เส้นทางนักสะสมพระเครื่อง - ช้าง ราชดำเนิน
ลูกศิษย์ หลวงปู่ดู่ อีกท่านหนึ่ง
วงการพระเครื่อง เมื่อช่วงปี ๒๕๑๗ เป็นต้นมา ชื่อของ ช้าง ราชดำเนิน ย่อมเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในฐานะนักข่าวนักเขียนเรื่องราวของวงการพระในยุคบุกเบิก แม้จะไม่ใช่ คนแรก แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็น รุ่นแรกๆ คนหนึ่งก็ว่าได้ เพราะสมัยนั้น คนที่ดูพระได้ และ เขียนเรื่องเป็น มีน้อย นับจำนวนคนได้เลย
เซียนพระ ส่วนใหญ่จะดูพระได้เก่ง แต่เขียนเรื่องพระ หรือถ่ายทอดความรู้เรื่องพระทางตัวหนังสือ ไม่ค่อยจะชำนาญ หรือสันทัดจัดเจนนัก
ในขณะเดียวกัน คนเขียนเรื่องพระ ได้ดีมีความสามารถในการเขียนบทความ ส่วนใหญ่กลับ ดูพระไม่เป็น หรืออาจจะเป็น แต่ก็เพียงผิวเผินเท่านั้น
แต่สำหรับ ช้าง ราชดำเนิน มีความสามารถทั้ง ๒ อย่าง ถือเป็น นักเขียนเซียนพระ ผู้ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง บนเส้นทางสายนี้
บัณฑิต ทองหลิม เป็นชื่อจริงของ ช้าง ราชดำเนิน เป็นชาวบางลำพู กทม. โดยกำเนิด ต่อมาทางบ้านย้ายไปอยู่ที่ จ.เพชรบุรี ระยะหนึ่ง ก่อนย้ายกลับมาอยู่ย่านบางลำพูเหมือนเดิม
สมัยเด็กๆ เคยไปดูผู้ใหญ่ส่องดูพระกันที่ใต้ถุนศาลอาญา รวมทั้งโคนต้นมะขามในละแวกนั้น แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะยังเด็กและไม่มีเงิน
เมื่อจบการศึกษาแล้ว ได้ทำงานเป็นเซลส์แมนขายรถยนต์ พอมีเงินอยู่บ้าง ช่วงนี้เองที่ได้เข้าสนามพระเป็นครั้งแรก ที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ทำให้ได้รู้จักกับเซียนพระรุ่นเก่าหลายคน โดยเฉพาะ ธีระภาพ วงศ์เทียมชัย ลุงเครื่อง สำราญ บางแค ลิ หนวด ลิ ทองถนอม เฮียจั๊ว ตลาดพลู ฯลฯ
รวมทั้ง ท้วม เจียมอนุสรณ์ ซึ่งถือว่าเป็น ครูคนแรก ที่ได้สอนวิธีดูพระให้หลายอย่าง วิวัฒน์ เรืองพรสวัสดิ์ (คนบางลำพูด้วยกัน) ป๋วย หงษ์ทอง อยุธยา ฯลฯ ได้แนะนำการดูพระผงสุพรรณ พระวัดพลับ และพระยอดนิยมอื่นๆ จนเรียกได้ ดูพระได้ดีพอสมควร เพราะสมัยก่อน พระปลอม ส่วนใหญ่เป็นแบบปลอมอย่างง่ายๆ ฝีมือห่างไกลจากของแท้มากมาย
และอีกท่านหนึ่งที่ได้สอนทั้งการดูพระ และสอนการสวดคาถาชินบัญชร ก็คือ อ.สุธรรม โพธิ์แพ่งพุ่ม ปัจจุบันท่านไปบวชเป็นพระอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งที่ จ.พระนครศรีอยุธยา
ต่อมาเมื่อสนามพระย้ายไปอยู่ที่ตลาดท่าพระจันทร์ ส่วนหนึ่ง (คือสนามพระท่าพระจันทร์ในทุกวันนี้) และอีกส่วนหนึ่งย้ายไปอยู่ที่วัดราชนัดดา ทำให้ช้างต้องเข้าสนามพระทั้ง ๒ แห่งอยู่เป็นประจำ ช่วงนั้นดูพระได้แล้ว จึงมีการซื้อขายอยู่เป็นประจำ ทำให้มีรายได้ดีกว่าอาชีพเซลส์แมนรถยนต์เสียอีก
ขณะเดียวกัน วงการหนังสือพระ ก็มีการจัดพิมพ์ออกมาจำหน่ายหลายเจ้า จากเดิมที่มีอยู่ไม่กี่หัวหนังสือ และส่วนใหญ่มีกำหนดออกไม่แน่นอน เป็นรายสะดวก
หัวหนังสือพระที่ออกใหม่ ส่วนใหญ่ออกเป็นรายเดือน รายปักษ์ (๑๕ วัน) ช่วงนี้เองที่ช้างได้รับเชิญให้เขียน ข่าวสังคมวงการพระ เพราะเห็นว่าคลุกคลีอยู่ในสนามพระเป็นประจำ จึงรู้ความเคลื่อนไหวของเซียนพระต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ว่ามีใครได้พระอะไร ขายพระอะไร รวมทั้งข่าวพระแตกกรุ ข่าวการสร้างพระใหม่ของพระเกจิอาจารย์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่แทบทุกเดือน
หนังสือพระที่ช้างได้เขียนข่าวไปลงฉบับแรก คือ พระเครื่องปริทรรศน์ ของ ประจันต์ กระแสสินธุ์ ประลอง กระแสสินธุ์
นอกจากนี้ยังได้เขียนเรื่องพระกรุพระเก่า และพระเกจิอาจารย์ ตามแต่โอกาส
ต่อมาเมื่อหนังสือ ลานโพธิ์ เปิดตัวเป็น หนังสือพระเครื่อง ราย ๑๐ วันฉบับแรกของเมืองไทย ช้างก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รายงานข่าวสังคมด้วยความฉับไหวทันเหตุการณ์อยู่เสมอ รวมทั้งรับหน้าที่ ตอบปัญหาพระเครื่อง ที่ผู้เขียนถามมา ซึ่งสมัยนั้นส่วนใหญ่สอบถามกันด้วยภาพเขียน ไม่มีภาพถ่ายประกอบมาด้วย ก็ต้องใช้ความพยายามกันอย่างยิ่งยวด
"การตอบปัญหาพระเครื่องจากท่านผู้อ่าน ผมไม่ได้รู้เองไปเสียหมด ส่วนใหญ่อาศัยสอบถามเซียนพระในสนามนั่นแหละ ใครชำนาญพระสายไหน ก็ถามเขาในพระประเภทนั้นๆ และจากการสอบถามเซียนพระทั้งรุ่นพี่ และรุ่นเพื่อน ทำให้เราเองก็พลอยได้รับความรู้กว้างขึ้นด้วย" ช้างกล่าวเปิดใจ
สมัยก่อนงานประกวดพระ มีการจัดไม่บ่อยนัก ปีละไม่กี่ครั้งเท่านั้น และทุกครั้งช้างก็จะไปร่วมงานด้วยเสมอ และจากการที่เป็นคนพูดคุยเก่ง เสียงดังฟังชัด มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน ผู้จัดงานจึงมอบหมายหน้าที่ โฆษกงานประกวดพระ อย่างเป็นทางการ โดยไม่ได้รับค่าพูดแต่อย่างใด เป็นการช่วยงานการกุศล
ตรงนี้ถือได้ว่า ช้าง ราชดำเนิน เป็นโฆษกงานประกวดพระ คนแรก ได้อย่างเต็มปาก จนต่อมาได้มี ทวน มีแสง แพร สีทอง แดง สนิทวงศ์ ชาญวิทย์ รถทอง โกวิท แย้มวงษ์ พนม แพทย์คุณ ฯลฯ มาช่วยแบ่งเบากันแล้ว ช้างจึงได้ยุติหน้าที่นี้ไปหลายปีแล้ว
จากการที่ได้เขียนข่าวสังคมรายงานความเคลื่อนไหวของคนในวงการพระมานานปี ทำให้ช้างสามารถจดจำชื่อเสียงเรียงนาม และฉายา ของเซียนพระน้อยใหญ่ รวมทั้งนักสะสมพระชื่อดังทุกคนได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งพระเครื่ององค์ดังๆ ของเซียนแต่ละคนอีกด้วย
ช้าง ราชดำเนิน ได้ทำหน้าที่เขียนข่าวสังคมวงการพระ ผ่านคอลัมน์ "ทางม้าลาย" ในนิตยสารพระเครื่องลานโพธิ์ มานานกว่า ๓๐ ปี จนมาถึงเมื่อไม่นานมานี้ จึงได้บอกอำลาจากผู้อ่านไปอย่างน่าเสียดาย โดยช้างบอกว่า อายุมากแล้ว ถึงจุดอิ่มตัว และจะได้พักผ่อนเสียที
บนเส้นทางสายใหม่ ที่ช้างบอกว่า มีความสุข และความสบายใจมากกว่า คือ การที่ได้มีโอกาสไปกราบ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา พระสุปฏิปันโนผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องในวัตรปฏิบัติมาโดยตลอดชีวิต เป็นเพชรน้ำหนึ่งในบวรพระพุทธศาสนา อีกรูปหนึ่งที่มีศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศ
ช้างกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
<!-- google_ad_section_end -->
"ผมได้รับคำแนะนำจาก ผศ.มานิตย์ เขียวดารา</PERSONNAME /> อาจารย์โรงเรียนสาธิตรามคำแหง ให้ไปกราบหลวงปู่ดู่ ก็ได้รับความเมตตาจากหลวงปู่มาโดยตลอด ท่านได้สอนแนวทางการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น ที่ท่านเรียกว่า 'ทำงาน' คือ การนั่งสมาธิ ท่านให้ไปรับคำแนะนำจาก หลวงพี่สายหยุด ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ของท่านก่อน เมื่อปฏิบัติได้ระดับหนึ่งแล้ว จึงเข้ารับการอบรมจากท่านโดยตรง และจากการมีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มาตลอด ทำให้ผมสามารถเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ได้เด็ดขาด รวมทั้งความอยากได้อยากมีในกิเลสทั้งหลายทั้งปวง จนทำให้จิตใจสบายขึ้น มีความสุขทุกครั้งที่ได้ปฏิบัติธรรม ได้นั่งสมาธิ นี่คือกิจกรรมของผมในทุกวันนี้"
การนั่งสมาธิ ภาวนา ปฏิบัติธรรม ต้องทำไปอย่างสม่ำเสมอ เหมือนกับ การตักน้ำใส่ตุ่ม หากตักใส่ไปเรื่อยๆ น้ำก็จะเต็มตุ่ม หากหยุดตักใส่เมื่อไร น้ำก็ไม่เต็มตุ่ม...เป็นปริศนาธรรมคำสอนที่ หลวงปู่ดู่ มักจะสอนลูกศิษย์เสมอ
ทุกวันนี้ ช้าง ราชดำเนิน ในวัยเกษียณมาหลายปีแล้ว มีลูกๆ ที่โตเป็นหนุ่มเป็นสาว มีหน้าที่การงานทำเป็นอย่างดี จึงมีความสุขตามวัยและอัตภาพ
และมักจะใช้เวลาว่าง ไปพบปะสนทนากับพรรคพวกเพื่อนฝูง ที่ร้านกาแฟกาโตว์ ศูนย์การดิโอลด์สยาม อยู่เป็นประจำ เพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการพระ หรือท่านที่รู้จักมักคุ้นกันมาเก่าก่อน จะไปพูดคุยด้วยก็ได้
โดยเฉพาะในเรื่องของพระเครื่อง ก็ยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ทัศนะ ความคิดเห็นกันอยู่เสมอ
0 ตาล ตันหยง 0
ประสบการณ์ ธรรมะ พระเครื่อง หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Specialized, 14 ตุลาคม 2009.
หน้า 2 ของ 277
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
อ่านเรื่องพระเครื่องบ้างนะครับ คงจะเคยอ่านกันบ้างแล้ว
เหรียญยันต์ดวง
หลวงปู่ดู่ วัดสะแก
ตอนบ่ายวันหนึ่ง ประมาณเดือนมกราคม พ.ศ.2525 ซึ่งยังคงอยู่ในฤดูหนาวเพราะพวกเราบางคนยังใส่เสื้อหนาวอยู่เลย ตอนเรานั่งรวมกันอยู่สิบกว่าคน บางคนก็อยู่ในห้องของหลวงปู่ กำลังนั่งสมาธิ มีชายสูงอายุท่าทางภูมิฐานคนหนึ่ง มาหาหลวงปู่ พอจะเดินผ่านเราไปชายผู้นั้นก้มหลังเล็กน้อยด้วยความสุภาพ พอถึงหลวงปู่เขาก็กราบหลวงปู่สามครั้ง หลวงปู่มองดูเขาด้วยความเมตตาและท่านก็พูดขึ้นว่า "แกมาจากไหนล่ะ"
"กระผมมาจากบางกอกครับ" หลวงปู่ยิ้มรับ และส่งถ้วยน้ำชาให้กับชายผู้นั้นเขาท่าทางเกรงใจหลวงปู่ทำท่าเหมือนจะไม่กล้ารับ หลวงปู่จึงพูดขึ้นว่า "นี่น้ำมนต์" พอได้ยินว่าน้ำมนต์ เขารับน้ำมนต์จากหลวงปู่ และกินจนหมดถ้วย กินเสร็จเขาก็ไหว้ท่านเป็นการขอบคุณ "หลวงปู่ครับกระผมเคยได้ยินคนเขาพูดกันว่าหลวงปู่ดู่ วัดสะแก เก่งเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน วันนี้โอกาสดี กระผมว่างจึงมากราบขอพรจากหลวงปู่ครับ"
หลวงปู่ท่านยิ้มด้วยแววตาอันเมตตาท่านบอกว่า "แกอย่าไปเชื่อเขามากนัก" เขาก็พูดกับหลวงปู่ว่า "ท่านต้องมีดีคนทั่วไปถึงได้กล่าวขานไปกันทั่ว" พวกเราเห็นหลวงปู่มีแขกมาจากบางกอกเราทั้งหมดจึงออกมาคุยกันข้างนอกซึ่งไม่ไกลจาหลวงปู่มากนัก ชายผู้นั้นถามข้อธรรมะจากหลวงปู่หลายข้อ นานเป็นชั่วโมง ถ้าธรรมะข้อไหนเขาไม่เข้าใจ ท่านจะอธิบายจนเขาเข้าใจ ชายคนนั้นคุยกับหลวงปู่อยู่เป็นชั่วโมงสักพักเขาก็เดินมาที่เรานั่งกันอยู่ และกล่าวทักทายพวกเราด้วยวาจาอันสุภาพ เราคุยกับชายผู้นั้นอยู่นานพอสมควร มีศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งพูดขึ้นว่า "ขอโทษครับพี่อยู่บางกอกทำงานอะไรครับ" ชายผู้นั้นยิ้มและตอบว่า "กระผมเป็นโหรอยู่ในวังครับ"
เราจึงปรึกษากันว่านาน ๆ จะมีโหรมากราบหลวงปู่ที โหรผู้นั้นอยู่ในวังความสามารถต้องไม่ธรรมดาแน่ เราลองนำดวงของหลวงปู่ให้เขาตรวจดูเห็นจะดี และเราก็นำดวงของหลวงปู่ให้ชายผู้นั้นตรวจดูแต่เขามองดูดวงของหลวงปู่อยู่นานแล้วพูดว่า "กระผมเรียนจากครูบาอาจารย์มาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นดวงแบบนี้เลย กระผมมิกล้าทำนายหรอกครับ" หลังจากท่านโหรลาหลวงปู่ แล้วเขาก็มาลาพวกเราว่า กระผมขอลาก่อนนะครับ ศิษย์ทั้งหมดจึงปรึกษากันว่า แม้แต่โหรยังไม่กล้าทำนายดวงของหลวงปู่เลย พวกเราสมควรสร้างพระยันต์ดวงของหลวงปู่เห็นจะดีเป็นแน่ ปรึกษากันอยู่สักพักก็ตกลงกันวาควรจะสร้างเหรียญด้านหน้าเป็นรูปองค์หลวงปู่ ด้านหลังเป็นดวงของท่าน
ดังนั้นพวกเราทั้งหมด จึงไปกราบขออนุญาตหลวงปู่ โดยบอกท่าน พวกผมอยากจะสร้างพระเหรียญดวงหลวงปู่ เอาไว้ให้คนที่นับถือศรัทธาองค์หลวงปู่ไว้บูชาเพื่อเป็นศิริมงคล ท่านยิ้มด้วยแววตาอันเมตตาแล้วบอกว่า ข้าขออนุโมทนาบุญกับพวกแกด้วย ที่มีจิตเป็นกุศลเป็นบุญ และท่านได้มอบแผ่นจารยันต์ที่ท่านได้จารไว้ด้วยตัวของท่านเองและชนวนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อีกมากมายเพื่อให้พวกเรานำไปสร้างเหรียญดวงในเรื่องของเงินทุนสร้างเหรียญเราได้ช่วยกันร่วมสร้างบางคนก็บริจาค 500 บาท บางคนก็ 1,000 – 2,000 บาท แล้วแต่กำลังของแต่ละคน มีศิษย์คนหนึ่งบอกว่าที่เหลือทั้งหมดผมจะเป็นคนออกเอง ถ้าจำไม่ผิดศิษย์ผู้นั้นจะเป็นเจ้าของโรงงานอะไรสักอย่าง ที่อยู่ทางเลยบางนาไปไม่ไกลนัก
ตั้งแต่วันนั้นผ่านไปได้ประมาณสองเดือนเห็นจะได้ ศิษย์คณะนั้นก็ได้นำเหรียญดวงที่สร้างเสร็จมาให้ท่านเมตตาปลุกเสก วันนั้นท่านอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พอเห็นเหรียญท่านก็บอกว่าสวย เหรียญนี้ท่านชอบมาก และท่านก็ปลุกเสก แต่วันนั้นท่านปลุกเสกนานเป็นพิเศษ พอปลุกเสกเสร็จ ท่านก็คืนเหรียญทั้งหมดให้กับศิษย์คณะนั้น แต่ลูกศิษย์กราบเรียนท่านว่า พวกกระผมขอเหรียญที่เป็นเนื้อพิเศษคืนอย่างเดียวครับ ส่วนเหรียญเนื้อทองแดงทั้งหมด ขอถวายหลวงปู่ ท่านจึงอนุโมทนากับลูกศิษย์คณะนั้น วันนั้นหลวงปู่แจกเหรียญดวงให้กับศิษย์ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นพอลูกศิษย์ลาท่านกลับกันไปหมด ท่านก็เรียกลุงแกละและป้าอิ้งให้เข้ามาใกล้ ๆ ท่าน แล้วพูดว่า ข้าจะมีงานบุญให้แกสองคน ท่านเข้าไปในห้องของท่านสักพักใหญ่พอท่านออกมา หลวงปู่ก็มอบผงให้กับคนทั้งสอง และบอกว่าให้นำเหรียญดวงไปกดพิมพ์และทำเป็นพระผงดวงมาให้ท่าน โดยท่านได้กำหนดวันเวลา ที่จะนำพระผงดวงมาให้ท่าน
อีกหลายวันต่อมา ป้าอิ้งพร้อมทั้งลุงแกละก็นำพระผงดวงมาให้หลวงปู่ ท่านหยิบพระผงดวงดูอย่างพอใจและบอกว่าดีมากหลวงปู่บอกว่า "แกทั้งสองคนคอยอนุโมทนากับข้าด้วยนะ" ท่านก็เริ่มทำการปลุกเสก ป้าอิ้งบอกว่า เคยเห็นหลวงปู่ท่านปลุกเสกพระมาก็มากจนนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยเห็นหลวงปู่ปลุกเสกนานขนาดนี้เลย แกก็จัดว่าเป็นผู้ที่นั่งสมาธิได้นานคนหนึ่งแต่ยังต้องขยับตัวหลายครั้ง พอหลวงปู่ท่านลืมตาขึ้นท่านก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ลุงแกละเห็นท่านอารมณ์ดีจึงถามท่านว่า ทำไมวันนี้หลวงปู่เสกนานจริงครับ หลวงปู่ท่านตอบว่า
"วันนี้เป็นวันดี วันเสาร์ห้า ขึ้นห้าค่ำ เดือนห้า ข้าเสกเต็มที่ ข้าอัญเชิญบุญบารมีขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งแสนโกฏจักรวาลมารวมเป็น พลังเหนือพลัง และอันเชิญดวงขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ทั้งแสนโกฏจักรวาลมารวมเป็นดวงเดียวกัน เป็นดวงเหนือดวง พระผงดวงนี้ รวมทั้งเหรียญดวงนี้จะมีพุทธานุภาพมากผู้ใดนำไปบูชา ถึงเขาผู้นั้นจะดวงตก แต่พุทธานุภาพ โดยไม่มีประมาณของดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง ก็จะคุ้มครองให้รอดปลอดภัย จากสิ่งอัปมงคล ผี ปีศาจ คุณไสยมนต์ดำ ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นให้หนักเป็นเบา ทุเลาเป็นหาย เหรีญและพระผงนี้เป็นเหรียญทำน้ำมนต์ของข้า แม้ผู้ใดถูกผี ปีศาจเข้าสิง ให้นำพระมาทำน้ำมนต์ ดื่มกัน ก็จะหายจากคุณไสย ภูติผี ปีศาจ และสิ่งอัปมงคลทั้งปวง แม้แต่คนที่ดวงดีนำไปบูชา ก็จะเกิดโชคดี เป็นมงคล มีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ต่อคนทั้งหลาย รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหมดทั้งมวล"
หลวงปู่ท่านบอกต่ออีก ผงที่ข้าให้แกกับยายอิ้งไปทำเป็นพระผงดวงนั้นคือ"ผงมหาจักรพรรดิ" วิธีทำผงมหาจักรพรรดินั้นต้องเขียนยันต์มหาจักรพรรดิเขียนไปเสกไป พอเสร็จเป็นผงก็นำมาเสกอีกครั้ง ทำเป็นพระแล้วก็เสกอีกครั้ง ผงมหาจักรพรรดินั้นเวลาเสกต้องรวมพลังบุญบารมีทั้งหมดตั้งแต่อดีต จนถึงอนาคต อธิษฐานจิตด้วยญาณบารมีขั้นสูง พระที่สร้างด้วยผงมหาจักรพรรดิของข้าจะมีพุทธานุภาพโดยไม่มีประมาณ
ท่านพูดจบก็หยิบพระผงดวงให้ลุงแกละและป้าอิ้งคนละหนึ่งองค์แล้วท่านพูดว่า "ตาแกละและยายอิ้งก็ไม่มีลูกเมื่อแกสองคนแก่ หลังจากข้าตายไปแล้ว จะมีผู้ที่มีบุญมาคอยเลี้ยงดูแกสองคนไปจนตาย" ป้าอิ้งเล่าให้ฟังว่าเมื่อแกได้ยินดังนั้นแกและลุงแกละก็ก้มลงกราบหลวงปู่ เพราะว่าวาจาของหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ ป้าอิ้งบอกอีกว่าแกบอกกับหลวงปู่ว่าเมื่อตอนที่หลวงปู่ส่งพระดวงให้นี้ เกิดแสงสว่างไปทั่ว แกเลยตั้งจิตตามไปดูและอยากรู้ว่าแสงสว่างนั้นไปถึงไหน แต่ก็ไม่สมารถตามไปดูได้เพราะแสงสว่างนั้นไปไกล โดยประมาณไม่ได้ว่าไปสุดที่ใด หลวงปู่ยิ้มแล้วตอบว่า นั้นแหละคือ พลังเหนือพลัง
ในบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่ใคร ๆ ก็รู้ว่ายายอิ้งเป็นหนึ่งในจำนวนศิษย์ที่มีสมาธิละเอียดและแก่กล้าคนหนึ่งเหมือนกัน ลูกศิษย์ที่ปฏิบัติถึงขึ้นแล้วล้วนรู้ดีว่าป้าอิ้งจิตของแกดีสามารถกำหนดไปดูได้ทั้งนรกและสวรรคื เคยมีคนไม่น้อยที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป บ้างก็เป็นพ่อแม่พึ่น้องตลอดไปถึงลูกหลาน ญาติที่ยังมีชีวิตบางคนก็เป็นห่วงญาติของตนที่ตายไป จะไปดีหรือไปร้ายเพียงใด คนที่รู้จักหลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก จะรู้ว่าท่านเป็นพระกัมมัฏฐาน คนที่เป็นห่วงญาติที่ว่าตายไปแล้วมักเดินทางไปขอความเมตตาจากหลวงปู่อยู่เสมอ ถ้ามีใครเรียนถามท่านว่าญาติของตนที่ตายไปแล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง หลวงปู่ท่านก็จะหันไปทางป้าอิ้ง และบอกว่า ว่ายังไงยายอิ้ง ป้าอิ้งก็จะกำหนดจิตดูให้ เป็นที่รู้กันดีว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ที่เก่งแบบป้าอิ้งบางคนยังเรียกว่าเก่งกว่าป้าอิ้งยังมีอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน
ผู้เขียนต้องขอโทษได้เล่าข้ามไปตอนหนึ่ง ป้าอิ้งบอกว่าหลวงปู่ท่านได้อธิบายถึงคำว่า มหาจักรพรรดิ ให้ฟังว่า "พระเจ้าแผ่นดินทุกแผ่นดินถึงจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง แต่ก็จะเป็นได้เพียงจักรพรรดิ แต่มหาจักรพรรดิ จะเป็นใหญ่อยู่เหนือจักรพรรดิทั้งหมด ผงมหาจักรพรรดิถือว่าได้เป็นผงที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด มิฉะนั้นท่านจึงใช้ผงมหาจักรพรรดิมาสร้างเป็นพระเพราะรักและเป็นห่วงลูกศิษย์และคนทั่วไปที่ศรัทธาในองค์ท่าน"
หลวงปู่บอกว่า "ข้ากลัวสู้เขาไม่ได้พระผงที่ข้าสร้างจึงต้องใช้ผงมหาจักรพรรดิข้าเสกและอธิษฐานจิตให้พระที่ข้าสร้างนั้นไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน"
ป้าอิ้งยังบอกต่ออีกว่าหลวงปู่บอกว่าเหรียญและพระผงดวงนี้ อีกหน่อยจะมีค่ามาก คนที่มีบุญวาสนาเท่านั้นถึงจะได้ครอบครองหลวงปู่ท่านบอกให้ป้าอิ้งจำไว้ว่า
วิธีใช้เหรียญดวงและพระผงดวง เหรียญดวง ให้ตั้ง นะโมสามจบ แล้วภาวนาว่า “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ” พระผงดวง ตั้งนะโมสามจบ
ภาวนาบทมหาจักรพรรดิ
“นะโมพุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ”
ถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่ต้องภาวไตรสรณคมณ์ และบทมหาจักรพรรดิตามกำลังวันทุกวัน เหรีญและพระผงดวงนี้จึงจะเกิดพุทธานุภาพโดยไม่มีประมาณ ที่เรียกว่า ดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง
เหรียญและพระผงดวงนี้ เป็นพระที่หลวงปู่ท่านรักมาก ท่านเก็บไว้ในห้องของท่านและปลุกเสกเป็นเวลานาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 ถึงปี 2533 รวมทั้งหมด 8 พรรษา
หลังจากที่หลวงปู่มรณภาพไปแล้ว วาจาศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็เป็นจริงดังที่ท่านได้กล่าเอาไว้ว่า จะมีผู้มีบุญซึ่งเคยร่วมบุญกับหลวงปู่มา ได้รับเลี้ยงดูแลลุงแกละและป้าอิ้งจนแกทั้งสองตายไป ระยะเวลาเลี้ยงดูคนทั้งสอง คือ ป้าอิ้งตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 จนถึง พ.ศ. 2540 ส่วนลุงแกละตั้งแต่ปีพ.ศ. 2533 จนถึงพ.ศ. 2547
ที่มา: หนังสือนะโภคทรัพย์ พ.ศ.2548
ปล.ฆราวาสที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ในวันที่ "ท่านโหร" มากราบหลวงปู่นั้น คือ หลวงตาม้า ผู้เป็นที่เคารพของพวกเรานั่นเองไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ตามอ่านครับ
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
*บทความนี้เป็นบทความของ พี่สิทธิ์ เวปวัดถ้ำเมืองนะ ที่ได้เขียนเล่าไว้ ขอนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานต่อไปครับ
พระเหนือพรหมของหลวงปู่ดู่ที่ทูลเกล้าฯถวายในหลวง
ภายหลังจากที่หลวงปู่ละสังขาร หลวงน้าดำ (รองเจ้าอาวาสวัดสะแก) มีดำริที่จะทูลเกล้าถวายพระพรหมผงที่หลวงปู่อธิษฐานจิต แก่ในหลวง พร้อมกันนั้น ก็จัดหาพระสมเด็จฯ ถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
หลวงน้าเล่าให้ฟังว่า สำหรับองค์พระพรหมนั้น เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะเมื่อท่านดำริเช่นนั้น พอเปิดปี๊ปพระพรหม ก็พบพระพรหมองค์งามสุดในทันที เหมือนเจาะจงให้ ซึ่งแม้จะดูองค์อื่น ๆ จากในหลาย ๆ ปี๊ป ก็ไม่มีองค์ไหนขึ้นพระธาตุได้งดงามเท่าองค์นี้อีก
ผมได้มีโอกาสขอถ่ายรูปไว้ก่อนที่จะมีการดำเนินการทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง
แต่เนื่องจากถ่ายจากกล้องคุณภาพไม่สู้ดีนัก เลนส์ Macro สำหรับถ่ายวัตถุเล็ก ๆ ก็ไม่มี ได้แต่ใช้ Filter เลนส์ขยายช่วย ภาพเลยไม่ค่อยคมชัดนัก แต่ก็พอให้แลเห็นความงามของพระองค์นี้ตามสมควรครับ
พุทธคุณและปาฏิหาริย์ของพระเหนือพรหม ของหลวงปู่ดู่ ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อดู่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าพระเหนือพรหมของหลวงพ่อใครมีไว้บูชา เรื่องร้ายจะกลับกลายเป็นดี คนดวงตกก็รอดได้ ผู้ใดได้ไข้ได้เจ็บก็หายผี และปีศาจร้ายมิอาจกล้ำกราย คุณไสยมนต์ดำการกระทำย่ำยีมิอาจครอบงำ ผู้ใดเป็นศัตรูคิดร้าย จะพินาศด้วยวิบากกรรมของตนเอง บูชาติดตัวไว้ เทพ พรหม เทวดาและมนุษย์รักใคร่เมตตาปราณี ถ้าถึงเวลาหมดอายุจิตสงบพบทางสว่างมีสุขคติเป็นที่ไปผู้ที่มีพระเหนือพรหมของหลวงพ่อองค์เดียวก็เกินพอไฟล์ที่แนบมา:
-
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
*บทความนี้เป็นบทความของ พี่สิทธิ์ เวปวัดถ้ำเมืองนะ ที่ได้เขียนเล่าไว้ ขอนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานต่อไปครับ
*ภาพพระที่นำมาลงไม่ใช่พระของผมนะครับ ขออนุญาติเจ้าของภาพด้วยนะครับ ขอนำมาลงเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพนะครับ
พระท่านเล่นซ่อนหา
กล่าวถึงพระเครื่องที่เรียกว่าพระเหนือพรหมของหลวงปู่นั้น ก็มีเรื่องแปลก ๆที่เกิดกับคนใกล้ตัว จะขอเล่าให้ฟังแบบเป็นเรื่องเล่าเล่น ๆสักเรื่องหนึ่ง
มีสาวออฟฟิศคนหนึ่งได้รับพระพรหมของหลวงปู่ด้วยความเมตตาของลูกศิษย์ท่านหนึ่ง แต่ด้วยความที่เธอยังไม่ค่อยรู้จักอะไรทางนี้เธอจึงไม่ได้ดีใจอะไรนัก (ถ้าเป็นคนอื่นคงจะดีใจอาจถึงขนาดนอนไม่หลับก็เป็นได้)เมื่อรับพระมาแล้วก็ใส่เข้าไปในกระเป๋าถือของเธอ เมื่อมาถึงออฟฟิศก็จะเอามาอวดเพื่อนที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ เธอล้วงหาเท่าไร ๆ ก็หาไม่พบ ทั้ง ๆที่กระเป๋าก็มีขนาดย่อม ๆ ไม่ได้ใหญ่โตหรือมีช่องมากมายอะไร เธอใช้เวลาค้นซ้ำ ๆอยู่อย่างนั้นจนอ่อนแรงและไม่คิดว่าจะไปวางลืมไว้ที่ไหน
เพื่อนเธอที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ก็บอกเธอว่าพระพรหมตามที่เธอเล่ามานั้นเขาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าปางซ่อนหา (คือซ่อนหากับพระพรหม)ไม่แน่ว่าท่านอาจจะทำให้เจ้าของเกิดความเชื่อความเลื่อมใสก็เป็นได้เมื่อฟังอย่างนั้นแล้ว เธอก็นึกขอขมาท่าน เพราะเธอไม่ได้ให้ความเคารพเท่าที่ควรรับพระมาแล้ว ก็ยัดใส่กระเป๋า
เมื่อเธอนึกขอขมาอย่างนั้นแล้วก็เปิดกระเป๋าเพื่อจะหาใหม่อีกครั้ง เธอต้องประหลาดใจสุดขีดเมื่อเห็นพระพรหมวางอยู่ที่ส่วนบนสุดเธอจึงเอาท่านมาไหว้และอาราธนาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่งและนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอหาโอกาสมาวัดสะแกต่อเนื่องหลายครั้งหลายหนไฟล์ที่แนบมา:
-
-
โมทนาสาธุจ้ะบอย
ความคิดริเริ่มดีจัง
คิดถึงหลวงปู่ดู่ และ เว็บวัดถ้ำจังเลย -
สาธุครับ
-มหาโมทนากับธรรมทานครับ
สาธุไฟล์ที่แนบมา:
-
-
น้องบอยคะ เว็บบอร์ดของวัดถ้ำเมืองนะตอนนี้ปิดไปแล้วหรือคะ
พี่ไม่ได้เข้ามานาน พอเข้าไปดูอีกที ไม่มีเว็บบอร์ดซะแล้ว
น่าเสียดายนะคะ ในนั้นความรู้เยอะมาก เป็นประโยชน์มากทีเดียว
ขออนุโมทนากับกระทู้นี้ของน้องบอยด้วยค่ะ ตามอ่านค่ะ -
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ปล.ลุงมหา กับ ป้าเมย์ ก็แวะมาบ่อยๆนะครับ ข้อมูลที่เวปหายไปเยอะเลย ผมไปแบ็คอัพไว้ไม่ทัน เพราะเยอะเกินไปเสียดายมากๆ ไม่รู้เวปมาสเตอร์ยังเก็บไว้รึเปล่าก็ไม่ทราบครับ -
ป้าไม่ได้เก็บอะไรไว้เลย
เสียดายคำสอนของหลวงปู่ที่พี่สิทธิ์ลงไว้ -
มาปูเสื่อรออ่านครับพี่ ติดตามๆๆ
-
ตามอ่านครับ
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่านคร้าบ
พุทธนิมิต
การตอบคำถามของหลวงพ่อ แก่ศิษย์ช่างสงสัยอย่างข้าพเจ้า บางครั้งท่านจะไม่ตอบตรงๆแต่ตอบด้วยการกระทำ การแสดงให้ดู และการตอบของท่านยังความอัศจรรย์ให้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆเป็นอย่างยิ่ง ดังเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เกิด "พุทธนิมิตร" เมื่อคืนวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ก่อนวันวิสาขบูชา ปี พ.ศ.2528 คืนหนึ่งที่วัดสะแก
เหตุเริ่มแรกเกิดจากเมื่อตอนกลางวันนั้น ข้าพเจ้าได้มากราบนมัสการหลวงพ่อที่วัดพร้อมกับพกพาเอาความสงสัยสองเรื่อง คือ
เวลาที่หลวงพ่อ หลวงปู่ทั้งหลาย ท่านจะไปช่วยลูกศิษย์ที่อยู่ห่างกันคนละที่ในเวลาเดียวกัน ท่านไปได้อย่างไร ?
พร้อมกับเรื่องนี้ ในวันนั้นข้าพเจ้าได้นำรูปปาฏิหาริย์ของครูอาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่ศิษย์ของท่านเหล่านั้นถ่ายภาพ ได้รวบรวมมาถวายให้หลวงพ่อท่านดู มีภาพของพระอาจารย์มหาปิ่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาฯ และพระอาจารย์จวน ด้วยความงวยงงสงสัย ข้าพเจ้าจึงถามท่านว่าภาพเหล่านี้ถ่ายกันจริง หรือว่าทำขึ้นมา
[SIZE=3]หลวงพ่อท่านพิจารณาดูรูปเหล่านั้นทีละใบจนครบ ใช้เวลา[/SIZE][SIZE=3]ประมาณหนึ่งนาที แล้วรวบเข้าไว้ด้วยกัน ยกมือไหว้ แล้วบอก[/SIZE][SIZE=3]ข้าพเจ้าว่า[/SIZE][SIZE=3] [/SIZE]
"ข้าโมทนาสาธุด้วย ของจริงทั้งนั้น"
ดังนั้น จึงไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีกนอกจากนี้...
[COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3][/SIZE][/FONT][/COLOR]
[COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3]ครั้นตกเวลากลางคืนประมาณสองทุ่ม ข้าพเจ้ากับ[/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3]เพื่อนๆ มาที่กุฏิหลวงพ่ออีกครั้ง มีลูกศิษย์มากมายต่างมาสรง[/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3]น้ำหลวงพ่อในโอกาสวันคล้ายวันเกิดท่าน[/SIZE][/FONT][/COLOR]
[SIZE=5][/SIZE]
[SIZE=5]วันวิสาขปุรณมี [/SIZE]เมื่อคณะที่มาสรงน้ำหลวงพ่อเดินทางกลับไปหมด เหลือแต่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ พวกเราขออนุญาตหลวงพ่อถ่ายรูปกับท่านไว้เป็นที่ระลึกข้าพเจ้าจำได้ดีว่าเมื่อหลวงพ่ออนุญาตแล้ว จากนั้นท่านก็นั่งนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ศิษย์ตากล้องผลัดกันถ่ายภาพได้ประมาณสิบภาพ แล้วทุกคนก็กราบนมัสการท่านอีกครั้ง บรรยากาศคืนนั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกที่แปลกไปกว่าทุกวัน จำได้ว่าบริเวณกุฏิหลวงพ่อเย็นสบาย... เย็นเข้าไปถึงจิตถึงใจข้าพเจ้าอย่างยิ่ง[COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3][COLOR=#231f20]เมื่อนำฟิล์มทั้งหมดไปล้าง ปรากฏว่ามีภาพปาฏิหาริย์ [/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR]
[COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3][COLOR=#231f20][SIZE=5][COLOR=magenta][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR]
[COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3][COLOR=#231f20][SIZE=5][COLOR=magenta]"[/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR]พุทธนิมิต" [COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][SIZE=5][COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3]เกิดขึ้น ส่วนแรกเป็นภาพพุทธนิมิต คือเป็น [COLOR=red][U]ภาพ[/U][/COLOR][/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3][COLOR=red][U]พระพุทธเจ้าที่ถ่ายได้โดยไม่มีวัตถุที่เป็นพระพุทธรูป[/U][/COLOR] เหตุอัศจรรย์[/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3]อีกประการหนึ่งคือเป็นภาพที่อยู่ต้นฟิล์มที่มิได้ตั้งใจถ่าย เป็น[/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3]ภาพที่ผู้ถ่ายต้องการกดชัตเตอร์ทิ้ง ส่วนที่สองเป็น [COLOR=red][U]ภาพหลวงพ่อ[/U][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][COLOR=#231f20][SIZE=5][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3][COLOR=red][U]โดยมีแสงสีเป็นรังสีต่างๆ รอบๆ องค์ท่าน[/U][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR]
[COLOR=#231f20][SIZE=5][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][IMG]http://palungjit.org/attachments/a.721461/[/IMG][/COLOR][/FONT][/SIZE]
[SIZE=5][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][SIZE=3][FONT=Verdana][/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE]
[SIZE=5][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][SIZE=3][FONT=Verdana]สำหรับข้าพเจ้าแล้ว นี่เป็นการตอบคำถามที่หลวงพ่อ[/FONT][FONT=Verdana]เมตตาตอบข้าพเจ้าที่ได้ถามท่านไว้สองคำถามเมื่อตอนกลางวัน[/FONT][/SIZE][FONT=Verdana][SIZE=3]ภาพ[/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT]
[FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20]
[/COLOR][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3][COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][SIZE=5][COLOR=magenta][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/FONT]
[FONT=Verdana][SIZE=3][COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][SIZE=5][COLOR=magenta]"พุทธนิมิต" [/COLOR][/SIZE][/COLOR][/COLOR][/COLOR][/SIZE][/FONT][COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3]เป็นการตอบคำถามที่ว่าเวลาที่ หลวงพ่อหรือ[/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3]หลวงปู่ทั้งหลายท่านจะไปช่วยลูกศิษย์ ที่อยู่ห่างกันคนละที่[/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3]ในเวลาเดียวกัน ท่านไปได้อย่างไร ส่วนภาพหลวงพ่อดู่ที่มีแสง[/SIZE][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR][COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3]สีเป็นรังสีต่าง ๆ รอบ ๆ องค์ท่าน ก็เป็นการตอบต่อคำถามที่ว่า[/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3]ภาพครูอาจารย์องค์ต่างๆ ที่ข้าพเจ้านำมาถวายให้ท่านดูนั้น [SIZE=5][COLOR=red][U]"เป็นของจริง"[/U][/COLOR][/SIZE][/SIZE][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR]
[COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3]ข้าพเจ้าเชื่อแน่เหลือเกินว่า หลวงพ่อคงมิได้ตอบ[/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3]คำถามข้าพเจ้าเพียงสองคำถามเท่านั้น จึงขอฝากท่านผู้รู้ที่ได้เห็น[/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3]ภาพเหล่านี้ให้นำไปพิจารณาด้วยดี ก็จะได้รับประโยชน์อีกมาก[/SIZE][/FONT][FONT=Verdana][SIZE=3]ทีเดียว[/SIZE][/FONT][/COLOR][/COLOR][/COLOR]
[FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][SIZE=3][FONT=Verdana][/FONT][/SIZE][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT]
[FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][SIZE=3][FONT=Verdana]หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ข้าพเจ้าได้นำภาพเหล่านี้มา[/FONT][FONT=Verdana]ถวายให้หลวงพ่อดู่และกราบเรียนขอคำอธิบายจากท่าน[/FONT][/SIZE][FONT=Verdana][SIZE=3]ท่านตอบอย่างรวบรัดว่า [/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT]
[FONT=FreesiaUPC][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=5][COLOR=darkorange][B]"[/B][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/FONT][FONT=Verdana][COLOR=darkorange][B]เขาทำให้เชื่อ"[/B][/COLOR][/FONT]
[FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3][COLOR=black]หลวงพ่อเน้นเสียง สีหน้าเกลื่อนยิ้มด้วยเมตตา[/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT]
[FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3][COLOR=black][SIZE=4][COLOR=darkred][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT]
[FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=FreesiaUPC][COLOR=#231f20][FONT=Verdana][SIZE=3][COLOR=black][SIZE=4][COLOR=darkred][B]จากหนังสือ : 101 ปี หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ[/B][/COLOR][/SIZE][/COLOR][/SIZE][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/COLOR][/FONT][/SIZE][/COLOR]ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ไม่แน่ใจมีใครเคยเห็นพระบูชารุ่นนี้ว่าสร้างปีไหนใครพอจะทราบบ้างหรือเปล่าครับ....
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
ชอบมากเรื่องที่เกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ ช่วยมาลงให้อ่านเยอะๆนะครับ
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
พระหลวงปู่มีมากมายหลายพิมพ์ เพราะท่านมักจะสร้างเองแบบง่ายๆ บางคราวเป็นพิมพ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ได้มาจากไหนต้องเช็คประวัติที่มาดีๆครับ เพราะเก๊เยอะมากๆครับ
รอท่านอื่นมาตอบครับ -
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ทางที่พ้นโลก
หลวงปู่เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังถึงประสบการณ์จากลูกศิษย์คนหนึ่งกล่าวคือ ในตอนแรกลูกศิษย์ของท่านคนนี้นับถือศาสนาคริสต์ก็ไม่ยอมปฏิบัติจนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสเข้าไปนั่งปฏิบัติในกุฏิของท่านและเห็นหลวงปู่ทวดในนิมิต ด้วยเหตุผลทางศาสนาจึงทำให้ไม่ยอมกราบหลวงปู่ทวดแต่ในที่สุดก็ต้องกราบหลวงปู่ทวดจนได้
ต่อมาลูกศิษย์คนนี้มานมัสการท่านพร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติ และได้เรียนถามท่านว่า
"หลวงลุงครับ รู้จักหลวงพ่อธรรมโชติไหม"
ท่านก็ฉุกคิดได้ถึงการอธิษฐานของท่านเมื่อหลายสิบปีก่อน
หลวงปู่ "ข้าเคยอธิษฐานขอคาถาจากอาจารย์ธรรมโชติเพราะเห็นคนเขาลักของของวัด บางทีข้านอนอยู่ยังลักไปต่อหน้าต่อตา เขาเล่ากันว่าที่วัดของท่าน ใครลักของไปต้องเอามาคืนหมดพระอาจารย์ธรรมโชติองค์นี้เป็นผู้ที่มีอาคมขลังในสมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒และท่านเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมอยู่ในค่ายบางระจันเพื่อต่อสู้กับอริราชศัตรูคือพม่า"
ลูกศิษย์ "อาจารย์ธรรมโชติท่านสั่งให้ผมมาเรียนหลวงลุงว่าคาถาที่ขอนั้นยังเป็นโลก ติดอยู่ในโลกไปไม่ได้แต่วิธีการของหลวงลุงเป็นการทำตัวให้พ้นโลกที่ท่านทำนั้นสูงอยู่แล้ว"
หลวงปู่จึงพูดกับผู้เขียนว่า
"ที่จริงข้าลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะขอมานมนานกาเลแต่ท่านยังอุตส่าห์บอกถึงข้าจนได้"
จากหนังสือ : 101 ปี หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญไฟล์ที่แนบมา:
-
-
Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
หลวงปู่ดู่ กับ หลวงพ่อคง
หลวงปู่เคยเล่าถึงหลวงปู่คงว่า
"ท่านอยู่วัดกุฎีดาวมีอภินิหารมากสามารถนั่งบนผ้าอาบน้ำฝน ลอยไปบนน้ำ เข้าไปในเขตพระราชฐานของพระเจ้าแผ่นดินพวกสนมกำลังอาบน้ำอยู่ตกใจกัน พระเจ้าแผ่นดินสั่งให้ตามจับ ไปถึงวัดหาไม่พบจึงบอกอุบายให้นิมนต์พระสงฆ์ในวัดทั้งหมดให้เข้าไปฉันในวัง แต่หลวงพ่อคงไม่ยอมไปจึงสั่งให้ทหารตามไปถึงวัด ซึ่งท่านปิดกุฏิไม่ยอมออกมา เลยให้ทหารเอาไฟเผากุฏิหลวงพ่อคงถอนกุฏิลอยหนีสูงเทียมดาว เลยชื่อวัดกุฎีดาวตั้งแต่นั้นมาก่อนจะไปท่านบอกว่า อยู่ไม่ได้ เพราะราชาไม่อยู่ในธรรม แต่กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดีแล้วท่านก็ไปอยู่ที่พิมายทางโคราช เดี๋ยวนี้ยังมีสระน้ำที่ท่านทำไว้คนไหนอยากได้น้ำมนต์ก็ไปตักเอา"
ผู้เขียนเคยนั่งสมาธิพบหลวงปู่คงได้กราบเรียนถึงหลวงปู่ดู่ หลวงปู่คงท่านบอกว่า
"อาจารย์แกนั้น ท่านมีบารมีสูงมาก บารมีเต็มแล้ว แต่ยังมีเมตตาต่อลูกศิษย์ ตัวข้าเองสามารถเดินบนน้ำได้ แต่อาจารย์แกสามารถเดินบนอากาศได้ ไม่เชื่อลองไปถามดูก็ได้"
เมื่อผู้เขียนกราบเรียนให้หลวงปู่ทราบ ท่านไม่ได้ปฏิเสธ แต่ได้พูดว่า
"ข้าขอโมทนาด้วยที่แกสามารถรู้ถึงความลับของข้าได้"
หลวงปู่คงเคยให้คาถาผู้เขียนไว้เกี่ยวกับการแก้อาการปวดเมื่อย ใครจะนำไปใช้ก็ได้ มีดังนี้
"พุทธังหาย ธัมมังหาย สังฆังหาย
นวดด้วย พระพุทธัง พระธัมมัง พระสังฆัง
จะลุกขึ้น เดินนอนนั่ง ให้มีกำลังวังชา
หายจากพยาธิโรคา จงมีแก่ข้า ประสิทธิเม"<O:p</O:p
ถ้าจะให้คนอื่นให้ว่า "จงมีแก่เจ้า ประสิทธิเต"
จากหนังสือ : กายสิทธิ์ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เข้าเว็บถ้ำเมืองนะแล้วหาเว็บบอร์ดไม่เจอเลยครับพี่บอย
หน้า 2 ของ 277