ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เหตุการณ์ประหลาดและลางบอกเหตุ ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับ EPISODE I



    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>



    เรื่องแรกเหตุการณ์ประหลาด:-ในวันนี้หลังจากกลับจากการไปพบอาจารย์(ตาที่สาม)แล้ว เมื่อถึงบ้านซึ่งอยู่ที่ปากน้ำบริเวณใกล้ตลาด คนในบ้านได้เล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นลำแสงประหลาดบริเวณท้องฟ้าเป็นลำแสงสีขาวเป็น 2-3 ลำแสงอยู่ระดับก้อนเมฆต่อมาลำแสงต่ำลงมาในระดับสายตาเมื่อเงยหน้าขึ้นคือสูงกว่าระดับสายตาปกติเล็กน้อย แต่ไม่มีใครพบเห็นที่มาของลำแสง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 13 ก.ค.48 เวลาประมาณ 19.45-20.45 น.รวมเวลาที่เกิดเหตุการณ์ประมาณ 1 ชั่วโมงโดยลำแสงดับลงเมื่อผมไปถึงบ้านได้เล็กน้อยแต่ผมไม่ทันได้ดูครับ ทั้งนี้มีผู้เห็นเหตุการณ์เฉพาะที่บ้านประมาณ 3-4 คนครับ

    เรื่องที่สอง:- ในระยะนี้มีคนที่ทำงานภรรยาผมฝันว่าน้ำท่วมบ้านในระดับที่สูงมากๆอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อได้ว่ายน้ำขึ้นมาได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องหลายครั้งทีเดียว ซึ่งคนที่กล่าวถึงนี้เขามีเซ้นท์พิเศษ จากหลายเหตุการณ์ที่หลายคนได้ประสบจากตัวเขามา



    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย คน153 [13 ก.ค. 2548 , 22:49:04 น.] [​IMG] </B>[/font]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ข้อความ 1[/font]



    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ไม่ทันสังเกตุอะครับ แต่ช่วง 19.00 ผมออกจากลานจอดรถคาร์ฟูรามอินทรา เห็นท้องฟ้า ด้านหลังคาร์ฟู มันแปลกๆ สีมันฟ้าน้ำเงินมาก ราบเรียบราวกับภาพวาด เหมือนอยู่ในความฝันน่ะครับ แปลกกว่าที่เคยเห็นมา แต่ไม่ได้เอะใจอะไร[/font]



    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย . (CraZyBMW) [13 ก.ค. 2548 , 22:57:48 น.] [​IMG] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ข้อความ 2[/font]

    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]เมื่อเช้าก็ฝันค่ะ ว่าน้ำท่วมไปหมด ท่วมเข้าไปถึงในรถระดับศีรษะคนขับ

    แถมเห็นงูตัวบะเร่งประมาณอนาคอนด้า ในนั้นสะอีก
    [/font]


    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย ตัวกลมๆ [14 ก.ค. 2548 , 10:09:53 น.] [​IMG] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ข้อความ 3[/font]

    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ปรากฏการณต่างๆๆ ที่เกิดขึ้น ให้คอยสังเกตุดูว่า มา จากทางทิศตะวันออกใช่หรือไม่ ขอให้สังเกตุอีกครั้ง มันจะเกิดอีกหลายครั้ง คอยดูอีกทีครับ[/font]



    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย ขนมปัง [14 ก.ค. 2548 , 10:25:20 น.] [​IMG] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ข้อความ 4[/font]

    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]อยากรู้จังว่าแสงที่ว่านั่นหมายถึงอะไรแล้วจะเกิดขึ้นที่ไหนบ้างอะคะ[/font]



    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย สาวขี้แยกับชายขี้อ้อน [14 ก.ค. 2548 , 16:07:06 น.] [​IMG] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ข้อความ 5[/font]

    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]คุณตัวกลมฝันคล้ายๆคนที่ผมรู้จักและเขามีเซ้นท์ด้วยครับ ฝันคล้ายกันมาก ในช่วงนี้เขาฝันถึงแต่น้ำท่วม ซ้ำๆ บ่อยๆ ถี่ๆ ก็แปลกดีครับ[/font]



    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย คน153 [14 ก.ค. 2548 , 21:40:31 น.] [​IMG] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    แหล่งที่มาhttp://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vboard.php?user=pimonracha</FONT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2005
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เหตุการณ์สำคัญในปี 2548
    จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
    โดยมงคล กริชติทายาวุธ
    วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2547
    เวลา 23.48 น.


    เดิมผู้เขียนตั้งใจว่าจะไม่เขียนเหตุการณ์ในอนาคต เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เนื่องจากมีปัจจัยปรุงแต่งทำให้แปรผันไปได้ค่อนข้างมาก แต่ก็ทนการรบเร้าของบรรดาลูกศิษย์ลูกหา และเพื่อนฝูงคะยั้นคะยอตลอดเวลามิได้ ก็เลยจำเป็นต้องค้นหาคำพยากรณ์ของนักพยากรณ์ชาวไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีทั้งพยากรณ์สอดคล้องกันในบางเรื่อง และขัดแย้งกันในบางเรื่อง นำมาเล่าสู่กันฟังโดยย่อเพียง 3 ท่าน ดังนี้

    1. คำพยากรณ์ของโหรโสรัจจะ นวลอยู่ ท่านพยากรณ์ว่า
    เมื่อว่ากันในแง่โหราศาสตร์ ปี ๒๕๔๘ ยังเป็นปีแห่งการก่อการร้ายหนักที่สุด ประวัติ- ศาสตร์ชาติไทยจะเต็มไปด้วยความสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ และไฟเผาผลาญทุกหนทุกแห่ง
    ภายในรัฐบาลจะมีการแตกแยกทางความคิด ประเทศจะประสบปัญหาภัยแล้งขาดแคลนน้ำอย่างที่ไม่เคยประสบมาในรอบร้อยปี

    การวู่วามใด ๆ รังแต่จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ การปลุกระดมม็อบในปีนี้ ควรละเว้นเนื่องจากราหูเป็นวินาศกับลัคน์ บ่งถึงว่าถ้าดื้อรั้นจะเอาแต่ฝ่ายตนท่าเดียว โดยมิได้ผ่อนปรนใด ๆ บ้านเมืองคงระส่ำ และจะเป็นการปลุกให้ผู้ถืออาวุธทนไม่ไหวต้องโดดเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ มันจะไปกันใหญ่ นอกจากทุกข์ภัยจะเล่นงานเอาอย่างอ่วมอรทัยแล้ว น้ำผึ้งหยดเดียวก็จักบันดาลให้เกิดอะไรต่ออะไรที่เลวร้ายอย่างใหญ่หลวงได้
    สิ่งที่น่าจะสนใจคือในเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๘ ดาวบาปเคราะห์อังคารเดินเข้ามาทับลัคน์ อันให้โทษอย่างรุนแรง และมีดาวบาปเคราะห์ทำมุมปลายหอกกับบ้านเมือง เป็นปรากฏการณ์อันร้ายกาจ หากนักการเมืองผู้ใดปลุกระดมหรือก่อชนวนใด ๆ ที่รุนแรงขึ้นมาระยะนี้ มันจะบานปลายลุกลามออกไปใหญ่โตจนยากที่จะแก้ไขได้
    ส่วนปัญหาทางภาคใต้ อาจจะเพิ่มความรุนแรง มีการก่อการใช้อาวุธที่มีอานุภาพรุนแรง โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายทั้งภายในและภายนอก ทำให้สูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก สถานที่ราชการและโรงเรียนอาจถูกเผาทำลายไปเป็นจำนวนมากในปี 2548 เรื่องราวจะบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ ด้วยทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองยังไม่อาจจะสะสางให้ได้ทราบความจริง หรือเพียงแต่ว่าความจริงบางอย่างเปิดเผยออกมา จะต้องมีจังหวะเวลาอันสมควรด้วย ย่อมกระทบกระเทือนต่ออะไรมากมาย รวมทั้งสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศอาจมีปัญหา
    การยั่วยุของฝ่ายที่ประสงค์ให้เกิดการแตกแยกภายในประเทศ ทั้งด้านการเมือง การปกครอง ด้านศาสนา จะเป็นจุดระดมโหมสรรพกำลังเข้ามาเพื่อทดสอบความใจเย็นและความละเอียดรอบคอบของรัฐบาลทั้งสิ้น
    เศรษฐกิจของไทยสยาม ก็คงเป็นเหมือนในปัจจุบัน ตราบใดที่การบ้านการเมืองยังไม่เป็นส่ำ การถือพรรคแบบมืดหน้ามัวตา ไม่ดูตาม้าตาเรือจะเอาแต่เรื่องของพรรคพวกตน ไม่ยอมรอมชอมกันก็ไม่อาจจะทำอะไรรุดหน้าไปได้ บ้านเมืองมิใช่ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เมื่อไรที่ทุก ๆคนมีสิทธิ์ จึงจะลดละความเป็นตัวเองไปได้เสียบ้างก็จะดี
    เศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่สามารถแก้ไขได้ในปี 2548 พร้อมกับเศรษฐกิจทั่วโลกก็ประสบปัญหาเช่นกัน อันเนื่องมาจากขาดแคลนเชื้อเพลิงน้ำมันไปทั่วโลก ประชาชนไทยเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้ายิ่งกว่าปีก่อน เป็นปีแห่งความหายนะทางเศรษฐกิจถึงขั้นล้มละลาย ธนาคารของรัฐไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาได้ ธนาคารแต่ละแห่งเกิดการแตกแยก ทั้งเล็กทั้งใหญ่ต้องปิดตัวเองลง ตลาดหุ้นถูกกระทบอย่างหนัก ท้องร่วงตลอดทั้งปี และต้องปิดตัวเองลง มีคนเล่นหุ้นและเล่นหวยฆ่าตัวตายเป็นเบือ พลเมืองคนไทยประสบความยากจนค่นแค้น เกิดโจรขโมย ปล้นฆ่าเพื่อความอยู่รอดและอาหาร เพื่อประทังชีวิตที่แสนลำเค็ญ
    ประกอบกับรัฐได้ซ้ำเติมด้วยการขึ้นค่าสาธารณูปโภคทุกรูปแบบ รวมไปถึงการตกลงซื้อขายรัฐวิสาหกิจบางแห่ง จึงเกิดการประท้วงลุกลามเกิดการชุมนุมใหญ่เป็นการจราจลไปทั่วประเทศ
    รายปลายปี น้ำป่าเริ่มไหลบ่าจากทางภาคเหนือและอีสานลงมาทางใต้ต่อเลย มาถึง กรุงเทพฯ จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ที่สร้างเมืองมา แหล่งน้ำทั้งเล็กและใหญ่จะพังทลายฯ
    บุคคลสำคัญทรุดโทรม และมีการสูญเสียครั้งสำคัญ และการกลับมาของโรคระบาด
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ข้อมูลงานวิทยาศาสตร์ทางจิต ปี 2547

    คัดลอกมาจาก
    http://www.buddhapoem.com/webboard/show.php?No=460242

    ผมได้ไปงานวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ผ่านมา ซึ่งจัดที่รามสแควร์ ได้อะไรติดไม้ติดมือมาพอสมควรเลย ส่วนใหญ่เป็นพวกหนังสือลดราคา ได้ไปทดลองพวกเครื่องมือทดสอบทางจิตต่างๆ สักการะพระบรมธาตุและอรหันตธาตุด้วย แต่สังเกตุว่าส่วนที่คนนิยมไปดูมากสุดคือส่วนของการตรวจแสงออร่าโดยอ.อาชวิน ผมเลยลองกับเขาบ้างทำบุญไป 100 บาทเท่านั้น ได้รู้ทั้งสุขภาพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองดูแลเราอยู่ด้วย แปลกดีครับ แต่ก็ตื่นตาตื่นใจไปทั้งงานเลย

    ขอเล่าเพิ่มเติมครับ เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย..ผมได้เห็นอาจารย์เทพนม เมืองแมนนำรูปถ่ายหลายรูปซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นรูปเป็นแสงสว่างรูปร่างเหมือนคนจริงๆเต็มตัว แล้วก็ค่อยๆคอขาด,แขน-ขาขาดออกจากตัว นำไปถามอาจารย์อาชวินที่ชมรมคนเห็นผี แล้วท่านได้เชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากรูปถ่ายออกมาให้ความหมาย ซึ่งได้คำตอบว่า "จะมีบุคคลสำคัญของประเทศโดนระเบิดหัวขาดและแขนขาขาดหมดเลย และจะเกิดขึ้นในปีหน้านี้เองประมาณเดือนกรกฏาคม-สิงหาคมปีหน้า(2548) หลังจากนั้นอาจารย์เทพนมถามไปว่าบุคคลนั้นชื่ออะไร แต่อาจารย์อาชวินกลับบอกว่าบอกไม่ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมบอกว่าใคร.." เล่าสู่กันฟังเพลินๆครับ ประสพการณ์เล็กน้อยจากงานวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ผ่านมานี้เอง...

    Response no.2 From: สงสัยจัง
    9 Dec 2004 23:39 #747690
    <!-- / message -->
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    หลวงปู่เทพโลกอุดรเตือนภัย..........โดยพุทธญาณ



    **หลวงปู่เทพโลกอุดร-เตือนภัย**....บ้านเมืองวุ่นวายหนัก !!..ถึงขั้นนองเลือด เพราะวิบากกรรมฆ่า"ไก่"......

    หลวงปู่เทพโลกอุดร-เตือน ระวังนองเลือดหลังเลือกตั้ง...

    ชี้วิบากกรรมหนัก ต้องชดใช้กรรม ที่ฆ่าไก่หลายสิบล้านตัว แรงอาฆาตส่งความรุนแรงทั่วประเทศ ต้องแก้เคล็ด ภาคใต้เจอกรรมตามซ้ำ ซัดเศรษฐกิจ
    ร่วง[​IMG]เหนือแผ่นดินไหว โจรก่อการร้ายมีอำนาจ สร้างเครือข่ายคลุมทั่วโลก!!!....
    จากเหตุการณ์สึนามิ ที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ที่ประสบภัยธรรมชาติ เป็นจำนวนมาก จน ณ เวลานี้ ก็ยังไม่มีใครลืมภาพอันโหดร้ายนั้นได้ และมีการเตือนเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อจากสึนามิมากมาย ทั้งจากญาณวิเศษของพรหม เทพ และการปรากฏกายให้เห็นของพระเถระ ผู้บรรลุอรหันต์ แต่ยังคอยปกปักดูแลประเทศชาติ เมื่อเกิดภัยพิบัติ อันจะทำลายเผ่าพันธุ์มวลมนุษยชาติ เมื่อถึงเวลานั้น ท่านจะออกมาเตือน โดยผ่านลูกศิษย์ที่สั่งสมบุญบารมีมาร่วมกับท่าน.....



    ผู้ตั้งกระทู้ พุทธญาณ ( buddhayan@hotmail.com ) ::วันที่ 15-07-2005 13:42:47 <!-- End Show Question --><!-- Start Answer Loop -->
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=content style="BORDER-RIGHT: #ffff00 1px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #ffff00 1px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #ffff00 1px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #ffff00 1px solid">ความเห็นที่ 1 (161097)


    อาจารย์บุญหนา ทวีจิตร์ เป็นผู้หนึ่ง ที่สั่งสมบุญบารมีมา พร้อมกับหลวงปู่โลกเทพอุดร จึงมีโอกาสประสบกับท่านเสมอเมื่อคราโลกมีภัย และเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2547 หลวงปู่ได้ออกมาเตือน ว่าปลายเดือนธันวาคม คนจะตายเหมือนไก่ วิ่งหนีเหมือนไก่ ฝังเหมือนไก่ และจะตายเป็นเบือเร็วๆนี้ จากนั้นไม่นาน ได้เกิดภัยธรรมชาติที่เรียกว่า"สึนามิ" สร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศ ต่อมาปลายเดือนมกราคม 2548 โรคระบาดทั้งเก่าและใหม่ ยังคงแพร่กระจายไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดนกกลายพันธุ์ จะแพร่กระจายทางอากาศ ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเชื้อโรคเหล่านี้ได้ อีกทั้งจะไม่มีวัคซีนและยาใดๆรักษาทำลายเชื้อโรคนี้ได้ ส่งผลให้ผู้คนตายเป็นหมื่นอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นโรคติดต่อ มีศพเกลื่อนเมือง ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว จนกระทั่งถึงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้ ก็ยังมีการเก็บศพจากเหตุการณ์สึนามิอยู่อย่างต่อเนื่อง.......
    ผู้แสดงความคิดเห็น Admin ( ) วันที่ 15-07-2005 13:55:03

    </TD></TR><TR><TD bgColor=#66ffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=content style="BORDER-RIGHT: #ffff00 1px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #ffff00 1px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #ffff00 1px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #ffff00 1px solid">ความเห็นที่ 2 (161141)


    อาจารย์ครับกระทู้นี้อาจารย์ ขยายความเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนะครับผมจะเข้ามาอ่านเรื่อยๆครับ ผมสนใจรายละเอียดต่างๆครับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆอีกหลายๆคนก็คงสนใจเหมือนกันครับ


    ผู้แสดงความคิดเห็น พรชัย ( pornchai_mawilai@yahoo.com ) วันที่ 15-07-2005 14:30:19

    </TD></TR><TR><TD bgColor=#66ffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=content style="BORDER-RIGHT: #ffff00 1px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #ffff00 1px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #ffff00 1px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #ffff00 1px solid">ความเห็นที่ 3 (161284)


    [​IMG]เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2548 อาจารย์บุญหนา ได้รับคำบัญชาจากหลวงพ่อปู่เทพโลกอุดร ให้แจ้งข่าวไปยังสานุศิษย์ว่า หลังจากการเลือกตั้งแล้ว จะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองถึงขั้นนองเลือด เพราะเหตุจากวิบากกรรม ที่ทางราชการสั่งการที่ฆ่าเป็ดไก่ เป็นจำนวนมาก วิญญาณเป็ดไก่เหล่านั้น จึงอาฆาตพยาบาทอย่างยิ่ง เพราะถูกมนุษย์เหยียดหยาม ฆ่าทั้งเป็น ฝังทั้งเป็น แรงพยาบาททำให้เกิดเหตุการณ์ทวีความรุนแรง ขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง เศรษฐกิจ จนไม่สามารถหยุดยั้งได้ ถ้าไม่ทำพิธีแก้เคล็ด.....อาจารย์บุญหนา แนะวิธีแก้เคล็ดว่า ให้ผู้บริหารประเทศหล่อรูปไก่แจ้ ด้วยทองสำริด จากนั้นประกอบพิธีพราหมณ์บวงสรวงขออโหสิกรรมแก่วิญญาณไก่เป็ด ที่ถูกฆ่าตายและเลี้ยงพระ 9 รูป อุทิศส่วนกุศลให้ด้วย ทั้งให้สานุศิษย์ของหลวงปู่เทพโลกอุดร ร่วมใจทำกุศลร่วมครั้งนี้โดยด่วน เพื่อความปลอดภัยของประเทศชาติ.....

    นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 31 ธัวาคม 2547 หลวงพ่อปู่เทพโลกอุดร ได้เตือนผ่านทางหมอโสรัจจะ นวลอยู่ ว่าในเดือนมีนาคม 2548 จะสูญเสียคนสำคัญของประเทศ ข้าราชการต้องถูกปลดออกจากงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่ เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงทางภาคเหนือ เหล่ามิจฉาชีพ อันธพาลก่อเหตุไม่เว้นแต่ละวัน โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย บ้านเมืองเกิดคดีข่มขืน จี้ ปล้น ลักพาตัว ระบาดไปทั่วประเทศ ส่วนทางภาคใต้ ทหารไทยและทหารมาเลเซีย จะร่วมมือกันโจมตีผู้ก่อการร้ายโดยวิธีรุนแรง ใช้การบุกหนักและรบกันอย่างยืดเยื้อ.....จากคำเตือนนี้ แม้ว่าผู้ที่เตือน จะปรากฏกายให้เห็นในร่างที่ไม่ซ้ำกัน แต่ท่านก็เป็นพระเถระ ที่ชนรุ่นหลังนับถือเรื่อยมา หากใครเชื่อก็ปฏิบัติตามพร้อมทั้งระวังภัยที่ท่านเตือน หากใครไม่เชื่อ ก็ให้นำคำเตือนของท่านมาคิดควบรวมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน.......


    ผู้แสดงความคิดเห็น พุทธญาณ ( buddhayan@hotmail.com ) วันที่ 15-07-2005 16:12:03

    </TD></TR><TR><TD bgColor=#66ffff colSpan=2>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=550 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=content style="BORDER-RIGHT: #ffff00 1px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #ffff00 1px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #ffff00 1px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #ffff00 1px solid">ความเห็นที่ 4 (161311)


    ในภาพคือหลวงปู่เทพโลกอุดร กับอจ.บุญหนา ฯ ธรรมญาณคุยเล่าให้ผมฟังว่า หลวงปู่มาหาหลายครั้งๆ หลังมาในรถยนต์ เป็นภาพเล็กๆเหมือนในภาพแรกที่ลงในเว็บฯนี้ ซึ่งคัดลอกมาจาหนังสือสาส์นสวรรค์ หลังจากที่ผมให้เทปหลวงปู่ 5 ม้วนซึ่งบูชามาจาก"ไทยดำ" ไปฟัง ธรรมญาณบอกว่าจะนำไปคัดลอกลงแผ่นซีดี ไว้จำหน่ายจ่ายแจกผู้สนใจต่อไป ผมเองฟังได้แค่ 3 ม้วน คงต้องเอามาฟังต่อเมื่อธรรมญาณส่งคืนแล้ว มีเพื่อนรุ่นน้องอีกคนเป็นหัวหน้าพาพวกผมทัวร์ทำบุญสร้างพระไปทางภาคเหนือ ภาคอีสานเป็นสิบๆครั้งแล้ว เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่มาพบเขาหลายหนแล้ว เรื่องการหล่อพระที่โน่นที่นี่ มาแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน และเคยได้ตักบาตรหลวงปู่ด้วยที่หน้าบ้านแถวประตูน้ำ ท่านเดินบิณฑบาตรองค์เดียว เอาจีวรคลุมบาตรด้วย เดินมาเขาไปใส่บาตรโดยไม่รู้ว่าเป็นหลวงปู่ ท่านก็เปิดบาตรให้ใส่ เปิดมาร้องโอ้.....ข้าวสีเหลืองอ่อนหอมฟุ้งไปหมด กับข้าวเต็มบาตร ใส่แล้วกลับหันมามองน้องๆที่บ้านจะออกมาใส่บาตรบ้าง หันกลับมาแป้บเดียวท่านก็หายไปแล้ว แบบไร้ร่องรอย......จึงนึกขึ้นได้ว่าต้องเป็นหลวงปู่แน่ๆ....เรื่องหลวงปู่เป็นเรื่องจริงที่ลึกลับมาก ผมเองยังไม่เคบพบ หรืออาจเคยพบแล้วผมไม่รู้ตัวก็ได้ บางคนบอกผมว่ารู้ไหมว่าผมเป็นคนที่รู้จักหลวงปู่อย่างดีที่สุดคนหนึ่ง ที่ผมเคยพูดว่าไม่เคยพบเห็นหลวงปู่เลย แท้จริงแล้วหลวงปู่อยู่กับผมอยู่แล้ว แต่ผมไม่รู้เอง พระทุกองค์สมัยวังหน้าที่ผมมี ก็มีองค์หลวงปู่อยู่ทั้งนั้น แถมมีเทวดาเฝ้าด้วย1-2องค์แน่ะ ธรรมญาณก็เคยกระซิบว่า ถ้าอยากรู้ว่าตัวผมเป็นใคร ก็ให้ไปที่วังหน้า ไปอธิษฐานจิตที่นั่น หรือหาพระรูปของร.1 มาติดที่บ้านไว้บูชา ก็จะรู้เองว่าตนเองเป็นใครในอดีตชาติ มีอีกคนหนึ่งเป็นลาดกระบังรุ่นน้องเขาก็มาบอกว่า พี่ที่เข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับพระยาพิชัย(ตามที่พระองค์หนึ่งบอก) ที่จริงท่านบอกเป็นนัยว่าเป็นทหารเอกของพระเจ้าตาก แต่ความจริงทหารเอกของท่านมีตั้ง5-7 คนแน่ะ เขาบอกว่าผมกับพี่น่ะ ไม่ใช่หรอก สับตัวกันต่างหาก......ผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เฉยๆ มันเป็นเรื่องอดีต จริงหรือไม่จริง พิสูจน์ยังไม่ได้ ผมจะเชื่อก็ต่อเมื่อผมระลึกชาติได้จริงๆ รู้เอง เห็นเองเท่านั้น แล้วเรื่องเจโตฯพวกนี้ผมก็ไม่ชอบ ไม่สนใจเสียด้วยซี เป็นงั้นไป.......มันบอกได้เพียงว่าเราผ่านวัฏสงสารเวียนเกิดเวียนตายมานานมากแล้ว ไม่กลับมาเกิดอีกน่ะดีที่สุดแล้วละ.......

    ผู้แสดงความคิดเห็น เนิน นราธร ( nern.naratorn@gmail.com ) วันที่ 15-07-2005 16:39:50

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    คัดลอกมาจากhttp://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&Category=buddha-dhammacom&thispage=1&No=67655
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2005
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    สัญญาณวันสิ้นโลก

    สัญญาณวันกิยามะห์ท่านเชคอาลี อาลี มูฮำหมัด ได้กล่าวถึงสัญญาณวันกิยามะห์ไว้ในหนังสือของท่านนบี ที่ชื่อว่า "อัซร็อตอัซซาอะห์" ดังต่อไปนี้

    สัญญาณย่อย ได้แก่
    1. แผ่นดินไหวจะมีมาก
    2. ลมพายุจะรุนแรง
    3. ความตายจะดาษดื่น (จากโรคร้าย)
    4. มนุษย์จะแข่งขันประดับประดามัสยิด
    5. คนโกหกจะได้รับความเชื่อถือ คนพูดจริงกลับถูกมองว่าโกหก
    6. คนทุจริตจะปลอดภัย คนไว้วางใจได้กลับถูกบิดพริ้ว
    7. การผิดประเวณี (ซินา) จะดาษดื่น
    8. สุรา ดอกเบี้ย เป็นสิ่งอนุมัติ
    9. ในมัสยิดมีเสียงอึกทึก
    10. คนรุ่นหลังจะประณามคนรุ่นก่อน
    11. ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นทุกหัวระแหง
    12. ผู้ใหญ่จะรับใช้เด็ก
    13. อุตริกรรม (บิดอะห์) จะปรากฎชัด
    14. ความอายจะน้อยลง
    15. สตรีจะประพฤติตัวเหมือนบุรุษ ส่วนบุรุษจะประพฤติตัวเหมือนสตรี
    16. สตรีจะนุ่งน้อยห่มน้อย
    17. ผู้ทุจริตได้รับการช่วยเหลือ ผู้ถูกละเมิดกลับถูกทอดทิ้ง
    18. ผู้คนจะอ่านอัลกุรอานกันเพียงลิ้น (ขาดการกฏิบัติตาม)
    19. การนินทาให้ร้ายจะมีมาก
    20. การสาบานด้วยสิ่งอื่นจากอัลเลาะห์จะมีมาก
    21. การหย่าร้างเกิดขึ้นมาก
    22. ความชั่วช้าเลวทราบจะปรากฎชัด
    23. มนุษย์จะปฏิบัติตามอารมณ์กิเลสและตัณหา
    24. บุรุษจะถูกทำลาย เพราะทรัพย์สินเป็นเหตุ
    25. มนุษย์จะตัดขาดญาติมิตร
    26. สมาธิของคนละหมาดจะหายไป
    27. ประชาชาติจะแตกออกเป็น 70 กว่าจำพวก
    28. วันและเวลาจะสั้นลง จนกระทั่งหนึ่งปีเสมือนหนึ่งเดือน และหนึ่งเดือนเสมือนหนึ่งสัปดาห์ และหนึ่งสัปดาห์เหมือนหนึ่งวัน
    29. การแต่งงานเกิดขึ้น เพราะสมบัติเป็นเหตุ
    30. เรื่องราวของมนุษย์ ล้วนเป็นความโลภโมโทสัน
    31. การตลาดจะฝืดเคือง
    32. การให้เกียรติจะน้อยลง แต่การเหยียดหยามจะมากขึ้น
    33. ความรับผิดชอบจะหายไป ความวุ่นวายสับสนจะแทนที่
    34. ศาสนาจะถูกซื้อขายด้วยวัตถุทางโลก (ดุนยา)
    35. หัวใจมนุษย์หมดสิ้นจากความดี
    36. ทานบังคับ (ซะกาต) ถูกนำมาจำหน่ายค่าแรงและถูกมอบให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิรับ
    37. บุรุษจะฆ่ากันโดยไร้เหตุผล
    38. ความรู้จะถูกเก็บ คนโง่จะขึ้นแสดงธรรม (บนมิมบัร)
    39. เด็กที่เกิดจากการผิดประเวณีจะมีมาก
    40. คนที่มีลูกหลานต้องโศกเศร้า เพราะการเนรคุณ
    41. สตรีจะทำหน้าที่แทนบุรุษ
    42. เด็กจะไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะไม่เมตตาเด็ก
    43. ความบริสุทธิ์จะหายไปจากการงาน
    44. คนชั่วจะภูมิใจ และโอ้อวดความชั่วของตน
    45. การพนันจะมีมาก
    46. ผู้บริสุทธิ์จะถูกฆ่าเป็นการล้างแค้น (ไม่ใช่การรับใช้ชาติ)
    47. มนุษย์จะถูกเรียกร้องสู่ขุมนรก และหันเหออกจากการภักดีต่ออัลเลาะห์ตาอาลา
    ส่วนสัญญาณใหญ่ ได้แก่
    1. อิหม่ามมะห์ดีปรากฎตัว
    2. ดัจญ้าลเผยโฉม
    3. ท่านศาสดาอีซาจะถูกส่งลงมาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง
    4. ยะญูดและมะญูด พังกำแพงทะลุออกมาได้
    5. มีสัตว์ประหลาดออกมาจากแผ่นดิน
    6. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
    7. มีหมอกควันเกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน
    8. เกิดไฟประลัยกัลป์ออกมาขับไล่ผู้คนไปรวม ณ ชุมนุมสถาน
    9. อัลกุรอาน และความรู้ถูกเก็บ (โดยการล้มตายของบรรดาผู้รู้)

    บทความศาสนาโดย : สมาคมนักเรียนไทย ณ กรุงไคโร
    www.muslimthai.com

    บทความจากคุณฟ้าใส
    ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า หากเราต้องการที่จะทราบว่า ดัจญาลมันมาแล้วหรือยัง นั้นเราต้องสังเกตุจากวิกฤตของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและต้องตีความให้ได้ว่า มันเป็นสัญญาณที่ใกล้แห่งวันอวสานของโลกแล้วหรือยัง เพราะจาก ที่ท่านศาสดาได้กล่าวเตือนไว้แล้วว่า ดัจญาลนั้นคือหนึ่งในสัญญาณใหญ่ ทั้ง 7 ประการ ที่จะต้องบังเกิดขึ้นก่อนวันสิ้นโลก ดังนี้คือ
    1 การปรากฏตัวของอิมามมะฮดี ผู้นำทางจิตวิญญาณ

    2.การเกิดขึ้นของดัจญาล

    3.การกลับมาของนบีอีซา (เยซู)

    4.การปรากฏตัวของญะญูจญ์และมะฮญูจญ์

    5.การลุกขึ้นมาของสัตว์ที่พูดได้

    6.ควันไฟมหึมาในท้องฟ้า

    7.การขึ้นของดวงอาทิตย์ที่ปรากฏทางทิศตะวันตก

    แต่ก่อนที่เราจะพบสัญญาณใหญ่เหล่านี้ได้ เราก็ต้องผ่านสัญญาณเล็ก ๆ มาก่อน ดังนั้นเราต้องสังเกตุและวิเคราะห์ว่าขณะนี้เราได้ผ่านสัญญาณเล็กตามที่ท่านรซูลของอัลลอฮ ได้กล่าวไว้ มาแล้วหรือยัง นั่นคือ

    - การนมาซจะถูกทอดทิ้ง ตัณหาจะถูกชักชวน

    - คนชั่วจะกลายเป็นผู้นำ และมนุษย์ไม่สามรถแยกความถุกต้องออกจากความผิดได้ การโกหกหลอกลวงจะเป็นสิ่งที่ต้องการ

    - การจ่ายซะกาดจะถูกปฏิบัติเหมือนกับภาระที่หนักอึ้งหรือเหมือนกับการจ่ายค่าปรับ

    -ผู้ศรัทธาจะต้องถูกทำให้อับอายที่สุด และเขาก็จะต้องเจ็บปวดเมื่อเห็นความชั่วร้ายต่าง ๆ รอบตัวและหัวใจของเขาจะสลายคล้ายกับเกลือที่อยู่ในน้ำ แต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย

    - ฝนจะไม่ทำประโยชน์และตกตามฤดูกาล

    - ชายจะทำชู้กับชาย หญิงจะทำชุ้กับหญิง และผู้หญิงจะเด่นขึ้น ลุกหลานจะไม่เชื่อฟังพ่อแม่ เพื่อนต่อเพื่อนจะปฏิบัติกันอย่างเลวร้าย บาปทั้งหลายจะกลายเป็นของเล็กน้อย

    - มัสญิดจะมีแต่สิ่งประดิษฐ์ภายนอกที่สวยงามและจะมีผู้ปฏิบัตินมัสการด้วย แต่พวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ตลบแตลง และมีความเป็นศัตรูอยู่ในหัวใจของเขาเหล่านั้น

    -จะปรากฏประชากรจากตะวันตก และพวกเขาจะเข้าครอบครองผู้อ่อนแอในบรรดาประชาชาติของฉัน...ฯลฯ

    โพสต์เมื่อ : 26 เม.ย. 2548 เวลา 09:00 น.



    การมาของท่านนบีอีซา (เยซู)

    อัลลอฮ (ซ.บ.)ทรงตรัสไว้ในอัล-กุรอานว่า

    **และการที่พวกเขา(ยิว)กล่าวว่า..แท้จริงพวกเราได้ฆ่าอัล-มะซีฮ อีซา(เยซู) บุครของมัรยัม รอซูล ของอัลลอฮ และพวกเขาหาได้ฆ่าอีซา และหาไต้ตรีงเขาบนไม้กางเขนไม่..แต่ทว่าเขาถูกทำให้เหมือนแก่พวกเขา* และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งในตัวเขา*(อีซา)นั้น แน่นอนย่อมอยู่ในความสงสัย*เกี่ยวกับเขา พวกเขาหามีความรู้ใด ๆ ต่อเขาไม่ นอกจากคล้อยตามความนึกคิดเท่านั้น และพวกเขามิได้ฆ่าเขา(อีซา)ด้วยความแน่ใจ**อันนิชาฮ 6:157

    หมายความว่า อัลลอฮ ได้ทรงกล่าวว่า แท้จริงพวกยิวมิได้ฆ่าท่านนบีอีซา หรอก แต่พวกยิวได้ไปฆ่ายะฮูซา (ผู้ซึ่งมีหน้าตาคล้ายท่านนบีอีซา)แทน เพราะขณะที่พวกยิวคิดว่าได้จับท่านนบีอีซาไปตรึงไม้กางเขนนั้น.พวกยิวเองก็ยังได้ถกเถียงกันถึงความไม่แน่ใจว่า ผู้ที่ถูกจับมาตรึงอยู่บนไม้กางเขนนั้น จะเป็นยะฮูซาหรือนบีอีซากันแน่ เพราะหากเป็นท่านนบีอีซาจริงแล้ว ยะฮูซาล่ะหายไปใหน และ ..ทั้ง ๆ ที่ยะฮุซาก็ได้ปฏิเสธแล้วว่า เขามิใช่นบีอีซา แต่พวกยิวก็ยังทำการตรึงเขากับไม้กางเขน.ต่อไปในที่สุด..ทั้ง ๆ ที่ยังไม่แน่ใจ

    เมื่อถึงเวลานั้น ท้องฟ้าจะปกคลุมด้วยหมอก มันจะลอยต่ำลงมาปรกคลุมโลกไว้เป็นเวลาสี่สิบวัน หมอกนั้นจะทิ้งโรคประหลาดไว้ให้กับผู้ที่ใช้ชีวิตผิดศีลธรรม มากกว่าคนที่ใช้ชีวิตด้วยความบริสุทธิ์ หลังจากนั้นวันที่สิบของเดือนซุลฮิจญะฮ จะมีช่วงหนึ่งที่ดวงอาทิตย์ไม่ขี้นเป็นเวลาสามวัน จึงทำให้กลางคืนยาวกว่ากลางวัน และระยะเวลาอันยาวนานของกลางคืนนั้น ได้สร้างความวิตกหวาดกลัว แก่ผู้คน เนื่องจากเด็ก ๆ จะรุ้สึกหิวและเหนื่อยอ่อนกับการนอน และสัตว์เริ่มร้องโหยหวญด้วยความหิวโหยเพื่อต้องการจะออกไปแทะเล็มหญ้า แต่มันก็ไม่ยอมสว่างสักที เพราะช่วงเวลานั้นจะมีความยาวเท่ากับสามคืน

    และในวันที่สาม ดวงอาทิตย์จะขึ้น แต่มันได้สร้างความตระหนกและอกสั่นขวัญแขวนแก่มนุษย์โดยทั่วไป เนื่องจากมันได้ไปขึ้นทางทิศตะวันตก มิใช่ตะวันออก และแสงของมันจะริบหรี่และมืดมัวกว่าปกติที่เคยเป็น แต่ในตอนบ่ายเมื่อมันขึ้นยังจุดสูงสุดแล้วมันก็จะคล้อยตัวต่ำลงและไปตกยังทิศเดิมคือตะวันตก ..ตามปรกติ

    และสัญญาณที่ดวงอาทิตย์ขึ้นในทิศตะวันตกนี้ นับว่าเป็นสัญญาณใหญ่ที่ถูกกำหนดไว้สำหรับการสำนึกผิดที่ผ่านมา

    เนื่องจากประตูของการสำหนึกผิด(เตาบะฮ)ได้ถูกปิดลงแล้ว ดังนั้นหลังจากเหตุการณ์นี้ จะไม่มีใครได้รับสิทธิแห่งการสำนึกผิดอีกต่อไป

    เมื่อเวลาแห่งชั่วโมงสุดท้ายมาถึง (อวสานของมนุษยชาติ)

    **พวกเขามิได้พิจารณาดอกหรือว่า เราได้ให้กลางคืนไว้สำหรับพวกเขาเพื่อได้พักผ่อน และกลางวันเพื่อให้เห็นแสงสว่าง แท้จริงในนั้นมีสัญญาณอันมากมายสำหรับหมุ่ชนผู้ศรัทธา และ(จงเตือนให้พวกเขานึกถึง)วันที่แตรถูกเป่าและผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินต้องตื่นตระหนก นอกจากผู้ที่อัลลอฮ ทรงประสงค์ และทั้งหมดจะมาหาพระองค์ในสภาพถ่อมตนและเจ้าจะได้เห็นภูเขาที่คิดว่ามั่นคงปลิวว่อนเหมือนการล่องลอยของเมฆ นั่นคือการกระทำของอัลลอฮ ผู้ทรงทำให้ทุกสรรพสิ่งสมบูรณ์ แท้จริงพระองค์ทรงรู้ถึงสิ่งที่สูเจ้ากระทำ......ฯ* กุรอาน 27:86-90

    และท่านรซูลของอัลลอฮ ได้กล่าวไว้ว่า

    อบูฮุรอยเราะฮ รายงานว่า **ชั่วโมงสุดท้ายจะยังไม่มาถึง จนกว่า ยูเฟรติส จะเปิดเผยให้เห็นภูเขาทองคำ ..อันจะทำให้ผู้คนต่อสู้กัน เก้าสิบเก้าในร้อยคนของพวกเขาจะถูกสังหาร แต่ทุกคนในหมุ่พวกเขาจะกล่าวว่า..บางทีฉันอาจเป็นคนหนีงที่หนีรอดไปได้**โดย มุสลิม

    อบูฮุรอยเราะฮ รายงานว่า ท่านรซูลได้กล่าวว่า**ยังพระองค์ที่ในพระหัตถ์ของพระองค์นั้นคือ วัญญาณของฉัน..โลกจะยังไม่จบสิ้น จนกระทั่งวันหนึ่งมาถึงยังมนุษยชาติ เมื่อฆาตรจะไม่รู้ว่าเขาฆ่าไปทำใม หรือคนที่ถูกสังหาร..ก็ไม่รู้ว่าทำใมเขาจึงถูกฆ่า และมันจะเกิดความยุ่งเหยิง และผู้ฆ่าและผู้ที่ถูกฆ่าจะไปนรก**

    **จงให้ทาน เพราะมันจะมีเวลาหนึ่งซึ่งผู้คนจะออกไปพร้อมกับทานจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง แต่ไม่สามารถหาคนที่จะรับมันได้** รายงานจาก ฮาริษ บินวะฮาบ

    **ชั่วโมงสุดท้ายจะมีมา ต่อเมื่อผู้คนตกอยู่ในความชั่วร้าย** อับดุลลอฮ บินมัสอูด บันทึกโดย มุสลิม

    **ชั่วโมงสุดท้ายจะยังไม่มาถึง จนกว่าทรัพย์สินจะมีอย่างเหลือเฟือ และท่วมท้น จนกว่าชายคนหนึ่งนำเงินซะกาด บนสมบัติของเขามา และหาผู้ใดที่จะมารับมันไปจากเขาไม่ได้ และจนกว่าแผ่นดินอาหรับจะกลายเป็นทุ่งหญ้าและแม่น้ำ** รายงานโดยอบูฮุรอยเราะฮ บันทึกโดย มุสลิม

    และสัญญลักษณ์ของการกลับมาของท่านนบีอีซาและสัญญลักษณ์ก่อนวันอวสานนั้น มิได้มีปรากฏหลักฐานตามอัรกุรอานและอัลฮะดิษเท่านั้น แม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิลฉบับพระธรรม*บารนาบาส*ตอนที่ 52-53 ก็ได้กล่าวไว้ ดังนี้

    **แท้จริงฉันขอบอกกล่าวกับเจ้าว่า พูดกันจากหัวใจแล้ว ฉันสั่นกล้วเพราะว่าจากคำพูดที่ฉันถูกเรียกว่า เป็นพระเจ้า และด้วยการนี้ ฉันจะต้องถูกสอบสวนเท่าที่พระเจ้าทรงพระชนม์ชีพอยู่ ในการคงอยู่ของพระองค์นั้น ทำให้วิญญาณของฉันคงอยุ่ได้ ฉันเป็นเพียงชีวิตที่ต้องตาย เหมือนกับมนุษย์อื่น ๆ ถึงแม้ว่า พระเจ้าจะทรงตั้งฉันให้เป็นศาสดา เหนือประชาชาติอิสราเอล เพื่อสุขภาพของคนง่อยเปลี้ยและการแก้ไขคนบาป ฉันเป็นผู้รับใช้พระเจ้า และการนี้เจ้าต้องเป็นพยาน ฉันพูดต่อต้านคนชั่วเหล่านั้นอย่างไร ผู้ซึ่งเมื่อฉันได้อำลาจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาจะยกเลิกความสัจจริงในคัมภีร์ของฉัน ด้วยกับการทำงานของซาตาน แต่ฉันจะกลับมาอีกในบั้นปลาย และพร้อมกับฉัน อิน๊อกและเอลิยา จะกลับมาด้วย และเราจะมาเป็นพยานต่อต้านเหล่าคนชั่วนี้ ผู้ซึ่งในบั้นปลายจะต้องถูกสาป**

    **ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง(วันอวสานโลก)ความพินาศอันใหญ่หลวงจะมายังโลกนี้ จะมีสงครามอันหฤโหด และไร้ความปราณี ถึงกับว่าพ่อจะสังหารลูกชายและลูกชายจะสังหารพ่อ ด้วยเหตุผลที่คนได้แยกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย อันเป็นเหตุให้เมืองต่าง ๆ ถูกทำลายล้าง และประเทศจะกลายเป็นทะเลทราย โรคร้ายจะมีมา จนถึงว่า ไม่มีใครจะมาทำการฝังศพได้ทัน

    ดังนั้นพวกเขาจะถูกทิ้งไว้ให้เป็นอาหารของสัตว์ สำหรับผู้มีชีวิตที่เหลืออยู่ พระเจ้าจะส่งความยากจนข้นแค้นมาให้ถึงกับว่าขนมปังจะมีราคาเท่ากับทองคำ และพวกเขาจะกินอาหารที่สกปรกที่สุด.................ฯ

    หลังจากนี้ เท่าที่วันนั้น(วันอวสานโลก)คืบคลานเข้ามาใกล้เป็นเวลาสิบห้าวัน ซึ่งในทุกวันจะมีสัญญาณอันน่าสะพึงกลัว มีมาเหนือพลโลก ในวันแรก ดวงอาทิตย์จะโคจรไปบนท้องฟ้าโดยปราศแสงสว่างแต่ดำมืดเหมือนกับการย้อมผ้า และมันจะส่งเสียงคร่ำครวญ..........ฯ วันที่สอง ดวงจันทร์จะถูกเปลี่ยนให้เป็นเลือด และเลือดจะตกมายังโลกเหมือนน้ำค้าง วันที่สามจะเห็นดาวต่อสู้กันเองเสมือนหนึ่งกองทัพที่เป็นศัตรูกัน วันที่สี่ ก้อนกรวดและก้อนหินจะพุ่งเข้าหากัน เหมือนศัตรูที่โหดร้าย วันที่ห้า ต้นไม้ใบไม้ทุกใบจะร่ำไห้เป็นสายเลือด

    วันที่หก ทะเลจะเอ่อสูงขึ้นมาโดยมิได้เคลื่อนออกจากที่ของมัน ซึ่งความสูงหนึ่งร้อยห้าสิบคิวบิท และจะยืนอยู่เช่นนั้นเสมือนหนึ่งกำแพง วันที่เจ็ด มันจะทำในทางตรงกันข้ามคือลึกลงไปจนยากแก่การมองเห็นได้ วันที่แปด นกและบรรดาสัตว์บนพื้นดินและในน้ำจะรวมตัวของพวกมันมาใกล้กัน และจะส่งเสียงคำรามและร่ำไห้ วันที่เก้า จะมีพายุลุกเห็บอันน่าสยดสยอง ฯ วันที่สิบ จะมีมาซึ่งฝ้าแลบและฟ้าผ่าอันน่าสยดสยอง ถึงขนาดที่ว่าส่วนที่สามของภูเขาจะแยกตัวออกมาและไหม้เกรียม

    วันที่สิบเอ็ด แม่น้ำทุกสายจะไหลทวนกระแสขึ้นไป และไหลเป็นเลือดมิใช่น้ำ วันที่สิบสอง มวลสรรพสิ่งที่ถูกสร้างจะคร่ำครวญและร่ำไห้ วันที่สิบสาม ฟากฟ้าจะถูกม้วนเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง และมันจะตกลงมาเป็นไฟ ดังนั้นสิ่งที่มีชีวิตทุกขนิดจะตาย วันที่สิบสี่ จะเกิดแผ่นดินไหวอันน่าสะพีงกลัวถึงกับว่ายอดภูเขาจะบินไปในอาศเสมือนนก และพื้นดินทั้งหมดจะราบเรียบ วันทีสิบห้า ฑูตสวรรค็จะถึงแก่ความตาย และพระเจ้าจะทรงพระชนม์อยู่ ยังพระองค์คือเกียรติและความจำเริญ..............ฯ

    จากนั้นพระเยซูจึงเอาศีรษะแตะไปที่พื้นและกล่าวว่า การสาปแช่ง จงมีแด่ทุกคนที่ได้เพิ่มเติมเข้าไปในคำตรัสของฉันที่ว่า ฉันเป็นบุตรพระเจ้า* และท่านกล่าวต่อไปว่า*ขอให้เราเกรงกลัวพระเจ้าเสียแต่บัดนี้ เพื่อหว่าเราจะได้ไม่ต้องหวาดกลัวในวันนั้น**

    โพสต์เมื่อ : 7 พ.ค. 2548 เวลา 16:37 น.

    คัดลอกมาจาก http://www.muslimthai.com/board/sho...=2&PHPSESSID=ed88bf1059ba41b80f21780e19e792d7

     
  6. xx

    xx สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +16
    xx
     
  7. chai junjarussree

    chai junjarussree สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณ คุณเกษมมากครับที่เเนะนำคนสำคัญให้รู้จัก(คุณทลิททกะ)
    ผมไปหาอ. อาชวินมาเเล้วอ.บอกว่าให้ฝึกอีก
    ออร่าเเค่ 15 m.( ไม่สบายคับ 1 เดือนเต็มๆ) ออร่าลดขนาด
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    จาริกบุญอิสานใต้ โดย อ.ขนมปัง(ตาที่สาม)<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][/font]

    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ขับรถออกมาตามแผนที่ จุดต่อไปที่จะไป คือ "ผาแต้ม" หน้าผาหินโบราณที่มีภาพสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ริมฝั่งโขง เลี้ยวเลาะมาตามโค้งของถนน ที่ค่อนข้างสะอาดและโล่งพอสมควร เห็นทางซ้ายมือ มี หมู่กองหินประหลาด มีป้ายบอก "เฉลียง" จึงเลี้ยวเข้าไป จอด เห็น มีรถจอดอยู่ก่อนแล้ว 3 คัน คงจะเป็นนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกับเรา
    ออกจากรถลงมายืดแข้วยือขา ต่อ มองเห็น "เฉลียง" ซึ่งก็คือ สภาพธรรมชาติ ของชั้นหินที่ยุบและพังสลายมานานนับ พันนับหมื่นปี ส่วนที่อ่อนก็สลายไป ส่วนที่แข็งก็อยู่ จน คาเป็นรูป เหมือนเห็ดโคนขนาดใหญ่ เป็นหินสองก้อน ซ้อนกัน ก้อนหนึ่งเป็นเสา เป้นแกนตั้ง อีกก้อนหนึ่งเป้นแผ่นแบนเหมือนร่ม คาอยู่ จึงทำให้ดูเป็นของแปลก เขาไปดูใกล้ ๆลองวัดดูโดยเอาตัวเราเป็นมาตรฐาน ตัวก้านสูงราวๆๆ4 เมตร หรือ สองเท่าครึ่งตัวเรา
    ทีทางเดินไปรอบๆๆ บริเวณ เพิ่งสังเกตุว่า ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายกลม เกลื่อนไปหมด ในเนื้อหินภูเขาไฟ ก็มีเม็ดทรายเหล่านี้ ฝังอยู่มาก แสดงว่า แถบนี่เคยเป้นท้องทะเลมาก่อน
    อิสานเคยเป้นท้องทะเลมาก่อน ขุดลงไปลึกๆๆ พบเปลือกหอยโบราณอายุนับล้านปี บางพื้นที่ ขุดลงไปเจอเกลือมากมาย จนเกิดการทำเกลือ สินเธาว์ จนบางครั้งน้ำเค้มเข้าไปในนาข้าว จนชาวบ้านทะเลาะกันไม่เลิก พวกหนึ่งจะทำเกลือ พวกหนึ่งจะปลูกข้าว เพราะ นาข้าวกับนาเกลือ อยู่ด้วยกันไม่ได้
    และได้ความคิดที่เป้นอนิจจังมาว่า อิสานเคยเป็นทะเล มาได้ ทำไมจะกลับไปเป้นทะเลอีกจะไม่ได้ คิดแล้วเหนื่อย หนา
    [/font]

    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย ขนมปัง [18 ก.ค. 2548 , 09:57:53 น.][/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][/font]

    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][​IMG]
    เสาเฉลียง เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำ สายลมและแสงแดด มีลักษณะเป็นแท่งหินตั้งขึ้น มีส่วนบนเป็นแผ่นหินวางอยู่โดยไม่ติดกัน มองดูคล้ายดอกเห็ด

    [​IMG]
    [/font]

    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย กาหลิบ [18 ก.ค. 2548 , 13:28:23 น.] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][/font]

    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][​IMG] ผาแต้ม เมื่อดูจากแม่น้ำโขงจะเห็นเป็นหน้าผาสูงที่สวยงามตามธรรมชาติ ในบริเวณที่เป็นหน้าผาจะปรากฏภาพเขียนสีโบราณโดยฝีมือมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เรียงรายตามความยาวของหน้าผาติดต่อกันยาวประมาณ 180 เมตร มีไม่ต่ำกว่า 300 ภาพ ซึ่งเป็นจำนวนภาพเขียนสีโบราณที่มากที่สุดเท่าที่เคยค้นพบในประเทศไทยและในต่างประเทศ

    [​IMG]
    [/font]

    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย กาหลิบ [18 ก.ค. 2548 , 13:31:08 น.] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][/font]

    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][​IMG]

    ลักษณะของภาพที่ปรากฎ
    [/font]

    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย กาหลิบ [18 ก.ค. 2548 , 13:33:56 น.] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>
    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][/font]
    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ออกจากวัด ของหลวงปู่คำคะนิง เราวิ่งไปตามเส้นทางภายในอุทยาน จน มาที่แห่ง
    หนึ่ง เห็นเป็นถนน แปลกๆๆ คือ ไม่ลาดยาง ไม่เทคอนกรีต แต่เป็นหินแผ่น หนาบ้าง บางบ้าง แต่ก็พอเป็นทางวิ่งได้ มองดู ใกล้ๆๆ ก็เห็นชัดว่า เป็นถนนที่ วิ่งอยู่บน แผ่นหิน ลาวา หรือ หินละลายภูเขาไฟที่ดับแล้ว ทางเขาทำเป็นวงกลม เข้าทาง ออกทาง เป็นวันเวย์
    ไปจอดรถที่หน้าตึก แสดงนิทรรศการ ซึ่งเป็นตึกเตี้ยๆๆ ในอาคารซีกซ้าย เป็นที่แสดง แหล่งท่องเที่ยว และ ซีกขวาเป็นมุมจัดสำหรับขายของที่ระลึก เชิง โอทอป
    นิทรรศการที่จัดทำ มีรายละเอียด ของ แหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดที่อยู่ใน โขงเจียม และ " ผาแต้ม" ภาพวาดเก่าแก่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ภาพแสดงรายละเอียดและความหมายของแต่ละภาพ มีการแสดงเเส้นทางไปที่หน้าผา ที่มีการวาด เรามองดูแล้ว อยู่ไกลเกินไป เดิน-ไป-กลับ นับเป็น กิโลเมตร เป้าหมายของเราคือวัด เราจึงไม่ไปดูภาพ ที่ หน้าผา
    [/font]
    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย ขนมปัง [22 ก.ค. 2548 , 11:03:24 น.] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=white border=1><TBODY><TR><TD bgColor=white>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed][/font]

    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]ออกจากตึกที่แสดงนิทรรศการ ทางด้านหลัง มองเห็นลานกว้าง และทิวเขาเตี้ยใกล้ๆๆ เห็นชัดว่า ทั้งหมดอยู่บนลานหิน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภูเขาไฟ และ หินละลายที่เย็นและจับตัวเป้น แผ่นหินหนา แผ่ออกเป็นบริเวณ กว้าง

    ภูมิประทศค่อนข้างประหลาด จึงยืนทำจิตให้สงบเพื่อดูว่า มี อะไรบอก เราใหม ยืนนิ่งๆๆ ได้คำตอบว่า ภูเขาไฟ แถบนี้ เคยระเบิด ครั้งสุดท้ายเมื่อ กว่า สองหมื่นปีมาแล้ว และ ใน วัฏจักร ทุกๆๆสองหมื่นปี หรือ สิบเท่าของ ยุค พระพุทธองค์ จะมีการเปลี่ยนแปลง ระเบิด ขึ้นอีกครั้ง
    [/font]
    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]
    มีความรู้สึกบอกว่า ขณะนี้ใกล้เวลาเต็มทีแล้ว ที่ ภูเขาไฟในแถบโขงเจียมและอิสานใต้ จะ ปะทุระเบิดให้หินละลายพ่นออกมาอีกครั้ง เป็นครั้งที่ สิบกว่าๆๆแล้ว โดยดูจาก ชั้นหินลาวาที่เคยพ่นอกมา อย่าง ซ้ำซาก มองเห็นเป็นชั้นๆๆ ที่แตกต่างกันไป
    อย่างไรก็ดี ถ้ามีการ ระเบิดใหม่ของภูเขาไฟ ก็ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ เพราะเป็นเขตป่าสงวน วนอุทยาน ไม่มีบ้านคนอาศัยอยู่ เวลาภูเขาไฟจะระเบิด จะมีการบอกล่วงหน้า โดยกลุ่มควันที่ปะทุ และการสั่นสะทือนของแผ่นดิน
    [/font]
    </TD></TR><TR><TD>[font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]โดย ขนมปัง [22 ก.ค. 2548 , 11:15:59 น.] [/font]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    คัดลอกมาจากhttp://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=pimonracha&topic=70
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    จะหยุดภัยใต้ ตามวิธีที่ คุณเอกอิสโร เสนอตั้งแต่ก่อนปีใหม่ ได้หรือไม่ครับ จากคุณake

    <TABLE width=550 border=0><TBODY><TR><TD>http://www.konmeungbua.com/webboard/aspboard_Question.asp?GID=2072

    มาช่วยกันขจัดภัยใต้...ก่อนที่ภัยพิบัติครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น

    น่าเสียดายที่กระทู้เหตุแห่งความเร่าร้อนในภาคใต้ฯ ในเว๊บ 3 จังหวัดภาคใต้ถูกลบไปแล้ว แต่ความจำเป็นที่จะต้องยุติภัยใต้ยังต้องดำเนินการต่อไป ก่อนที่ภัยพิบัติที่รุนแรงกว่านี้จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ผมจึงจะต้องบอกความจริงให้พี่น้องชาวยะลา โดยเฉพาะไทยพุทธได้รับทราบทั่วกัน ดังนี้

    เอาตรงๆ เลยครับ ที่ตั้งของ "ลังกาทวีป" ที่คนทั้งหลายเชื่อว่าคือ ประเทศศรีลังกานั้น เป็นความเข้าใจผิดมาตลอด ตั้งแต่เมื่อ กษัตริย์ศรีลังกาภายใต้คำแนะนำของโปรตุเกส แนะให้ส่งฑูตมาขอพระสงฆ์จากอยุธยาไปบวชพระภิกษุเมื่อ พ.ศ. 2294-5 หรือเมื่อเกือบ 250 ปีที่ผ่านมา ที่จริงแล้ว
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    เรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น โดย พ.ธรรมรังสี

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR bgColor=#000000><TD>
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width=600 align=left border=0><TBODY><TR align=middle><TD class=row1 bgColor=#ffffff><TABLE width=550 border=0><TBODY><TR><TD>
    หลายปีมาแล้วที่ผมได้เฝ้าบอกท่านทั้งหลายในเรื่องของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น และแล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งๆที่ผมเองไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่คงเป็นเพราะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2005
  11. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ขอเชิญเปิดประเด็นสนทนาเรื่องภัยพิบัติได้ที่ http://enjoydhamma.pantown.com

    เจตนาเพื่อให้ผู้คนได้ระลึกถึงความตาย จะได้ขยันทำความดี ไม่ประมาทในชีวิต มิได้มีเจตนาเพื่อจะให้ผู้คนแตกตื่นแต่อย่างใด
     
  12. นายฉิม

    นายฉิม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    2,105
    ค่าพลัง:
    +2,695
    กระทู้ยาวจัง อ่านแล้วได้สาระดี จะติดตามอ่านต่อไปไม่มีเบื่อ
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ตำนานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)

    [​IMG]




    พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือที่ประชาชนทั่วไปนิยมเรียกกันว่า "พระแก้วมรกต" ซึ่งสถิตย์เป็นพระประธานคู่บ้านคู่เมือง ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงสร้างพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร สถิตย์เป็นองค์ประธาน ณ พระอุโบสถ เมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๒๗

    พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ตามโบราณจารย์ประเพณีถือว่า พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร "พระแก้วมรกต" เป็นพระพุทธรูปที่พระอินทร์ และพระวิษณุกรรม จัดหาลูกแก้วมาสร้างองค์ เป็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๗ พระองค์ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง และเป็นพระประธานสำคัญในการอัญเชิญประกอบพิธีสำคัญต่างๆ ของประเทศไทย

    ตำนานโดยสังเขปกล่าวว่า เมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงแล้วได้ ๕๐๐ ปี มีพระอรหันต์องค์หนึ่งนามพระนาคเสนเถรเจ้า จำพรรษาอยู่ที่วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร พระพุทธศาสนากำลังเจริญเต็มที่ในยุคนั้น พระนาคเสนได้รำพึงและประสงค์จะจัดสร้างพระพุทธปฏิมากรไว้สำหรับเป็นองค์อนุสรณ์ แทนองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ให้ผู้สืบอายุพระพุทธศาสนาไว้สักการะ บูชาแก่เทพยดาและมวลมนุษย์ จึงได้เสี่ยงทายว่า จะสร้างด้วยทองคำ หรือเงิน ก็เกรงว่าพวกมิจฉาชีพจะนำไปทำลายเสีย จะมิยั่งยืนตลอดไป ครั้นจะสร้างด้วยแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ให้เหมาะสมกับ พุทธรัตนะ ก็ยังมิทราบว่าจะหาลูกแก้วสมดังปณิธานเสี่ยงทายได้ที่ไหน และด้วยทิพยจักษ์โสตร้อนอาสน์ถึงพระอิศวร ทรงทราบความปรารถนาแห่งพระนาคเสนเถรเจ้า ที่จะสร้างพระแก้วมรกตนี้ จึงเสด็จลงมาพร้อมด้วยวิษณุกรรม และจัดนำลูกแก้วมณีโชติ ซึ่งเป็นแก้วชนิดหนึ่งซึ่งมีรัศมีรุ่งโรจน์ ที่ภูเขาวิปุละ ซึ่งกั้นเขตแดนมคธ และอยู่ด้านหนึ่งของ กรุงราชคฤห์ ประกอบด้วย


    ๑. แก้วมณีโชติ มีบริวารแวดล้อมอยู่ ๓,๐๐๐ ดวง เฉพาะแก้วมณีโชติ มีขนาดใหญ่ถึงหนึ่งอ้อมเต็ม
    ๒. แก้วไพฑูรย์ มีบริวารแวดล้อมอยู่ ๒,๐๐๐ ดวง
    ๓. แก้วมรกต มีบริวารแวดล้อมอยู่ ๑,๐๐๐ ดวง เฉพาะแก้วมรกตนี้ มีขนาดใหญ่ ๔ กำมือ ๓ นิ้ว


    แก้ววิเศษนี้ มีพวกกุมภัณฑ์ คนธรรพ์ ยักษ์มาร และเทพยดารักษาอยู่มาก พระวิษณุกรรมมิอาจที่จะไปนำลูกแก้วดังกล่าวนี้คนเดียวมาได้ จึงได้ทูลเชิญพระอิศวรเจ้าเสด็จร่วมไปด้วย เมื่อถึงเขาวิปุลบรรพตแล้ว พระอิศวรจึงแจ้งให้พวกกุมภัณฑ์ คนธรรพ์ และยักษ์ที่รักษาลูกแก้ว ทราบถึงความประสงค์ของพระนาคเสนเถรเจ้า ที่จะนำแก้วมณีโชตินี้ไปสร้างพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เป็นอนุสรณ์แทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่พวกกุมภัณฑ์ คนธรรพ์ และยักษ์ทูลว่า เฉพาะลูกแก้วมณีโชตินั้นมีอิทธิฤทธิ์มาก เป็นของคู่ควรสำหรับพระมหาจักรพรรดิ์ไว้ปราบยุคเข็ญของโลกเท่านั้น ในเมื่อโลกเกิดจลาจลวุ่นวาย ซึ่งมนุษย์ในสมัยนั้นจะหมดความเคารพยำเกรงซึ่งกันและกัน ก่อการวุ่นวายขึ้น พระมหาจักรพรรดิ์จะได้ใช้แก้วมณีโชตินี้ไว้ปราบยุคเข็ญต่อไป แต่ว่าเพื่อมิให้เสียความตั้งใจและเสื่อมศรัทธา จึงขอมอบถวายลูกแก้วอีกลูกหนึ่ง ซึ่งเป็น "แก้วมรกต" รัศมีสวยงามผุดผ่อง ถวายให้ไปจัดสร้างแทน และพระอิศวรและพระวิษณุกรรม ก็นำแก้วมรกตนี้ไปถวายพระนาคเสนเถรเจ้า แล้วก็เสด็จกลับวิมาน

    พระนาคเสนเถรเจ้า เมื่อได้รับลูกแก้วมรกตแล้ว ก็รำพึงถึงช่างที่จะมาทำการสร้างพระพุทธรูปด้วยแก้วสีมรกต ให้มีพุทธลักษณะสวยงามประณีต วิษณุกรรมซึ่งเป็นนายช่างธรรมดาทราบความดำริของพระนาคเสน จึงแปลงกายเป็นมนุษย์เข้าไปหาพระนาคเสน รับอาสาสร้างพระพุทธรูปตามประสงค์ของพระนาคเสนเถรเจ้า เมื่อได้รับอนุญาตจากพระนาคเสนแล้ว วิษณุกรรมจึงลงมือสร้างพระพุทธรูปด้วยแก้วมรกตสำเร็จลงด้วยอิทธิฤทธิ์ สำเร็จภายใน ๗ วัน เนรมิตพระวิหารและเครื่องประดับ สำหรับประดิษฐานรองรับพระพุทธรูปแก้วมรกต วิษณุกรรมก็กลับไปสู่เทวโลก และพระพุทธรูปแก้วมรกตที่สร้างสำเร็จโดยช่างวิษณุกรรมนี้ มีพุทธลักษณะอันสวยงาม มีรัศมีออกเป็นสีต่างๆ หลายสีหลายชนิด ฉัพพรรณรังษีพวยพุ่งออกจากพระวรกาย เทพบุตร เทพธิดา
    ท้าวพระยาสามนตราช พระอรหันตขีณาสพ สมณะ ชีพราหมณ์ ตลอดประชาชนทั่วไปเมื่อได้เห็นพุทธลักษณะพระแก้วมรกตแล้ว ต่างก็พากันแซ่ซ้องถวายสักการะ บูชา พระนาคเสนเถรเจ้าพร้อมด้วยพวกเทพยดา นาค ครุฑ มนุษย์ กุมภัณฑ์ พากันตั้งสัตยาอธิษฐานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าประดิษฐานในองค์พระแก้วมรกตรวม ๗ พระองค์ คือ ในพระโมฬีพระองค์หนึ่ง, ในพระนลาตพระองค์หนึ่ง, ในพระอุระพระองค์หนึ่ง, ในพระอังสาทั้งสองข้างสองพระองค์ และในพระชานุทั้งสองข้างสองพระองค์ เมื่อพระบรมสารีริกธาตุแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งเจ็ดพระองค์ เข้าไปประดิษฐานเรียบร้อยทั้ง ๗ แห่ง เนื้อแก้วมรกตแล้ว เนื้อแก้วก็ปิดสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีรอยแผลและช่องพลันก็เกิดปาฏิหาริย์ แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก พระพุทธรูปแก้วได้ยกฝ่าพระบาทดุจดังเสด็จลงจากแท่นประดิษฐาน เมื่อเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นดังนี้ พระนาคเสนเถระทำนายว่า พระแก้วมรกตนี้จะมิได้ประดิษฐานในเมืองปาฏลีบุตรแน่ ต้องเสด็จเที่ยวโปรดเวไนยสัตว์ในประเทศ ๕ คือ


    ๑. ลังกาทวีป ๒. ศรีอยุธยา ๓. โยนก ๔. สุวรรณภูมิ ๕. ปะมะหล

    เมื่อพระนาคเสนเถรเจ้าดับขันธ์แล้ว พระแก้วมรกตนี้ คงได้รับการปกปักรักษา สักการะ บูชาเป็นเวลาต่อมาอีก ๓๐๐ ปี เมืองปาฏลีบุตรสมัยพระสิริกิติราชดำรงเป็นประมุข เกิดจลาจลวุ่นวาย เกิดสงครามมิได้ขาด ข้าศึกต่างเมืองยกมารบกวน เสนาอำมาตย์ผู้ใหญ่ ก่อการกบฏ ราษฎร์วานิชเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า สุดที่จะทนทาน ประชาชนวานิช พร้อมใจกันพาพระแก้วมรกตพร้อมด้วยพระไตรปิฎก ลงสำเภาหนีออกจากเมืองปาฏลีบุตรไปสู่ลังกาทวีป พระแก้วมรกตจึงประดิษฐานประมาณ ๒๐๐ ปี (พระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๑,๐๐๐ ปี)

    ครั้นถึงสมัยเจ้าอนุรุธราชาธิราช กษัตริย์ของพุกามประเทศ (พม่า) กับพระภิกษุรูปหนึ่งลงสำเภาไปสู่ลังกาทวีป พร้อมด้วยพระสงฆ์พุกามอีก ๙ รูป อำมาตย์พุกาม ๒ คน ของพุกาม ได้ขอบรรพชาต่อพระสังฆราชลังกาทวีป พระภิกษุรูปที่เป็นหัวหน้าของพุกามชื่อพระศีลขัณฑ์ ร่วมมือกันสังคายนาพระไตรปิฎกและคัมภีร์สัธทาวิเศษเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะกลับพุกาม ได้ทูลขอ "พระแก้วมรกต" ต่อประมุขของกรุงลังกาทวีป พระองค์จนพระทัย จึงต้องมอบพระแก้วมรกตให้กับกษัตริย์กรุงพุกามไป ทำความเศร้าโศกเสียใจให้กับชาวเมืองปาฏลีบุตรทั่วลังกาทวีป

    เมื่อกษัตริย์กรุงพุกามได้รับพระแก้วมรกตเรียบร้อยแล้ว จึงจัดขบวนเรือสำเภาอัญเชิญพระแก้วมรกตลงสำเภาสองลำ แต่เมื่อสำเภาแล่นมาในทะเล สำเภาที่อัญเชิญพระแก้วมรกต เกิดพลัดหลงทางไปสู่เมืองอินทปัตถ์พร้อมทั้งพระไตรปิฎก พระเจ้ากรุงพุกามเสียพระทัยมาก เพราะตั้งพระทัยไว้ว่า จะจัดเฉลิมฉลองสมโภชเป็นการใหญ่ในกรุงพุกาม เมื่อเหตุการณ์กลับกลายไป จึงปลอมพระองค์เป็นราษฎรสามัญไปสู่กรุงอินทปัตถ์ เพื่อสืบหาเรือสำเภาที่อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระไตรปิฎก และขอพระแก้วมรกตคืนจากพระเจ้ากรุงอินทปัตถ์ พระเจ้ากรุงอินทปัตถ์ก็ไม่ยอมคืนให้ เพราะถือว่าเป็นบุญญาธิการของพระองค์ ที่พระแก้วมรกตได้เสด็จมาสู่กรุงอินทปัตถ์ พระเจ้ากรุงพุกามทรงพิโรธมาก ดำริจะปลงพระชนม์พระเจ้ากรุงอินทปัตถ์ ก็เกรงว่าบาปกรรมจะติดตามตัวต่อไปภายภาคหน้า จึงแสดงอภินิหาริย์ให้ชาวอินทปัตถ์เห็น โดยเอาไม้มาทำเป็นดาบ ทาด้วยฝุ่นดำแล้วก็เหาะขึ้นไปในอากาศวนรอบเมืองอินทปัตถ์ ๓ ครั้ง สะกดพระเจ้ากรุงอินทปัตถ์และคนหลับทั้งเมือง แล้วเสด็จเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เอาดาบที่ทำด้วยไม้ขีดไว้ที่พระศอของพระเจ้ากรุงอินทปัตถ์และมเหสี ตลอดจนเสนาบดีผู้ใหญ่ และตรัสขู่ว่า หากไม่คืนสำเภาที่อัญเชิญพระไตรปิฎกและพระแก้วมรกตให้แล้ว วันรุ่งขึ้นจะบั่นเศียรให้หมดทุกคน พระเจ้ากรุงอินทปัตถ์และมเหสีทรงทราบเรื่อง และพิสูจน์รอยฝุ่นดำที่พระศอ ก็พบว่ามีรอยฝุ่นดำจริงตามดำรัสของพระเจ้ากรุงพุกาม มีความหวั่นเกรงต่อชีวิตของพระองค์และราชบริพารเป็นอันมาก ให้อำมาตย์ ๒ คน กราบทูลพระเจ้ากรุงพุกามทราบว่า หากเป็นสำเภาอัญเชิญพระไตรปิฎกและพระแก้วมรกตของพุกามจริง ก็จะจัดถวายส่งคืนให้ ขอให้พระเจ้ากรุงพุกามเสด็จกลับยังกรุงพุกามก่อน พระเจ้ากรุงพุกามก็ยินยอม

    กาลต่อมา เมื่อสำเภาลำที่หายไปก็มาถึงกรุงพุกาม ตรวจสอบแล้วมีแต่พระไตรปิฎกอย่างเดียว หามีพระแก้วมรกตไม่ พระเจ้ากรุงพุกามทรงทราบดีว่า พระเจ้ากรุงอินทปัตถ์มีพระประสงค์จะได้พระแก้วมรกตไว้สักการะ บูชาในกรุงอินทปัตถ์ พระเจ้ากรุงพุกามก็มิได้คิดอะไรอีก พระแก้วมรกตนี้ได้ตกอยู่
    ในกรุงอินทปัตถ์มาช้านานจนรัชสมัยพระเจ้าเสนกราช พระองค์มีพระราชโอรสองค์หนึ่ง สนพระทัยเที่ยวจับแมลงวันหัวเขียวมาเลี้ยงไว้ และบุตรชายของปุโรหิตคนหนึ่งชอบเล่นแมลงวันหัวเสือ ต่อมาแมลงวันหัวเสือของบุตรชายปุโรหิตกัดแมลงวันหัวเขียวของราชโอรสตาย พระราชโอรสเสียพระทัยและฟ้องพระเจ้าเสนกราชผู้บิดา จนมีรับสั่งให้นำบุตรชายของปุโรหิตไปผูกให้จมน้ำตาย ปุโรหิตผู้พ่อพร้อมด้วยภรรยาพาบุตรชายหนีออกจากเมือง เพราะเห็นว่าพระเจ้าเสนกราชปราศจากความยุติธรรม เอาแต่พระทัยตนเอง พญานาคราชก็โกรธพระเจ้าเสนกราชที่อยุติธรรม ที่สั่งให้เอาบุตรปุโรหิตไปผูกมัดเพื่อให้จมน้ำตาย จึงบันดาลให้น้ำท่วมเมืองอินทปัตถ์ เป็นที่ระส่ำระสายแก่ประชาราษฎร์ยิ่งนัก มีพระเถระรูปหนึ่งไม่ปรากฏนาม ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตพร้อมด้วยคนรักษา หนีภัยแล่นเรือไปทางทิศเหนือของเมืองอินทปัตถ์


    ในราชอาณาจักรไทยขณะนั้น กรุงศรีอยุธยา กษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงพระนามว่า พระเจ้าอาทิตยราช เมื่อทรงทราบว่ากรุงอินทปัตถ์เกิดกุลียุค น้ำท่วมบ้านเมืองเสียหาย ผู้คนล้มตายมาก ทรงพระวิตกถึงพระแก้วมรกตจะอันตรธานสูญหายไป จึงจัดทัพไปรับพระแก้วมรกตอัญเชิญลงสำเภา พร้อมกับคนรักษากลับสู่กรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตประดิษฐานในมหาเวชยันต์ปราสาท ประดับตกแต่งด้วยเครื่องสักการะอันประณีต จัดการฉลองสมโภชเป็นการใหญ่ พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาและประชาราษฎร์ได้ถวายสักการะพระแก้วมรกตตลอดมา และต่อมา พระยากำแพงเพชรได้ลงมากรุงศรีอยุธยา กราบทูลขอพระแก้วมรกตไปสักการะ ณ เมืองกำแพงเพชร ต่อมาโอรสพระองค์หนึ่งมีชนมายุเจริญวัย โปรดให้ไปครองกรุงละโว้ ระลึกถึงพระแก้วมรกตได้ ปรารถนาอยากได้พระแก้วมรกตไว้สักการะ บูชา จึงทูลขอต่อพระมารดา พระมารดามีความรักพระโอรสขัดไม่ได้ จึงทูลขอต่อพระสามี ก็ได้รับอนุญาตให้อัญเชิญไปได้ แต่ให้ไปเลือกเอาเอง เพราะประดิษฐานรวมกับพระแก้วองค์อื่นๆ อีกหลายองค์ พระมารดาและโอรสไม่ทราบว่าพระแก้วมรกตองค์ไหนเป็นองค์ที่แท้จริง จึงให้ไปหาคนเฝ้าประตูรับสั่งคนเฝ้าประตูและให้สินบนช่วยชี้แจง คนเฝ้าประตูรับว่า จะนำดอกไม้สีแดงไปวางไว้บนพระหัตถ์พระแก้วมรกตองค์ที่แท้จริงให้ พระโอรสได้พระแก้วมรกตสักการะ บูชาไว้ ณ เมืองละโว้ เป็นเวลา ๑ ปี ๙ เดือน ก็ต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับเมืองกำแพงเพชรตามข้อตกลง

    ในขณะนั้น พ.ศ.๑๙๗๗ พระเจ้าพรหมทัตเจ้าเมืองเชียงราย ทรงทราบว่า พระยากำแพงเพชรผู้ทรงเป็นสหายมีพระแก้วไว้สักการะ บูชา ก็ปรารถนาอยากได้สักการะ บูชาบ้าง จึงจัดขบวนรี้พลสู่เมืองกำแพงเพชร พระปิยะสหาย ทูลขออาราธนาพระแก้วมรกตสู่เมืองเชียงราย เมื่อได้แล้วก็ดีพระทัย จัดขบวนเดินทางกลับไปสมโภช ณ เมืองเชียงรายเป็นนิจ ต่อมาเจ้าเมืองเชียงรายเกรงว่าเมื่อเกิดสงครามขึ้น จะเป็นอันตรายต่อพระแก้วมรกต หวังจะซ่อนเร้นมิให้ศัตรูปัจจามิตรทราบ จึงสั่งให้เอาปูนทาลงรักปิดทองบรรจุเสียมิดชิด ดูประดุจพระพุทธรูปศิลาสามัญ

    ลำดับต่อมา พระสถูปเจดีย์ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตถูกอสุนีบาตพังทลายลง ชาวเมืองจึงอัญเชิญไปประดิษฐานยังวิหารวัดแห่งหนึ่ง ครั้นต่อมาปูนที่พอกไว้ตรงพระนาสิกกะเทาะออก เห็นแก้วสีเขียว เจ้าอธิการและพระสงฆ์ในวัดนั้น จึงกะเทาะเอาปูนออกเห็นเป็นพระแก้วทึบทั้งองค์ บริสุทธิ์ดี มีรัศมีสุกใสสกาวไม่มีรอยบุบสลายเลย ราษฎรเมืองเชียงรายและหัวเมืองใกล้เคียง จึงพากันไปถวายสักการะมิได้ขาดสาย ความได้ทราบถึงพระเจ้าเมืองเชียงใหม่ จัดขบวนรี้พลช้างม้าเดินทางไปอัญเชิญพระแก้วมรกตสู่นครเชียงใหม่ ครั้นขบวนแห่อัญเชิญมาถึงทางแยกที่จะไปนครลำปางช้างที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ก็พาพระแก้วมรกตวิ่งเตลิดไปทางนครลำปาง ควาญช้างได้ปลอบโยนให้หายจากความตื่น ช้างเชือกนั้นก็วิ่งเตลิดพาพระแก้วมรกต กลับหลังวิ่งไปทางนครลำปางอีก ควาญช้างได้พยายามเปลี่ยนช้างเชือกใหม่อีก ช้างตัวใหม่ก็วิ่งไปทางนครลำปางอีก ควาญช้างได้พยายามเล้าโลมเอาอกเอาใจอย่างไร เพื่อจะให้ช้างเดินทางไปนครเชียงใหม่ก็ไม่สำเร็จอีก ท้าวพระยาตลอดจนประชาชนในขบวนแห่พระแก้วมรกต เห็นประสบเหตุการณ์เช่นนั้น จึงส่งใบบอกไปยังพระเจ้าสามแกนเจ้านครเชียงใหม่ให้ทรงทราบ พระเจ้าเชียงใหม่มีความเลื่อมใสพระแก้วมรกตมาก แต่ก็กริ่งเกรงในพุทธานุภาพพระแก้วมรกต และถือโชคลาง เพราะที่ช้างไม่ยอมเดินทางไปนครเชียงใหม่นั้น คงเป็นด้วยพุทธานุภาพของพระแก้วมรกตไม่ยอมเสด็จมาอยู่เชียงใหม่ จึงอนุโลมให้พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ ณ นครลำปาง

    ต่อมา พ.ศ.๒๐๑๑ พระเจ้าติโลกราช เจ้านครเชียงใหม่ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงอานุภาพมาก ทรงพิจารณาว่า พระแก้วมรกตเป็นสมบัติอันล้ำค่า ไม่สมควรที่จะประดิษฐานอยู่ที่นครลำปางอีกต่อไป จึงได้อาราธนาอัญเชิญพระแก้วมรกตมายังนครเชียงใหม่ แล้วจัดสร้างพระอารามราชกูฏเจดีย์ถวาย พระเจ้าเชียงใหม่สร้างวิหารให้เป็นปราสาทมียอด แต่ก็หาสมปรารถนาไม่ เพราะอสุนีบาตทำลายหลายครั้งและพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ ณ นครเชียงใหม่นานถึง ๘๔ ปี

    ครั้นพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งเป็นพระราชบิดานางหอสูง เสด็จสวรรคต เมืองเชียงใหม่ไม่มีกษัตริย์จะครองราชย์ ท้าวพระยาเสนาบดีและสมณะ ชีพราหมณ์ จึงพร้อมกันแต่งตั้งราชฑูต พร้อมด้วยเครื่องราชบรรณาการไปขอเจ้าราชโอรส อันเกิดจากนางหอสูง มาครองราชสมบัติแทนพระอัยกาต่อไป พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตทรงทราบ จึงโปรดให้เสนาบดีแต่งจตุรงคเสนาพาเจ้าไชยเชษฐา ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๒ พรรษา ขึ้นไปกระทำพิธีราชาภิเษกตามประเพณี ครองราชสมบัติ ณ นครเชียงใหม่ ทรงนามว่าพระเจ้าศรีไชยเชษฐาธิราช เจ้านครเชียงใหม่ เมื่อเสร็จการราชพิธีราชาภิเษกแล้ว พระเจ้าโพธิสารก็เสด็จกลับคืนมายังกรุงศรีสัตนาคนหุตได้ ๓ ปี ก็สวรรคต เสนาบดีพฤฒามาตย์ผู้ใหญ่ ตลอดจนสมณะ ชีพราหมณ์เห็นว่า ถ้าให้ราชโอรสองค์อื่นครองราชสมบัติ ก็คงจะเกิดแก่งแย่งสมบัติกันขึ้น จึงพร้อมใจกันอัญเชิญพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ขึ้นครองราชสมบัติอีกเมืองหนึ่ง พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจึงเสด็จมาประทับยังกรุงศรีสัตนาคนหุต ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาด้วย เพื่อให้พระราชวงศ์และประชาราษฎร์ได้กราบไหว้นมัสการ บางโอกาสเสด็จมาประทับกรุงศรีสัตนาคนหุตเป็นเวลาช้านาน ทำให้ชาวเมืองเชียงใหม่คิดว่า พระองค์คงจะไม่เสด็จกลับไปครองเมืองเชียงใหม่ จึงได้อัญเชิญเชื้อพระวงศ์ขึ้นครองราชย์แทน ทำให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงพระพิโรธมาก กรีฑาทัพยกไปจะตีเมืองเชียงใหม่ แต่พระเจ้าสุทธิวงศ์ทรงทราบข่าวศึกเกรงพระเดชานุภาพ จึงแต่งพระราชสาส์นเครื่องมงคลราชบรรณาการ พร้อมด้วยสาวพรหมจารี ๑๒ คน เลือกเฟ้นเอาที่มีสิริโฉมงดงาม ส่งไปถวายพระเจ้ากรุงอังวะ ขอกองทัพพม่ารักษาเมือง พระเจ้ากรุงอังวะได้โปรดให้ยกกองทัพไปช่วยเมืองเชียงใหม่ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเห็นว่า จะทำศึกกับเชียงใหม่ ก็เหมือนกับทำศึกกับพม่า จะทำให้เสียไพร่พลตลอดจนเสบียงอาหาร ไม่ชอบด้วยทศพิธราชธรรม และเกรงว่าจะสู้ทัพข้าศึกมิได้ จึงสั่งให้ถอยทัพ พร้อมด้วยอัญเชิญพระแก้วมรกตมาอยู่ในเมืองหลวงพระบาง ๑๒ ปี

    ลุถึง พ.ศ.๒๑๐๗ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เจ้าเมืองมอญ กำลังเรืองอำนาจ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเห็นว่าจะสู้มอญไม่ได้ จึงมีดำรัสแก่อนุชาทั้งสองและอำมาตย์แสนท้าวพระยาลาวทั้งปวงว่า ที่ตั้งกรุงศรีสัตนาคนหุตนี้ เป็นถิ่นที่ดอนใกล้ภูเขาใหญ่ ชัยภูมิไม่เหมาะสมจะเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ เห็นควรอพยพครอบครัวไปสร้างพระนครใหม่ อยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ อันเป็นชัยภูมิอันสมบูรณ์ด้วยภักษาผลาหาร ใกล้กับฝั่งแม่น้ำยิ่งกว่ากรุงศรีสัตนาคนหุต เมื่อดำริต้องกันทั้งสามพระองค์แล้ว จึงได้สร้างเมืองเวียงจันทน์ขึ้นใหม่ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เองในเมืองเวียงจันทน์ และได้อาราธนาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร มาประดิษฐานไว้ในปราสาท แต่นั้นต่อมาอีก ๒๑๔ ปี

    ครั้นถึง พ.ศ.๒๓๒๑ พระเจ้าตากสิน เมื่อครั้งเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำแพงเพชร ขึ้นแก่กรุงศรีอยุธยา ให้รวบรวมไพร่พลที่เหลือจากพม่าโจมตี ตั้งตัวเป็นมหากษัตริย์สืบวงศ์สยาม ตั้งกรุงธนบุรีหัวเมืองชายทะเลขึ้นเป็นพระมหานคร ได้ยกทัพไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต เพื่อประสงค์จะแผ่พระเกียรติยศให้ยิ่งใหญ่ไพศาล และขยายขอบเขตขันธเสมาอาณาจักรให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยให้สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก ขึ้นไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต

    เมื่อได้เมืองเวียงจันทน์แล้วได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระแก้วมรกต กับพระบาง ขึ้นคานหามมายับยั้งอยู่เมืองสระบุรี แล้วแจ้งข้อราชการมีชัยชนะศึก ตลอดจนได้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรพระแก้วมรกตนั่ง และพระพุทธปฏิมากรยืนชื่อพระบางมาด้วย เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทราบ ทรงเลื่อมใสศรัทธาปสาทะ ให้ราชบุรุษอาราธนาพระสังฆราชและพระราชาคณะฐานานุกรมเปรียญทั้งปวง จัดกำลังเรือและฝีพายให้ขึ้นไปรับพระแก้วมรกตและพระบางมายังกรุงธนบุรี โดยให้เรือพระที่นั่งศรี เป็นเรือพระรับพระแก้วมรกต และเรือที่นั่งกราบรับพระบาง พร้อมด้วยเรือชัยต่างๆ เรือตั้งกัน ๑๖ คู่ เรือรูปสัตว์ ๑๐ คู่ มีเรือเครื่องสูงเศวตฉัตรกลองชนะมโหระทึก ดนตรีประจำทุกลำ แห่ล่องมาเป็นขบวนพยุหยาตรานาวาจนถึงกรุงธนบุรี เชิญพระแก้วมรกตและพระบางประดิษฐานไว้ในโรงภายในพระราชวัง ซึ่งปลูกไว้ริมพระอุโบสถวัดแจ้ง ตั้งเครื่องสักการะ บูชา เป็นมโหฬารดิเรกด้วยเงิน ทอง แก้ว บูชาพระไตรยาธิคุณ และโปรดให้มีการถวายพระพุทธสมโภช มีมหกรรมมหรสพฉลอง เวลากลางคืนจุดดอกไม้เพลิงทุกคืนตลอด ๗ วัน ๗ คืน

    ครั้นสิ้นรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ณ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๒๕ โปรดให้สร้างพระอารามขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร

    ครั้นพระอุโบสถสร้างเสร็จแล้วจึงให้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๒๗



    คัดลอกมาจากhttp://www.banfun.com/buddha/prakaew-h.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2005
  14. clex

    clex สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +20
    ตามคำทำนายพระพุทธเจ้าทรงทำนายไว้(ทำนายไว้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันผ่านมาตั้ง 2500 ปีแล้ว อาจจะเป็นคำแต่งขึ้นก็ได้) อีก 2500 ปีต่อจากนี้ก็จะเกิดอะไรประมาณนี้ครับ
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>อาถรรพ์เลข 11- แพะรับบาป</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>21 กันยายน 2544 22:02 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ตัวเลขที่คนซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นอัปมงคลแก่ชีวิตและตัวเลขแห่งความซวยความโชคร้าย ก็คือ เลข 13 ซึ่งเป็นเลขที่นำมาจากการที่พระเยซูได้ถูกศิษย์คนที่ 13 ของตนเองวางยาพิษ

    แต่กับเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมถล่มตึกเวิลด์เทรดในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ดูเหมือนว่าชาวอเมริกันทั้งหลายจะมองเห็นตัวเลข 11 กลายเป็นตัวเลขที่น่ากลัวขึ้นมาทันที เพราะได้มีหลายคนที่พยามจะลากเหตุการณ์นี้ไปสู่อาถรรพ์ของเลข 11 กันมากมาย

    มาดูกันว่าเรื่องบังเอิญที่น่าพิศวงของเลข 11 เหล่านั้นมีอะไรบ้าง
    1.วันที่อาคารเวิลด์เทรดฯถูกสลัดอากาศจี้เครื่องบินโบอิ้งบินชนจนระเบิดไฟลุกท่วมฟ้า ตรงกับวันที่ 11 เมือเอาตัวเลขวันที่ บวกกับเลขเดือนกันยายน ซึ่งเป็นเดือนที่ 9 ของปี ตามหลักสากล เลข 1+1+9 ก็เท่ากับ 11

    2. .. วันที่ 11 กันยายนเป็นวันที่ 254 ของปี ซึ่งเมื่อนำตัวเลขมาบวกกัน คือ 2+5+4 ก็เท่ากับ 11 และนับจากวันที่ 11 กันยายนไปจนถึงสิ้นปีในวันที่ 31 ธันวาคม รวมแล้วก็ยังเหลืออีก 111 วัน ลงท้ายด้วยเลข 11 พอดิบพอดี !!

    3.อาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ถ้ามองไกล ๆ ก็จะเห็นเป็นเลข 11

    4.เครื่องบินโดยสารลำแรกที่พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดฯนั้น เป็นเที่ยวบินที่ 11ซึ่งมีผู้โดยสาร92 คน = 9 + 2 = 11
    เช่นเดียวกับเครื่องบินลำที่ 2 ซึ่งมีผู้โดยสาร 65 คน = 6 + 5 = 11

    5.รัฐ นิวยอร์ก ซิตี้ อันเป็นรัฐที่ตั้งของอาคารเวิลด์เทรดฯนั้น ถือเป็นรัฐที่ 11 ของสหรัฐอเมริกา และตัวอักษรภาษาอังกฤษของคำว่า นิวยอร์ก ซิตี้ คือ New York City ถ้านับตัวอักษรจะได้ 11 ตัวพอดี

    6.ตึกกระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือ เพนตากอน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ถูกถล่มด้วยนั้น ตามหลักไวยากรณ์ในภาษาอังกฤษ ต้องเขียนว่า The Pentagon ที่ต้องใส่ "เดอะ-The" เพราะมีที่เดียวในโลก เมื่อนับแล้วก็มีอักษร 11 ตัวเหมือนกัน

    7.ประเทศอัฟกานิสถาน ที่ปัจจุบันปกครองโดยรัฐบาลทหารตาลีบัน อันเป็นประเทศที่สหรัฐฯ จะโจมตีเป็นเป้าแรกเพราะถูกมองว่าเป็นที่พักพิงของ โอซามา บิน ลาเดน ผู้ก่อการร้ายหมายเลข 1 ของโลก ที่สหรัฐเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษก็ Afghanistan นับแล้วก็มีตัวอักษร 11 ตัว

    8.อิรัก ภายใต้การนำของ ซัดดัม ฮุสเซน อีกประเทศหนึ่งซึ่งเป็นโจทก์กับสหรัฐ ซึ่งการก่อวินาศกรรมครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นใช่ว่าสหรัฐจะลืมคิดว่าอิรักก็อาจมีส่วนร่วมรู้เห็น ดังนั้น อิรักอาจเป็นอีกหนึ่งเป้าโจมตีด้วย และอิรักก็มีแอเรีย โค้ด หรือรหัสโทรศัพท์ระหว่างประเทศหมายเลข 119 ซึ่ง 1+1+9 ก็เท่ากับ 11 !!!

    และสุดท้ายย้อนอดีตไปในปี พ.ศ. 2536 อาคารเวิลด์เทรดฯ เคยถูกก่อวินาศกรรมด้วยการวางระเบิดมาแล้ว โดยครั้งนั้นผู้ก่อการร้ายใช้รถบรรทุกระเบิดไปจอดไว้ในลานจอดรถ และหนึ่งในผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐจับกุมได้ก็คือ รัมซี ยูเซฟ หรือชื่อภาษาอังฤษ Ramzi Yousef นับตัวอักษรก็ได้ 11 ตัว

    อย่างไรก็ดีเรื่อง (ที่ถูกทำให้) บังเอิญทั้งของตัวเลขเหล่านี้รวมทั้งเรื่องของควันไฟที่มีคนพยายามชี้ให้เห็นว่ามันเป็นหน้าของคน หรือว่าปีศาจนั้น นักจิตวิทยาท่านหนึ่งได้ชี้แจงว่าจริงๆ แล้วเรื่องดังกล่าวนั้นเกิดจากความกลัวและความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ โดยเฉพาะชาวอเมริกันที่มีความเชื่อต่อเรื่องของตัวเลขอยู่แล้ว พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ก็เลยมีการโยงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเข้ากับเรื่องของตัวเลข
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    30 ปี วันมหาวิปโยค 11 สิงหาคม ...ฤๅจะเป็นวันมหาวิปโยคอีกครั้ง โดยคุณ เอกอิสโร วรุณศรี

    <TABLE width=550 border=0><TBODY><TR><TD>... เมื่อวานนี้ ( 29 ก.ค.) มีเหตุต้องเดินทางไปที่อาคารรัชมังคลาภิเษก กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อที่จะไปส่งหนังสือ ขอความอนุเคราะห์ทางศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ บ้านวังเมือง ในการจัดคณะวิทยากรมาอบรมการฝึกจิตตามแนวมหาสติปัฏฐาน 4 ให้กับพนักงานของบริษัทฯ เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี ในวันที่ 5 สิงหาคม นี้ จึงได้มีโอกาสร่วมฝึกจิต กับพระอาจารย์สุรพจน์ สทฺธาธิโก จนกระทั่งจบรายการ เมื่อจะลากลับจึงได้ไปกราบทั้งพระอาจารย์ธมฺมทีโป และพระอาจารย์สุรพจน์ สทฺธาธิโก โดยก่อนที่จะนมัสการลากลับ ได้มีการพูดคุยกันถึง เรื่องเหตุและปัจจัย วันที่ 11 สิงหาคม ซึ่งผมเองก็จับประเด็นไม่ได้ดีนัก เพราะพูดกันหลายคน และพูดถึงหลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับวันที่ 11 สิงหาคม รวมทั้งเรื่อง
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ตำนานพระธาตุพนม<!--MsgFile=1-->





    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#442244 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#442244 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><CENTER></CENTER>
    พระธาตุพนม ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระธาตุพนมวรวิหาร ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตำบล และอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม สถานที่ประดิษฐานองค์พระธาตุ อยู่บนภูกำพร้า หรือดอยกำพร้า ภาษาบาลีว่า กปณบรรพตหรือ กปณคีรี ริมฝั่งแม่น้ำขลนที อันเป็นเขตแขวงนครศรีโคตบูรโบราณ






    ตามตำนานพระธาตุพนม ในอุรังคนิทานกล่าวว่า สมัยหนึ่งในปัจฉิมโพธิกาล พระพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระอานนท์ ได้เสด็จมาทางทิศตะวันออก โดยทางอากาศ ได้มาลงที่ดอนกอนเนา แล้วเสด็จไปหนองคันแทเสื้อน้ำ (เวียงจันทน์) ได้พยากรณ์ไว้ว่า ในอนาคตจะเกิดบ้านเมืองใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา จากนั้นได้เสด็จไปตามลำดับ ได้ทรงประทานรอยพระพุทธบาทไว้ที่ โพนฉัน (พระบาทโพนฉัน) อยู่ตรงข้ามอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย แล้วเสด็จมาที่ พระบาทเวินปลา ซึ่งอยู่เหนือเมืองนครพนมปัจจุบัน ได้ทรงพยากรณ์ที่ตั้งเมืองมรุกขนคร (นครพนม) และได้ประทับพักแรมที่ภูกำพร้าหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นเสด็จข้ามแม่น้ำโขง ไปบิณฑบาตที่เมืองศรีโคตบูร พักอยู่ที่ร่มต้นรังต้นหนึ่ง (พระธาตุอิงฮังเมืองสุวรรณเขต) แล้วกลับมาทำภัตกิจ (ฉันอาหาร) ที่ภูกำพร้าโดยทางอากาศ

    พญาอินทร์ได้เสด็จมาเฝ้าและทูลถามพระพุทธองค์ ถึงเหตุที่มาประทับที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ ในภัททกัลป์ที่นิพพานไปแล้ว บรรดาสาวกจะนำพระบรมสารีริกธาตุ มาบรรจุไว้ที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์เมื่อนิพพานแล้ว พระมหากัสสปะ ผู้เป็นสาวก ก็จะนำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ ณ ที่นี้เช่นกัน จากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้ทรงปรารภถึงเมืองศรีโคตบูร และมรุกขนคร แล้วเสด็จไปหนองหารหลวง ได้ทรงเทศนาโปรดพญาสุวรรณพิงคาระ และพระเทวี ประทานรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ที่นั้น แล้วเสด็จกลับพระเชตวัน หลังจากนั้นก็เสด็จปรินิพพานที่เมืองกุสินารา

    เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว มัลลกษัตริย์ทั้งหลายได้ถวายพระเพลิงพระสรีระ แต่ไม่สำเร็จ จนเมื่อพระมหากัสสปะมาถึงได้อธิษฐานว่า พระธาตุองค์ใดที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่ภูกำพร้า ขอพระธาตุองค์นั้นเสด็จมาอยู่บนฝ่ามือ ดังนี้แล้ว พระอุรังคธาตุ ก็เสด็จมาอยู่บนฝ่ามือขวาของพระมหากัสสปะ ขณะนั้นไฟธาตุก็ลุกขึ้นโชติช่วง เผาพระสรีระได้เองเป็นอัศจรรย์ เมื่อถวายพระเพลิงและแจกพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ มาทางอากาศ แล้วมาลงที่ดอยแท่น (ภูเพ็กในปัจจุบัน) จากนั้นได้ไปบิณฑบาตที่เมืองหนองหารหลวง เพื่อบอกกล่าวแก่พญาสุวรรณพิงคาระ ตำนานตอนนี้ตรงกับตำนานพระธาตุเชิงชุม และพระธาตุนารายณ์เจงเวง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่แล้ว
    เมื่อพญาทั้ง 5 ซึ่งอยู่ ณ เมืองต่าง ๆ อันได้แก่ พญานันทเสน แห่งเมืองศรีโคตบูร พญาจุลณีพรหมทัต พญาอินทปัตถนคร พญาคำแดง แห่งเมืองหนองหารน้อย และพญาสุวรรณพิงคาระ แห่งเมืองหนองหารหลวง ได้พากันปั้นดินดิบก่อแล้วเผาไฟ ตามคำแนะนำของพระมหากัสสปะ แบบพิมพ์ดินกว้างยาวเท่ากับฝ่ามือพระมหากัสสปะ


    ครั้นปั้นดินเสร็จแล้วก็พากันขุดหลุมกว้าง 2 วา ลึก 2 ศอก เท่ากันทั้ง 4 ด้าน เมื่อก่อดินขึ้นเป็นรูปเตา 4 เหลี่ยม สูง 1 วา โดยพญาทั้ง 4 แล้ว พญาสุวรรณภิงคาระก็ได้ก่อส่วนบน โดยรวมยอดเข้าเป็นรูปฝาปารมีสูง 1 วา รวมความสูงทั้งสิ้น 2 วา แล้วทำประตูเตาไฟทั้ง 4 ด้าน เอาไม้จวง จันทน์ กฤษณา กระลำพัก คันธรส ชมพู นิโครธ และไม้รัง มาเป็นพื้น ทำการเผาอยู่ 3 วัน 3 คืน เมื่อสุกแล้วจึงเอาหินหมากคอยกลางโคก มาถมหลุม เมื่อสร้างอุโมงค์ดังกล่าวเสร็จแล้ว พญาทั้ง 5 ก็ได้บริจาคของมีค่าบรรจุไว้ในอุโมงค์เป็นพุทธบูชา

    จากนั้น พระมหากัสสปะ ก็ได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุ เข้าบรรจุภายในที่อันสมควร แล้วให้ปิดประตูอุโมงค์ไว้ทั้ง 4 ด้าน โดยสร้างประตูด้วยไม้ประดู่ ใส่ดาลปิดไว้ทั้ง 4 ด้าน แล้วให้คนไปนำเอาเสาศิลาจากเมืองกุสินารา 1 ต้น มาฝังไว้ที่มุมเหนือตะวันออก แปลงรูปอัศมุขี (ยักษิณีหน้าเป็นม้า) ไว้โคนต้นเพื่อเป็นหลักชัยมงคลแก่บ้านเมืองในชมพูทวีป นำเอาเสาศิลาจากเมืองพาราณสี 1 ต้น ฝังไว้มุมใต้ตะวันออก แปลงรูปอัศมุขีไว้โคนต้น เพื่อหมายมงคลแก่โลก นำเอาเสาศิลาจากเมืองตักศิลา 1 ต้น ฝังไว้มุมเหนือตะวันตก พญาสุวรรณพิงคาระให้สร้างรูปม้าอาชาไนยไว้ตัวหนึ่ง หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อแสดงว่าพระบรมธาตุเสด็จออกมาทางทิศทางนั้น และพระพุทธศาสนาจักเจริญรุ่งเรืองจากเหนือเจือมาใต้ พระมหากัสสปะให้สร้างม้าพลาหกไว้ตัวหนึ่ง คู่กัน หันหน้าไปทางทิศเหนือ เพื่อเป็นปริศนาว่า พญาศรีโคตบูรจักได้สถาปนาพระอุรังคธาตุไว้ตราบเท่า 5,000 พระวัสสา เกิดทางใต้และขึ้นไปทางเหนือ เสาอินทขีล ศิลาทั้ง 4 ต้น ยังปรากฏอยู่ 2 ต้น ทางทิศตะวันออก ส่วนอีก 2 ต้น ได้ก่อหอระฆังหุ้มไว้ ส่วนม้าศิลาทั้ง 2 ตัว ก็ยังปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน

    พระธาตุพนม ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์มาตามลำดับ การบูรณะครั้งแรกและครั้งที่สอง ไม่ได้บันทึกปีที่บูรณะไว้ การบูรณะครั้งที่สามเมื่อปี พ.ศ. 2157 ครั้งที่สี่เมื่อปี พ.ศ. 2233 ครั้งที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2349 ครั้งที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2444 เป็นการบูรณะครั้งใหญ่ และต่อจากนั้นมาก็มีการบูรณะทั่วไป เช่น บริเวณโดยรอบพระธาตุ
    ได้มีพิธียกฉัตรทองคำขึ้นประดิษฐานไว้ที่ยอดองค์พระธาตุ และนำฉัตรเก่ามาเก็บไว้ เมื่อปี พ.ศ. 2497 มีพุทธศาสนิกชนจากดินแดนสองริมฝั่งโขงทั้ง ไทยและลาว หลั่งไหลมาร่วมมงคลสันนิบาต และนมัสการองค์พระธาตุเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือน

    เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2518 องค์พระธาตุพนมชำรุดล้มลง ทางราชการได้ดำเนินการก่อสร้างขึ้นใหม่ ให้คงสภาพเดิม ภายในปีเดียวกัน และได้ยืนยงคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
    งานนมัสการพระธาตุพนมประจำปี เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 12 ค่ำ ถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 3


    คำนมัสการพระธาตุพนมมีดังนี้


    "กปณคิริสฺมิ ปพฺพเต มหากสฺสเปน ฐาปิตํ พุทฺธอุรงฺคธาตุ สิรสา นมามิ"

    แปลว่า "ข้าพเจ้าขอนมัสการ พระบรมอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระมหากัสสปเถระเจ้า นำมาฐาปนาไว้ ณ ภูกำพร้า ด้วยเศียรเกล้า"


    ที่มา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2005
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    คำสัมภาษณ์ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
    ภาพดร.อาจอง
    [​IMG]



    [font=ms Sans Serif, Thonburi, DB ThaiTextFixed]เมื่อคืน ดร.อาจอง ชุมสาย ออกรายการ ทีวี เล่าเหตุการณ์ต่างๆๆมากมาย รวมถึง Episode 1ที่จะเกิดขึ้นด้วย มีคนอัดเทปและถอดข้อความไว้และขึ้นจอที่ พันทิพย์ ห้อง เฉลิมไทย ดูที่[/font]
    http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3640402/A3640402.html
    อยากให้ทุกคนได้อ่านและรู้เพราะจะเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเรามาก

    โดย ขนมปัง [1 ส.ค. 2548 , 06:56:10 น.]

    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

    คำสัมภาษณ์ของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

    ภายใต้บรรยากาศทางสังคมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงอย่างในปัจจุบัน ยังพอมีหวังมั้ยคะ

    คือผมเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่จะทำให้ทุกอย่างต้องเปลี่ยน มนุษย์เราพอมีความทุกข์มากๆ จะรีบแก้ไข รีบเปลี่ยน รีบหนีความทุกข์ ฉะนั้นมันจะมีเหตุการณ์ที่สร้างปัญหาขึ้นมาเยอะให้กับเรา และปัญหาเหล่านั้นก็คือบทเรียนที่เราจะได้เรียนรู้ และปรับปรุงตัวเราเอง แก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น อย่างที่เขาบอกระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 4 เมตร กรุงเทพฯก็หมดแล้วไม่มีเหลือ อยู่ใต้บาดาลแล้ว ภาคกลางของประเทศไทยก็จะโดนน้ำท่วมหมด พอถึงใกล้ๆ เวลานั้นพวกเราจะตกอกตกใจและรีบเตือนกันอย่างรวดเร็ว เราไม่มีทางเลือกแล้ว เราต้องเปลี่ยน

    ถ้าเรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม มันต้องเปลี่ยนแล้ว คือชีวิตเราจะเปลี่ยนเร็วท่ามกลางวิกฤติต่างๆ ถ้าไม่มีวิกฤติเราก็ไม่เปลี่ยน เราก็อยู่กันอย่างสบายๆ เพราะฉะนั้นช่วงนี้มันจะมีวิกฤติเกิดขึ้นเยอะ และสร้างปัญหาให้กับเรา ทำให้การเปลี่ยนแปลงจะเร่งและรีบด่วน มันจะไม่ใช่ 50 ปีอย่างที่บางคนทำนายหรอก มันจะเกิดขึ้นเร็วมาก สมัยนี้เราอยู่ในยุคของการเปลี่ยนแปลง เราไม่มีเวลากันแล้ว

    แต่อาจารย์มองว่าวิกฤติจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี?

    ผมมั่นใจว่ายุคแห่งความสงบสุขจะเกิดขึ้นในโลกของเราแล้ว

    คล้ายๆ กับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องยุคพระศรีอารย์?

    มันก็ตรงกับศาสนาต่างๆ ที่เขาทำนายไว้ว่าจะเกิดยุคแห่งความสงบสุขขึ้นมา ผมดูเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วก็มุ่งไปทางนั้น แล้วตอนนี้ก็มีคนที่เริ่มคิดในแนวใหม่ เริ่มคิดในทางที่ดี หมอประเวศ วะสี ก็เริ่มคิดแหวกแนวออกมาแล้ว เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมของเรา ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นค่อนข้างจะเร็ว และคนจำนวนมากก็เริ่มจะคิดในแนวเดียวกันมากขึ้นๆ กระแสจะค่อยนำพาทุกฝ่ายไปสู่โลกใหม่ โลกที่เต็มไปด้วยความสงบสุข

    ระหว่างวิกฤติทางด้านสังคมกับสิ่งแวดล้อม อาจารย์คิดว่าอะไรน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

    ผมคิดว่ามันจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน จากการที่อุณหภูมิมันสูงขึ้นในโลก ดิน ฟ้า อากาศ ทั่วโลกก็เปลี่ยนแปลง ผมเพิ่งกลับมาจากอาหรับเอมิเรสต์ ปรากฏว่าฝนตกมาตลอดทั้งปี ทั้งๆ ที่ปกติเขาเป็นทะเลทราย ผมเคยบอกเขามานานแล้วว่า ตรงนี้ในที่สุดจะไม่ใช่ทะเลทรายแล้ว ฝนจะเริ่มตกมากขึ้นๆ และมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ทะเลทรายจะค่อยๆ เคลื่อนที่ไปทางเหนือมากขึ้น อย่างประเทศสเปนจะแห้งแล้ง ทะเลทรายซาฮาราจะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ทางเหนือ

    อุณหภูมิในโลกเริ่มจะสูงขึ้นอยู่เรื่อยๆ ผมไปคุยกับนักวิทยาศาสตร์ที่ประเทศจีน มันเกิดจากน้ำทะเล เขายอมรับว่าทุกปีมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ก็เริ่มละลาย ฉะนั้นจึงทำให้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง ความรุนแรงจะเกิดมากขึ้นๆ พายุไต้ฝุ่นมากขึ้น สึนามิก็จะมีมากขึ้น แผ่นดินไหวมากขึ้น ทุกอย่างมันมากขึ้นไปหมด

    ขณะเดียวกัน มนุษย์เราก็ยังทะเลาะกัน เถียงกัน ยังทำสงครามกัน ยังฆ่ากันอยู่ โดยเฉพาะแถวๆ อิหร่าน ตะวันออกกลาง จะมีปัญหาอยู่เยอะ และอีกหลายประเทศที่มีการสู้รบกัน ลักษณะแบบนี้มันจะเร่ง ทั้งธรรมชาติ ทั้งวิกฤติในระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็จะเป็นตัวเร่ง ทำให้เราต้องยอมรับแล้วว่าถึงเวลาที่มนุษย์จะต้องเปลี่ยนแปลง

    ชีวิตของผมเองก็เหมือนกัน พอเป็นเด็กเกเรมากๆ ชกต่อยคนโน้น คนนี้ ตัวเราเองก็เจ็บด้วย ไม่ใช่ทำให้คนอื่นเจ็บอย่างเดียว และนั่นคือตัวเร่งที่ทำให้ผมเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เพราะฉะนั้นอันนี้กำลังเกิดขึ้น และผมคิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิด

    เร็วแค่ไหนคะ

    ผมให้เวลา 12 ปี

    ทำไมถึงเป็นตัวเลข 12 ปี

    เพราะว่าตัวเร่งมันกำลังเกิดขึ้น ทุกอย่างมันเร่งหมดแล้ว เราไม่เคยมีแผ่นดินไหวที่รุนแรง จนทำให้เกิดคลื่นสึนามิ ไม่เคยมีอย่างนี้มานานทีเดียว แต่ตอนหลังมีตั้งหลายครั้งแล้ว และพอมันเกิดขึ้นตรงนี้ เปลือกโลกมันก็ขยับใช่ไหม มันก็ทำให้เกิดความกดดันอีกจุดหนึ่ง ซึ่งมันก็ต้องขยับตาม ทีนี้มันก็จะไปเรื่อยๆ ไปรอบด้านรอบโลก ซึ่งอันนี้เป็นภัยอันตรายที่พวกเราต้องระมัดระวัง แต่ถ้าพวกเราช่วยเหลือกันตั้งแต่แรก ภัยเหล่านี้ก็จะลดน้อยลง อยู่ที่ความร่วมมือของมนุษย์ สึนามิไม่จำเป็นต้องฆ่าคนจำนวนมาก ถ้าทันทีที่เกิดขึ้นจุดใดจุดหนึ่งก็บอกต่อๆ กันไป <!--MsgFile=4-->

    แล้ว 12 ปีนี่ประเมินจากอะไรคะ

    ผมลองดูสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นตัวปัจจัยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือเราก็สังเกตทุกด้านจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก อันแรกจากที่มนุษย์เราทะเลาะกันเอง สร้างสงครามกัน สร้างวิกฤติของตัวเองขึ้นมา อีกอันหนึ่งก็คือความถี่ของธรรมชาติที่มีแผ่นดินไหว น้ำท่วม ดินฟ้าอากาศที่รุนแรง มีพวกพายุมากขึ้น เฮอร์ริเคนทางโน้น มีไซโคลนทางนี้ มีอะไรต่างๆ ที่รุนแรงมากๆ

    คือพวกนี้เราดูแล้วความถี่มันมากขึ้นๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ผมก็วาดกราฟออกมา การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นแบบไหน ผมคำนวณออกมาแล้วมันจะไม่เป็นเส้นตรง แต่มันจะค่อยๆ ขยับขึ้น ตอนแรกมันดูเหมือนช้ามาก แต่แล้วมันจะค่อยๆ ขยับขึ้น และขึ้นเร็วมาก ผมคำนวณดูก็เห็นว่าจุดวิกฤติต่างๆ มันจะเกิดขึ้นภายใน 10 ปีข้างหน้า หลังจากนั้นก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางด้านการศึกษา ทางด้านจิตใจของมนุษย์อะไรต่างๆ เพราะคนเราจะถึงขั้นหนึ่งที่บอกว่าพอแล้ว ไม่เอาแล้ว ความทุกข์มันพอแล้ว เลิกกันดีกว่า เราหันหน้าเข้ามาหากัน คุยกันดีกว่า มันจะถึงขั้นหนึ่ง มากจนต้องหยุดแล้ว

    สุดท้ายอาจารย์คิดว่าอะไรจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้มนุษย์ก้าวพ้นวิกฤติเหล่านี้ไปได้

    มีอยู่อย่างเดียว ความรัก ความเมตตา คนเราถ้ามีความรัก ความเมตตา ทุกอย่างก็แก้ได้หมด เราให้อภัยซึ่งกันและกัน เราไม่มองในแง่ร้าย มีอะไรเราช่วยเหลือเขา เมื่อมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรามีอาหารเหลือเฟือ เรามีอะไรทุกอย่างเหลือเฟือในโลกนี้ เราไม่ต้องแย่งกันหรอก แต่จะใช้ระบบเศรษฐกิจแบบปัจจุบันไม่ได้ ระบบเศรษฐกิจต้องเปลี่ยน จะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบนายทุนไม่ได้แล้ว แต่เป็นเศรษฐกิจของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เศรษฐกิจของในหลวง สิ่งเหล่านี้มันจะต้องเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ


    อ้างอิงมาจากเวป
    http://www.ee43.com/contentdetail.php?content_id=259 <!--MsgFile=5-->

    จากคุณ : <!--MsgFrom=5-->harts
    [​IMG] - [ <!--MsgTime=5-->1 ส.ค. 48 00:20:06 <!--MsgIP=5-->]

    ผมเพิ่งถึงบางอ้อถึงคำทำนายที่ได้ยินกันมาว่าผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งใหญ่จะมีจิตสำนึกสูงขึ้น ผมสงสัยว่าจะเกิดขึ้นเพราะอะไร ก็มาได้ยินอ.อาจองอธิบายง่ายๆว่าเมื่อเกิดวิกฤติ คนเราจะสามัคคีกัน.....ก็ถึงบางอ้อทันที ผมว่าวิกฤติที่สามารถทำให้คนทั้งโลกสามัคคีกันได้นี่มันต้องไม่ใช่เล่นๆแล้ว..... ที่เขาทำนายว่าภาคใต้จะหายไปและบางประเทศก็จะหายไปมันน่าจะต้องเกิดขึ้นจริงๆ ผมดูเว็บแผ่นดินไหวทุกวัน เห็นได้เลยว่าวันนี้มันเกิดที่นี่ วันต่อไปมันไม่เกิดที่เดิม แต่จะไปเกิดอีกที่นึง เกิดซ้ำๆกันบ่อยๆ เหมือนกับเตรียมจะขยับครั้งใหญ่เลยต้องเตรียมรอยแยกให้มันกว้างขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดนึง ผมว่ามันจะต้องยุบลงทั้งผืนแน่ๆครับ เตรียมใจกันไว้ได้เลย <!--MsgFile=14-->

    จากคุณ : <!--MsgFrom=14-->อืมม...
    [​IMG][​IMG] - [ <!--MsgTime=14-->1 ส.ค. 48 01:00:36 <!--MsgIP=14-->]


    ภัยพิบัติที่ว่าคงจะเหมือนในหนัง กับสารคดี แต่ที่น่ากลัว คือแผ่นดินไหว กับสึนามิจากภูเขาน้ำแข็งถล่มลุกแล้วลูกเล่า

    โอกาสที่แผ่นดินไหว บนเปลือกโลก หลายๆแผ่น จะมีปฎิกิริยาเป็นลูกโซ่ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นหลายๆจุดบนโลก เพราะมีน้ำทะเลเขาไปแทนทีจากการละลายของน้ำแข็ง และภูเขาน้ำแข็งถล่ม
    การเกิดแผ่นดินไหวบนแผ่นดิน แล้วทำลายเมืองหลายๆเมืองคงจะเกิดขึ้นได้ แล้วถ้ามีการระเบิดของภูเขาไฟร่วมด้วย มนุษย์คงจะเริ่มหันหน้าเข้าช่วยกันเหมือนอาจารย์บอก เพราะถ้าเกิดแผ่นดินไหวขึ้นกลางเมือง แล้วเป็นวงกว้าง แล้วโดนกันหลายๆประเทศ คนจะตายกันหลายสิบล้านคน <!--MsgFile=19-->

    จากคุณ : <!--MsgFrom=19-->tee"
    [​IMG] - [ <!--MsgTime=19-->1 ส.ค. 48 01:56:20 <!--MsgIP=19-->]

    คัดลอกมาจากhttp://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A3640402/A3640402.html<!--pda content="end"-->
    <!--pda content="end"-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2005
  19. 431240

    431240 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +643
    (b-wow) ผมเคยพบอาจารย์ที่เป็นนักบุญชุดขาวท่านก่อนเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ ประมาณ 2 อาทิตย์ ท่านได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับคลื่นยักษ์ในต่างประเทศ ผมก็ฟังแต่ไม่เอะใจคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับประเทศไทย แต่ท่านได้ให้ผ้ายันต์มาไว้ติดที่บ้าน ในผ้ายันต์เขียนว่าป้องกันภัยจากแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟไหม้ ลมพายุ คุณไสย์ ซึ่งผมคิดว่าเมืองไทยคงไม่มีเหตุการณ์เหมือนต่างประเทศ ที่ไหนได้ หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ ก็เกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ขึ้น ทำให้ผมนึกถึงคำทำนายอื่นๆ เช่นจะมีการวางระเบิดเกิดขึ้นทางภาคใต้ ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มี มีแค่ยิงกันเฉยๆ และคำทำนายที่ท่านบอกว่าแผ่นดินจะไหวหนักอีก 7 ครั้ง รวมทั้งที่มีคลื่นยักษ์ ซึ่งจะทำให้มีคนตายอีกมาก ท่านจึงได้เดินทางไปภาคใต้เพื่อสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร เพื่อบรรเทาการเกิดเหตุร้ายขึ้น ซึ่งในตอนนั้นมีนักวิชาการออกมาบอกว่าแผ่นคงไม่ไหวติดต่อกัน และเกิดบริเวณเดิมอีกเพราะโลกต้องสะสมพลังงานในการสั่นสะเทือนอีกหลายปี แต่ที่ไหนได้ดันเกิดขึ้นมาอีก เอาละสิ มันเริ่มเข้าเค้าแล้ว ที่นี้ท่านบอกว่าสงครามกำลังจะใกล้เข้ามา ท่านใช้คำว่า "สงครามโลกครั้งที่ 3" ท่านว่าอาจจะเกิดไม่เกินปีหน้า ที่ท่านเป็นห่วงคือสงครามนิวเคลีย และท่านบอกว่าต่อไปผู้คนจะตายมาก ประชากรโลกจะตายประมาณ 1 ใน 3 ของโลก จริงๆแล้วในส่วนลึกผมไม่อยากให้เป็นจริงตามคำทำนาย เพราะที่ท่านบอกมันน่ากลัวมาก แต่บังเอิญมีคนที่ผมรู้จักเขาได้ไปหาพระที่นับถือที่สกลนคร นัยว่าท่านสามารถติดต่อกับญานหลวงปู่เทพโลกอุดรได้ ท่านได้บอกก่อนเกิดเหตุการคลื่นยักษ์เช่นกันว่า ต่อไปคนจะตายกันเป็นหมวดหมู่ คือตายกันที่เดียวหลายคน และจะเกิดภัยพิบัติใหญ่ ถึงขนาดคนที่รอดตายหากไม่ได้ปฏิบัติธรรมมาถึงกับเป็นบ้าไป เพราะรับสภาพความจริงไม่ได้ คนรวยกับคนจนจะเสมอกัน เพราะทุกอย่างถูกทำลายกันหมด บ้านจะอยู่อาศัยก็ไม่ปลอดภัย ท่านจึงได้สร้างกระท่อมและปลูกผักต่างๆ ไว้ ช่วยเหลือผู้คน นี้คือ 2 อาจารย์ที่กล่าวคล้ายกัน จนล่าสุดผมได้ไปหาพระอาจารย์อีกท่านหนึ่ง แต่อาจารย์ท่านนี้ไม่ขอบพูดเรื่องราวที่ยังไม่เกิดและเรื่องที่พิศดาร แม้แต่พระเครื่องที่ท่านสร้างไปเพื่อสงเคราะห์คนจนเกิดอภินิหารยิงไม่ออก ท่านก็ไม่เคยบอก ท่านสอนแต่ให้ตั้งตนในความไม่ประมาทไว้ ท่านกล่าวว่าต่อไปต่อไปคนที่จะอยู่ได้ คือคนที่มีศีลธรรม กตัญญูต่อบิดา มารดา มีความดีคุ้มกันตัว ถึงจะอยู่ได้จะลำบากมาก ผมเลยถามว่า "มันจะไม่ดีขึ้นเลยหรือครับ" ท่านบอกว่า "มีแต่แย่ลง" ผมถามท่านอีกว่าแล้วจะแก้ไขไม่ได้หรือครับ ท่านตอบ ได้แค่ยืดเวลาออกไป แต่แก้ไม่ได้ มันเป็นกรรมของมนุษย์ เมื่อท่านตอบเท่านี้ท่านก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ** ตกลง 3 อาจารย์ ต่างที่ ต่างเวลา ต่างไม่รู้จักกัน แล้วทั้ง 3 ท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหมด ใช้ชีวิตในการบำรุงพระศาสนาและสงเคราะห์ผู้คนด้วยความรู้ทางพุทธศาสนาที่ท่านมีมาตลอด ได้กล่าววาจาในลักษณะเดียวกันหมด แม้กระทั่งอ่านหนังสือโลกลี้ลับใน คอลัมภ์ คนเห็นผีของอาจารย์อาชวิน ก็มีบ่อยครั้งที่ท่านกล่าวถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น อีกทั้งผมยังรู้จักเด็คนหนึ่งซึ่งแปลกกว่าเด็กทั่วไปคือ จะมีการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าที่เป็นอันตรายได้ อย่าง เหตุการณ์นำท่วมหาดใหญ่ มีคนตายเป็นจำนวนมาก เด็กรู้เหตุการณ์ล่วงก่อนประมาณ 3 เดือน แม้เหตุการณ์สหรัฐ รบ กับอิรัก ก่อนเกิดเหตุเด็ก(อนุบาล 3 ครับ) ลุกขึ้นมานั่งร้องให้ จนแม่เด็กตกใจ จึงถามจนได้ความว่า สงสารคนที่ถูกฆ่าในสงคราม ซึ่งเด็กใช้คำเรียกประเทศอิรักไม่ถูก เรียกแต่ประเทศอิอิ อะไรก็ไม่รู้ จนหลังจากนั้นมีเหตุการณ์อีกเด็กบอกให้แม่ชวนน้าสาวที่อยู่กรุงเทพฯ ให้กลับมาอยู่บ้านกรุงเทพฯมีอันตราย อีกเหตุการณ์หนึ่งผมมีคนที่รู้จักและเป็นคนดีมาก ท่านได้เสียชีวิต โดยก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตท่านจะสวดคาถาชินบัญชรจนท่านหมดลมหายใจไม่มีหลงลืม
    เมื่อญาติของผู้ตายถามเด็กคนนี้ เด็กตอบว่ารู้ไหมจริงๆแล้วยายเป็นคนดีมาก ยังไม่ถึงที่ตายแต่สวรรค์สงสารจึงได้นำกลับไปก่อน เพราะต่อไปจะลำบากกันมาก จึงไม่ต้องการให้ยายลำบาก ดูสิครับเด็กตัวเท่านี้แต่ไม่ทราบว่านำคำพูดเหล่านี้มาจากไหน ผมจึงนึกถึงคำของหลวงพ่อฤาษีฯ ว่าต่อไปผู้ที่ได้อภิญญาจะลงมาเกิดมาก แม้พระที่ได้อภิญญาในป่าก็จะออกมาช่วยผู้คนมากขึ้น(ไม่ทราบจำผิดหรือเปล่า ต้องขอโทษด้วยครับ) ทั้งหมดที่บอกเล่าไม่ได้ต้องการจะให้เชื่อทั้งหมด เพียงแต่ให้เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท สิ่งจะต้องเกิดก็ต้องเกิดตามเหตุและปัจจัย ตามระบบของกรรม เราทำได้และช่วยได้ด้วยการปฏิบัติธรรม รักษาศีล และแผ่เมตตากันให้เหตุเหล่านี้บรรเทา หรือไม่ก็ขอให้ยืดระยะเวลาออกไป หรือไม่เกิดเลยก็ดี อย่างน้อยเมื่อเราทำความดี ความดีคงส่งให้เราไปสู่สุคติภูมิเป็นแน่(ขณะที่ผมพิมพ์อยู่นี้ทราบว่าครูบาอาจารย์หลายท่านกำลังช่วยเหลือกันป้องกันภัยพิบัตินี้ ทั้งการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ การนำกลุ่มคนไปสวดมนต์ในสถานที่สำคัญ ฯลฯ) ออ!
    ลืมเล่าอีกเรื่องหนึ่ง ตอนเกิดคลื่นยักษ์มีฝรั่งคนหนึ่งลงไปดำน้ำทะเล แล้วเขาไปเห็นใต้ทะเลมีพระภิกษุนั่งอยู่รูป แต่ฝรั่งคนนั้นเขาไม่รู้จักอีกทั้งคงจะตกใจด้วย เขาเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ จนเมื่อไกด์พาเขามาที่วัดช้างไห้ พอเขาเห็นเท่านั้นเขาก็บอกทันทีว่าพระองค์นี้แหละที่เขาเห็น ขออีกเรื่องนะครับตอนนี้ที่จังหวัดนครศรีฯ ณ.วัดพระธาตุ จะมีการสวดมนต์บูชาพระธาตุกันบ่อยมาก เหตุหรือครับเพราะวันที่เกิดคลื่นยักษ์ คืนนั้นมีหลายท่านได้เห็นพระธาตุเรืองแสงเป็นแสงสีขาวออกมาจากองค์พระธาตุ ทั้งที่ไม่มีการเปิดไฟฟ้า อีกทั้งได้มีผู้เห็นเงาพระธาตุเกิดขึ้นก่อนเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ ซึ่งชาวนครศรีธรรมราช เมื่อใดก็ตามที่พระธาตุเกิดเงาเมื่อนั้นจะเกิดภัยพิบัติใหญ่ เหมือนเมื่อครั้งที่มีผู้เคยเห็นตอนเกิดวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกและเหตุนำท่วมใหญ่จนแผ่นดินถล่มที่กระทูน นี้คือความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระธาตุ
    ซึ่งไม่เคยมีเงาไม่ว่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศใด แต่ถ้าเห็นเงาเมื่อไหร่ก็จะเป็นลางบอกเหตุร้ายทันที(เรื่องนี้ยืนยันได้ครับ ถามใครในนครศรีฯดูก็ได้ครับเรื่องพระธาตุไม่มีเงา) เหนื่อแล้วพอแค่นี้ก่อน ใครสนใจเมล์มาคุยกันนะครับ CHEAKER@CHAIYO.COM
     
  20. ชัย

    ชัย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +32
    ขอให้รอดกันหมดเลยนะครับ.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...