ประวัติ-ธรรมะ ลป.แหวน สุจิณโณ

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 ตุลาคม 2009.

  1. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๙๗. นิมนต์ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีๆ มาอยู่เชียงใหม่

    ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เคยไปจำพรรษาที่เชียงตุง ได้ไปแสดงธรรมโปรดเจ้า ผู้ครองนครเชียงตุงจนเลื่อมใส ถวายตนเป็นศิษย์อุปัฎฐาก เป็นเหตุให้ทางสำนักนครเชียงตุง ประพฤติธรรมกันโดยทั่วหน้า

    แม้ปัจจุบัน เชื้อวงค์นครเชียงตุง เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ก็ยังคงปฎิบัติธรรมกันอยู่

    ในครั้งนั้น นอกนอกท่า่นเจ้าคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ จะได้โปรดเจ้านาย วงค์นครเชียงตุงแล้ว ท่านยังได้ปรับปรุงการปฎิบัติพระวินัย ของพระสงฆ์ในเชียงตุง ให้ดีขึ้น หลายอย่าง ตามคำขอร้องของเจ้าผุ้ครองนครเชียงตุง

    เืืมื่อท่านเจ้าคุณพระอุบาลีๆ กลับจากเชียงตุงแล้ว ท่านได้ขึ้นไปพักภาวนาอยู่ที่ดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่

    ประจวบกับสมัยนั้น วัดเจดีย์หลวง ในตัวเมืองเชียงใหม่ กำลังทรุดโทรม หาพระผุ้เป็นหลัก ไม่ได้ ประชาชนก็เหินห่างจากวัด เพราะพระภิกษุสามเณร ประพฤติตนไม่เหมาะสม

    ทางฝ่ายบ้านเมืองมี เจ้าแก้วนวรัตน์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พร้อมด้วย เจ้าพระยามุขมนตรี ( อาบ เปาโรหิต) สมุหเทศาภิบาลมณฑลพายัพ จังได้ปรึกาากันว่า จะหาพระ เถระผู้ใหญ่ที่ไหน เืพื่อจะได้นิมนต์มาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง เพื่อจะได้ขอให้ท่า่นช่วยปรับปรุงวัด และ พระภิกษุสามเณร ให้เข้ารูปเข้ารอบขึ้น

    ทางฝ่ายบ้านเมืองเห็นพ้องกันว่า สมควรจะอาราธนานิมนต์ท่านเจ้าคุณพระุอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทน์ สิริจนฺโท) วัดบรมนิวาส กรุงเทพๆ มาอยู่ จึงได้เตรียมมอบหมายให้ผู้เดินทางไปนิมนต์

    ประจวบกับขณะนั้น ได้ทราบย่าวว่า ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีๆ พักวิเวกอยุ่ที่ดอยสุเทพ จึงได้พา กันไปกราบ และเรียนให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ พร้อมทั้งนิมนต์ให้ท่านมาำจำพรรษา ที่วัดเจดีย์หลวง เื่พื่อจะได้ปรับปรุงวัดให้เรียบร้อย และเรียกศรัทธาของประชาชน ให้กลับคืนมา

    แต่การนิมนต์ครั้งนั้นเป็นการนิมนต์ท่านแบบไม่เป็นทางการ ทำนองเกริ่นให้ท่านรับทราบ และท่านเจ้าคุณๆ ก็ยังไม่ได้ตอบรับ แต่ประการใด เพียงบอกว่า ท่านจะขอรับไว้พิจารณา ต่อเมื่อ กลังถึงกรุงเทพๆ แล้วจะพิจารณาอีกครั้ง
     
  2. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๙๘. ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีๆ รับนิมนต์

    เมื่อท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ พักภาวนาอยู่ดอยสุเทพ พอสมควรแล้ว ก็เดินทาง กลับกรุงเทพๆ

    ประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๐ ทางเชียงใหม่โดยเจ้าแก้วนวรัตน์ ได้เดินทาง ไปนิมนต์ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีๆ อย่างเป็นทางการด้วยตนเอง การติดต่อนิมนต์จึงสำเร็จด้วยดี

    ในการเดินทางไปถึงเชียงใหม่ ท่่านเจ้าคุณพระอุบาลีๆ ได้เลือกผู้ที่จะติดตามไปกับท่าน อย่างพิถีพิถัน เพราะค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้นสูงมาก

    ในช่วงนั้น หลวงปู่มั่น ภุริทตฺโต ได้เดินทางเข้ากรุงเทพๆ มีความประสงค์จะปลีกวิเวก แสงหาโมกธรรม ไปตามลำพังองค์เดียว และได้มอบหมายให้ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ปกครอง ดูแลคณะสงฆ์ภาคอิสานแทนท่าน

    ท่านเจ้าคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ จึงได้ขอให้หลวงปู่มั่น ไปพำนัจจำพรรษาที่เชียงใหม่ ด้วย และร่วมเดินทางในครั้งนี้

    ศิษย์อีกท่านหนึ่ง ที่ด้รับคัดเลือกให้ร่วมเดินทาง ได้แก่ หลวงปุ่แหวน สุจิณฺโณ ซึ่งท่านมี ความยินดีอย่างยิ่ง โดยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ รับความไว้วางใจจากครูบาอาจารย์มากถึง ขนาดนั้น

    หลวงปู่แหวน บอกว่า การนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ในสมัยนั้นไม่ได้สะดวกสบายเหมือน สมัยนี้ต้องใช้เวลานาน แต่ก็ไม่มียาพาหนะหรือวิธีเดินทาง อย่างอื่น ที่จะสะดวกสบาย ไปกว่านี้แล้ว
     
  3. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๙๙. จัดการปรับปรุงวัดเจดีย์หลวง

    การไปจำพรรษาอยู่วัดเจดีย์หลวง ของท่านเจ้าคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ครั้งนั้น ท่่านได้ เทศนาสสั่งสอนอบรมพระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา รวมทั้งนำพระิภิกษุสามเณร ทำความ สะอาดและปรับปรุงบริเวณวัตถุ จนดูสะอาดเรียบร้อย ดูเจริญหูเจริญตา

    นอกจากนี้ เวลากลางคืน ท่านก็ได้ให้การอบรมธรรมทุกคืน ทำให้ได้ผลดีขึ้นมาอย่างรวด เร็ว คือพระภิกษุสามเณรประพฤติอยู่กับร่องกับรอย วัดดูสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย อุบาสก อุบาสิกา และประชาชน ก็มาทำบุญฟังธรรมกันมากชึ้น สามารถเรียกศรัทธากลับมาได้ตาม ความประสงค์

    เื่มื่อออกพรรษาแล้ว ท่่านเจ้าคุณๆ กับพาพระเณรวิเวกตามเขตอำเภอใกล้เคียง
    บางครั้ง ในฤดูแล้งนอกพรรษา ท่า่นก็ลงไปทำธุระที่กรุงเทพๆ พอจวนจะถึงวันปวารณา เข้าพรรษา ท่านก็กลับ ขึ้นมาจำพรรษาที่เชียงใหม่


    วัดเจดีย์หลวง ในสมัยของท่านเจ้าคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ จึงได้รับการสนับสนุน จากประชาชน ที่เคยเป็นมาแล้วในอดีต

    หลวงปุ่แหวน ก็อยู่ดูแลช่วยสนองงาน ท่่านเจ้าคุณๆ ตามกำลัง บางครั้ง ท่านก็ตาม หลวงปู่มั่น ออกแสวงหาวิเวก ตามอำเภอนอกๆ ตามโอกาส
     
  4. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๐๐. ญัตติเป็นธรรมยุต

    ในปี พ.ศ. ๒๔๗๐ นี้เอง ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ได้พิจารณาเห็นว่า หลวงปู่ แหวน มีความตั้งใจในการประพฤติปฎิบัติ มีความวิริยะอุตสาหะ ปรารภความเพียรสม่ำเสมอ ไม่ย่อท้อ มีข้อวัตรปฎิบัตรดี เหมาะสมตามสมณสารูป มีอุปัชฌายวัตรและอาจาริยวัตร ดีสม่ำเสมอ ปลาย มีอัธายศัยไม่ขึ้นไม่ลง และมีความคุ้นเคยกันมานาน


    วันหนึ่ง ท่่านเจ้าคุณพระอุบาลีๆ ได้พูดกับหลวงปุ่แหวนว่า

    " อยู่ด้วยกันก็นานมาแล้ว ควรจะได้ญิตติเสีย เพื่อจะได้เข้าร่วมสังฆกรรมกันได้ ไม่ต้องคอย บอกปาริสุทธิ์ ในวันอุโบสถ เหมือนเช่นทุกวันนี้

    ครั้งแรกหลวงปู่ กราบเรียน ท่่า่นเจ้าคุณๆว่า ขอเวลาปรึกษาเพื่อน คือหลวงปู่ตื้อ ดูก่อน

    ในช่วงนั้น หลวงปู่ตื้อ ยังท่่องธุดงค์อยู่ตามลำพัง ยังไม่ได้ขึ้นไปเชียงใหม่

    แต่ด้วยเหตุผลของท่านเจ้าคุณพระอุบาลีๆ ที่อธิบายให้ฟังในขณะนั้น ท่่านจึงตัดสินใจ ญิตติเป็นพระธรรมยุติที่พัทธสีมาวัดเจดีย์หลวง นั่นเอง โดยมีพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ( จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระครูศรีพิศาลสารคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูพีสีพิศาลคุณ( ทอง โฆสิโต) เป็นพระอนุสาวนาจารย์
     
  5. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๐๑. เหตุที่หลวงปู่แหวน ยังไม่ญัตติในครั้งแรก

    การที่หลวงปู่แหวน ยังไม่ยอมญัตติเป็นพระธรรมยุต ในครั้งแรก โดยจะรอปรึกษากับ หลวงปุ่ตื้อ อจลธมฺโม ก่อนนั้น เพราะถ้าท่่านตัดสินใจไปคนเดียว ภายหลังอาจถูกเพื่อนต่อว่า เอาได้ ว่าทำอะไร ไปแล้วไม่ปรึกษากัน

    เพราะหลวงปู่ตื้อ ท่่านเป็นสหธรรมิก ที่ร่วมท่องธุดงค์ทั้งในและนอกประเทศ ด้วยกันเกือบ จะ ทุกแห่ง เมื่อมีเรื่องสำคัญที่ต้องตัสินใจ จึงต้องปรึกษากันให้ดีเสียก่อน

    อีกอย่างหนึ่ง ขณะนั้น หลวงปู่แหวนเอง ก็อยู่ในขั้นพระเถระผู้ใหญ่ พอสมควรแล้ว เพราะท่านมีพรรษา ๒๐ พระที่มีพรรษามากขนาดนั้น จะตัดสินใจทำอะไรต้องมีความรอบคอบ

    แต่ด้วยความเคารพในท่านเจ้าคุณพระอุบาลีๆ รวมทั้งด้วยเหตุด้วยผล เมื่อท่่านเ้จ้าคุณๆ เอ่ยปากให้โอกาส หลวงปู่ จึงตกลงญัตติเป็นพระธรรมยุติ โดยไม่รอหลวงปูตื้อ

    ภายหลังเมื่อหลวงปู่ตื้อ มาถึงเชียงใหม่แล้ว ท่านก็ได้ญัตติเป็นพระธรรมยุต ที่วัดเจดีย์หลวง เช่นเดียวกัน

    ในสมัยนั้น พระฝ่ายมหานิกาย ที่มีอายุพรรษามาก ที่ยอมตนเป็นศิษย์ปฎิบัติธรรม กับหลวง ปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ญัตติเป็นพระธรรมยุต ก็มาก และที่หลวงปุ่มั่น ท่่านบอกว่าไม่ต้องญัตติก็มี หลายองค์

    หลวงปู่มั่น ท่านให้เหตุผล ที่ไม่ต้องญัตติว่า

    " มรรค ผล นิพพาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคณะนิกาย แต่ขึ้นอยู่กับกับการประพฤติปฎิบัติของ บุคคลนั้"

    หลวงปุ่มั่น ท่านบอกลูกศิษย์ที่ไม่ต้องญัตติว่า สำหรับผู้ที่ตั้งใจจริงแล้ว ให้ไปช่วยสั่งสอนหมู่ คณะในฝ่ายมหานิกายในด้านการปฎิบัติภาวนาต่อไป

    สำหรับลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ที่เป็นชาวเหนือ ที่เ็ป็นฝ่ายมหานิกาย ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ หลวงปู่คำแสน คุณาลงฺกาโร วัดดอนมูล(สันโค้งใหม่) อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และพระครูสุภัทรคุณ(หลวงปู่คำปัน สุภทฺโท) วัดสันโป่ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
     
  6. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๐๒. การเที่ยวธุดงค์ในภาคเหนือ

    หลวงปุ่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ ท่่านถูกกับอากาศทางภาคเหนือ เหมือนกัน ซึ่งกล่่าวได้ว่า อากาศทางภาคเหนือ เป็นสัปปายะ สำหรับท่่าน

    ในการบำเพ็ญภาวนา ช่วงที่อยุ่ทางภาคเหนือนั้น หลวงปู่ได้จาริกไปตามป่าตามเขา แถว จังหวัด เชียงราย พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ เป็นส่วนมาก

    หลวงปุ่สามารถเล่าถึงภูมิประเทศของแต่ละท้องถิ่น ในภาคเหนือ ตอนบนได้อย่างละเอียด

    ส่วนทางภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ แพร่ น่าน นั้น หลวงปู่ เคย เที่ยวธุดงค์บ้างเป็นครั้งเป็นคราว ไม่เหมือน ๔ จังหวัดที่กล่าวมา ซึ่งท่่านจาริกไปหลายๆครั้ง

    บางแห่ง หลวงปุ่ ก็อยู่จำพรรษา บางแห่งก็พักบำเพ็ญเพียรภาวนา เฉพาะในฤดูแล้ง แห่งละ ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง หรือ ๑ เดือนบ้าง

    การจาริกธุดงค์ของหลวงปู่ นั้นต้องพบกับอุปสรรคนานาประการ ซึ่งหลวงปู่ ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ ด้วยพลังจิตที่เข้มแข็ง มุ่งมั่น และด้วยปัญญาบารมีของท่าน ซึ่งศิษย์รุ่น หลังได้ถือเป็นแบบอย่างในการปฎิบัติ จนบังเกิดผลสำเร็จในทางธรรมเป็นจำนวนมาก

    เรื่องการเดินธุดงค์ของหลวงปู่แหวน นั้น ผู้เขียนได้บรรยายในเรื่องของหลวงปู่ตื้อ หลาย เหตุการณ์ด้วยกัน จึงของดเว้นการกล่าวซ้ำ ขอให้ท่า่นที่สนใจไปหาอ่านเอาเอง
     
  7. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๐๓. ธุดงค์จากเชียงรายไปลำปาง

    ครั้งหนึ่งหลวงปู่แหวน ออกธุดงค์องค์เดียว เดินทางจากเชียงรายไปลำปาง หลวงปู่เดินทางมาถึงพะเยา (สมัยนั้นเป็นอำเภอ ขึ้นอยุ่กับจังหวัดเชียงราย) พักที่วัดพระ เจ้าตนหลวง ๓-๔ วัน เพื่อพักผ่อนให้มีกำลัง

    ช่วงที่หลวงปู่ออกจากพะเยา จะไปลำปาง ก็มีรถลากไม้จะไปเส้นทางนั้นพอดี พวกรถได้ นิมนต์หลวงปู่ขึ้นรถไปด้วย ขณะนั้นเป็นช่วงเดือน ๗(มิถุนายน) เข้าหน้าฝน มีฝนตกชุก รถออก ไปถึงแถวอำเภองาว ก็เกิดติดหล่มขึ้นไม่ได้

    พวกคนรถนิมนต์ให้หลวงปู่พักอยู่กับพวกเขาก่อน ให้แก้ไขเอารถขึ้นจากหล่มได้ค่อยเดิน ทางต่อไป หลวงปู่ กล่าวขอบใจพวกเขา แล้วบอกว่า จะค่อยๆเดินล่วงหน้าไปก่อน จะไปพักหมู่บ้าน ข้างหน้า ขณะที่หลวงปู่เดินทางนั้น มีฝนตกพรำๆ ตลอดเวลา พอตกเย็น ก็ถึงหมู่บ้านแ่ห่งหนึ่ง เข้า ไปอาศัยพักที่ศาลาใกล้หมู่บ้าน วันรุ่งขึ้น ก็ออกบิณฑบาต ฉันเสร็จก็ออกเดินทางต่อไป

    สมัยนั้น ถนนระหว่างพะเยา -ลำปาง เป็นทางลากไม้ ในฤดูฝนรถจะหยดลากไม้ั เพราะติด หล่ม ลากไม้ไม่้ได้ ดังนั้น เส้นทางจึงเดินลำบากมาก ต้องผ่านลำธาร ผ่านซอกเขา และป่าดงดิบ มีทากดูดเลือดอยู่ทั่วไป
     
  8. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๐๔. พักค้างคืนที่ศาลเจ้าพ่อประตุผา

    หลวงปู่เดินทางมาถึง ศาลเจ้าพ่อประตุผา เมื่อเวลาใกล้ค่ำพอดี จึงอาศัยนอนที่ศาลเจ้าพ่อ นั้นเอง ศาลเจ้าพ่อประตุผา ในสมัยนั้น เขาสร้างเป็นตัวเรือนไม้ขนาดใหญ่ พอที่คนจะขึ้น ไปนอนได้


    หลวงปู่ ใช้ผ้าอาบปัดฝุ่นและใบไม้ที่พื้นออก แล้วเอาผ้าอาบปูบนพื้นกระดาน กางกลด และจัดบริชารเรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปสรงน้ำที่ลำธารใกล้ๆนั้น ซึ่งมีอยุ่ทั่วไปในฤดูฝน

    เวลากลางคืน หลวงปู่บอกว่า เงียบสงบดี ท่า่นใช้ผ้าสังฆาฎิ หนุนศีรษะ ต่างหมอนเวลานอน

    เมื่อหยุดพักพอหายเหนื่อยแล้ว หลวงปู่ก็ไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตาให้เจ้าที่เจ้าทาง และ สรรพสัตว์ แล้วเดินจงกรมบ้าง นั่งภาวนาบ้าง สลับกันไป

    หลวงปู่เล่าว่า เวลากลางคืน พวกเสือมาร้องแถวใกล้ๆ ที่ท่านพัก เสียงเป๊บๆ ขานรับกัน ฟังเสียงแต่ละตัวไม่ใช่เล็กๆ สามารถกินวัวได้อย่างสบาย

    เสียงร้องรับกันเป็นทอดๆ ประเดี๋ยวตัวนั้นร้อง ประเดี๋ยวตัวนี้ร้อง เหมือนคนกุ่หากัน อยู่ไม่ ไกลจากที่ท่านพัก

    พอตกค่ำ อากาศหนาวเย็นมาก ท่านต้องเดินจงกรม และนั่งภาวนาทั้งคืน
     
  9. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๐๕. จับไข้ระหว่างเดินทาง

    พอรุ่งสว่างได้อรุณ หลวงปู่ เก็บบริขาร แล้วออกเดินทางต่อไป บันทึกการเดินธุดงค์ช่วงนี้ มีดังนี้:-

    ตกบ่ายรู้สึกอ่อนเพลียมาก หนักศีรษะคล้ายจะเป็นไข้ รวมบรวมกำลังเดินทางต่อไป จะพักก็ ไม่ได้เพราะอยู่กลางป่าเขา ไม่มีหมู่บ้านเลย เดินไปได้ประมาณ ๒ ชั่วโมง รู้สึกอ่อนเพลียมาก อาการไข้เริ่มปรากฎชัด ขารู้สึกว่าจะก้าว ต่อไปไม่ไหว อ่อนไปหมด จึงแวะเข้่าไปใต้ร่มไม้ข้างทาง วางกลด วางบาตร แล้วล้มต้ัวนอน หล้บโดยไม่รู้สึกตัว เพราะ พิษไข้

    ช่วงเวลาที่หลับไปนั้นนานเท่าไรก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวเอาก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงดังอู้ๆ ของลมพัดยอด ใบไม้ เสียงฟ้าคะนอง ฟ้าแลบ แปลบปลาบอยุ่ทั่วไป

    มองไปบนท้องฟ้า มีเมฆดำทะมึนเต็มท้องฟ้า ลมก็พัดกระโชกแรงขึ้น เสียงคำรามของฟ้าก็ ร้องถี่ขึ้น ดูทุกสิ่งทุกอย่าง มีแต่บีบรัดเข้ามาทุกที

    อาการไข้ก็ยังไม่สร่าง ฝนก็เริ่มลงเม็ดห่างๆ จะกางกลดก็สู้ลมพัดไม่ไหว ไม่รู้ว่าจะไปหลบฝน อยู่ที่ไหนได้ ดูเหมือนจะหมดหนทางแก้ไขเอาทีเดียว
     
  10. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๐๖. ขอให้ฝนเลี่ยงห่าง

    เมื่อหลวงปู่เห็นว่า ไม่มีทางหลบฝนได้แน่แล้ว จึงได้รวบรวมกำลังกายลุกขึ้นนั่งสมาธิ ตั้ง สัจจาธิษฐานอ้างเอาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อ้างถึงบุญบารมีที่ได้บำเพ็ญตนด้วยดีมา ตั้งแต่บวชว่า


    " ข้าพเจ้าบวชอุท็ศตนต่อพระพุทธ ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์ วันนี้ ข้าพเจ้าเดินทางมาเพื่อ จะไปลำปาง เกิดอาการไข้ หมดกำลังที่จะไปข้างหน้า ถ้าบุญบารมีของข้าพเจ้ามีอยู่ พอที่จะได้ บำเพ็ญพรหมจรรย์เืพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ขอฝนอย่าได้ตกลงมาตรงที่ข้าพเจ้าอยู่นี้เลย"

    แล้วหลวงปู่ก็แผ่เมตตาต่อเทพารักษ์ สิ่งที่เจ้าที่ทางอธิษฐาน บอกกล่าวแก่เขาว่า

    " ข้าแต่เทพารักษ์ ผู้ศักสิทธิ์ เจ้าที่เ้จ้าทาง ตลอดจนนาค ครูฑ ผู้มีอำนาจทั้งหลายก็ดี วันนี้ ข้าพเจ้าเดินทางมาจะไปลำปาง มาป่วยอยุ่กลางป่า หมดกำลังที่จะไปข้างหน้า ขอให้ท่านทั้งหลาย อาศัยความเอ็นดูข้าพเจ้า ขอได้โปรดบันดาลด้วยอำนาจฤทธิ์ของตนๆ ให้ฝนซึ่งกำลังตกมานี้ ได้เว้นตรงที่ข้าพเจ้าอยู่ตรงนี้ ขอไห้เปลี่ยนทเศทางไปทางอื่น

    การที่จะห้ามฝนไม่ให้ตกนั้นมิใช่ฐานะ แต่ขออย่าได้ตกลงมาตรงที่ข้าพเจ้าอยู่ ขอให้ผ่าน ไปทางอื่น "


    ๑๐๗. เป็นที่น่าอัศจรรย์

    เมื่อหลวงปู่อธิษฐานเสร็จ แล้วทำจิตให้แน่วแน่ แผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั่วจักวาลไม่มี ประมาณ แล้่วท่านก็นั่งหลับตา ทำสมาธิสงบนิ่ง

    เป็นที่น่าอัศจรรย์ ขณะที่ฝนกำลังลงเม็ดถี่โดยลำดับนั้น ได้เกิดมีลมพัดมาอย่างแรง ต้นไม้ ลุ่เอนไปตามทิศทางลม ด้วยความแรงของลมที่พัดมานั้น สามารถทำให้ฝนเปลี่ยนทิศทางไปโดย ฉับพลัน

    ฝนตกห่างจากจุดที่หลวงปู่นั่งอยู่ออกไปในรัศมี ๑ เส้น เว้นเฉพาะที่ๆ หลวงปู่อยู่เท่านั้น

    วันนั้นฝนตกอยู่นานพอสมควร พอฝนหายแล้ว อาการไข้ก็ยังไม่สร่าง หลวงปู่จึงล้มตัวนอน ต่อไปโดยไม่ได้กางกลด

    ท่านมารู้สึกตัวอีกที ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว รู้สึกว่าเนื้อตัวเปียกชุ่มหมด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ยุงป่ารุมกัด และอีกส่่วนหนึ่ง เพราะเหงื่อออก

    หลวงปู่ไม่ได้สนใจเกี่่ยวกับเรื่องเนื้อตัว รู้แต่ว่าสร้างไข้แล้ว รู้สึกว่าตัวเบา คอแห้งกระาหยน้ำ จึงลุกขึ้นเอากาไปตักน้ำในลำธารใกล้ๆ ใช้ธรรมกรก(กระบอกกรองน้ำ) กรองน้ำใส่กาเต็มแล้ว ก็กลบมาที่เดิม นั่งภาวนาทำสมาธิจนรุ่งเช้า

    ก่อนออกเดินทาง หลวงปู่ได้ทำใจให้สงบ แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย การเดินทาง ในวันนั้น มีความสะดวก ปลอดภัย ไม่มีอุปสรรคอันตรายใดๆ
     
  11. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๐๘. ข้อดีของการเดินธุดงด์องค์เดียว

    ที่บอกว่า หลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ ท่่านจะออกท่องธุดงค์ไปไหนๆ ด้วยกันนั้น ไม่ได้ หมายความว่า ท่านจะเดินด้วยกัน พักด้วยกันตลอด หากแต่ไปด้วยกันบ้าง แยกกันบ้าง ๓ วัน ๕ วัน ๒ สัปดาห์ หรือ ๑ เดือน มาพบกันทีหนึ่ง หรือบางครั้งก็พักปักกลดอยุ่ใกล้ๆกัน แล้วก็ต่างองค์ ต่างแยกกันไป แต่ท่านก็ติดต่อถึงกันอยู่เสมอ

    ในช่วงที่ธุดงค์มาลำปางน้ หลวงปู่ทั้งสององค์แยกทางกัน แต่มาพบกันที่ลำปาง แล้ว หลวงปู่ แหวน ธุดงค์ขึ้นไปเชียงใหม่ และ หลวงปู่ตื้อ แยกไปแสวงวิเวกแถบอำเภอเถิน หวังจะไปพบกัน ที่เชียงใหม่

    หลวงปู่แหวน ท่า่นเล่าถึงข้อดีในการเดินทางองค์เดียว่า

    การเดินทางคนเดียวนั้นรู้สึกสะดวกสบายหายกังวล ไม่เหมือนไปกันเป็นหมู่เป็นคณะ มีแต่ เรื่องกังวล ในที่บางแห่งเพื่อนๆจะไป เราอยากอยู่ เราจะไปเพื่อนนๆจะอยู่ ไม่่ค่อยจะพร้อมเพรียง กัน

    สู้ไปคนเดียวไม่ได้ อยากไปก็ไป อยากอยู่ก็อยู่ ไม่มีเครื่องวิตกกังวล ไม่ต้องพูดจากับใครๆ

    เดินทางคนเดียว เวลาคับขัน จิตก็เป็นสมาธิได้ดี สติสัมปชัญญะเป็นเพื่อนสองเสมอในกาล เ่ช่นนั้น

    เดินไปภาวนาไปเช่นนี้ บางครั้งจิตสงบอยู่ได้นาน ความวอกแวก แส่ไปรับอารมณ์ภายนอก ตามนิสัยของจิตไม่ค่อยมี

    เพราะเหตุที่อันตรายมีอยู่รอบด้าน ชีวิตจึงฝากเป็นฝากตายอยู่กับสติ

    การเดินทางในที่ๆมีอันตรายเช่นกัน เปรียบเหมือนการเข้าสูสงครามของทหาร ถ้าไม่ค่อย ระมัดระวัง สติสัมปชัญญะไม่มี ไม่ช้า ทหารผู้นั้นจะต้องถูกข้าศึกทำร้ายเอาอย่างแน่นอน
     
  12. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๐๙. การบำเพ็ญภาวนาอยู่ในที่มีอันตราย

    หลวงปู่เล่าถึงการบำเพ็ญภาวนาอยู่ในสถานที่มีอันตรายเช่นมีสัตว์ มีเสือ มีช้าง มีหมี หรืองู อยู่ใกล้ๆ ว่า ในสถานที่เช่นนั้นแหละ สติมันตื่นอยู่ทุกเมื่อ


    ที่ว่าสติมันตื่น เพราะมันกลัวอาจารย์เสือ อาจารย์ช้าง อาจารย์งู อาจารย์หมี จะมาทำอันตราย มันจึงตื่นตัวอยู่เสมอ

    หลวงปู่บอกว่า คำว่า ตื่น ในที่นี้ มิได้หมายความว่าตื่นกลัวแบบกลัวสัตว์ กลัวเสือ มันจะมาทำ อันตรายเอา แต่ความหมายวา ตื่นอยู่ด้วยธรรม

    เช่นเราเจริญธรรมะข้อ มรณานุสสติ จิตมันจะค้นคิดหาอุบายทางปัญญา อยู่เฉพาะเรื่องนั้นๆ ไม่ส่งออกไปรับอารมณ์ภายนอกอย่างอยู่ในที่ะรรมดาทั่วไป

    เวลาจิตสงบ เมื่ออยุ่ในสถานที่มีอันตราย ความสงบจะตั้งอยู่ได้นาน อุบายการพิจารณาก็ แยบคาย

    แม้ขณะเดินจงกรม เวลาจิตรวมก็สามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ล้มหรือซวนเซ อยู่ได้นาน เท่าที่ จิตจะถอนออกจากสมาธิ

    เพราะเหตุนั้น จิตในสภาพเช่นนี้ จัึงองอาจกล้าหาญ มีกำลัง มีอำนาจคุ้มครองตัวเองได้

    แม้เวลาน้อมจิตแผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย จึงมีอำนาจ โน้มน้าวจิตของสัตว์ให้เกิด มีความเตมตา ต่อกันและกันได้

     
  13. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๑๐. เรื่องอาหารและการบิณฑบาต

    หลวงปุ่แหวน ได้พูดถึงเรื่องการบิณฑบาต ในช่วงออกธูดงค์ว่า

    ในการเดินทางของพระธุดงค์นั้นจะเอาอะไรแน่นอนกับการขบฉันนักไม่ได้ ไปในที่บาง แห่งก็ได้พอฉัน ในที่บางแห่งก็ไม่พอ ขึ้นอยู่กับความศรัทธาและความเป็นอยู่ของประชาชนใน ท้องถิ่นนั้นๆ

    ไปบิณฑบาตในบางที่บางแห่งอาจจะได้เฉพาะข้าวเปล่า บางแห่งอาจจะได้ข้าวกับเกลือ บางแห่งอาจจะได้ข้าวกับพริก บางแห่งอาจจะได้ข้าวกับน้ำอ้อย

    ได้มาอย่างไรก็ฉันอย่างนั้น เพื่อผ่อนบรรเทาความหิวของธาตุขันธ์จะฉันเืพื่อความอิ่มหนำ สำราญนั้นไม่มี นอกจากจะผ่านเข้าไปในบ้านเมือง ซึ่งนานแสนนาน

    โดยสรุป การบิณฑบาตนั้น พระธุดงค์ท่านก็อดบ้างอิ่มบ้าง พอได้พยุงธาตุขันธ์ให้ทรงตัวอยุ่ ต่อไป

    หลวงปู่เล่าต่อไปว่า การเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ ได้พบเห็นของแปลกๆ ดี เช่น บางหมู่บ้าน เวลาไปบิณฑบาตได้ข้าวกับเกลือก็มี ได้ข้าวกับผักก็มี ถามพวกชาวบ้านเขาว่า ไม่มีพริกกินหรือ จึงใส่บาตรเอาข้าวเอาเกลือ เอาผักมาใส่ ไม่เห็นมีพริกเลย

    เขาบอกว่าไม่มี ถามเขาว่าเมื่อไม่มีทำไมไม่ปลูกบ้างละ เขาตอบว่า มันเป็นการลำบาก

    หลวงปู่ ว่า พวกประชาชนในหมู่บ้านป่าเช่นนี้ เขากินอยู่กันง่ายๆตามธรรมชาติ ไม่มีการ ดัดแปลง พวกที่มีข้าว มีเกลือ ก็กินกันไป พวกที่มีข้าวมีผัก ก็กินกันไป จะต้มจะแกงแบบพวกเรา นั้นเขาทำไม่เป็น

    พวกพริก มะเขือ หรือผักต่างๆ ถ้าเขาปลูกแบบพวกเราก็คงกินไม่หมด เพราะดินเขาดี

    แต่นี่เขาไม่ทำกัน เขากล่าวว่าลำบาก ยุ่งยากต้องถากต้องถาง
     
  14. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๑๑. พักนอนในดงเสือ

    อีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่แหวน เดินธุดงค์จากพะเยาจะไปลำปางเ่ช่นกัน ท่านเดินเลียบกว๊าน พะเยาไป ตัดข้ามดอยหมูไป เส้นทางนั้นไม่มีถนน เป็นทางเดินเท้า ภูมิประเทศแถบนั้นเป็นป่าเขา มีเทือกเขาสลับซับซ้อน เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างลำบาก

    หลวงปู่เดินทางมาองค์เดียว จวนเวลาเย็นก็ถึงศาลาที่พักกลางป่า ซึ่งมีผู้สร้างเอาไว้สำหรับ คนเดินทางจะได้เข้าพักอาศัยต้างคืนได้ เพราะในแถบนั้นไม่มีหมู่บ้านใกล้เคียง

    ถ้าถึงเวลาบ่ายใกล้เย็น ผู้ที่จะเดินทางจะไม่เดินทางต่อไปอีก เพราะกลัวอันตรายจากสัตว์ป่า โอยเฉพาะพวกเสือ กับหมี ที่มีชุกชุมในแถบนั้น

    ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีผู้สร้างศาลาไว้ สำหรับคนเดินทางเพื่อจะได้อาศัยหลับนอน เมื่อเิดินทาง มาถึง

    หลวงปู่เดินทางมถึงศาลาที่พักเมื่อใกล้ค่ำแล้ว จึงเข้าไปพักที่ศาลานั้น

    รอบนอกศาลามีรั้วล้อมรอบกันสัตว์ร้าย ภายในมีเตาไฟพร้อมหินไว้ให้ด้วย ต้องก่อไฟผิง พอบรรเทาความหนาวเย็นได้บ้าง

    หลวงปู่รีบอานน้ำเมื่อไปถึง ค่ำลงก็ไหว้พระสวดมนต์แผ่เมตตา แล้วนั่งภาวนาจนดึกจึกพัก จำวัด

    เวลากลางคืน ได้ยินเสียงเสือร้องอยู่รอบๆ ศาลาที่พัก

    หลวงปุ่บอกว่า พวกเสือนั้นชำนาญในการร้องทำเสียงเลียนแบบพวกสัตว์ป่าต่างๆ เช่น พวกกวาง พวกเก้ง ซึ่งเสือสามารถทำเสียงเลียนแบบได้เหมือนมาก

    ดังนั้น บางครั้งพวกเก้ง เมื่อได้ยินเสียงเสือร้องเลียนแบบ นึกว่าเป็นพวกของตัว หลงเดินเข้า ไปหา แล้วถูกเสือจับกินไ้ด้ง่ายๆ

    คืนนั้น พอตกดึกอากาศหนาวเย็นมาก จึงก่อไฟที่เตาผิง ต้องลุกขึ้นใส่ไฟถึงสามครั้ง หลวงปู่ มาเคลิ้มหลับเอาก็ตอนเกือบสว่างแล้ว ประมาณว่าหลับไปได้สองชั่วโมง เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ สว่างแล้ว
     
  15. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๑๒. พบหญิงใจบุญ

    พอรุ่งเช้า ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน หลวงปุ่ มองลงไปข้างล่าง เห็นพวกชาวบ้านหาบของมา ๒-๓ คน กำลังนั่งพักคุยกันอยู่

    หลวงปุ่เดินลงไปถาม ได้ความว่า พวกเขาจะไปพะเยา แล้วถามเส้นทางที่หลวงปู่จะไปข้าง หน้าว่ามีหมู่บ้านไหม ได้ัรับคำตอบว่ามีหมู่บ้านหนึ่ง ห่างจากตรงนั้นไปราวสามชั่วโมง อยู่ทาง ซ้ายมือ

    เมื่อได้รับคำบอกเล่าเช่นนั้น หลวงปู่จึงเก็บบริขารแล้วออกเดินทางหมายจะไปบิณฑบาต ฉันที่หมุ่บ้านข้างหน้า

    หลวงปู่เดินไปจนเหนื่อยอ่อน ก็ไม่พบหมู่บ้านดังกล่าว เวลาก็สายมาแล้ว รู้สึกหิวและเหนื่อย เพลีย

    ท่านเดินไปจนเหนื่อยอ่อน ก็พบหญิงสามคนหาบของสวนทางมา จึงถามว่า จากนี้ไปถึงหมู่ บ้านข้างหน้า จะต้องเดินไปอีกไกลเท่าไร ได้รับคำตอบว่า จะต้องเดินถึงเย็นจึงจะถึง

    หลวงปู่บอกว่า เมื่อเช้า พบพวกหาบ เขาบอกว่าหมู่บ้านข้างหน้าเดินสามชั่วโมงถึง นี่เดินมา จนสายขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่พบหมู่บ้านดังกล่าว

    ได้รับคำบอกว่า หมู่บ้านดังกล่าวนั้น หลวงปู่ผ่านมาแล้ว

    หญิงทั้งสามถามว่า พระคุณเจ้าฉันจังหันแล้วหรือยัง หลวงปู่ จึงบอกว่า ยังไม่ได้ฉัน ครั้งแรก กะว่าจะไปบิณฑบาตฉันที่หมู่บ้านดังกล่าว แต่กว่าจะไปถึงหมู่บ้านต่อไปก็คงจะเย็น วันนี้เห็น จะไมได้ฉันแน่

    หญิงทั้งสามจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น พวกดิฉันขอนิมนต์พระคุณเ้าฉันจังหันก่อน พวกดิฉันมี ข้าวมาด้วย วันนี้เป็นบุญของพวกดิฉัน นิมนต์ท่านฉันให้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงพวกดิฉัน เพราะพวกเรา จะกลับบ้านอยู่ ไม่เป็นไร

    ว่าแล้วพวกเธอรีบจัดอาหารมาใส่บาตร มีข้าวเหนียวกับน้ำอ้อยงบ

    หลวงปุ่รับอาหารแล้วก็ลงมือฉัน ท่านฉันได้เยอะ เพราะว่ารู้สึกหิวมาก

    ฉันเสร็จก็อนุโมทนา ให้พร พวกเธอทั้งสามคนดูมีสีหน้าร่าเริงดีใจ ที่ได้ทำบุญระหว่าง เดินทาง

    เมื่อให้พรเสร็จ หลวงปู่จึงกล่าวอำลาหญิงผู้ใจบุญทั้งสาม แล้วเดินทางต่อไป
     
  16. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๑๓. อาศัยพักวัดประจำหมุ่บ้าน

    หลวงปู่เดินทางไปเรื่อยๆ พอตกเย็นก็ถึงหมู่บ้านตามคำบอกเล่าของหญิงใจบุญทั้งสามนั้น

    ในหมุ่บ้านนั้นมีวัดอยู่ หลวงปุ่จึงเข้าไปขอพักค้างคืน ปรากฎว่า ท่านเจ้าอาวาสนั้น มีอัธยาศัย ให้การต้อนรับอย่างดี

    ท่านเจ้าอาวาสถามว่า " เมื่อคืนนี้นอนที่ไหน"

    หลวงปู่เรียนท่านไปว่า นอนพักอยู่ที่ศาลากลางป่า

    ท่านเจ้าอาวาสแสดงท่าทางตื่นเต้น กล่าวว่า " ศาลากลางป่านั้น อย่าว่าแต่พักคนเดียวเลย ให้ผมไปพักสักร้อยคนก็ไม่กล้าพัก"

    แล้วถามท่่านต่อไปว่า " เมื่อคืนนี้ เป็นอย่างไรบ้าง แมวป่ามันไม่มาเยี่่ยมบ้างหรือ"

    หลวงปุ่ตอบท่านว่า " ได้ยินเสียงมันร้องอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เห็นมันเข้ามาใกล้ มันคงหากิน ของมันตามประสาสัตว์ป่า"

    หลวงปุ่พักอยู่ที่วัดนั้นสองวัน พอมีกำลังดีแ้ล้ว จึงบอกลาท่า่นเจ้าอาวาส แล้วออกเดินทาง ต่อไป


    ๑๑๔. จำพรรษาที่แม่ฮ่องสอน

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เคยจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเหนือธารน้ำไหล ที่แม่ฮ่องสอน อยู่ ๑ พรรษา แต่ในปีบันทึกไม่ได้ระบุสถานที่ และปี พ.ศ.

    ในบันทึกระบุว่า " ถ้าำนี้อยุ่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นถ้ำไม่ ใหญ่นัก อยู่ใกล้ธารน้ำที่ไหลมาจากภูเขา ธารน้ำสายนี้ปัจจุบันทางจังหวัดกั้นเป็นเขื่อนทำเป็น คลองส่งน้ำเข้ามายังตัวเมือง เพื่อใช้เป็นแหล่งผลิตน้ำประปาของจังหวัดแม่ฮ่องสอน"

    ในประวัติของหลวงปู่ตื้อ จจลธมฺโม ท่านก็เคยมาพำนักที่แม่ฮ่องสอนเหมือนกัน ไม่ทราบว่า อยู่จำพรรษาหรือไม่ ถ้าดูจากสภาพสถานที่แล้ว ผู้เขียนมั่นใจว่าเป็นคนละที่กัน แต่จะเดินทางมา ในระยะเวลาเดียกันหรือไม่นั้น ยังไม่พบการยืนยัน

    บันทึกในส่วนของหลวงปุ่แหวน บอกว่า " การจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำดังกล่าวท่านอยู่องค์เดียว ตอนแรกที่ท่านไปอยู่มีชาวไร่ทำไร่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น ๓-๔ หลังคาเรือน พอได้อาศัยบิณฑบาต

    แต่อยู่ไปหลายวันเข้า เมื่อมีคนรู้ว่ามีพระธุดงค์มาอยู่จำพรรษาในถ้ำ ก็มีประชาชนนำอาหาร มาถวายกันมากมายทุกวัน ส่วนมากประชาชนถิ่นนั้นเป็นคนเชื้อสายไทยใหญ่ มีคนไทยที่เป็นคน เมืองบ้างไม่มากนัก"

    ในสมัยก่อน แม่ฮ่องสอน เป็นเมืองปิด ไปได้อย่างเดียวคือเดินเท้า ไม่มีทางรภ ไม่มีสนามบิน เช่นปัจจุบัน สมัยก่อนเป็นเมืองที่ทุรกันดารมาก ไม่มีใครอยากไป บรรดาข้าราชการที่ทำผิด มัก ถูกสั่งย้ายให้ไปอยู่แม่ฮ่องสอน เ็ป็นการลงโทษที่ถือว่าหนักทีเดียว

    การเดินทางจากแม่ฮ่องสอน สู่โลกภายนอก คือมาเชียงใหม่ เส้นทางเดินที่ใกล้ที่สุด ลัดที่สุด นั้น ต้องเดินทางผ่านป่าผ่านเขาที่สลับซับซ้อน มาทางอำเภอปาย เข้าอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ แล้วผ่านป่าผ่านเขา เข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ถือเป็นทางที่เสี่ยงอันตรายด้วยไข้ป่า และสัตว์ร้าย เช่น ช้าง เสือ หมี และงูพิษ มีอยู่ชุกชุม
     
  17. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๑๕. ขอปันพรจากพระ

    หลวงปุ่แหวน ท่านเล่าถึงการมาถวายอาหารของประชาชนชาวแม่ฮ่องสอนดังนี้

    การมาถวายมหารของชาวไทยแม่ฮ่องสอนนั้น เขาจะมากันแต่เช้าตรู่ พอสว่างเขาจะมานั่ง กันเต็มหน้าอยุ่หน้าถ้ำ สิ่งที่เขานำมาถวาย นอกจากอาหารแล้ว ก็มีเทียนไข

    เมื่อเขามาพร้อมกันแล้ว เขาก็ถวายอาหาร ถวายเทียนไข พระก็ให้พร คือ ยะถา สัพพี ให้เขาเสร็จแล้ว พวกเขาก็ลากลับไป

    แต่ถ้ายังไม่ปันพร พวกเขาก็จะัยังไม่กลับ จนกว่าพระปันพรเสร็จ พวกเขาจึงจะกลับ

    หลวงปุ่บอกว่า เรื่องปันพร หรือให้พรนี่ พวกเขาถือกันมาก ถ้าเขาถวายของพระแล้ว แม้ เพียงเล็กน้อย เขาต้องขอพรทันที ไม่เช่นนั้นเขาไม่ไป เขาถือว่ายังไม่ได้บุญ

    หลวงปู่เห็นว่า ชาวบ้านมากันมากเป็นเรื่องวุ่นวาย จึงบอกพวกเขาว่า วันต่อไปไม่ต้องมา ท่านจะเดินไปบิณฑบาตที่บ้านเขาเอง แต่พวกเขาไม่ยอม เขาเคยมาอย่างไร เคยทำอย่างไร ก็ทำ อย่างนั้น มากันอย่างนั้น ตามศรัทธาของเขา

    หลวงปู่จำต้องอนูโลมตาม เพราะเขามีศรัทธาเชื่อถือกันมาอย่างนั้น พวกเขาทำไปก็ไม่ได้ ผิดข้อธรรมอะไร เป็นการทำบุญทำกุศลด้วยศรัทธา จึงอนุโลมตามเขา
     
  18. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๑๖. ขุ้น ตัวเล็กแต่อันตราย

    ตอนที่หลวงปู่แหวน ท่า่นไปอยู่ในถ้ำที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนใหม่ๆ มีแมลงชนิดหนึ่งตัวเล็กๆ ปีกลาย ตัวสีเหลือง มารบกวนกัดท่านอยู่เสมอ

    แมลงชนิดนี้ กัดตรงไหน ก็เป็นช้ำ เลือดและกลายเป็นแผล กว่าแผลจะหายบางทีตั้งสาม สะเก็ด

    หมายความว่า พอแผลแห้งก็มีสะเก็ดเป็นแผ่นแข็งปิดแผลอยู่ เมื่อสะเก็ดหลุดออกไป ก็เห้น แผลเป็นเนื้อแดงอยู่อีก แล้วก็ค่อยๆแห้ง กลายเป็นสะเก็ดปิดแผลอยู่อีก เป็นเช่นนี้ถึง ๓ ครั้ง แผล จึงจะหาย

    วันหนึ่ง เมื่อชาวน้านขึ้นมาถวายอาหาร พวกเขาถามหลวงปู่ว่า " ท่านอยู่ที่นี่ขุ้นไม่กัดหรือ"

    หลวงปุ่บอกเขาว่า " มีตัวอะไรก็ไม่รู้ ตัวเล็กๆ กัดแล้วเป็นแผล ตัวอย่างนั้นเขาเรียกว่าอะไร"

    ชาวบ้านบอกว่า ตัวนั้นแหละที่เขาเรียกว่า ขุ้น หลวงปู่ ถามเขาว่า จะป้องกันไม่ให้มันกัด ได้อย่างไร

    เขาก็บอกว่า วิธีป้องกัน ให้ก่อไฟสุมไฟ ให้มีควันอยู่เสมอ เมื่อมันได้กล่ินควันไฟแล้วมันจะ หนีี ไม่มาอีก

    หลวงปู่ ทำตามคำแนำนำของชาวบ้าน ก็ได้ผล กันตรายจากตัวขุ้นก็ไม่มีอีกเลย การบำเพ็ญ ภาวนาจึงทำได้ดี ไม่มีแมลงอันตรายมารบกวน

    หลวงปู่พูดถึงขุ้นว่า " ตัวขุ้นนี้ร้ายมาก คนที่แพ้พิษมัน เมื่อถูกกัด แล้วจะเกิดเป็นแผลพุพอง ถึงแม้จะหายแล้ว ก็ยังมีแผลเป็นอยู่ ถ้าถูกกัดมากๆ จะเห็นแผลเป็นลายอยู่ตามตัว ตามแขน

    กล่าวกันว่า พวกชาวเขาที่ใช้ผ้าพันขาลงไปถึงหลังเท้านั้น ก็เพื่อป้องกันตัวขุ้นกัดนี้เอง"

    (นอกจากนี้ยังป้องกันงูกัดด้วย -- ผู้เขียน)
     
  19. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๑๗. กลับไปเีชียงใหม่กับท่านพระครู

    เมื่อออกพรรษานั้นแล้ว พระผู้ใหญ่ในแม่ฮ่องสอน คือ ท่านพระครูอริยมงคล ซึ่งมีเชื้อสาย เป็นไทยใหญ่ ได้มาชวนหลวงปู่แหวนไปเชียงใหม่ด้วย

    ท่านพระครูๆ กับหลวงปู่แหวน มีความสนิทสนมกันพอสมควร ท่านเรียก หลวงปู่แหวน ว่า ครูน้อย ส่วนหลวงปู่แหวนเรียกท่านพระครูว่า ส่าหลง

    ท่านพระครูอริยมงคล ได้รับใบบอกจากเชียงใหม่ว่าให้ไปเชียงใหม่เืพื่อต้อนรับเสด็จๆ พระเจ้าอยู่หัว ที่จะเสด็จขึ้นไปประพาสเชียงใหม่

    หลวงปู่เล่าว่า ท่านยังไม่อยากจะลงไปเชียงใหม่ในตอนนั้น ครั้งแรกได้ตอบบ่ายเบี่ยงไป บอกว่าท่านกำลังเป็นไข้หวัด เดินทางไปด้วยไม่ได้ แต่ท่านพระครูๆ ไม่ยอม รบเร้าให้ไปด้วย ให้ได้ หลวงปู่ๆจึงจำยอมร่วมเดินทางไปด้วย

    ท่านพระครูๆ หลวงปู่ และคณะ ออกเดินทางจากแม่ฮ่องสอน เดินลัป่าข้ามเขามายังอำเภอปาย หยุดพักเอากำลังที่ปาย ๓ วัน แล้วออกเดินทางต่อไปอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ แล้วเดินทาง เข้าตัวจัวหวัดเชียงใหม่

    จากอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน มาถึงตัวจังหวัดเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินเท้า ๔ วัน

    เมื่อท่านพระครูอริยมงคล ทำกิจธุระในเชียงใหม่เสร็จก็มาชวนให้หลวงปู่แหวน ร่วมเดินทาง กลับไปแม่ฮ่องสอนด้วยกันอีก

    หลวงปู่ยังไม่อยากจะกลับไป ขณะที่คิดหาหนทางบ่ายเบี่ยงอยุ่นั้น บังเอิญไข้หวัดที่ท่่านเป็น มาจากแม่ฮ่องสอนยังไม่หาย กลับมีอาการมากขึ้น และไอมากขึ้น

    เมื่อท่า่นพระครูๆ มาชวน ท่านจึงตอบปฎิเสธ ขออยุ่พักรักษาอาการไข้ที่เชียงใหม่ก่อน

    ท่านพระครูๆ หรือท่านส่่าหลง จึงต้องกลับไปพร้อมคณะของท่านโดยไม่มีหลวงปู่แหวน ไปด้วย

    ส่วนหลวงปู่แหวน ท่านก็ยังพำนักอยุ่ที่เชียงใหม่ต่อไปและตั้งแต่นั้นมา ท่านไม่ได้กลับไปที่ แม่ฮ่องสอนอีกเลย
     
  20. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ๑๑๘. พระเชียงใหม่กินข้าวเย็นพระแม่ฮ่องสอนกินข้าวดึก

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้เล่าเรื่องที่พระในแม่ฮ่องสอนกับพระเชียงใหม่ในสมัยนั้น ต่าง โจมตีกล่าวหา ซึ่งกันและกัน เกี่ยวกับการปฎิบัติตามพระธรรมวินัย ดังนี้ :-

    สมัยนั้น พระแม่ฮ่องสอน มักจะกล่าวโทษพระทางเชียงใหม่ว่า พระเชียงใหม่กินข้าวเย็น

    หลวงปู่ท่านว่า " พระไทยใหญ่แม่ฮ่องสอน สมัยนั้นไม่ได้กินข้าวเย็น แต่กินข้าวร้อน กลางดึก กล่าวคือ พระไทยใหญ่แม่ฮ่องสอน สมัยนั้น พอได้เวลาตีหนึ่ง คือ ๐๑.๐๐ น .พวกพระ จะตามเทียนทำอาหารกินกัน อ้างว่าเป็นวันเหม่อแล้ว"

    หลวงปู่แหวน เคยโต้เถียงกับพระแม่ฮ่องสอน มาครั้งหนึ่ง ในเรื่องนี้ โดยหลวงปู่ ยกประเด็น ว่า " ตุ๊เจ้าเชียงใหม่กินข้าวเวลาเย็น เจ้าปุ๊นแม่ฮ่องสอนกินข้าวเหม่อ เวลา ๐๑.๐๐ น. มันแปลก กันที่ตรงไหน

    วันเหม่อไม่ใช่วันใหม่ ถ้าเป็นวันใหม่ตามพระวินัยก็ต้องสว่างแล้ว จึงนับได้ว่าเป็นวันใหม่ แต่นี่กินข้าววันเหม่อ ๐๑.๐๐ น กับกินข้าวเย็น เวลา ๑๗-๑๘-๑๙ น. ทั้งสองไม่แตกต่างอะไรกัน เลย ในทางพระวินัย "

    หลวงปู่บอกว่า ท่านเพียงเสียงเดียว เถียงสู้เขาไม่ได้ เห็นว่าพูดไปก็ไม่เป็นผล ก็เลยต้องปล่อย เลยตามเลยไป
     

แชร์หน้านี้