เก่งแบบมีครูเต็มบ้าน ไม่ดีครับ หุหุหุ
ไม่ต้องเก่ง ขอแค่แท้ องค์เดียวก็พอ แน่นอนกว่าครับ 555
ประสบการณ์ ธรรมะ พระเครื่อง หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Specialized, 14 ตุลาคม 2009.
หน้า 124 ของ 277
-
-
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
หลงนิมิต
โดย พี่สิทธิ์
ในช่วงปลายปี ๒๕๓๒ ก่อนที่หลวงปู่ดู่จะละสังขาร มีประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าไม่อาจลืม เพราะมันคืออุทาหรณ์ในการปฏิบัติธรรมอย่างสำคัญ ที่คอยเตือนไม่ให้เราเดินไปทางผิดทั้งที่คิดว่าถูก
เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งเริ่มมาสนใจเรื่องปฏิบัติสมาธิภาวนา โดยเริ่มจากการอ่านตำรับตำรา และซักถามผู้รู้ต่าง ๆ เขาเป็นคนมุมานะ เอาจริงเอาจังมาก เขาเป็นคนมีนิตมากด้วยเช่นกัน เขาเริ่มมองเห็นวิญญาณตามข้างถนนเป็นเรื่องปรกติ เขานั่งสมาธิได้เป็นหลาย ๆ ชั่วโมง และมีครูบาอาจารย์มาสอนในทางนิมิต
เดิมทีข้าพเจ้ารู้สึกชื่นชมในความอุตสาหะในการปฏิบัติสมาธิภาวนาของเขา แต่ก็มาตั้งข้อสังเกตในตอนที่เห็นประสิทธิภาพในการทำงานของเขาลดลง เพราะดูเขาจะไม่อยู่กับปัจจุบัน แค่เขาหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านไม่ถึงนาที จิตของเขาก็รวมดำดิ่งลงไป ไม่รับรู้โลกภายนอก...
ข้าพเจ้าเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าเขามาผิดทางแล้ว ตรงที่เขามากระซิบกับข้าพเจ้าว่าเขาบรรลุธรรมขั้น...แล้ว
ข้าพเจ้าตัดสินใจพาเขาไปหา หลวงปู่ดู่ ที่วัดสะแก
และที่นี้เอง ที่ข้าพเจ้าเห็นลีลาของหลวงปู่ในการแก้จิตของนักปฏิบัติที่จิตตกภวังค์แล้วไม่มีกำลังพอจะออกจากภวังค์ด้วยกำลังสติปัญญาของตนเอง
หลวงปู่ให้เขาไปนั่งสมาธิที่หอสวดมนต์ (สมัยนนั้นยังไม่มีประตูกั้น) จากนั้นท่านก็สนทนากับญาติโยมไปตามปรกติ
สักครู่ ท่านหันหน้าไปทางเพื่อนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ แล้วพูดตะโกนออกไปว่า "ถอนจิตขึ้นมา"
ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเพื่อนคนนั้นขยับกายฮึดฮัดขึ้นมา บ่งบอกว่าจิตถอนออกมารู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น เหตุการณ์เป็นดังนี้ประมาณ ๒-๓ เที่ยว
เพื่อนคนนี้ ก็กลับมาทำการทำงานได้ตามปรกติ เพราะมีกำลังจิตที่จะดึงจิตตัวเองออกจากภวังค์ได้
แต่แล้วเหตุการณ์เลวร้ายก็ได้เกิดขึ้น ภายหลังจากที่หลวงปู่มรณภาพในต้นปีถัดมา เพราะเขาหลงนิมิตและดำดิ่งกับสมาธิอย่างเก่าอีก เขาเชื่อมั่นว่าตนบรรลุธรรม แม้ไปบวชเป็นพระ อยู่ในสำนักครูบาอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ในวงกรรมฐาน ก็ไม่แคล้วต้องเข้าโรงพยาบาล ภายหลังทำร้ายตัวเอง ตามเสียงนิมิตที่มาบอกว่าให้ฝึกขันติขั้นอุกฤษฎ์
เรื่องนี้จึงเป็นเครื่องเตือนใจข้าพเจ้าตลอดมา และบอกกับตัวเองเสมอ ๆ ว่า ปฏิบัติเพื่อละ มิใช่ปฏิบัติเพื่อเอา ซึ่งหลวงปู่ชาก็เตือนลูกศิษย์ในเรื่องนี้เช่นกันว่า ปฏิบัติธรรมเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อเอา เพื่อเป็น โสดา สกิทา ฯลฯ ไม่ต้องเป็นทั้งนั้น
เรื่องนี้ ทำให้ข้าพเจ้าหนักแน่นขึ้นกับคำสอนหลวงปู่ที่ว่า
"เขาวัดผลการปฏิบัติที่การละโลภ โกรธ หลง มิใช่การเห็นนิมิตนั่นนี่ การเห็นจะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อเชื่อมโยงมาสู่การปฏิบัติชำระกิเลสตนเอง หากมันจะเป็นอะไร (ตามอย่างทฤษฎี) มันก็จะเป็นไปเองตามสภาวะธรรม โดยที่เราไม่เสี่ยงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นให้กิเลสอุปาทานเข้าครอบงำเราได้ง่าย ๆ"
จึงขอบันทึกเรื่องนี้ไว้อีกเรื่องเพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่คนรุ่นหลัง จะได้ไม่ติด "กับดัก" ในระหว่างทางของเส้นทางสายปฏิบัติ
อุทาหรณ์เรื่องนี้ ยังสอนให้รู้ว่าตัวเช็คอีกอย่างหนึ่งคือ จิตที่เป็นสมาธิที่จัดเป็นสัมมาสมาธิ ต้องมีภาวะรู้ ตื่น เบิก บาน มิใช่ซึมกระทือ หรือฟูจัด รวมทั้งต้องมีศีลเป็นบาทฐาน และมีปัญญาเป็นตัวต่อยอด มิใช่สมาธิเพื่อสมาธิ จนกลายเป็นความดำดิ่งที่เข้าไปสู่โลกส่วนตัว แล้วสุดท้ายก็หลงทาง ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร หรือหลงไปว่าตนวิเศษวิโสกว่าคนอื่นใด
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
อ่านเรื่องแล้วยังกับว่า เราได้นั่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย...สาธุ สาธุ สาธุ
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
กราบหลวงปู่ครับ
พรุ่งนี้วันพระแล้วครับ ^^
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
สองหลวงปู่ช่วยชีวิต
โดย พี่สิทธิ์
ต่อจากนี้ เป็นบันทึกเล่าเรื่องราวเหตุอัศจรรย์ของลูกศิษย์หลวงปู่ท่านหนึ่ง เรื่องค่อนข้างยาวสักหน่อยนะครับ (ข้าพเจ้าในที่นี้ ไม่ใช่ "สิทธิ์")
เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2531 วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าแต่งหน้ากำลังจะไปรับลูกที่โรงเรียน ก็สังเกตเห็นว่าคอของตนเองบวมจึงไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เพื่อทำการตรวจ แพทย์พบว่ามีก้อนเนื้อขนาด เท่าลูกมะปรางอยู่ในคอ แพทย์บอกว่าอาจจะเป็นเนื้อร้ายต้องผ่ามาพิสูจน์ เมื่อรู้ดังนั้นข้าพเจ้าก็รีบเดินทางไปหา หลวงพ่อดู่ ที่วัดสะแก พอไปถึงก็กราบเรียนท่าน ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า
“ไม่ปงไม่เป็นหรอกมะเร็ง”
แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่ามีชาวบ้านมาหาท่าน เขาเป็นมะเร็งในมดลูก ท่านทำมือให้ดูว่าก้อนเนื้อมีขนาดเท่าลูกส้มโอ หมอบอกว่าต้องผ่าตัด เขากลัวมากเลยมาหาท่าน
ท่านก็เมตตาให้เขาดื่มน้ำมนต์และให้ภาวนาไปด้วย ชาวบ้านผู้นั้นก็ปฏิบัติตามคือดื่มน้ำมนต์และภาวนาพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ อย่างเคร่งครัดจนครบ 3เดือนก็ไปหาหมอตรวจดูปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้นได้หายไปอย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากที่ท่านเล่าให้ฟังแล้วท่านก็เมตตาอธิษฐานจิตดอกบัวให้ข้าพเจ้านำกลับไปต้มกับน้ำมนต์ดื่มเป็นประจำทุกวันและให้ภาวนาไตรสรณคมน์ไปด้วย คืนหนึ่งข้าพเจ้านอนหลับฝันไปว่า ข้าพเจ้ากับสามีนั่งอยู่ในเรือลำหนึ่งโดยนั่งข้างหน้าและมีคนนั่งอยู่กันเต็มลำ เรือลำนี้มุ่งหน้าข้ามไปยังเกาะกลางทะเล บนเกาะมีคุณตาคุณยายนั่งอยู่ในกระท่อม
พอไปถึงคนทั้งหลายก็ขึ้นฝั่งไปให้ท่านทั้งสองรักษาโรคให้ด้วยการเป่า เมื่อท่านทั้งสองเป่ารักษาให้คนทั้งหลายก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บในทันทีแล้วพากันกลับลงเรือ ส่วนข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปขอให้ท่านทั้งสองช่วยรักษา คุณตาคุณยายกลับบอกว่า “ข้าช่วยเอ็งไม่ได้” ได้ยินเพียงเท่านี้ข้าพเจ้าก็ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ท่านทั้งสองช่วยด้วยเถิด และข้าพเจ้ายังตัดพ้อว่าคนอื่นเขามากันเต็มลำเรือท่านยังช่วยได้ทำไมเราคนเดียวท่านไม่ช่วย
อ้อนวอนทั้งน้ำตาอยู่นานก็ไม่เป็นผล ข้าพเจ้าจึงเดินร้องไห้กลับมาเพื่อจะลงเรือ ทันทีนั้นก็ได้ยินเสียงท่านเรียกแล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้มีคนเดียวที่ช่วยได้” ข้าพเจ้ารีบถามว่าเป็นใคร ท่านก็บอกว่า “หลวงพ่อเกษม เขมโก ที่ลำปาง” ข้าพเจ้าจึงพูดว่าหลวงพ่อเกษม เขมโกท่านพบยาก ไปก็ลำบากไม่รู้จักใครที่จะพาไป ท่านบอกว่าให้ไปอยุธยาแล้วจะมีคนพาไป
เมื่อตื่นขึ้นมาข้าพเจ้าก็รีบไปหาหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแกทันที ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมงแล้วข้าพเจ้ากราบเรียนท่านให้ฟังถึงความฝัน ท่านก็เลยพานั่งสมาธิ กำหนดพาข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมโก ที่สุสานไตรลักษณ์แล้วนิมนต์หลวงพ่อเกษม เขมโกมาวัดสะแก
เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งนักที่ หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านมาให้เห็นเป็นกายเนื้อนั่งอยู่ด้านขวามือของหลวงพ่อดู่ แล้วข้าพเจ้าก็กราบเรียนท่าน หลวงพ่อเกษมท่านก็รักษาให้โดยการเป่า หลวงพ่อดู่ท่านยังเมตตาฝากข้าพเจ้ากับหลวงพ่อเกษมว่า วันข้างหน้าหากข้าพเจ้ามีอะไรติดขัดก็จะขอให้กราบเรียน หลวงพ่อเกษม เขมโก ซึ่งท่านก็พยักหน้ารับ ข้าพเจ้านึกรู้ทันทีว่าหลวงพ่อดู่จะต้องละสังขารก่อนหลวงพ่อเกษม แน่นอน
พอกลับมาบ้านอาการที่เป็นอยู่ก็ไม่ทรุดโทรมแต่ค่อย ๆ ดีขึ้น ทว่าหลังจากที่หลวงพ่อดู่ท่านละสังขาร ข้าพเจ้างานยุ่งมากทำให้จิตไม่ค่อยมั่น ภาวนาบ้างไม่ภาวนาบ้าง แล้วก็เชื่อผู้อื่นที่หวังดีแนะนำไปหาหมอหลายหมอ จิตจึงไม่นิ่งนั่งสมาธิไม่ค่อยดี ร่างกายจึงเริ่มทรุดโทรมต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด เมื่อผ่าตัดเสร็จและฟื้นขึ้นมา
ข้าพเจ้าได้เห็นวิญญาณของผู้ชายคนหนึ่งกลายเป็นไก่ตัวผู้ตัวใหญ่มากยืนอยู่ เห็นเหนียงที่คอยาวจนเกือบถึงพื้น เขาบอกว่าข้าพเจ้าเคยช่วยแม่จับขาเขาทำร้ายเขาถึงชีวิต ไปทำเขาไว้เขาโกรธก็เลยตามมาจะแก้แค้น รอโอกาสที่จะแก้แค้นข้าพเจ้ามานานจนกระทั่งตัวเขาแก่มากเหนียงยาวเกือบถึงพื้น
หลังจากผ่าตัด 6เดือนหมอก็ให้กลืนน้ำแร่ฆ่าเชื้อและป้องกันมะเร็งที่คอ 7 วันวันแรกประมาณบ่าย 3 โมง กลืนน้ำแร่หยดเล็ก ๆ พอบ่าย 5โมงคอเริ่มบวมแดงไปหมดกลืนน้ำลายกลืนน้ำไม่ได้ ต้องนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เตียงที่นอนล้อมรอบด้วยแผ่นตะกั่วกันรังสีอยู่คนเดียวห้ามเยี่ยม หมอและพยาบาลจะเข้ามาต้องใส่ชุดกันรังสี ข้าพเจ้าเกิดอาการแพ้มากจึงกดออดเรียกหมอบอกหมอถึงอาการ แต่หมอก็ไม่เชื่อคงเพราะกรรมมาบังไว้ ตอนทุ่มครึ่งพยาบาลนำยานอนหลับมาให้ทานก็แอบเอาไว้ไม่ยอมทาน
ข้าพเจ้าสวดมนต์ไหว้พระ-รับศีลเพื่อเตรียมตัวตาย เพราะจำได้ว่าหลวงพ่อดู่ท่านสั่งแล้วสั่งอีกเป็นสิบ ๆ ครั้งก่อนที่ท่านจะละสังขารว่า..
“ก่อนตายสำคัญมากต้องมีสติภาวนารักษาศีล”
และเนื่องจากข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเขียนไว้ว่า ก่อนตายให้นึกถึงพระนิพพานและให้ภาวนาว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” ข้าพเจ้าจึงได้ทำตามแล้วก็นอนทำสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ จิตก็ดี พอภาวนาไปได้พักหนึ่งจิตก็หวนคิดถึงลูกคนเล็กซึ่งมีอายุเพียงขวบกว่า ๆ เกิดความคิดว่าเมื่อตายแล้วหากไปนิพพานก็จะไม่ได้กลับมาเห็นลูกอีก เลยเปลี่ยนคำภาวนาเป็น พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จิตก็รวมดี
ไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็เห็นตัวเองสวมชุดขาวออกเดินไปในทุ่งอันกว้างใหญ่ มีต้นข้าวเขียวขจีอ่อนพลิ้วไปตามกระแสลม ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นดวงสว่างปรากฏขึ้นและเห็นหลวงพ่อดู่ท่านมา จึงรีบตรงเข้าไปกราบท่าน ท่านก็พาไปยังกุฎิที่ท่านอยู่ ซึ่งหน้ากุฎิท่านนั้นมีลำธารเป็นแก้วใส และมีต้นโพธิ์ทองแก้วเป็นแก้วใส 2 ต้นสูงประมาณ 2 เมตรอยู่ด้านหน้ากุฎิ
ท่านนั่งห้อยขาอยู่บนกุฎิซึ่งเป็นทองสวยอร่ามมาก ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบท่านแล้วบอกว่าจะขออยู่กับท่านตลอดไปไม่กลับ ท่านก็บอกว่า
“อยู่ไม่ได้บุญยังไม่พอ”
ข้าพเจ้าร้องไห้ทวงสัญญาว่าหลวงพ่อเคยรับปากลูกว่าจะให้ลูกเกาะชายผ้าเหลืองไปทุกภพทุกชาติลูกจะไม่ขอกลับไปแล้ว ท่านจึงพูดว่า
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลงไปทำความดีอีก 10 ปี... แล้วค่อยว่ากันใหม่”
ก็เลยตกใจตื่นขึ้นมา ดูนาฬิกาเป็นเวลาเกือบตี 4 และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะอาการที่ป่วยอยู่ทุกอย่างได้เริ่มหายเป็นปกติ ข้าพเจ้าอยู่โรงพยาบาลครบ 7วัน ก็ได้กลับบ้าน
และหายจากโรคร้ายอย่างเด็ดขาดไม่มีอาการเจ็บป่วยอีกเลย
ข้าพเจ้าได้แต่กราบแทบเท้าหลวงพ่อทั้งสองเพื่อขอบพระคุณที่ท่านมีเมตตาอนุเคราะห์ให้ความช่วยเหลือข้าพเจ้าและครอบครัวในทุก ๆ เรื่องตลอดมากระทั่งทุกวันนี้
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
พระพิมพ์ขุนแผนเนื้อผงพุทธคุณ
จากหนังสือพรหมปัญโญเถระ
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
พระพิมพ์ขุนแผนเนื้อผงพุทธคุณ - 2
จากหนังสือพรหมปัญโญเถระ
-
เพชรฉลูกัน ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
วัตถุมงคลชั้นหลัง
โดย พี่สิทธิ์
ภายหลังที่หลวงปู่ละสังขารไปแล้ว คณะศิษย์กลุ่มหนึ่งของหลวงปู่ได้สร้างผ้ายันต์ฝ่ามือหลวงปู่เอาไว้แจกจ่ายกันเอง โดยเมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้นำมาขอบารมีหลวงปู่ตรงหน้ากุฏิท่าน
ผ้ายันต์นี้ได้ถูกแจกจ่ายไปถึงมือชายคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว วันนั้นเขารับผ้ายันต์ไปโดยไม่เคยรู้จักชื่อหลวงปู่มาก่อน
และแล้วก็มีเหตุการณ์แปลกเกิดขึ้นกับเขา กล่าวคือในเย็นวันที่เขาได้รับผ้ายันต์มาไว้ที่บ้าน หลังจากเขาเดินทางกลับมาจากการไปช่วยงานศพ พอเขาเข้าบ้าน ก็เอาลูกมาอุ้ม เท่านั้นเอง ลูกของเขาก็ร้องไห้ไม่หยุด ไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร ร้องไห้เป็นชั่วโมง เขาก็ชักไม่แน่ใจว่ามีอะไรตามเขามาจากงานศพหรือเปล่า จึงไปอาราธนาพระเครื่องพระบูชาในห้องพระมาไว้ที่ตัวลูก ลูกก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุดอยู่อย่างเดิม กระทั่งเขานึกได้ว่า ตอนสายวันนี้ ได้รับผ้ายันต์ของหลวงปู่อะไรองค์หนึ่ง (เขาจำชื่อหลวงปู่ไม่ได้) จึงนำมาไว้ที่ตัวลูก
ยังไม่ทันที่ผ้ายันต์จะถึงตัวเด็ก เด็กตัวน้อย ๆ นั้น กลับยกมือไหว้ขึ้นเอง แล้วหยุดร้องไห้ในทันที ทั้งพ่อและแม่เด็กรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างมาก
จึงโทรไปถามเพื่อนที่ให้ผ้ายันต์ว่า ผ้ายันที่ให้มาน่ะ เป็นของหลวงปู่ชื่ออะไร ท่านปู่อยู่วัดไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ครอบครัวเขาอยากจะไปกราบหลวงปู่มาก หลังจากนั้นไม่กี่วัน ครอบครัวนั้นก็ได้เดินทางไปกราบสักการะและกราบขอบพระคุณหลวงปู่ที่วัดสะแกไฟล์ที่แนบมา:
-
-
องค์แรกในชีวิตที่ไปเช่ามาเมื่อประมาณ 17-18 ปีที่แล้ว
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ขยายครับ บังเอิญกำลังหัดส่งภาพครับ ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เหรียญเศรษฐีได้มาเมื่อ 3 ปีที่แล้วครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
มีประสบการณ์อะไรแวะมาเล่าให้เพื่อนๆฟังบ้างนะครับ :cool: -
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
พระพิมพ์นางพญา
จากหนังสือพรหมปัญโญเถระ
-
ไม่ได้เข้ามานาน ติดตามอ่านจนครบแล้วครับ
อนุโมทนา กับทุกท่านครับ สาธุ -
ผมไม่รู้ใครหลายๆคนจะเหมือนผมหรือเปล่า..เวลาผมมีความทุกข์ไม่สบายใจ.ผมมักจะหยิบรูปหลวงปู่ดู่และรูปหลวงปู่ทวดเสมอ..มาดู.ทำให้มีกำลังใจทุกที
ผมเคยทุกข์หนักกมากครั้งหนึ่งจะเคยร้องให้กับรูปหลวงปู่ดู่เลย...สุดท้ายดูภาพท่านเสร็จกลับมาสู้ชิวิตและมีกำลังใจมากว่าเดิม -
พระผงจักรพรรดิ์ ผมบูชาของหลวงตาม้าสร้าง และของที่ศิษย์ฆราวาสสร้าง มั่นใจมากว่าพุทธคุณเยี่ยม -
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ผมนับถือหลายครูบาอาจารย์นะครับ แต่ถ้าจะให้ครองพื้นที่ในใจต้อง หลวงปู่ดู่ องค์เดียวเลยครับ ทำอะไรอยู่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องดีหรือร้ายจะนึกถึงท่านก่อนทุกทีครับ เวลาไม่มีกำลังใจก็ต้องหยิบหนังสือธรรมะของท่านมาอ่านทุกทีก็จะสบายใจครับ
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
รับนิมนต์ปลุกเสกพระที่ธรรมศาสตร์
โดย พี่สิทธิ์
เมื่อคราวมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีอายุครบ ๕๐ ปี อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในสมัยนั้น ได้เดินทางไปกราบนิมนต์หลวงปู่ดู่เพื่อขอให้ท่านมาร่วมอธิษฐานจิตเหรียญพระพุทธสิหิงส์จำลอง ที่จัดสร้างเป็นที่ระลึกและเพื่อจัดหาปัจจัยบำรุงมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งประกอบพิธีที่อาคารหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีการนิมนต์พระเถระจากทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น
หลวงปู่รับนิมนต์ที่จะร่วมพิธี แต่หลวงปู่ขอที่จะไม่เดินทางไป (ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติปรกติของหลวงปู่ที่งดรับนิมนต์ออกนอกวัด)
หลวงปู่กล่าวกับท่านอธิการบดีว่า
ขอให้ปูอาสนะและผ้าขาวในส่วนที่นั่งสำหรับหลวงปู่ จากนั้นหลวงปู่ได้สอบถามถึงกำหนดวันเวลาที่เริ่มพิธี
เพื่อท่านจะได้นั่งกรรมฐานจากที่วัดในวันเวลาดังกล่าว
ภายหลังพิธี บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ก็พากันหาเช่าบูชาพระรุ่นนี้จากที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาไว้บูชากันถ้วนหน้า
ไฟล์ที่แนบมา:
-
หน้า 124 ของ 277