ปริศนาธรรม ปริศนากรรมฐานของหลวงปู่ดุลย์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 28 กันยายน 2012.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072

    ปริศนาธรรม (ฝึกลับปัญญา)
    ตอนที่ 1
    เมื่อหลายปีก่อน ในวันหนึ่งมีโทรศัพท์เข้ามาที่บ<wbr>้าน ต้องการคุยกับอาจารย์วารุณี เมื่อพี่สาวรับสาย ขอทราบความประสงค์ว่าจะคุยเรื่อ<wbr>งอะไร เขาบอกว่าเป็นทหาร เขาไม่ได้บอกชื่อ ได้บอกว่าเขาตีปริศนาธรรมไม่แตก<wbr>ตีมานานสิบปีแล้วอยากให้อาจารย์<wbr> วารุณีช่วยตีความให้หน่อย เราก็เลยบอกว่า เราไม่ใช่คนเก่ง เราไม่ใช่ผู้รู้ เราไม่ได้เป็นครูใคร ถ้าธรรมของท่านไม่ได้มาลองภูมิก<wbr>ัน เราก็จะตอบ ถ้าลองภูมิกัน เราก็ไม่มีอะไรจะตอบ เขาบอกว่าเขาไม่ได้ลองภูมิ เราก็ถามว่า ปริศนาธรรมของคุณคือ อะไร เขาบอกว่าเป็นของหลวงพ่อพุทธทาส<wbr> บางคนก็บอกว่า เป็นของหลวงปู่ดุลย์ อันนี้เราไม่ทราบว่าจริงๆว่าเป็<wbr>นของหลวงพ่อองค์ไหน ปริศนาธรรมที่ว่าคือ
    “คิดเท่าไร ก็คิดไม่ออก
    เมื่อหยุดคิด จึงจะคิดออก
    แต่ต้องอาศัย ความคิด จึงจะคิดออก”
    (ปริศนาธรรมของครูบาอาจารย์ทั้ง<wbr>หลาย ท่านจะไม่พาออกไปนอกธรรม) ยังมีต่อ
    ถ้าทุกคนเป็นอาจารย์จะตอบกันอย่<wbr>างไร (จะตอบหลายข้อหรือข้อเดียวก็ได้<wbr>)


    ตอบปริศนาธรรม
    รู้สึกยินดีกับทุกคน เมื่อได้อ่านคำตอบ ทุกคนมีปัญญาเกี่ยวกับเรื่องของ<wbr>ธรรม ทั้งสติ และ ปัญญากันทั้งนั้น บางคนตอบถูกหมดแต่ไม่ได้บรรยายเ<wbr>น้นหัวข้อ 1-2-3 เรื่องปริศนาธรรมข้อนี้ได้ถูกถา<wbr>มมา ขณะนั้นผู้ถามบอกว่าเป็นของหลวง<wbr>พ่อพุทธทาส แต่หลายคนในเฟสยืนยันว่าเป็นของ<wbr>หลวงปู่ดุลย์
    ผู้เขียนมีความเคารพในหลวงปู่แม<wbr>้ไม่เคยได้รู้จักตัวจริงท่านมาก<wbr>่อน เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ในคืนหนึ่งหลังนั่งสมาธิตั้งแต่ห้าทุ่มแล้วออกจากสมาธิตอนตีสา<wbr>ม จิตแช่มชื่นเบิกบาน ไม่รู้สึกง่วงเลย กวาดสายตาไปเห็นหนังสือพระ ก็เห็นหนังสือเล่มหนึ่งภาพปกเป็<wbr>นหลวงปู่ดุลย์ จึงหยิบขึ้นมาเปิดอ่านโดยไม่กำห<wbr>นดหน้า เป็นเรื่องที่หลวงปู่สอนพระปฏิบ<wbr>ัติว่า “ปัญญาเหมือนเข็มเย็บผ้า ต้องหมั่นฝนหมั่นลับให้แหลมคมอย<wbr>ู่เสมอ” แล้วอีกประโยคหนึ่งที่ทำให้นั่ง<wbr>ร้องไห้เสียใจที่ไม่มีวาสนาได้ฟ<wbr>ังธรรมและได้กราบองค์หลวงปู่ยาม<wbr>เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ คือพระถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ครับ พระอริยบุคคลเขาดูกันอย่างไรจึง<wbr>รู้ว่าพระองค์นั้นเป็นพระอริยบุ<wbr>คล” หลวงปู่ตอบง่ายๆสั้นๆว่า “แค่สนทนาก็รู้เขารู้เรา” เท่านั้นแหละ เราร้องไห้สอื้นอยู่นานมากก้มลง<wbr>กราบภาพปกหลวงปู่ อธิฐานอยู่นาน แล้วยกให้หลวงปู่เป็นครูบาอาจาร<wbr>ย์อีกองค์หนึ่ง ไม่มีความลังเลสงสัยในภูมิธรรมใ<wbr>ดของหลวงปู่ และไม่ต้องสงสัยว่าหลวงปู่จะไม่<wbr>ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและนิพพา<wbr>น การที่เอาเรื่องที่ประสบกับตนเอ<wbr>งแล้วเกี่ยวข้องกับหลวงปู่โดยไม<wbr>่ตั้งใจ ขอให้ทุกคนโปรดเข้าใจด้วยว่า ไม่มีเจตนาเอาเรื่องมาลงเล่นนอก<wbr>เรื่องหรือเป็นเกม แต่เจตนาให้ทุกคนลองลับปัญญา ใช้สติไตร่ตรองคิดดูว่าถ้าหากเร<wbr>าเจอคำถามแบบนี้ เราจะตอบอย่างไรดี
    1. คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก
    คน เราจะปฏิบัติธรรม ต้องนั่งสมาธิทำจิตให้สงบ ถ้าจิตยังฟุ้งซ่านคิดนั่นคิดนี่ก็จะทำให้จิตสาดส่ายฟุ้งซ่าน สมิและความสงบจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ธรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้ ต้องหยุดนึกหยุดคิดหยุดต่อ เมื่อหยุดได้แล้ว สมาธิเกิดความสงบเกิด ความรู้ทางธรรมก็จะเกิดขึ้น นั่นแหละคือคิดออก
    2. เมื่อหยุดคิดจึงจะคิดออก
    เมื่อ หยุดคิดแล้ว สมาธิก้จะแกร่งแน่แน่ว ความสงบ สงัด วิเวกจิตก้จะเกิดขึ้น เป็นกำลังผลักดันให้สติกับจิตเคลื่อนรวมเข้าหากัน และรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ความว่างอย่างแท้จริงเกิดขึ้น ที่เขาเรียกว่าจิตรวมเป็นหนึ่ง ปัญญาจะเกิดขึ้น จิตคือผู้รู้ ปัญญาเป็นผู้รู้แจ้ง นี่แหละ เมื่อหยุดคิดจึงคิดออก
    3. แต่ก้ต้องอาศัยความคิดจึงคิดออก
    เมื่อ ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดกับจิตตอนนี้ เช่นภาวะธรรมผุดขึ้น ความลังเลสงสัยบางเรื่องซึ่งเราไม่รู้ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ปัญญาก็จะแจกแจง พินิจพิเคระห์ไตร่ตรอง และคำตอบก็จะปรากฏที่จิต ตรงนี้คือข้อที่สามที่ว่าต้องอาศัยความคิดจึงคิดออก ปัญญาเมื่อทำหน้าที่เสร็จแล้วก็ดับไปไม่ได้ตั้งคงอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีคำถามหรือความลังเลสงสัยก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ทำหน้าที่แล้วก็ดับไป
    ภาวะ ทั้งหมดละเอียดอ่อนซับซ้อนและยาว ถ้าต้องอธิบายเป็นคำพูดจึงย่อให้สั้นลงพอเข้าใจ ที่สำคัญ ภาวะนี้ต้องเกิดกับตนเองจึงจะเข้าใจถ่องแท้ สิ้นสงสัย การอ่านหรือท่องจำไม่สามารถสัมผัสภาวะดังกล่าวได้ ภาวะนี้เราเรียกว่า “พระธรรมเป็นครู ปัญญาเป็นผู้รู้แจ้ง” ความลังเลสงสัยหมดสิ้นจากใจ น้อมใจเชื่อในพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งเดียวในดวงใจ ธรรมใด พุทธพจน์วจนใดที่พระองค์กล่าวชอบแล้ว
    นิพพาน นรก สวรรค์ มีจริงเราเชื่อ ต่อให้ใครโต้แย้งคัดค้านเราก็มั่นคงนิ่งเสีย ต่อให้เอาไปฆ่าแล้วแลกกับการถูกฆ่าให้เปลี่ยนศาสนา เราก็ยอมตาย ขอให้ได้เกิดมาพบพระพุทะเจ้าทุกภพทุกชาติ สิ่งที่จะทำให้เราได้พบพระพุทธเจ้าก็คือ แรงปรารถนา ศรัทธา ศิล สมาธิ และการบำเพ็ญภาวนา พยายามละทุคติ ปรารถนาสุขคติโลกสวรรค์ ถ้ายังไม่พ้นชาติเกิด เป้าหมายสุดท้ายคือ “นิพพานัง ปรมัง สุขขัง” พระนิพพานคือเป้าหมายชีวิต
    เรื่องนี้ยังไม่จบ มีอีกสองตอน เขาถามเรา เราถามเขา ให้เขาตอบทุกคนคิดว่าจะต่อหรือว่าจะจบดีเอาความคิดของทุกคนเกณฑ์ตัดสิน สาธุ

    จากเฟสวารุณี สวัสดิภักดิ์ | Facebook
     
  2. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +1,124
    “เวลาทานอาหาร แทนที่จะพิจารณาว่าสุดท้ายมันจะออกมาเป็นยังไง
    กลับกินด้วยความอยาก ปากยังอมอยู่ ตาก็ดูหาของที่อยาก เตรียมป้อนใส่ปากต่ออีก”


    “ถ้าปากก็พูดสอนถึงแต่เรื่องนิพพาน แต่พฤติกรรมมีแต่การสั่งสม ก็ใช้ไม่ได้”

    “อย่าไปให้ความสำคัญกับของขลังภายนอกยิ่งกว่าทำจิตของเราให้เป็นพระ
    ตัวเรานั่นแหละเป็นแก้วสารพัดนึก”


    พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร
    วัดถ้ำสหาย จ.อุดรธานี​

    พิเศษไม่เข้ากลุ่ม - ┌(^_^)┘ก้านเหล็ก└(^_^)┐
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ก็ขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคลครับว่าจะรู้แบบ''สมมุติ'' หรือรู้แบบ''วิมุตติ''..ว่าจะตีความแบบคนที่..อ่านมามาก ได้ยินมามาก.ได้ฟังมามาก อาศัยประสบการณ์ส่วนตัวที่ศึกษาข้องเกี่ยวมานาน.ประสบการณ์ทางสมาธิประสบการณ์ทางธรรม.แล้วบวกกับความคิดที่เกิดจากจิตไปปรุงร่วมแบบไม่รู้ตัว..การตีความออกมาก็จะถูกในระดับหนึ่ง.แม้ว่าจะอ่านดูแล้วฉลาดและอัจฉริยะ.แต่ก็ยังเป็นระดับทางสมมุติอยู่..อาจจะเป็นธรรมแต่ก็ยังเป็นโลกียะธรรม...
    หรือจะตีความแบบบุคคลที่ รู้เรื่องจิต รู้เรื่องหลุดพ้น รู้สภาวธรรมต่างๆตามความเป็นจริง แบบคนที่แยกจิตกับความคิดออกจากกันได้..บางครั้งไม่จำเป็นต้องพูดต้องบอกกล่าว.ไม่ต้องไปอ่านคำอธิบายที่ยืดยาวแต่ระบบความเข้าใจในการตีความก็จะชัดเจน แจ่มแจ้ง.บางครั้งเขียนเป็นคำพูดไม่ได้แต่ก็มีความเข้าใจ.เพียงแค่เห็นเพียงบางประโยค..หรือที่เรียกว่ารู้ วิมุตติ..
    ปล. คนที่เห็นฐานของจิตและเห็นจิตขณะที่กำลังก่อตัว(มีขันธ์ 5 ส่วนนามธรรม)..กับคนที่เห็นจิตในขณะที่ก่อตัวเรียบร้อยแล้ว จะไม่เห็นฐานและการก่อตัวของจิต(จะไม่มีขันธ์ 5 ส่วนนามธรรม เนื่องจากผ่านประสบการณ์ชีวิตมาโชกโชน)..มี ๒ อย่างที่เหมือนและต่างกัน ที่ต่างกันแน่นอนคือ .อายุ..และที่เหมือนกันคือ กิเลสส่วนละเอียดๆต่างๆ ที่ยังคงต้องชำระสะสางออกจากจิต.เพราะเราไม่ใช่พระอรหันต์ครับ
     
  4. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    เคยจำได้ว่า ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวเตือนว่า
    การเจริญสมาธินั้นต้องระวัง
    เมื่อได้สมาธิแล้วต้องใช้ไปในทางที่ถูก นั่นคือพิจารณาธรรม
    เพราะถ้าตรงเป๋งไปในทางอกุศล มันก็ดิ่งลงนรกเหมือนกัน
    ไม่ใช่พุ่งไปพระนิพพาน

    ท่านว่าไว้ว่า ก่อนนั่งสมาธิก็ควรพิจารณาธรรม ขันธ์ ๕ อริยสัจ หรือไตรลักษณ์ เสียก่อน
    เมื่อเข้าสมาธิจนถึงฌานแล้ว พอถอนลงมาจิตจะจับวิปัสสนาเกิดปัญญาเป็นเครื่องรู้
    ไอ้สิ่งที่คิดไว้ก่อนจะรู้จริง เข้าถึงมรรคผลจริง
     
  5. พระอาจารย์ณัฐนนท์ สิรินันโท

    พระอาจารย์ณัฐนนท์ สิรินันโท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    649
    ค่าพลัง:
    +1,323
    ขอธรรมที่ข้าพเจ้าได้เคยดำเนินมานั้น ข้าพระเจ้า ถือ คติอย่างนี้ว่า...

    ตาเห็น ชั้งตา...สักแต่ว่า..เห็น...ไม่ปรุงไปว่าดีหรือชั่ว..
    หูฟัง ชั้งหู...สักแต่ว่า..ฟัง.
    ..ม่ปรุงไปว่าดีหรือชั่ว..
    ใจรู้ ชั้งใจ...สักแต่ว่า..รู้
    ...ไม่ปรุงไปว่าดีหรือชั่ว..
    ทิ้งร่างกาย...สักแต่ว่า..อาศัยเท่านั้น..เจ็บป่วยก็รักษา.ไม่หายก็ทำใจสบาย ๆ ( นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ )
    ดูความว่าง....ตั้งสติไว้ในความไม่มีอะไร...เป็นกลาง ๆ ในอารมณ์ทั้งหลาย...
    จับตัวรู้.....รู้อารมณ์ของจิตว่าสงบ หรือไม่สงบ..รู้อารมณ์จิตเฉย ๆ ตามธรรมดา ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย...
    ดูตัวเฉย.....รู้อะไรก็ว่างไว้ ๆ ๆ ว่างไว้ ให้มันเป็นของมันเอง..
    เฉยที่สุด คือ อรหันต์....ภายนอกเป็นไปตามสภาวะแห่งโลกสมมุติ...แต่ภายในนั้น กอรปด้วยอุเบกขารมณ์
    ว่างที่สุด คือ พระนิพพาน.....
    เมตตาไม่มีประมาณ คือ พระโพธิสัตว์....

    .....อารมณ์จิตสัมผัสรู้ตรงไหนก่อนจับอารมนั้นก่อน...แล้วจิตมันก็จะเป็นของเขาเอง...ขอให้มีสติเข้าไปรับทราบในอารมณ์นั้น ๆ โดยความเป็นของว่างเปล่าเท่านั้นเอง..

    (...อยากถึงเร็วให้คลาน...อยากถึงนานให้วิ่ง..)
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ปริศนากรรมฐานของหลวงปู่ดุลย์

    ปริศนาธรรมที่ว่าคือ
    “คิดเท่าไร ก็คิดไม่ออก
    เมื่อหยุดคิด จึงจะคิดออก
    แต่ต้องอาศัย ความคิด จึงจะคิดออก”

    อันนี้ไม่ใช่ปริศนาธรรมหรอกครับ แต่เป็นรายงานธรรม ตรง ๆ ตัวเลย ข้อความจริง ๆ เป็นดังนี้
    จากหนังสือ หลวงปู่ฝากไว้ หน้าที่ 9 เรื่อง หยุดเพื่อรู้

    คิดเท่าไร ๆ ก็ไม่รู้
    ต่อเมื่อหยุดคิดได้ จึงรู้
    แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละ จึงรู้

    ให้สังเกตุให้ดี ๆ ว่า ไม่มีตอนใดเกี่ยวข้องกับเรื่อง คิดออก หรือ คิดไม่ออก แต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องใน โลกียะ
    หลวงปู่แสดงแต่เรื่อง โลกุตระ ให้เห็นความเป็นจริงว่า

    ความคิด หรือ ตัวปรุงแต่งนั้น ไม่สามารถนำพาให้ถึง สภาวะธรรมแห่ง รู้ ได้ (อยู่ข้างในความคิด)
    ต่อเมื่อ หยุดคิด หรือ หยุดอาการปรุงแต่งได้ สภาวะ รู้ จึงสามารถที่จะปรากฏ (หนทางออกจากความคิด)
    ต้องอาศัย อาการของตัวคิด ในการถูกรู้ จึงจะออกมาสู่ สภาวะรู้ได้ (ออกมาข้างนอกความคิด)

    เรื่องของการหยุดคิด ยังมีอยู่ในหน้าที่ 69 อีกตอนหนึ่ง เรื่อง หยุดต้องหยุดให้เป็น

    คือมีนักปฏิบัติธรรม พยายามหยุดคิด แต่ไม่สำเร็จ จึงมาขออุบายจากหลวงปู่ ซึ่งหลวงปู่กล่าวไว้ว่า

    "ก็แสดงถึงความผิดพลาดอยู่แล้ว เพราะบอกให้หยุดคิดหยุดนึก ก็กลับไปคิดที่จะหยุดคิดเสียอีกเล่า แล้วอาการหยุดจะอุบัติขึ้นได้อย่างไร จงกำจัดอวิชชาแห่งการหยุดคิดหยุดนึกเสียให้สิ้น เลิกล้มความคิดที่จะหยุดคิดเสียก็สิ้นเรื่อง"

    ดังนั้น หากสังเกตุให้ดี ๆ แล้ว สิ่งที่หลวงปู่ฝากไว้นั้นคือ "มรรค" นั่นเอง ท่านให้ "ทำ" ท่าน "ไม่ได้ให้คิด"
    และเรื่องนี้ "ไม่ใช่ปริศนา" แต่เป็น "การบอกเล่าตามความเป็นจริง ในทุกอักขระและพยัญชนะตามนั้น"

    คิดเมื่อไร ก็ผิดเมื่อนั้น
    ทำได้เมื่อไร ก็ถูกเมื่อนั้น
    ก็เพราะ มันเป็นอย่างนั้น(deejai)
     
  7. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ถามตอบปัญหาธรรม
    โดย วารุณี สวัสดิภักดิ์
    ถาม อาจารย์ แม่ครับ ผมเองก็เคยเจอกับ นักปฏิบัติธรรมที่เห็นแก่ตัว นอกจากเค้าจะเห็นแก่ตัวแล้ว ยังเห็นแก่เงินด้วย จะนับหน้าถือตากันเฉพาะกลุ่มนักปฏิบัติธรรมที่มีเงินด้วยกัน ผมเห็นแล้วก็ได้แต่ปลง ปล่อยวางช่างหัวมันก็เท่านั้นเอง ไม่ได้คิดร้ายอะไรหรอกครับ เพียงแต่จนปัญญา เกินกว่าที่จะไปอธิบายให้เค้าเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมจริงๆมันก็แค่เริ่มจากการมีศีล รู้จักพิจารณาบาปบุญดีชั่ว ไม่ใช่ทำดีทำบุญแต่เอาหน้า ขอบพระคุณอาจารย์แม่มากครับ ที่ได้่นำเรื่อง
    ตอบ ต้องเปลี่ยนความคิดเราเอง แล้วพิจารณา ตัวหลงมันวิ่งตามจี้เราตลอดเวลาไม่มีหยุดพักเลยแม้แต่เข้าวัดภาวนามันก็ยัง เข้ามาสั่งให้เป็นนั้นเป็นอย่างนี้ตลอดคนถูกสั่งไม่มีสติตามทันก็ไม่รู้ตัว ว่าโดนกิเลสมันเล่นงานอยู่ แต่เราโชคดีที่มีปัญญาพิจารณามองเห็น นี้แหละหน้าตา กิเลสตัวโตเลย เปลี่ยนความคิดใหม่ในการมองให้เกิดธรรมะ เราปฎิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น ใครชอบแบบใหนก็เลือกเอาเป็นเรื่องของเขา ส่วนเราเลือกแล้วที่จะเดินตามคำสอนของ พระพุทธเจ้า แล้วก็ท่องไว้ว่า “เรื่องของใคร ใครกองไว้ข้างหลัง เรื่องของเรายังไม่ถึงฝังอย่าเฉไฉ ให้รีบเร่งความเพียรอย่าร่ำไร จิตว่างวางเมื่อไร มรรค ผล นิพพาน” ดูใจเราตลอดเป็นการไม่ส่งจิตออกนอก มีสติรู้ทันอารมณ์เข้ามากระทบจิต ระวังอย่าให้มันปรุงจิตให้เกิดโทษ ทางมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม เวลานั่งสมาธิ จะรู้ว่าจิตสงบเร็วเพราะจิตถูกฝึกให้สะอาดอยู่ตลอดเจริญสติปัฐฐานสี่ ธรรมก็จะผุดขึ้นเร็ว ปัญญาก็จะเกิดตามมา และเป็นครูผู้แจกแจงธรรมให้เข้าใจ ที่เรียกว่า พระธรรมเป็นครู ปัญญาเป็นผู้รู้แจ้ง
    จากวารุณี สวัสดิภักดิ์ | Facebook
     
  8. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หากกาย วาจา ใจ
    เวทนา ..... ความรู้สึก
    จิต ..... อารมณ์

    สามสี่อย่างนี้หากยังไม่สมดุลย์กันทั้งหมด
    จะจิตเขาคิดออกกายเขาก็เอามาไม่หมด

    หากจิตเขาหมดแล้วกายยังไม่หมดที่มานั้นก็ไม่ใช่
    หรือใช่เป็นส่วนมากไม่ใช่เหลือน้อย

    หากทุกอย่างเท่าเทียมกันหมุนตามกันหนุนเนือ่งกันเหมือนวงจรอะไรสักอย่าง
    จนจบกระบวนการ
    เหมือนวงจรปฏิจของพุทธองค์ก็คงที่สุดแล้ว

    แต่ส่วนมากแล้วกระท่อนกระแท่นจับมาปะติดปะต่อ
    หล่อออกมาอย่างไรก็ไม่เห็นพุทธองค์
    ต้องช่วยกันขอรับ

    บางคนได้แขนของแท้มา
    บางคนได้ขามา
    ต่อๆกันเข้าก็จะได้พระพุทธรูป
    ต่ออย่างไร

    ก็อาศัยวิตกวิจารณ์พิจารณาของแต่ละท่าน
    แล้วสานเสวนา
    ฉันท์ วิริยะ จิตตะ วิมังสา................................................เอวังเม
    เราคงได้พระพุทธองค์ของเราที่ช่วยกันเสวนากันขึ้นมา

    นี่ฉัน นั่นกิน....ถิ่นกา...มาหงส์......วงไฮโล
    ทำอย่างไรดี
    เจอเจ้าของบ่อนอีกเออ.

    กลับบ้านไปเลี้ยงไก่ห้าพระองค์ดีกว่าไหมขอรับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...