วก็มุ่งไป พระแท่นศิลาอาสน์ พระธาตุหริภุญชัย พระธาตุแช่แห้ง แล้วก็เข้าป่าชัฏมุ่งไปเชียงตุง มันตุงหรือไม่ตุง ฉันไม่รู้ ท่านเข้าป่าตลอดกาล ออกจากเขาวงพระจันทร์ไม่เคยเห็นหลังคาบ้านเลย แม้พรานป่าก็ไม่พบ เสียงหมาชาวบ้านเห่าก็ไม่ได้ยิน มันป่าชัฏจริง ๆ ขณะเดินทาง หรือพักท่านให้สมาทานตายตลอดเวลา คิดตายเดี๋ยวนี้เสมอก็สบายใจดี

    เมื่อเข้าป่า คิดว่าชมสวนสัตว์ชั้นดีกันก็แล้วกัน เสือ ช้าง และสัตว์ป่า ทุกประเภทเท่าที่จะพบ แกไม่เคยสนใจนักธุดงค์ เดินหลีกกันไปแล้วก็หลีกกันมา คณะท่านธุดงค์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งพบช้างโขลงประมาณ 50 เชือก กำลังดึงใบไม้กิน เห็นเจ้าสีดอยืนมองอยู่

    เมื่อเข้าไปใกล้แกก็คุกเข่าชูงวงขึ้นเหนือหัว ลูกน้องเห็นลูกพี่ทำอย่างนั้นก็ทำตามเหมือนกันหมด หลวงพ่อท่านถามว่า พ่อปู่ ที่นี่มีที่ไหนร่มรื่นพอที่พระจะพักสบายบ้าง พอหลวงพ่อพูดจบ แกก็ลุกขึ้นและเดินนำทาง เดินไปได้ประมาณ 300 เมตร ก็พบต้นไม้ใหญ่ สาขามาก ร่มรื่น มีบ่อน้ำใสสะอาดมาก แกเอางวงชี้แล้วแกก็คุกเข่าชูงวงไว้เหนือหัว เสร็จแล้วแกก็กลับ คณะพระธุดงค์สงสัยว่าแกทำไมรู้มากนัก และเคารพตลอดเวลา หลวงพ่อท่านบอกว่าช้างเชือกนี้เป็นพระโพธิสัตว์

    เมื่อสงสัยท่านเลยให้สอบสวนด้วยอำนาจอตีตังสญาณ ทันที เป็นอันว่าถึงที่ใดที่มีความสำคัญ ท่านให้คณะของท่านตรวจสอบด้วยอำนาจญาณ ดูสถานที่ว่ามีบ้านเมืองไหนสำคัญอย่างไร คนและสัตว์สมัยนั้นไปไหนกันหมด เป็นการฝึกการใช้ญาณและวิปัสสนาญาณกันตรง ๆ
     
  8. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๘.คณะสหายเก่าติดตามตลอดเวลา

    คำว่าสหายเก่าก็คือลิง มีลิงป่าฝูงหนึ่ง ประมาณ 30 ตัว ติดตามตั้งแต่พระพุทธบาทเป็นต้นไป ตลอดจนคณะธุดงค์กลับวัด เมื่อเข้าเขตสระบุรีแกจึงแยกกลับที่เดิมของแก ลิงฝูงนี้มีลิงค่อนข้างเผือกคือ ไม่ขาวจัดอยู่ตัวหนึ่ง ใหญ่กว่าลิงตัวอื่น เป็นนายฝูง ติดตามตลอดเวลา

    และลิงฝูงนี้แปลก มีความเป็นห่วงมาก ถ้าพวกแกไปหาผลไม้มาได้มักจะเอามาแบ่ง เพียงมะม่วงผลเดียวแกเอามาแบ่งออกไปเป็น 6 ชิ้น แบ่งให้พระองค์ละชิ้น แกเอา 1 ชิ้น สิ่งที่เจ้าลิงเล็กชอบใจมากก็คือหัวพระ พวกพระหัวโล้น เมื่อพระนอนตอนกลางวันและลิงใหญ่เผลอ เจ้าตัวเล็ก ๆ มันจะแอบมาด้านหัว เอามือจับหัวพระแล้วแกก็จะจับหัวแก ลูบ ๆ หัวพระ แล้วลูบหัวตัวเอง

    แกคงจะสงสัยว่าเจ้าลิงพวกนี้ทำไมหัวล้านหมด เห็นจะเป็นเพราะลิงมันลูบหัวเล่นคราวนั้นกระมัง คณะธุดงค์ที่ไปคราวนั้น ต่อมาเมื่ออายุเลย 50 ปี กลายเป็นคนหัวล้านไปตาม ๆ กัน หัวล้านนี่ความจริงเขามีทำเนียบของเขา คือ มีขึ้นทำเนียบไว้ 7 อย่าง คือ
    (1) ล้านทุ่งหมาหลง (2) ล้านดงช้างข้าม (3) ล้านง่ามเทโพ (4) ล้านชะโดตีแปลง (5) ล้านแร้งกระพือปีก (6) ล้านจะหลีกขวานฟาด (7) ล้านราชครึนเครา (มีเครามาก)

    ทีนี้ล้านคณะธุดงค์ที่อาศัยลิงลูบคลำเล่นน่าจะจัดเข้าทำเนียบ แต่ไม่ผสมกับใคร ตั้งเป็นคณะอีกคณะหนึ่ง คือ ล้านลิงลูบ เพราะอาศัยลิงลูบคลำเล่นจึงล้าน เรื่องหัวล้านขอผ่านไป มาคุยกันเรื่องอื่นต่อไป
     
  9. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๔๙.พบพระอภิญญาในป่าลึก

    เมื่อรอนแรมกันไปตามอารมณ์ กลางป่ามีสิ่งที่น่าสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง คือเสียงดนตรี ไม่ทราบว่ามีมาจากไหน มันเป็นเสียงเพลงไทยธรรมดานี่เอง มีให้ฟังทุกวัน ฟังชัดมากเหมือนกับเรานั่งอยู่ติด วงดนตรี นี่เป็นคำบอกเล่าของคณะธุดงค์ทุกท่าน บางวันแอบมีกลองยาว เสียงโห่ เสียงยั่ว แก้กลุ้ม บางขณะก็เป็นเครื่องสายมโหรีปี่พาทย์ใหญ่วงใหญ่ เป็นอันว่ามีทุกวัน เสียงร้องส่งเป็นเสียงผู้หญิง ฟังหวานแจ๋วคล้ายน้ำตาลเมืองเพชร มันหวานจริงหรือเปล่าไม่รู้ น้ำตาลเมืองเพชรนี่ ว่ามันเรื่อยไปตามเขาว่าอย่างนั้นเอง

    บางขณะที่เดินไปก็มีคนเอาทรัพย์ใต้ดินออกมาอวด ท่านที่รับฟังอาจจะสงสัยว่า เมื่อสงสัยเสียงดนตรีหรือน้ำทิพย์ปลอมทำไม ไม่ตรวจด้วยญาณ ท่านตอบกับฉันตามที่คิดว่า ทุกคนจะสงสัยเหมือนกัน เพราะฉันก็สงสัย ท่านบอกว่าท่านตรวจ เมื่อตรวจแล้วพบว่าเป็นเครื่องดนตรีคณะเดิมของท่านเองที่ท่านสร้างสมบารมีไว้เดิม คณะดนตรียังเป็นนางฟ้าเทวดากันอยู่ เขาเห็นเจ้านายเก่าเข้าอยู่ในป่าเกรงว่าจะเหงาเลยเอามาบรรเลงให้ฟัง

    เรื่องเสียงดนตรีนี้ หลวงพ่อท่านเตือนว่า ฟังแล้วอย่าติดเสียงจงจำเสียงที่เกิดขึ้นและขาดไปให้ทราบว่ามันเป็นอนิจจัง เขาตีมันดัง พอหยุดตีมันไม่ดัง เมื่อหยุดตีแล้วไปคลำหาเสียงคิดว่ามันหล่นอยู่ตรงไหนก็หาไม่พบ ท่านว่าตรงนี้มันเป็นอนัตตา เอาซิ ลองเล่นกับพระแก่ซิ พ่อจับอะไรได้เป็นสมถวิปัสสนาไปหมด อย่างนี้บารมีจะไม่เข้มข้นจะทนไหวหรือ พวกเราเอาตรงไหนเป็นสมถะและวิปัสสนา เอาตรงหนังสือ หรือเอาตรงที่ครูบาอาจารย์ว่า หรือเอาที่เนื้อหนังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ จับไม่ตรงจุดดี ขี้ติดมือเหม็นนะจะบอกให้ เลือกจับเอาตรงที่ดีจึงจะได้ดี จับอย่างหลวงพ่อท่านจับนั่นแหละดี ของท่านมีประโยชน์จริง ๆ

    เรื่องวิพากย์วิจารณ์ผ่านไป ไปพบพระกันเลยดีกว่า เรื่องก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากท่านแสดงปาฏิหาริย์โชว์ให้ดูเท่านั้นเอง ก็วันนี้มันหมดเวลาแล้ว เขามาตามฉันข้าว ไปฉันข้าวก่อนนะ ตอนกลางวันถ้าว่างงานจะมาคุยใหม่ ถ้าไม่ว่างก็รอฟังวันต่อไป

    ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ 27 มกราคม 2515 คิดว่าลูกหลานคงจะคอยฉันมา หลายวัน เพราะหลังจากวันที่ 6 ธันวาคมมาแล้ว ฉันก็พูดอะไรไม่ได้อีก ทั้งนี้เพราะว่าในตอนต้น ๆ พูดมาหลายวันแล้ว ไอ้การพูดมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพูดแล้วก็บันทึกเป็นตัวหนังสืออันนี้ฉันทนไม่ไหว เอาแต่เพียงที่ฉันจำได้ ไอ้ที่ฉันจำไม่ได้น่ะฉันจะไม่เล่าให้ฟัง

    เรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อปานวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา ฉันรู้เรื่องท่านมาก แต่ว่ามากเท่าที่ฉันจะรู้เรื่องได้ แต่ไอ้เกินวิสัยหรือไอ้ที่ไม่รู้ก็ไม่เล่าให้ฟัง เห็นว่าปฏิปทาบางอย่างหรือหลายอย่างของท่านไม่เหมือนกับพระในปัจจุบัน แต่ว่าพระในสมัยท่านเองก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไม่ค่อยจะเหมือนกัน เพราะว่าปฏิปทาของพระแต่ละองค์มีความมุ่งหมายต่างกัน สำหรับหลวงพ่อปานวัดบางนมโคนี่

    ปกติท่านมีความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เวลาบำเพ็ญกุศลแต่ละครั้งท่านประกาศท่ามกลางประชาชนว่า ขอผลบุญนี้ที่ข้าพเจ้าทำแล้วจงสำเร็จแก่พระโพธิญาณในอนาคตกาลเถิด นี่ฉันพูดไปบ้าง ก้ำเกินไปบ้างก็อย่ารำคาญนะ เพราะว่าฉันฟื้นจากตายถือว่าครูบาอาจารย์ของเราดีกว่าคนอื่นไปทั้งหมด นั่นใช้ไม่ได้เหมือนกันนะ ต้องคิดว่าปฏิปทาของพระแต่ละองค์ ของแต่ละบุคคล ก็ย่อมมุ่งดีด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าใครเขาจะมุ่งเอาดีกันตรงไหน เพราะดีมันมีหลายสิบดี ดีฝ่ายสมถะมีถึง 40 ดี แล้วก็ดีฝ่ายวิปัสสนาก็มี 4 ดี คำว่าดีฝ่ายสมถะมี 40 ดี ก็เพราะว่าวิธีฝึกสมถกรรมฐาน การกระทำใจของตนให้เป็นสมาธิมี 40 แบบ

    พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ 90 แบบ 40 อย่าง ให้แต่ละบุคคลต่างเลือกกันเอา เลือกกันปฏิบัติว่าอย่างไหนมันจะดี อย่างไหนเราจะชอบใจ ในที่สุดผลที่จะได้ก็เหมือนกัน สิ่งที่จะได้คือ จิตเป็นสมาธิ มีอารมณ์ตั้งมั่นแล้ว มีอารมณ์เป็นกุศล มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ อันนี้เรียกว่าถึงดีเหมือนกัน รวมความว่าท่านจะทำแบบไหนของท่านก็ตาม หรือบุคคลใดจะทำแบบไหนของตนก็ตาม ชื่อว่าทำดีทั้งนั้น ถ้าเขาทำดี ถูกดี ตรงดี พอเหมาะกับความดีเป็นใช้ได้ สำหรับด้านวิปัสสนาญาณ มีอยู่ 4 ดี ก็เพราะวิปัสสนาญาณมีผลอยู่ 4 ประการ คือ (1) สุกขวิปัสสโก (2) เตวิชโช (3) ฉฬภิญโญ (4) ปฏิสัมภิทัปปัต-โต

    แต่ว่าแต่ละอย่างล้วนแล้วมุ่งความเป็นอรหันต์เหมือนกันหมด แต่ว่าความรู้พิเศษไม่เท่ากัน ความ มุ่งหมายของแต่ละท่านคือหมดกิเลส อย่างนี้เรียกว่าทำดีเหมือนกัน เรียกว่าพระแต่ละองค์ คนแต่ละคน ล้วนมุ่งหมายแต่ความดี แม้ฆราวาสก็เหมือนกัน ใครจะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เป็นข้าราชบริพารขนาดหนักขึ้น ระดับสูงขนาดไหนก็ตาม หรือว่าจะเป็นพระราชา พระเจ้าจักรพรรดิก็ตาม ทุกคนมีความประสงค์กันเพียงดี ถ้าจะเป็นอะไรก็ตาม จะรวยเท่าใดก็ตาม ถ้ามีใครเขาว่าไม่ดี เราไม่ชอบ แต่ว่าจะเอาดีกันตรงไหน นี่เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจะพอใจ

    เอาละเรื่องนี้ขอผ่านไป ลูกหลานเอ๋ย หลวงตาหลวงปู่น่ะเป็นคนแก่นะ มันแก่มากแล้ว แล้วก็ใกล้ตายเต็มที ความจริงไม่ใช่ใกล้ตายหรอก เป็นคนเดนตาย ตายมาแล้วจริง ๆ ถึง 4 วาระ หลังจากพูดในคราวก่อน มาหยุดลงแค่วันที่ 6 ธันวาคม 2514 แล้วนี่พอจะมาเริ่มวันที่ 27 มกราคม 2515 วันนี้มันหนาวเหลือเกิน ลูกหลานเอ๋ย ป่าเมืองอุทัยนี่หนาวมาก วันนี้หลวงตา หรือว่าหลวงพ่อ หลวงปู่ของหลาน หรือว่าของลูกทั้งหลายที่กำลังพูดอยู่นี่ ที่ทุกคนสถาปนาให้จะเป็นตำแหน่งอะไรก็ตาม แต่ว่าฉันเองนึกว่าฉันเป็นตำแหน่งหลวงตาที่กำลังจะตาย แล้วก็ตายอยู่ทุกวัน

    หลังจากวันที่ 6 ธันวาคม 2514 มาแล้ว ฉันพูดถึงวันนั้น ฉันเลยพับฐาน อาการที่มันเป็นขึ้นมาคล้ายอาการตายครั้งที่ 3 ไม่ผิด มันเหมือนกันทุกแบบ อาการเป็นเหมือนกัน เวลาเป็นเท่ากัน ฉันเลยคิดว่าเอ นี่ฉันทำไม่ไหวเสียแล้วนะ ฉันคิดในใจว่าเรื่องราวที่ฉันจะเอาเรื่องหลวงพ่อปานมาเล่าให้ลูกหลานฟังมันจะจบกันลงแค่นี้เสียกระมัง คือ หมายความว่าไม่ใช่เรื่องจบ แต่คนพูดจบ หมายความว่าคนพูดมันกำลังจะตาย เวลาใกล้จะ 2 ทุ่ม ไอ้ 2 ทุ่มนี่ก็ 20 นาฬิกานะ ไอ้ฉันน่ะมันเป็นคนวัด ลูกหลานจำไว้ด้วยนะฉันเป็นคนวัด วัดนี่เขาเรียกทุ่มเรียกโมงกันตามภาษาโบราณ

    วันนี้จะเล่าอาการที่มันเป็นหลังจากวันที่ 6 ธันวาคม 2514 ให้ฟัง อาการทางร่างกายเหมือนการตายครั้งที่ 3 ทุกอย่าง เวลาใกล้จะถึง 2 ทุ่มคือ 20 นาฬิกา อาการเสียดอาการจุกปรากฎชัด บางครั้งฉันนำนักปฏิบัติเขาเจริญพระกรรมฐานแล้ว ทุกครั้งในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน ฉันรักและเคารพท่านมาก ฉันก็ต้องบวงสรวง การบวงสรวงหรือการชุมนุมเทวดานี่น่ะ นักปราชญ์คนไหนที่เขาว่าไม่เป็นเรื่องเป็นราว ฉันก็ตามใจเขา ฉันไม่ว่าอะไรเขาหรอก เพราะว่าเขาว่าอย่างนั้นมันเป็นความเห็นของเขา

    แต่ทว่าสำหรับฉันนี่ซิ ฉันต้องทำ เพราะว่าฉันบวงสรวงทุกครั้ง จะเชิญใครก็ตาม ฉันเห็นท่านมาทุกที เวลาชุมนุมเทวดา ฉันตั้งใจจับเอาตั้งแต่พระนิพพานลงมา ไปจนกระทั่งถึงภูมิเทวดา ฉันก็เห็นท่านมาครบนี่ นี่เป็นเรื่องของฉันนะ มันเป็นเรื่องของปัจจัตตัง คือว่าคนทำจะเห็นเอง ที่พระพุทธเจ้าตรัส ในเมื่อฉันเห็นของฉันนี่นะ มันจะเห็นตรงหรือเห็นไม่ตรงก็ตาม จะเห็นถูกหรือเห็นผิดก็ตาม แต่ฉันเห็นของฉัน ฉันก็ทำของฉัน ฉันเห็นว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องปรัมปราหรือเรื่องที่ไร้ประโยชน์ แล้วท่านที่มาบางครั้งฉันพูดของฉัน คุยกันได้เหตุได้ผลทุกอย่าง

    แม้แต่เหตุที่จะพึงปรากฏแก่บุคคลใด หรือว่าลูกหลานทั้งหลายที่อยู่ใกล้บ้างไกลบ้าง อยู่ถึงกรุงเทพฯ บ้าง พิจิตรบ้าง อยุธยา ชัยนาท สุพรรณบุรี นี่บางทีฉันถามท่านว่า คนนั้นเป็น อย่างไร คนนี้เป็นอย่างไร ท่านก็ตอบให้ฟังคราวนี้ หลังจากวันที่ 6 ธันวาคมแล้ว ฉันมีอาการอย่างนั้น ทุกอย่าง เวลาที่ฉันนำนักปฏิบัติเจริญกรรมฐาน ฉันบวงสรวง หรือว่าฉันชุมนุมเทวดา ฉันเหนื่อยจริง ๆ เคยว่าระยะยาวว่าได้เพียงครึ่งหนึ่ง เหนื่อยแทบขาดใจ ฉันรู้ว่าความตายมาถึงฉัน แต่ทว่าคนที่เจริญ พระกรรมฐานร่วมฉันนี่เขาไม่รู้หรอกนะ เพราะว่าฉันเป็นคนมีเปลือกดี

    คือว่าเปลือกของฉันน่ะใครจะมองให้เห็นไม่ได้ เวลาฉันป่วยไข้ไม่สบายนะ เวลาเครื่องจักรในร่างกายมันยังหมุนไหวหรือว่าเสียงยังดังพอ ฉันก็ทำท่าเบ๊ะบ๊ะ ๆ ของฉันไปตามเรื่อง แล้วลูกหลานที่รัก ถ้าวันไหนฉันบอกว่าฉันไม่สบายนะ หรือว่าเห็นฉันนอนซม ๆ อยู่ก็ตาม บางทีเสียงฉันก็ดัง เดินกระฉับกระเฉงทุกอย่าง

    แล้ววันเดียวกันนั่นแหละก็ลงนอนทำตาซึม ๆ เวลาคนมา ฉันบอกว่าไม่สบาย จำไว้เลยนะว่าวันนั้นฉันแย่แล้ว เครื่องจักรกลมันหมุน ไม่ไหว แต่กำลังใจของฉันดี นี้หมายความว่าคล้าย ๆ กับคนมีรถ เครื่องมันดีแต่ตัวถังมันพัง ตัวถังรถมันจะพัง ล้อมันไม่หมุน ยางมันแฟบ ถังมันผุ เครื่องมันจะดียังไง รถมันก็ไปไม่ได้ นี่จำไว้ด้วยนะ อาการของฉันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าฉันจะปกปิดอาการ ฉันถือว่าฉันเข็นตัวของฉันไหว ฉันก็เข็นของฉันเรื่อง

    ทีนี้อาการป่วยไข้คราวนั้น พอถึงเวลามันจุกเสียดขึ้นมาพอดี เหมือนกับกับอาการตายครั้งที่ 3 มันเตือนฉันมา 2 วัน คือวันที่ 6 ธันวาคม แล้วคืนวันที่ 7 ธันวาคม หลังจากนั้นฉันก็รู้ตัวว่าฉันจะไปบ้านเก่าแล้ว เมื่อฉันรู้อาการอย่างนี้ฉันก็รีบปลงจิตปลดหมดทุกอย่าง คำว่าปลดของฉัน นี่ไม่ใช่ว่าฉันเป็นคน ใจดำนะลูกหลานนะ ไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนใจดำ ฉันรักและสงสารเมตตาปรานีลูกหลานทุกคน ที่ฉันทำตนเป็นคนเลวอยู่เวลานี้

    นี่ฉันเลวมาก อยู่อย่างหนึ่ง คือว่าเงินที่เขาให้กินให้ใช้น่ะ ฉันเอาไปอีลุ่ยฉุยแฉกเสียหมด หมายความว่าเขาให้กัน อย่างครูนนทา อนันตวงษ์ จังหวัดอุทัยธานี อาจารย์สบสุข ประกอบไวทยะ-กิจ จังหวัดอุทัยธานี หรือบ้านพลอากาศตรี เสริม ศุขสวัสดิ์ ในคณะของท่านมีหลายคน แล้วก็ ฉลวย ปิณินทรีย์ จังหวัดพระนคร พร้อมด้วยคณะ แล้วยังมีคุณนิดอะไร คุณอรอนงค์ คุณะเกษม แล้วก็คุณติ๋ว วัฒนี นวพันธุ์ น่ะหลายคนด้วยกัน บ้านท่านเจ้ากรมเสริมน่ะ

    ที่จริงเขาให้ปีละมาก ๆ แต่ว่าฉันก็พยายามเป็นคนเลว ใช้เงินผิดประเภท เขาให้กินให้ใช้ แต่ว่าฉันพยายามสร้างนี่ สร้างโน่น สร้างนั่น แล้วเอาเงินจำนวนนี้ไปใช้เสียหมด จนกระทั่งบางครั้งปรากฏว่าเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ฉันไม่มีเงินซื้อยา จนกระทั่ง อีตอนต้นเดือนมกราคมนี้ฉันไปกรุงเทพฯ คุณวัฒนี คุณติ๋ว นวพันธุ์ แกทราบว่าฉันไม่มีสตางค์ซื้อยา แกเลยให้มาเป็นรายเดือนตลอดปี ใส่ซอง เขียนหน้าซอง เขียนประจำหน้าซองเลย ว่าเดือนนั้นเดือนนี้ แกก็ทำของแกดีเหมือนกัน

    ทีนี้เวลาฉันได้มาแล้วเกรงแกจะดุเอาซิ เดี๋ยวจะเอาของแกไปจิ้มอื่นเสียอีก เดี๋ยวนี้ฉันเลยเอาสตางค์ของแกไปฝากธนาคารออมสิน พอถึงเดือนฉันเบิกมาใช้ตามที่แกสั่ง แต่ทุกคนเขาก็ยังให้มานะ เขาให้กันเยอะ แต่ว่าฉันก็หาเรื่องเอาไปใช้อะไรตามเรื่องตามราว แต่ว่าที่เอาไปใช้นี่เป็นงานก่อสร้างบ้าง งานสาธารณประโยชน์บ้าง แต่ฉันก็ทนต่อการถูกดุถูกว่า ถ้าใครเขาจะดุเขาจะว่าเรื่องนี้ฉันก็ยอมรับผิด

    นี่หากว่าฉันเป็นข้าราชการคงจะติดตาราง หรือว่าทำงานบริษัทก็คงจะติดตะรางเพราะใช้เงินผิดประเภท แต่ว่าฉันก็ทนทำ เพราะอะไร เพราะฉันรักลูกรักหลานของฉัน ฉันกินเข้าไปคนเดียวใช้เข้าไปคนเดียวนี่เหลือกินเหลือใช้ ที่เขาให้กินน่ะเหลือกินเหลือใช้ แต่ฉันอยากให้ลูกหลานของฉันนี่น่ะเป็นคนมีทรัพย์มาก แล้วมีทรัพย์อย่างประเสริฐ ทรัพย์อันนี้มีแล้วขโมยลักไม่ได้ ไฟไหม้ไม่ได้ น้ำท่วมทำลายไม่ได้ ทรัพย์อันนี้คืออริยทรัพย์

    ฉะนั้น ฉันจึงหาทางทำมันกระจุกกระจิกอย่างที่พระหลาย ๆ องค์เขาไม่ทำ นี่ในสถานที่ของฉัน ฉันหาเครื่องบำรุงความสุข หาเครื่องบำรุงความสะดวก คำว่าบำรุงความสุขนี่ไม่ใช่หมายความว่าเอาเครื่องเฟอร์นิเจอร์มาตั้งอะไรมากมายหรอก อะไรที่มันจะให้ความสะดวกทุกอย่าง เงินที่เขาให้มากินข้าวซื้อยานี่น่ะฉันเอาไปทำ บางทีฉันยังไม่ได้มา ฉันก็ต้องไปเชื่อของเขามาก่อน พ่อค้าเขาก็ใจดีเอามาตั้งท่าเข้าไว้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะฉันกลัวฉันรวย ฉันกันความรวย และลูกหลานก็คงจะคิดว่า เอ๊ะ หลวงตานี่หากินเองไม่ได้นะ เขาให้มาก็ยังจะเอาไปอีลุ่ยฉุยแฉก น่าจะเก็บสะสมไว้ให้มาก

    และเวลาที่เขาไม่ให้จะได้มีกินมีใช้ ไอ้อย่างนี้ก็คิดเหมือนกันนะลูกหลานนะ คิดเหมือนกัน แต่ก็คิดว่ามองดูร่างกายของฉันมันมีอยู่อีก ไม่กี่วัน นี่ฉันต้องการให้ลูกหลานไปเห็นบ้านฉัน บ้านของฉันที่จะไปอยู่ใหม่มันสวยจริง ๆ ฉันจะพูดให้ฟังนะ มันสวยจริง ๆ มีกำแพงรอบ ๆ 4 ด้าน เป็นแก้วผสมกับทองแพรวพรายประกอบ มีพื้นสีทองประดับแก้วทั้งหมด แล้วมีซุ้มประตู พื้นที่เดินเข้าไปก็เป็นทองผสมแก้ว อาคาร 3 หลังเป็นแก้วแพรวพรายสวยบอกไม่ถูก ข้างในมีแท่น ข้างหน้ามีหอระฆัง

    พูดถึงความสวยแล้วลูกหลานเอ๋ยบอกไม่ถูก ด้านทิศตะวันออกมีสระโบกขรณี มีแท่นแก้ว มีต้นไม้แก้ว น้ำก็แลดูแพรวพรายคล้ายกับน้ำเพชร มันสวยจริง ๆ ในสถานที่นั้นมีความสุขบอกไม่ถูก พอขึ้นไปแล้วมีแต่ความเยือกเย็น มีแต่ความโปร่ง นี่บ้านของฉันนะ ที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง ๆ เกิดขึ้นตามความปรารถนาของใจ และบางครั้งความปรารถนาของใจยัง ไม่ปรากฏ แต่สิ่งนั้นจำจะต้องมี ก็มีขึ้นมาก่อนทันที ไม่เหมือนเมืองเทวดา เมืองเทวดาหรือเมืองพรหมนี่

    เวลาจะต้องการเขาต้องคิดเสียก่อน ที่เรียกว่าเนรมิต คิดว่าสิ่งนั้นจงมี สิ่งนี้จงมี แต่ก็เป็นไปตามวาสนาบารมี นี่หมายความว่าวาสนาบารมีมีแค่ไหนคิดเอาได้แค่นั้น แค่ทุนนั่นเอง ถ้าทุนมากก็หาได้มาก ทุนน้อยก็หาได้น้อย ทีนี้บ้านฉันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ไม่ต้องคิดหรอก บางครั้งพอฉันเดินไป พอคิดว่าจะนั่งตรงนี้ แท่นมันก็มารองตูดทันที ไม่ทันจะคิดหาแท่น บางทีเดิน ๆ ไปกลางบริเวณคิดว่าตรงนั้นมันเย็นดี ฉันคิดว่าฉันอยากนอนตรงนี้ ก็พอดีที่นอนมันมารองรับทันที ที่นั้นมันมีความสุขความสบายทุกอย่างลูกหลาน (เออ นี่ฉันพูดแล้วมันก็เรอไปด้วย ร่างกายของฉันมันไม่ดี)

    นี่แหละ ฉันมีสมบัติอย่างนี้อยู่ข้างหน้า แต่ถ้าหากฉันเอาเงินของลูกหลานไปใช้อีลุ่ยฉุยแฉก หมายความว่าเขาให้ค่ายารักษาโรค ทุกคนเสียสละเงินมาให้ฉัน การให้เงินให้ทองนี่นะ มันก็เหมือนการเชือดเฉือนปั้นเนื้อในร่างกายมาให้ไม่ได้ผิดกันเลย เพราะเงินทองของใช้ทุกอย่างที่ลูกหลานให้ฉันมานี่

    ถ้าว่าลูกหลานจะเอาไว้มันก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีประโยชน์แก่จิตใจ มีเงินอยู่ ความสบายใจเกิดจากเงินก็มี ทีนี้เวลาร่างกายต้องการอะไร เอาเงินไปซื้อของกินของใช้มันมีความสุข ฉันคิดว่าเงินที่ลูกหลานให้ฉันมานี่เป็นเลือดเนื้อในร่างกายเชือดให้ฉันมา ฉันมานั่งคิดว่ามาปล่อยให้เงินทองของลูกหลานมาบูดเน่าอย่างเดียว ประโยชน์มันจะน้อยเกินไป ส่วนใดที่มันควรจะเน่า คือ มาหล่อเลี้ยงร่างกายฉัน ๆ ก็กันเอาไว้เล็กน้อยพอสมควร ถ้ามันเหลือ บางทีไม่ทันเหลือนะ

    ก่อนจะมากันก็ย่องไปซื้อนั่นซื้อนี่ซื้อโน่น สิ่งที่มันเป็นความสะดวกกับสาธารณชนให้มันเป็นประโยชน์กับสาธารณชนเข้าไว้ ที่ฉันทำอย่างนี้เพื่อประโยชน์อะไร ก็ฉันอยากให้ลูกหลานมีบ้านอย่างฉันน่ะสิ เวลานี้นะ เวลานี้ฉันต้องการให้คนทุกคน ให้ลูกหลานของฉันนี่นะ ไปมีบ้านสวย ๆ อย่างนั้น และก็ผลของการอุลุ่ยฉุยแฉกของฉันนี่ก็ปรากฏ ฉันไปดูบ้านอันดับ 3 ที่เรียกว่าไม่ต้องทำมาหากินมีที่อยู่กัน มีที่อยู่ที่ใช้สบาย ๆ เพียงแค่นึกอะไรก็ได้ นี่มีบ้านตั้งอยู่ประมาณหมื่นหลังเศษแล้ว ไปถามเขาว่าบ้านใคร เขาบอกว่าบ้านลูกบ้านหลานฉัน ถามว่าบ้านลูกบ้านหลานฉันน่ะเขาทำอะไรไว้ เขาจึงมาตั้งบ้านอยู่แถวนี้ได้

    เขาว่าเพราะความอีลุ่ยฉุยแฉกของท่านนั้นแหละ เพราะท่านไม่เอาเงินทองของเขาเก็บไว้ในธนาคาร เอาไว้ซื้อไร่ซื้อนาซื้อทองสำหรับหมั้นสาว ๆ ที่ไหน แล้วก็ไม่ตั้งตัวเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ท่านเอาเงินทองของเขาไปอีลุ่ยฉุยแฉก คือ เขาให้กินให้ใช้เป็นส่วนตัว แต่ท่านก็กลับนำเอาไปเป็นส่วนสาธารณประโยชน์ แล้วเวลาบอกเขาเข้า เจ้าของเขาพลอยโมทนาพลอยยินดีด้วย บ้านทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏ ลูกหลานที่รัก พอฉันเห็นฉันรู้เข้าเท่านั้นแหละ ฉันดีใจเกือบตาย ฉันคิดว่าผลท่านทำอย่างลับ ๆ ที่ไม่เปิดเผยแก่ลูกหลาน แต่ว่าลูกหลานทั้งหลายก็มีความเป็นห่วงฉัน นี่หมายความว่าเวลาเขาให้ฉันน่ะฉันก็ใช้เงินเกินตัว มันหมดก่อนระดับเงินที่เขาให้ และฉันก็ใช้ไปแล้ว

    พอเขารู้ว่าหมดไป เขาก็เอามาให้ใหม่ ยังจะมี นนทา อนันตวงษ์ ศิริรัตน์ โรจนวิภาต นี่สมัยก่อนเธออยู่ใกล้ นนทาก็ยังอยู่ใกล้ บางทีเธอก็ให้มาแล้วมันเกินกว่าที่ฉันจะใช้หมด แต่ถ้าแผล๊บเดียว ฉันก็เอาไปจิ้มค่าทราย ค่าหิน ค่าไม้เขาเสียหมด ทีนี้เขาอยู่ใกล้ เขาเห็นไม่มี เขาต้องลำบากกัน ฉันก็สงสารเขาเหมือนกันนะ เขาเหนื่อยกัน เขาลำบากกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท แต่ฉันคิดว่า ฉันไม่ได้กวนเขาหรอก เขาเมตตาเขาก็ให้ คนอื่นก็เหมือนกัน อย่างฉลวย พิมพา วาสนา นี่แกเคยเตือนว่า

    หลวงพ่ออย่าอีลุ่ยฉุยแฉกนักซิ ให้กินให้ใช้ก็เอาไว้กินไว้ใช้ นี่เอาไปทำอะไรต่ออะไรเสียหมด ยังพงศ์ คุณากร แกก็เคยบ่น ฉันก็เลยทนเขาบ่น ก็เขาบ่นถูกนี่นะ จะไปว่าอะไรเขา แต่ว่าเขาไม่รู้จิตใจว่าฉันกินฉันใช้ไปคนเดียว อานิสงส์เขามีเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นอานิสงส์ฝ่ายปาติ ปุคคลิกทาน ผลมันน้อยมาก ฉันอยากให้เขาได้กำไร ฉันก็เลยไปลงทุนให้เขา คือ ซื้อบุญหนักให้เขาเป็นส่วนสาธารณประโยชน์

    เวลานี้ถ้าทุกคนที่ได้รับฟังโปรดทราบไว้ด้วยว่า ไอ้เงินท่านเอาไปอีลุ่ยฉุยแฉกน่ะ ฉันเอาไปสร้างบ้านให้แล้วนะ ยิ้มไว้ ตั้งใจไว้ บ้านที่หลวงพ่อ หลวงตา หลวงปู่ ที่แกไปแอบ ๆ สร้างเอาไว้น่ะ คิดว่าเราตายจากชาตินี้เราจะไปอยู่ที่นั่น จำไว้นะ ทีนี้มาพูดถึงบ้านชั้นสาม เวลานี้ก็ปรากฏกลุ่มหนึ่งมี 8 หลัง อีกกลุ่มหนึ่งปรากฎว่ามี เดี๋ยว ๆ ฉันมองดูก่อน อ๋อ หลวงพ่อท่านร้องบอกว่ามี 14 หลัง แล้วอีกกลุ่มหนึ่งมันมีอยู่ 3 หลัง 3 หลังครึ่งกระมัง งั้นใช่ไหมครับ อ้อใช่แล้ว ถามทำไมถึงเป็นครึ่ง

    ท่านบอกว่า อีกคนหนึ่งน่ะมันยังทำไม่เต็มที่ ไอ้เจ้าคนดำ ๆ อ้วน ๆ หัวโกร๋น ๆ เหมือนแกน่ะมันยังทำไม่เต็มที่ มีอยู่ครึ่งหลังแล้ว หมายความว่าบ้านสีดำไปครึ่ง นี่บ้านพิเศษ แล้วต่อไปล่ะครับเขาจะทำอย่างไร เขาจะไปได้ไหม เขาจะชำระได้ไหม อ้อ งั้นหรือครับ นี่พูดกับหลวงพ่อนะ ท่านร้องลงมา เออ อย่าถือฉันเลยนะ ฉันเป็นคนแก่ บางทีมันเผลอไผลพูดคนเดียวก็นึกว่าพูดกับคนอื่น

    เอาล่ะ เห็นว่าหลวงพ่อท่านว่าเจ้าคนดำ ๆ อ้วน ๆ หัวโกร๋น ๆ เหมือนฉัน อายุ 62 ย่าง และต่อไปก็ประมาณ 70 เศษ ๆมีหวังแน่นอน ถ้าเขาตั้งใจทำจริง ๆ มีหวังไปอยู่บ้านพิเศษ เอาล่ะ นี่ฉันพูดเรื่องะไรนะ นี่ฉันจะพูดเรื่องป่วยให้ฟัง แต่ฉันก็มาอีเหละเปะปะอย่างนี้ เอ๊อ อย่าถือคนแก่เลยนะลูกหลานนะ นี่เล่าให้ฟังว่าเอาเงินของลูกหลานไปทางไหนบ้าง ไปอีลุ่ยฉุยแฉกอะไร ความจริงเอาไปกินเข้าใช้เข้าไปก็ไม่ค่อยได้กินได้ใช้เข้าไปเท่าไรนักหรอก

    จะนึกว่าบางคน จะคิดว่าไม่มีสตางค์ซื้อยา ลูกหลานใจจืดเปล่า เขาไม่ได้ใจจืดใจดำ เขาให้เกินกว่า แต่ฉันเอาไปสร้างส่วนอื่นเสีย ทุกคนฟังแล้วก็โมทนาเสียนะ ทำให้ใจชื่นบานว่าบ้านพิเศษของเรามีแล้วทุกคน ฉันพยายามสร้างให้ นี่ฉันบอกตรง ๆ นะ บางคนที่เขาไม่เห็นด้วยเขาก็ไม่ให้ ฉันเลยไม่บอก เวลานี้ฉันตั้งได้แล้ว ฉันเห็นว่าเป็นของดี ฉันบอกได้แล้ว เอาหวังไว้แล้วกัน เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ เราตั้งใจไว้ เราก็ไปสถานที่นั้นได้

    เอาล่ะ ทีนี้มาเล่ากันต่อไปว่า หลังวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2514 ฉันป่วยเพราะพูดมาก พูด ไม่ได้หยุด พูดแล้วจารึกลงเป็นตัวหนังสือ มันสะเทือนอก เส้นศูนย์ท้องมันก็ตึง อาการมันเครียดขึ้นมา ทุกที ในที่สุดก็ทำไม่ไหว ก็เลยต้องพัก นี่ดำดินมาตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม มาโผล่ขึ้นวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2515 มันจะถึงเดือนรึยัง เอ้า วันนี้วันที่ 17 เมื่อกี๊ฉันพูด 27 หรือ 17 ก็ไม่ทราบ วันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2515 มันหนาวจริง ๆ ความเย็นมันเยือกเย็นเหลือเกิน

    มาดูเครื่องวัดอากาศ เห็นเข็มบอกว่า 20 เซนติเกรด นี่ขนาด 20 เซนติเกรด นะ ที่ลดลงขนาด 5-6 เซนติเกรด มันจะหนาวขนาดไหน มาว่ากันต่อไป หลังจากนั้นฉันป่วย อาการไม่ได้ผิดฉันจะตายหนที่ 3 ที่ลูกหลานจะรับทราบในวันหน้า เมื่อฉันเห็นอาการมันเหมือนกัน ฉันก็ตั้งมุมเหมือนกัน การตายครั้งที่ 3 ของฉันไปนิพพานได้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไปนิพพงนิพพานอะไรหรอก ฉันอีตอนนั้นฉันคิดว่านิพพานสูญอยู่แล้ว ฉันเที่ยวเทศน์สอนชาวบ้านเขา สอนลูกศิษย์ลูกหานิพพานสูญ ฉันเลยนึกว่ามันสูญ

    ทีนี้ตอนฉันป่วย ตอนนั้นความทรมานมันเข้ามาบีบคั้น ฉันคิดอย่างเดียวว่า เวลานี้ฉันจะตาย ฉันไม่คำนึงถึงญาติถึงพี่ถึงน้อง ถึงทรัพย์สินกิจการใด ๆ ทั้งหมด ใครจะมาเยี่ยมไข้ฉัน จะต้องถามได้อย่างเดียวว่า อาการโรคเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือเลวลง ถ้าหากว่าใครมาพูดเรื่องอย่างอื่นบอกให้หยุดทันทีว่าฉันไม่เกี่ยว เวลานี้ฉันกำลังจะตาย เรื่องทั้งหลายแหล่อย่ามาพูดกับฉันนะ ฉันไม่ยอมรับฟังเรื่องของใครทั้งนั้น เรื่องที่จะเป็นเรื่องของฉันก็ตาม เรื่องของชาวบ้านชาวเมืองก็ตาม มาพูดกับฉันไม่ได้ ฉันไม่ต้องการ

    ให้พูดได้อย่างเดียว คือ ถามว่าฉันป่วยนี่มันดีขึ้นหรือเลวลง ถามได้เท่านั้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะตอนนั้นฉันคิดว่าฉันตาย คนตายไม่มีใครแบกอะไรไปได้ แม้แต่ร่างกายก็ไม่มีใครแยกเอาไปได้ ในเมื่อความจริงมันเป็นอย่างนี้แล้ว ฉันจะมัวเอาจิตไปแบกมันทำไม ฉันปล่อยอารมณ์เฉย ๆ พอวันที่ 3 ฉันก็รู้สึกว่าฉันไปถึงพระนิพพาน แล้วก็ไปโต้กับพระท่าน ทั้งที่ไม่รู้ว่าตรงนั้นเป็นพระนิพพาน

    ตอนนี้ฉันจะเก็บไว้นะ ฉันจะเก็บไว้ตอนท้าย ตอนตายครั้งที่ 3 คราวนี้ก็เหมือนกัน อาการเหมือน คราวโน้น ฉันก็คิดว่าควรจะคิดเหมือนกัน ฉันก็ปลงทุกอย่าง วิธีปลงของฉันไม่ยากหรอก ฉันไม่ได้ทำเหมือนชาวบ้านเขานี่ ฉันก็คิดอย่างเดียวว่าฉันไม่มีอะไร ทรัพย์สินของฉันก็ไม่มี เพื่อนฝูงก็ไม่มี ร่างกายของฉันมันก็ไม่มี นี่มันของกิเลสตัณหา จะพังก็เชิญ ฉันไม่เอาอะไรหมด ฉันทำใจสบาย บอกเชิญ เชิญ พ่อคุณ อยากจะพัง อยากจะสลายก็เชิญสิพ่อคุณ เอาเถอะ พังไปเถอะ ฉันจะได้ไปอยู่บ้านฉัน ใจฉันก็เลยสบาย โปร่งแจ่มใส

    พอถึงเวลาเจริญพระกรรมฐานของลูกศิษย์ลูกหา เวลา 2 ทุ่มตรง ฉันลงไปบวงสรวง แหม ตอนบวงสรวงนี่ลูกหลานเอ๋ย มันจะขาดใจตาย ว่ายังไม่ทันครึ่งมันเหนื่อยจริง ๆ กำลังมันไม่มี แต่คนที่นั่งอยู่ด้วยกันเขาไม่รู้หรอก ฉันทำท่าเป็นคนเก่งไปอย่างนั้น แต่ว่าฉันก็ทน

    พอนำบวงสรวงเสร็จ สมาทานเสร็จ ฉันก็นั่งของฉันบ้าง ฉันไม่ห่วงใครตอนนั้น ฉันเป็นห่วงตัวของฉัน ฉันชำระจิตใจของฉันพอเป็นแก้วประกายพฤกษ์ แล้วก็มาชำระกายทำใจเป็นแก้วใสสะอาดบ้างพอสมควรแล้วก็เคลื่อนตัวออก เมื่อเคลื่อนตัวออกแล้วก็ไปพบพระท่านมายืนอยู่เป็นแถว ไปกราบท่าน ๆ ก็เลยบอกว่าคุณออกไปจากที่นี่ได้ คนที่นั่งอยู่ ที่นี่ฉันคุมเอง เธอไม่ต้องห่วง เธอตรงไปพระนิพพานที่อยู่ของเธอ พอท่านบอกอย่างนั้นก็กราบท่านลงไป 3 ครั้ง ท่านเยอะนี่ ก็กราบทีเดียวล่ะ กราบ 3 หนนั่นแหละ กราบทุกองค์

    เมื่อกราบแล้วก็มุ่งไปพระจุฬามณี ไปไหว้พระตรงนั้นก่อน ตามระเบียบของฉันต้องเอาอย่างนั้น เวลานี้ฉันไม่ไปเมืองไหนหรอก ใครเขาจะไปเมืองพรหม เทวดาที่ไหนก็ไปกันเถอะ ฉันขี้เกียจเต็มทีแล้ว ไปที่ไหนก็ไม่เห็นสนุก ตอนก่อนน่ะเห็นมันสนุกทุกอย่าง เพราะมันเป็นของใหม่ เวลานี้เบื่อทุกอย่าง ไม่เห็นอะไรดี ฉันก็ไปนั่งไหว้พระ วันนั้นเห็นพระจุฬามณีเห็นพระท่านนั่งเป็นตับ แล้วก็เห็นพระที่นั่งเป็นประธานที่เราเรียกว่า พระพุทธเจ้าที่นิพพานไปแล้ว ท่านนั่งเป็นประธาน ท่านสวยสดงดงามบอกไม่ถูก สวยกว่าทุกวันที่ฉันเห็น

    ฉันเข้าไปกราบท่านแล้วทูลถามว่า ทำไมวันนี้หลวงพ่อสวยกว่าทุกวันครับ ฉันเรียกหลวงพ่อนะ เพราะว่าพระสงฆ์เป็นลูกของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ลูกของใคร พระสงฆ์จะคุยว่าเป็นพ่อคนนั้นคนนี้ไม่ถูก เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสด้วยกัน เลยถามท่านว่าทำไมท่านสวยนัก ท่านยิ้มแล้วบอกว่า ฉันสวยอย่างนี้ทุกวัน แต่ว่าใจของเธอมันไม่สวย อารมณ์ไม่สะอาดพอ

    เลยถามว่าทำไมวันนี้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นสวยล่ะพระพุทธเจ้าค่ะ ท่านก็เลยตอบว่า วันนี้เธอสะอาดพอ วันนี้เธอตัดสินใจว่าจะไปนิพพานใช่ไหม ไม่เอาอะไรหมดแล้วใช่ไหม กราบทูลท่านว่าเป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้าค่ะ ท่านบอกว่าการตัดสินใจเช่นนั้น จิตสะอาดที่สุด ได้เห็นของจริงได้ตามความเป็นจริงที่สุด หมายความว่า ของอะไรมันจะสวยแค่ไหน สีสันวรรณะมีเพียงเท่าใด ก็จะเห็นได้เท่านั้น ขณะใดที่จิตมีความเศร้าหมองด้วยอำนาจกิเลสแม้แต่นิดหนึ่ง ก็จะเห็นของจริงได้ตามความเป็นจริงที่สุด หมายความว่า ของอะไรมันจะสวยแค่ไหน สีสันวรรณะมีเพียง เท่าใดก็จะเห็นได้เท่านั้น

    ขณะใดที่จิตมีความเศร้าหมองด้วยอำนาจกิเลสแม้แต่นิดหนึ่งก็จะเห็นของจริงตามความเป็นจริงไม่ได้ มาคิดดูในใจว่า เออจริงนะ วันก่อนน่ะเราเป็นคนมีห่วง ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จะไปสร้างบ้านเรือนน่ะ ก็ห่วงคนนั้นคนนี้ ห่วงคนนี้ห่วงคนโน่น คนนั้นได้อย่างนี้ คนนี้ได้อย่างนั้น คนนั้นยังไม่ถึง ก็นึกกังวลไปบ้าง ห่วงไปบ้าง สงสารลูกหลานก็เลยมาตัดใจว่า เออ ถ้ายังไงก็เอาแกไปพะ ๆ อยู่เมืองเทวดา ก่อนก็ยังดี แล้วต่อไปแกมีสติปัญญามีกำลัง แกไต่เต้าของแกไปเอง แต่ใครจะตามไปถึงที่สุดได้ก็ไป

    นี่อารมณ์ใจเป็นอย่างนั้น มันเป็นกังวลเหมือนกันแต่ความจริงมันไม่ได้เป็นอกุศล มันเป็นกุศลนั้นแหละ แต่เป็นกุศลถ่วงไปนิดหนึ่งแต่ก็ยังมีจิตดีสบายใจ เวลาต้องการเข้าถึงชำระง่ายแผล๊บเดียว ไม่ถึง 2 วินาที จิตก็สะอาดผ่องใส เมื่อไปกราบทูลถามท่าน ท่านว่า คุณ ขันธ์ 5 น่ะมันไม่ดีหรอก ขันธ์มันไม่ดี แล้วท่านก็เลยเทศน์ต่อบอกว่าบรรดาเทวดา พรหม และพระอรหันต์ทั้งหลายก็ตาม หรือพระที่ได้ฌานโลกีย์ ฌานโลกุตตระก็ตาม ที่มานั่งอยู่นี่ ต่างคนต่างละขันธ์ 5 ได้แล้ว ต่างคนต่างปล่อยขันธ์ 5 เอาไว้ เอาจิตที่เป็นทิพย์ร่างกายที่เป็นทิพย์มาใช้ในเวลานี้

    ความเป็นเทวดาถึงแม้ว่าจะมีมเหสักขาหรือมีบุญบารมีน้อย นี่ฟังเสียงฉันก็รู้ไว้ด้วยนะลิ้นเลิ้นมันไม่ค่อยดีหรอก จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎสงสารก็ตาม แต่ว่าเวลามาเป็นเทวดาหรือว่าได้ฌานโลกีย์ ท่านทิ้งอัตภาพของท่านแล้วก็ขึ้นมาบนนี้ทุกคน จะเห็นว่าการทิ้งอัตภาพเสียได้ ทิ้งขันธ์ 5 เสียได้ ละขันธ์ 5 เสียได้มีความสุขมาก ทั้งนี้เพราะว่ามันไม่มีการปวด มันไม่มีการเมื่อย มันไม่มีการอะไรต่ออะไรทุกอย่าง ความทุกข์ทุกอย่างมันไม่มี ในการละขันธ์ 5 มาเป็นเทวดาได้มันเป็นการละขันธ์ 5 ชั่วคราว มีความสุขเท่านี้ แต่ว่าความสุขแม้จะน้อยแต่ดีกว่าทรงขันธ์ 5 มาก ไม่ต้องหุงข้าวกิน ไม่ต้องใช้พาหนะ ไม่มีความเดือดร้อนในความเป็นอยู่ทุกอย่าง ท่านพูดช้า ๆ แล้วมองไปรอบ ๆ เห็นเทวดา พรหม และพระทุกองค์ท่านนั่งพนมมือกันเป็นแถว

    แล้วท่นก็พูดต่อไปว่า ใครเป็นเทวดาก็เป็นของดี แต่ก็ยังดีไม่เท่าพรหม การเป็นเทวดาเขาเรียกว่าขั้นกามาวจรสวรรค์ ยังมีความสัมพันธ์กับคนหลายชั้นหลายประเภท หมายความว่า ยังมีผัว ยังมีเมีย ยังมีบริวาร ยังมีเจ้านาย ยังมีประเภทของคนหรือของเทวดา ลงมีประเภท ลงอยู่กันมาก ๆ มันอดยุ่งไม่ได้ เทวดาก็ยุ่งแบบเทวดา คนก็ยุ่งแบบคน พรหมก็ยุ่งแบบพรหม ทีนี้เทวดายังมีความยุ่ง ความกระสันในการเป็นผัวเป็นเมีย ยังมีความรัก ท่านบอกว่าถึงแม้ร่างกายจะไม่ปวดไม่เมื่อย จะไม่ต้องหิวกระหาย ไม่มีความหนาวความร้อน มันไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เพราะร่างกายเป็นทิพย์ก็ตาม

    แต่ทว่าความกังวลของจิตยังมีอยู่สู้เป็นพรหมไม่ได้ พรหมนั้นจัดว่าเป็น เอกายโน อยัง ภิกขเว นี่ตามภาษามคธนะ ว่าส่งเดชไปอย่างนั้นแหละ มันไม่ตรงกับอะไรหรอก มันเคยปาก ลูกหลานจำไว้นะ คนแก่เป็นอย่างนี้ ป้ำๆ เป๋อ ๆ อะไรมันเคยปาก ก็ว่ามันส่งไป (นี่มันเรอเอิ้กขึ้นมาได้ยินหรือเปล่า ได้ยินก็ให้อภัยด้วยนะ) คนแก่ลูกหลานจำไว้นะ เกิดมาแล้วมันต้องแก่ หนีแก่ไม่พ้น ไม่ช้าก็แก่อย่างหลวงพ่อ หลวงตานี่แหละ ในไม่ช้าก็ตายเหมือนกัน

    ลูกหลานอย่าประมาทนะ ใครเขาคิดว่าเขาไม่ตายก็ช่างเถอะเราจะตาย ทำความดีเข้าไว้ บ้านที่เป็นทิพย์ของเรามีแล้วนะ หวังความดีเข้าไว้ ตั้งใจว่าเราจะไปบ้านหลังนั้น ทำบุญอะไรก็ตามคิดว่าเราจะอยู่บ้านที่เป็นทิพย์ที่หลวงพ่อ หลวงตา หลวงปู่แกปลูกให้ แกชักชวน คือว่าแกโขมยเงินของลูกของหลานไปปลูกไว้ และไอ้สิ่งทั้งหลายนั้นก็เป็นของลูกของหลาน ฉันไม่มีสิทธิจะเข้าไปครอง

    ความจริงฉันเป็นคนแก่ใช้เงินผิดประเภท ก็หวังดีแก่ลูกแก่หลาน ตั้งใจไว้ให้ดีนะ ความหวังความปรารถนาของเรามีแล้ว ความเป็นเทวดาน่ะมีหวังแน่นอน อย่าทำความชั่วนะ แล้วต่อไปท่านก็เทศน์ว่า สู้ความเป็นพรหมไม่ได้ พรหมเป็นบุคคลคนเดียว อยู่ด้วยอำนาจธรรมปีติ มีฌานเป็นอารมณ์ สบายกว่า ไม่ยุ่งกับใคร แล้วท่านก็ขยับต่อไป คือว่าท่านเทศน์ดีกว่านี้นะ ฉันพูดให้ฟังย่อ ๆ เดี๋ยวลูกหลานจะรำคาญ เป็นพรหมก็ดี เป็นเทวดาก็ดี ยังมีสภาวะมาจุติเป็นมนุษย์หรือสัตว์ดิรัจฉาน หรือว่าเป็นพรหมโสดา สกิทาคา อนาคา เป็นเทวดาก็เหมือนกัน ที่เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา ก็เหมือนกัน ยังต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อพระนิพพาน สู้เราตัดสินใจไปพระนิพพานเลยไม่ได้ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านว่าสู้เราตัดสินใจไปพระนิพพานเลยไม่ได้

    อีตอนนี้ก็สงสัยถามท่านว่า การไปพระนิพพานแบบง่าย ๆ ไปอย่างไร เอาแบบง่าย ๆ เพราะว่าวิธีกรรมในเมืองมนุษย์เวลานี้เขาสอนกันมันยากเหลือเกิน ท่านก็เลยหันไปถาม ท่านถามว่า เวลาที่เธอตายครั้งที่ 3 แล้วเธอไปพระนิพพานเธอไปแบบไหน บอกว่าเวลานั้นข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้คิดว่าจะไปพระนิพพาน

    เป็นแค่เพียงคิดว่าทรัพย์สินไม่มี ญาติไม่มี พี่น้องไม่มี พ่อแม่ไม่มี ร่างกายก็ไม่มี มันกำลังจะสลายตัว ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีห่วงอะไร ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตน เมื่อมันจะพังก็เชิญมันพัง ทำจิตสบาย ใช้อารมณ์ว่างจากสิ่งที่เป็นอกุศล ไม่ใช้อารมณ์เกาะอะไรทั้งหมด สิ่งที่ยึดคือพระบารมี ได้แก่ การนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า การนึกถึงความดีของพระอริยสงฆ์ผู้มีพระธรรมเป็นประธาน มีพระธรรมเป็นปัจจัย ท่านก็เลยบอกว่า นั่นคุณคิดถูกแล้วนี่ แล้วคุณจะถามทำไม การที่จะไปนิพพานมันเป็นของไม่ยาก มันง่ายกว่าอะไรทั้งหมด ก็ปลดเสียอย่างคุณคิด

    คุณคิดแบบไหนแบบนั้นแหละเป็นวิธีที่ถูก เอาแบบนั้นแหละเป็นเครื่องคิด ไม่ต้องไปนั่งท่องให้มันเหนื่อยให้มันเมื่อย ไม่ต้องไปนับจิตไม่ต้องไปนับอะไร ปลดมันเสียเลยสบาย ๆ หัดปลด มันง่ายนิดเดียว พอท่านพูดให้ฟังก็เข้าใจ ท่านก็เลยพูดว่าคุณนี่อย่าคุยมากไปสิ นี่พระท่านสั่งให้ไปที่อยู่ของเธอใช่ไหม ก็กราบลงไปบอกว่าใช่พระพุทธเจ้าค่ะ แต่ข้าพระพุทธเจ้าขอมาถวายนมัสการก่อน ท่านก็บอกว่าดี ทำดี รีบไปบ้านของเธอ

    ก็เลยลาท่าน ฉันก็ไปบ้านของฉัน อีวันที่ฉันขึ้นไปลูกหลานเอ๋ย บ้านของฉันมันสวยเป็นพิเศษ ความสวยงดงามที่เห็นมาในกาลก่อนมันเทียบไม่ติดได้เลย แตะไม่ถึง ไม่มีอะไรจะเข้าไปสู้ได้ วันนี้มันสวยมาก เยือกเย็นมาก มีความสุขมาก ฉันก็เดินไปเดินมาในบริเวณบ้านของฉัน และผลที่สุดก็มองไปที่หอระฆังแอบไปเจอะพระพุธเจ้าองค์หนึ่งท่านประทับอยู่ เมื่อเห็นท่านประทับอยู่ที่เดิม อีตรงนั้นฉันไปคราวก่อน ฉันเข้าไปพบพระพุทธเจ้าตรงนั้น

    ฉันเข้าไปนมัสการ ไปกราบท่าน ท่านก็บอกว่า เธอจำได้ไหม คราวตายครั้งที่ 3 เคยมานั่งตรงนี้จำได้ไหม บอกว่า จำได้พระพุทธเจ้าค่ะ เวลานี้ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าพระองค์เสด็จประทับอยู่ และทุกครั้งก็ถวายนมัสการที่ตรงนี้แล้วไม่ยอมนั่ง เพราะเป็นที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยนั่ง ท่านเลยบอกว่าสาธุ ดีแล้ว ตั้งใจดีแล้ว แต่ว่ามันเป็นที่ของเธอ ๆ จะนั่งก็ได้ ตถาคตมานั่งชั่วขณะ

    ก็นั่งคุยกับท่าน ท่านชี้ชมให้ดู สถานที่ต่าง ๆ ชมไปชมมา ชมมาชมไปก็ไปชมวิมานใหม่ ๆ ที่มันโผล่ขึ้นมาทางทิศตะวันออกอีก 8 หลัง ถามว่านั่นวิมานใคร ท่านเลยบอกว่าบริษัทของเธออย่างไรล่ะ ในบริษัทของเธอน่ะ มีโอกาสนะ กลุ่มพิเศษน่ะมีด้วยกันหลายกลุ่มนี่เฉพาะกลุ่มนั้น 8 หลังน่ะ แต่ละคนมีโอกาสทั้งนั้น ไปเตือนเขาให้ไปปฏิบัติตามที่เธอคิดนะ ไม่ต้องเอาอะไรมาก ไม่ต้องไปใช้วิธีลีลาอะไรมาก มันยุ่งเปล่า ๆ อย่าไปยึดอุปาทาน แล้วอย่าไปเชื่อคนที่เขามองไม่เห็นผี คนที่มองไม่เห็นผี

    เล่าเรื่องผีให้เธอฟังมันจะเล่าถูกต้องอะไร คนที่ไม่เคยเห็นนิพพานไปให้เขาสอนให้เธอ แล้วเธอไปรับคำสอนของเขามันจะถูกหรือ นี่เธอพบของเธอเอง เธอเห็นของเธอเอง แล้วบริษัทของเธอ ถ้าเขาต้องการก็เอาไอ้ที่เธอได้นั่นแหละให้เขา มันเป็นของกลาง ๆ คือ การตัดขันธ์ 5 อย่างที่ฉันเล่ามา

    แล้วท่านก็ชวนชี้ชมสถานที่ต่าง ๆ มันมีความสวยสดงดงามเป็นพิเศษ ฉันเข้าไปในอาคารที่ฉันอยู่หลังหนึ่ง มันมีอยู่ 3 หลัง พอเข้าไปแล้วเครื่องประดับมันรกรุงรังไปหมด ฉันถามว่ามันรกไป อย่างนี้จะทำอย่างไร ท่านว่าก็เธอสร้างไว้มากมันก็รกมาก ถ้าเธอต้องการให้มันสวยแค่ไหนก็นึกเอาเองสิ นึกว่าจงสวยแค่นั้น พอนึกตามท่านเท่านั้นเอง ปรากฏว่ามันเป็นไปตามรูปที่นึก

    ก็แปลกเหมือนกัน ไม่ต้องไปหยิบไม่ต้องไปจับ เมื่อเวลาชมดูเป็นที่พอใจ ท่านบอกว่านี่เวลานี้มันหมดเวลาแล้วนะ ประเดี๋ยวคณะบริษัทของเธอเขาจะเลิก เขาจะลำบาก ถ้ากระไรก็ดีกลับลงไปเสียก่อนแล้วก็หมั่นมานะ ที่ตรงนี้ควรจะหมั่นมาทุก ๆ วัน จิตมันจะได้เคย จิตมันจะได้ชิน เพราะเราเป็นหัวหน้าเขา ถ้าจิตของเราเลวแล้วลูกน้องเลวหมดนะ ถ้าจิตของเราดีเสียคนเดียว จิตของเขาเลวก็เลวไปไม่ได้มาก เวลาแนะนำเวลาพร่ำสอนกันมัน รู้สึกว่าไม่ลำบากนัก ไม่เอาของผิดมาสอน เลยเป็นห่วงเรื่องหนึ่งเรื่องใช้เงินผิดประเภท เลยถามท่านว่า การที่ข้าพระพุทธเจ้าใช้เงินผิดประเภทนี่ เงินที่เขาให้ใช้แล้วไปสร้างอะไรต่ออะไร ให้ความสะดวก ให้ความเป็นอยู่อะไรทุกอย่าง

    อะไรที่เห็นว่ามันไม่สะดวกก็มาทำให้มันสะดวกขึ้น อาคารไม่มีสร้างมันขึ้นมา เครื่องใช้การติดต่อไม่มีก็สร้างขึ้นมา อะไรก็ตามสร้างให้มันครบ ทำอย่างนี้มันจะเป็นการผิดระเบียบในทางพระพุทธศาสนาไหม มันจะมีอะไรสักนิดหนึ่งไหมพระพุทธเจ้าค่ะที่จะทำให้มันเศร้าหมอง คือกันความดีให้มาถึงในที่นี้ยาก พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์บอก มันจะมีอะไร มีแต่จะดีขึ้น เธอเอาเงินของเขาไปสร้างความสะดวกเป็นสาธารณประโยชน์แล้ว

    ก็บอกให้เขาโมทนา แล้วท่านพวกนั้นแหละต่อไปจะสะดวก เพราะอานิสงส์ความสะดวกมันให้ จะมีอาการคล่องตัวทุกอย่าง ฟังแล้วก็ดีใจ เมื่อถึงเวลาก็กลับ นี่แหละลูกหลานที่รัก หลังจากวันที่ 6 ธันวาคมมาแล้วนะ ธันวาคม 2514 โงไม่ขึ้นแล้วก็เดินทางเข้าไปกรุงเทพฯ บ้าง หาทางอีลุ่ยฉุยแฉก ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ หาทางออกกำลัง พูดไม่ไหว คือจะมาพูดให้ลูกให้หลานฟังนี่น่ะพูดไม่ไหว ก็เลยหางานอื่นทำแทน วันนี้พอมีแรงจะมาเล่าเรื่องหลวงพ่อปานให้ลูกหลานฟัง แล้วเลยอีเหละเปะปะมาเสียเยอะแยะ นี่เวลากาลผ่านมามากแล้วเกือบชั่วโมง

    ฟังอะไรไม่ได้เรื่องเสียงของฉันน่ะมันจะไปถึงไหนก็ไม่รู้นะ มันจะไปได้มากหรือได้น้อยยังไงไม่รู้ บางวันฉันอาจจะพูดมาก บางวันอาจจะพูดน้อยสุดแล้วแต่แรงนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไหน ๆ ก็พูดกันแล้ว นี่ก็ชักเหนื่อยแล้วเหมือนกัน แต่ว่าเอาเรื่องของหลวงพ่อปานมาต่อกันเลยตรงนี้ดีกว่า ไอ้ที่มันพูดมาแล้วจะเลอะเทอะอะไรตามใจฉันก็แล้วกัน ฉันเป็นคนพูดนี่แล้วฉันพูดคนเดียว ใครจะมานั่งขัดคอฉันล่ะ

    วันที่ 6 ธันวาคม ดูเหมือนจะจำแว่ว ๆ นะ ฉันพูดไปแล้ว ฉันจำไม่ค่อยได้เหมือนกัน เรื่องน่ะฉันจำของฉันได้ แต่มันไปจบตรงไหนซิ ฉันคิดว่าฉันคงจะพูดพาดพิงไปถึงเรื่องท่าน เพื่อนหลวงพ่อปานที่ได้อภิญญาที่เชียงตุง เอาอย่างนั้น เป็นอันว่าไปธุดงค์ครางนั้นเราออกเดินทางกันตั้งแต่ข้างแรมเดือนอ้าย แล้วกลับวัดเอาใกล้จะเข้าพรรษาเดือน 8 นี่กี่เดือน ลูกหลานนับเอาก็แล้วกัน

    ไปดงกันจริง ๆ กินข้าวชาวบ้านไม่กี่วัน นอกนั้นกินข้าวในป่า แต่ว่าการไปคราวนั้นก็มีบารมีติดตัวมาจนเดี๋ยวนี้ คือว่าเจ้าลิงมันลูบหัวฉัน ลูบจนกระทั่งหัวล้านจนกระทั่งบัดนี้ เวลานี้ฉันหัวล้านไป เขาเรียกว่าล้านลิงลูบ ไม่ใช่ล้านอะไรหรอก ลิงมันลูบเสียจนล้าน นี่มันจะล้านของมันเองเสียกระมัง แต่ความจริงภาวะการหัวล้านนี้ฉันต้องการ ฉันไม่คิดจะสึก ฉันขี้เกียจให้เขาโกนหัวฉัน เส้นผมมันหนาและใหญ่ เวลาโกนหัวก็เจ็บ คนโกนเขาก็บ่น มีดโกนต้องใช้ 2 เล่ม 3 เล่ม แต่อีตอนนี้มันเริ่มล้าน แต่มันล้านไม่หมด ฉันตั้งใจให้มันล้านเกลี้ยงเลย เอ้า มาว่ากันต่อไป

    เมื่อเข้าถึงเขตเชียงตุง ไปตามถ้ำต่าง ๆ จึงพบพระ เพื่อนของหลวงพ่อปานที่ได้อภิญญา เรื่องก็มีมาว่าเข้าไปพบพระองค์หนึ่ง มีภูเขา ฉันไม่รู้ว่าเขาอะไร ท่านบอกว่าเชียงตุงนี่ เชียงตุงหรือไม่ตุงฉันไม่รู้ เข้าไปในป่ากันเรื่องนี่ ฉันไม่รู้เรื่องจริง ๆ ท่านไม่ยอมเข้าบ้านเข้าเมือง ท่านลัดป่าตะพึด กินข้าวในป่า พอเข้าไปถึงเขาลูกหนึ่ง แล้วก็มีพระองค์หนึ่งผมยาว ไม่ใช่ประบ่านะ ยาวใกล้ถึงเอวเลย และไอ้ที่ตัวของท่านนี่ ท่านห่มผ้าใส่เสื้ออะไรของท่านนี่ มันไม่มีสีเหลือง สีอะไรอย่างพวกเราใช้กันหรอก อีหรุปุปะ สีบอกไม่ถูก

    พอเข้าไปแล้วพอเห็นกันเข้า หลวงพ่อปานท่านถาม เออ นี่พระหรือคน พระองค์นั้นหันมาทำตาขวาง ๆ แก่ ๆ ผอม ๆ ก็เลยถามว่าไอ้พระมันอยู่ที่ไหน ท่านพูดแบบนี้นะว่า เฮ้ย พระมันอยู่ที่ไหนวะ หลวงพ่อปานท่านว่า เอ้า เห็นผมยาว ผ้าอีหรุปะปะสีเหลืองไม่มี จะรู้หรือว่าพระหรือคน ท่านก็ถามว่าพระมันอยู่ที่ผมหรือวะ หลวงพ่อป่านท่านบอกไม่ใช่ ท่านถามต่อไปว่าพระมันอยู่ที่ผ้านุ่งหรือวะ หลวงพ่อปานท่านบอกว่าไม่ใช่

    ท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่าพระอยู่ที่ไหน หลวงพ่อปานบอกว่าพระน่ะอยู่ที่ใจสะอาด แล้วท่านก็เลยหันมาบอกว่าถ้าอย่างนั้นละก็เสือกมาถามทำไมว่าพระหรือคน หลวงพ่อปานบอกว่าเห็นผมยาวเห็นผ้ารุงรังก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผม พระไม่ได้อยู่ที่ผ้า แล้วเสือกมาถามทำไม ทำไมไม่ดูใจคน อีตอนนี้ท่านทำท่าโมโหจัดแล้วบอกว่า ไอ้พระบ้านพระเมืองพระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดี มันจะต้องเห็นดีกัน

    หันไปคว้าไม้แบบหวายยาวสักวาเห็นจะได้ขว้างปั๊ป ขว้างตกไปข้างหน้าท่านกลายเป็นงูใหญ่เบ้อเร่อ ยาวหลายวา ใหญ่มาก เผ่นเข้ามาทำท่าจะกัด บรรดาลิงหน้าพลับพลาทั้งหลายหลบไปอยู่หลัง หลวงพ่อปานกันหมด ชักแปลกใจเห็นไม้เป็นงู หลวงพ่อปานเห็นงูเผ่นเข้ามา ท่านก็เลยบอกเฉย ๆ เสีย แล้วก็หยิบใบไม้ขว้างลงไป ใบไม้กลายเป็นนกเฉี่ยวเอางูติดเล็บขึ้นไปนู่นยอดไม้ยอดไร่ แล้วก็เล่นกันอยู่อย่างนั้นล่ะ ทำเป็นเสือเป็นสางเป็นอะไรต่ออะไรของท่าน ไม่เห็นท่านเสกท่านเสิก คว้าอะไรได้ก็ขว้างลงไปมันก็เป็นขึ้นมา อีกองค์ก็คว้าขึ้นมาได้ ก็ขว้างไปลงเป็นตัวอะไรมาได้แล้วก็รบกัน

    อย่างนี้น่าจะให้ท่านเจ้ากรมสื่อสาร คุณเสริมได้ไปมั่งก็ดี เพราะชอบอ่านหนังสือจีน แบบนี้เล่นหนังจีนไม่ต่างกันเท่าใดนัก ดูจะดีกว่า หนังจีนมันยังโกหก นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก เป็นเรื่องของพระได้อภิญญา เมื่อกันเหนื่อยแล้วต่างคนต่างนั่งหัวเราะกัน แล้วก็คุยให้ฟังว่า นี่ข้าเพื่อนกัน ล่อกันเสียพักเราก็เข้ากราบท่าน หลวงพ่อปานพยักหน้าเลยเข้าไปกราบ เห็นเลิกเป็นข้าศึกกันแล้ว เข้าเซ็นสัญญาทำสัมพันธไมตรีกัน เรียกว่าเซ็นสัญญาสันติภาพกัน แล้วเลยเข้าไปกราบท่าน ท่านเอามือมาลูบหัว หลวงพ่อปานก็บอก พระพวกนี้เขาอยากเห็นของจริง แล้วเขาเป็นคนเอาจริง นี่พวก 3-4 องค์นี่เขาเอาจริง ก็เลยอยากจะพามาให้พบ อยากจะให้สอน 2 องค์นี่ในด้านอภิญญา ท่านชี้ไปที่ฤาษี 2 องค์

    ที่ฉันท่านไม่ชี้ แล้วท่านก็บอกองค์นี้ไม่ได้ เล่นอภิญญาไม่ได้ คือว่าต้องอยู่บ้านอยู่เมืองเป็นหนี้เขาอยู่มากต้องใช้หนี้เขา ลูกหลานมาก บริวารมาก บริษัทมาก ให้เล่นอภิญญาไม่ได้ ถ้าขืนเล่นอภิญญาเดือดร้อน ดีไม่ดีพระเขาจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม แล้วพากันจับสึกเข้าอะไรเข้าจะพากันลงนรก พระพวกได้อภิญญานี่ดีไม่ดี ถ้าเป็นอภิญญาโลกียวิสัย

    ถ้าละกิเลสไม่ได้หมดก็จะล่อพระหรือชาวบ้านที่มาว่ามากลั่นแกล้งอานไปตาม ๆ กัน ดีไม่ดีก็ชี้ให้ง่อยไปเสียบ้าง ขาเป๋ไปบ้าง ตาบอดไปบ้าง เดี๋ยวก็เอาปากทำตูดเอาตูดทำปาก ให้ขี้ออกทางปากกินทางตูด อะไรอย่างนี้ อย่างนี้เรียนไม่ได้ เรียนอภิญญาไม่ได้ สอนไม่ได้ องค์นี้ให้มันได้วิชชา 3 ช่วยให้มันทรงโมนยิทธิเท่านั้นพอแล้ว พอหลวงพ่อปานบอกเท่านั้น ไม่เห็นว่าท่านตั้งท่าอะไร ท่านหันมายิ้มฟันขาว แต่บอกว่า เฮอะ จะสอนอะไร ไอ้พวกนี้มันได้หมดแล้ว ไอ้นี่ มโนมยิทธิมันก็ได้แล้ว ไอ้เจ้าเขียนนี่มันก็ได้แล้ว บอกว่า เออ เขียนเอ๊ย หันไปถามท่านเขียนว่า เขียนเอ๊ย เอ็งน่ะมันรีบตายนะ ตั้งใจวิปัสสนาญาณนะโว้ย มุ่งเอาพระนิพพานเป็นที่ไป อย่าไปยุ่งกับใครนะ เอานิพพานอย่างเดียวนะเอ็งนะ กลับไปนี่ตายแน่ เอาเข้านั่น มันตายดีวะ ตายดีกว่าอยู่ อยู่นานเท่าไรลำบากเท่านั้น

    ตายเร็วเท่าไรสบายเท่านั้น นี่ท่านพูดกับท่านเขียนแล้วกับพวกฉันนะ พอหันมาถึงฤาษี 3 องค์ บอก เออ เอ็งได้แล้วนี่หว่าอภิญญา เอ็งจะมาเอาอะไรกับข้า เอาละ ถ้ามันมีอะไรสงสัยถามข้าได้ แต่ข้าไม่มีอะไรบอกวะ อาจารย์แกเขาเก่งอยู่แล้ว ข้าน่ะไม่ได้เก่งกว่าเขาหรอก ไอ้เขาน่ะทำถ่อมตัวเพราะเขาอยู่ในบ้านในเมือง นี่เขาหายใจไม่ออก เรียกว่าเขาอดกลั้นไม่ไหว เขาก็ออกมาหาข้าเสียที นี่เขาทำแบบนี้มานานแล้ว เออ ข้ามันเป็นชาวดงชาวป่า จะเอาได้แต่วิชาป่าอย่างเดียว ต่อไปนี้ 2 องค์ เราไม่มีหนี้กับเขา

    เออ ไอ้เจ้านี่…แล้วท่านก็หันมาหาฉัน เอ็งนี่ลูกมากหลานมาก เป็นหนี้เขามากนะลูกนะ เอามันแค่วิชชา 3 ก็พอฮิ ลูกฮิ เอ็งจะเข้าป่าเข้าดงกับเขาได้ ก็เข้าได้ไม่นานหรอก ต้องไปใช้หนี้เขา ไอ้เด็ก ๆ เล็ก ๆ มันยังไม่เกิดก็มีอีกมาก สงเคราะห์เขาไปนะ เรามันพวกพ้องมากนี่ เรามีพวกมีพ้องมาก มีอะไรก็แบ่งปันเขาไปช่วยสงเคราะห์เขาไป เป็นการช่วยสงเคราะห์ตัวเองนั่นแหละ ท่านว่าอย่างนั้น

    ว่าเสร็จก็คุยกัน พักอยู่กับท่านประมาณครึ่งเดือน ท่านสอนวิปัสสนาญาณสวยงามมาก ว่าถึงลีลาที่ท่านสอนไพเราะเหลือเกินบรรดา ผู้ฟัง แต่ลูกหลานที่รัก เวลาพูดจริง ๆ นี่นะ เวลาท่านสอนพระกรรมฐาน วิปัสสนาญาณ เห็นชัดพูด แจ่มใส พูดช้า ๆ และพูดสั้น ๆ การพูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง พูดชั่วโมงเอาเรื่องไม่ได้ ท่านพูด ไม่กี่คำ ประโยคสั้น ๆ เข้าใจง่ายเห็นชัด นี่ท่านเป็นพระอรหันต์เสียเยอะแยะ


    องค์หนึ่งแล้ว ต่อไปองค์ที่ 2 องค์ที่ 2 นี้ไม่มีอะไรหรอก พอไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าทำปืน องค์นี้เอาไม้มาถากทำเป็นรูปปืนไว้เยอะแยะ พิง ๆ ไว้ในถ้ำ ไปถึงก็แต่งตัวแบบฆราวาสนี่แหละ วันนี้ ไม่เล่ามาก หลวงพ่อปานถามว่าทำปืนทำไม บอกว่าต่อไปประเทศชาติเกิดสงครามก็เอาไม้นี่แหละแบกไปที่ตักศิลา ไปชุบ ๆ เข้าแล้วมันจะเป็นเหล็กแล้วเอามายิงข้าศึก ท่านถามว่าไม่บาปรึ บอกว่าไม่เกี่ยว บาป ไม่บาปไม่เกี่ยว พระชาวบ้านไม่เกี่ยวนี่ มันเรื่องของพระป่า

    หลวงพ่อปานบอกว่า พระป่านี่ขี้โกหก มันจะมีแบบมีแผนอะไร เอาไม้มาถากเป็นปืนแล้วมาชุบเป็นเหล็ก แล้วเอายิงชาวบ้านได้ แบบแผนประเภทนี้มัน ไม่มี มันหาตัวอย่างไม่ได้ หาแบบฉบับที่ไหนไม่ได้ โกหกพกลม พระในป่าหาสัจจะความจริงอะไรไม่ได้ เป็นอันว่าทะเลาะกัน หลวงพ่อปานก็เลยบอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มาแสดงกันให้ปรากฏ เอากันให้เห็นชัด เอากันให้ชัดเถอะ จะว่าปืนกระบอกไหนให้เป็นเหล็ก ไหนทำให้ดูซิ แล้วมันจะยิงได้อย่างไร ไอ้กระบอกก็ไม่มีรู ท่านเลยบอก เอา มาไปด้วยกัน ไปเมืองตักศิลา ไอ้เมืองตักศิลานี่มันอยู่ไหนฉันก็ไม่รู้ มาทุกคนไปด้วยกัน ไปเมืองตักศิลา ที่นั่นมีบ่อน้ำทิพย์สำหรับชุบเป็นเหล็ก ได้เป็นเหล็กกล้า ถ้าต้องการเป็นเหล็กกล้าไปชุบที่นั่นชุบได้ถ้าเหล็กไม่ดีนะ ท่านก็แบบปืน ท่านแบกไปกระบอกหนึ่งไม่ยักเอาไปหมด

    หลวงพ่อปานบอกทำไมไม่เอาไปให้หมด ท่านบอกว่าไม่ได้ เวลาเกิดสงครามเอาไว้ใช้ ท่านบอกว่ามาเดินตามข้ามาไปเมืองตักศิลา แล้วท่านก็ออกเดินเราก็เดินตาม นึกว่ามันจะไปยังไงตักศิลา นี่มันเชียงตุงแล้วท่านจะไปตักศิลา เดินประเดี๋ยวเดียวไม่ถึง 15 นาที ถึงแล้ว และเห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่ง ก็เอาปืนชุบลงไปมันกลายเป็นเหล็กออกมายิงไป ปุง ปุง เอ๊ะ ก็แปลกเหมือนกัน แต่ลูกเลิกไม่มีหรอก ถามว่าไหนเมืองตักศิลา

    ท่านบอกว่า นี่แหละ มองไปมองมาเอ๊ะ มันแดนเมืองกำแพงเพชร ท่านบอกว่านี่แหละเมืองตักศิลาสมัยพระพุทธเจ้า มันคือกำแพงเพชรนี่แหละ เอาเข้านั้น หรือความจริงประเทศไทยก็มีความเกี่ยวข้องกับสมัยพระพุทธเจ้าเหมือนกัน สมัยโบราณโน้นนะที่เขาไปเรียนศิลปศาสตร์เมืองตักศิลา ท่านบอกว่าเมืองกำแพงเพชรนี่แหละ เป็นอันว่าสิ่งที่ท่านทำก็เป็นเรื่องของอภิญญา ทำให้ดูไม่ใช่จะไปรบกับใคร แล้วเวลาพักอยู่กับท่าน ๆ ก็สอนกรรมฐานให้ดี

    ต่อมาพบกับอีกองค์ ๆ นี้หลวงพ่อปานเรียก พระทั้งขี้ค้างคาว ท่านนั่งกรรมฐาน นั่งสมาธิจนกระทั่งขี้ค้างคาวท่วมขึ้นมาถึงเอว ขี้ค้างคาวมันท่วมเต็มถ้ำตลอดถ้ำ ไม่ใช่ท่วมนิดท่วมหน่อย มันท่วมตลอดถ้ำขึ้นมาถึงเอวเลย มันท่วมเอวขึ้นมาเลย แต่ว่าพระองค์นั้นท่านไม่ลืมตาเลย เนื้อเหลืองอ้วน อยู่ในถ้ำ ต้องคลานเข้าไป เหม็นขี้ค้างคาวเกือบแย่ เข้าไปหลวงพ่อปานไปสะกิด ๆ เรียกท่าน ๆ ลืมตาขึ้นมาดูทีแล้วก็หลับตาไปอีก

    เป็นอันว่าไม่ยอมพูดด้วยเลย นี่เป็นอันว่าองค์นี้ใช้ไม่ได้เลย อาศัยไม่ได้ ได้แต่หลับตาอย่างเดียว หลวงพ่อปานบอกมาหลายหนแล้ว นี่ตั้งแต่ฉันธุดงค์มาตั้งแต่หนุ่ม ๆ มาเห็นทีไรก็นั่งหลับตาแบบนี้ ถามหลวงพ่อปานว่าแบบนี้ไม่ตายหรือครับ ท่านบอกว่า ท่านอยู่ด้วยอำนาจธรรมปีติ เรื่องของพระอริยเจ้านี่เป็นเรื่องลำบากนะลูกนะ ว่าอย่างนั้น เรื่องของพระอริยเจ้าเป็นสิ่งเกินวิสัยที่เราจะเข้าใจได้ พวกเธอจงอย่าเอาจิตใจเข้าไปวัดกับพระอริยเจ้า สิ่งใดที่ยังสงสัยยังไม่รู้อย่าคัดค้านเข้านะมันจะเป็นบาปเพราะเราเองไม่ใช่สัพพัญญูวิสัย มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นสัพพญูวิสัย สามารถจะรู้อะไรได้หมด พวกเธอจงจำไว้นะ

    หลังจากนั้นก็พากันกลับวัด แล้วบรรดากองทัพลิงทั้งหลาย 30 ตัวก็มาแยกกันที่สระบุรี กลับวัดคราวนั้นก็ปรากฏเข้ามาถึงวัดวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 พอดี นับเอาก็แล้วกันออกจากวัดตั้งแต่แรมเดือนอ้าย กลับถึงวัดขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 มันจะเป็นกี่เดือนกี่วันก็ช่าง หัวไม่ได้โกนเป็นอันว่าผมไม่โกน มันยาวสวยเหลือเกิน

    พอเข้าวัดเท่านั้น หมาที่เคยให้ข้าวกินมันจำไม่ได้ มันวิ่งไล่โฮกฮากทีเดียว แต่เจ้าหมาจำกลิ่นเก่ง พอใกล้มันได้กลิ่นมันกระดิกหางเข้าหาหลวงพ่อปาน ท่านก็เลยบอกว่า เราไปธุดงค์กันแค่หมาแปลกใช้ได้นะ ไอ้การธุดงค์นี่ต้องไปกันให้หมาแปลก ถ้าหมายังไม่แปลกก็ไม่ควรจะกลับวัด
     
  10. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕๐.หลวงพ่อปานเมื่อเด็ก

    มาฟังกันตอนที่ท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านเป็นผู้ใหญ่ เป็นพระทรงอภิญญา สามารถจะรู้อะไรก็รู้ดี จะทำอะไรทำได้ นี่เรามาฟังกันตอนปลายเหตุนะ ฉันก็เป็นอย่างนั้น เวลาฉันอ่านหนังสือก็เหมือนกันอ่านตอนจบก่อนว่ามันจบตอนไหนแล้วถึงมาอ่านตอนต้น เวลาฉันเล่าเรื่องหลวงพ่อปาน ฉันก็มาเล่าเรื่องตอนปลายเสียก่อน

    ตอนที่ท่านธุดงค์นั้นมันตอนปลายเหตุใกล้จะตาย แต่ตอนปลายยังไม่ได้เล่าให้ฟัง ก็บุญตัวด้วย ตายยังไม่เล่านะ ไปเล่าเอาตอนหลัง ทีนี้มาเล่ากันตอนต้นใหม่เถอะ วันหนึ่งฉันจำได้ว่าเป็นวันโกนของอะไรนะ มันเป็นวันแรม 15 ค่ำ วันสารท เอ๊ะ 14 ค่ำ เดือน 10 วันโกนนี่ หลวงพ่อปานถือว่าเป็น วันประชุม คือว่าท่านมีหมายกำหนดของท่านไว้ ประกาศพระในคราวเดียวว่า ให้ถือวันโกนทุกวันโกนเป็นวันประชุมใหญ่ พระอะไรจะขาดไม่ได้ ถ้าป่วยก็ต้องแจ้งมา ไม่ว่าพระเล็กพระใหญ่พระกี่พรรษาก็ตาม ถ้าป่วยต้องมีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรมา ผมขอลาการประชุม แล้วก็สั่งกันคราวเดียว

    วันโกนทุกวันโกนเป็นวันประชุม แต่พวกเราไม่ขาดเพราะขาดไม่ได้ ถ้าหากว่าขาดก็ไม่ได้ฟังของดีของถูกใจ เวลาท่านประชุมก็เริ่มกัน 2 ทุ่ม ไปเลิกกัน 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม บางทีมีเรื่องคุยกันมากก็ 6 ทุ่ม แต่ว่าถ้าหากว่าท่านพูดเรื่องสำคัญหมดท่านก็อนุญาตว่า ต่อแต่นี้ไปใครจะคุยกับฉันก็คุย ใครไม่อยากคุยอยากจะนอนมีธุระที่ไหนก็ไป ถ้าอยากจะคุยกับฉันก็อยู่คุยกับฉัน นี่เป็นกรณีพิเศษ

    พอท่านสั่งงาน เสร็จประชุมแล้ว ท่านก็แนะนำ สั่งสอน พร่ำสอนเสร็จ แต่คำสอนของท่านก็ไม่ผิดละ เรื่องศีลธรรมและวินัยไม่ผิด รู้สึกว่ามีอาการเครียดอยู่มาก การปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา และในสำนักของท่าน พระที่ไม่เอาถ่านก็เยอะ อย่าเข้าใจว่าดีทุกองค์นะ พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี่ แม้แต่ในสมัยของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน วินัยปรากฎว่ามีตั้งหลายร้อยข้อก็เพราะความชั่วที่พระทำขึ้น

    ถ้ายังไม่มีใครทำความชั่วเพียงใด พระพุทธเจ้าก็ยังไม่ประกาศพระวินัย ไม่ประกาศเป็นกฎบังคับ แต่กฎบังคับแต่ละข้อ ๆ ที่มันปรากฎตั้ง 200 กว่าข้อ นี่แสดงว่าหลวงพี่สมัยนั้นแกก็ทำความเลวตั้ง 200 กว่าข้อเหมือนกัน นี่แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้ายังเป็นอย่างนั้น แล้วสมัยของหลวงพ่อปานอย่าไปคิดนะว่าพระจะดีทุกองค์ พระประเภทที่ต่ำกว่าดีก็มาก แต่ว่าท่านแบ่งประเภทของพระไว้ ท่านแบ่งไว้ว่าพระองค์ไหนขี้เกียจเจริญพระกรรมฐาน พระพวกนี้อยู่กองโยธาธิการทำงานก่อสร้าง องค์ไหนขยันเรียนหนังสือ ขยันเจริญกรรมฐาน พระประเภทนี้ไม่เรียกทำงาน ใครจะสมัครไปทำก็ได้

    ถ้ามีงานเกี่ยวกับหนังสือท่านก็เรียกใช้ นี่เป็นปฏิปทาของท่าน ถ้าพระอะไรก็ตาม เป็นพระประเภทไม่เอาถ่าน อยู่ไม่ได้นาน ขี้เกียจ นอนกินอืด แล้วก็เป็นนักเบ่งแต่งตัวสวย ๆ อย่างนี้ไม่มีหวัง อยู่สำนักนั้นไม่ได้นาน ถูกขับ ไม่ใช่ว่าท่านจะมายิ้มกับคนดีคนชั่วทุกอย่างนั้น เป็นอันว่าทราบกันแล้วนะ ว่าพระของท่านไม่ใช่ว่าดีเสมอไป ที่เลวก็มี ที่ท่านด่าพระของท่าน

    ทีนี้พระของหลวงพ่อปานเป็นพระประเภทนั้น ท่านด่าของท่านด่าดี เวลาท่านจะรู้พระดีพระชั่ว ท่านย่องไปฟังตามหลังกุฏิ ใต้ถุนกุฏิ บางทีท่านก็นั่งที่หลังกุฏิของท่านก็มีเทวดาบ้าง มีพระบ้างบอกท่าน คำว่าพระ ไม่ใช่พระคน พระผี ใครทำอะไรไม่ดีตรงไหนถูกฟ้อง มีนางตะเคียนอยู่ 2 ต้น คอยฟ้องท่านเสมอ

    อันนี้ ฉันก็เคยถูกนางตะเคียนฟ้องเหมือนกัน ถ้าทำไม่ดีไม่ได้ คนนี้แกเคร่งมาก ถ้าใครไม่ดีไม่ช้าถูกขับ วิธีด่าพระ ท่านใช้ความเป็นคนแก่ของท่านเป็นเครื่องมือด่าพระ หมายความว่าท่านไปที่วัดนู้น วัดทางเหนือก็ตาม วัดทางใต้ก็ตาม ท่านไปเห็นพระร้องเพลง พระทำไม่ดี แต่ว่าตาของท่านไม่ดี ท่านอ่านไม่ออกว่าวัดอะไร นี่เรียกว่าท่านเอาความแก่ของท่านมาสู้ เอาความแก่เข้ามาชนเอา แล้วท่านก็ใช้วิธีด่า จะเล่าให้ฟังวิธีด่าพระ
     
  11. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕๑.ปราบพระเลว

    วันหนึ่ง ท่านไปพบพระของท่านไปนอนร้องเพลงกันที่ศาลาปรก ศาลาปรกน่ะรู้จักไหม รู้จักศัพท์ภาษาเก่าภาษาวัดไหม คือศาลาที่เขาเอาไว้ผีน่ะ เขาปลูกไว้ในป่าช้า สมัยก่อนยังไม่มีกุดัง ใครมีใครตายก็เอามาไว้ป่าช้าที่ศาลา วาง ๆ ไว้กับศาลา ใครเดินมาก็เห็นหีบศพเป็นแถว เขาเรียกศาลาปรก มันแปลว่าอะไรไม่รู้ แล้วก็ที่ศาลานี้ไม่มีศพเอาไว้ พระ 2 องค์ไปนอนร้องเพลงกันอยู่ที่นั่น

    บังเอิญท่านเดินเข้าไปในป่าช้าไปเห็นเข้าได้ยินเข้า เมื่อท่านได้ยินเข้าแล้วท่านก็จำหน้าพระไว้ พอเวลาวันโกน ท่านเข้าประชุม เวลาท่านประชุมท่านก็ชม คำว่า สัมโมทนียกถา นี่หมายความว่า ท่านพูดจาไพเราะสรรเสริญความดีของบรรดาพระที่สร้างความดี พระองค์ไหนทำความดีท่านสรรเสริญ ๆ เสียจนเรียกว่าพอใจ แล้วก็กล่าวถึงอานิสงส์ความดีต่าง ๆ อย่างนี้ งานก่อสร้างก็ดี สมถวิปัสสนาก็ตาม หรือว่าสร้างความดีอะไรก็ตาม มีอานิสงส์อย่างไรท่านพูดให้ฟังหมด

    พูดให้ฟังแล้วท่านบอกว่าเวลาพวกเธอสร้างความดี ฉันติดตามความดีของเธอ เวลาฉันนั่งพระกรรมฐานฉันก็ขึ้นไปบนสวรรค์ ไปบนพรหมโลกบ้าง หรือว่าไปนิพพานบ้าง และไปดูว่าคุณความดีของใครจะปรากฎ แล้วท่านก็ชี้แจงว่าผลความดีของคนนี้ปรากฎอยู่ที่นั่น ผลความดีของคนนั้นปรากฎอยู่ที่โน่น เรียกว่าท่านไปพบดีมาแล้ว ท่านมาเล่าให้ฟัง

    ทำให้พระที่ทำความดีปลื้มใจอยากสร้างความดีต่อไป เรียกว่าไม่ยับยั้งในการสร้างความดี คือพยายามดิ้นรนหาความดีอยู่เสมอ ทีนี้สำหรับพระที่สร้างความชั่ว ท่านก็บอกว่าวัดของท่านไม่มีพระชั่ว ไม่มีหรอก ฉันดีใจเหลือเกินที่ลูกของฉันเป็น ลูกดีทุกคน ลูกของฉันไม่มีเลว ฉันไม่มีพระเลวในสำนักของฉัน แต่ถ้าบังเอิญในสำนักของฉันมีคนเลว มีพระเลว มีลูกเลว ฉันจะเสียใจมาก พระเลว ๆ มี ฉันจะยกตัวอย่างให้ฟัง ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านก็พูดให้ฟัง ยกตัวอย่างพระเลวว่า

    เมื่อ 2-3 วันนี่นะ ฉันนั่งเรือไป ท่านมีเรือนั่งสำหรับคนแจว ท่านไม่ชอบนั่งเรือรถยนต์ บอกว่ามันกระเทือนแล้วก็เสียงดัง ท่านบอกว่าให้คนแจวไปทางใต้ ไปได้ยินเสียงคนร้องเพลง คนร้องเพลงนี่เขาร้องเพลงไทยเป็น 2 เสียง หมายความว่าคน 2 คน ก็ถามคนแจวเรือเขาว่านั่นใครร้องเพลง คนแจวเรือก็บอกว่าพระขอรับ ถามว่าร้องที่ไหน คนแจวเรือก็บอกว่าร้องที่ศาลาปรก ก็เลยถามวัด

    ท่านว่าอย่างนั้น คำว่าศาลาปรกมันก็บอกยี่ห้อว่าเป็นวัด แต่ฉันก็มองดูป้ายวัด ตาฉันมันไม่ดี อ่านป้ายวัดไม่ออกไม่ทราบว่าเป็นวัดอะไร นี่วิธีด่าพระของท่าน แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า ลูกของฉันไม่มีใครเลวอย่างนั้น ฉันได้ยินเสียงร้องเพลงเขาบอกว่าเป็นเสียงพระ ฉันคิดว่าถ้าฉันได้ยินเสียงหมาหอนจะชอบใจมากกว่าเสียงพระร้องเพลง เสียงพระร้องเพลงนี่มันไพเราะสู้เสียงหมาหอนไม่ได้ เพราะว่าพระองค์นั้นมีความเลว ๆ ยิ่งกว่าหมา หมา ไม่มีสภาพหลอกลวงใคร คือว่าหมามันเป็นหมา มันก็ประกาศความเป็นหมาของมันตลอดกาลตลอดสมัย มันไม่ให้ใครมายกมือไหว้มัน

    แต่พระที่ไปร้องเพลงนี่มีสภาพเลวกว่าหมามาก เพราะว่าพระไปร้องเพลง การร้องเพลงนี่เป็นภาวะของฆราวาสเขา พระถ้าทำตนอย่างฆราวาสเรียกว่าเลวกว่าฆราวาสเขา เพราะพระเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่เขาจะต้องไหว้เขาจะต้องบูชา เวลาเขาให้ของขอทาน ๆ ไหว้เขา แต่นี่เวลาเขาให้ของพระ คนให้ไหว้พระ พระเป็นบุคคลที่ชาวบ้านควรบูชา ทำตนแบบนั้นเป็นคนเลวมาก ฉันได้ยินพระร้องเพลงฉันสลดใจมาก รู้สึกดีใจว่าพระของฉันไม่มีอย่างนั้น ถ้าหากว่าพระของฉันมีอย่างนั้น ฉันคิดว่าชาวบ้านเขาให้ข้าวมานี่ฉันไม่ให้กิน ฉันให้หมากินดีกว่า เพราะพระแบบนี้เลวกว่าหมามาก

    นี่อย่างนี้เวลาตายตกอบายภูมิเป็นสัตว์นรก พระหลอกลวงชาวบ้าน ตัวมีความเลวยิ่งกว่าหมาแล้วทำตนเป็นพระให้ ชาวบ้านเขาไหว้ นี่มันเลวยิ่งกว่าหมามาก นี่ดีนะที่ไม่ได้อยู่ในสำนักของฉัน ในบ้านของฉันไม่มี ในวัดของฉันไม่มี ถ้าในวัดของฉันมีฉันจะเสียใจไม่น้อย ฉันจะสลดใจมาก นี่ท่านว่าต่อไปว่า พระประเภทนี้เวลาตายมันตกอเวจีนรกทั้งหลายหมด ไม่เหลือหรอก เพราะมันหลอกลวงชาวบ้านเขา เวลาจะกินข้าวก็ให้เขาประเคนและเขาไหว้ เวลาเป็นพระเข้าร่วมสังฆกรรม ๆ นั้นเสียหมด เวลาเขาจะบวช พระจะบวชเจ้าจะลงอุโบสถทำปาติโมกข์สังฆกรรมนั้น ไม่มีเหลือเลยเสียหมด

    เมื่อสังฆกรรมเสียแล้วตัวจะไปอยู่ไหนก็ไปอบายภูมิ คนประเภทนี้บวชแล้วลงนรก นี่ฉันดีใจนะที่ฉันไม่มีพระเลวอย่างนั้น มีลูกเลวอย่างนั้นฉันเสียใจมาก เอาล่ะ พวกเธอทั้งหลาย มีความดีจงรักษาความดีของเธอเหมือนเกลือรักษาความเค็ม ความดีของเธอแม้แต่นิดหน่อย การสงเคราะห์สัตว์ วัดไหนหมาผอมอย่าไปอยู่นะ วัดไหนตีฆ้องกลองระฆังถ้าสุนัข ไม่หอนอย่าไปอยู่ แสดงว่าขาดความเมตตา หมาก็ดีแมวก็ดีมันมาอยู่ในวัดให้ทานมันนะ เพราะเอามันเป็นเกราะป้องกันภัย หมายความว่าเป็นด่านป้องกันนรกเป็นด่านแรก เอาล่ะ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย เอาไว้วันหน้าฟังกันใหม่ สำหรับวันนี้ก็ยุติกันเท่านี้นะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลแก่ลูกหลานทุกคน


    ลูกหลานทุกคน วันนี้ฉันมีโอกาสมาพบกับลูกหลานทุกคนตายเคย วันนี้ตรงกับวันที่ 18 มกราคม 2515 หากคนทั้งหลายที่เคยฟังฉันเทศน์ในสมัยก่อน สมัยหนุ่ม ๆ ฟังลีลาการเทศน์ก็ดี ฟังลีลาการพูดก็ดี ถ้าเห็นว่ามันแปลกไปล่ะก็ โปรดทราบด้วยว่า เวลานี้สุ้มเสียงมันไม่ดีเหมือนก่อน และลีลาการพูดก็เหมือนกัน เพราะว่าลีลาสมัยนั้นดี การพูดคนชอบฟัง ทั้งนี้ก็เพราะอะไร เพราะว่าสมัยนั้นกิเลสมันท่วมหัวฉัน ฉันชอบประจบชาวบ้านชาวเมือง อะไรก็ตามเอาแต่เรื่องโลก เขาว่าดี ๆ เอามาใช้ ใช้ตามแบบฉบับของโลก ก็เพื่อจะให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาชมว่าฉันเป็นคนดี เวลานี้ฉันเห็นแล้วว่าความดีประเภทนี้เป็นเชื้อสายของนรก การประจบประแจงชาวบ้าน ยกย่องสรรเสริญชาวบ้านเป็นเหตุให้ผิดธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    การทำอย่างนี้เป็นเหยื่อของนรก เพราะอะไร เพราะลุงพุฒิแกนั่งยิ้มฟันขาว มองหน้าแกแล้วแกนั่งยิ้มฟันขาว ถามแกบอกว่าแกจดไว้บ้างหรือเปล่า แกตอบว่าตอนนั้นจด อยากทำไม่ดีก็ต้องจด ตอนนี้จดไม่เลือกหน้าเหมือนกัน เรียกว่าไม่กินสินบาทคาดสินบนใครไม่ไหว ตาพุฒินี่ไม่ยอมเป็นพวกกันจริง ๆ เอ้า แกหันมาต่อว่า แกบอกว่างานก็งานสิ พวกก็พวกสิ ไอ้เรื่องความดีความชั่วมันต้องอยู่ในกฎของกรรม มันเรื่องของงาน แต่เรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว แกว่าอย่างนั้น

    เอ วันนี้ฉันเพ้อไปกระมังนี่ น่ากลัวฉันจะเพ้อไปเสียกระมัง นี่ฉันมาเล่าเรื่องอะไรให้ลูกหลานฟัง กลับไปคุยให้ลุงพุฒิลุงเพิดที่ไหนนี่ มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะลูกหลานนะ ถ้าอยากรู้ว่าลุงพุฒิแกมีหรือไม่มี ลูกหลานที่รักทำอย่างนี้ซินะ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ พยายามบำเพ็ญทานบารมีให้ครบถ้วน แล้วก็รักษาสมาธิจิต ระงับนิวรณ์ 5 เสีย ทรงพรหมวิหาร 4 และพิจารณาตัวเราให้เป็นไปตามความเป็นจริง เห็นว่าร่างกายมันไม่เป็นแก่นสารไม่เป็นสาระ กระทั่งตัดอุปาทานได้เป็นบางส่วน เท่านี้แหละ

    ลูกหลานทั้งหลายจะเห็นว่าลุงพุฒิแกมีจริงหรือไม่จริง ถ้าได้ทิพยจักษุญาณละจะได้เห็นตัวแก แล้วจะได้คุยกับแก เรื่องที่ฉันพูดให้ฟังนี้จะจริงหรือไม่จริงไปสอบสวนกันตอนนั้นนะ ที่บอกให้ทำอย่างนี้ไม่ใช่เกินวิสัยของคนที่จะทำได้ คนในโลกเกิดมามีสิทธิจะทำได้เหมือนกันทุกคน เออ เมื่อวานนี้ฉันพูดถึงคนให้สตางค์ฉัน แต่ความจริงคนให้สตางค์ฉันมีด้วยกันหลายคนนะ มีมากแต่ฉันจำชื่อไม่ค่อยจะได้หรอก บางทีคนนั้นก็ฝากคนนั้นไว้ คนนี้ก็ฝากคนนี้ไว้ วานนี้ไม่ได้พูดชื่อคนประจำที่ให้ประจำที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริมอีก 3 คน คนนี้เป็นหญิง ถ้ารวมผู้ชายด้วยเป็น 6 คน คือว่า คุณนิดกับคุณปวิณนะ คุณกะละมัง คุณนิดกับคุณปวิณ กะละมังนี้ก็ให้เป็นประจำเหมือนกัน และคุณอัญชัญกับคุณอันเชิญ กับสามีคุณบัณเย็นและนาวาอากาศโทอะไรนี่ หมอน่ะ จำชื่อไม่ได้แล้ว นึกไม่ออกแล้ว นึกกันเองนะ นี่เขาให้สตางค์กินกัน

    เมื่อวานนี้ฉันพูดเรื่องนี้แล้ว ตอนกลางคืนฉันก็นอนสบายใจ ฉันสบายใจอะไรรู้ไหม เรื่องที่ฉันทำอีลุ่ยฉุยแฉกน่ะ ใช้เงินของเขาผิดประเภท ฉันมีความหวังอย่างคนแก่ธรรมดา เพราะว่าตามธรรมดาคนแก่เป็นนักสะสม ไอ้โน่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ของกู แม้แต่เศษกระดาษก็เก็บ เพราะว่าคนแก่เห็นความหมาย เห็นความหวังว่ามันเป็นประโยชน์ อย่างน้อยที่สุดเศษกระดาษเราใช้เช็ดปากเช็ดมือหรือเป็นอะไรก็ได้ นี่เป็นเรื่องของคนแก่ คนแก่น่ะยุ่งอย่างนี้ แต่แก่อย่างฉันไม่ใช่ยุ่งอย่างนั้น เก็บเหมือนกันสตางค์ที่ลูกหลานให้มาเพื่อกินเพื่อใช้ซื้อข้าวซื้ออาหารซื้อยารักษาโรค ฉันคิดว่าฉันใกล้จะตาย กินมากนักจะเสียเปล่า แต่กินพอมีพอควร บางทีเหลือ แต่ไม่ใช่เหลือไว้กิน

    ทั้งนี้เพราะเป็นตามธรรมดาของคนแก่ที่ห่วงลูกห่วงหลาน คนแก่ทุกคนมีความหวังมาก นี่ห่วงว่าลูกหลานของฉันจะเป็นคนจน ไอ้ชาตินี้เขาจะจนหรือรวยไม่สำคัญ เพราะชีวิตนี้เราได้รับผลกันแล้ว วันข้างหน้าซิ คนแก่ที่สะสมทรัพย์สมบัติก็สะสมไว้ให้ลูกหลานในวันหน้า เวลาตายไปแล้วทรัพย์สินส่วนนี้ที่ดินแปลงนี้ หรือว่าบ้านหลังนี้ หรือว่าเงินจำนวนนี้ จะมีไว้กับหลานคนนั้น คนนี้ นี่เป็นภาวะของคนแก่ แต่ว่าคนแก่อย่างฉันไม่เป็นอย่างนั้น อยากจะให้ลูกหลานของฉันร่ำรวยในอริยทรัพย์

    ชาตินี้มีแค่นี้แล้วชาติหน้าอยากให้รวยกว่านี้ อยากให้มีความสุขกว่านี้ ให้มีทรัพย์สินมาก ๆ ให้มีบ้านสวย ๆ มีความเป็นอยู่อย่างเป็นสุข มีหูมีตาดี มีจมูกดี ทีนี้ฉันก็ทำหมด เอาเงินของลูกหลานไปสะสมสร้างของพวกนี้เข้าไว้ให้ลูกให้หลานของฉัน ส่วนใดที่เป็นทานบารมี อาหารส่วนการบริโภค ฉันก็จัดสงเคราะห์แก่คนและสัตว์ตามสมควร นอกจากนั้นก็เอาไปสร้างบ้านสร้างเรือนเข้าไว้ สร้างเครื่องหูทิพย์ สร้างเครื่องตาทิพย์เข้าไว้ บางทีลูกหลานทั้งหลายเห็นฉันเข้าจะว่าหลวงตาแก่นี่ไม่เจียมตัว หากินเองก็ไม่ได้ต้องอาศัยลูกหลานกิน ยังสร้างโน่นสร้างนี่ ซื้อโน่นซื้อนี่ ไม่รู้จักเจียมตัวสักที แต่ลูกหลานเอ๋ย ฉันน่ะเป็นคนรวยแล้วนะ เวลานี้ฉันรวยบริบูรณ์สมบูรณ์ครบทุกอย่างแล้วเฉพาะตัวฉัน แต่ว่าลูกหลานเท่านั้นแหละยังไม่ครบ ไอ้ที่ฉันสะสมไว้นี่เพื่อให้ลูกหลานเป็นคนรวยบ้าง ความรวยของคนเรามีอยู่ 3 ขั้น ที่ฉันต้องการคือ

    1.ตายไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ มีทุกอย่างเป็นทิพย์ ที่อยู่ก็เป็นทิพย์ ร่างกายก็เป็นทิพย์ หูตาเป็นทิพย์ อวัยวะทุกส่วนเป็นทิพย์ ถ้าหมดจากสวรรค์ลงมาเกิดในมนุษย์โลกก็จะมีทรัพย์สินสมบูรณ์ หูตาดี นี่ความต้องการของฉัน การสร้างวิหารทานจะได้มีที่อยู่ดี การให้ทานแก่สัตว์และบุคคล ลูกหลานก็ได้เป็นคนมีทรัพย์สินบริบูรณ์ ทีนี้การสร้างเครื่องให้ได้รับความสะดวกจากเสียงจากแสง ไฟฟ้าหรือว่าเครื่องติดต่อ ไฟฟ้าเป็นเรื่องของหูตาดี และเครื่องติดต่อเข้าใจง่ายเป็นเรื่องของหูดี นี่ฉันทำไว้หมดเพื่อลูกเพื่อหลาน

    ถ้าเห็นเข้าก็โมทนากัน รู้เข้าก็โมทนากัน จะได้บุญเพราะอำนาจปัตตานุโมทนามัย คือแสดงความยินดีร่วม การแสดงความยินดีร่วมเป็นบุญเป็นกุศล เป็นกำไรที่ได้อย่างชนิดไม่ต้องลงทุน แต่ความจริงลูกหลานก็ลงทุนมาแล้ว ซึ่งคิดว่าเงินจำนวนนี้ให้หลวงตาเฒ่าไปซื้อยารักษาโรค หรือว่าซื้ออาหารเป็นเครื่องบริโภค แต่หลวงตาเฒ่าเจ้าเรื่องแกก็ไปสร้างอะไรต่ออะไรเสีย ก็เอาไว้บ้าง ไม่ใช่เอาไปหมดหรอก เรื่องยานี่มันต้องกิน มันเชื่อเขาได้นี่ บางทีหมดแล้วก็ไปเอาเขามาก่อน

    ก็รู้อยู่นี่ว่าลูกหลานใจดี พบหน้ากันเมื่อไรก็ให้กันเมื่อนั้น ก็เลยมาตั้งท่าเป็นหนี้เอาไว้ก่อน สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความจำเป็นน้อย ข้าวปลาอาหารฉันเป็นคนกินไม่ยาก ถ้าโรคกระเพาะฉันไม่รบกวน ไม่ว่าอะไรฉันกินได้ทุกอย่าง กินได้อย่างคนธรรมดา โรคภัยไข้เจ็บก็เหมือนกัน ฉันถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ๆ มันไม่แปลกสำหรับฉัน จึงมีความวิตกน้อย เรื่องวิตกมีอยู่อย่างเดียว คือ กลัวลูกหลานจะเป็นคนจน

    2.ทีนี้ความรวยอันดับ 2 ขั้นพรหมโลก นี่เขามีความรวยมีความเป็นสุขมาก ฉันก็หาทางไว้แล้ว

    3.รวยอันดับที่ 3 รวยเต็มที่ ที่อย่างฉันคุยว่าฉันเป็นมหาเศรษฐีใหญ่แล้ว เวลานี้ฉันเป็นมหาเศรษฐี รวยอันดับนี้ก็คือรวยพระนิพพาน สิ่งที่เกิดขึ้นตามความประสงค์ หมายความว่าไม่ต้องคิด ไม่ต้องเนรมิต ไม่ต้องคิดว่าสิ่งนั้นควรมี ไม่ต้องคิดว่าสิ่งนี้ควรมี ถ้าถึงความจำเป็นแล้วมันมีของมันเอง นี่เป็นมหาสมบัติใหญ่ เป็นภาวะแห่งมหาเศรษฐี นี่ฉันเอาเงินของลูกหลานทุกคนไปใช้อีลุ่ยฉุยแฉก ฉันมีความประสงค์อย่างนี้นะ

    ฉะนั้น เวลาฉันตายฉันจะเหลือหนี้ไว้ ไม่ใช่เหลือเงิน เวลานี้ฉันเป็นคนรวยแล้ว ฉันมีเงินอยู่เท่าไร มีอยู่ 86 บาท ฉันฝากธนาคารไว้ 3 ปี นี่ใครว่าฉันจน มีเงินตั้งชั่งกว่า ฉันฝากธนาคาร ออมสิน ฝากประเภทประจำเสียด้วย ความจริงเงินจำนวนนี้ ศิริรัตน์ โรจนวิภาต และก็นนทา อนันตวงษ์ พร้อมด้วยฉลวย วาสนา พิมพา และคณะของเขา เขาจัดทำบุญวันเกิดของฉันปีแรกได้ไว้ 8,000 บาท แล้วฉันก็ไปดึงเอาของเขามาสร้างเสียหมด เขาหาไว้ให้เพื่อจะได้ใช้ค่าอาหารและยารักษาโรค

    แต่พอเขาเผลอฉันก็ไปเบิกมา เบิกมามันก็ไม่หมด เอาไว้ 86 บาท เมื่อวานซืนนี้เจ้าหน้าที่เขาบอกว่ามีดอกเบี้ยแล้ว มีดอกเบี้ยงอกขึ้นมาหน่อย นี่ฉันไม่ใช่คนจนนะ คนขนาดมีเงินฝากธนาคารตั้งชั่งกว่านี้และก็มีดอกเบี้ยด้วย มีดอกมีผลได้ จนที่ไหน ไม่จน และก็พอดีคุณอะไร คุณติ๋ว คุณวัฒนีน่ะ ความจริงเมื่อคราวที่แล้วกลับไปกรุงเทพฯ ได้สตางค์มาเยอะ คิดไม่ถึง เวลาไปไม่ได้คิดจะไปทวงใครไปขอใครหรอกนะ คิดว่าถ้าเขาเมตตาเขาก็ให้ เขาไม่เมตตาก็แล้วไป ไม่รบกวนใคร ให้มาแล้วมานับสตางค์ดูแล้วได้มาตั้ง 8,000 กว่า ของ คุณวัฒนี นวพันธุ์ คุณติ๋ว แกให้มาเป็นประจำเดือน ๆ ละ 500 บาท และแกใส่ซองเขียนมาด้วยว่า

    เดือนนั้นเดือนนี้เดือนนี้เดือนนั้น 12 เดือน ก็เป็น 6,000 บาท แล้วของคณะบ้านเจ้ากรมหมายความเอาเป็น คณะนี้ใครบ้างต่อใครบ้างก็ไม่ทราบ คณะของฉลวยนั่นอีกคณะหนึ่งรวมมาอีกเป็น 2,000 กว่า ๆ นิดหนึ่ง รวมเงินทั้งหมดแล้วก็ได้ 8,000 กว่า ๆ ฉันมาเปิดซองดูแล้ว แหม ฉันนี้รวยมหาศาล รวยมาก รวยอย่างคาดไม่ถึง ในชีวิตของฉันไม่เคยมีเงินขนาดนี้ ฉันเทศน์ได้เงินเป็นปี๊บ แต่ว่าฉันก็เป็นหนี้เขาเลยปี๊บ หนี้ ตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ พอฉันเห็นรวยเงิน คุณติ๋วแกเขียนไว้อย่างนั้น ฉันกลัวแกจะดุเอา ฉันก็เลยเอาของแกไปฝากคลังออมสินไว้ คิดว่าถึงเดือนฉันจะเบิกมาใช้ 500 บาท นี่เป็นทุนเป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่งที่ได้แน่กันละ มีใช้แน่กันล่ะ มันจะพอไม่พอไม่สำคัญ ค่ายานี่สำคัญ แต่ว่าส่วนหนึ่งนอกจากนั้นฉันเอาไปทำไม

    เวลานี้ฉันกำลังจะสร้างกุฏิตึกนี่ สร้างส้วม สร้างศาลาดิน ฉันก็ไม่มีสตางค์ค่าแรงงาน ฉันก็มาตุนไม้เป็นค่าแรง แล้วเอาเงินของคุณติ๋ว 500 บาท ชักเอาไว้สำหรับเดือนมกราคม ว่าถ้ากินไม่หมดใช้ไม่หมดก็จะไปผสม ค่าแรงงาน นี่หลวงตาแก่เลอะเทอะแกทำอย่างนี้นะ นี่เป็นความดีของลูกหลาน เป็นอันว่าเวลานี้ ฉันเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ฉันมีเงินฝากธนาคารไว้เท่าไร 5,500 กับ 86 บาท นี่เป็นเงินต้น ไอ้ดอกเบี้ยของ 86 บาท เท่าไรไม่รู้ นี่ฉันรวยนะ ไม่ใช่ฉันจน คนรวยอย่างฉันหาไม่ได้หรอก ไปถามคนอื่นเถอะ ไม่มีใครเขารวยหรอก มีแต่เขาจนกันทั้งนั้น เขามีเงินตั้งแสนสองแสน ตั้งล้านสองล้าน เขาจนนะ เขาไม่มีหรอก ฉันมีเงินคงคลังอยู่ 86 บาท นี่เบ่งมา 3 ปีแล้ว ใครเขามาคุยกับฉัน ๆ ก็เต๊ะท่าบอกว่า เอ๊ะ ใครมาว่าฉันจน ฉันมี 86 บาทในธนาคาร

    แต่เงินจำนวนนี้ที่มันคงสภาพอยู่ได้เพราะอะไร ไม่กล้าไปเบิก อายเจ้าหน้าที่ธนาคารเขา ขายขี้หน้าเขา เขาจะว่าแหมแค่เงินชั่งกว่า ๆ นี่ยังจะมาเบิกอีก ที่มันทรงอยู่ได้ก็เพราะอายเขาหรอกนะ ถ้าไม่อายเขาก็หมดไปแล้ว อ้าว นี่มาเลอะเทอะไปแล้วสิ มาว่ากันต่อไปว่า เมื่อคืนฉันสบายใจเพราะอะไร พอฉันพูดแล้วตอนเช้าพูดแล้ว ฉันสบายใจว่าที่ฉันได้ระบายความรู้สึกที่แท้จริงให้ลูกหลานฟัง แล้วฉันก็ย่อง ๆ ขึ้นไปดูว่าบ้านที่ฉันสร้างให้ลูกให้หลานนี้ด้วยเงินค่ายาค่าอาหารก็ดี เงินที่ลูกหลานบำเพ็ญกุศลมาเป็นกรณีพิเศษก็ดี มันอยู่ที่ไหนบ้าง มีเวลาว่างฉันก็ย่องขึ้นไปดู เห็นมันมีอยู่แพรวพราวไปหมด เยอะแยะ ถามเจ้าหน้าที่ประจำถิ่นเขาอย่างสวรรค์ชั้นกามาวจร ฉันก็ถามพระอินทร์ อย่างชั้นพรหมฉันถามท่านท้าวมหาพรหม เลยขึ้นไปนิดก็ถามท่านใหญ่

    นี่ฉันไม่บอกชื่อล่ะ รู้เอาเองนะ ท่านก็ชี้แจงให้ทราบอันนี้เป็นของคนนี้ อันนั้นเป็นของคนนั้น คนนี้มีบารมีขนาดนี้ คนนั้นมีบารมีขนาดนั้น แล้วก็ถามถึงกาลข้างหน้าว่า พวกนี้จะได้ขึ้นมาครองไหม ท่านก็บอกว่ามีร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาจะมีอารมณ์อีลุ่ยฉุยแฉกอยู่บ้าง (ศัพท์นี้มันเป็นศัพท์ภาษาคนแก่นะ ภาษาหนังสือภาษาตำราเขาว่าอย่างไรไม่ทราบ อีลุ่ยฉุยแฉก หมายความมันไม่ค่อยจะตรงทาง) บอกว่าถึงแม้เขาจะมีอารมณ์อย่างนั้นอยู่บ้างก็ตามที แต่ทว่าเวลามรณภาพลงไป สิ่งที่เป็นความดีจะปรากฎ ถ้าเขานึกถึงสิ่งที่เป็นความดีปรากฎนิดหนึ่งเท่านั้น ทรัพย์สมบัติที่เป็นความดีทั้งหลายที่ท่านสะสมไว้ให้ ทุกคนเขาจะมีสิทธิ์เข้ามาครองได้ทั้งหมด พอฉันไปพบท่านเล่าให้ฉันฟัง ฉันกลับลงมา ฉันนอนสบายใจ สบายที่ว่าฉันเอาเงินของลูกหลานไปใช้อย่างลับ ๆ ทำงานประเภทที่เรียกว่าปกปิดมานาน เวลานี้ถึงกาลที่จะเปิดเผยกันแล้ว เพราะฉันใกล้จะตาย ฉันใกล้จะตาย ฉันจะได้บอก

    ลูกหลานของฉันมีอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง ฉันมั่นใจว่าลูกหลานของฉันทุกคนเวลาตาย อย่างต่ำก็ต้องไปสวรรค์ชั้นกามาวจร อย่างกลางต้องไปพรหมโลก อย่างดีที่สุดมีอยู่แล้วก็คือพระนิพพาน แต่ใครจะหมุนกลับลงมามนุษยโลก ฉันแน่ใจว่าลูกหลานของฉันไม่จน คนที่รวยอยู่แล้วจะรวยมากกว่านี้ คนที่ไม่เคยร่ำรวยจะพบกับความร่ำรวยอย่างคาดไม่ถึง นี่สิ่งเหล่านี้ฉันมีความมุ่งหวังมานาน ตั้งแต่บวชปีแรกฉันจะทำอย่างนี้ และฉันก็ทำตลอดมา ทำในสมัยที่ฉันมีกำลังร่างกายดี แต่เวลานี้ฉันไม่มีแรงแล้ว หาเงินไม่ไหว เทศน์ก็ไม่ไหว สวดมนต์ก็ไม่ไหว ร่างกายมันก็ไม่อำนวย

    ไปรับนิมนต์ใครเขาเข้าก็กลายเป็นคนโกหกชาวบ้านไป หมายความว่าไปไม่ได้ตามกำหนด ก็เลยเป็นอันว่าเลิกกัน เงินทองที่จะใช้จะกินเข้าไป นอกจากลูกหลานให้แล้วไม่มี ไม่มีทางได้เลย แต่ก็เป็นความดีจริง ๆ ที่ลูกหลานทุกคนสงเคราะห์ฉันอย่างคาดไม่ถึง ผลความดีอันนี้แหละนะ ในฐานะที่ฉันเป็นหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ และก็เป็นพระแก่เจ้ากี้เจ้าการถือพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ คือ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

    ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด และพระพรหมและเทพเจ้าทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจิตจดจำลูกหลานของฉันไว้ว่า บุคคลผู้ใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้ว

    ทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ที่ความปรารถนาสมหวัง นี่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นาน คิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคนมีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว อย่างน้อยที่สุดทุกคนเกิดบนสวรรค์ได้ ตายมาจากสวรรค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นคนรวยได้ หรือไปพรหมโลกได้ หรือไปพระนิพพานได้ มีแล้วทั้ง 3 ระดับ ฉันดีใจ ฉันพอใจมาก

    เอาล่ะ ต่อไปมาพูดกันถึงหลวงพ่อปานดีกว่านะ ท่านทั้งหลายที่เคยเห็นในตอนก่อนกับเห็นในสมัยนี้ หรือฟังในตอนก่อนกับฟังในสมัยนี้ทราบด้วยว่าฉันเปลี่ยนตัวเสียแล้ว ร่างกายภายนอกน่ะไม่ได้เปลี่ยน มันทรุดลงไป แต่เปลี่ยนใจ คำว่าตัวตนในที่นี้หมายถึงใจ ก็มันมีสภาพไม่สวย ฉันเปลี่ยนมันเสียแล้ว สนิมที่มันเกาะอยู่ ฉันพยายามไล่มันลงบ้างแล้ว ฉะนั้น เวลาพูด เวลานี้ต้องการอย่างเดียวคือ สารธรรม

    แล้วการประจบประแจงใครเลิกกัน เพราะถืออย่างเดียวว่าร่างกายเป็นรังของโรค มันจะต้องเปื่อยเน่า มันจะตาย เมื่อมันจะตายแล้ว เมื่อมันจะประจบสอพลอก็หวังให้เขาบำรุงบำเรอร่างกาย ก็นี่ฉันรู้แล้วว่าร่างกายของฉันมันจะพัง จะให้ใครมานั่งบำรุงบำเรอฉันเพื่ออะไร เอาสิ ถ้าไปหลงเข้าแบบนั้น ลุงพุฒิ นั่งแยกเขี้ยวแหง เอามือชี้หน้าขึ้นมา เอาสิ ประจบสิ จะได้จดลงนรกเสียอีก ไม่ได้หรอกคนนี้ คอยสะกิดข้างเรื่อยนี่ ลุงพุฒิ ว่าง ๆ ฉันทำชั่วแกจดให้ฉันไปนิพพานไม่ได้รึ แกยกมือขึ้น 4 มือเลย แถมกระดิกเท้าด้วย ไม่ได้ ไม่ได้ ชั่วเป็นชั่ว ดีเป็นดี นี่เห็นไหม ลูกหลาน ลุงพุฒิแกเป็นคนตรงไปตรงมานะ แกไม่กินสินบาทคาดสินบนใคร

    เอา ต่อแต่นี้ไปมาเล่าเรื่องหลวงพ่อปานจะดีกว่านะลูกหลานนะ วันนี้ดูท่าจะนิ่มนวลสักหน่อย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเที่ยวไปชมสมบัติของลูกหลานเพลินไป กลับมาดึก แถมตื่นตี 2 ไปอีก มันปลื้มใจนะลูกหลานนะ ปลื้มใจจริง ๆ ปลื้มใจที่เห็นสมบัติลูกหลานฉันมันสวย ปลื้มใจบอกไม่ถูก ฉันอิ่มบอก ไม่ถูก จริง ๆ นะฉันจะบอกให้ เวลานี้ใครเอาทรัพย์สินมาให้ จะตั้งให้ฉันเป็นอะไร อย่ามาตั้งเลยฉันไม่เอาหรอก ตั้งแล้วไปนรก แน่ะ ลุงพุฒิแกขยับดินสออีกแล้ว บอกเอาสิ รับตรงสิ จะได้จดลงนรกไป วันนี้เห็นหน้ากันแจ๋วแหววเชียว ไม่รู้ยังไง ท่าจะอารมณ์ดีขึ้นก็ไม่รู้ ไหน ลมเรอะ แน่ะ

    เขาร้องขึ้นมาบอกว่าลมดี ฉันจะพูดเรื่องนี้เขาบอกว่าเขาเป็นพยาน แล้วแกอย่าลืมนะ ลูกหลานของฉันทุกคนน่ะ เวลาจะตายนะแกนะ แกจะให้เผลอสติไม่ได้นะ สั่งลูกน้องของแกขึ้นมานะ เพื่อเตือนใจเขาให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง และสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งไว้นะ เขารับปากดี ดีใจ เออ อย่าถือหลวงตาเลยนะ ตาพุฒิตาเพิดแกมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ มาว่ากันถึงเรื่องหลวงพ่อปาน เมื่อวานมาจบลงตรงไหนนะ ใครจำได้ไหม อ๋อ นึกออกแล้ว จบเอาตอนที่ท่านด่าพระ

    ทีนี้เรามาเริ่มต้นเรื่องของหลวงพ่อปาน ที่เรามาเล่าตอนท้ายของท่านเป็นความดี เป็นเรื่องธุดงค์ ตานี้มาว่ากันตอนต้นดีกว่า คนเราก่อนจะดีน่ะมันจะต้องสร้างมาทีละน้อย ๆ เอากันตอนเรื่องของท่านเป็นเด็ก ฉันจำได้ว่าตอน พ.ศ. 2480 ปีนั้นฉันบวชวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10 พอวันรุ่งขึ้นจะเป็น วันสารท ทำบุญสารท วันนั้นท่านประชุมพระ เมื่อประชุมเสร็จสิ่งที่ท่านสั่งก็จะหมดในเวลา 3 ทุ่ม เริ่มเวลา 2 ทุ่มตรง เลิกเวลาประมาณ 3 ทุ่ม คือ เรื่องสิ่งที่เป็นสาระ

    หลังจากนั้นมาท่านว่า ต่อแต่นี้ไปไม่มีแล้วสิ่งที่จะสั่งคือสิ่งที่จะอบรมไม่มี หากว่าใครจะคุยกับฉันก็คุยได้ คุยกันจนกว่าจะง่วงนอน ถ้าว่าใครจะมีธุระ ใครอยากจะนอนจะพักผ่อนก็นิมนต์กลับได้ ก็ไม่มีใครเขากลับกัน เขานั่งป๋อหลอกันทุกคน นั่งอยู่หน้าพลับพลา สำหรับเจ้าลิง 4 ตัวนั่งใกล้พระรามเลย นี่อย่าคิดว่าหลวงพ่อปานเป็นพระรามนะ ไม่ใช่หรอก ฉันสมมติว่าพวกฉัน 4 ตัว ไม่ใช่ 4 องค์ พวกฉันเป็นลิง ท่านเรียกไอ้ลิงขาว ไอ้ลิงดำ ไอ้ลิงเล็ก ไอ้ลิงเผือก ท่านเรียกไอ้ลิงนะ ท่านไม่เรียกพระจนกระทั่งตาย จะตายอีก 2-3 นาที ลืมตาขึ้นมาแล้วถามว่าใคร บอกว่าผมเองขอรับ บอก อ๋อ ลิงดำรึ เห็นไหมล่ะ ท่านไม่ได้เรียกฉันเป็นพระเป็นคน ท่านเรียกฉันเป็นลิง ฉันก็เลยจำว่าฉันเป็นลิง ลิงนี่สบาย แก้ผ้าเดินก็ได้ ห้อยโหนโยนตัวก็ได้

    สภาพของฉันมันก็คล้ายลิงจริง ๆ ไม่ค่อยจะเหมือนคน ดูกันให้ดีเถอะ เป็นลิงผิดประเภทอยู่หน่อยหนึ่ง ลิงตัวอื่น ๆ เขามีผมบนหัว เป็นผมพนมเหมือนกับยกมือพนม แต่ไอ้ฉันมันเป็นลิงหัวล้าน ต่างกันหน่อยหนึ่งนะ นี่ลิงหัวล้านไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา เมื่อไม่มีใครกลับ ท่านก็เลยเล่าเรื่องเมื่อเป็นเด็กให้ฟัง ท่านบอกว่า นี่ฉันจะเล่าเรื่องราวของฉันเมื่อก่อนบวชนะ พวกเธอจะได้รับฟังไว้ มันจะเป็นเรื่องความโง่หรือความฉลาดของฉันก็ตาม มันเป็นความดีหรือความชั่วก็ตามช่างมัน ฉันจะเล่าให้ฟังแล้วจำไว้ ถ้ามันเป็นประโยชน์ก็เก็บไว้นะ ถ้า ไม่เป็นประโยชน์ก็ทิ้งไป

    ท่านบอกว่าสมัยท่านเป็นเด็กอายุสัก 4-5 ขวบ นี่ท่านไม่ได้จำกัดไปนะว่ามันกี่ขวบกันแน่กี่ปีกันแน่ ท่านบอกประมาณ 4-5 ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้าน หลวงพ่อปานท่านเป็นคนบางนมโค และเป็นคนตำบลนั้นไม่ใช่คนที่อื่น เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่งอยู่สักหน่อยนะ สมัยนั้นเขามีทาสกัน ที่บ้านท่านก็มีทาส ท่านบอกว่า วันหนึ่งท่านวิ่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านย่าของท่าน ก็ปรากฎว่าย่าของท่านกำลังป่วยหนักใกล้จะตาย เวลานั้นก็เห็นจะเป็นเวลาบ่ายสัก 2-3 โมงกว่า ท่านว่าอย่างนั้นโดยประมาณ

    คนทุกคนเขามาเยี่ยมย่า พ่อแม่ของท่านก็ไป เมื่อคนทุกคนขึ้นไปแล้ว ท่านบอกเห็นร้องดัง ๆ บอก แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง ภาวนาไว้ อรหัง พระอรหังจะช่วยแม่ ก็ร้องกันเสียงดัง ๆ ท่านอยู่ใต้ถุน ท่านยืนฟัง ท่านยืนฟังเขาว่าอรหังกันทำไม พอท่านสงสัยก็ย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือน พอท่านขึ้นไปแล้วก็ปรากฎว่าผู้อยู่เขาเอาปากกรอกไปที่ข้างหูของคุณย่าท่าน บอกแม่ แม่ อรหังนะ อรหัง แต่ว่าพอผู้ให้เขามองเห็นท่านเข้าไปเขาก็ไล่ท่านไป เขาจะหาว่าไอ้เด็กมันรุ่มร่าม ท่านก็เลยไปเล่นใต้ถุนบ้านอื่น พอมาถึงตอนเย็นเวลากินข้าว ท่านแม่ก็ป่าวหมู่เทวฤทธิ์ คือเรียกลูกกินข้าว

    เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางกลาง สำหรับตัวท่านเองเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานมาให้แล้วเอาแกงเท ท่านบอกว่าไอ้แกงฉู่ฉี่แห้งท่านชอบ เขาใส่มาให้ เรียกว่าไม่ต้องไปหยิบกับข้าว กินแบบประเภทข้าวราดแกง เวลาที่ท่านกินข้าวไปแล้วมานั่งนึกว่ากับข้าวมันอร่อยถูกใจก็เกิดความชุ่มชื่น พอจิตมันนึกขึ้นได้ว่า เขาบอกอรหัง อรหัง นึกถึงคำว่าอรหังขึ้นมาได้ ท่านก็เลยปลื้มใจ อย่างไรชอบกล เลยเปล่งวาจาออกมาดัง ๆ ว่า อรหัง อรหัง ว่า 2-3 คำ

    ท่านแม่มองตาแป๋ว ลุกพรวดจับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ จับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน แล้วร้องตะโกนสุดเสียงเขียว เอ้า มึงจะตายโหงตายห่าก็ตายห่าคนเดียว มันจะมาว่าอรหังที่นี่ได้รึ คำว่าอรหัง พุทโธ นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน นี่ดันมาว่าอรหังที่นี่ ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย มึงจะตายโหงตายห่าก็ไปตายคนเดียว ท่านแปลกใจคิดว่า นี่เราว่าดี ๆ นี่ แม่ดุเสียงเขียวปัด นี่มันเรื่องอะไรกัน ในเมื่อถูกแม่ดุอย่างนั้นจะขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียว ก็เลยไม่ว่าอีก ตอนนี้ไม่ว่า ลุกไปหยิบข้าวไปกินทั้งน้ำตาคลอ เสียใจว่านี่เวลาท่านให้ผู้อื่นพูดว่าได้

    แต่เราเป็นเด็กจะว่ามั่งว่าไม่ได้ มันแปลก ท่านแปลกใจ แต่ก็ไม่ว่าอะไร กินข้าวด้วยอาการตื้นตันใจ วันนั้นกลืนไม่ค่อยลง ท่านพูดถึงตอนนี้แล้วท่านก็หัวเราะบอกว่า คุณแม่ฉันน่ะโง่นะ ไม่ได้ฉลาดหรอก อีตอนใหม่นั้น ตอนฉันมาบวชได้แล้วคุณอรหังหรือพุทโธนี้ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ถ้าใครภาวนาคำนี้ได้ตกนรกไม่ได้ เขาห้ามตกนรก พอท่านพูดแล้วท่านก็ชี้มือมาทางฉัน บอก นี่เจ้าลิงดำนี่ก็เหมือนกัน

    เมื่ออายุ 12 ปี มันจะตาย มันย่องตามเขาไปนรก เขาไม่ให้เข้าเขตนรก จนกระทั่งฉันมาบวช นี่มันไปได้ของมันนะ แต่เขาก็ไม่ให้มันไป เขาไม่ยอมให้มันไป ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าคนที่ภาวนาพุทโธหรืออรหังนี่ จัดว่าเป็นคนปรารถนาความดีของ พระพุทธเจ้า มีความดีเกินกว่าที่จะลงนรก แต่ว่าแม่ของฉันนี่ท่านไม่รู้ ก็เป็นโทษเพราะไม่ได้รับการศึกษา แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก ตอนหลังที่ฉันบวชแล้วนี่นะ ฉันกลับใจแม่ของฉันได้ ฉันแนะนำให้ท่านทราบแล้ว เวลาท่านตายท่านก็ยึดพุทโธ อรหัง เป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้ยึดเวลาตาย ฉันให้ท่านว่าทุกวัน

    นี่ท่านเล่าถึงเรื่องแม่ของท่านตอนนี้ เมื่อพูดถึงเรื่องแม่ของท่าน บรรดาลูกหลานทั้งหลายก็เลยจะเอาเรื่องแม่ของท่านมาพูดให้ฟัง เพราะมีเรื่องอยู่นิดเดียวมาเล่าต่อกันฟังเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเข้ามาอายุมากแล้ว ประมาณ 30 หรือ 40 ปีแล้ว ใกล้จะ 40 แม่ท่านตาย แต่มันจะข้ามตอนไปบ้างก็ช่างมันเถอะนะ จะได้ไม่เอาไปคั่นกับเรื่องอื่นเข้า คือว่าหลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับแม่ท่านมาก ทั้งพ่อ ทั้งแม่นั่นแหละ พ่อก็ดีแม่ก็ดี เวลาป่วยท่านไม่ยอมให้อยู่ที่บ้าน ท่านเอามารักษาตัวที่วัดให้นอนในกุฎิท่าน ผ้านุ่งแม่ของท่าน ๆ ซักเอง ท่านเอาผ้านุ่งแม่ของท่านไปตากไว้บนขื่อ ไอ้ขื่อบ้านนี่มันสูงนะลูกหลานนะ มันสูงกว่าหัวคนนะ เวลาเดินไปเดินมาหัวคนก็ต้องลอดขื่อ

    แต่ผ้านุ่งแม่ของท่าน ท่านไปตากไว้บนขื่อ เวลาแม่ท่านลุกไม่ถนัดท่านก็อุ้มลุกอุ้มนั่ง ถึงได้บอกว่าแม่ท่านเป็นผู้หญิง แต่ว่าเวลานั้นท่านเป็นพระ มีคนหลายคนเขามาตำหนิท่าน ผู้หญิงเขาติว่า คุณปาน โยมของคุณน่ะเป็นผู้หญิง ผ้านุ่งเอาไปตากบนขื่อ ซักผ้านุ่งแม่เอง อุ้มลุกอุ้มนั่งเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเองอย่างนี้แม่จะบาป ท่านก็เลยบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่บาปนี่ พระพุทธเจ้าท่านว่าดีนี่ ท่านก็ตอบกับคนพูดว่า เวลานี้ไม่ใช่คนแล้ว ฉันเป็นพระ พอฉันมาเป็นพระฉันเป็นลูกของพระพุทธเจ้า

    ในเมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นพ่อว่าไม่บาปเป็นความดี ฉันก็เลยทำตามท่านน่ะซิ หากว่าฉันจะทำตามคนอื่นพูดก็ชื่อว่าฉันไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ฉันทำตามคำของพระพุทธเจ้าชื่อว่าฉันไม่เชื่อคนอื่น หากว่าฉันเป็นฆราวาสฉันจะเชื่อชาวบ้าน แต่ว่าเวลานี้ฉันเป็นพระฉันต้องเชื่อพระพุทธเจ้า เมื่อเขาสงสัยก็ถามว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ที่ไหน ว่าอย่างไร ท่านก็บอกว่า พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกมีอยู่ แต่วาถ้าจะหาให้ง่ายจงไปหาในพระธรรมบท แล้วดูเรื่องราวในเรื่องของทศชาติ คือเรื่องของสุวรรณสามก็ได้ แล้วท่านเลยกล่าวเอาเรื่องของพระที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ในธรรมบท คำว่า ธรรมบท นี้คือบทที่กล่าวถึง ธรรมบทแปลว่า ถึง เรื่องที่เข้าถึงธรรม เข้าถึงความดี

    ธรรมคือสิ่งที่คงสภาพและทรงไว้ซึ่งความดี เรียกกันว่าธรรม ถ้าจะแยกออกไปก็ต้องแยกเป็น กุศลธรรมและอกุศลธรรม ถ้ากุศลธรรมเป็นธรรมฝ่ายความฉลาด ความดี อกุศลธรรมก็เป็นธรรมฝ่ายชั่ว หากเรียกกันว่าธรรมเฉย ๆ ก็ต้องหมายความกันว่าความดีเฉย ๆ หมายเอาความดีโดยเฉพาะกัน แล้วก็นำเรื่องราวของพระลูกเศรษฐีที่ปรากฎมาในธรรมบทมาเล่าให้ฟังว่า ในครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังประกาศพระศาสนา ในตอนนั้นปรากฎว่ามีลูกเศรษฐีคนหนึ่งฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า แล้วก็มีความเลื่อมใส อยากจะบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พ่อแม่ก็มีลูกคนเดียว มีทรัพย์ตั้ง 160 โกฎิ 160 โกฎินะ ไม่ใช่ 160 ล้าน ต้องเอา 0 เติมเข้าไปอีกศูนย์หนึ่ง มีลูกคนเดียวก็อยากจะให้ลูกรักษาทรัพย์สินเอาไว้เพื่อปกครองทรัพย์

    แต่ลูกชายมีความเลื่อมใสมาก ไม่ยอม จะบวชท่าเดียว นี่ การมีลูกมีเต้าระวังไว้นะ อย่าคิดว่าเขาตามใจเราทุกอย่างน่ะ มันไม่ได้ เขาก็มีใจเราก็มีใจ คิดเอาไว้ให้ดีนะ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย เผื่อว่าลูกหลานจะขัดใจ ลูกที่เลี้ยงมาด้วยความเหนื่อยยาก เราต้องการให้เรียนอย่างนี้ เขาจะเรียนอย่างโน้น เขาจะเรียนอย่างนั้น เราต้องการให้เรียนอย่างนี้ เขาจะทำอย่างโน้น นี่มัน ขัดใจกัน ยากเหมือนกันนะ นี่ดูสมัยโบราณก็เหมือนกันนะ นั่นท่านมีลูกคนเดียว ทรัพย์ตั้ง 160 โกฎิ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ เวลาเขาต้องการจะบวช เมื่อไม่ให้เขาบวช เขาก็นอนเฉยไม่กินข้าวกินปลา ไปเอาเพื่อนมาปลอบยังไงก็ตามไม่ยอมฟัง แกบอกว่าสิ่งที่แกต้องการมีอย่างเดียวคือการบวช ถ้าแกไม่ได้บวชแกจะตาย แกจะนอนให้มันตายลงไปตรงนี้แหละ ตามใจ

    พ่อแม่ไม่ให้บวชก็ตาย ข้าวไม่กิน น้ำไม่กิน ใครไปให้อะไรก็ไม่กิน ไม่กินจริง ๆ ตานี้ทำอย่างไร บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็มาบอกมหาเศรษฐีผัวเมีย บอกว่า คุณพ่อคุณแม่อย่าฝืนใจเลยครับ ลูกชายของคุณพ่อคุณแม่น่ะเคยเป็นลูกมหาเศรษฐี เป็นคนมีทรัพย์ มีความปรารถนาสมหวังอยู่เสมอ การบวชในพระพุทธศาสนามีความลำบากมาก เวลาได้ข้าวปลาอาหาร เวลาจะกินต้องไปขอชาวบ้านเขา ต้องการข้าวร้อน อาจจะได้ข้าวเย็น ต้องการข้าวเย็นอาจจะได้ข้าวร้อน ต้องการอาหารเปรี้ยวอาจจะได้อาหารหวาน ต้องการอาหารหวานอาจจะได้อาหารเค็ม ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่เป็นไปตามความประสงค์ ไม่เหมือนอยู่เป็นฆราวาส ถ้าแกไปโดนความลำบากแบบนั้นเข้า ทนไม่ไหวแกก็สึกมาเอง และอย่างน้อยถึงแม้ว่าแกไม่สึก แกก็ยังมีชีวิตอยู่ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นหน้า ถ้าขืนขัดใจกันแบบนี้ล่ะก็ แกตายแน่ แกไม่ยอมกินอะไรทั้งหมด บรรดาเพื่อน ๆ มาแนะนำ ท่านมหาเศรษฐี 2 คน ตายายเห็นชอบก็เลยยอมให้บวช

    เมื่อพ่อแม่ยอมให้บวช แกก็ลุกจากที่นอน กินข้าวกินปลา กราบพ่อกราบแม่ ลาพ่อลาแม่ แล้วก็ไปบวช ไปสำนักพระพุทธเจ้า เฉพาะต่อหน้าพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าเป็นอุปัชฌาย์เอง แหม นี่เฮงจริง ๆ เมื่อบวชแล้ว ท่านเรียนกรรมฐานถึงขั้นอรหัตผล ท่านลาพระพุทธเจ้าไปจำพรรษาในป่าลึก สมัยก่อนเขาปฏิบัติกันอย่างนี้นะลูกหลานนะ เขาถามความเข้าใจว่า การรักษาจิตใจในขั้นต้นทำอย่างไร ขั้นกลางทำอย่างไร ขั้นสุดท้ายทำอย่างไร ถึงจนจบอรหัตผล ถามถึงความเข้าใจแล้ว

    พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สอนนาน ท่านสอนเดี๋ยวเดียว อย่างมากก็ชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมงเป็นอย่างมาก ไม่ยังงั้นก็ไม่ถึง ชั่วโมง เขาพูดกันแบบลัด ๆ ย่อ ๆ ไม่ใช่มานั่งท่องแบบกันเป็นร้อยเล่มอย่างสมัยฉันเรียนหรอก ฉันเรียน นี่น่ะ ไอ้แบบที่ฉันท่อง ๆ นี่แหละนะ เฉพาะที่ท่องฉันแบกก็ไม่ไหว แล้วที่ดูจำก็ต่างหาก อย่างนี้เขาเรียกว่าเรียนเลยตำรามักมากไป เลยเอาดีไม่ได้

    สมัยพระพุทธเจ้าท่านสอนกันประเดี๋ยวเดียว ไม่ได้สอนนาน สร้างเจริญสมณธรรม แต่ว่าก่อนเข้าพรรษา มีพระที่ไปข้างหลังไปจำพรรษาในป่าเดียวกับท่าน ท่านก็ถามว่าท่านมาจากไหน พระก็บอกว่ามาจากเมืองสาวัตถี ท่านก็ถามว่ารู้จักท่านมหาเศรษฐีพ่อแม่ท่านไหม แต่ท่านไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ท่าน ถามว่าคุณรู้จักท่านมหาเศรษฐี 2 ตายาย ชื่อนั้นชื่อนี้บ้างไหม พระก็บอกว่า รู้จัก ท่านก็ถามว่าทั้งสองท่านมีความสุขดีรึ

    พระก็บอกว่าไม่สุขแล้วเวลานี้ ได้ยินข่าวว่าลูกชายออกบวช ข้าทาสชายหญิงในบ้านมันก็ลักมันก็ขโมย แกเป็นคนแก่สองคนหูตาไม่ดี ทรัพย์สินในบ้านก็หมด คนที่กู้หนี้ยืมสินไปก็โกงหมด ไม่มีใครมาชำระหนี้ บ้านช่องถูกเผาหมด เวลานี้เป็นขอทานถือกระเบื้องแตกนั่งอยู่ตามฝาเรือน พระองค์นั้นพอรู้ข่าวว่าพ่อแม่ไม่มีความสุข พรรษานั้นทั้งพรรษาเจริญฌานไม่ได้ อย่าว่าแต่อรหันต์เลย คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ คิดว่าถ้าเราไม่บวชพ่อแม่ก็ไม่มีทุกข์อย่างนี้ อาศัยมีจิตกังวลท่านเลยไม่มีความสุข ในเมื่อไม่มีความสุข ความกังวลมันเกิดขึ้น สมาธิมันก็ไม่เกิด ปัญญามันก็ไม่เกิด นี่ บรรดาลูกหลานฟังไว้นะ

    เวลาเจริญสมาธิ หมายความว่าทำสมถกรรมฐานให้เกิดก็ดี เจริญวิปัสสนาญาณก็ดี ต้องตัดกังวลเสียให้หมด เวลาที่เราจะใคร่ครวญ ตัดกังวลทุกอย่างเสียให้หมด อะไรที่ยังทำไม่เสร็จทำมันเสียให้เสร็จ อย่าให้มันคั่งค้างไว้ ถ้าคั่งค้าง ถ้าจิตเป็นกังวล ผลมันไม่เกิด วันนี้เล่าเรื่องของท่านต่อไป พอเวลาออกพรรษาท่านก็กลับมา เมื่อกลับมาก็ตั้งใจว่าจะไปหาใครก่อน ไปถึงทาง 3 แพร่ง ทางข้างซ้ายไปหาพระพุทธเจ้า ทางข้างขวาไปหาพ่อแม่ แต่พอคิดว่าเวลานี้เราเป็นพุทธสาวก เราควรจะไปหาพระพุทธเจ้าก่อน

    เมื่อไปถึงสำนักพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเทศน์เรื่องกตัญญูกตเวที เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านคงรู้ ไม่ใช่ท่านไม่รู้ แต่ท่านไม่บอก ท่านก็เทศน์เรื่องกตัญญูกตเวที ว่าบิดามารดาเป็นผู้มีคุณสูง คนเราจะสนองคุณบิดามารดาให้เต็มที่ เอาพ่อมาวางไว้บนบ่าขวา เอาแม่มาวางไว้บนบ่าซ้าย ให้พ่อแม่ขี้บนนั้นเยี่ยวบนนั้น นอนบนนั้น สมมติว่าถ้าจะทำได้นะ สมมติเอาว่าถ้าจะทำได้จนกระทั่งตลอดชีวิต จะชื่อว่าเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ให้ครบถ้วนน่ะ ยังไม่ได้ ยังไม่เท่าความดีที่พ่อแม่มีอยู่ ความดีที่ พ่อแม่มีอยู่นั้นเกินกว่านั้นมาก จะเอาความดีเพียงเท่านั้นไปเทียบกับความดีของพ่อแม่ไม่ได้

    เว้นไว้แต่ว่าบุคคลใดถ้าพ่อแม่มีความทุกข์หาความสุขมาเสนอสนองท่าน ถ้าท่านเป็นมิจฉาทิฐิ กลับใจให้เป็นสัมมาทิฐิ ปฏิบัติถูกต้องตามทำนองคลองธรรม คือมีแดนสวรรค์ มีแดนพรหม มีแดนนิพพานเป็นที่ไป และหากว่าท่านเป็นสัมมาทิฐิอยู่แล้ว เป็นคนใจบุญสุนทร์ทานอยู่แล้ว ก็สนับสนุนบุญทานของท่านให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ท่านเป็นโลกียชน ก็นำท่านให้เป็นโลกุตตระ คือ นำท่านให้เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ถ้าทำได้อย่างนี้ ชื่อว่าความดีที่สนองใกล้เคียงกับความดีของพ่อแม่ นี่ท่านไม่ได้บอกว่าใช้ให้หมดนะ ท่านบอกใช้ได้ใกล้เคียงกับความดีของพ่อแม่ที่มีอยู่ พระองค์นั้นฟังแล้วก็ชื่นใจ

    เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็ลา บอกว่าจะไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต เมื่อไปเห็นพ่อแม่อยู่ในสภาพนั่งขอทานอยู่ก็เข้าไปหา ทีแรกพ่อแม่จำไม่ได้ ก็บอกชื่อบอกเสียง บอกว่าฉันนะเป็นลูกของพ่อแม่ เวลานี้ทราบว่าพ่อแม่ไม่มีความสุข จะมาหาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ พ่อแม่ก็บอกว่าเจ้าเป็นพระ จะมาเลี้ยงพ่อแม่ได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าทำได้ กิจที่พึงทำได้ ก็พา พ่อแม่ไป เข้าไปอยู่ในป่าละเมาะใกล้ ๆ บ้าน ปลูกโรงเล็ก ๆ ให้อยู่ เวลาเช้าท่านก็บิณฑบาต เมื่อได้ข้าวมาก็ให้พ่อแม่กินก่อน ถ้าพ่อแม่กินเหลือท่านก็ได้ฉัน ถ้าไม่เหลือท่านก็ไม่ได้ฉัน

    ได้ผ้าใหม่มาท่านก็ทำลายสีเสีย ทำให้เป็นสีเขียวสีแดงแล้วก็เอาไปให้พ่อแม่นุ่ง เอาผ้าเก่า ๆ ของพ่อแม่มาเย็บมาปะเข้าย้อมฝาดนุ่งเสียเอง ทำอย่างนี้จนอาการซูบผอมลงไปมาก ต่อมาพระสมัยนั้นท่านได้ยินข่าวเข้า ท่านก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่าพระองค์นี้ประจบฆราวาส ทำตนไม่สมควรกับความเป็นพระ เอาข้าวมาให้คนกินก่อนตัวกินทีหลัง ได้ผ้าใหม่มาเอาไปให้คนแก่นุ่ง ตัวเองเอาผ้าของคนแก่มานุ่งแทน

    พระพุทธเจ้าเมื่อได้ทรงทราบก็มีรับสั่งให้พระองค์นั้นเข้าเฝ้า เมื่อพระองค์นั้นเข้าเฝ้าแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า ภิกษุ เธอทำอย่างนั้นหรือ ท่านก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่าเป็นความจริง ทำอย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ถามว่าตาแก่สองคนตายายนั้นเป็นใคร ท่านก็บอกว่าเป็นพ่อเป็นแม่พระพุทธเจ้าข้า พ่อแม่ของข้าพระพุทธเจ้าเอง ข้าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ พระพุทธเจ้าบอกว่า แหม เธอทำอย่างนั้นนี่มันทำถูกแล้วนี่ ทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว ยกมือขึ้นท่วมศรีษะพนมมืออย่างเราพนมขึ้นเหนือศรีษะว่า สาธุ สาธุ สาธุ เอาเข้า 3 เที่ยว ดีละ ๆ ๆ สาธุเขาแปลว่าดีละ

    ที่เธอทำดีอันนี้ตถาคต ไม่ห้าม ทำได้ อนุญาต เธอมีความกตัญญูรู้คุณคนดีมาก แล้วมีกตเวทีตอบแทนคุณท่าน เธอทำอย่างฉันสมัยเป็นพระโพธิสัตว์มีนามว่าสุวรรณ แล้วพระพุทธเจ้าก็นำเรื่องของสุวรรณสามมาเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ ไม่เล่านะ ลูกหลานที่รัก ถ้าเล่าเรื่องสุวรรณสามล่ะก็ 3 เดือนไม่จบหรอก ถ้าพูดอย่างหลวงตาแก่นี้ เดี๋ยวเอาอะไรเข้ามาแทรก เป็นเรื่องยาวมาก ไปซื้อทศชาติมาอ่านเอานะ พระเจ้าสิบชาติน่ะ สุวรรณสามมีในนั้นแล้ว ก็เป็นอันว่าปลอดไป ไม่ถูกลงโทษ ได้รับคำสรรเสริญ นี่หลวงพ่อปานท่านบอกว่าเอาเรื่องขึ้นมาโต้กะเขา พอโต้แล้วคนคัดค้านก็ถอยหลังกรูด เท่าที่ท่านประคบประหงมพ่อแม่ของท่านนั้น หาว่าทำผิด ไปซักผ้าขี้ผ้าเยี่ยวผู้หญิง เอาผ้าผู้หญิงไปตากบนขื่อ อุ้มผู้หญิงลุกอุ้มผู้หญิงนั่ง เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเอง ป้อนข้าวเอง หาว่าทำผิด พระทำผิดประเพณี

    พอโดนเรื่องนี้เข้าหลวงพ่อปานบอกว่าถอยหลังกรูดยอมแพ้ ยกมือขอขมาท่าน ท่านเลยบอกเรื่องขอขมาท่านไม่ถูกหรอก ธรรมะนี่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า เรื่องส่วนตัวของท่านไม่มีหรอก ท่านทำตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า แล้วคนที่คัดค้านนั่นเป็นการค้านธรรมะของพระพุทธเจ้า การขอขมาต้องไปขอขมาต่อพระพุทธรูปในโบสถ์โน่นมันถึงจะพ้น ขอขมากับท่านไม่พ้น อีตานั่นกลัว ลงนรกก็เลยต้องไปขอขมากับพระพุทธรูปในโบสถ์ แล้วพระพุทธรูปจะว่ายังไงบ้างก็ไม่รู้เหมือนกันนะ

    ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกัน นี่เล่าให้ลูกหลานฟัง แต่ว่าปฏิบัติของท่านน่ะ ท่านมีความกตัญญูกตเวทีจริง ๆ แล้วก็มีความห่วงใยในด้านบุพการีของท่านดีมาก หมายความว่าในฐานะท่านเป็นผู้ใหญ่ เวลาอยู่กับท่านน่ะ เวลาจะฉันข้าว ท่านเดินตรวจกับข้าวก่อน วงไหนถ้าพร่องไปท่านจัดแบ่งให้ครบถ้วน แม้แต่ ลูกเด็กเล็กแดงก็เหมือนกัน นี่ในฐานะท่านเป็นบุพการี คนในวัดทั้งหมด คนงานทั้งหมด ท่านสนใจเป็นพิเศษ คนไข้ทั้งหมด คนที่มารักษาโรคกับท่าน จะมีกินหรือไม่มีกินท่านตรวจหมด ถ้าไม่มีกินให้ข้าวสุกกับข้าวสารไปเลย ถ้าไม่มีใครหุงหาให้เป็นเรื่องเดือดร้อนของพระ พระกับเด็กจะต้องจัดให้

    นี่ท่านมีทานบารมีสูง เป็นบุพการีอย่างสูงเป็นสาธารณประโยชน์หายาก แล้วท่านก็บอกว่า ตอนที่ฉันโตขึ้นมาแล้วฉันก็ไปเทศน์ให้แม่ฉันฟังพ่อฉันฟังถึงเรื่องอรหังและพุทโธ ว่าไม่ใช่เรื่องของคนตายจะพูดคนเดียว ต้องพูดกันก่อนตาย ภาวนากันก่อนตาย พ่อแม่ของท่านก็รับฟัง แล้วท่านก็ลงท้ายเรื่อง ท่านบอกว่า ตอนท้ายเมื่อตอนพ่อแม่ฉันตายนะ ฉันดีใจ ไม่ใช่ดีใจเพราะพ่อแม่ตายจะรับทรัพย์มรดก ไม่ใช่ยังงั้น ท่านบอกว่า พ่อแม่ฉันตาย ฉันดีใจมาก ตอนนั้นฉันก็เป็นขั้นลิงเท่านั้น ฉันไม่เข้าใจว่าท่านดีใจอย่างไร ก็เลยถามว่า หลวงพ่อดีใจอย่างไรขอรับ หลวงพ่ออยากจะรับมรดกยังงั้นรึ ท่านหัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่าเจ้าลิงดำมันสงสัยอะไร มีเอ็งคนเดียวเท่านั้นพูดน่ะ

    ในที่ประชุมนี่น่ะไม่รู้กี่ปีมาแล้ว ฉันพูดอะไรก็หาคนสงสัยไม่ได้ บางทีเขาสงสัยเขาไม่ถามฉัน แล้วก็ไปวิพากษ์วิจารณ์กันว่าพูดทิ้งไว้แค่นั้นพูดทิ้งไว้แค่นี้ นี่มีเอ็งคนเดียวมันปากอยู่ไม่สุข ไอ้ปากเอ็งน่ะมันมุบมิบ ๆ ไม่ต่างกับปากลิง นั่นไป ๆ มา ๆ ก็นวดเราเข้าอีก เลยบอกว่าหลวงพ่อตั้งให้ผมเป็นลิงนี่ครับ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ตั้ง เอ็งมันเป็นลิงตั้งหลายชาตินี่หว่า แล้วก็มันเป็นลิงของข้าเสียด้วย ไอ้ลิงตัวอื่นไม่เท่าไหร่ เอ็งมันเป็นลิงระยำมาก เผลอเป็นลักของทุกที เผลอไม่ได้ ไม่ว่าอะไรล่ะลักดะ ถ้าของหายเป็นไม่พ้นไอ้ลิงดำละ ข้าไม่เคยบาป ข้าโทษทีไรมันตรงทุกที แล้วก็หัวเราะชอบใจ พูดไปพูดมาก็บอกว่า

    แม้แต่ชาตินี้ก็เหมือนกันละวะ เอ็งมาบวชนี่ เอ็งขโมยคาถาอาคาของข้าไปกี่บทแล้ว นี่ข้ารู้นาไอ้ลิงดำนา ไม่ใช่ข้าไม่รู้นา เอ็งคนเดียวนาขโมยตำราข้านา พูดแล้วก็ชอบใจ แล้วไม่ว่าอย่างไร ไม่รู้จะตอบท่านอย่างไร ก็เลยยิ้มแหย ๆ ไปอย่างนั้น ท่านก็เลยบอกว่าเอ็งคนเดียวแหละดี เอ็งถามอย่างนี้แหละดี ไม่ถามเสียมันก็ไม่คลายสงสัย มันก็ต้องสงสัยกันเรื่อยไป รายอื่นก็เหมือนกัน ฉันพูดอะไรไปสงสัยก็ควรถาม อย่าไปนิ่งกันไว้จะไปเกรงใจฉันทำไม ไอ้เรื่องที่ฉันพูดนี่นะฉันพูดให้รู้ ไม่ใช่พูดให้สงสัย แล้วท่านก็ว่าไป

    บอกว่าที่ฉันดีใจน่ะมันยังงี้ คือว่าทั้งพ่อแม่ฉันก่อนที่ท่านจะตายได้ญาณทั้งหมดนะ ท่านทรงญาณละเอียด แล้วก็ได้วิปัสสนาญาณละเอียด แต่ว่าท่านทั้งสองก็ต้องมาเกิดอีกวาระหนึ่ง แล้วฉันต้องเป็นลูกท่านอีกทีหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นไปท่านก็ไม่มีโอกาสจะเกิดอีก นี่ท่านรู้ของท่าน ท่านดีใจตรงนี้ ดีใจว่าพ่อแม่ของท่านมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณละเอียด ลูกหลานก็จำได้ด้วยนะ เข้าใจไหม ไม่เข้าใจก็ฟังตอนหลังนะ นี่เป็นอันว่าเรื่องแม่ของท่านก็เป็นอันว่าพับไปนะ หมดกันไปที เรื่องมันสั้นจึงเอามาแทรกไว้ตรงนี้

    ต่อมาเมื่อท่านโต ลัดกันเลยนะ ตอนนี้ไม่ลัดก็ไม่ได้ ท่านไม่ได้เล่าให้ฟังว่านับแต่วันนั้นมา ท่านไปทำอะไรบ้าง เป็นแต่เพียงบอกว่าตอนโตขึ้นมาท่านช่วยพ่อแม่ทำนา ท่านเป็นคนขยัน หลวงพ่อปานนี่รู้สึกว่าท่านเป็นคนค่อนข้างสวยนะ ถ้าพูดถึงลักษณะของผู้ชาย เป็นคนผิวขาวนวล ลักษณะสมส่วน ทุกอย่าง ฉันเคยให้ท่านนั่งขัดสมาธิ แล้วฉันก็เอาเชือกวัด ขออภัยท่านวัดรอบศรีษะ วัดตัก วัดตักไปถึงบ่า ได้ส่วนทุกอย่าง ได้ส่วนเดียวกับส่วนของพระพุทธรูปเป๊ะเลย รู้สึกว่าเป็นคนค่อนข้างสวย เสียงเพราะมาก เสียงเครือ ๆ อย่างฉันนี่นะ

    ถ้าหากท่านได้ยินเมื่อไรท่านขับเมื่อนั่นแหละ แล้วท่านบอกไม่ให้เทศน์ เสียงจัญไรแบบนี้ไม่ให้เทศน์ แต่ว่าเวลานั้นเสียงฉันไม่อย่างนี้นะ แหม ไม่อยากจะคุยหรอก พูดกันง่าย ๆ ว่าเป็นเสียงคนหนุ่ม มันใสหน่อยก็แล้วกันนะ ลีลาการพูดเทศน์นี่ฉันขโมยของท่านมาได้สัก 10% แล้วเวลาไปเทศน์ที่ไหนก็รู้สึกว่าพอจะเอาชนะใจคนได้บ้าง สมัยนั้น เวลานี้นี่เสียงมันไม่ไหวหรอก เวลาพูดมันต้องรบกับคน ลีลาการพูดมันถึงไม่ดี เสียงออกก็ไม่เพราะ ช่างมันนะ คนแก่นี่ เอาอีตอนท่านโต

    เมื่อท่านโตมาแล้วท่านบอกว่าเป็นคนขยัน ปกติท่านเป็นคนขยัน เวลาพวกเราทำงานท่านไม่หยุดเหมือนกัน เป็นคนขยันจริง ๆ ขยันงานภายนอก ขยันงานภายในทุกอย่าง จุกจิก หมายความจุกจิกรอบ ๆ ดูของรอบ ๆ ตรวจตราของรอบ ๆ แล้วคำว่าไม่มีไม่ได้ ของท่านมีสั่งให้ไปหาอะไรถ้าไม่มีให้เลยไปเลย ห้ามกลับ ถ้าวันหลังไปพบเขาถามว่า ทำไมไม่เอามาให้ บอกว่าไม่มีนี่ครับ ถ้าไม่มีจัดซื้อทันที ของท่านต้องมีทุกอย่าง เป็นอันว่าเมื่อท่านโตขึ้นมาแล้ว ก็เวลาใกล้จะบวชถึงเกณฑ์บวชเลย

    เวลาตอนใกล้บวชนั่นเขาจะไปขอสาว ๆ ให้ แต่งงานกับท่าน บอกว่าเวลาบวชแล้วจะได้แต่งงานกัน เป็นลูกคนรวย ท่านก็เลยบอกว่าเรื่องแต่งงานเอาไว้ทีหลัง ขอให้บวชเสียก่อน บวชแล้วไม่แน่จะสึกหรือไม่สึก ถ้าสึกก็แต่ง ไม่สึกก็ไม่แต่ง ไปขอเขาอย่างนั้นจะเป็นการลากหนามจุกตรอก คนอื่นที่เขาดีกว่าเขามาขอจะได้แต่งงานไป ทำอย่างนั้นไม่ควร

    ในเมื่อพ่อแม่ท่านเห็นว่าท่านค้านก็เลยตามใจท่าน แล้วพอดีถึงตอนจะบวช เวลานั้นเวลานี้จะบวชต้องอยู่วัดกันถึง 3 เดือน เขาเรียกกันว่าติฎฐิยะปริวาส พระพุทธเจ้ามีพระบัญญัติอย่างนั้น มีพระพุทธบัญญัติสั่งแบบนั้น เมื่อคนจะบวชจะต้องอยู่วัดถึง 3 เดือน อบรมธรรมวินัยให้มีนิสัยดี ถ้า 3 เดือนยังไม่ดี ยังไม่ให้บวช ให้อยู่ต่อไปอีก 3 เดือน ถ้ายังดีไม่ได้ไม่ให้บวช ให้อยู่ไปอีก 3 เดือน ถ้า 9 เดือนไม่ดีเลิกเลย ไม่ให้บวชเลย แล้วอุปัชฌาย์สมัยนั้นท่านเคร่งครัดเอาตามนี้ทุกอย่าง

    แต่ว่าอุปัชฌาย์สมัยนี้เป็นอุปัชฌาย์นิวเคลียร์ นี่น่ากลัวจะไม่ต้องก็ได้กระมัง มีหน้าที่อย่างเดียว ปีไหนฉันเป็นอุปัชฌาย์บวชมาก ทำบัญชีส่ง ผู้หลักผู้ใหญ่ว่าปีนี้เป็นอุปัชฌาย์บวชพระกี่องค์ ๆ เอาคะแนนกันตรงนี้ เอาดีกันตรงบวช หน้าที่อบรม สั่งสอนไม่ต้อง เลิกกันเวลานี้ (เขาพับไปแล้วนา) อุปัชฌาย์ตามหัวเมืองเวลานี้เขามีหน้าที่บวชอย่างเดียว ใครจะอบรมกันไว้อย่างไรก็ช่าง บวชไปสัทธิวิหาริก อันเตวาสิก จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่เคยโผล่หัวมาพบกันเลย จะเลวจะทรามยังไงก็ช่าง เดี๋ยวนี้เขาดี เขาตัดได้ เขาปลงกันได้ ช่างเขาเถอะนะ เป็นไปตามสมัยนิยม

    แล้วเรียกว่าพระที่เข้ามาบวชก็บวชตามประเพณี อุปัชฌาย์บวชให้ก็บวชตามประเพณี ท่านที่เป็นอุปัชฌาย์ก็เป็นไปตามประเพณี ก็หมดเรื่องกันไป ไม่มีใครขัดคอกัน ตอนก่อนที่ท่านจะเข้าวัดบวช พ่อมาแจ้งว่า ลูกปานเอ๊ย ลูกอายุย่างเข้า 21 ปีแล้ว ครบ 20 ปีบริบูรณ์สมควรจะบวชได้แล้วนะ พรุ่งนี้พ่อจะนำไปฝากหลวงพ่อสุ่นนะ ไปบวชที่วัดบางปลาหมอนะ วัดบางนมโคใกล้บ้านของเราน่ะอย่าบวชเลย พ่อ ไม่เลื่อมใสพระ เพราะเวลานั้นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคก็ขนาดที่เรียกว่าพระนั่นแหละ พระหรือพะก็ไม่แน่นัก

    มีหน้าที่ท่องหนังสือสวดมนต์ให้ได้มาก ๆ ซ้อมหนังสือเอาไว้ให้คล่องเอาไว้เป็นทางหากินกัน ได้มาแล้วก็มานอนตีพุงเขลง ซื้อบุหรี่ ซื้อน้ำตาล ซื้อน้ำนมกิน ดีไม่ดีก็ไปเกี้ยวสาว ได้สตางค์มาก ๆ ก็เอาไปซื้อทองหมั้นสาว ๆ กลายเป็นคนหากินบนหลังคนไป นี่พระแบบนั้นเขาเรียกว่า อุปสมชีวิกา อาศัยศาสนา ทรงชีพ พ่อหลวงพ่อปานท่านไม่เลื่อมใส ท่านบอกว่าพระอย่างนี้ถ้าลูกไปบวชอยู่ด้วยก็จะเสีย อย่าบวชเลย ไปบวชกับหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอเถิด ท่านดี

    ความจริงตำบลบางนมโคกับตำบลบางปลาหมอน่ะ ติดกัน ไม่ไกลกันมาก เขตติดกันเลย ตำบลบางปลาหมอนี่เป็นเขตของอำเภอบางบาล ตำบลบางนมโคเป็นเขตของอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเหมือนกัน ใกล้กัน ห่างกันประมาณกิโลเศษ ๆ ในเมื่อ พ่อแนะนำน อย่างนั้น ท่านรับคำว่าพรุ่งนี้จะเข้าวัด
     
  12. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕๒.หลวงพ่อปานเมื่อเป็นหนุ่ม

    ที่บ้านของท่านมีคนรับใช้อยู่คนหนึ่ง เรียกกันว่า ทาส ชื่อว่าพี่เขียว อายุประมาณ 25 ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกัน 2 คน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา บอกว่าตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ไม่เคยจับเนื้อใคร ท่านคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดียังไงผู้ชายถึงอยากได้กันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ก็สงสัยจะบวชแล้วนี่ ถ้ามันดีจริงแล้วก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็ไม่สึกละ

    เมื่อคนว่างก็เข้าไปหาพี่เขียว พี่เขียวแกอยู่ในครัว เป็นทาส แต่ว่าท่านเรียกพี่ในฐานะที่เขาแก่กว่ากว่าตัว ยกมือไหว้บอกว่า พี่เขียวขออภัยเถอะ ฉันขอจับเนื้อพี่เขียวดูหน่อยได้ไหมว่าเนื้อผู้หญิงน่ะมันดียังไงเขาถึงชอบกันนัก พี่เขียวก็แสนดี อนุญาต ท่านก็เลือกจับเนื้อกล้าม เขาเรียกกล้ามเนื้อที่หน้าอก ผู้หญิงนี้มีกล้ามเนื้อพิเศษอยู่ที่กล้ามเนื้อ 2 กล้ามที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมากหรอก จับตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน ๆ จับ ๆ แล้วก็มาจับน่อง เอ๊ มันคล้ายกัน

    บอกพี่เขียวว่านี่มันคล้ายกันนี่ พี่เขียวแกก็บอกว่าเป็นอย่างนั้นมันก็คล้ายกัน แล้วท่านก็ถามพี่เขียวว่าทำไมผู้ชายเขาถึงชอบเนื้อผู้หญิงนัก ดันไปถามผู้หญิงได้ นี่ว่ากันอย่างเรา ๆ นะ แล้วเขาจะตอบอย่างไร เขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้เขาชอบกันอย่างไร แล้วท่านก็ยกมือไหว้ขอขมาพี่เขียว บอกว่าขอโทษนะพี่เขียวนะ ที่ขอจับเนื้อนี้ไม่ใช่ดูถูกดูหมิ่น อยากจะพิสูจน์เท่านั้นว่ามันดีอย่างไร พี่เขียวให้อภัย

    แล้วท่านตั้งใจว่าเนื้อหน้าอกของผู้หญิงที่ผู้ชายต้องการ แล้วก็เนื้อของท่านที่น่องมันมีสภาพคล้ายคลึงกัน เนื้อของเราก็มี แล้วไปต้องการเนื้อของเขาทำไม นี่เขาเรียกว่าคิดอย่างคนไม่อยากมีเมียนะ คิดแบบนั้น ถ้าอย่างคนอื่นเขาจะว่าท่านโง่ก็ตามใจเถอะ ท่านก็เลยบอกว่าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็คิดว่าไม่สึกล่ะ บวชคราวนี้ไม่สึก สึกมาทำไม ให้แต่งงานก็ไปจับเนื้อเหมือนเนื้อ ไอ้เนื้อของเรากับเนื้อของเขาก็เนื้อเหมือนกัน จะต้องไปเอาเนื้อของเขามาทำไม นี่เป็นเรื่องของคนไม่เป็นเรื่องนะ เรียกว่าคนไม่เห็นดีในการแต่งงานเขาคิดกันอย่างนั้น
     
  13. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕๓.สู่ร่มกาสาวพัสตร์

    พอวันรุ่งขึ้นท่านพ่อก็พาถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปวัดบางปลาหมอ เวลาเดินไปตามทาง ท่านไปพบปลาตัวหนึ่งมันอยู่ในหนองน้ำเกือบจะแห้ง เป็นปลาช่อนตัวใหญ่ ท่านก็จับเอาไป พอถึงแม่น้ำท่านก็ปล่อย ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านไม่เคยฆ่าสัตว์เลย ไอ้สัตว์นี่นะตัวเล็กตัวใหญ่ก็ตาม ถ้าฆ่ามันโดยเจตนาแล้วไม่เคยทำ แม้แต่ยุงก็ไม่เคยตบ แสดงว่าท่านมีบารมีมากเหลือเกิน บุญตามมาหา

    ไม่เหมือนฉันนะ ฉันนี่ไปเทียบกับท่านไม่ได้ ระยำมามาก ท่านดีมาก แต่ฉันระยำมาก แต่ความจริงถ้าเอาตัวท้ายเหมือนกันนะ แต่มันคนละมาก มากมีราคามาก กับมากไม่มีราคา ของท่านมากมีค่าสูง เรียกว่ามากได้มาสูง ของฉันมากเสียไปสูง ไอ้มากแบบนี้ไม่เป็นเรื่อง อย่าตามฉัน เมื่อท่านเข้าหาหลวงพ่อสุ่น อ้อ พอไปถึงแม่น้ำแล้วท่านปล่อยปลา ปล่อยปลาแล้วท่านพ่อก็พอไปหาหลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นเห็นเข้ากวักมือเลยบอกว่าเวลานั้น ไม่ทันจะถึงตัวท่าน พอเห็นเข้าก็เรียกชื่อพ่อท่าน พ่อของท่านนี่ฉันลืมเสียแล้ว ลืมชื่อทั้งพ่อทั้งแม่เลยนะ นึกไม่ออกคือไม่ได้นึกมานาน นึกไม่ออกจริง ๆ

    พอเห็นพ่อท่านก็กวักมือบอกว่า ไง เอ็งพาเจ้าปานมาอยู่วัดหรือ จะเอาเจ้าปานบวชหรืออย่างไร ท่านพ่อบอกว่าใช่ขอรับ เอ้อ ดีจริง ๆ นี่ข้านึกไว้นานแล้วเชียวนา นึกว่าถ้าเจ้าปานมันจะบวชล่ะก็ ข้าจะให้มันมาอยู่กับข้า ถ้าหากว่าแกเอาไปเป็นนาคไว้ที่วัดนางนมโค เวลาข้าไปเป็นอุปัชฌาย์ ข้านึกว่าบวชแล้วข้าจะเอาของข้ามาเลยนา ข้าตั้งใจไว้นานแล้ว เวลานั้นท่านเรียกเข้าไป หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบหลวงพ่อสุ่นก็เอามือลูบหัวบอกว่า ปานเอ๊ยอยู่กับพ่อนะ จะได้ดีนะ นับตั้งแต่นี้ต่อไปเป็นลูกของพ่อ เอาล่ะ ท่านหันไปบอกพ่อของท่าน เอ็งน่ะกลับไปบ้านได้แล้ว ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงไอ้เจ้าปาน มันเป็นลูกของข้าแล้ว แน่ะ

    แทนที่จะรับเป็นลูกศิษย์ พ่อรับเป็นลูกเลย แล้วแกไม่ต้องห่วง เจ้าปานของข้ามันไม่สึก แล้วต่อไปน่ะข้ามีอะไรข้าจะถ่ายทอดให้มันทั้งหมด ไอ้นี่ข้ามองมาตั้งแต่เล็กแล้ว ตั้งแต่ 4-5 ขวบข้าก็มอง ๆ มา นึกว่าถ้าเจ้าปานนี่มันบวชก่อนข้าตายแล้วข้าจะต้องเอามาไว้ วิชาความรู้ของข้านี่ถ่ายทอดใครไม่ได้ ไม่มีใครรับเอาไปได้หมด ข้ามองมานานแล้วว่าเจ้าปานมันรับของข้าได้

    ท่านบอกว่าพอฟังเท่านั้นแหละ ปลื้มใจบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าท่านจะเป็นคนที่หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอต้องการตัว เพราะเวลานั้นหลวงพ่อสุ่นมีชื่อเสียงพุ่งโด่งดังมากเป็นกรณีพิเศษ มีหลวงพ่อปั้น วัดพิกุล, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อะไรพวกนี้มีชื่อเสียงบอกไม่ถูก อ้อ (แต่ว่าหลวงพ่อโหน่ง) ยังมีหลวงพ่อเนียมสินะ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย แล้วก็หลวงพ่อแสง วัดพะเนียงแตก จังหวัดนครปฐม ชื่อก้องเมือง พระ 4-5 องค์นี้ชื่อก้องเมืองขนาดหนัก

    หลวงพ่อปานบังเอิญไปเป็นศิษย์หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นบอกว่าเป็นลูกของท่าน ท่านจะเอาไว้เป็นลูกของท่าน ท่านก็ดีใจใหญ่ ต่อมาเมื่อท่านพ่อกลับแล้ว ท่านก็แนะนำถึงวิธีการบวชว่า ปานเอ๊ย การบวชนี้เป็นของยากนะลูกนะ แต่ ไม่ยากจนเกินไป เจ้าจะบวชจะต้องจำตรงนี้ไว้ก่อน ท่านกางหนังสือเจ็ดตำนานให้ดูถึงตัวขานนาคว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา แปลว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

    นี่เราอย่าบวชเป็นทาสกิเลสตัณหานะ คิดว่าเวลาบวชน่ะบวชเข้ามาแล้วนะปาน โลกธรรมต้องทิ้งให้หมดนะ อย่าเกาะนะ ถ้าเกาะมันตัวเดียวไม่เป็นพระเลย ถึงแม้ว่าจะห่มผ้าเหลืองโกนหัวก็ตาม จะถือว่าเรามีศีลน่ะไม่จริง โลกธรรม 8 ประการมีอย่างนี้ จะพูดให้ฟังนะ คือ

    1. อยากรวย คือ อยากมีลาภอยากรวย เมื่อได้ทรัพย์มาแล้วดีใจคิดว่าเรามีทรัพย์ เราจะสะสมเป็นทรัพย์สินให้มาก

    2.ถ้าทรัพย์หมดเสียใจ

    3.อยากมียศ อยากมียศฐาบรรดาศักดิ์ ได้ยศมาแล้วปลื้มใจ

    4.เมื่อยศหมดไปเสียใจ

    5.นินทา เมื่อได้รับคำนินทาแล้วเดือดร้อน

    6.ถ้าได้รับคำสรรเสริญก็ยินดี

    7.มีสุขในกามารมณ์ มีความเพลิดเพลิน

    8.มีความทุกข์ก็หวั่นไหว

    สิ่งทั้งหลายเหล่าอื่นไม่ต้องจำ จำว่า 1 บวชพระจงอย่ารวย อย่าสะสมเงิน ถ้าไม่มีเงินก็จงอย่าเดือดร้อน ไม่เป็นไร บ้านเราไม่ต้องเช่า ข้าวเราไม่ต้องซื้อ ชาวบ้านเขาหาให้ อย่าหวังรวย ถ้ารวยแล้ว ไม่ใช่พระ บวชสักกี่ร้อยพรรษาก็ไม่ใช่พระ ถ้าเราจะรวยต้องรวยด้วยศีลด้วยธรรม รวยด้วยบุญบารมี เงินได้มาเท่าไรทำเป็นสาธารณประโยชน์ให้หมด เหลือกินเหลือใช้ตามความจำเป็น แล้วใช้เป็นส่วนสาธารณประโยชน์ให้หมดอย่าให้มันเหลือ นี่จงอย่ารวย รายการที่ 2 อย่ารับยศ

    ถ้าจำเป็นจะต้องรับยศ อย่าเมายศ จงคิดว่าเราเป็นพระ เราบวชเพื่อพระนิพพาน ยศฐาบรรดาศักดิ์มันเป็นโลกธรรม มันเป็นตัวถ่วง ตัวกิเลส ยศเป็นกิเลส ลาภเป็นกิเลส สรรเสริญเป็นกิเลส ความสุขในกามารมณ์เป็นกิเลส ถ้าเราพอใจในเหตุ 4 อย่างนี่ เราไม่ใช่พระ ถ้าขืนบวชเท่าไรก็ไม่ใช่พระ มันจะตกอเวจีมหานรก จงจำไว้ จงจำไว้ แล้วก็อย่าทำนะ อย่าฝืนไปเกาะตามนั้น คิดอย่างเดียวว่าเราบวชเพื่อพระนิพพาน ปานเอ๋ย วิชาความรู้นะลูก ที่พ่อมีอยู่ทั้งหมด ถ้าเธอมีอารมณ์อย่างนี้พ่อให้ไม่มีเหลือ

    เอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน ในฐานะที่ลูกเข้ามาเป็นวันแรก จะให้เรียนอะไรมันก็ยังไม่ดีนะ ต่อไปนี้ก็ท่องขานนาคเสียให้ครบ แล้วก็ท่องหนังสือสวดมนต์ให้ได้ แล้วเอาคาถานี้ไป คาถาคือธาตุทั้ง 4 นะ มะ พะ ธะ ให้ว่าถอยหลังเอาไปเป่ากุญแจนะ เป่าให้กุญแจมันหลุด กุญแจนี่กดให้มันติดแล้วเป่าให้มันหลุด ถ้าเจ้าเป่ากุญแจหลุดได้เมื่อไรมาบอกพ่อ ต่อแต่นั้นพ่อจะให้ของดีทุกอย่างที่พ่อมีอยู่ ที่สุดของความดีน่ะไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่พ่อมีอยู่น่ะพ่อจะให้ไม่เหลือเลย หลวงพ่อปานรับคำแล้วท่านให้จัดสถานที่ให้

    เมื่อหลวงพ่อสุ่นจัดสถานที่ให้แล้วท่านก็มาท่องขานนาค ขานนาค หมายความว่าคำขออุปสมบท แล้วก็ท่องหนังสือสวดมนต์พร้อมเป่ากุญแจไปด้วย ท่านบอกว่าท่านนั่งเป่ากุญแจมา 1 เดือน กุญแจกดไว้เป่าเดือนหนึ่งมันไม่ออก กุญแจลอกหมดสีขาวจ๋อง สนิมเหล็กมันหมดไป

    เพราะถูกเหงื่อมือบดสี แต่ทว่าวันหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร พอทำใจสบาย ๆ นอนเผลอ ๆ ลุกขึ้นมาพอจับกุญแจเป่ามันก็หลุด ผลัวะ มันหลุดง่าย เป่ามาตั้งเดือนไม่หลุด ต่อแต่นั้นไปเป่ากุญแจดอกไหนมันก็หลุด หนักเข้า ๆ ไม่ต้องเป่า เอามือไปแตะก็หลุด ผลที่สุดไปซื้อกุญแจ 30-40 ดอก เอาใส่ราวเอามือกดให้ ติด เอามือแตะราวเท่านั้นแหละ กุญแจหลุดออกหมด แม้แต่กุญแจจีนก็หลุด เป็นอันว่าเรื่องกุญแจท่านทำได้

    นี่เป็นวิธีการของหลวงพ่อสุ่นสอนให้หลวงพ่อปานฝึกสมาธิ เพราะหลวงพ่อสุ่นเป็นคนมีฤทธิ์ ฤทธิ์ ต่าง ๆ จะเกิดมาได้ก็เพราะอาศัยจิตเป็นสมาธิเป็นของสำคัญ แต่ว่าถ้าจะบอกว่าสอนให้ทำสมาธิ อันนี้เป็นจะไม่เอากัน สอนให้สะเดาะกุญแจ ถ้าคิดว่าจะเก่งอย่างขุนแผนก็ให้ใช้คาถาบทนี้เป่ากุญแจให้หลุด ในที่สุดหลวงพ่อปานท่านก็เป่าหลุด พอเป่าหลุดแล้วปรากฏว่าตอนกลางคืนหลวงพ่อสุ่นก็เรียกเข้าหา

    ถามว่าท่องขานนาคจบแล้วหรือยัง ท่านบอว่าท่านท่องจบแล้ว หนังสือสวดมนต์ท่องถึงตรงไหน ท่านบอกว่าท่องถึงบทนั้นบทนี้จวนจะจบเจ็ดตำนาน แต่ว่าทุกวันท่านเรียกไปสอนจริยาของพระตั้งแต่เป็นนาค สอนวิธีบวช ทุกอย่าง ว่าบวชพระแล้วต้องปฏิบัติอย่างไร เขาเรียนรู้กันมาตั้งแต่เป็นนาค ไม่ใช่บวชแล้วมาเรียนรู้กัน ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ให้อยู่วัด 2 เดือน 3 เดือน ก็เพื่อให้เรียนรู้ตั้งแต่เป็นนาค หลวงพ่อสุ่นถามว่า ไอ้คาถาเป่ากุญแจที่หลวงพ่อให้เอ็งน่ะ เอ็งเป่าได้หรือยัง หลวงพ่อปานบอกว่าเป่าหลุดแล้วขอรับ

    ท่านก็หยิบกุญแจจีนมากดเสียแน่น หลวงพ่อปานพอหยิบกุญแจจีนหลุดผลัวะกระเด็นออกไปเลย ขนาดกระเด็นหลุดออกนอกตัวไป หลวงพ่อสุ่นหัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่า ปาน นี่เป็นพื้นฐานความดีขั้นแรกนะ ความดีต่อไปยังมีอีก วันนี้กลับไปก่อนนะ วันพรุ่งนี้ค่อยมาหาพ่อใหม่ พ่อจะให้เรียนต่อ ลูกไม่ต้องกลัวนะ อยู่กับพ่อ ๆ ให้ ทั้งหมด อะไรก็ตามที่รู้ว่ามีดีที่พ่อมีอยู่ ถ้ารู้ว่าเจ้าต้องการพ่อจะให้หมด เอ้าสำหรับวันนี้เจ้ากลับไปก่อนนะ หลวงพ่อปานท่านก็กราบ ๆ แล้วท่านก็กลับ

    เรื่องราวของหลวงพ่อปานมีเยอะนะ แต่ว่าฉันมันพูดไม่ค่อยตรงทาง อาจต้องพูดนานก็ได้ วันนี้ขอลาลูกหลานทุกคนก่อนนะ ขอลูกหลานทุกคนจงปลื้มใจว่าบ้านทิพย์ของลูกหลานทุกคนมีแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาลูกหลานทุกคน สวัสดี
     
  14. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕๔.หลวงพ่อปานเรียนหมอ

    ลูกหลานที่รักทั้งหลาย วันนี้วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2515 เป็นเวลาประมาณ 8 โมงครึ่ง เศษ ๆ ฉันลงมือบวงสรวง ที่ต้องบวงสรวงก็เพราะว่าเมื่อตอนกลางคืนของวันที่ 18 เวลาที่ฉันนั่งกรรมฐาน ตอนนั้นลุงพุฒิแกมาหาฉัน แกบอกว่า ท่าน เวลาเล่าเรื่องหลวงพ่อปานนะก็ขอให้เล่าเรื่องพระลงอเวจีไว้ให้มากด้วย ถามว่าไปพูดทำไม ฉันจะไปรู้หรือว่าใครจะลงหรือไม่ลง ฉันไม่ใช่พระพุทธเจ้านี่จะได้เป็นสัพพัญญูวิสัย และจะรู้ได้ไง

    ลุงพุฒิแกก็บอกว่าเรื่องนี้นะ หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอ อุปัชฌาย์ของ หลวงพ่อปานเอง เวลาที่หลวงพ่อปานเข้าไปบวชอยู่กับท่านก็ดี หรือขณะที่เป็นนาคก็ดี หลวงพ่อสุ่น สอนเรื่องนี้ไว้มาก บอกว่าป้องกันไม่ให้หลวงพ่อปานตกนรก แล้วการบวชให้บวชอย่างเป็นพระ ถ้าการทำตัวไม่เป็นพระแล้วมันลงนรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระถ้าลงนรกแล้วไม่พ้นอเวจีนมหานรก เพราะว่าพระมีบุญมาก เวลาบาปก็บาปมาก

    เลยถามแกว่า นี่ ลุงแกมาสอนให้ฉันพูดอย่างนี้นะ แล้วในเมื่อเรื่องนั้นฉันไม่รู้อยู่นี่ แล้วฉันจะเอาเรื่องอะไรมาพูด ถ้าพูดมันก็เป็นการโกหกพกลมให้ลูกหลานฟัง มันจะดีรึ ไอ้เวลาฉันจะลงนรกน่ะ แกไม่ลงกับฉันนา แกเคยชี้หน้าว่าฉันอยู่เสมอว่า กรรมชั่วเป็นกรรมชั่วนา กรรมดีเป็นกรรมดี เรื่องพรรคพวกหรือเพื่อนฝูงนี่น่ะก็ยกไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนความดีความชั่วนี่ยกไว้ส่วนหนึ่งไม่รวมกัน แล้วแกดันมายุให้ฉันพูดเรื่องพระลงอเวจีมหานรกนี่มันจะมีประโยชน์อะไร แล้วฉันจะไปรู้อะไรล่ะ

    เวลาที่ หลวงพ่อปานบวชหรือไปเป็นนาคน่ะ ฉันเกิดทันที่ไหนล่ะ ฉันไม่ทัน ฉันไม่เคยได้ยินเสียยงหลวงพ่อสุ่นสอนหลวงพ่อปานเลย แล้วลุงจะมาเกณฑ์ให้ฉันพูดว่ายังไง เวลาพูดจบลงไปเท่านี้ก็พอดีปรากฏว่าหลวงพ่อสุ่นกับหลวงพ่อปานท่านมา ท่านก็บอกนี่ลูก หลวงพ่อสุ่นว่ายังงั้นนะ พ่อสอนท่านปานจริง ๆ ก่อนจะบวชหรือก็ตามหรือว่าเวลาบวชแล้วก็ตาม ท่านพร่ำสอนอยู่ทุกวัน เรียกว่าพรรษาแรกทั้งพรรษานั้นไม่มีทาง ห่างกัน อุปัชฌาย์กับสัทธิวิหาริกไม่มีทางห่างกัน ท่านพร่ำสอนอยู่ทุกวันถึงวิธีกันการลงนรก ก็เลยกราบเรียนท่านว่า

    ถ้ายังงั้นล่ะก็ เวลาผมจะพูดขอหลวงพ่อมาบอกด้วยได้ไหม ท่านก็บอกว่าได้ ต่อแต่นี้ไปเธอจะต้องพูดเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มา เรียกว่าไม่เคยรู้มาก่อน เธอจะต้องบวงสรวงและชุมนุมเทวดาเสียก่อน เมื่อเธอบวงสรวงและชุมนุมเทวดาแล้ว เวลาชุมนุมเทวดาต้องตั้งจิตนึกน้อมไปตั้งแต่พระพุทธเจ้าลง แล้วพรหม ทั้งหมด เทวดาทั้งหมด เวลาบวงสรวงนึกถึงท้าวมหาราชทั้ง 4 ท่าน แล้วท่านจะได้มาบอก ๆ ว่าวิธีบอกแบบเขียนคำบอกน่ะนะ เรียกว่าไม่สะดวก ก็ขอให้บอกอย่างประเภทเข้าสิงใจได้ไหม ท่านบอกว่าได้

    เอายังงี้ก็แล้วกันนะ เอาตามวิธีที่เขียนหนังสือพระกรรมฐาน ความรู้สึกมันจะเกิดขึ้นเองแล้วก็พูดไป แล้วก็จะตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง เลยรับคำจากท่าน เมื่อรับคำจากท่านแล้ว แล้วก็เรื่องนั้นเป็นอันว่าหมดกันไปนะ ท่านรับคำแล้วนี่ ตานี้เวลานี้ที่จะพูดก็ต้องบวงสรวงตามท่านสั่ง

    เรื่องการบวงสรวงหรือชุมนุมเทวดานี่นะ ลูกหลานนะ ลูกหลานอาจจะลำบากใจ เพราะว่า นักปราชญ์สมัยใหม่ที่เขามองไม่เห็นด้วยน่ะมันมาก แต่ช่างเขาเถอะนะ สิ่งเหล่านี้มันเป็นปัจจัตตัง ผู้ทำเองเข้าถึงเองจะรู้เองเท่านั้น เหมือนกับเรากินอาหาร เรากินเกลือเราบอกว่าเกลือมีรสเค็ม เรากินส้มบอกว่าส้มมีรสเปรี้ยว เรากินน้ำตาลบอกว่าน้ำตาลมีรสหวาน ในเมื่อเรากินเข้าไปแล้ว เรารู้ว่าความเค็มเป็นยังไง ความเปรี้ยวเป็นยังไง ความหวานเป็นยังไง ตานี้เราจะไปบอกกับคนที่เขาไม่ได้กิน คนที่เขาไม่ได้กินเขาจะรับรู้กับเราได้ยังไงว่ารสหวาน รสเปรี้ยว รสเค็มมันมีสภาพเป็นยังไง มันกระทบประสาท จะมีความรู้สึกเป็น ยังไง ข้อนี้มีอุปมาฉันใด

    แม้การบวงสรวงหรือว่าการชุมนุมเทวดาก็เหมือนกัน นักปราชญ์สมัยใหม่ท่านมีความรู้มาก เรียกว่ารู้มากจนไม่เชื่อว่านรกมี สวรรค์มี นี่เป็นเรื่องของท่าน แต่ว่าที่ท่านเชื่อก็มีมากนะ ลู กหลานอย่าไปโทษท่าน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ใครเขาจะรู้ว่าวิธีการบวงสรวงมีจริงหรือไม่ ทำไปแล้วมีผลจริงหรือไม่ การชุมนุมเทวดามีผลประการใด เทวดามาหรือไม่มา นี่ก็เป็นเรื่องของคนบวงสรวงหรือ คนชุมนุมเทวดาเหมือนกัน ถ้าคนเราไม่เข้าถึงเทวดา ไม่เข้าถึงพรหม ไม่เข้าถึงพระ แม้จะเรียกเท่าไหร่ เทวดา หรือพรหม หรือพระ ท่านก็ไม่มา

    ถ้าหากว่าเราเข้าถึงเสียแล้ว เพียงแต่นึกถึงท่านก็มา แล้วเวลามาท่านพูดว่ายังไง อีตอนนี้ก็ต้องศึกษาตามหลักสูตรของพระพุทธเจ้า สำหรับการศึกษา ลูกหลานที่รักฟังให้ดีนะ ลูกหลานอย่าศึกษาแต่เฉพาะหนังสือนะ การอ่านหนังสือเฉย ๆ นั้นเป็นแต่เพียงฟังคนอื่นเขาเล่าให้ฟังเท่านั้น มันจะไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่เคยกินส้ม กินเกลือ กินน้ำตาล เมื่อเรารู้วิธีการกินเราก็ต้องกินเองด้วย ทำจิตให้เข้าถึงเรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของนามธรรม นี่ตามที่นักอภิธรรมเขาพูดกันนะ

    ความจริงไม่อยากจะพูดคำนี้ เพราะว่าลูกหลานน่ะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ลูกหลานของฉันทุกคนเป็นคนดี มีความสุภาพ มีจิตอ่อนโยน มีจิตน้อมเข้าไปในธรรม เวลานี้ฉันปลื้มใจที่สุดแล้วนะ ฉันภูมิใจ ที่สุดที่หลวงพ่อปานพยากรณ์ฉันไว้ว่า นับตั้งแต่เธอบวชครบ 20 พรรษาไปแล้ว ความประสงค์ของเธอ ทั้งหมดจะสมหวัง อีตอนนั้นฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าฉันจะทำได้ยังไง คนอย่างฉันน่ะเรอะมีความรู้ก็ไม่เท่าหางอึ่ง ทุนรอนที่จะเรียนกับเขาก็ไม่มี แล้วสติปัญญาก็ต่ำ

    แต่ทว่าเวลานั้นฉันมีอารมณ์สูงเกินไป ฉันคิดว่าฉันจะพยายามช่วยตัวของฉันให้ได้ เพราะก่อนที่จะเข้ามาบวชน่ะ ลูกหลานก็เคยทราบประวัติของฉันมาแล้วว่า การที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานี่น่ะ ฉันไม่ได้บวชเพราะศรัทธาความเชื่อเฉย ๆ ฉันเข้ามาพิสูจน์คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เคยได้ฟังพระเทศน์ว่า นรกมีจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง พระนิพพานมีจริง คำว่าพระนิพพานสูญน่ะ ฟังมาถึงจะสูญหรือไม่สูญ ชื่อของพระนิพพานก็ปรากฏ ตอนฉันอยากจะเห็นสวรรค์ อยากจะเห็นพรหมโลก อยากจะท่องเที่ยวไปสถานที่นั้น ๆ บ้าง ฉันก็หาครูบาอาจารย์ที่ถูกใจฉันมันไม่มี มีแต่พระเทศน์ แต่พระสอนมันไม่มี

    ในที่สุดฉันก็มาได้หลวงพ่อปาน วัด บางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นคุณาจารย์ประจำตระกูลของฉันเอง ตระกูลของฉันทั้งก๊กเคารพหลวงพ่อปานเหมือนพ่อ ครั้นเมื่อมาพบท่านเข้าท่านก็ท้าทายทุกอย่างว่าสิ่งที่เธอต้องการของฉันมีหมด เอาเข้านั่น นี่มาเจอะคนจริงเข้า แล้วในที่สุดก็บวช บวชพิสูจน์ความจริง ว่าถ้าหาความจริงไม่ได้เราก็จะไม่นับถือพระศาสนา มาสอนโกหกกันแบบนี้น่ะมันใช้ไม่ได้ ไม่เอา เอาเปรียบชาวบ้าน แต่ที่ไหนได้

    ครั้นมาอยู่กับท่านเข้า อะไรก็ตามในขั้นต้นในสมัยนั้นท่านสอนให้ได้หมดในพรรษาแรก แล้วฉันเองมันก็คนไม่ค่อยเต็มเต็งนาลูกหลานนา ลูกหลานที่รักอย่านึกว่าฉันเป็นคนดีนะ ฉันนี่น่ะคนไม่ค่อยเต็มเต็งนักนา ถ้าจะเอาอะไรขึ้นมาล่ะก็ ฉันก็สู้มันด้วยชีวิต ฉันเอาชีวิตของฉันเข้าแลกสิ่งเหล่านั้น ถ้าฉันไม่ได้มาฉันจะตายฉันก็ยอมนี่ แล้วฉันมันเป็นคนไม่เต็มบาทกับเขา เวลาทำอะไรทำอย่างชนิดที่ว่าเอาชีวิตเข้าแลกกัน แต่มันกลับปรากฏว่าเป็นผลดีไปได้ตอนต้น ได้แล้วฉันก็มาคิดว่าฉันเคยอ่านคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าการสอนคนให้เข้าถึงทิพยสมบัติเป็นของดี

    ฉันก็ตั้งเข็มทีเดียว ตั้งเข็มว่าฉันจะทำอย่างนั้นบ้าง แต่จัดในวงการแคบ ๆ แต่ว่าลูกหลานที่รักเอ๋ย ในตอนต้นฉันเกิดความเบื่อหน่ายหลายวาระ เพราะการไปพูดอะไรกับบุคคลประเภทอย่างนั้นเข้า (ไปพูดแบบนี้น่ะแบบที่ฉันต้องการ) เขาหาว่าฉันบ้าเสียสิ ฉันเป็นคนที่ไหนเล่า เขาหาว่าฉันบ้า ไปพูดอย่างนั้นมันไม่ถูก สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นฉันพบมาเอง เขาก็ไม่เชื่อ แล้วแถมพวกพระด้วยกันนี่ล่ะนะ พวกโกนหัวห่มเหลืองเหมือนกันนี่แหละ อย่าไปว่าท่าน ทุกองค์นะ บางองค์เท่านั้น ที่ฉันเป็นเพื่อนเป็นฝูงกันพอรู้จักกัน

    ฉันบอกว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง พวกเราคงจะทำให้ปรากฏเป็นการชดใช้ความดีของพระพุทธเจ้าที่ท่านมีคุณ พวกเหล่านั้นเขาก็หาว่าฉันบ้า ดีไม่ดีพวก นักเทศน์นี่แหละเขาบอกว่าสวรรค์ไม่มีนรกไม่มี พระสูตรทั้งหลายเหล่านี้เป็นคนรุ่นหลังเขียนขึ้น นี่แสดงว่าเขาเกิดก่อนคนเขียน นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ซีลูกหลาน ตานี้มาตอนนี้แหละ มานับเอาตั้งแต่ตอนนี้ก็แล้วกัน ตั้งแต่ พ.ศ. 2510 ตั้งแต่เริ่มพล นาวาอากาศเอกอาทร และศิริรัตน์ โรจนวิภาต นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ฉันเกิดพบคนจริงเข้า เขาเอาจริงทุกคน อย่างขนาดที่เรียกว่า กลางวันเขามีงานหนัก กลางคืนเขาก็ไปฝึกกับฉัน ไปหาฉันได้ทุกคืน เขายกคณะกันไปกลับดึก ๆ ดื่น ๆ แล้วเขาไปได้ทุกวัน

    แล้วต่อมาก็มาพบลูกพบหลานทั้งหมดนี่แหละ ใครบ้างก็ช่างเถอะ ไปนั่งเรียงชื่อกันอยู่ได้ยังไงล่ะ ถ้าขืนเรียงชื่อเรียงกันไม่ไหว แล้วฉันก็จำชื่อไม่ได้หมดนี่ เป็นอันว่าพบคนจริงเข้า อีตอนหลังมาพบคนจริงเข้า ฉันเลยเอาจริงเข้าบ้าง แล้วไอ้ความจริงมันปรากฏ ปรากฏยังไง ที่แนะนำให้ลูกหลานทำบุญน่ะรึฉันดีใจ เปล่า ฉันไม่ได้ดีใจหรอก แต่ทำบุญเข้ามาแล้ว จะทุ่มเทเงินกันเข้ามาประมาณนี่ที่ฉันมาอยู่วัดท่าซุงนี่น่ะ คิดจำนวนเงินที่สร้างตึกใหม่นี้ได้ล้านเศษ แล้วคิดวัดสามจีนคือวัดเสริมศรีศุขสวัสดิ์ด้วย รวมกันเข้าไปคิดตัวเงินทั้งหมดล้าน เศษ ๆ แล้วฉันดีใจไหม ลูกหลานที่รักคงคิดว่าฉันจะดีใจกระมัง เปล่า เข้าใจผิด ฉันยังไม่ดีใจ

    การสร้างวัตถุภายนอกมันยังช่วยชีวิตไม่ได้ แต่ว่าสิ่งที่ดีใจคือลูกหลานทุกคนมีจิตเข้าถึงธรรมะ เข้าถึงธรรมแล้วเข้าถึงมากหรือถึงน้อยก็ตามใจ ฉันพอใจ ขึ้นชื่อว่าคนมีเงินนะ จะมีนับเป็นล้านเป็นโกฎิหรือมีบาทสองบาทฉันก็พอใจ เรียกว่าเป็นคนมีเงินแล้ว ตอนมีเงินแล้วนี่ฉันก็ยังไม่ดีใจมาก ดีใจนิดเดียว มาตอนนี้ซี ฉันขึ้นไปสำรวจผลความดีของลูกหลาน ไปสำรวจที่ไหนล่ะ ก็อาจารย์ของฉันเป็นยังงี้นี่ หลวงพ่อปานน่ะนะ หลวงพ่อปานท่านทำแบบไหน การคบคนเช่นใด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ย่อมเป็นเหมือนคนเช่นนั้น

    เราคบคนกินเหล้า เราก็ชอบเหล้า เราคบคนเล่นการพนัน เราก็ชอบการพนัน เราคบคนเจ้าชู้ ก็ชอบเจ้าชู้ เราคบคนขี้เหนียว เราก็ชอบขี้เหนียว เราคบคนยุ่ง เราก็ชอบยุ่ง นี่ลูกหลานมาคบเอาหลวงตายุ่ยเข้าซี จ่ายกันไม่ไหวเลย ให้สตางค์มาเป็นค่ายา ค่าอาหาร พ่อเล่นอีลุ่ยฉุยแฉก เอาไปทำอะไรต่ออะไรเสียหมด ดีไม่ดียังไม่ทันจะให้มาเลย เอาเข้าอีกแล้ว ไปทำเข้าก่อน ไปเชื่อสินเชื่อเขามาก่อนนี่คุณยุ่ย ยุ่ยขนาดฉันนี่มันหายากเหมือนกัน แต่ว่าฉันยุ่ยขนาดเดียวกับหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานของฉันท่านก็ยุ่ยแบบนี้แหละ นี่ไอ้ความยุ่งของฉัน นี่ฉันหวังดีกับลูกหลาน

    ฉันคิดว่าเงินทองของลูกหลานน่ะนะหามายาก แต่ละคนก่าจะได้เงินมาแต่ละบาทต้องเอาชีวิตเข้าแลก ผู้ที่รับราชการน่ะอย่าคิดว่าสบายนะ เวลาไปทำงานต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่พอใจอยู่เสมอ แล้วก็ต้องมีค่าใช้จ่าย คนที่เขาทำไร่ทำนาเขาคิดว่าข้าราชการมีความสุข แต่ก็เปล่า ถ้าเป็นทหารหรือพลเรือนก็ตาม การเคลื่อนไปทำงานจะรู้หรือว่าชีวิตของเราจะไปกระทบอะไรบ้าง แล้วก็มีความลำบากใจเพียงใด พวกพ่อค้าแม่ขายก็เหมือนกัน กว่าจะได้กำไรเข้ามาแต่ละบาทก็แสนจะลำลาก เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ พวกทำนาทำไร่ก็เหมือนกัน ต้องฟันฝ่าอุปสรรคทุกอย่าง นี่ฉันเห็นว่าเงินของลูกหลานทั้งหมดเป็นของได้มาโดยยาก ฉันเลยกลายเป็นคนยุ่ยไป

    แต่หากว่าฉันรู้ว่าลูกหลานของฉันได้มาโดยง่ายฉันจะไม่ยุ่ยหรอก ฉันจะเป็นคนขี้เหนียว ทำไมล่ะ ทำไมจึงขี้เหนียวได้มาง่าย ๆ ไม่ลำบาก ฉันก็มาเก็บสะสมเอาไว้ให้มันร่ำรวยเสียบ้างจะเป็นไรไป แต่ทีนี้ฉันเห็นว่าลูกหลานทุกคนเป็นคนลำบาก กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท แสนยากแสนลำบากก็อุตส่าห์หามาด้วยความยาก มาแบ่งให้ฉันใช้ ฉันนั่งคิดว่าฉันกินไปบ้าง ฉันซื้อยารักษาโรคบ้าง อันนี้ก็พอสมควร

    แต่ว่าส่วนหนึ่งของเงินของลูกหลาน เรียกว่าส่วนใหญ่ฉันจะไปสร้างบ้านให้ ฉันแอบเอาเงินจำนวนนี้ไปสร้างบ้านให้ ฉันไม่บอกลูกไม่บอกหลานหรอก ดีไม่ดีก็จะขัดคอเอา หมายความว่าเขาบอกว่าเขาทำของเขาได้ เงินจำนวนนี้มันไม่มากมายนัก เอาไว้กินไว้ใช้ก็แล้วกน อันนี้ตามธรรมดาของคนแก่นี่ก็ห่วงลูกห่วงหลาน ฉันเลยย่องเอาไปสร้างบ้านให้ แล้วก็มาขัดเกลาจิตใจคราวละเล็กละน้อยตามกำลังศรัทธา ทำแบบสบาย ๆ ไม่ยาก เมื่อถึงเวลาสมควรในระยะปีนี้ ฉันก็ขึ้นไปสำรวจบ้านที่ฉันสร้าง ฉันสร้างให้ลูกให้หลาน คือว่าฉันเป็นหัวหน้าน่ะ ทุนของลูกของหลาน ไม่ใช่ทุนของฉัน ไปดูแล้วมันสวยแพรวพราว ลูกหลานที่รักมันสวยบอกไม่ถูก มีตระการตา

    อันดับต้นนี้ขนาดหมื่นหลังเศษ เรียกว่าหลาย ๆ จังหวัดด้วยนะ ที่เขามาเอาเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธานี่ บ้านในอันดับต้นน่ะมีหมื่นหลังเศษ อันดับที่สองก็รู้สึกว่ามีมาก อันดับที่สามก็มีไม่น้อย ฉันไปตรวจบ้าน เจ้าหน้าที่เขาก็ชี้แจง บ้านหลังนี้ของคนนี้ บ้านหลังนั้นของคนโน้น แล้วเวลานี้อัธยาศัยของคนไหน ๆ เป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่เขาก็ชี้แจงหมด ฉันกลับลงมาแล้วฉันนอนไม่หลับ ปลื้มใจว่าสิ่งที่ฉันตั้งใจมีแค่นี้

    ที่นี้ต่อไปเมื่อวันที่ 19 เมื่อวานนี้น่ะ มีเรื่องใหม่เกิดขึ้น จะเล่าให้ฟัง เรื่องพิเศษควรจะเล่าให้ฟังไว้บ้าง คือว่าในตอนเช้าปรากฏรองผู้บังคับการตำรวจพิษณุโลก กับรองผู้กำกับเขามาหาฉัน เขามาตั้งให้ฉันเป็นอธิบดีกรมตำรวจ เขาตั้งแบบไหนรู้ไหม เขามาตั้งคำถามฉันว่า เมื่อไรเขาจะได้เป็นผู้บังคับการ เมื่อไรผมจะได้เป็นผู้กำกับ ฉันก็นึกครึ้ม ๆ ใจเหมือนกันนา ตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจนี่พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้แต่งตั้ง แล้วก็ต้องมีความรู้ความสามารถดี แล้วอยู่ ๆ ก็มีคนมายกย่องให้ฉันเป็นอธิบดีกรมตำรวจก็ดีไม่น้อยนา เอาเข้านั่นไหมล่ะ

    แล้วระดับต่อมาเวลาใกล้เคียงกันก็มีคนมา 2 คน แกมาตั้งให้ฉันเป็นพญายมราช คือ คนหนึ่งพ่อป่วย อีกคนหนึ่งแม่ป่วย แกถามว่าพ่อกับแม่ผมที่ป่วยนี่ เรียก่วา 2 รายด้วยกันนะ พูดรวมกันไปเลย จะหายหรือจะตาย นี่มันเป็นตำแหน่งของพญายมราชนี่ ฉันมีบุญไม่น้อยนะ เป็นอธิบดีกรมตำรวจไม่พอ ยังแถมตำแหน่งพญายมราชเข้าไปอีก อ้ายเรื่องเขาป่วยนี่ ก็พอดีฉันมองหน้าลุงพุฒิแก ๆ เป็นโหรใหญ่ ลุงพุฒินี่แกเป็นหมอดูขนาดใหญ่พิเศษเชียวนะ ใครจะตายไม่ตายนี่แกรู้ ใครตายแล้วไปนรกไปสวรรค์แกรู้ หันไปดูแก เห็นแกยิ้มฟันขาวแหง ยกมือโบกบอกว่า ตำแหน่งนี้ ตำแหน่งพยากรณ์คนตายหรือไม่ใช่คนตายนี่น่ะไม่ใช่หน้าที่ของท่าน แกว่าอย่างนั้น โน่น เป็นหน้าที่ของหมอนิดเขา ท่านอย่าเสือก เอาเข้านั่น

    อีตาลุงพุฒินี่แกปากไม่ใช่เล่นเหมือนกัน บอกว่าท่านอย่าเสือกนะ อย่าเสือกพยากรณ์ เป็นเรื่องหมอนิดเขาให้หมอนิดเขาพยากรณ์ เป็นเรื่องของเขา ฉันหมดท่าก็ไม่รู้จะทำยังไง เลยบอกว่ายังงี้ บอกว่าหนูเอ๋ย เอายังงี้ก็แล้วกันนะลูกนะ เรื่องตายหรือไม่ตายนี่หลวงพ่อไม่รู้หรอก แต่ตัวของหลวงพ่อจะตายยังไม่รู้เลย อ้ายเรื่องคนที่เกิดมานี้จะห้ามตายกันไม่ได้นะ ห้ามไม่ได้

    เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ไปหาลวงพ่อ 4 องค์นั่นนะ ที่หลวงพ่อปั่นท่านไว้นะ หลวงพ่อเชิญบารมีท่านไว้ องค์หลังเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าบรรจุอยู่ แล้วอีก 3 องค์ องค์หน้าทางด้านทิศเหนือหลวงพ่อใหญ่ สามภารวัดนี้เดิม เป็นคนสร้างวัด องค์กลางก็คือหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า องค์ที่สามคือหลวงพ่อปานวัดบางนมโค เอ็งเอาธูปเทียนไปบูชาท่านนะ แล้วก็บอกว่าขอให้ช่วยพ่อแม่ของเอ็งให้หาย ให้อาการโรคคลายเป็นปกติโดยเร็ว ถ้าหายแล้วล่ะก็ จะถวายทององค์ละ 100 แผ่น ผ้าห่มองค์ละ 1 ผืน แล้วก็ต้องบอกท่านด้วยนะว่าถ้าไม่เป็นเหตุเกินวิสัย ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัยจะต้องตายก็ช่าง แต่ขอให้อาการโรคดีขึ้น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แล้วเขาก็ไปกัน

    พอไปกันแล้ว อีตอนเขาไปแล้วฉันคิดว่า เอ คนป่วยนี้ก็ควรจะไปเยี่ยม เพราะว่าคนที่มารายงานเขาก็สงเคราะห์ฉันอยู่เหมือนกัน เขาใส่บาตรให้กิน เวลามีงานก็เรียกเขามาใช้ แล้วก็วันนี้เรื่องใหญ่เกิดขึ้น ฉันจะต้องพิมพ์คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปานแจก แล้วก็จะนำธงแม่โพสพคือว่าธงมหาลาภน่ะ เขาลือกันนักว่าธงมหาลาภนี่ เขาไปใช้กันได้ผล เขาว่ายังงั้น ฉันก็ว่าถ้าเขาไม่บูชาแล้วก็ มันไม่ได้ผล ถ้าเขาบูชามันคงจะได้ผล เขาลือกันนี่ แต่มันหมดเสียฉันก็จะไปทำ

    แต่ว่าเวลาจะไปทำนี่ต้องเอาสตางค์ไปให้เขางวดแรกก่อน ฉันก็ไม่รู้จะเอาสตางค์ที่ไหน ก็สตางค์ที่ลูกหลานให้ฉันกินน่ะแหละ ฉันน่ะนับ ๆ ๆ นับไปได้พันบาทเอาไปมัดจำเขา นี่ฉันกำลังก่อสร้าง ไอ้รถเข็นทรายเข็นหินมันไม่มี รถเล็ก ๆ นะ รถไสก็ไปซื้อเขาไว้คันหนึ่งราคา 360 บาท ก็เอาสตางค์ของลูกของหลานนี่แหละไปอีกที่ให้ยากิน เป็นค่ายา แล้วก็ไปซื้อยารักษาโรคไว้ 143 บาท เอาไปเฉ่งเขาด้วย ก็ไปเยี่ยมไข้คนแก่ เ อาไปให้คนละ 100 บาท อโรคยา ปรมา ลาภา สงเคราะห์คนที่มีโรค เรียกว่าให้เขามีความสุขใจ หลวงพ่อปานบอกว่า ถ้าเราทำความสุขให้เขา ความสุขนั้นจะสะท้อนถึงเรา ถ้าหากว่าเราสร้างความทุกข์ให้เขา ความทุกข์นั้นก็สะท้อนมาถึงเรา

    สมัยนั้นมันทำน้ำมัน เล่นโป ขโมยตำราของท่านเอามาทำดู ท่านเอาไม้ตะพดมาล่อหัวฉันเข้า บอกว่าเอ็งจะไปปล้นเขาหรือ เอ็งทำให้เขาจน เอ็งก็จน เอ็งทำให้เขารวย เอ็งก็รวย นี่ก็คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปานน่ะสร้างคนรวยมามากแล้ว แต่ทีนี้เวลาพิมพ์ตอนนี้ฉันไม่ดัดแปลงคำพูดเลย เพราะคำพูดที่หลวงพ่อปานพิมพ์แจกฉันเก็บของฉันไว้ ลอกหมดแล้วพิมพ์ตามนั้นไม่อธิบายต่อเติม นี่ฉันประกาศพิมพ์ไว้ 3,000 แผ่น

    แล้วก็จะมีเทศน์ตอนเดือน 4 ดูเหมือนว่าจะเป็นวันที่ 15 มีนาคม หรือยังไงไม่ทราบ วันตรุษ วันสิ้นเดือน 4 พิมพ์ฎีกาแจก แล้วก็พิมพ์ธง ธงแม่โพสพ สำหรับผ้านี่นะ นนทา อนันตวงษ์ เขาบอกเขาออกให้ แล้วค่าพิมพ์ คุณสุรินทร์ คุณเรณู บุญเลิศ เขาออกให้ เขายังไม่ได้ให้สตางค์มา ฉันก็เอาไปมัดจำก่อน แล้วก็ค่าประกาศข่าว ไม่ใช่เรี่ยไร บอกเขาว่าจะมีเทศน์ เขามาจะก็มาไม่มาก็ตามใจเขา จะทำบุญหรือไม่ทำก็ตามใจ ธงแจกฟรี แล้วก็เสกข้าวด้วยคาถามหาลาภของหลวงพ่อปานไปให้แรกนา เสกน้ำมนต์ไปพรมนา แจกกันวันเดียวคือวันสิ้นเดือน 4 ถ้าหมดตอนไหนเลิกตอนนั้น ไม่หมดวันหลังไม่แจก ขี้เกียจแจกพร่ำเพรื่อ แล้วได้เงินจำนวนนี้ฉันก็ขโมยลูกขโมยหลานออกไปอีก ไม่ทันพอหรอกค่าพิมพ์ ค่าอะไรต่ออะไรนี่มันไม่พอ

    แต่ทว่าก็นี่ไม่เป็นไร ฉันนึกว่าต่อไปลูกหลานให้ฉันอีกฉันก็ขโมยไปจ่ายอีกนั่นแหละ นี่เอาไปอย่างนี้ ถ้ารู้แล้วก็โมทนาเสียนะ ปัตตานุโมทนามัย แล้วก็เป็นทรัพย์สินของลูกของหลาน า ลูกหลานจะได้เป็นคนรวยในชาตินี้ แล้วก็ชาติหน้า นี่รวยแล้วฉันเห็นแล้วว่ารวยแล้ว

    ทีนี้มาพูดถึงเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า จะอย่างไรก็คงจะทราบกันแล้วนะ หรือว่าอย่างน้อยที่สุดต่อไปวันหน้าคงจะทราบ จะไม่เล่าให้ฟัง มาเล่าให้ฟังถึงตอนกลางคืน ตอนกลางคืนที่นั่งพระกรรมฐาน วันนี้ฉันรู้สึกว่าฉันเหนื่อยมาก ตอนเช้าบันทึกเสียง ตอนใกล้เพลท่านผู้บังคับการและรองผู้บังคับการ หรือรองผู้กำกับเขามากัน พอตอนต่อไปก็มีคนมาหา ตอนบ่ายก็ไปเยี่ยมไว้เอาเงินไปชำระเขา

    พอกลับมาถึงวัด ดูนาฬิกาผิดไป 1 ชั่วโมง นาฬิกาบอก 4 โมงเย็นกัน ฉันบอกว่ามัน 5 โมงเย็น นี่ภาษาพระนา ตามันพร่าไป แสดงว่ามันเพลียมาก เมื่อมันเพลียมาก ฉันรู้ว่าร่างกายของฉันไม่ดี เวลาฝึกพระกรรมฐานฉันก็ฝึกเขา นำเขาสมาทานกันแล้วฉันก็ไม่เอาล่ะ ฉันไม่ห่วงใคร เวลาฉันไม่สบาย ฉันไม่ห่วงใคร ฉันห่วงตัวฉันคนเดียว ฉันคิดว่าดีแล้วมันอยากไม่สบาย

    วันนี้ลองซ้อมใหญ่ดูสักที ปล่อยจิตตามสบายให้มันว่าง จิตมันก็ว่างโปร่ง จับอารมณ์สมาธิได้ชัดเจน จับอานาปานานุสติ มีอารมณ์ผ่องใส มีความสุขเป็นเอกัคตารมณ์ แล้วเป็นอุเบกขารมณ์ เป็นอารมณ์เดียวนะ ไม่ข้องแวะกับอารมณ์อื่น อุเบกขาวางเฉยอารมณ์ต่าง ๆ เสียหมด สบาย ความสบายมนเกิดขึ้นก็ปรากฏกสิณกลับโผล่ขึ้น ทีแรกเป็นโอทาตกสิณก่อน สีขาวปรากฏ ก็เลยนึกครึ้ม ๆ ใจว่า เออ ลองจับกสิณเล่นโก้ ๆ เพราะไม่ได้เล่นมานาน 20 ปีกว่าแล้ว เอาจริงเอาจังไม่ได้ กสิณนี่นะ

    จะว่ากันไปก็ประมาณ 30 ปีเศษ ๆ เอาจริงไม่ได้เพราะท่านห้าม พอจับโอทาตกสิณ อารมณ์ช่ำมันก็เกิดขึ้น ความมั่นคงปรากฏ แล้วเกิดอาการเห็นอาการไหวของอากาศ ก็เลยจับวาโยกสิณลองเล่นโก้ ๆ ไม่ได้เอาจริง พอจับวาโยกสิณ มันเข้าถึงฌาณ 4 ความรำยะของจิตมันปรากฏ คิดว่านี่ลอยเล่นในกุฎจะดีไหม สมเด็จองค์ปฐมตวาดลงมาเลยบอกว่า เฮ้ย นั่นมันเป็นภาวะของพระอภิญญาเขานา ไม่ใช่เรื่องของพระวิชชา 3 จะยุ่ง เลิก ฉันสั่งแล้วนา ฉันสั่งว่าแกจะทำอะไรไม่ได้ในเรื่องของอภิญญาต้องเลิก แหม ตกใจ ตูดกระแทกปังลงมาบนธรรมาสน์ มีใครสังเกตหรือเปล่าก็ไม่รู้

    เป็นอันว่างอก่องอขิงไป ตกใจสมเด็จดุ สมเด็จท่านดุนี่ตกใจมากนะ เพราะว่าเป็นการมีความผิดอย่างถนัดก็เลยกราบถวายนมัสการท่าน บอกว่าไม่ได้คิดจะทำอะไรหรอกขอรับ ตั้งใจจะลองซ้อมอารมณ์จิตดูเท่านั้น ท่านก็บอกว่าซ้อมก็ไม่ได้ การซ้อมมทางอื่นมีถมไปทำไมจึงไม่ซ้อม จะมาซ้อมเรื่องฤทธิ์ ไม่ใช่เรื่องของเธอ ต่อแต่นี้ไปอย่า ทำไม่ได้นะ จำไว้ว่าคนจะติดฤทธิ์ ในเมื่อชาวเมืองติดฤทธิ์เสียแล้ว ต่อไปไม่มีใครไหว้พระ ถ้าพระองค์ไหนไม่มีฤทธิ์พระองค์นั้นก็จะไม่มีใครเคารพนับถือ ชาวบ้านก็จะไม่สนใจในบุญญาธิการใด ๆ จะมองแต่พระที่มีฤทธิ์ ดูพระแสดงฤทธิ์เท่านั้น พระศาสนาจะเสื่อม

    เลยต้องกราบขอขมาท่านเป็นวาระที่ 2 แล้วจากนั้นก็เลยจับอารมณ์วิปัสสนา ไปนอนเขลงเล่นที่บ้านตามสบายใจ เรื่องนี้ผ่านไปนะลูกหลานที่รักนะ ความปลื้มใจของฉัน อดที่จะนึกถึงความดีของลูกหลาน ไปใช้อีลุ่ยฉุยแฉกที่เป็นสาธารณประโยชน์น่ะอย่าบ่นเลยนะ บางทีลูกหลานมาที่วัดจะเห็นว่ามีอะไรเพิ่มขึ้น คือ ไอ้เครื่องต่อเสียง เพราะว่าคนที่นี่หูหนัก ถ้าเสียงมันรบกวนล่ะก็บอกด้วยนะ ข้างล่างหมามันกัดกันเสียงมันก็เข้ามา ไม่ใช่ห้องบันทึกหรอก ฉันบันทึกในห้องนอน ในห้องบันทึกเข้าไม่ไหวแล้ว ท่านท้าวมหาชมภูท่านห้าม ท่านบอกว่าอากาศไม่ดี อากาศไม่พอ ห้ามบันทึกในห้องบันทึก ต้องบันทึกในห้องนอน เสียงมันจะรบกวนบ้างก็ช่างมันนะ เป็นเสียงหมา

    หมานี่ฉันเคยลงทุนเลี้ยงมามาก ซื้อข้าว ซื้อกับ ซื้อขนมให้กิน แล้วต่อมา 2 ปีนี่แหละ นนทา อนันตวงษ์ ก็รับภาระไป ซื้อปลายข้าว ซื้อกับ ซื้อขนมให้กิน นี่เป็นของเขา หมานี่จะว่ามันชั่วก็ไม่ได้นะ มันเป็นกำแพงป้องกันนรกเป็นด่านแรกที่หลวงพ่อปานท่านสั่งฉันนะ สมัยหลวงพ่อปานอยู่น่ะ ท่านตั้งเวรเลี้ยงหมา พระเลี้ยงหมามีอยู่ 4 องค์ พระเลี้ยงแมวมีอยู่ 4 องค์ พระดูคนไข้น่ะมีอยู่ 6 องค์ หมายความว่าไปตรวจดูว่าคนไข้คนไหนเขาจะมีกินหรือไม่มีกิน เขาจะมีความลำบากหรือสบาย ต้องจัดให้ด้วย อำนาจเมตตาบารมีของหลวงพ่อปานท่านมาก แต่ต่อไปนี้เข้าเรื่ององหลวงพ่อปานกันดีกว่านะ
     
  15. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕๕.หลวงพ่อปานสร้างพระ

    ในเมื่อหลวงพ่อปานเรียนตำราแล้ว ต่อมาก็เริ่มทำพระ การทำพระของหลวงพ่อปานบรรดาพุทธบริษัท บรรดาลูกหลานทั้งหลายควรจะทราบว่า แบบพระของท่านไม่ค่อยจะเหมือนกันนัก เพราะคนแกะพิมพ์พระน่ะหลายคนด้วยกัน เวลาบรรจุผงก็เหมือนกัน หลวงพ่อ ปานทำผงไว้มาก ทำพระไว้ถึง 885 ปีบ

    ท่านนำมาแจกแก่บรรดาสาธุชน 440 ปีบ แล้วก็บรรจุไว้ในเจดีย์องค์ใหญ่ที่ท่านสร้างไว้ 440 ปีบ นี่ทราบกันไว้ด้วยนะ พระนี่มีอานุภาพแปลกคือว่าพระของท่านหรือของต่าง ๆ ที่ท่านเอาออกแจกก็ตาม ท่านไม่เคยบอกว่าของ ๆ ท่านเป็นของคงกระพันชาตรี อันนี้ต้องจำกันไว้ด้วย ใครที่จะรับของ ๆ หลวงพ่อปานแล้วจงทราบว่าหลวงพ่อปานไม่เคยรับรองเรื่องคงกระพันชาตรี

    เพราะเรื่องนี้ถ้าใครรับรองคนนั้นก็โง่ มันเป็นกฎแห่งกรรม คนที่เหนียว ๆ ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า แต่ก็ทะลุทุกราย ถ้ากรรมชั่วมันเข้ามาถึงแล้วกรรมที่เป็นบาปมันก็เปิดโอกาสให้ คนหนังเหนียวนี่ตายเพราะอาวุธนับไม่ถ้วน ทีนี้พระของหลวงพ่อปานก็มีอยู่ว่าเป็นพระหมอ ท่านเขียนไว้อย่างนั้นนะ แก้โรคทุกอย่าง ใครจะเป็นโรคอะไรก็ตาม เอาพระใส่ลงไปในขันนี้ แล้วอาราธนาเอาทำนั้นมนต์

    วิธีอาราธนาก็ไม่ยากบอกว่าขอบารมีพระพุทธเจ้าและสัตว์พาหนะ ถ้าพระองค์นั้นเป็นหนุมาน หรือว่าพระเม่น พระไก่ พระนกกระจาบ พระปลา พระครุฑ ก็ตามก็ออกชื่ออย่างนั้น ขอจงทำน้ำมนต์นี้รักษาโรคนั้นให้หายโดยฉับพลัน ว่ายังงี้ 3 จบ แล้วก็ใช้น้ำมนต์รดชาวบ้านได้ นี่เป็นวิธีใช้พระของท่าน ถ้าหากว่าถูกงูกัด ตะขาบ แมงป่องกัด หรือสัตว์ที่มีพิษกัด ให้เอาพระจุ่มน้ำแล้วอาราธนาบารมี พระพุทธเจ้าและสัตว์พาหนะให้ดูดพิษนั้นออกให้หมด แล้วเอาหลังพระแปะลงไป เอาศีรษะท่านขึ้นมาทางหัวเรา จะถูกกัดที่ข้อเท้าอะไรก็แปะได้

    แต่ครั้นแปะลงไปแล้วพระจะเริ่ม ดูดพิษ ขณะที่พิษยังไม่หมดพระจะติดแน่นอยู่ จะเดินไปก็ไม่หลุด แต่ก็ต้องระวัง ๆ เพราะไปถูกกัดในป่าที่สัตหีบ เอาพระของหลวงพ่อปานไปด้วย ฉันเคยแจกให้ไป แกก็ไปปิดเข้า ปรากฏว่างูตัวนั้นมันเป็นงูเห่า เพราะลงไปในหนองน้ำเล็ก ๆ จึงถูกงูกัด คนถูกงูกัดเป็นนายทหาร บรรดาทหารก็พากัดวิดน้ำปรากฏว่ามีงูเห่าอยู่ตัวเดียวเลยทุบตาย พิษที่มันแสดงออกเป็นอาการของพิษงูเห่า

    แต่ว่าในที่สุดเมื่อเอาพระแปะเข้าพระก็ติดแน่นสนิท พอพิษหมดพระก็หล่น ทีนี้พอถึงเวลาทอดกฐินเดือน 12 ปี นั้นฉันอยู่วัดบางนมโค คณะทหารเรือแกแห่กันมารับพระประมาณ 4-5 ร้อยคน ถามว่ามาทำไป บอกว่ามาขอรับพระแก้งูกัด แกรู้อยู่คนเดียว เป็นอันว่าพระ ของหลวงพ่อปานใช้ในทางค้าขายก็ได้ ทางทำนา ทางเมตตามหานิยมก็ได้ กันผีกันสางก็ได้หมดแต่ว่าเรื่องคงกระพันชาตรีท่านไม่รับรอง จำกันไว้ให้ดีนะ

    ตอนนี้ มาว่ากันถึงวิธีสร้างพระ วิธีสร้างไม่ยาก แต่ว่าวิธีทำผงพระซียากมาก การทำผงพระประเภทนี้ต้องมีสมาบัติ 8 แล้ว ก็จำได้หรือยังว่าพระสัตว์มี 6 ชนิด คือ รูปหนุมาน รูปไก่ รูปครุฑ รูปปลา รูปเม่น แล้วรูปนกกระจาบ ถ้าหากว่าจะทำพระนกกระจาบ ก็ต้อง เอาผ้าขาวมาเสกให้เป็นนกกระจาบ ๆ ก็จะกางปีกขึ้นจะมีคาถาอยู่ในปีก แล้วก็ลอกคาถาในปีกก มาทำเป็นผง จะทำพระหนุมานก็ต้องเสกผ้าขาวให้เป็นหนุมาน เป็นพระไก่ พระครุฑ พระอะไรก็เหมือนกัน แล้วสัตว์ต่าง ๆ ก็จะแสดงอาการนั้น ๆ ให้คาถาปรากฏที่ตัวของตัวเอง

    แล้ว ก็นำคาถานั่นแหละมาทำผง เวลาทำผงต้องนั่งปลุกเสกอยู่ในโบสถ์ ต้องอดข้าว 7 วัน แล้วก็ 7 วัน 7 คืน ออกจากที่ไม่ได้ ต้องเข้าสมาบัติกันเต็มที่ วิธีนี้หลวงพ่อปานเคยให้ฉันเรียนเหมือน กัน ฉันเรียนได้แต่ทำไม่ได้ หลวงพ่อปานท่านแพ้ฉันอยู่อย่าง แพ้ตรงที่ท่านหยังผ้าขาวมาเสกให้เป็นหนุมาน เป็นไก่ เป็นครุฑ มันไม่เป็น มันเป็นผ้าขาว แสดงว่าการเสกของฉันมันเป็นนัจจังจริง ๆ ไม่มี การเปลี่ยนแปลง นี่เป็นการวัดความสามารถระหว่างพระอภิญญากับพระเนื่องในวิชชา 3

    สำหรับฉันน่ะจะเรียกว่าพระวิชชา 3 ตรง ๆ ยังไม่ได้ ต้องเรียกว่าพระเนื่องในวิชชา 3 เพราะในขณะนั้นยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ยังเป็นส่วนโลกียวิสัย จึงยังเรียกว่าพระวิชชา 3 ไม่ได้ พระวิชชา 3 กับพระอภิญญา 6 มีความสามารถต่างกันมากในด้านฤทธิ์นะ ในด้านความสามารถต่าง ๆ ข้อปลีกย่อย นี่เล่ากันให้ฟังว่าวิธีทำพระของหลวงพ่อปานน่ะทำยาก

    การแจกพระสมัยนั้นหลวงพ่อปานท่านแจกน่ะแจกจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่แจกเฉย ๆ เวลาแจกหุงข้าว เลี้ยงคนมารับพระเสียอีกด้วย คนมากันมืดฟ้ามันดิน แจกกันขนาดหนัก แจกกันคนละองค์ แต่คนรับก็แสนฉลาด มารับหัวแถวแล้วก็เดินไปยืนท้ายแถวว่ากันอย่างนั้น วันแรกเสียท่าวันต่อมาหลวงพ่อไม่เอาอย่างนั้น แล้ว เอาใหม่ เริ่มฉลาด พอแจกแล้วเอาปูนแดงที่เขากินกับหมากนี่ป้ายที่เสื้อ คนรับเขาก็ฉลาดอีก มันออกไปข้างนอก กลับเสื้อข้างนอกเข้าข้างในเสีย กลับมารับใหม่

    นี่ไอ้เรื่องจะหนีคนโกงน่ะมันหนียาก หนียากจริง ๆ การแจกพระของท่านแจกกันอยู่ถึง 1 เดือน คนมารับเต็มไปหมด แล้วท่านก็หุงข้าวเลี้ยง ทำกับข้าวเลี้ยง เรื่องสตางค์นี่ใครเขาจะให้หรือไม่ให้ท่านไม่รู้ ตอนนี้ฉันสู้ท่านไม่ได้แน่ ฉันไม่กล้าไปวัดบารมีของท่าน ฉันทำอะไรเวลานี้ฉันแจกฟรีเหมือนกัน ใครมาขอฉัน ฉันก็แจกฟรี ใครจะให้สตางค์ฉันก็เอา ถ้าไม่ให้ฉันก็ไม่ทวงเขา แล้วก็ไม่ว่าไม่ตำหนิติเตียน ไม่คิดนึกด่าในใจด้วย เต็มใจให้

    แต่ว่าอีตอนหุงข้าวเลี้ยงนี่ทำไม่ได้แน่ เพราะฉันหากินเองไม่ไหวแล้วนี่ หากินเองไม่ได้ ต้องพี่งลูกหลานกิน ถ้าไปหุงข้าวเลี้ยงคนพวกนั้นเข้าอีกลูกหลานก็จะเบื่อ เออ มันแย่นะ สู้กันไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่อยากสู้ท่าน มันเทียบกันไม่ติด เอาละ เมื่อว่ากันถึงวิธีแจกพระ เสร็จไปนะ นี่เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด การทำพระอย่าลืมนะว่าหลวงพ่อปานต้องใช้สมาบัติ 8 ต้องอาศัยรูปฌาน พระของท่านจึงมีความหมายมาก

    เวลานี้พระหลวงพ่อปานมีมากกว่าสมัยทีท่านอยู่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเวลา ท่านตายแล้วนี่ชื่อเสียงท่านโด่งดังมาก ก็มีคนช่วยทำมาก เวลานี้คนช่วยทำเยอะ รูปพระของหลวงพ่อปานนั้นทำไม่ยาก แล้วคนก็ทำได้ง่าย ๆ เขาก็ช่วยกันทำ ช่วยกันแจก เป็นการประกาศบารมีของพระพุทธเจ้า และประกาศความดีเด่นของหลวงพ่อปาน หรือว่าเขาจะหวังเป็นอาชีพ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องนี้ขอผ่านไปนะ


    ตานี้ก็มาว่ากันถึงยันต์เกราะเพชร ประเดี๋ยวจะลืมเสียแล้วซี สำหรับยันต์เกราะเพชร คือเป็นคาถา อิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ เรียกกันว่า ห้องพระพุทธคุณ แต่เขียน ลงมาอย่างลงอย่างหนังสือเจ๊ก เขียนลง ไม่เขียนตามบรรทัด เขียนลงมา 7 คำแล้วก็ไปขึ้นต้นใหม่เรียงกันไป ก็ว่า อิระชาคตรสา ติหังจโตโรถินัง นี่เรียกว่า อิติโส 8 ทิศ อย่างนี้แหละ แล้วก็ชักเป็นยันต์ เรียกสูตรตามเส้นที่เขาชักไป

    สำหรับยันต์เกราะเพชรนี่หลวงพ่อปานปลุกได้ดีมากเพราะว่าเวลาท่านจะเป่าให้ใครนั้น ท่านเขียนยันต์ใส่กระดานดำไว้ แล้วท่านก็ยืนอยู่ข้างหลังให้ทุกคนจุดธูปเทียนแล้วภาวนาว่า พุทโธ ถ้าคนไหนมีครรภ์ ผู้หญิงมีครรภ์ก็ให้จุดธูป 1 ดอกแทนลูกในครรภ์ แล้วท่านก็เป่า เวลาเป่ายันต์เข้าตัวจะมีความรู้สึกหนักที่ศีรษะ หรือว่าคันที่หน้า ยังงี้เรียกว่ายันต์เข้าจับตัวแล้ว ถ้ายันต์เข้าจับตัวทุกคนก็เป็นอันว่าเลิกกัน

    ท่านเป้าเฉพาะวันเสาร์ห้า คือว่าเป็นเดือนอะไรก็ตามเป็นขึ้น 5 ค่ำวันเสาร์ หรือวันเสาร์ตรงกัน 5 ค่ำ อันนี้ใช้ได้ เรียกว่าท่านเป็นปกติ แล้วก็วันเสาร์ 5 นี่แหละ เป็นวันยกครูของท่าน ท่านจะยกครูหมอ ครูอะไรก็ตาม ก็ทำกันวันเสาร์ห้า คนเยอะยิ่งกว่ามีงานวัดอีก ศาลาของท่านใหญ่จุคนเป็นพัน แต่เวลาเป่ายันต์เกราะเพชรจริง ๆ ต้องผลัดกัน 4 – 5 รุ่น เรียกว่านั่งเต็มศาลาเป่า 1 คราว ใครเป่าแล้วก็ลงมา คนที่ยังก็ขึ้นไป ยังงี้เปลี่ยนกันถึง 4 – 5 รุ่น

    คุณสมบัติของยันต์เกราะเพชรก็เป็นการกันการกระทำ การกลั่นแกล้งจากคนอื่นด้วย วิชาการนี่ดีมาก หากว่าใครขืนทำเข้าคนนั้นก็เคราะห์ร้าย เคราะห์ร้ายเพราะอะไร ของเหล่านั้นันจะกลับสะท้อนย้อนเข้าไปหาตัว คราวหนึ่ง พระผลบวชพรรษาเดียวกับฉัน แกอยู่อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แกไปรับยันต์เกราะเพชร พอรับแล้วแกก็ออกไปหลังวัด

    ปรากฏว่าถูกงูเห่ากัดเห็นตัวชัดเพราะเป็นกลางคืนเดือนหงาย เห็นว่าเป็นงูเห่าแน่ เอาไฟส่องดูก็แผ่แม่เบี้ยหราเป็นงูเห่าแกก็วิ่งเข้ามาหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ถามว่าแกรับยันต์เกราะเพชรหรือเปล่า พระผลก็บอกว่ารับขอรับ ท่านบอกว่าถ้ารับไม่รักษา ฉันอยากจะดูคนมันตายเพราะอำนาจงูกัด ที่ได้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้วสักคน ถ้าหากว่าแกตายฉันจะดีใจมาก ท่านผลหน้าซีด

    ปรากฏว่า ในขณะที่ท่านพูดพิษมันวิ่งขึ้นมาถึงเข่าแล้วก็ถอยไปปวดอยู่ปากแผล เดี๋ยวมันก็ปวดขึ้นมาถึงเข่าแล้วก็ปวดที่ปากแผล 3 ครั้ง พอวาระที่สามปรากฏว่าอาการปวดหายไปหมดเลย พิษหมดเลยพระผลดีใจมาก บอกว่าหายปวดแล้วครับ หลวงพ่อปานก็บอกว่านั่นนะซิ ฉันแน่ใจว่ายันต์เกราะเพชรของฉันดี แต่ถ้าแกรับแล้วแกตายเพราะงูกัด ฉันก็จะเห็นว่าแกเป็นคนเลวมาก ไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า เพราะว่ายันต์เกราะเพชรนี่ฉันอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองนะไม่ใช่อื่น

    ถ้าแกตายแล้วก็เป็นพระด้วย แกรับยันต์เพราะเพชรไปแล้วด้วย ถ้าถูกงูกัดแล้วตายเพราะงูพิษก็น่าจะตายหรอก เพราะว่าคนที่บวชแล้วไม่เคารพในพระพุทธเจ้า ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเป็นคนเลวก็ควรจะตาย แต่ว่าแกไม่ตาย นี่ก็แสดงว่าแกเป็นคนดีแล้ว ความมั่นคงในพระพุทธเจ้าใช้ได้ นี่ว่ากันถึงยันต์เกราะเพชร

    ต่อไปตอนนี้ก็ว่ากันถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดนะ อีกเรื่องหนึ่งว่าถึงเรื่องการเสียสละ คือว่าปฏิปทาในการปกครองพระของหลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้นะ ฉันว่าฉันเห็นพระมาเยอะแล้ว ไม่ค่อยจะเหมือนท่าน บรรดาลูกหลานทั้งหลายถ้าเวลาฟังแล้วก็พิจารณาดูพระผู้ใหญ่ที่ทำเหมือนท่านหรือดีกว่าท่านอาจจะมีมาก แต่ฉันน่ะเป็นคนสังคมแคบ อาจจะรู้จักพระไม่มากปฏิปทาของท่านอย่างนี้ คือ

    1.เวลาตอนเช้า ก่อนจะกินข้าว เวลาเขาตีระฆังแป๊งลงไป ภายใน 5 นาที พระเจ้าต้องนั่งรวมพร้อมกันที่วงข้าว ฉันวงเดียวกัน แล้วหลวงพ่อปานจะมาทีหลัง เรียกว่าพอ 5 นาทีนี่ตีระฆัง 5 นาที ท่านลุกจากกุฏิทันที มาถึงก็เดินดูรอบ ๆ วงกับข้าว รอบวงพระ ถ้าเห็นว่ากับข้าววงไหนพร่องไป ท่านก็นั่งลงในที่ของท่านจัดแจงแบ่งกันข้าวให้สม่ำเสมอกัน

    แม้เด็กวัดก็เหมือนกัน เวลาจะกินข้าวท่านต้องคอยตรวจดู ต้องให้กันข้าวสม่ำเสมอกัน กินกันด้วยความยุติธรรม ขนมถ้ามีน้อยท่านตักแบ่งให้เองเท่า ๆ กัน เป็นชิ้นเป็นอันเท่า ๆ กัน นี่ว่ากันถึงเรื่องกินข้าวนะ แล้วเวลากินข้าวนี่พระของท่านไม่มีคุยกัน อยู่ในอาการสำรวมทั้งหมด นี่เรื่องการกิน

    ทีนี้มาถึงเรื่องการแจกภัตร คำว่าแจกภัตรในที่นี้หมายถึงลาภจะพึงเกิดแก่พระ มีการสวดผีสวดสางก็ตาม จะไปสวดมนต์เย็นตามบ้านตามช่องก็ตามที่เขานิมนต์ อันนี้ท่านแจกภัตรพระสม่ำเสมอกัน ให้เรียงลำดับกัน ถ้ารายแรกมานิมนต์ 5 องค์ ให้พระจัดไป 5 องค์ ถ้ารายที่สองมาท่านให้จัดต่อไปอีก รายที่ 3 มาให้จัดต่อไปอีก ใครจะมาเลือกพระองค์นั้นองค์นี้ไม่ได้ ท่านบอกว่าต้องได้เสมอกัน ท่านไม่กีดไม่กันว่าหนึ่งต้องฉัน แบบต้องฉัน หนึ่งต้องหัวหน้านี่ เจอะเสียเยอะ แบบนี้มันแย่เหมือนกัน หัวหน้ามั่งคั่ง หลังกินเกลือ อย่างนี้ไม่ไหว

    นี่ของท่านจัดเป็นระเบียบจริง ๆ ต้องไล่ 1-2-3-4 ไปถึงสุดท้าย แล้วกลับวนมาถึงต้นใหม่ นี่พูดกันถึงกิจนิมนต์นะ ลูกหลานฟังแล้วคิดดูซิว่าตามวัดไหนใครเขาทำแล้วบ้าง ประการต่อไป ว่าถึงการเสียสละ หลวงพ่อปานมีการเสียสละดีมาก สมกับที่ท่านปรารถนาพุทธภูมิ แต่ว่าเวลาถึง วันเดือน 8 แรม 14 ค่ำ แหมนี่มันตรงกับวันตายของท่านพอดีน่ะ เดือน 8 แรม 14 ค่ำทุกปี หลวงพ่อปานมีทรัพย์สินอยู่เท่าไร ของที่เขาถวายมาเท่าไรในปีนั้นยังเหลืออยู่ ไม่ใช่สตางค์นะของใช้เป็นจีวร สบง เก้าอี้ มุ้ง เตียง อะไรก็ตาม ของใช้มาก ๆ นี่แหละ ของใช้เป็นอดิเรกนี้แหละพระมีกี่องค์ก็ตาม ท่านก็มาจัดไว้เป็นกอง ๆ เท่าจำนวนกับพระที่มีอยู่ในวัด แล้วท่านก็ให้พระจับสลากใครได้หมายเลข 1 – 2 – 3 – 4 – 5 ตามลำดับ เมื่อใครได้หมายเลขแล้ว กองที่กองไว้ท่านไม่ได้เขียนว่าเลข 1 – 2 – 3 ของที่กองน่ะไม่เขียนเลข ใครได้หมายเลข 1 ไปเลือกเอาตามชอบใจใครอยากไดอะไรเอาอย่างนั้น แล้วหมายเลข 2 หมายเลข 3 ก็ไปเลือกกันตามลำดับ ยังงี้ท่านเสียสละทุกปี

    เรียกว่าทุกปีของท่านทำอย่างนี้ ของท่านไม่ค้างปี นี่เป็นการเสียสละจริง ๆ บางทีของดี ๆ มีราคามาก ๆ ฉันเห็นว่าของอย่างนี้หลวงพ่อควรจะกันไว้ใช้เอง แต่ถึงเวลาวันแจกพระคืนวันแรม 14 ค่ำเดือน8 ท่านกลับสั่งให้ขนมากอง ๆ กันให้หมด ขนกองเข้าไว้ แล้วท่านก็จัดเป็นลำดับเข้าไว้ นี่ก็แจกแก่พระ

    เรื่องนี้ก็น่าคิดเหมือนกันนะ น่าคิดเหมือนกันลูกหลานที่รักลูกหลานเคยเห็นพระทำอย่างนี้บ้างไหม มีไหมที่เคยเห็นมาน่ะ ฉันน่ะไม่เห็นหรอกนะ แต่พระที่ทำอย่างนี้หรือว่าทำดีกว่านี้อาจจะมีในเมื่อท่านมีปฏิปทา หรือคล้ายคลึงกันสม่ำเสมอกันท่านอาจจะทำแต่ฉันไม่เคยเห็น นี่เป็นปฏิปทาที่คิดกันว่าท่านควรจะเป็นพระพุทธภูมิ คือ ท่านปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า มีการเสียสละ

    นี่ว่ากันถึงเรื่องเบ็ดเตล็ด มันมีอีกเรื่องหนึ่ง นี่เขาเล่าลือกันมาก ฉันก็มาเล่าให้ฟัง เขาพูดกันมาก เขาว่าหลวงพ่อปานน่ะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์มาก เวลาทำงานทำการคนมาก เมื่อคนมากแล้วก็เป็นยังไง การทำครัวเลี้ยงของท่าน ๆ ทำตลอดงาน ในเมื่อท่านเลี้ยงมากก็ปรากฏว่าถ้วยชามควรจะล้างมันก็ล้างไม่ทัน สมัยนั้นฉันยังจำได้ แต่ว่าท่านทำมากี่ปีแล้วก็ไม่ทราบ ชื่อตาเผือด ๆ เป็นคนล้างชาม วิ่งไปบอกหลวงพ่อปานบอกขอให้ช่วยเกณฑ์คนมาช่วยล้างชามด้วยเถิด คนกินมาก แต่คนล้างน้อย ล้างไม่ทัน

    หลวงพ่อปานบอกว่าจะไปเกณฑ์ใคร ต่างคนต่างก็มีงาน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอาชามไปใส่ตะกร้าเข้าเขย่า ๆ มันจะได้เร็วเข้า จะไปล้างกันทีละซอง 2 ซอง หมายความว่าทีละจาน 2 จานนี้มันจะทันอย่าง ไร ตาเผือดแกได้ฟังอย่างนั้นแกก็เอาจานกระเบี้องใส่ตะกร้าเขย่าน้ำเอาเสียจริง ๆ เป็นอันว่าทำได้ผล คนทุกคนเห็นเป็นอัศจรรย์

    แต่ก็คนบ้านนั้นเองเห็นเป็นของไม่อัศจรรย์ เห็นเป็นของธรรมดา เพราะน้ำมันช่วยไม่ให้ชามแตก ก็เกิดวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้น เมื่อเกิดวิพากษ์วิจารณ์กันฉันก็เป็นนักพิสูจน์ ก็เอาจานใส่ตะกร้าเข้าบ้าง ให้คนพวกนั้นไปเขย่า ก็ปรากฏว่ากลับมาฉันจำได้ว่าฉันเอาจานกระเบื้องใส่ไป 20 ลูก เวลาเขาเขย่าเสร็จพอกลับมาส่งให้ฉัน จานกระเบื้องนั้นมันเกือบจะถึง 100 ลูก แต่ว่ามันไม่เต็มลูก มันแตก เขย่าอย่างตาเผือดนั่นใคร ๆ เข้าก็รู้แก่เขย่าโครม ๆ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์น่าคิดเหมือนกัน เอาละเรื่องเบ็ดเตล็ดขอผ่านไปนะ

    ต่อไปว่ากันถึงการศึกษา หลวงพ่อปานนิยมพระกรรมฐาน หมายความว่าสิ่งที่ท่านต้องการที่สุดและปรารถนาที่สุดคือพระกรรมฐาน เรื่องพระกรรมฐานนี้เป็นชีวิตจิตใจของ หลวงพ่อปานจริง ๆ ท่านเทิดทูนพระกรรมฐานมาก ทั้ง ๆ ที่ทรงสมาบัติอยู่แล้ว ความอิ่ม ความ เบื่อ ความพอใจในพระกรรมฐานของท่านก็ไม่มี ท่านก็มีการทุรนทุราย ปรารถนาจะเรียนพระกรรมฐานให้มันดีกว่านั้น

    สมัยนั้นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นพิเศษในสมัยนั้นนะสายอื่นฉันไม่ทราบ ก็มีหลวงพ่อเนียมวัดน้อย อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี สมัยนั้น เรือยนต์มันก็ไม่มี ถ้าจะไปก็ต้องไปเรือแจว ถ้าไปเรือ แต่ว่าทางเดินสะดวกกว่า เดินลัดทุ่ง ลัดนา ลัดป่าไป ป่าก็เป็นป่าพงส่วนใหญ่ ท่านก็ใช้วิธีธุดงค์ สมัยนั้นใช้วิธีธุดงค์เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เรียกว่าใกล้ค่ำที่ไหนปักกลดที่นั่น ชาวบ้านเขาก็เลี้ยงตอนเช้า ฉันอิ่มแล้วก็ไปกัน พระธุดงค์ฉันเวลาเดียว ท่านบอกว่าเวลาที่ถึงวัดน้อย อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เขาร่ำลือกันว่าหลวงพ่อเนียมนี่เก่งมาก ท่านก็เข้าไปหาหลวงพ่อเนียม เข้าไปหานะ ไม่รู้จักหลวงพ่อเนียมหรอกนะ ความจริงท่านก็คิดว่าหลวงพ่อเนียมท่านจะเป็นเหมือนหลวงพ่อองค์อื่น ๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงมากนุ่งสบงจีวรเป็นปริมณฑล แล้วก็มักจะนั่งเฉย ๆ ดีไม่ดีหลับตาปี๋ ไม่หลับตาปี๋ก็หลับขยิบ ๆ เรียกว่าหลับไม่สนิมละ ไม่รู้จะพูดยังไงให้มันถูก คือแกล้งหลับตาทำเคร่ง

    ไอ้แบบนี้นะพระพุทธเข้าตำหนินัก พระนั่งหลับตาให้ชาวบ้านดู ทำทีว่าเป็นคนเคร่งครัด พระพุทธเจ้าตำหนิว่าคบอุปกิเลสเข้าไว้ ทรงห้ามทีเดียว ท่านว่า พระก็ดี คนก็ดี ทำอย่างนี้ยังไม่เข้า สะเก็ดความดีของพระพุทธศาสนา จำให้ดีนะ พระที่ออกรับแขกน่ะทำนั่งหลับตาปี๋ ทำท่านเป็นเคร่งครัดมัธยัสถ์ แล้วก็ทำท่าจะเข้าฌานอยู่ตลอดเวลา

    อย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงตำหนิไว้ในอุทุมพริกสูตร ว่ายังเข้าไม่ถึงสะเก็ดความดีของพระพุทธศาสนา สะเก็ดแล้วก็เปลือก แล้วก็กระพี้ และก็แก่น เลยแก่นเข้าไปก็คือวิปัสสนาญาณ นี่แค่สะเก็ดก็ยังไม่ถึงเลยนะเจ้าพวกหลับตาปี๋ เวลารับแจกชอบหลับตา จำไว้ด้วยนะท่านกล่าวว่ามันเป็นมายาของคน เป็นการล่อลวงชาวบ้าน พระอรหันต์ทุกองค์เป็นพระเปิดหมดนะไม่ใช่พระปิด มีลูกตาก็ลูกตาเปิด มีปากก็ปากเปิด มีใจก็ใจเปิด มีกายก็กายเปิด แต่ว่าเวลานุ่งผ้าไม่ได้เปิดผ้านุ่งนะ ถ้าไปเปิดผ้านุ่งเข้าชักไม่เป็นเรื่อง อย่าเข้าใจย่าเปิดทั้งหมด ไอ้ที่ปิดของท่านมี นี่ว่าให้ฟังนะ ประเดี๋ยวจะหาว่าเปิดหมด

    จะกลายเป็นว่าเป็นพระอรหันต์แล้วแก้ผ้าเป็นพวกอเจลกศาสนาเชนไป ไม่ใช่อย่างนั้นท่านมีอัธยาศัยเปิดก็ไม่มีพิธีรีตอบ นี่เรื่องของพระอรหันต์นะ ไม่มีพิธีรีตองมาก คนที่มีพิธีมากนั่นไม่ใช่พระอรหันต์ เรียกว่ายังมีมายามาก ยังมีมานะอุปกิเลสติดใจอยู่มาก ยังมีอุปาทานมากรวมความว่ากิเลสยังเลยหัวก็แล้วกัน พวกนี้กิเลสยังเลยหัว พระอรหันต์เป็นพรปล่อย ไม่เกาะกิเลส การที่จะทำอะไรให้ช่วยบ้านชมน่ะไม่ใช่ภาวะของพระอรหันต์นะ พระอรหันต์นี่ไม่ปรารมภ์คำชมของชาวบ้าน ต้องการคำชมของบุคคลเดียวคือพระพุทธเจ้า นี่เป็นจิตใจของพระอรหันต์ทุก ๆ องค์
     
  16. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕๖.หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเนียม

    ทีนี้เวลาหลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียมก็ไปโดนตีเข้า เข้าไปแล้วเจอะหลวงพ่อเนียมที่ไหน ความจริงหลวงพ่อเนียมก็เดินคว้าง ๆ อยู่กลางวัดนั่นแหละ มีผ้าอาบ 1 ผืนที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าผ้าขาวม้า แต่ว่าพระนั่นเขาเรียกผ้าอาบน้ำฝนสีเหลือก แต่ว่าผ้าที่ท่านนุ่งมันไม่เหลือง มันตุ่น ๆ เข้าไปแล้ว มันจะดำ เหลืองหมดไป ขาวก็ไม่ขาว กลายเป็นผ้าดำ ๆ นุ่งแบบชนิดไม่รัดประคดคาดลอยชาย ผ้าอีกอผืนหนึ่งแบบเดียวกัน คล้องคอเดินไปรอบวัด มีหมาวิ่งตามเป็นฝูง ยี่ห้อนี้คล้าย ๆ ฉันนะ

    นี่อย่าเอาบารมีฉันไปเปรียบกับหลวงพ่อเนียมนะ ที่ว่าคล้ายนี่คล้ายตอนที่หมาวิ่งตามนี่แหละ ฉันก็เหมือนกัน เวลาฉันไปไหนหมามันชอบวิ่งตาม ฉันก็ชอบคุยกับหมา เดินไปเดินมาคุยกับหมา ๆ มันไม่ขัดคอฉัน เวลามันพูดว่าอย่างไรฉันไม่รู้เรื่อง ฉันพูดไปมันรู้หรือไม่รู้ก็ไม่รู้ แล้วก็เลยพูดสบาย หลวงพ่อปานก็บอกว่าเมื่อท่านเห็นน่ะ ก็ไม่รู้ว่าหลวงพ่อเนียม เห็นพระแก่ ๆ ผอม ๆ นุ่งผ้าลอยชายผืนหนึ่ง เอาผ้ามาคล้องคออีกผืนหนึ่ง เอาผ้ามาคล้องคออีกผืนหนึ่ง เดินมีหมาฝูงหนึ่งวิ่งตามไป

    ท่านก็คุยกับหมาตัวโน้นบ้างตัวนี้บ้าง เดี๋ยวก็ยิ้มกับหมาตัวโน้นลูบหัวหมาตัวนี้ ท่านก็นั่งดู เอ ว่าพระอง๕นี้น่าจะเป็นหลวงพ่อเนียม ท่านไม่รู้จักนี่ ทำไมหลวงพ่อปานจึงคิดอย่างนั้น ก็เพราะว่าหลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อสุ่น ๆ นี่เป็นพระชั้นอ๋องแล้วนะ เป็นพระลืมเกิดแล้ว ท่านสอบหลวงพ่อปานได้ดีทุกอย่าง รู้จนกระทั่งหลวงพ่อปานเคยปรารถนาพุทธภูมินา นี่พระขนาดนี้ก็อ๋องแล้ว แต่ว่าเวลาที่หลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียมน่ะหลวงพ่อสุ่นตายแล้ว เมื่อหลวงพ่อสุ่นตาย หลวงพ่อป่านท่านก็บอกว่าท่านก็ต้องหาที่เกาะต่อไป เพราะหลวงพ่อสุ่นบอกไว้ว่าหลวงพ่อเนียมท่านเก่ง ท่านว่าอย่างนั้น

    ท่านก็เลยเดา ๆ เอาว่า พระองค์นี้ต้องเป็นหลวงพ่อเนียม ก็วางกลด วางย่าม ถอดรองเท้าจำไว้ด้วยนะพระผู้น้อยที่จะเข้าหาพระผู้ใหญ่น่ะเขาต้องวางอะไรต่ออะไรทั้งหมด รองเท่าก็ต้องถอด พระสมัยนี้เขาถอดกันหรือไม่ถอดก็ไม่ทราบ เขาทันสมัย เข้าไปถึงก็กราบ หลวงพ่อปานบอกว่าแทนที่ท่านจะยกมือรับไหว้ กลับจ้องหน้าเป๋ง วาจาที่กล่าวมาเป็นวาจาแรกก็คือ มึงจากไหนวะ มึงมากราบกูทำไม เอาเข้านั่น หลวงพ่อปานบอกว่า เกล้ากระผมมาจากเมืองกรุงเก่าขอรับ กระผมจะมานมัสการหลวงพ่อขอเรียนพระกรรมฐาน

    วาจาอีกคำที่ตอบมากก็คือ กรรมฐานโคตรพ่อโคตรแม่มึงมีที่ไหน กูไม่มีกรรมฐาน คนบ้านนี้เขาหาว่ากูบ้า กูเป็นบ้านกูพูดกับหมูกูพูดกับหมา กูกินข้าวกับหมูกับหมาได้ มึงจะมาเรียนกรรมฐานกับกูยังไง กูไม่รู้กรรมฐานมันเป็นยังไง ว่าแล้วก็ขับไล่ไสส่งให้กลับวัด หลวงพ่อปหานก็นั่งทนฟังอยู่ ในที่สุดเห็นท่าจะไม่ได้เรื่องก็เลี้ยวไปหาพระในวัดไปขออาศัยนอน แล้วก็ถามพระในวัดว่าพระองค์นั่นน่ะชื่ออะไร พระท่านก็บอกว่าองค์นั้นแหละชื่อหลวงพ่อเนียมละ

    หลวงพ่อปานก็สมใจคิดว่า ดีละ ในเมื่อพบหลวงพ่อเนียมก็จะต้องเรียนให้ได้ เอาซิมาพบคนดีตามคำสั่งของหลวงพ่อสุ่นเข้าแล้ว ในเมื่อพบเข้าแล้วเช่นนี้จะถอนได้อย่างไร ไอ้เรื่องจะถอนไม่มีวันละ ไม่มีวันถอน วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อปานก็เข้าไปหาท่านอีก ตอนนี้เข้าไปตอนเช้าเวลาที่พระฉันข้าว คือว่าพระที่ท่านพักอยู่ด้วยก็ดีเหมือนกัน ในตอนเข้าต้มข้าวต้มให้ท่านฉันแล้วก็บอกว่า ถ้าหาหลวงพ่อเนียมต้องหาตอนเช้าจะค่อยยังชั่วสักหน่วย

    ถ้าหาตอนเย็นไม่ได้ แดดแข็งแดดจัด ๆ ดีไม่ดีท่านก็ตวาดเอาง่าย ๆ เวลาที่หลวงพ่อเนียมฉันข้าวก็ปรากฏว่าท่านนั่งบนโต๊ะ 2 ชั้น ข้างล่างเป็นโต๊ะตัวโต ข้างบนตัวย่อมหน่วย มีกับข้าวเต็ม ท่านฉันองค์เดียว พระองค์อื่น ๆ ตั้งวงฉันไม่ไกลกันนัก บนโต๊ะของท่านพื้นโต๊ะชั้นที่ 1 มีหมดเต็มหมด ท่านกินข้าวคำ ท่านก็ป้อนตัวโน้นคำป้อนตัวนี้คำ แล้วก็ท่านฉันคำ ป้อนหมาบ้างกินเองบ้าง ป้อนแมวบ้าง คุยกะหมาคุยกะแมวไปตามชอบใจ

    เมื่อหลวงพ่อปานเข้าไปกราบ ๆ ท่านก็ด่านเอาอีก ท่านด่าเอา ท่านไม่ยอมสอน ท่านบอกว่าท่านไม่รู้กรรมฐาน ตอนนี้ล่อโคตรพ่อโคตรแม่เข้าเลย เอากันอย่างหนักในเมื่อหลวงพ่อปานเห็นท่าไม่ได้การ มองดูพระพี่เลี้ยงที่ไปอาศัยกุฏิอยู่ ท่านก็พยักหน้าให้เข้าไปหา ท่านก็เลยเข้าไปหา พระองค์นั้นท่านก็บอกว่าคอยก่อน พรุ่งนี้เข้าไปหาใหม่


    พอวันรุ่งขึ้นก็เข้าไปหาในเวลานั้นอีก ก็ถูกด่าพ่อล่อแม่อีก เอาขนาดหนัก ท่านยืนยันแบบนี้ชักนิ่งเอา ตอนนี้หลวงพ่อเนียมนิ่ง นั่งมองหน้าเป๋งสักครึ่งชั่วโมง ไม่ใช่น้อยนะ ไม่พูดละมองเป๋งตาไม่กระพริบ หลวงพ่อปานก็หมอบอยู่ข้างเท้าของท่าน หมามันก็เลียหัวเลียหูเลียหลังบ้าง ท่านก็ปล่อยมัน บอกว่าช่างมัน ไอ้หัวเรากับลิ้นหมามันก็คล้ายคลิงกัน ไอ้ลิ้นหมามันก็อยู่ส่วนหัว ไอ้หัวเราก็อยู่ส่วนหัว มันปะทะกัน ไม่เป็นไรหัวต่อหัว

    ท่านบอกว่าดีน่ะนา มันยังไม่เอาหัวแม่เท้าของมันมาพาดหัวเรา ๆ ก็ยังไม่ว่ามัน เพราะอย่างน้อยที่สุดมันก็ยังเป็นหมาของหลวงพ่อเนียม ๆ จ้องเป๋งสักครึ่งชั่วโมงแล้วก็พูดมาคำ บอกว่า ไอ้…..กะแม่ ไอ้พวกเมืองกรุงเก่านี่น่ะดื้อด้านเหลือทน โคตรแม่มันดื้อด้านมาก ด่าเท่าไหร่ก็ไม่เจ็ด ด่าเท่าไหร่ก็ไม่ช้ำ เอา มันอยากจะเรียนก็เรียนซีวะ ในเมื่อชาวบ้านเขาหาว่ากูบ้าแล้วมึงเรียนกับกู มึงก็เป็นคนบ้า ต่อไปมึงจะต้องบ้าอย่างกูนะถ้ามึงเรียนกับกู

    หลวงพ่อปานก็เลยบอกว่า บ้าก็บ้าครับ ผมยอมบ้าถ้าผมไม่อย่างบ้าผมก็ไม่มาหาหลวงพ่อ นี่ผมได้ยินข่าวหลวงพ่อแล้วผมอยากบ้าอย่างหลวงพ่อขอรับ ตอนนี้ท่านบอกว่าเพิ่งจะได้ยินเสียหัวเราะลั่น ๆ เลย หัวเราะเสียดังบอกว่า เออ กูหาคนอยากจะบ้ามานานแล้วหาไม่ได้ นี่กูบ้าคนเดียวมานาน ต่อไปนี้กูจะมีเพื่อบ้าละโว้ยเอาเข้านั่น หลวงพ่อปานชอบใจ หลวงพ่อปานบอกว่าหลังจากนั้นท่านก็เลยสั่งว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ตอนนี้พูดดี กลางคืนเวลาประมาณสัก 2 ทุ่มนะ เอ็งนุ่งสบงทรงจีวรคาดสังฆาฏิให้ดีเข้าไปหาข้าในกุฎิ เวลากลางวันนี้มันจะเรียนกันยังไงวะกรรมฐาน เขาเรียนกันกลางคืน มันเงียบสงัดตอนนี้ชักดี

    หลวงพ่อปานก็บอกว่าใจชื้น พอตอนกลางคือนหลวงพ่อปานเข้าไปหาท่าน ปรากฏว่ารูปร่างท่านผิดไปมาก ผิวดำผอมเกร็งแบบนั้นไม่มี ท่านนุ่งสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิเหลืองอร่าม ผิวการสมบูรณ์ ร่างกายสมบูรณ์ หน้าตาอิ่มเอิบ รัศมีกายผ่องใส สวยบอกไม่ถูก หลวงพ่อปานกราบ 3 ครั้งแล้วก็นั่งมอง ท่านก็นั่งมองยิ้ม ๆ แล้วท่านก็ถามว่า แปลกใจรึคุณ ตอนนี้พูดดีถามว่าแปลกใจรึคุณ หลวงพ่อปานก็ยกมือนมัสการ บอกว่าแปลกใจขอรับ ว่าหลวงพ่อรูปร่างไม่เหมือนตอนกลางวัน ท่านก็บอกว่ารูปร่างนะคุณมันเป็นอนัตตานี่ คือว่าเป็นอนิจจัง มันหาความเที่ยงไม่ได้ มันจะดำเราก็ห้ามมันไม่ให้ดำไม่ได้ มันจะขาวเราก็ห้ามไม่ให้มันขาวไม่ได้มันจะผอมเราก็ห้ามไม่ได้ มันจะอ้วนเราก็ห้ามไม่ได้ มันไม่มีอะไรจะห้ามได้เลยนี่คุณ

    พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง เห็นไหม ไปเจอเอาตัวอนิจจังเข้าแล้วซิ หลวงพ่อปานบอกว่าตอนนี้จะเริ่มสอนกรรมฐาน อธิบายไปเราะจับใจ ฟังง่ายจริง ๆ พูดได้ซึ้งใจทุกอย่าง เวลาท่านพูดคล้าย ๆ ว่าจะบรรลุอรหันตผลไปพร้อม ๆ ท่าน ท่านสอนได้ดีมาก พอสอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้ไปพักทีกุฏิอีกหลงหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับกุฏิของท่านแล้วเลาทำกรรมฐานกลางคือนหลวงพ่อปานวางอารมณืผิด ท่านจะร้องบอกไปทันที บอกคุณปานเอ๊ยคุณปาน นั่นคุณวางอารมณ์ผิดแล้วนี่หว่า ตั้งอารมณ์เสียใหม่มันถึงจะใช้ได้

    นี่หลวงพ่อปานบอกว่าท่านมีเจโตปริยญาณแจ่มใสมาก ท่านเรียนพระกรรมฐานอยู่กับหลวงพ่อเนียม 3 เดือนแล้วจึงกลับ ก่อนหลวงพ่อปานจะกลับ หลวงพ่อเนียมก็บอกว่า ถ้าข้าตายนะ หลวงพ่อโหน่งวัดคลองมะดันเขาแทนข้าได้ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ไปถามหลวงพ่อโหน่งวัดคลองมะดันนะ


    ความจริงหลวงพ่อโหน่งวัดคลองมะดันหรือวัดอัมพวันสมัยนี้ ก็อายุไล่เรี่ยกับหลวงพ่อปาน รุ่นราวคราวเดียวกัน หลวงพ่อปานท่านบอกเกร็ดระหว่างที่ท่านได้อยู่กับหลวงพ่อเนียมหลวงพ่อเนียมเล่าให้ฟังว่า มีวันหนึ่งหลวงพ่อเนียมท่านนั่งฉันข้าว ท่านก็หัวเราะกั้ก ๆ ขึ้นมาแมวของท่านตายไปตัวชื่ออีไฝ เพราะว่ามีไฝที่ปาก ท่านเรียกว่าอีไฝ ท่านหัวเราะแล้วท่านก็พูดคนเดียวบอกว่า เอ๊ย อีไฝของข้ามันดีเว้ย มันไปเกิดเป็นคนที่ตลาดโควัง บ้านอยู่หัวตลาดโควังพ่อมันชื่อนั่น แม่มันชื่อนั่น พระที่กำลังฉันข้าวอยู่สงสัยก็จำไว้

    พอครบเวลา 1 ปีผ่านไป พระที่สงสัยมีจำนวน 2 องค์ก็พากันไปดู ไปถามว่าคนชื่อนี้มีไหม เขาก็บอกว่ามี บอกว่าเขามีลูกผูหญิงอายุสักไม่กี่เดือนนี่มีหรือเปล่า บอกว่ามี มีไฝที่ปากหรือเปล่า ท่านบอกด้วยนะว่าอีไฝของท่านไปเกิดมันก็มีไฝที่ปากอีก เขาก็บอกว่ามี ก็ถามหาบ้าน เมื่อถามหาบ้านแล้วก็ปรากฏว่าเขาพาไป

    เมื่อเขาพาไปพบ เจ้าของบ้านเขาก็ถามว่ามาทำไม พระพวกนั้นก็เริ่มโกหกบอกว่าหลวงพ่อเนียมท่านใช้มาบอกว่าแมวของท่านตายมาเกิดเป็นลูกบ้านนี้ มีไฝที่ปากเป็นผู้หญิงแล้วบอกชื่อพ่อชื่อแม่ ท่านพ่อท่านแม่ของเด็กดีใจมากว่าได้ลูกที่เป็นแมวของหลวงพ่อเนียมแล้วก็สั่งพระว่าบอกหลวงพ่อด้วยนะ ถ้าเด็กคนนี้อายุครบ 3 เดือนเมื่อไรละก็ จะพาเด็กไปถวายหลวงพ่อ จะพาไปนมัสการ ไปไหว้ พระพวกนั้นก็กลับ พอครบ 3 เดือน เขาพาไปถึงก็ไปประเคนเด็กลงที่เท้าของท่าน หลวงพ่อเนียมตกใจ ทำท่าตกใจไปยังงั้นเอง ถมว่าเอ๊ะมันยังไงกันหว่า มาถึงก็มายกเด็กมาวางที่ขาข้า เขาก็บอกว่าก็ลูกของหลวงพ่อไงล่ะ แมวชื่อไฝของหลวงพ่อไปเกิดเป็นลูกฉัน ท่านก็ถามว่า เอ๊ะเอ็งรู้ได้ยังไงวะ เขาก็เลยบอกว่าพระไปเยี่ยม พระบอกว่าหลวงพ่อบอกว่าแมวของหลวงพ่อไปเกิดเป็นลูกสายฉัน มีไฝที่ปาก ถามชื่อเสียงเสร็จถูกต้อง พูดอะไรถูกต้องหมด

    ท่านถามว่าพระองค์ไหนจำได้ไหม เขาบอกว่าเถ้าเห็นหน้าจำได้ก็เรียกพระมาทั้งหมด ปรากฏว่าพระ 2 องค์นั้นไม่มา พระ 2 องค์ที่ไปสืบน่ะหนีไปหลังวัดท่านถามว่า พระทั้งหมดนี่น่ะใช่ไหม พระที่ไปที่บ้านเอ็งมีไหม เขาบอกว่าไม่มี พระ 2 องค์นั้นไม่มี ก็เลยใช้พระองค์หนึ่งไปตามบอกว่า โน่น มันหนีไปหลังวัดโน่น ไปตามมันมา พระองค์ที่ไปตามไปพบกันเข้ากับพระ 2 องค์นั้นก็บอก

    นี่คุณกลับไปเถอะ ไปบอกหลวงพ่อ บอกว่าตามไม่พบนะ เดี๋ยวผมจะไปนอนค้างที่วัดลานคา ๆ กับวัดน้อยไม่ไกลกันนัก พระองค์นั้นก็กลับมาบอกว่าไม่พบขอรับ ท่านก็บอกว่ามันจะพบยังไงหว่า ก็มันสั่งมึงมานี่ให้บอกกูว่าไม่พบพระองค์นั้นจนด้วยเกล้าต้องยอมรับ จึงกล่าวได้ว่าหลวงพ่อเนียมมีเจโตปริยญาณ มีทิพยจักษุญาณดีมาก เรียกว่าสำหรับจุตูปปาตญาณก็แจ่มใสมาก ความจริงก็ไม่ต้องพูดอะไรนะ

    ถ้ามีทิพยจักษุญาณแจ่มใสเสียอย่างเดียว อย่างอื่นมันก็แจ่มใสหมด แต่ว่าทิพยจักษุญาณจะแจ่มใสได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับวิปัสสนาญาณ คือ 1 มี ญาณดี 2 มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส ถ้า 2 ประการนี้มีกำลังพอกันเพียงใด เรื่องทิพยจักษุญาณก็ไม่ต้องสงสัย แต่ว่าเรื่องของสาวกน่ะอย่าไปเทียบกับพระพุทธเจ้านะ เรื่องที่ไม่เผลอ ไม่ลือมไม่มี ที่ไม่เผลอไม่ลืมก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ว่ากันถึงเรื่องตอนนี้นะ


    เรื่องรวมของหลวงพ่อเนียมน่ะยังไม่หมด มีอีกตอนหนึ่งที่หลวงพ่อปานเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า ความจริงก็น่าจะมีสัก 2 ตอนนะ ตอนหนึ่งที่หลวงพ่อปานเล่าให้ฟังก็คือว่า ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านเคยเทศน์ เทศน์กับอาจารย์แสงวัดพะเนียงแตก อาจารย์แสงนี่คราวที่ไปกรุงเทพฯวันที่ 1 มกราคม ท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ พูดให้ฟังว่า ใครเขาเอาพระของอาจารย์แสงมาให้ก็ไม่ทราบ ความจริงอาจารย์แสงอง๕นี้สมัยนั้นมีชื่อเสียงมาก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดพระเนียงแตกนี่น่ะมีชื่อเสียงมากจริง ๆ เวลาใครเขาจะไปสึกเขาไปสึกที่วัดพระเนียงแตก แล้วท่านจะถามว่าเวลาสึกนี่น่ะ ต้องการรวย หรือว่าต้องการเจ้าชู้หรือว่าต้องการเป็นนักเลง หรือต้องการเมตตาปรานี ถ้าใครต้องการรวยท่านก็รดน้ำมนต์ให้สึกไปแล้วรวยมีโชคดี ถ้าคนไหนบอกว่าอยากมีเมียมาก ๆ เป็นเจ้าชู้รดน้ำมนต์แล้วไม่เกิน 2 วันได้เมียเลย แล้วก็ได้เรื่อยไป ไม่มีจังหวะ ก็เลยตั้งตัวไม่ติด ถ้าต้องการนักเลง รดน้ำมนต์ให้แล้วส่งเชือกให้ แวบอกว่าไปลักควายเขา อาจารย์องค์นั้นจะเป็นอาจารย์แสงหรืออะไรไม่ทราบแต่วัดพะเนียงแตกมีชื่อมานาน

    แต่สมัยหลวงพ่อเนียมนั้นน่ะ สำหรับวัดพะเนียงแตกนี่กีมีอาจารย์แสงเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเนียมเคยเล่าให้หลวงพ่อปานฟังว่า ไอ้ท่านแสงน่ะข้าเทศน์กับมันทุกคราว เรียกว่าข้าเทศน์กับมันเรื่อย มันไล่ข้าเสียเกือบตายทุกที เหนื่อย ข้ามันแก่แล้วนี่มันหนุ่มกว่าข้า มันไล่ข้า ข้าก็ไม่จน เข้าก็ตอบมันได้เรื่อย แต่ทว่ามาอีวันหนึ่งข้าไปเทศน์กับมันที่วัดลาดหอย คำว่าลาดหอยนี่ก็อยู่ใกล้ ๆ กับประตูน้ำบางยี่หน

    วันหนึ่งอาจารย์แสงไปถึงก่อนชาวบ้านเขาก็เอาหมาก เอาพลู เอาบุหรี่ เอาชา เอาน้ำร้อนน้ำเย็นมาถวายกัน เขาก็หัวเราะกันครืน ๆ ท้ายอาสนสงฆ์ ข้าไป ข้าก็ไปนอนอยู่หัวอาสนสงฆ์ ชาวบ้านไม่มีใครเขาสนใจกะข้าหรอก เขาไปคุยกับท่านแสง มันมีลีลาดี มันโกหกชาวบ้านเก่ง มันก็คุยกัน ฮา ๆ ๆ คุยไปคุยมาเดี๋ยวมันร้องตะโกนมาบอกว่า หลวงพ่อเนียมวัดน้อยน่ะ คุยว่ารู้ใจคนอย่างนี้น่ะเป็นการอวดอตริมนุสธรรม ขาดจากความเป็นพระแล้ว ไม่ใช่พระ ถ้าหบวงพ่อเนียมเก่งจริงก็ลองบอกซิว่าเวลานี้น่ะผมมีความในใจเป็นยังไง

    หลวงพ่อเนียมบอกว่าพอฟังมันพูดเท่านั้นแหละ ก็นึกในใจว่าถ้าจะนิ่งไม่ได้เสียแล้วไอ้ท่านแสงนี่อวดดีมาก เก่งบนธรรมาสน์ไม่พอ มาท้าตีกันใต้ธรรมาสน์อีก ไม่ได้จะต้องเอากะมันท่านก็เลยลุกจากที่นอนกวักมือเรียกท่านแสง แกอยากจะรู้ว่าข้ารู้จริงหรือไม่จริงเชิญเข้ามาหาข้านี่ อาจารย์แสงเขาก็มา ชาวบ้านเขาก็เข้ามากัน ถามว่าแกอยากจะให้ข้ารู้อะไร อาจารย์แสงก็เลยบอกว่าถ้ารู้จริงก็บอก เวลานี้ผมมีความสุขหรือความทุกข์

    หลวงพ่อเนียมก็เลยบอกว่าไอ้คนอย่างแกมันจะหาความสุขที่ไหนวะ ก็เวลานี้แกสร้างโบสถ์ แกขอยืมเรือมาด 4 แจวของชาวบ้านเขามา เขาซื้อมากราคา 400 บาท ยังเป็นเรือใหม่ แล้วไอ้เรือลำนั้นขโมยมันลักไปเวลานี้แกยังเทศน์รวบรวมเงินใช้หนี้เขาไม่หมด ก็เทศน์สมัยนั้นนี่นะลูกหลานนะ ถ้าใครไปเทศน์ได้ถึง 20 บาทละก็เฮงเต็มทีแล้ว อย่างดีก็ 5 บาท 6 บาท เท่านี้ก็เรียกว่ารวยแล้ว ไม่ใช่ราคาร้อยราคาชั่งอย่างเวลานี้ ตามปกติเทศน์กันก็ได้ห้าสลึงบ้าง สองบาทบ้าง ดีไม่ดีก็ไม่ค่อยจะถึงบาท

    สมัยนั้นถ้าใครได้มา 20 บาท ก็จัดว่าเป็นนักเทศน์อย่างดี ในเมื่อหลวงพ่อเนียมบอกอย่างนั้นนะ ว่าแกมันยังหาเงินใช้หนี้เขาไม่หมด เป็นความจริงไหม ตอบตรง ๆ หลวงพ่อแสงก็บอกว่าจริง หลวงพ่อแสงก็ถามว่าทำยังไงล่ะผมถึงจะใช้หนี้เขาหมด ท่านก็เลยบอกว่าไอ้แกมันโง่นี่ แกกลับไปซี เวลาวันพระไปบอกกับชาวบ้านเขา บอกว่าเวลานี้เรือมาด 4 แจวขอยืมเขามาขนทรายขนอิฐ ขนดินทำอิฐจะสร้างโบสถ์ ขโมยมันลักไป ไอ้แกตั้งใจจะใช้หนี้เขาแต่ก็ยังไม่มีเงิน ไปเทศน์รวบรวมเงินมาแล้วมันยังไม่พอ เวลานี้แกมีเงินอยู่ 80 บาท เศษ ๆ ใช่ไหมล่ะ ท่านถาม อาจารย์แสงตอบว่าใช่ อาจารย์แสงยกมือพนมแต้ อีตานี้ไม่เบ่งละพนมแต้เชียว ตอบใช่ ก็บอกว่านี่แกประกาศกับเขาซีว่าแกเทศน์มาได้ 80 บาทเศษ ๆ ก็ตั้งใจจะใช้เป็นค่าเรือ มันยังไม่พอ

    ถ้าบรรดาญาติโยมทั้งหลายจะช่วยละก็ จะช่วยกันคนละเล็กละน้อยตามกำลังศรัทธาก็เป็นการดี แกบอกเท่านี้ละนะ แกจะได้กำไรอีก 400 บาท หมายความว่าไอ้ที่จะใช้เขา 400 บาท มันยังจะเหลืออีก 400 บาท ได้ 800 บาท นั่นเอง หวงพ่อแสงก็ถึงกับกราบ วันนั้นท่านบอกกับหลวงพ่อปานว่า ไอ้ท่านแสงมันไม่ไล่ข้าเลยว่ะ เทศน์กันแบบสบาย พอมันกลับไปวัดมัน ถึงวันพระมันประกาศตามกันว่า มันได้ 800 บาท จริง ๆ ไอ้ท่านแสงตามมาไหว้ข้าถึงวัดแน่ะ

    แล้วต่อจากนั้นจะเทศน์จะธรรมมันไม่ไล่ข้าอีกหรอกก เทศน์กันสบายเชียวนี่เป็นเรื่องของความรู้ของท่านนะ หลวงพ่อปานพูดในตอนนี้บอกว่าหลวงพ่อเนียมน่ะมีญาณคล้าย ๆ กับพระอรหันต์ ท่านว่ายังงั้นนา ท่านว่ามีคุณสมบัติคล้ายพระอรหันต์ ท่านไม่บอกว่าพระอรหันต์นะ ท่านบอกว่าคล้าย ใครจะไปว่าท่านล่ะ จะเหมือนหรือจะคล้ายก็ช่าง

    วิชาเกร็ดก็มีอีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อเนียมบอกกับหลวงพ่อปานว่า เมื่อก่อนหน้าแกมานะแหมข้าเกือบน่ะว่ะ หลวงพ่อปานถามว่าเป็นยังไงครับ หลวงพ่อเนียมบอกว่าที่ไหนได้ ข้าถูกงูกัด ข้าเดินไปกลางลานวัด ข้าถูกงูกัด ๆ แล้วก็เห็นมันเป็นงูเห่า ข้าก็เลยมากุฏิ นั่งเป่า ๆ ๆ พักเดียวมันก็หาย หลวงพ่อปานก็เลยอยากได้คาถาแก้งูเห่าบ้าง ถามว่า หลวงพ่อครับหลวงพ่อใช้คาถาอะไรเป่าพิษงูเห่าหาย ท่านก็บอกว่าไอ้คาถาที่เข้าเป่านี่น่ะมันมีเยอะว่ะ ในเจ็ดตำนานทั้งหัวมันใช้ได้ทั้งนั้นแหละ แกเอาตรงไหนก็ได้

    หลวงพ่อปานบอกว่าหมดท่าเลย พ่อเล่นบอกว่าเจ็ดตำนานทั้งเล่มเอาตรงไหนก็ได้ นี่แสดงว่าจิตเข้าถึงแท้นะ มีพลังจิตสูง แล้วอีกตอนหนึ่งท่านบอกว่า ไอ้พวกผีนี่น่ะมันจะเอาคนแถวนี้ ข้าไม่ยอมให้มัน มันบอกมันจะเอาคนตั้ง 200 คน มันขอข้า ข้าไม่ให้มัน ๆ เอาไปตั้ง 200 คน ข้าก็ตายน่ะซี พระก็ตายไม่มีใครเลี้ยง คนน่ะมากกว่าแต่คนตายตั้ง 200 คน บ้านมันก็หนาวหมด เขาก็ยกบ้านหนี้หมด ข้าไม่ยอมให้มัน มันโกรธข้าแฮะ ข้าจะไปไหนก็ตาม มันถึงไม้แหลมอันหนึ่งเดินตามไป ไม่ว่ากลางวันกลางคืน ข้าก็ไม่ยอดเผลอให้มันแต่วันหนึ่งข้าไปส้วมว่ะ ข้าเผลอไป แหมพอไปส้วม เผลอไป มันย่องเข้าไปข้างหลังเอาไม่พุ่งปั๋งเข้าที่ท้อง ข้าขี้แตกพรวดเลย โอ้โฮมันขี้เสียหมดท้อง ชักไม่มีแรง

    เวลาออกมาจากส้วมต้องใช้ไม่เท้ายันมากุฏิ ข้าก็นอนแผ่ นึกเป่าตัวเองครึ่งวัน สักครั้งวันมีกำลังปกติ หลวงพ่อปานก็ถามว่าหลวงพ่อใช้คาถาอะไรเป่าขอรับ ท่านบอกว่าข้าเอาตามเจ็ดตำนานที่ไหนก็ได้ บทไหนก็ได้ ชอบบทไหนแกก็เอาบทนั้นเป่าส่งไปเถอะหายเองแหละ คนถ้ายังไม่ถึงเวลาจะตายน่ะหายเอง หลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อเนียม 3 เดือนก็ลากลับ

    ก่อนจะกลับหลวงพ่อเนียมก็ลูบศรีษะแล้วว่า ปานเอ๊ย เอ็งมันปรารถนาพุทธภูมินะ จะหวังอรหันต์ในชาตินี้น่ะได้ แต่ทำไปเถอะ เพื่อบารมีของเอ็งจะได้เต็ม เวลาข้าตายแล้วถ้าเอ็งสงสัยอะไรก็ถามท่านโหน่งเขานะท่านโหน่งน่ะเขาพอจะแทนข้าได้
     
  17. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕๗.หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อโหน่ง

    ในการต่อมา เมื่อหลวงพ่อเนียมมรณภาพแล้ว หลวงพ่อปานก็มีความสงสัยในหลวงพ่อโหน่ง คำว่าสงสัยน่ะ ไม่ใช่สงสัยอะไรหรอก หมายความว่าอยากจะพบ อยากจะรู้ถึงคุณสมบัติของหลวงพ่อโหน่ง อยากจะเรียนต่อกันนั่นเอง

    พระสมัยนั้นน่ะท่านไม่ใช่แข่งดีกันนะ ท่านพยายามขอดีกัน หมายความว่าถ้ารู้ว่าใครเขามีดีแล้วก็ไปขอดีจากเขา ไม่ใช่เอาดีไปแข่งหรือเอาดีไปอวด หลวงพ่อปานก็ธุดงค์ไปเพื่อจะไปหาหลวงพ่อโหน่ง ตอนไปก่อนจะถึงท่านบอกว่าแดดมันร้อนจัด ท่านก็พักอยู่โคนต้นพุทรา อยู่ไม่ไกลจากกุฏิของหลวงพ่อโหน่งนัก ท่านก็เปิดหน้าต่างออกมาร้องว่า แหม พ่อคุณ มาแล้วยังดันมาสั่งเสียอีกนะ ไอ้เราน่ะคอยมาตั้งแต่เช้า คิดว่าจะมาถึงแต่เช้า มาโอ้เอ้ ๆ อยู่ได้ เขามาให้ถึงนี่ซี มาพักผ่อนที่นี่ มานั่งคุยกัน เราคอยมาตั้งนานแล้ว

    ผลที่สุดหลวงพ่อปานก็เข้าไปหาท่าน แล้วคุยกันถึงเรื่องพระกรรมฐาน สอบกันไปสอบกันมา สอบกันมาสอบกันไป เอาใครดีกว่าใครไม่ได้ เรียกว่าไม่มีใครกล้าดีกว่ากัน จนแต้มด้วยกัน ท่านบอกว่าไล่ไปตามลำดับ เมื่อถึงที่สุดหลวงพ่อโหน่งก็บอกว่าผมก็หมดแค่นี้แหละไปไม่รอดอีก ก็เป็นอันว่าหลวงพ่อปานกับหลวงพ่อโหน่งเวลานั้นยันกัน เรียกว่ายันกันได้

    ตอนนี้ก็อยากจะเล่าประวัติของหลวงพ่อโหน่งสักนิดหนึ่ง ประวัติของหลวงพ่อโหน่งเป็นอย่างนี้ ที่ท่านเป็นพระแท้ ๆ นะ พระอย่างนี้ลูกหลานหายาก คือว่าหลวงพ่อโหน่งน่ะเป็นคนใกล้ ๆ วัดคลองมะดันนั่นเอง ไม่ใช่ลูกเศรษฐีคหบดีที่ไหน เวลาครบบวชท่านบวชอยู่ที่วัดคลองมะดัน 1 พรรษา

    พอพรรษาที่ 2 ก็อยากจะเรียนปริยัติธรรม ท่านมีน้าชายอยู่ที่วัดโพธิ์ วัดพระเชตุพน ท่านเตียน เป็นเจ้าคุณ แล้วเจ้าคุณอง๕นี้ได้เปรียญ 9 ประโยค ท่านก็ไปหาน้าชายบอกว่าอยากจะขออยู่ด้วย อยากจะเรียนบาลี น้าชายก็ดีใจ เห็นหลานชายมีความสนใจในพระปริยัติธรรม ขออยู่ด้วย อยากจะเรียนบาลี น้าชายก็ดีใจ เห็นหลายชายมีความสนใจในพระปริยัติธรรมก็บอกว่าอยู่กับน้ำเถอะ เรื่องอาหารการบริโภคไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัวอด น้ำจะเลี้ยงเอง มีอะไรเท่าไรจะสอนให้หมด ไม่เก็บละ ดีใจว่าหลานสนใจในการศึกษา

    เมื่อคุยกันไปคุยกันมา หลวงพ่อโหน่งก็ถามว่า คุณน้าขอรับ คุณโหน่งเป็นเปรียญ 9 ประโยคแล้วก็เป็นเจ้าคุณด้วย คุณน้าละกิเลสได้หมดรียัง และน้ำชายก็แสนจะดีไม่ตอบตรง ๆ หอก ท่านบอกว่าโหน่ง คุณเข้าไปดูในกุฏิฉันซิว่าฉันมีอะไรบ้าง หลวงพ่อโหน่งก็เดินเข้าไปดูในห้องท่าน มีโต๊ะหมู่มุกบ้าง โต๊ะหมู่ทองบ้างงาช้างอย่างดีบ้าง ของมีค่าเยอะแยะอยู่ในกุฏิภายในห้อง นับราคาไม่ไหว ของมีค่าสูง ๆ มาก พอดูทั่วแล้วท่านก็ออกมา

    หลวงน้ำก็ถามว่าโหน่งคุณเห็นอะไรบ้าง หลวงพ่อโหน่งท่านก็จาระไนหมดทุกอย่างเท่าที่เห็น ท่านก็เลยบอกหลวงพ่อโหน่งว่า คุณโหน่งนี่ถ้าฉันละกิเลสได้น่ะ ของทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มีหรอก ถ้ามันจะมีมันเป็นของสงฆ์ แต่นี่ฉันมีไว้แล้วก็เป็นของส่วนตัวก็แสดงว่าฉันนี่ละกิเลสไม่ได้เลย ฉันบวชเป็นเปรียญ 9 ประโยค และพระราชาทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ เรียกกันว่าเจ้าคุณ แต่ฉันก็ละกิเลสไม่ได้สักตัว ราคะ โทสะ โมหะ นี่ฉันละไม่ได้สักตัว หลวงพ่อโหน่งได้ยินอย่างนั้นก็สลดใจเลยบอกว่า

    ถ้าอย่างนั้นละก็กระผมไม่เรียนแล้วละครับหลวงน้า ถึงจะเรียนกันถึง 9 ประโยคแล้วละกิเลสไม่ได้ เป็นเจ้าคุณแล้วยังละกิเลสไม่ได้ ในเมื่อเรียนแล้วละกิเลสไม่ได้ไม่เรียนให้เหนื่อยหรอกขอรับ ขอลากลับไปวัดคลองมะดัน หลวงน้าก็ไม่ว่าอะไร บอกว่าตามใจ ๆ คุณ ในเมื่อคุณไม่สมัครใจฉันก็ไม่ว่า แต่ว่าถ้าต้องการเรียนเมื่อไรมาอยู่กับหลวงน้านะ หลวงน้าพร้อมที่จะอุปการะ ความจริงท่านก็ดีมาก แต่ตอนกลับมาอยู่วัดคลองมะดัน ตอนเรียนพระกรรมฐานนี่น่ากลัวจะไปเรียนกับหลวงพ่อเนียม

    ตอนนี้หลวงพ่อป่านไม่ได้บอก ท่านบอกว่าท่านไปนั่งกรรมฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง คือว่าตรงนั้นมันใกล้ป่าช้าพอมีที่เตียนอยู่นิดหนึ่ง จะแล้วขนาดไหนก็ตามตอนนั้นมีแผ่นดินชุ่มอยู่เสมอ ผืนแผ่นดินที่ชุ่มมีบริเวณประมาณสัก 4 ตารางวา ไม่กว้างนัก ท่านบอก ท่านไปนั่งกรรมฐานอยู่ตรงนั้นตอนดึกวันหนึ่งปรากฏว่ามีพระสงฆ์องค์หนึ่งรูปร่างเรียกว่าสวยมาก มีลักษณะดี บอกว่าลักษณะเหมือนพระพุทธเจ้า มายืนอยู่ข้างหน้าบอกว่า โหน่ง ที่ตรงนั้นมีพระบรมสารีริกธาตุ ใต้ที่เธอนั่งลงไปน่ะมีขันทองคำขนาดใหญ่มีน้ำเต็ม และในขันทองคำนั้นมีเรือสำเภาทองคำ แล้วก็มีมณฑปทองคำ มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในนั้น เธอควรจะสร้างวิหารทับตรงนี้เข้าไว้ ชาวบ้านเขาจะได้ไม่เดินผ่าน คือ ไม่เดินเหยียบเดินย่ำไปบนพระบรมสารีริกธาตุ

    หลวงพ่อโหน่งท่านก็บอกกับพระองค์นั้นว่าท่านเพิ่งบวชได้ 2 พรรษา ยังไม่มีปัญญาจะสร้าง ไม่ทราบว่าใครเขาจะเชื่อถ้าบอกบุญเขา ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกโหน่ง ตอนเช้าวันพระนะ วันนั้น เป็นวันโกนตอนเช้าเธอลงศาลาแล้วบอกกับญาติโยมเขา บอกว่าเธออยากจะสร้างวิหาร เท่านี้ละจะมีคนช่วยสร้างจนเสร็จ หลวงพ่อโหน่งท่านรับฟัง แล้วก็ถอนจากกรรมฐาน ตอนเช้าเป็นวันพระ เวลาฉันข้าวท่านก็พูดกับทายกว่า อยากจะสร้างวิหารตรงนั้นตรงที่ท่านเจริญพระกรรมฐาน ชาวบ้านพอเขารู้เข้าก็พร้อมใจกันช่วยกันสร้างวิหาร ภายในระยะ 1 ปี วิหารหลังนั้นก็โตนะ

    เดี๋ยวนี้วิหารหลังนั้นก็ยังอยู่ วิหารหลังนั้นไม่เล็ก ภายใน 1 ปีก็สร้างเสร็จ เมื่อสร้างเสร็จแล้วท่านก็นั่งกรรมฐานในพระวิวหารนั้น พระองค์นั้นก็บอกว่าให้สร้างพระประธาน คือว่าสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไว้ในวิหารสักองค์ หลวงพ่อโหน่งก็บอกไม่ทราบจะไปเอาช่างที่ไหน องค์นั้นกับก็บอกว่าตอนเช้าให้ออกธุดงค์ ๆ ไปที่เมืองกรุงเก่า ไปถึงหลังวัดประดู่ทรงธรรมละก็ให้ไปปักกลดตรงนั้น แล้วตอนเช้าจะมีคนมาใส่บาตร คนที่มาก่อนเพื่อน นุ่งชาวห่มขาวผมก็ขาวมีขันข้าวมาลูกเดียวไม่มีกับข้าว ถ้าคนนั้นมาละก็ให้พูดกับคนนั้นเขา เขาเป็นช่างเขาจะมาช่วยปั้นพระ หลวงพ่อโหน่งก็เชื่อ

    พอตอนเข้าท่านก็ออกธุดงค์ไป จังหวัดอยุธยาสมัยนั้นเขาเรียกกันว่าเมืองกรุงเก่า เพราะว่าเป็นเมืองหลวงเก่า ไปถึงหลังวัดประดู่ทรงธรรม พอถึงตอนเช้าก็เป็นไปตามนั้น คนที่มาก่อนเพื่อเป็นคนที่นุ่งขาวห่มขาวผมขาวมีขันข้าวขันเดียวและไม่มีกับมาถึงก็มานั่งใกล้ท่าน คนอื่นมาทีหลัง หลวงพ่อโหน่งก็ปรารภเรื่องปั้นพระประธาน ตาคนนั้นก็บอกว่าแกเป็นช่างแกรับรองจะปั้นให้ ตกลงกันว่าแกจะไปปั้นให้ แต่ว่าหบวงพ่อโหน่งลืมบอกวัดลืมบอกว่าท่านอยู่วัดไหนนี่ท่านไม่ได้บอก

    เมื่อฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วแกก็บอกว่าแกจะตามไป ให้หลบวงพ่อโหน่งไปก่อน หลวงพ่อโหน่งก็ถอนกลดเดินกลับวัด แต่พอมาถึงวัดแล้วก็มา นึกขั้นได้ว่า อ้าวตาย เราไม่ได้บอกกับนายช่างเขานี่ว่าเราอยู่วัดไหน แล้วก็นายช่างเขาจะมาถูกหรือไม่ถูกก็ไม่รู้ แต่ว่าวันนั้นมันก็บายเสียแล้ว ก็คิดว่าถ้านายช่างไม่มาภายใน 3 วัน หลวงพ่อโหน่งก็จะต้องกลับไปอยุธยาใหม่ ไปปักกลดตรงนั้นอีกแหละ ไปบอกเขาว่าอยู่วัดไหน ในเมื่อพอวันรุ่งขึ้นก็ปรากฏว่านายช่างมาถึง ไม่ได้บอกวัดก็มาถูกเหมือนกัน มาถึงก็ลงมือปั้นพระ พระองค์นั้นรู้สึกว่าปั้นได้สวยมาก มองดูลักษณะน่าดู

    เมื่อปั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ปรากฏว่าช่างหายไป หลวงพ่อโหน่งก็ตกใจว่า เอ๊ะ นี่เรามาใช้ให้เขาปั้นพระนี่ควรให้ค่าจ้างเขา นี่ค่าจ้างก็ยังไม่ทันให้ แล้วช่างก็มาหายไปเฉย ๆ มาหนีไปเสีย ไม่ได้รับค่าจ้าง มันก็จะเป็นการใช้กันฟรีเกินไป ท่านจะหาที่ไหนก็ไม่พบ ในที่สุดก็ไปใหม่ ออกธุดงค์ไปอีก ไปปักลดที่หลังวัดประดู่ทรงธรรม ทีนี้พวกชาวบ้านเขาก็มาใส่บาตรกัน แต่ปรากฏว่านายช่างไม่มา ก็ถามชาวบ้านว่ารู้จักตมช่างคนนั้นไหม ชาวบ้านเขาก็บอกว่าไม่รู้จัก เมื่อปีที่แล้วนี้ที่ฉันมาปักกลด มีคนนุ่งขาวห่มขาวมีผมยาว ๆ ถือขันข้าวขันเดียวไม่มีกับ แล้วฉันให้เขาไปปั้นพระ เขาไปปั้นแล้วยังไม่ทันให้ค่าจ้างก็ปรากฏว่าเขาหายมา เข้าใจว่าเขามาบ้าน คนแถวนั้นก็เลยพากันบอกว่า คนนั้นไม่ใช่คนที่นี่ เป็นคนที่อื่น เขาเองเขาก็ไม่รู้จักเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเป็นคนที่ไหนมา

    ก็เห็นเขาวันนั้นวันเดียว วันอื่นก็ไม่เคยเห็น เป็นอันว่าหลวงพ่อโหน่งไม่ได้จ่ายค่าจ้าง ช่างคนนั้นเป็นใคร ตอนนี้ก็เห็นจะไม่พยากรณ์นะ แต่ว่าหลวงพ่อปานท่านบอกว่า ช่างคนนั้นไม่ใช่คน แล้วจะเป็นใครก็ตามใจซิ เขาไม่บอกวันก็ไปถูก ปั้นแล้วก็ไม่เอาสตางค์ หนีเจ้าของงานเปิดฉับ ไม่เหมือนช่างสมัยนี้นี่รับเงินไปมากกว่างาน หนีเจ้าของงาน ตาช่างคนนั้นไม่ได้รับเงินแต่ว่าหนีเจ้าของงานแปลกกันนะ แปลกกันหน่วย แปลกกันตรงนี้


    ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. เท่าไร ฉันก็จำไม่ได้ แต่ฉันบวชแล้ว ปรากฏว่าหลวงพ่อโหน่งตายพระที่วัดหลวงพ่อโหน่งก็มาบอกหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานติดธุระไปไม่ได้ วันที่จะเผาหลวงพ่อโหน่ง ท่านติดกำหนดยกช่อฟ้าวัดช่องลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เพราะท่านไปสร้างศาลาไว้ที่นั่น ท่านสั่งพระไปบอกว่า ถ้าหากว่าศพหลวงพ่อโหน่งไม่เน่าละก็อย่างเพิ่งเผานะให้รอท่านก่อน ถ้าหากว่าศพหลวงพ่อโหน่งแห้งหรือว่าน่าก็จงเผาเถิด เพระเก็บศพไว้ 13 เดือนแล้ว

    ปรากฏว่าเวลาเขานำศพออกมามีสภาพเหมือนคนนอนหลับ เวลาท่านจะตายท่านนอนตะแคงขวา พนมมือเหมือนกันคนนอนหลับ สภาพการเน่าเหม็นอะไรก็ไม่มี สมัยนั้นไม่มีการฉีดยา แต่ทว่ากรรมการวัดส่วนใหญ่เขาพากันเผาเสีย ต่อมาหลวงพ่อปานรู้เข้าไปที่วัดนั้นฉันก็ไปด้วย ท่านเรียกกรรมการวัดบ้างพระบ้างมาเทศน์เสียเยอะ เรียกว่าเทศน์ให้ฟัง เพราะไม่รู้ค่าของความดีว่าหลวงพ่อโหน่งนี่เป็นพระอรหันต์ พวกแกนี่อยู่กับพระอรหันต์นะ ไม่รู้ค่าของความดีของพระอรหันต์ นี่ท่านอธิษฐานตัวทิ้งเข้าไว้นะ

    วันนั้นฉันมาไม่ได้ฉันก็สั่งแล้วว่าถ้าศพไม่เน่าไม่ควรจะเผา เขาก็ไม่เถียง ท่านพูดแล้วเขาไม่เถียง ท่านก็แพ้เขาน่ะซิ ทีนี้คุณสมบัติหลวงพ่อโหน่งมีพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง หลวงพ่อปานบอกว่า เวลาใครเขานิมนต์ท่านละก็ ท่านต้องถามพระเสียก่อน เพราะว่าท่านไม่เคยเรียนนี่ เวลานิมนต์ไปเทศน์ท่านบอกว่าต้องถามพระก่อนแล้วท่านก็จุดธูปถามพระขอท่าน ถ้าพระบอกว่าไม่ควรไป ท่านไม่ไปใครจะนิมนต์ก็ตามท่านไม่ไป

    แล้วปฏิปทาพิเศษของท่านมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านเอาแม่ของท่านไปเลี้ยงไว้ โยมผู้หญิงนะ เรียกภาษาธรรมดาว่าแม่ มันชัดดีไม่แปลกไม่เปลิกหรอก เรียกแม่ก็ได้เวลาท่านบิณฑบาตมาแล้วท่านก็เอาข้าวไปให้แม่ของท่านกิน แล้วท่านก็ฉัน แบบนี้ไม่ผิดนะเคยฟังมาแล้ว เมื่อเวลาแม่กินเข้าวแล้วท่านก็เทศน์ให้แม่ของท่านฟังกันฑ์หนึ่งทุกวัน ท่านทำอย่างนี้เป็นปกติจนกระทั่งแม่ของท่านตาย เอาละ บรรดาลูหลานทั้งหลาย เป็นอันว่าวันนี้ก็ขอยุติกันเพียงเท่านี้นะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาลูกหลานที่น่ารักทุกคน สวัสดี

    ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2515 เมื่อวานนี้ฉันพูดถึงหลวงพ่อปานที่ไปอยู่กับหลวงพ่อเนียม มันป้ำเป๋อไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ขอให้ทราบในตอนนี้นะว่าหลวงพ่อปานท่านอยู่กับหลวงพ่อเนียม 3 เดือน ถ้าบังเอิญไปพูดว่า 1 เดือนละก็ผิดนักเวลาเลิกแล้วไปนอน ไปนึกขึ้นมาได้ว่า ฉันพูดว่าอยู่กี่เดือนก็ไม่ทราบ เอาเป็นรู้กันว่าหลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อเนียม 3 เดือนก็แล้วกัน

    การบวงสรวงก็เหมือนกัน เป็นการเชิญเทวดาทั้งหมด อาราธนาพระ แม้แต่บารมีของพระพุทธเจ้าลงมาทั้งหมด และพรหมทั้งหมด ในการบวงสรวงแบบนี้ ถ้าลูกหลานยังไม่สามารถจะเห็นบุคคลผู้มาได้ ฉะนั้น ก่อนที่จะฟังเสียงของฉัน จุดธูปจุดเทียนแล้วก็เปิดเครื่อง ได้ยินเสียงบวงสรวงหรือชุมชุมเทวดาแล้ว ก็จงคิดว่าพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ทั้งหมดที่ฉันเชิญมาเวลาบันทึกเสียงนี้ มีกี่องค์ก็ตาม พวกเธอทั้งหลายแสดงความนอบน้อมว่า

    ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพในทุกท่าน แล้วก็ขอทุกท่านจงสงเคราะห์ให้จิตใจของพวกเราทั้งหมดตกอยู่ในสัมมาทิฐิโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี มีธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเห็นธรรมนั้นด้วยเถิด แล้วขอให้คุ้มครองอะไรบ้างก็ว่ากันไปตามใจนึก แต่ว่าอย่าไปเกณฑ์ให้ท่านเล่นหวย เล่นการพนัน หรือไปลักไปปล้นกัน ท่านไม่เอาด้วย เท่านี้ก็เกิดความสุข ท่านจะช่วยได้ตามความสามารถ หรือที่เรียกว่าไม่เกินอำนาจของกรรม นี้ว่ากันถึงเรื่องบวงสรวงนะ ว่ามันดียังไง

    นี่ฉันว่าจะพูดเรื่องอะไร ขึ้นต้นนี่ฉันก็ลืมเสียแล้ว เอายังงี้ก็แล้วกันนะ มาพูดกันถึงว่าหลวงพ่อปานนี่น่ะเป็นหมอ เป็นหมอสาธารณประโยชน์ แล้วก็อาศัยกำลังจิตเป็นสำคัญ ตอนนี้มาฟังกันเป็นเรื่องเกร็ด ๆ นะ เป็นเรื่องเกร็ดความรู้ ก็อยากจะให้จบเร็วที่สุด เพราะว่าเรื่องของท่านถ้าจะเล่าให้จบจริง ๆ นะ มันจบไม่ได้หรอก ฉันพูดไปก็มีเรื่องมาบอกกันทุกจังหวะแล้วเรื่องธัมมะธัมโม กฎข้อวัตรปฏิบัติก็เหมือนกัน สมเด็จท่านเตือนมาให้ตอนต้น ๆ ก็สมควรแล้วนะ เห็นจะไม่ต้องเตือนกันบ่อย ๆ จะได้เล่าเรื่องของหลวงพ่อปานให้มากเข้า

    ตอนนี้มาว่ากันถึงหลวงพ่อปานถูกเขาทำบ้าง หมายความว่าหลวงพ่อปานนี่เป็นคนรักษาโรค 2 อย่าง โรคที่เกิดจากทางการโดยตรงอย่างหนึ่ง แล้วเกิดจากวิชาอีกอย่างหนึ่งนี่มาย้อนรอยถอยหลังสมัยที่ฉันเป็นนาคอยู่ที่วัด ตอนนี้ฉันเป็นนาคบ้างนา ตอนก่อนเล่าเรื่องหลวงพ่อปานเป็นนาค คำว่า “นาคะ” นี่ เขาแปลว่าผู้ประเสริฐ ประเสริฐตรงไหน ประเสริฐตรงที่ละกามคุณเข้าวัด เอาจิตตั้งไว้ในด้านเนกขัมมบารมี อันนี้นาคแท้นะ แต่เข้านาคจอมปลอมน่ะไม่ได้เรื่องเหมือนกัน เวลาไปเป็นนาค คือไปอยู่วัดเตรียมการจะบวช ยังมีอารมณ์ไปติดพันผู้หญิงนี่ใช้ไม่ได้นะ ใช้ไม่ได้ เขาต้องหัดกันตั้งแร่ยังเป็นนาคคืออยู่วัด เอาละ ตอนนี้ทิ้งไว้ ถ้าขืนพูดละมันจบยาก

    ตอนนั้นฉันกำลังอยู่วัด ใกล้จะบวช ก็มีเด็กสาว ๆ คนหนึ่งอยู่บ้านสามกอบ้านสามกอนี่เป็นตำบลบ้านแพน ใกล้ ๆ กับอำเภอเสนาคือชิดกับอำเภอ เด็กสาวคนนี้อายุราว 15 – 16 รูปร่างรู้สึกจะไปวัดไปวากับเขาได้ดี รูปร่างอวบ ๆ ขาว เนื้อเต็ม ส่วนสัดต่าง ๆ ก็เกือบจะประกวดได้เลย ถ้าบังเอิญนะ บังเอิญเขาประกวดนางงามกันขึ้น เด็กคนนี้ก็อาจจะประกวดได้ หรือว่ามีสิทธิ์เข้าประกวด แต่ว่าจะได้เป็นนางงามหรือไม่ได้เป็นก็เป็นเรื่องของกรรมการ

    ในสายตาของฉันถือว่าเป็นเด็กสวยคนหนึ่ง เป็นสายรุ่น ๆ แต่ทว่าตอนบ่ายที่เขานำมาหาหลวงพ่อปาน ต้องหามขึ้นมา เดินไม่ได้ เป็นไข้ขนาดหนัก พอหามขึ้นมาวาง หลวงพ่อปานก็บอกว่าไม่ต้องลอง ไม่ต้องใช้หมากลอง นี่ถูกเขาทำมาแล้วนี่ เออ อีหนูนี่หน้าตามันไม่ขี้ริ้วขี้เหร่เลยนะ ท่านว่ายังงั้น มันเป็นคนสวยก็มีคนรักมาก แล้วคนรักก็รักแบบดีก็มี รักแบบทุจริตก็มีนี่คนรักเขาอยากได้มัน แต่มันก็ไม่ตามใจเขา เขาก็เลยแกล้ง กระทำเอ็ง จะทำให้ตาย เพราะปรากฏว่าเจ้าเด็กคนนี้มันไปรักเด็กชายคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนนั้น

    ในเมื่อเขาไม่มีความหวัง เขาก็เลยคิดว่าในเมื่อเขาไม่ได้ คนอื่นก็จงอย่าได้ ให้มันตายไปเสีย จะได้ไม่มีใครได้ไว้เป็นสมบัติ เขาไปจ้างลาวทำ หลวงพ่อปานท่านบอกเสร็จว่าคนทำนี่นะเป็นลาว เขาจ้าง 200 บาท นี่ท่านรู้เอาตามชอบใจ พอเขาเอาคนไข้มาวางท่านก็พูดเลย ไม่เห็นท่านตั้งท่าหลับตาอะไรนี่ หลับตาปี๋นี่ชาวบ้านติดกันนัก เวลาไปถามพระถามเจ้าที่ท่านพอจะรู้ มีสมาธิพอสมควร พอจะรู้อะไร ได้บ้าง พอท่านบอกไปเฉย ๆ โดยไม่หลับตา

    ก็บอกว่าไม่เห็นหลับตาเลย อีกอักอะไรก็พูดส่ง ไม่เห็นหลับตาสักนิดหนึ่ง นี่ชาวบ้านน่ะเป็นคนติดการหลับตาแบบนี้ไปโดนหลอกเข้า พระประเภทชอบหลับตาโกหก พ่อก็เลยบอกเอา ทีนี้เห็นเขานั่งหลับตาปี๋ ทำตายิบ ๆ ๆ ๆ ก็รู้สึกว่าพระองค์นี้เคร่งครัดมัธยัสถ์ อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ นี่ควรเข้าใจเป็นอย่างนั้นนา แต่ความจริงน่ะเละ ประเภทหลับตาอวดชาวบ้านนี่น่ะเละ ไม่ได้ความ

    เพราะแม้แต่สะเก็ดแห่งความดีของพระศาสนาก็ยังเข้าไไม่ถึง จะไปเอาอะไรท่าน พระโสดา สกิทาคา อนาคา หรือพระอรหันต์ ไม่ได้เรื่องหรอก ไปดูคำสั่งของพระพุทธเจ้าให้ดี ในอุทุมพริกสูตร พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ ถ้าฉันจำไม่ผิดก็ว่าอยู่เล่ม 12 หากว่าฉันจำผิดก็แล้วไปนะ ไอ้เล่ม ๆ นี่ฉันก็ไม่ค่อยได้จำเหมือนกัน จะเป็นเล่มที่ 11 หรือเล่มที่ 12 ก็ไม่แน่นัก ฉันดูมันผ่านมา 30 กว่าปีแล้วนี่ ฉันไม่ได้ดูอีก เล่าเรื่องนี้ต่อไป


    ในเมื่อเขาเอาคนไข้มาวาง ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวก็หาย ท่านพูดเฉย ๆ แล้วก็หัวเราะกั๊ก ๆ ๆ ๆ บอกว่า เอ้อ ไม่เป็นไรหรอกลูกเอ๊ย ท่านบอกกะพ่อแม่ของเด็ก ถ้ามันเป็นใหม่ ๆ ยังงี้มาหาพ่อละก็ไม่เกิน 20 นาทีหรอก หายแน่ หมอขั้นสำคัญ ประเดี๋ยวก็มีพระบัญชาแล้ว เจ้าลิงดำเอ๊ย เสียก้องขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ฉันนั่งอยู่ไม่ไกลท่านนักหรอก นั่งอยู่ไกลประมาณสัก 6 – 7 วา ลิงดำเอ๊ย เอ็งไปรดน้ำมนต์ให้ข้าที อ้าว ! นี่ฉันไม่ได้เป็นหมอกับเขาสักนิดหนึ่งเรียนอะไรก็ไม่ได้เรียนตามนั้น ท่านก็บอกให้โปรดน้ำมนต์

    ก็เลยเข้าไปกราบ ๆ ท่าน ถามว่ารดแล้วว่าอะไรบ้างขอรับ ท่านก็บอกว่าแกมีหน้าที่รดอย่างเดียว ไม่ต้องว่าอะไรหมด น้ำในตุ่มน่ะรดลงไปขนกว่าฉันจะบอกเลิก เอาละซิ นี่มันก็ดีเหมือนกัน หมอรดนี่ ไม่ใช่หมอว่า ไม่ใช่หมอเป่า เขาก็เอาเด็กคนนั้นไปนั่งพื้นข้างล่างต่ำลงไป ฉันยืนรดอยู่ข้างบน รดน้ำหมดไปประมาณ 2 ปีบ พอถูกน้ำรดทีแรกรู้สึกว่าเด็กคนนี้ดิ้นบอกไม่ถูก โอ๊ย แกดิ้นใหญ่ ดิ้นไปดิ้นมา ดิ้นมาดิ้นไป น้ำหมดไปประมาณ 2 ปีบนี่แหละ แกฉีกเสื้อของแกออกหมด เหลือแต่ตัวล่อนจ้อน

    แต่ว่าเดชะบุญนะ ถ้าแกดันฉีกผ้านุ่งแกออกหมดอีก บางทีน่ะหมอขันหล่นมือไม่รู้ตัวเชียวนะ นี่ดีว่าแกฉีกแต่เสื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ดี หมอก็ใจเต้นตึ้ก ๆ ๆ ๆ ตอนนั้น หมอก็ยังเป็นกระทิงเปลี่ยวอยู่นาแล้วคิดว่าถ้าไม่ได้เป็นนาคอยู่วัด เจอะแบบนี้เข้าก็น่ากลับจะรบกัน น่ากลัวจะต้องประกาศสงครามกันแน่ เวลานั้นจิตใจไม่เป็นอะไรหรอก เห็นว่าแกเป็นคนไข้ เห็นว่าแกมีทุกข์ ในจิตใจก็คิดอย่างเดียว อาราธนาในจิต ถึงบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงพระพุทธเจ้าหรือพระองค์ยิ้มของฉัน เวลาฉันไปหยิบขันฉันก็นึกถึงท่าน ท่านก็มายืนอยู่ข้าง ๆ ท่านก็ยิ้มแล้วสั่งว่า รดลงไปเถอะลูก ประเดี๋ยวจะปรากฏเหตุอัศจรรย์ ท่านปานน่ะเป็นคนดี เป็นพระดีนะ ท่านปานนี่น่ะเป็นพระเต็มตัว คุณรับฟังคำสั่งของท่านแล้วปฏิบัติเถอะ ไม่ผิด ท่านปานนี่มีที่ปรึกษาใหญ่ เวลาท่านปานสงสัยอะไรก็ปรึกษาพระ ปรึกษาพรหม ปรึกษาเทวดาเสมอนี่ ตอนที่รดน้ำมนต์ฉันก็นึกถึงหลวงพ่อองค์ยิ้มของฉัน เห็นท่านบอกว่ายังงั้น ฉันก็ดีใจ ฉันก็รดไปเด็กก็ดิ้นไปใหญ่ ผลที่สุดเสื้อเธอก็ขาดหมด เสื้อขาดหมดนี่ คนมันสวยอยู่แล้วนา มันก็ชักจะยังไง ๆ อยู่นา

    แล้วเจ้าคนรดนี่ก็เป็นคนหนุ่มอยู่เสียด้วย แต่เปล่า อย่าเข้าใจผิด ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร สงสารอย่างเดียว ตั้งใจสงเคราะห์อย่างเดียว คนยืนดูกันหมายสิบคน เรียกว่าคนทั้งหมดพระทั้งหมด เห็นแกดิ้นบอกไม่ถูกแบบนั้นก็มายืนดูกัน เมื่อเสื้อแกขาดแล้วก็ฟุบลงไป ตอนเสื้อขาดนี่แกนอนดิ้น แกฉีกเสื้อขาดหมด เห็นแล้วว่ามีแต่เนื้อ เนื้อกะหนัง อย่างอื่นเขาเรียกอะไรกันบ้างฉันไม่รู้หรอก มันก็ไอ้แค่เนื้อแค่หนังนั่นแหละ จะสมมติปุ่มโน้นเป็นยังงั้น ตรงนี้เป็นยังงั้น มันก็แค่เนื้อแค่หนัง มันไม่มีความสำคัญอะไร มันผุมันพังหมด พอเห็นแกไม่มีเสื้อแล้ว แกก็พลิกคว่ำ

    ที่นั่นมันไม่มีอะไร หลวงพ่อปานก็สั่งให้รดใหญ่ ไอ้ลิงดำเอ๊ย รดหนักเข้า รดหนักเข้า ท่านก็นั่งคุยอยู่ ไม่เห็นท่านว่าอะไร ไม่เห็นไปว่าคาถาหมุบหมิบๆ อะไร คุยไอ้อยู่ข้างหลังนั่นแหละ คุยกะแขก เห็นฉันรดท่านก็สั่งเอ้ารดหนักเข้าลูก รดหนักเข้า เราเป็นต่อแล้ว แล้วก็หัวไปคุยกับแขก ไม่เห็นว่าคาถาสักนิด แปลก ดูแล้วก็แปลก ฉันรดไปประมาณดูน้ำหมดอีก 1 ปีบ

    เด็กคนนั้นก็หยุดดิ้น พอหยุดดิ้นเธอก็ลุกขึ้นเรียกโงหัวขึ้นมา ปรากฏว่ามีมีดโต้เล่มหนึ่งมีดโต้ขนาดใหญ่ ผูกสายตราสัง 3 เปลาะอย่างกับผูกผี หล่นเป๊งลงมาจากหน้าอกของเธอ นี่เป็นเรื่องแปลกมาก ก็เวลาที่เธอดิ้นน่ะ เธอฉีกเสื้อออกหมดแล้วนี่ ก็เห็นหนังเท่านั้นแหละไม่มีอะไรเนื้อนี่ก็มองไม่เห็น ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด บอกว่าอัศจรรย์ แล้วเขาก็หยิบมีดมาให้หลวงพ่อปานตอนนี้เธอก็หมดทุกขเวทนา

    รู้สึกว่าอายจัด รีบคว้าผ้าขาวม้าพ่อมาปิดอก แน่ะแปลก ตอนนี้อายแฮะ เอามาปิดเนื้อที่อก เอ้อ ไอ้เนื้อที่อื่นไม่อาย ไปอายเนื่องที่อก แปลกจริง ๆ คน ไม่น่าเลยแปลก ฉันรู้สึกว่าแปลก ไปอายเอาเนื้อที่เขาต้องการ เนื้อนั่นน่าจะโชว์กันนะ แต่โชว์นาน ๆ ก็ไม่มีราคาเหมือนกัน เพราะตาคนเรามีสภาพเหมือนงู ถ้าของอะไรที่เขาปกปิดอยู่มันก็อยากดูเขาเปิดแล้ว เปล๊า ไม่อยากดูหรอก เดินหลีกไป นี่เป็นยังงั้น นี่ฉันก็ว่าเรื่องไป

    ไอ้ฉันน่ะไม่ได้เรื่องแล้ว ไม่ได้ความแล้ว ถูกตอนเสียตั้งแต่บวชพรรษาแรก หมดเรื่องกันไป สบายเรื่องนี้สบายไม่ยุ่ง พอเขาเอามีดไปให้หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็บอกว่านี่เขาทำมา เขาเสกมีดเข้าอกแล้วท่านก็เสกมงคลให้ แล้วก็เอาผ้ายันต์ทอ เสกยันต์ทอผูกในมงคลแล้วก็คล้องคอให้อีหนูคนนั้นบอกว่า อีหนูเอ็งกลับไปบ้านละก็เอ็งอย่าถอดมงคลนะลูกนะ เขายังจะเล่นงานเอ็งต่อไป

    คำว่าเล่นงานนี้ แหมฟังแล้วจะตีความหมายกันมาก ฟังกันเพียงเหมาะ ๆ นะ ตีความหมายในคำพูดกันเพียงเหมาะ ๆ นี่ฉันพูดอย่างพระ อย่าตีความหมายอย่างชาวบ้าน มักจะลึกซึ้งเกินไป แล้วหลวงพ่อปานท่านก็สั่งให้กลับ ความจริงรักษากันเดี๋ยวเดียวจริง ๆ นี่คนขนาดหามมานา พอเขาไปแล้วหลวงพ่อปานก็บอกว่า ลิงดำเอ๊ย เอ็งเข้าใจไหมลูก มีเล่มนี้เอาทำยังไง ตอบว่ากระผมไม่เข้าใจขอรับหลวงพ่อ ก็มีดนี่มันเป็นเหล็ก มันเอาเข้ามาในอกคนได้ยังไง

    ท่านก็เลยบอกว่าประเดี๋ยวพ่อจะทำให้ดู คนเยอะ คนที่มีดูน่ะยังไม่ไป คนไข้ที่ว่าจะไปก็ไปไม่หมด หมายความว่าเด็กคนนั้นน่ะลงเรือไปแล้ว แต่ญาติของเด็กมาด้วยกันหลายลำนี่ มาเรือ ยังไปไม่หมดท่านบอกว่าพ่อจะทำให้ดู วิธีที่เขาจะเอาข้าคนเขาทำอย่างนี้ ท่านก็เอามีดวางข้างหน้า หมอบางคนเขาเอาใบตอบรอง แต่นี่ไม่เห็นท่านรองท่านเริงอะไร ท่านเอามีดวางข้างหน้า ท่านก็บอกว่าลิงดำเอ็งไปหาไม้ลำที่มีปล้องตัน ๆ มาให้พ่อลำหนึ่ง ไม่ต้องยาวหรอก เขาเรียกว่าขังข้อคือข้อหัวข้อท้ายมันไม่เปิด มันก็หาไม่ยาก

    ใกล้ ๆ ที่ท่านนั่งมันมีอยู่ฉันก็ไปหยิบมา แล้วท่าน ก็ให้ไปวางไว้ พอวางไว้แล้วท่านก็บอกว่าคอยดูนะ พ่อจะเอามีดนี่นะเข้าไปใกล้ลำไม้ เราก็ดูแล้วไม่เห็นมันเป็นรูที่ไหน มันจะเข้ายังไง ไม้ลำนั้นก็รู้สึกว่ามีความกว้างของลำไม้ไม่เท่ากับมีดโต้ แต่ท่านก็ทำให้ดู ทุกคนตั้งใจดู ท่านบอก ทุกคนตั้งใจดูนะ แล้วก็เอานิ้วจี้ลงไปข้างมีดไม่เห็นว่าไง ปากก็ไม่หมุบหมิบ สักไม่ถึง 3 นาทีเป็นอย่างช้า

    นี่ฉันนึกไม่ออกนะว่าเป็นกี่นาทีนะตอนนี้ถ้าเสียงหมามันเข้ามาละก็ทราบด้วยนะว่าวัดฉันน่ะหมาเยอะ ฉันนี่น่ะเผ่าเดียวกับหลวงพ่อเนียมนะ เลี้ยงหมาเยอะ แล้วก็หมาที่เลี้ยงนี่ก็ให้อาหารมันกินเอง ซื้ออาหารให้มา 2 – 3 ปี

    ต่อมานับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา นนทา อนันตวงษ์ อุทัยธานี เขารับภาระซื้อข้าวสาร ซื้อกับซื้อขนมให้หมากินแทน ตอนนี้เบาใจไป การเลี้ยงหมานี่ป้องกันนรกได้ดีเหมือนกัน เพราะเป็นเมตตาบารมี เราเลี้ยง เราก็เลี้ยงเพื่อไม่หวังผลตอบแทน ไม่เคยจะใช้มันตักน้ำ ถูบ้าน ใช้อะไรไม่เคย อย่างนี้ชื่อว่าเลี้ยงโดยการสงเคราะห์ อย่างนี้เป็นการป้องกันนรกได้ดี นี่คนเลี้ยงหมาแบบนี้ละก็ จำไว้นะ คนเลี้ยงหมาแบบปล่อยแบบนี้ได้บุญขนาดไหนลุงพุฒิ

    แน่ะลงแกมานั่งนานแล้ว พูดตอนนี้ก็ยิ้ม เลยลืมถามแก ลุง ถามจริง ๆ นะ คนเลี้ยงหมานี่น่ะ อ๋อ แกรีบบอกมาเลยบอกว่าล้างบาปไม่ได้ จำไว้นะ ฉันพูดมันก็ป้ำ ๆ เอ๋อ ๆ เหมือนกัน บอกว่ากันนรกได้จะกลายเป็นล้างบาป แกบอกว่าเรื่องบาปเรื่องความชขั่วนี่ล้างไม่ได้นะ แต่ว่าอานิสงส์ของหมาด้วยการเลี้ยงปล่อย หมายความว่าเลี้ยงไม่หวังผลตอบแทน

    ลุงไปทางไหน แกบอกว่ามันหลายทาง ความจริงนี่มันจะไม่เหมือนกับที่ฉันเทศน์เสียแล้วละ ฉันเคยเทศน์ว่าเลี้ยงหมานี่ได้ผลขั้นกามาวจรสวรรค์สามารถจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ ลุงพุฒิแกตอบไม่เหมือนกันเสียแล้ว ลุงว่ามาซิ อ๋อ ยังงั้นหรือบอกว่าถ้าเลี้ยงหมาด้วยการสงเคราะห์ใช่ไหมล่ะ สงเคราะห์ให้หมามีความสุข อย่างนี้เป็นผลแห่งกามาวจรสวรรค์ งั้นนะลุงนะ ดาวดึงส์เลยหรือ บอกว่าถึงดาวดึงส์เลย นี่ฟังแกพูดนา

    แล้วฉันเทศน์น่ะมันเห็นจะผิด ผิดไหมลุง บอกว่าไม่ผิด แต่อธิบายไม่ครบ อ้อ แหมดีจริง ๆ อย่างนี้ดีจริง แล้วขั้นที่สองเล่าลุง การเลี้ยงหมาถ้าใจจดจ่ออยู่กับการให้ทานหมา หมายความว่าการให้ทานนี่น่ะมีจิตห่วงใยมากยังงั้นรึ ใช่ อ๋อ แกบอกว่าใช่ ไปไหนก็ห่วงกลัวจะอด นอนก็คิดว่าพรุ่งนี้หมาจะกินอะไร จะมีกับข้าวอะไรให้หมากิน พยายามหามาให้สิ่งที่มันต้องการที่เรียกว่าพอจะกินได้ หรือว่าขนมพวกนี้หมาจะมีกินไหม ตั้งใจอยู่อย่างนี้เป็นปกติก่อนหลับหรือว่าปกติก็คิดเป็นห่วงอยู่ แกบอกว่าเป็นทานานุสสติกรรมฐาน คือ เป็นทานานุสสติกรรมฐานยังงั้นใช่ไหมลุง แกบอกว่าใช่

    อันนี้ฉันไม่ได้เคยคิดเลยนะลูกหลาน ตอนนี้ฉันไม่เคยคิด หรือไม่เคยเทศน์มาเลยนะ แกยิ้ม แกบอกจะเทศน์ยังไงล่ะ ก็คนมันโง่บัดซบ นี่แกว่ายังงั้น แกบอกว่าโง่บัดซบแล้วจะเทศน์ยังไง ก็เทศน์ไปเพียงแค่กามาวจรสวรรค์ อ่านหนังสือมายังงั้น แกบอกว่าจิตถ้าจับอยู่อย่างนี้เป็นอารมณ์เขาเรียกว่าอารมณ์ฌาน แล้วก็อารมณ์ฌานนี่น่ะเวลาใกล้จะตายถ้าจิตห่วงใยอยู่กับแมวหมาที่เราเลี้ยงไว้ คิดหวังจะให้ทันอยู่เป็นฌานตายไปเป็นพรหม

    ถ้าเวลาตายไม่คิด เวลาตายไปแล้วก็ไปเกิดบนกามาวจรสวรรค์ แล้วบุญอันนั้นบันดาลให้เกิดเป็นพรหมได้ เมื่อหมดอายุในสวรค์แล้วก็ไปเกิดเป็นพรหม จำไว้ให้ดีนะลูกหลานนะ ฉันไม่เคยเทศน์แบบนี้เลยนะ ฉันไม่เคยเทศน์ ลุงแกยิ้มใหญ่แล้วแกบอกต่อไปว่าคนเลี้ยงหมานี้น่ะไปนิพพานได้ เพราะว่าเอาหมาเป็นวิปัสสาญาณ เอาอาหารเป็รวิปัสสนาญาณ ถาม ทำไงล่ะลุง วันนี้มีประโยชน์มากจำให้ดีนะ

    นี่คนรู้เข้าจริงๆอย่างลุงพิฒินี่แกเป็นพรหม ลุงพุฒิเป็นพรหมแล้วเป็นอนาคามีพรหมด้วย จะบอกไว้ให้เสียก็ได้ แล้วลุงพุฒิน่ะไม่มีโอกาสจะมาเกิดเป็นมนุษย์ จะนิพพานต่อไป นี่แกใกล้นิพพานเต็มทีแล้วใช่ไหมลุง แกบอกว่ใช่ พอสิ้นศาสนานี้แล้วประมาณ 50 ปี 50 ปีนรกหรือว่า 50 ปีมนุษย์ลุง 50ปีมนุษย์หรือ ไปนิพพาน เวลานี้อยู่โต๋งเต๋งเล่นโก้ๆยังงั้นนะ เอาละ จำไว้นะว่าลุงพุฒิแกจะไปนิพพาน เอ้าลุงว่าต่อไปซิ

    วิธีที่เอาขนมเป็นวิปัสสนาญาณทำยังไง คืออาหารหรือขนมที่ให้สัตว์ แกว่ายังงั้น เป็นวิปัสสนาญาณ เราซื้อมามันก็กินหมดไปน่ะซิ กินหมดไปนี่มันเป็นอนัตตานี่ ซื้อมามากมันค่อยๆยุบไปทีละน้อยๆ มันเป็นอนิจจัง กินหมดไปเป็นอนัตตา นนี่อีกอย่างหนึ่งนะ แล้วก็หมาที่มันกินของๆเรานี่น่ะ มันก็มีชีวิตอยู่ไม่ตลอด ในที่สุดมันก็ตาย

    นี่แสดงว่าถึงแม้เราจะเลี้ยงมันยังไงก็ตามสภาพความเที่ยงมันไม่มี แล้วเวลาที่มันอยู่มันหิวมันกระหายมันร้อนมันเย็นมันหนาวมันก็มีความทุกข์ก็เป็นทุกขัง แล้วเวลามันตายก็เป็นอนัตตา เราไม่อยากให้มันตายมันก็ตาย ท่านเคยเอายารักษาหมาใช่ไหม บอกว่าใช่ แล้วเวลามันจะตายรักษารอดไหม พุทโธ่ ลุง ก็ฉันจะตายเองฉันยังรักษาไม่รอด หมาฉันจะตายฉันจะรักษารอดยังไง แกก็เลยบอกว่านั่นแหละมันเป็นอนัตตา คำว่าอนัตตาหรือกฎธรรมดานี่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา 3 ประการนี่ไม่มีใครบังคับได้ มันเป็นกฎตายตัวนี่ ถ้าอารมณ์จิตคิดอย่างนี้ว่าหมาเราเลี้ยงแล้วมันก็ตาย เราจะต้องตายอย่างนี้ เวลาหมามีชีวิตอยู่ มันก็จะต้องมีความทุกข์ ต้องการอาหาร ต้องการความสบาย เราได้เกิดอีกเราก็มีทุกข์อย่างนี้ ในที่สุดก็ต้องตายอย่างนี้

    เราก็เบื่อความตายมันเสียเบื่อความเกิดมันเสีย เราไม่ต้องการมัน ขึ้นชื่อว่าความเกิด ไม่ว่ามันจะเป็นคนก็ตามสัตว์ก็ตามเราไม่ต้องการ เราไม่เอาทั้งหมด คิดแค่นี้เราก็ไปนิพพาน เท่านี้น่ะหรือลุง แกบอกว่าเท่านี้แหละไม่ต้องมาก ถ้ายังงั้นก็ต้องตั้งสรณะใหม่กระมังลุง เราว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ขอให้ถึงซึ่งพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ทีนี้ก็ต้องมาตั้งกันใหม่ว่า ติรฉานัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงหมาเป็นที่พึ่ง เป็นยังไง

    แกก็หัวเราะ แกบอกว่าไม่ถูก อย่งนี้มันเป็นธัมมัง สรณัง คัจฉามิ เออ นี่นักเทศน์ฟังไว้นะ ที่ฟังนี่คุณสุรินทร์ เจ้าอาวาสวัดสุขุมาราม มีส่วนจะได้ฟังอยู่ด้วย ยังหนุ่มอยู่นะ ถ้าใครเขามาถามละก็จำไว้ให้ดี นี่เป็นปัญญาของลุงพุฒิ บอกว่าการตายของหมานี่ไม่ใช่เอาหมาเป็นที่พึ่ง เอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง

    หมายความว่าเราให้ทานตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และแกก็บอกว่าการที่เราจะรู้พระธรรมได้ก็เพราะพระพุทธเจ้านำมา ก็เป็นพุทธัง สรณัง คัจฉามิ คือถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ตานี้เราไม่สามารถพบพระพุทธเจ้าได้ด้วยตนเอง เรารับฟังเรารู้มาจากพระสงฆ์ ก็เป็นสังฆัง สรณัง คัจฉามิ ถึงซึ่งพระสงฆ์เป็นที่พี่ง

    เอ๊ะ ก็แปลว่าไตรสรณาคมณ์ซิลุง แกก็ตอบว่าใช่ จะทำอะไรก็ตามมันก็แค่ไตรสรณาคมณ์เท่านั้นแหละ ว่าถึงพระไตรสรณาคมณ์ คือถึงที่พึ่งทั้ง 3 คำว่าไตรสรณาคมณ์แปลว่าที่พึ่ง 3 อย่าง มีแค่นี้นะลุงนะ แกบอกไม่เลยนี้หรอก พูดกันไปเถอะร้อยแปดพันเก้าก็ไม่พ้น 3 อย่างนี้
     
  18. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕๘.หลวงพ่อปานไหว้ศพ

    ตานี้เอาตอนต่อไป ตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนหลวงพ่อปานไหว้ศพ นี่ลูกหลานทั้งหลายน่ะ ก็เคยฟังมาแล้วนา เล่าให้ฟัง แต่ว่ามันเล่าแล้วก็หายไปนี่ คราวนี้มาเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อปานไหว้ศพ ประเพณีของหลวงพ่อปาน แต่ความจริงท่านไม่ได้ทำเป็นประเพณี ท่านทำด้วยจิตเลื่อมใส คำว่าประเพณีกับคำว่าเลื่อมใสมันไม่เหมือนกันนะ ลูกหลานฟังให้ดีนะ ตานี้ว่ากันถึงการไหว้ศพ ไม่ว่าศพอะไรทั้งหมด จะเป็นศพเด็กศพผู้ใหญ่ ศพผู้หญิงศพผู้ชายก็ตาม

    เวลาเขานำมาที่วัดหลวงพ่อปานท่านก็คว้าธูปคว้าเทียน ถ้าเขามาตั้งเรียบร้อยแล้ว หยิบธูปหยิบเทียน ห่มจีวรคลุมผ้าสังฆาฏิว่ากันเต็มยศแล้วท่านก็ไปไหว้ศพ พวกพระทั้งหมดสมัยนั้นนะ พระสมัยนั้นกับพระสมัยนี้ไม่ค่อยเหมือนกัน ฉันดูพระสมัยนี้มันตื้อๆ เหมือนเรือเกลือยังไงไม่รู้ พระผู้หลักผู้ใหญ่พระหัวหน้าจะทำอะไรไม่ค่อยดู บางทีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่พระวัดไหนเขาดีบ้างฉันก็ไม่ทราบ

    เดี๋ยวนี้มันเห็นครูบาอาจารย์เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ เห็นคนแก่คนเฒ่า พระเก่าพระแก่ทำก็เฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ว่าระบบของที่นั่นเขาคอยดูกัน มีพระคอยจ้องหน้าคอยจ้องดู ก็มีพวกฉันแหละ ไอ้ลิง ๓ ตัวนี่ ไอ้ลิงดำ ไอ้ลิงขาว ไอ้ลิงเล็ก เพราะเป็นลิงหน้าพลับพลาประจำคอยสังเกตหลวงพ่อปาน ว่าหลวงพ่อปานจะขยับเขยื้อนอะไรก็ให้จังหวะแก่เพื่อน บรรดาเพื่อนพระทั้งหลายก็พร้อมพรึ่บพรั่บทันที

    นี่เขาเตรียมกันไว้ยังงี้นา เขาไม่ได้คอยให้ครูบาอาจารย์มาตะโกนโวยๆ พระสมัยนิวเคลียร์นี่ไม่เป็นเรื่อง เป็นเหยื่อลุงพุฒิหมด ไม่หมดก็เหลือน้อยเต็มที หรือว่าไงลุง ฮึ แกบอกว่าบวชน้อยๆ น่ะ บวชทันสมัยน่ะทุกรายแหละ บวชแบบทันสมัยนี่ทุกราย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควาย บวชกินเลี้ยงทุกราย ถ้าไม่ทำความดีรีบหนีละก็เสร็จ ลงอเวจีเป็นแถว ฟังให้ดี เวลาพระพุทธเจ้าท่านบวช ท่านไม่ได้มีแห่นะ

    เวลาที่ใครไปบวชกับท่านก็ไม่มีพิธีรีตองมาก ท่านเรียกเอหิภิกขุอุปสัมปทา ว่าเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เท่านี้แหละ เอหิภิกขุนะ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เท่านี้ ต่อมาให้ถึงติสรณาคม ก็ให้ว่าพุทธัง ธัมมัง สังฆัง ก็เป็นอันบวช ต่อมาให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้มีพระคู่สวด พระอันดับ ก็ไม่มีแห่อะไร ไม่ต้องทำพิธีมาก ที่ทำกันมากน่ะนอกเรื่องนอกราว ไม่เกี่ยวกับพระศาสนา ทำเลี้ยงต้องเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้ง ฆ่าเป็ดฆ่าไก่ บาปมันมากกว่าบุญจะไปสวรรค์กันได้ยังไง พวกแบบนี้เขาเรียกว่าลงทุนซื้อนรก

    เวลาบวชเข้าไปแล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติหรอกนะ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขาไม่เอา ไปคุยกันถึงเรื่องสาวบ้านนี้ จะทำงานบ้านโน้น จะหาลาภอย่างนี้ จะร่ำรวยอย่างนั้น อยากจะได้ยศแบบนี้ ยศขั้นนั้นหมดไป นรกหมดไม่มีเหลือ บวชแล้วไม่ได้เป็นพระหรอก เป็นพระแต่หัวกับผ้าเหลือง ใจไม่ได้เป็นพระ พระที่เขาบวชต้องถือ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา หรือว่าคำขอบรรพชาแบบธรรมยุตขึ้นต้นก็ขอพระนิพพานเลย

    เป็นอันว่า จิตเราจะบวชเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว บวชเข้าไปแล้วก็เริ่มปลดอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นฆราวาสทั้งหมดเริ่มปลดลงไป ปลดมันขาดไม่ได้ก็ยับยั้งไว้ชั่วขณะก็ยังดี อย่างนี้เรียกว่าบวชเล็ก ถ้าปลดได้เลยเป็นบวชใหญ่ ถ้าบวชสะสมทรัพย์ บวชปรารถนายศฐาบรรดาศักดิ์ เสร็จแล้วก็เมายศด้วย ลุงพุฒิว่าไง แกบอกว่าตอบแล้วนี่ เมื่อวาน เสร็จทุกราย ที่ใครได้ยศแล้วไม่เมายศ มีลาภแล้วไม่เมาลาภยังดี ได้ยศแล้วเอายศวางเสีย เวลาใช้ค่อยใช้กัน ไม่ถึงเวลาใช้ก็วางเก็บไว้ก่อน มีลาภสักการก็ทำเป็นสาธารณประโยชน์ แล้วก็เลี้ยงตัวพอสมควร เหลือก็เอาไปทำในส่วนที่เป็นสาธารณประโยชน์

    ในเมื่อมีศพทุกศพหลวงพ่อปานท่านถือดอกไม้ธูปเทียน พาดสังฆาฏิ ทำกันเต็มยศ ท่านไม่ชวนใคร ไม่ตีระฆัง ท่านก็ลงไปศาลาไหว้ศพ พระทั้งหมดพอศพมาก็ต้องเตรียมผ้าสังฆาฏิเหมือนกัน ไม่ต้องบอกกัน เห็นหลวงพ่อปานลุกจากหน้ากุฏิ กุฏิท่านอยู่ลึกเข้าไป ศาลาอยู่อีกด้านหนึ่ง มายืนจุกกันอยู่ทางปากทางหมด พอหลวงพ่อปานเดินออกหน้า ต่างคนต่างเดินเรียงกันตามลำดับอาวุโส ไม่ใช่ตามลำดับยศ ไอ้ยศน่ะพระศาสนาเขาไม่ใช้หรอก ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า ในศาสนานี้ถืออาวุโสเป็นสำคัญ ยศไม่เกี่ยว เป็นเรื่องข้างนอก ยศเป็นโลกธรรม ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงยกย่อง ไม่ใช้ ผิด

    เมื่อเดินกันตามลำดับอาวุโสไปถึงหน้าศพ หลวงพ่อปานก็จุดธูปเทียน พวกพระก็จุดบ้าง หลวงพ่อปานกราบ พระก็กราบบ้าง กราบแล้วท่านนั่งเฉย ประเดี๋ยวพระก็นั่งบ้าง เวลาท่านลุกกลับก็กลับบ้าง คนอื่นเขานึกยังไงฉันไม่รู้ สำหรับตัวฉันไม่รู้หรอก เห็นท่านกราบก็กราบ เห็นท่านนั่งก็นั่ง เห็นท่านกลับก็กลับ อย่างนี้เรียกว่าขี้ตามช้าง กราบแบบนี้ประมาณ ๑๐ ศพ คราวหนึ่งยายฟูแกตาย ยายฟูนี่นะเป็นคนที่มาทำงานวัดทุกวัน มาดายหญ้าบ้าง ถูกุฏิบ้าง อะไรบ้าง ตอนเย็นแกก็กลับ รู้สึกว่าตอนแก่นี้แกไม่เอางานบ้านเลย แกสนใจอยู่กับวัด เป็นคนรับใช้หลวงพ่อปาน ทำอาหารการบริโภค ทำครัว ถูกุฏิ กวาดวัด มีเรื่องตักน้ำตักท่าจิปาถะ ยายฟูนี่เอาทุกอย่าง

    แต่ว่าฉันเห็นว่าแกแก่แล้ว ฉันก็ไปช่วยแก ถ้าเวลาแกตักน้ำฉันก็คว้าหาบไปช่วยแก บอกแกว่าน้าฟูไม่ต้องทำ น้าฟูแก่แล้ว ทำตรงนี้ ทำตรงเบาๆ ตรงหนักๆ นี่ฉันทำแทน สงสารแก ตอนนั้นเห็นแกมีน้ำใจดี แล้วหลวงพ่อปานก็เรียกยายฟู ว่า อีฟู จะธุระอะไรก็อีฟูเอ๊ย ฟูเอ๊ย มาหาหลวงน้าหน่อยวะ นี่ท่านเรียกอีฟู แต่ฉันเรียกน้าฟู พอยายฟูตาย เขานำศพยายฟูจากบ้านมาขึ้นศาลา หลวงพ่อปานก็พาดสังฆาฏิอีกแล้ว ไม่ต้องห่วงละ กี่ร้อยศพก็ทำแบบนี้ แบบนั้นตอนที่ฉันเป็นหัวหน้าพระ ฉันก็ทำตามท่านเสมอ แต่ตอนนี้ขึ้นมาสายเหนือนี่ ทำไม่ได้หรอก ไม่เห็นเขาเอาท่าเอาทางกันนี่ เขาไม่เอาไหนกันเลยนะ เขาเอาอย่างเดียว บังสุกุลมาติกาหาสตางค์กินเท่านั้น ส่วนสาธารณประโยชน์เขาก็ไม่ค่อยทำกัน

    พระสายเหนือนี้เขามีอุเบกขาบารมีดีมาก ไม่เอาไหนหรอก เรื่องธัมมะธัมโมนี่รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยสนใจกัน ไม่ค่อยตรงกับพระไตรปิฎก ไปๆ มาๆ เขาบอกว่าทำเป็นประเพณีไป ก็ดีเหมือนกันนะลุงนะ เสร็จ ลุงพุฒิบอกแบบนี้เสร็จ จดแหง ไม่ได้จดหรอก มันขึ้นเอง ลุงพุฒินั่งยิ้ม วันนี้มานั่งพูดตรงนี้นะ

    หลวงพ่อท่านยิ้มใหญ่ บอก เออ พูดไป พูดไป ท่านว่ายังงั้น ตรงนี้ดีว่ะ ท่านว่ายังงั้น ตอนฉันอยู่น่ะท่านก็พูดยังงี้เหมือนกัน ไอ้ลิงดำเอ๊ยอย่างนี้ดีว่ะ อย่างนี้ไม่ค่อยดีนะ ไอ้ลิงดำเอ็งอย่าทำยังงี้นา อย่างนั้นเอ็งอย่าทำนะ ฮื่อ แล้วท่านว่าไง แกขโมยอะไรข้าบ้าง แกก็บอกเขาด้วยนะ แน่ะมาซ้อมไว้ นี่มาสั่งไว้เดี๋ยวนี้เอง แกขโมยอะไรข้าบ้าง แกบอกให้ชาวบ้านเขาฟังไว้นะ แกอย่าไปปกปิดเขานา แล้วก็ยิ้มหัวเราะชอบใจ

    หลวงพ่อท่านใจดี ปกติท่านใจดีเสมอ ท่านสงเคราะห์ฉันอยู่เสมอ แต่ฉันก็เป็นลูกศิษย์หัวรั้นไม่ใช่เล่นเหมือนกัน แบบฉันนี่อย่าตามมันนักนา ถ้าจะตามก็ตามแบบดี แบบเลวอย่าตามนะ มันไม่เกิดประโยชน์ ต่อไปพอศพยายฟูมาก็ไปกันตามเดิม ไม่ต้องพูดถึงเข้าแถวหรอกรำคาญหู หลวงพ่อปานท่านก็กราบ กราบแล้วท่านก็นั่งเฉยๆ นั่งตามแบบฉบับซี ตอนนั่งท่านนั่งปลง แต่ฉันไม่ได้ปลงหรอก ฉันไม่รู้นี่ ท่านนั่งฉันก็นั่งมั่งซิ ท่านหลับตา ฉันก็ทำตายิบๆๆๆ กลัวท่านจะลุกมาแล้วฉันไม่รู้ หลับเป็นตากระต่าย

    พอท่านนั่งเสร็จแล้ว ท่านลืมตาขึ้นมา ฉันหรี่ตาไว้นี่ ทำไมฉันจะไม่รู้ท่านลืมตา ฉันเลยถามว่า หลวงพ่อขอรับ ก็ยายฟูน่ะเวลามีชีวิตอยู่หลวงพ่อเรียกอีฟู แล้วเวลายายฟูตาย หลวงพ่อมากราบทำไมขอรับ ท่านหันมามองแล้วก็ยิ้ม ยิ้มแล้วก็มองพระทุกองค์คล้ายๆ กับท่านจะถามในใจของท่านว่า พระทุกองค์น่ะคิดเหมือนไอ้ลิงดำหรือเปล่า

    ท่านก็บอกว่า ไอ้ลิงดำ ที่มาไหว้ศพน่ะเขามาไหว้สัจธรรมของพระพุทธเจ้านะ คำว่าสัจธรรมน่ะเป็นแบบนี้ คือว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าร่างกายของคนน่ะ อย่าพูดเลยว่าขันธ์ ๕ มันยุ่งเปล่าๆ ขันธ์ห้าขันธ์เห้ออะไรนี่ยุ่ง มันฟังยาก ขันธ์น่ะแปลว่ากอง ไม่ใช่ภาษาไทยเสียอีก เอาร่างกายก็แล้วกัน ร่างกายของคนและสัตว์นี่น่ะมันเป็นอนิจจัง มีสภาพไม่เที่ยง เวลาอยู่ก็เป็นทุกข์ ทุกขัง แต่ในที่สุดก็เป็นอนัตตาคือตาย ใครบังคับบัญชาไม่ได้

    เวลาที่เรามาไหว้กันนี่เขาไหว้พระสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า เวลากราบลงไปเขากราบพระพุทธเจ้ากันนะทีแรก กราบพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าเทศน์นี่นะถูก ทรงเทศน์ไว้ตรง ข้าพระพุทธเจ้าขอยอมรับนับถือ ขอเอาธรรมข้อนี้หรือคำสอนตอนนี้ไปคิดเป็นประจำใจ จะได้เป็นคนไม่ประมาท ตกอยู่ในคุณธรรมชั้นสูง เป็นมรณานุสสติกรรมฐาน

    แล้วก็กราบลงไปครั้งที่ ๒ ก็นึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนที่พระองค์ทรงหลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์ เหมือนดอกมะลิแก้ว เพราะแพรวพราวไปด้วยความจริง แพรวพราวไปด้วยคำประเสริฐ นี่พระธรรมที่หลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เป็นของจริงเป็นของประเสริฐ ทำบุคคลทั้งหลายไม่ให้เมามัน ให้เข้าถึงความสุข

    กราบครั้งที่ ๓ ก็กราบพระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ทั้งหลายที่ท่านอุตส่าห์ร้อยกรองพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ไม่ปล่อยให้อันตรธานสูญไป รวบรวมเข้าไว้ นี่กราบความดีของพระ ๓ พระนา เขาไม่ได้กราบผีกราบศพ แกจะเห็นว่าคนที่ตายแล้วฉันมากราบ แม้แต่เด็กฉันก็กราบ นี่ความจริงฉันไม่ได้กราบเด็ก ไม่ได้กราบคนตาย ฉันกราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ และเอาคนตายนี่เป็นครูฉัน ว่าเขาเกิดมาแล้วตาย จริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัส

    แล้วท่านก็หันมาถามว่า เออ เจ้าลิงดำ แล้วเอ็งกราบอะไร ก็เลยกราบเรียนท่านว่า ที่ผมกราบไม่ใช่กราบอะไรหรอกครับหลวงพ่อ ผมก็กราบผี ท่านก็เลยถามว่านี่ล่อมากี่ผีแล้วพ่อคุณ บอกว่าสิบกว่าผีแล้วขอรับ ท่านว่าแล้วกันไอ้ลิงดำ กราบผีเข้าให้แล้ว ดีเหมือนกัน ไอ้คนอย่างแกมันก็โง่น้อย ไม่ใช่โง่มาก หมายความว่าโง่แล้วพอพูดแล้วมันก็เกิดความฉลาด โง่แล้วยังดีกว่าไอ้คนโง่แล้วไม่พูดไม่ถาม

    พูดแล้วก็ยิ้มๆ มองกวาดไปทางพระองค์อื่น บอกว่า ไอ้ที่โง่แล้วไม่ถามมันอาจจะมีเยอะนา ในกลุ่มที่นั่งนี่น่ะ บวชก่อนพวกแกตั้ง ๑๐ พรรษา ๒๐ พรรษาก็มี เข้าใจกันหรือเปล่า ฉันทำให้ดูไม่เข้าใจก็ถามซิ ถ้าไม่ถามขี้ตามช้างมันก็ดีเหมือนกัน แต่ประโยชน์น้อย เอาเถอะก็ดี ทีนี้ท่านก็เลยบอกว่าการกราบศพเขากราบคุณพระรัตนตรัย กราบสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า

    ทีนี้เวลาเผาศพก็เหมือนกันนะ อย่าตั้งหน้าตั้งตาเผาเขา เวลาเราไปเผาศพก็เผากิเลสในใจของเราเสียด้วย กิเลสส่วนใดที่มันสิงอยู่ที่เรา คิดว่าเราจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายน่ะ เผามันเสียให้หมดไป เราคิดว่าวันนี้เราเผาเขา ไม่ช้าเขาก็เผาเรา คนเกิดมาแล้วมาตายอย่างนี้เราจะเกิดมันทำไม ต่อไปข้างหน้าเราไม่เกิดดีกว่า เราไปพระนิพานนั่นละดีที่สุด

    เรื่องอัตภาพร่างกายสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่มีอะไรเป็นความหมาย ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ตายแล้วหาสาระหาแก่นสารไม่ได้ หาประโยชน์ไม่ได้ นี่ท่านสอนอย่างนี้ก็จำไว้นะลูกหลาน เผาผีก็มุ่งไปนิพพาน ไปกราบศพไปเคารพศพก็ไปนิพพาน อย่าทำกันเป็นประเพณีนะ ประเพณีที่เขาจัดทำทำไปเถอะ แต่ใจอย่าเป็นประเพณี ไหนๆก็ลงทุนเสียเวลาไปในงานศพแล้ว เอากำไรกลับมานะ เอากำไรกลับมา

    คิดว่าเราต้องตายอย่างเขา เมื่อเขาอยู่ก็มีทุกข์อย่างเรา เราเกิดอย่างเขาเราก็แก่อย่างเขา เราป่วยไข้ไม่สบายอย่างเขา เราจะต้องตายอย่างเขา ถ้าหากว่าเราจะต้องตายอย่างนี้ จะต้องป่วยอย่างนี้ ต้องลำบากอย่างนี้ ต้องมีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เราจะเกิดมันทำเกลืออะไรอีก เกิดเป็นเกลือยังดีมันรักษาความเค็มของมันได้ ไอ้เกิดมีร่างกายนี่รักษาไว้ไม่ได้ระยำกว่าเกลือตั้งเยอะ เอ้า เรื่องยายฟูนี่ผ่านไปนะ ฉันมานึกดูเสียก่อน นั่งนึกว่าจะเอาเรื่องอะไรต่อ เอายังงี้ก็แล้วกัน เอาคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
     
  19. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๕๙.คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ตอนนี้มาว่ากันถึงคาถาพระปัเจกพุทธเจ้า เรื่องนี้มันไม่เรียงตามลำดับนะ ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ฉันก็ว่าดะ คาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้านี่หลวงพ่อปานท่านมาเรียนตอนปลายชีวิตของท่าน

    คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี่หลวงพ่อปานไปเรียนกับครูผึ้งที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตอนนั้นครูผึ้งเป็นฆราวาส อายุ ๙๙ ปี สมัยนั้นค่าของเงินมันสูง เงิน ๑๐๐ บาทนี่สูงมาก หรือเงิน ๑ บาทนี่สูงมาก ข้าราชการถ้าได้เงินเดือน ๒๐ บาทก็รู้สึกว่าโก้ โก้มากแล้ว นายสิบตรีดูเหมือนจะได้เงินเดือน ๑๖ บาทหรือไงนี่น่ะ นายสิบเกณฑ์ได้เงินเดือน ๘ บาท พลทหารได้เงินเดือน ๔ บาท ร้อยตรีได้เงินเดือนละ ๘๐ บาท แล้วก็ร้อยเอกเต็มขั้นก็ ๑๖๐ บาท

    นี่ฉันจำได้ จำผิดจำถูกไม่รู้ ค่าของที่ซื้อกัน ก๋วยเตี๋ยว ๒๐ ชาม ๑บาท หรือบางทีก็ ๒ ชาม ๕ สตางค์ แต่ว่าปลาหมึกชิ้นละ ๑ สตางค์ นี่ตอนเป็นนักเรียนฉันไม่ค่อยได้ซื้อหรอก ฉันขโมยเจ๊ก เวลาโรงเรียนปล่อยลงมาก็ซื้อปลาหมึกกันคนละชิ้นสองชิ้นลุ่มลั่มๆ ฉันเข้าไป พอเจ๊กเผลอก็คว้าหมับมากำมือหนึ่ง มาแจกเพื่อนกิน นี่ฉันน่ะระยำไม่ใช่น้อยนะเด็กๆ ก็ตัวดีเหมือนกัน แต่ของใหญ่ไม่เคยลัก ปลาหมึกนี่ชอบลักเพราะชอบกินก็เลยชอบขโมยเขา บาปไม่บาปลุงพุฒิยิ้มแหงเลย ไม่ใช่แหง พอบอกว่ายิ้มแหง

    ต่อว่าบอกว่าอย่ายิ้มแหงซี ยิ้มก็ยิ้มซี บอกว่าเรื่องไม่บาปไม่มี เอ้า ว่าถึงคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าที่หลวงพ่อปานจะเรียนน่ะ ตอนนั้นไปจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ไปได้ข่าวว่าอาจารย์ผึ้งนี่น่ะเป็นคนพิเศษ เวลาขอทานมาขอให้คนละ ๑ บาท ๑ บาทสมัยนั้นขอทานยิ้มไปหลายวัน แล้วถ้าใครเขาบอกบุญโกนจุกบวชนาคอะไรก็ตาม แกทำบุญรายละ ๑๐๐ บาท นี่หนักเหลือเกินนะสมัยนั้นเงิน ๑๐๐ บาท เงิน ๒๐๐ บาทนี่ สร้างบ้าน ๒ หลัง มีครัวได้ ๑ หลัง สร้างด้วยไม้ยางนะ เสาไม้แก่น แกช่วยงานรายละ ๑๐๐ บาท นี่ไม่ใช่เงินเล็กน้อย เป็นเงินใหญ่

    แล้วก็ต่อมาเป็นยังไง ในเมื่อหลวงพ่อปานทราบข่าวก็ไปขอเรียนกับแก เล่ากันลัดๆนะ แกก็ให้เรียน เมื่อเรียนมาแล้วก็ปรากฏว่ากลับมาที่กรุงเทพฯ มาพักอยู่ที่วัดสระเกศ วัดสระเกศนี่เป็นวัดที่ท่านเคยไปเรียนหนังสืออยู่ มีพวกพ้องมาก กุฏิที่พักก็เป็นกุฏิของหมวดเจิ่น ดูเหมือนว่าจะเป็นคณะ ๙ หรือคณะ ๑๑ จำไม่ได้ จำไม่ได้ชัดนะ คณะ ๘ คณะ ๙ หรือคณะ ๑๑ อะไรนี่จำไม่ได้ชัด ชอบกันมาก ไปพักอยู่ที่นั่น

    แล้วก็ปรากฏว่าเวลาฉันข้าวมีชาวบ้านในกรุงเทพฯ เขานับถือท่าน พอรู้ว่าท่านมาก็เอาข้าวปลาอาหารไปถวายกันเยอะแยะ ทานบารมีของท่านมีมาก ไม่เหมือนฉัน ระหว่างฉันข้าวท่านก็พูดเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า คาถาบทนี้น่ะดีเหลือเกิน ทำให้คนมีลาภสักการ แล้วก็อธิบายถึงครูผึ้งว่า แกเป็นคนแก่แล้วไม่ได้ทำอะไร แต่คนไปบอกงานบอกการแกช่วยรายละ ๑๐๐ บาท ขอทานไปขอแกให้รายละ ๑ บาท

    ตอนนั้นท่านกล่าวว่านายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ท่าเตียน เขาเป็นลูกศิษย์ที่เคารพท่านมากเหมือนกัน นั่งอยู่ข้างหลัง ท่านว่าตัวคาถา แกก็จดอยู่ข้างหลัง จดแล้วพอคนอื่นไปหมดท่านพูดให้ฟังถึงคุณสมบัติว่ามีประโยชน์มาก ใครเอาไปเจริญภาวนา คือสวดมนต์คืนละ ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลาภสักการจะมีไม่ขาดสาย

    ถ้าว่าทำเป็นสมาธิได้ละก็ จะเกิดลาภหนัก ท่านว่ายังงั้น นายประยงค์จด แต่ว่าคนอื่นทั้งหมดไม่มีใครสนใจ อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน คนอื่นทั้งหมดที่ฟังแล้วไม่สนใจ มีนายประยงค์คนเดียวสนใจ เวลาคนอื่นไปหมดแล้ว นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร ก็เข้าไปหาหลวงพ่อปาน ไปขออนุญาตเรียนคาถาบทนี้ แล้วก็อ่านให้ท่านฟังที่จดว่ามันถูกหรือผิด ท่านก็บอกว่าถูกต้อง แล้วก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจบอกว่า เออ พ่อดีใจประยงค์ เอ็งเป็นลูกหัวปี สำหรับคาถาบทนี้เอาไปทำ ถ้าเอ็งทำไม่เกิดผลเพียงใดละก็พ่อจะไม่พิมพ์แจกคนอื่น เอาไปพิสูจน์กัน นี่ท่านใช้บทพิสูจน์

    ตอนนี้เมื่อปี ๒๔๘๐ นายห้างประยงค์รู้สึกว่าร่ำรวยมาก มีลาภสักการสูง ค้าขายดีมีทุนรอนมาก ท่านไปที่วัดบางนมโคท่านกล้าพูดบอกว่า ถ้าหลวงพ่อจะทำอะไรก็บอก ผมไม่กลัว เท่าไหร่เท่ากัน เรื่องทำบุญยิ่งทำเงินยิ่งมา

    ก็เลยถามท่านนายห้างว่า ท่านนายห้างทำยังไงลาภสักการจึงเกิดมาก ท่านก็บอกว่าผมบูชาพระ กลางคืนผมก็บูชา ๙ จบเหมือนกัน แต่ว่าเวลากลับไปจากขายของตอนเย็นรับประทานอาหารแล้ว อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็เข้าห้องพระทำคาถาบทนี้เป็นพระกรรมฐาน พอตั้งจิตเข้าถึงอุปจารฌานก็เห็นพระสวยสดงดงามมีแสงสว่างเกิดขึ้น

    ท่านบอกว่าตอนนี้นะขอรับ ทำอะไรมันเป็นเงินเป็นทองไปหมด ที่เขาขายกันขาดทุน ผมก็ขายเข้าก็ได้กำไร คิดว่าจะได้น้อยมันก็ได้มาก บางทีห่อยา แกขายยานี่ ยาทำไว้แล้วพันห่อ เจ้าหน้าที่ขายครบ ๑,๐๐๐ ห่อ เงินก็ได้ครบแล้ว แต่ยายังเหลือ ของก็ขายดีขึ้นเป็นพิเศษ

    แกบอกว่าสมัยก่อน เดือนไหนถ้าผมมีกำไรสุทธิได้ถึงเดือนละ ๒๐๐ บาท สองผัวเมียนี่นอนไม่หลับขอรับ ดีใจ เวลานี้ถ้าได้ ๒๐๐ บาทนี่ไม่รู้สึกอะไรเลย แสดงว่าแกได้มาก นี่นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาท่าเตียน จังหวัดพระนคร หรือนครหลวงอะไร กรุงเทพธนบุรี แกเป็นคนได้ก่อน

    แล้วบรรดาลูกหลานที่รัก ถ้าอยากจะรวยก็ทำอย่างนายประยงค์ก็แล้วกันนะ คาถาตามแบบฉบับของท่านมียังไง ระหว่างที่ฉันกำลังพิมพ์ก็ไม่ใช้ถ้อยคำของฉันผสม ลอกเฉพาะถ้อยคำของหลวงพ่อปานอย่างเดียว พิมพ์แจกบรรดาท่านพุทธบริษัท ฉันก็แจกฟรีเหมือนกัน

    แต่น่ากลัวจะไม่เลี้ยงอะไรหรอก จะเลี้ยงก็เลี้ยงข้าวต้ม เงินที่แจกก็ไม่ใช่เงินของใครนะ เงินของลูกหลานที่ให้ฉันมากินนั่นแหละ ให้ฉันมากินมาใช้ ฉันก็มาพิมพ์คาถาแจกเสียอีกแล้ว โมทนาเสียนะ เราทำให้คนอื่นเขารวย เราก็จะได้รวยตาม เรื่องคาถาหมดไป ทีนี้เรื่องเบ็ดเตล็ด
     
  20. ตุปั๊ดตุเป๋

    ตุปั๊ดตุเป๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2017
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +107
    ๖๐.หลวงพ่อปานทอดกฐิน

    มาพูดกันถึงการปฏิบัติประจำอีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อปานนี่มีอุปนิสัยอย่างหนึ่งชอบทอดกฐินทุกปี เรื่องกฐินมี่ท่านทอดของท่านทุกปี ปีละหลายๆวัด ปีหนึ่งที่จังหวัดสุพรรณบุรี รู้สึกว่าข้าวยากหมากแพง ชาวบ้านต้องกินขุยไผ่ ในเขตอำเภอเดิมบางนางบวชโน่น เลยจังหวัดสุพรรณขึ้นไปมาก

    ตอนนั้นไม่ได้ข้าวไม่ได้ปลา ต้องไปขุดขุยไผ่กิน หลวงพ่อปานก็ไปทอดกฐิน ๗-๘ วัด แต่การทอดกฐินคราวนั้น ท่านประกาศกับบรรดาพุทธบริษัทของท่านว่า จะต้องการเอาอาหารไปช่วยเขา เขาอดข้าวอดอาหาร นี่ ท่านเป็นนักสังคมสงเคราะห์ แต่ไม่มีใครเขาช่วยท่านหรอก รัฐบาลไม่ได้ร่วมมือ แต่ว่าชาวบ้านช่วยท่านไปคราวนั้น

    ปรากฏว่านำข้าวเปลือกบ้าง ข้าวสารบ้างไป ๗ ลำเรือ เรือลำหนึ่งจุประมาณ ๑๐ เกวียนบ้าง จุประมาณ ๒๐ เกวียนบ้าง เอาไป ๗ ลำ ที่ท่านได้มายังงั้นเพราะอะไร เพราะใครมาหาท่านก็บอกท่านจะไปทอดกฐิน แล้วว่าการทอดกฐินคราวนี้ต้องเอาข้าวเอาอาหารไปสงเคราะห์คนที่อดข้าว คนนั้นก็ให้ คนนี้ก็ให้ บางคนก็ให้เงิน บางคนก็ให้ข้าว บางคนก็ให้กับ พวกกรุงเทพฯ ก็ให้ทั้งเงินให้ทั้งของทะเล ผ้าผ่อนท่อนสไบ พวกจังหวัดสมุทรสาคร โยมพ่วง อยู่ที่นั่นก็เอาของทะเลมาเป็นลำๆเรือ น้ำปลาอย่างดี ของทะเลต่างๆ แล้วก็เงินทองด้วย

    ผลที่สุดนำไป ๗ ลำเรือ แจกกันขนาดหนัก บรรดาประชาชนสาธุไปทั่วกัน ว่ากันถึงเรื่องการทอดกฐิน จะพูดถึงอานิสงส์กฐินให้ฟัง หลวงพ่อปานทอดกฐินคราวไรละก็ท่านก็เทศน์แบบนี้ เทศน์แบบนี้ฉันจะนำใจความมาเล่าให้ฟังว่า การทอดกฐิน อานิสงส์ของกฐินนี่น่ะให้ผลทั้งชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ ชาติปัจจุบันและสัมปรายภพหมายความว่าชาตินี้และชาติหน้า ชาติต่อๆไป คนทอดกฐินสังเกตตัวดู ถ้าทอดแล้วถึง ๒-๓ ครั้ง ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ร่ำรวยก็ตาม แต่ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้น รู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมากขึ้น หาลาภสักการคล่องตัวขึ้น

    ท่านบอกว่านี่ยังเป็นเศษของความดี อานิสงส์ของการทอดกฐินสามารถจะบันดาลให้คนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จผล ดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบัน สมัยนั้นเป็นมหาทุกขตะ สมัยที่พระปทุมมุตตะทรงอุบัติขึ้นในโลก แกไม่มีอะไร เป็นคนจน ไปชวนนายเขาทอดกฐิน ตัวเองก็เอาผ้าไปขายแลกกับด้ายหลอดเขามาด้วย ด้าย ๒ หลอด เข็ม ๑ เล่ม เอามาผสมกับกฐินเขา แล้วก็ปรารถนาพระโพธิญาณ

    พระปทุมมุตตะก็ทรงพยากรณ์ว่า บุคคลๆ นี้ต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระสมณโคดม นี่เป็นสมุฏฐานของการปรารถนาพระโพธิญาณของท่าน มีกฐินเป็นปัจจัย แล้วหลวงพ่อก็เทศน์ต่อไปว่า บุคคลใดก็ตามทอดกฐินแล้วถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา ต่อไปถ้าหากว่าไปได้บรรลุพระอรหัตผล ก็จะมีผ้าสำเร็จไปด้วยฤทธิ์มาสวมตัว พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าเอหิภิกขุ แปลว่าเจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด

    เพียงเท่านี้ผ้าไตรจีวรก็จะลอยมาจากอากาศ สวมตัวเองด้วยอำนาจของอานิสงส์กฐิน สำหรับผู้หญิง ถ้าเป็นเจ้าภาพหรือจัดการในงานกฐิน ก็จะได้เครื่องมหาลดาปราสาท เครื่องประดับกายอย่างนางวิสาขา มีราคาตั้ง ๑๖ โกฏิ สวยงามมาก นี่อย่างหนึ่ง แล้วอีกอย่างหนึ่งคนที่ทอดกฐินแล้ว ถ้าตายจากความเป็นมนุษย์ จะเกิดเป็นเทวดา ๕๐๐ ชาติ หมายความว่า เกิดแล้ว ๑ ชาติของเทวดาก็คือพันปีทิพย์ หมดกำลังของพันปีทิพย์ก็จะเกิดเป็นเทวดาใหม่ ต่อไปอย่างนี้ ๕๐๐ วาระ ความจริงก็ได้เปรียบมาก

    ถ้าอย่างลูกหลานได้เป็นอย่างนั้นนะไปนิพพานกันหมด เพราะพวกเรามีศรัทธาอยู่แล้ว เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาที่ไม่ประมาท ยังงี้ไปนิพพานกันหมด ดี ได้กำไร ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นจากความเป็นเทวดาแล้วก็มาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเป็นผู้ชายนะ ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นคู่บารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ พระเจ้าจักรพรรดินี่ไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิอย่างเบาได๋นะ จักรพรรดิส่งเดชอย่างนั้นไม่ใช่

    คำว่าจักรพรรดินี่มีอำนาจปกครองไปทั้งโลก มีเกือกแก้ว แล้วก็มีพระขรรค์แก้ว แล้วก็มีแก้วมณีโชติ มีกำลังมาก เหาะได้ ไม่มีใครมีอำนาจเท่า แล้วก็มีธนูศิลป์ศร จะใช้ยังไงก็ได้เหมือนศรพระราม มีอำนาจปกครองโลก ปกครองโลกได้จริงๆ ไม่มีใครสู้ ถ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็มีขุนพลแก้วรบเก่ง ขุนคลังแก้วหาเงินเข้าคลังเก่ง ช้างแก้ว ม้าแก้ว นี่ใช้สงรามได้ดี นางแก้วคือเมียดี เวลาฤดูหนาวร่างกายของเมียก็อบอุ่นมากขึ้น แล้วเวลาฤดูร้อนร่างกายของเมียก็เย็น ทำความสุขให้แก่พระเจ้าจักรพรรดิ นี่ เป็นยังงี้ นี่ท่านว่ายังงั้น

    ถ้าพ้นจากสวรรค์ก็มาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ แล้วพ้นจากนั้นก็เป็นกษัตริย์ธรรมดาไป ๕๐๐ ชาติ จากนั้นก็มาเป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ แล้วก็เป็นคหบดี ๕๐๐ ชาติ นี่ท่านบอกว่าอานิสงส์ของกฐินคราวเดียวก็สามารถให้ผลถึงเพียงนี้ ทุกคนควรจะทอดกฐินกัน แล้วเวลาทอดกฐินก็นึกว่าตนจะสงเคราะห์พระพุทธศาสนา

    หรือสงเคราะห์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานั่นเอง แต่ว่าเนื้อนาบุญนี่สำคัญนะ เวลาจะหว่านข้าวลงไปดูเนื้อนาเสียด้วย นี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง เนื้อนาบุญนี่สำคัญ ถ้านาดอนหว่านข้าวไม่ขึ้น ม้านหมด ถ้านาลุ่มข้าวก็น้ำท่วม นี่สำคัญมาก (แล้วว่ากันไปก็แล้วกัน) ใครจะทำที่ไหนจะทอดที่ไหนก็ไม่ว่า นี่แนะนำให้ฟัง หลวงพ่อปานท่านเทศน์อย่างนี้

    ฉันจะเล่าเรื่องย่อๆ เบ็ดเตล็ดอีกสักเรื่องหนึ่ง คือเรื่องธรณีสูบคน เขาร่ำลือกันว่าวัดของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคน่ะ มีคนถูกธรณีสูบ ๔-๕ คน เพราะสมัยนั้นการสัญจรการจราจรก็ไม่มาก มีเรือเขียว ๑ ลำ เรือแดง ๑ ลำ ล่องตอนเช้า แล้วก็ตอนเย็นๆ มีเรือเขียว ๑ ลำ เรือแดง ๑ ลำจากกรุงเทพฯ ผ่านหน้าวัด มีเท่านั้นนะ การจราจรมีไม่มาก คนที่เขาลงเรือเมล์มาเขาเห็นคนที่วัดบางนมโคจมดินลงไป จมดินลงไปถึงแค่คอหลายคน ๔-๕ คน แล้วพวกที่นั่งเรือนั่งแพ เรือแจวเรือพายก็ตาม ใครไปก็เห็นใครมาก็เห็น

    ข่าวเล่าลือกันไปว่าที่วัดของหลวงพ่อปานคนถูกธรณีสูบ ๔-๕ คนข่าวนี้มันก็ไปไว ปากคนเสียงคนนี่มีความสำคัญมาก ไม่ช้าคนเต็มวัดเต็มวา เรือแพหน้าวัดคนเต็มไปหมด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะทุกคนเขาก็สนใจกัน สนใจเรื่องธรณีสูบ เมื่อขึ้นไปแล้วเขาก็ไปถามหลวงพ่อ ๆ ขอรับ คน ๔-๕ คนน่ะบาปอะไรธรณีถึงได้สูบ หลวงพ่อท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่าใครเขาบอกพวกเอ็งล่ะ ใครเขาบอกพวกเอ็งว่าธรณีสูบ คนพวกนี้น่ะมันเป็นโรคเหน็บชา คือขามันชา ข้าให้เอาใบขี้เหล็กกับอะไรบ้างก็ไม่ทราบ แล้วเผาเหล็กให้แดงเอาไปวางไว้ข้างล่างขุดหลุมแล้วเอาใบขี้เหล็กทับลงไป แล้วให้มันหย่อนขาลงไปเหยียบ เอาตูดนั่งบนแผ่นดิน แล้วก็เอาขาแหย่ลงไปถึงก้นหลุม แต่ไอ้เจ้าของไข้ของมัน อยากให้คนไข้น่ะมันหายเร็วเข้า มันก็ดันขุดหลุมเสียแค่คอเลย

    พอขุดหลุมเสร็จมันก็ทำพิธีกรรมตามข้าว่านั่น ทำตามนั้น แล้วเอาคนของมันลงไปยืนในหลุม นี่ข้าสั่งมันพักแล้วนะ มันก็บังคับคนไข้ของข้ายืนกันคนละครึ่งวันค่อนวัน นี่มันไม่ใช่ธรณีสูบนะ ข้าสั่งให้เขารับการรักษาโรคเหน็บชา นี่เรื่องธรณีสูบน่ะไม่มีอะไรมากหรอก มีเท่านั้น แต่ว่าคนที่จะต้องรับผลอันนี้มากคือใคร ก็คือหลวงพ่อปาน ในเมื่อชาวบ้านชาวเมืองมากันเต็มวัดเต็มวา งานประจำปีก็ยังสู้ไม่ได้ มากันหลายวัน หลวงพ่อปานก็เกณฑ์สิ หาคนไม่ทันก็พระนั่นแหละ ตั้งกระทะเป็นแถว เอากระทะหุงข้าวตั้งเป็นแถวเลี้ยงชาวบ้าน แต่อาหารประจำของท่านต้องมี พอท่านสั่งเลี้ยง ฉันก็ต้องรีบไปหาหัวตาลมากับผักบุ้ง ต้มปลาร้าหัวตาลกับแกงคั่วส้มผักบุ้ง ต้องมีทุกรายการที่หลวงพ่อปานมีงาน

    ฉันรู้ใจท่าน ฉันไปหามากัน แล้วก็ขนม ๒ อย่าง คือ ข้าวตอกน้ำกะทิ แมงลักละลายน้ำ ๒ อย่างนี้เป็นขนมประจำ เป็นอันว่ารายจ่ายของหลวงพ่อปานไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่น่าอัศจรรย์นะ คนถูกธรณีสูบเพราะอาศัยการรักษาโรค เป็นปัจจัยที่ทำให้หลวงพ่อปานได้สตางค์คราวนั้นหมื่นบาทกว่า หมื่นบาทกว่าเชียวนะ พอได้ทุนหมื่นบาทกว่า ทั้งๆที่ท่านไม่ได้ประกาศเรี่ยไรอะไรทั้งหมด ท่านก็เลยตั้งท่าตั้งทุนเอาสร้างโบสถ์สร้างศาลา เรื่องการเก็บไม่ต้องพูดกัน การเก็บสะสมไม่ต้องพูดกัน เอาละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย เรื่องข่าวลือไม่มีสาระ แต่ว่าคนที่อาศัยข่าวลือให้เป็นประโยชน์ คือทำที่ไม่เป็นสาระให้เป็นสาระก็สามารถทำได้

    นั่นก็ได้แก่ข่าวลือ คนเขามาแล้วหลวงพ่อปานท่านก็เลี้ยงด้วยอำนาจเมตตาบารมีนี่คนเมื่อมีความใจดี หลวงพ่อปานเลี้ยงจนอิ่มก็บังเกิดจิตเป็นกุศล เอาสตางค์มาทำบุญกับท่าน ในที่สุดท่านได้สตางค์หมื่นกว่าบาท ก็เอาเงินนั้นไปสร้างโบสถ์สร้างศาลาที่วัดอื่น ไม่ใช่วัดบางนมโค ก็ปรากฏว่าคนธรณีสูบมีอานิสงส์ คือสามารถสร้างโบสถ์สร้างวิหารได้ ขอหยุดเท่านี้นะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่ลูกหลาน สวัสดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...