ปาฏิหาริย์แห่งองค์พระผู้ทรงอริยคุณ หลวงปู่จันทา ถาวโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 18 มิถุนายน 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]
    เมื่อเทวดามาขอรับพระไตรสรณคมน์กับหลวงปู่จันทา
    เมื่อผีเหล่านั้นกลับไปหมดแล้ว ในขณะที่นั่งภาวนาอยู่นั้น ไม่นานก็มีฝูงเทพบุตรเทพยดามาจากภูเขาใหญ่ รูปร่างสวยงามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ มาเป็นร้อย ๆ มากราบไหว้ แล้วก็ขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕
    ก็เลยถามว่า “จะรับไปทำไม ?”
    เขาก็ตอบว่า “โอ๋...เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่นะท่าน พวกข้าพเจ้ามีพระไตรสรณคมน์ ศีล ๕ ศีล ๘ และกรรมบถ ๑๐ ประจำชีวิต นั่นแหละ อบายจึงไม่ได้ไป ไฟนรกจึงไม่ได้ไหม้ มีแต่สุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปล้วน ๆ ดังนั้น เมื่อเห็นท่านมาเจริญสมณธรรม จึงพากันมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ เพื่อจะไม่ให้ของเก่านั้นเศร้าหมอง
    เมื่อให้พระไตรสรณคมน์และศีล ๕ แล้ว เขาก็ขอฟังธรรมะ ก็เทศน์ให้ฟังอย่างย่อ ๆ ว่า
    “เย เกจิ พุทฺธํ สรณํ คตาเส น เต คมิสฺสนฺติ อปายภูมึ”
    นรชาติหญิงชายทั้งหลาย เมื่อเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้า เอวัง”
    เทศน์ให้เขาฟังเท่านั้นแหละ แล้วถามเขาว่า
    “โยม...ขณะที่อาตมาเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็น จนถึง ๕ ทุ่มนั้น ได้ยินเสียงดังสนั่นราวกับว่าภูเขาเหล็กมันจะพังลงมา นั่นเป็นเสียงอะไร ?”
    “โอ๋...เป็นเสียงที่ข้าพเจ้า สาธุการส่วนบุญกับท่าน การเดินจงกรมมีบุญมากนะท่าน ก้าวขวาลงสู่พื้นดินนั่น พุทโธ ดังตึ้งนะ แหมบุญมากอัศจรรย์ใจ พวกข้าพเจ้าจึงมาสาธุการส่วนบุญด้วย”
    นั่นแหละ บุญในศาสนาพุทธ คือ เดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ นั่นแหละได้บุญเยอะ จากนั้นก็ถามเขาต่อไปอีกว่า
    “เมื่ออาตมา ไหว้พระสวดมนต์ว่า อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควาฯ...แล้ว เสียงที่เคยดังนั้นเงียบหายไป นั่นเป็นเพราะเหตุไร ?”
    “โอ๋...พวกข้าพเจ้าหยุดส่งเสียงไม่ให้ไปกระทบ อรหัง สัมมา สัมพุทโธฯ นั้น กลัวจะเป็นบาป ได้แต่อนุโมทนาสาธุการส่วนบุญเท่านั้น ไม่ให้มีเสียงไปกระทบ อรหัง ผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลส สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ จะอุบัติบังเกิดในโลกแต่ละกัปแต่ละกัลป์นั้นก็เป็นของยาก เพราะการสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้านั้นแสนยาก นั่นแหละ เมื่อมีขึ้นแล้วก็เป็นโชคลาภอย่างดี จะไปสวดที่สวรรค์ก็ชนะทั้งนั้น จะไปสวดที่พรหมโลกก็ชนะทั้งนั้น จะไปสวดที่นรกอเวจี ไฟนรกก็ดับ น้ำร้อนแสบเย็นเค็ม ก็กลับกลายเป็นน้ำหวานให้สัตว์นรกได้กินเป็นอาหาร”
    “อันชื่อเสียงเรียงนามของ อรหังฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ สัมมาสัมพุทโธ นั้นเป็นของดีเลิศแท้นะท่าน พวกข้าพเจ้าถึงแม้ว่าจะได้ไปสวรรค์แล้ว ก็ไม่ลืมไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนา เดินจงกรม บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยึดเอาพระนิพพานเป็นที่ไปอยู่เป็นนิจ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ เป็นธรรมที่ส่งผลให้ไปพระนิพพานได้ อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ อย่างกลางก็พรหมโลก อย่างสูงที่สุด วิมุตติหลุดพ้น คือ พระนิพพาน เบื้องหน้า มีเท่านั้นแหละ ฉะนั้น พวกข้าพเจ้าจึงไม่ให้มีเสียงกระทบ นี่ข้อสำคัญมั่นหมาย”
    นั่นแหละ เทวดาเขาก็เป็นสักขีพยานนะว่า การเดินจงกรมเป็นบุญใหญ่ ยืนภาวนาก็เป็นบุญใหญ่ ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิก็เป็นบุญใหญ่หลวงนะ
    จากนั้นเขาก็ว่า “ท่านอาจารย์ สัญจรไปตามบ้านน้อยเมืองใหญ่ ขอฝากธรรมะไปเทศน์โปรดแม่ ป้า น้า อา บ้างเถิด” เขาพูดเป็นภาษาอีสานว่า
    “๔ คนหาม ๓ คนแห่ คนหนึ่งนั่งตะแคร่ (เตียงไม้ไผ่) มองทาง ใครแก้ปริศนาธรรมะนี้ได้ เป็นปราชญ์ฉลาดรู้ เห็นฮ่องคลองธรรม ไปสู่โลกหน้าก็ไม่ข้องคา มาสู่โลกนี้ก็ไม่ติด สร้างบุญสร้างกุศลใส่ตนไว้ เป็นพี่เป็นน้องกัน เดินทางไกลพอได้พึ่งพิงอาศัย มื้อเช้าส่งแกง มื้อแลงส่งป่น สายพอเพล (เที่ยงวัน) พอได้จ้ำแจ่วก็ดีหลาย ข้าวสักปั้น เกลือสักก้อนก็ไม่มี เต็มทีมาก”
    อย่างพวกที่ประมาทลืมตน ถือผีสางคางแดงเป็นที่พึ่ง ตายแล้วมาเกิดเป็นผีอย่างนั้น ไม่มีสิทธิอำนาจอะไร เทวดาก็เหยียดหยามคนชั้นต่ำ คือผีนั้น นั่นแหละ เมื่อเขาต่อว่าติเตียนแล้วก็หมดสิทธิ ไม่มีอำนาจอะไรจะไปต่อต้านทั้งนั้น สมขี้หน้า
    “๔ คนหาม ได้แก่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ หามเราไป เรา คือ ใจ”
    “๓ คนแห่ ได้แก่ ตัณหา ๓ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มันหามมันแห่เรา ไปสู่ที่ไหนมันก็แห่เราไปอย่างนั้น”
    “๑ คน นั่งตะแคร่มองทาง คือ ใจ ตะแคร่ คือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แหละ”
    นั่นแหละ ไขปริศนาปัญหานี้ได้ ก็เป็นปราชญ์ฉลาดรู้เห็นฮ่องคลองธรรม
    อันนี้แหละ ๔ คนหาม ได้แก่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้น มันจะต้องแก่ เจ็บ ตาย นั่นแหละ อนิจจตา ไม่เที่ยง ทุกขตา ก็เป็นทุกข์ อนัตตตา ก็ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เราแน่นอน เพราะมันเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งนั้น
    เหตุธรรม ปัจจัยธรรม ได้แก่ ตัณหา อวิชชา นั่นแหละ เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องน้อมเอา สมถธรรม วิปัสสนาธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ มาปราบ ๓ คนแห่ คือ ตัณหา ๓ และ อวิชชา นั้นให้ตกออกไปจากใจ แล้วเราก็จะพ้นไปจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย หมดเพียงแค่นั้น
    นั่นแหละ นี่ข้อสำคัญ ทำไว้ให้พร้อมทุกอย่าง เมื่อเราอบรมศีลธรรม ทำคุณงามความดีใส่ตนไว้แล้ว ก็จะบันดาลจิตใจให้เป็นปราชญ์ฉลาดรู้ ว่าสิ่งใดหนอ เป็นเสบียง เป็นปัจจัยของเรานั้น เราจะได้เร่งรีบขวนขวาย สะสมบุญกุศลใส่ตนไว้ นอกนั้นไม่มี จริงแท้แน่นอน
    แล้วเขาก็พูดว่า “เมื่อท่านสะสมบุญใส่ตนไว้พร้อมแล้ว เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี เปรียบอุปมาเหมือนกับเรามีกระติกน้ำใหญ่ติดตัวไว้ในเวลาเดินทางไกล ไปถึงร่มไทรก็จะได้ล้างหน้า ไปถึงร่มหว้าก็จะได้ส่วยคิง (เช็ดตัว) ไปถึงที่แจ้ง ๆ แดดร้อน ๆ ก็จะได้อาบเย็นสบาย อันนี้ฉันใด บุญก็ฉันนั้น ไปถึงสถานที่ใดก็เป็นอย่างนั้น สบายดีเลิศประเสริฐสุด นอกนั้นไม่มี”
     
  2. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    วันนี้นำรูปเก่าสมัยเมื่อ20ปีที่แล้วที่คุณพ่อและคุณแม่ผมไปช่วยหลวงปู่จันทาสร้างวัดป่าเขาน้อยผมเองก็ไม่นึกไม่ฝัน20ปีให้หลังจะมาช่วยหลวงปู่จันทาท่านสร้างเจดีย์อีกครั้งหนึ่งครับ
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]
    </FIELDSET>
     
  3. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]
    หลวงปู่จันทาโปรดแสดงธรรมให้ ผียักษ์กลับใจ
    เจริญสมณธรรมอยู่ที่ถ้ำเป็ด ไตรมาส ๓ เดือน ไม่นอนทั้งวันคืนนะ เร่งรัดพัฒนาทำความเพียร เดิน ยืน นั่ง อยู่อย่างนั้นก็ได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ เมื่อจิตสงบลงไปแต่ละครั้งแล้วมันลืม มันหมดความแสบ ความร้อน ความหิวกระหายก็ไม่มี หิวข้าวก็หายหมด หิวนอนก็หายหมด มีแต่ความสุข ร่าเริงบันเทิงใจ นี่ข้อสำคัญนะ สำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม กินธรรมเป็นอาหารก็ดีอย่างนั้น เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้
    ไม่นาน อยู่มาวันหนึ่ง จิตสงบลงได้แล้ว กลางคืนนะ ราวเที่ยงคืน มีผียักษ์ตนหนึ่ง เขี้ยวยาว ถือตะบองเหล็กเข้ามาหา แล้วว่า
    “ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่ อวดดีหรืออย่างไร ?”
    “อ๋อ...มาเจริญสมณธรรมดอกท่าน”
    “อะไรคือ สมณธรรม ?”
    “พุทโธ ธัมโม สังโฆ สมณธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา สมณธรรม มรรค ๘ โพชฌงค์ ๗ สมถวิปัสสนา นี่คือ สมณธรรม”
    “สมณธรรมอย่างนี้ ดีอย่างไร ?”
    “ดี ! ...ล้างบาปได้ ถอนกิเลสออกจากดวงใจได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะชนะได้ ดีเลิศประเสริฐแท้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของ ของสมณธรรมนั้น พระองค์ว่า จงไปเจริญสมณธรรมในสถานที่ต่าง ๆ อยู่เป็นนิจ จิตใจจะสว่างผ่องใส นั่นแหละจึงได้มาทำอย่างนี้”
    “ไม่กลัวตายหรือ ?”
    “ไม่ ! ...เรื่องตายเป็นของเล็กน้อย เรื่องความตายอยู่เบื้องหลัง ไม่เอามาขวางหน้า ไม่หวั่นไหว จะเป็นจะตายอย่างไร ไม่กลัวทั้งนั้น”
    “ไม่กลัวหรือ ! ...เอ้า ...จะทำอย่างไรก็ทำเถิด ไม่กลัวทั้งนั้น ท่านเป็นผียักษ์ใหญ่ เป็นเปรตครึ่งหนึ่ง เป็นผียักษ์ครึ่งหนึ่ง เป็นสัตว์โลกครึ่งหนึ่ง เป็นสัตว์เดรัจฉานครึ่งหนึ่ง เป็นสัตว์พเนจรมีแต่ไปอยู่ทางนั้น ทำแต่บาปหยาบช้าลามกใส่ตน หาความดีไม่ได้ ถึงจะมีอาคมกล้าอย่างไรก็ตามเถอะ เมื่อทำบาปหยาบช้าลงไปแล้ว ทุศีล ทุธรรม ก็ฉิบหายวายป่วง จะได้ประสบแต่เหตุเภทร้าย นั่นแหละ อยากดีไหมเล่า ?”
    “อยากดี !”
    “อยากดี จะสอนให้เอาไหม ?”
    “เอา”
    “เอา...ก็ตั้งใจนะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ” ว่าตาม เขาก็ว่าตาม ถึง ทุติฯ ตติฯ แล้วก็มอบศีล ๕ ให้อีกนั่นแหละ
    “ตั้งใจนะ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้จะพาท่านพ้นจากความเป็นผียักษ์ เป็นสัตว์โลก (สัตวะ แปลว่า เป็นผู้ข้องอยู่ด้วยความอยากและความหลง) เป็นเปรตในวัฏสงสาร (เปโต แปลว่า เปรต) นั่นแหละ อดอยาก ทุกข์ยากลำบาก ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งอาศัย มีแต่ทุกข์กับทุกข์ มีแต่ยากกับยาก มีแต่ร้อนกับร้อน มีแต่หนาวกับหนาว มีแต่หิวโหยกระหายอยู่อย่างนั้น นั่นแหละเพราะไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะอวดอ้างว่าดีก็ตามเถอะว้า”
    นั่นแหละ เทศน์ให้ฟัง จนใจของผียักษ์มันอ่อนโยน อ่อนลง สบาย
    “โอ๋...ไม่เคยได้ยินได้เห็นอย่างนี้ ต่อไปจะขอประพฤติปฏิบัติตามอย่างที่ท่านสอน”
    “เออ ดีมาก จะได้ชื่อว่า ตโม โชติปรายโน เบื้องต้นประพฤติธรรมอันมืดดำมา เป็นเปรต เป็นผี เบื้องปลายมาพบปราชญ์ชาติเมธี ใจดี มีศีลธรรมให้โอวาท จิตใจอ่อนน้อมอ่อนโยน มาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็จะมีสุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้านะ ไม่ต้องสงสัย”
    เมื่อได้ยินได้ฟังอย่างนั้น ผียักษ์มันก็ยอมเลย ต่อแต่นั้น มันก็ตั้งตนเป็นอุบาสก เป็นผีที่ดี ละชั่ว ไม่ยอมประพฤติชั่วช้าด้วยกาย วาจา ใจแล้ว พอใจประพฤติปฏิบัติธรรมตลอดไป
     
  4. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]
    เอาภาพขยายใหญ่มาให้ชมเสื้อแดงอุ้มตุ๊กตานี่ก็เป็นผมเองครับ
     
  5. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]

    เที่ยวเมืองชาวทะเลกับหลวงพ่อห้อ

    การตายแล้วฟื้นครั้งนั้น ทำให้อาการป่วยไข้หายไป ร่างกายแข็งแรงดีขึ้น ท่านพระอาจารย์จันทาอยากจะออกเที่ยววิเวกอีกครั้นเมื่อออกพรรษาแล้วจึงไดกราบลาพระอาจารย์จันทร์ เที่ยววิเวกไปตามลำพังตามสมณวิสัยของพระธุดงคกรรมฐาน
    ได้ขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่เที่ยววิเวกอยู่ ๙ วันแถวป่าเขาดอยสุเทพ ได้อารมณ์ภาวนาดีมาก จิตรวมเป็นสมาธิเป็นประจำและได้นิมิตแปลก ๆ แต่แล้วพิษมาลาเรียได้กำเริบขึ้นอีก
    หมอที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ฉีดยาให้จนหายดีแล้ว จึงขึ้นรถไฟกลับมาลงที่สถานีบ้านภาชี พักอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีหนึ่งคืน พอวันรุ่งขึ้นก็ขึ้นรถไฟไปลงที่ขอนแก่น ค่าโดยสารรถไฟแต่ละเที่ยวนั้น ทางศรัทธาชาวบ้านเป็นผู้ซื้อตั๋วโดยสารให้ทุกครั้ง
    เมื่อลงรถไฟที่ขอนแก่นจะไปสกลนคร ไม่มีผู้ใดจ่ายค่าโดยสารรถให้จึงเดินแสวงวิเวกไปเรื่อย ๆ ตั้งใจปรารภความเพียรอย่างหนัก
    ในระหว่างทางได้พบกับหลวงพ่อห้อ เที่ยวธุดงค์มาจากอำเภอโนนสัง จังหวัดอุดรฯ ได้สนทนาแลกเปลี่ยนธรรมปฏิบัติเป็นที่สบอัธยาศัยกัน
    หลวงพ่อห้อบอกว่า กำลังจะไปจำพรรษาที่ศรีราชา เป็นการเปลี่ยนสถานที่วิเวกจากดงดอยป่าหนาดงทึบทางภาคอีสานและภาคเหนือ เป็นไปทางทะเลเสียบ้าง ถ้าท่านพระอาจารย์จันทาอยากจะไปด้วยก็ไม่ขัดข้อง
    พระอาจารย์จันทาตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยเห็นทะเล เคยเห็นแต่ในรูปภาพ ก็คิดอยากจะเห็นทะเลและภูมิประเทศบ้านเมืองขนบธรรมเนียมประเพณีทางหัวเมืองชายทะเลบ้าง จึงตกลงใจขอไปด้วย
    หลวงพ่อห้อ พาขึ้นรถไฟที่ขอนแก่นไปลงกรุงเทพฯ ต่อรถยนต์ไปชลบุรีในวันนั้นเลยทีเดียวถึงชลบุรีตอน ๖ ทุ่ม หลวงพ่อห้อพาเข้าพักที่วัดใหญ่แห่งหนึ่งในตัวเมือง จำชื่อวัดไม่ได้
    รุ่งเช้าขึ้นจะออกไปบิณฑบาตแต่เจ้าอาวาสวัดนี้ได้ห้ามไว้ว่า
    “อย่าไปบิณฑบาตเลย ไม่ได้ข้าวหรอก ผมอยู่วัดนี้มา ๓๐ ปีแล้ว ผมไปบิณฑบาตไม่ได้อะไรเลย ข้าวสักทัพพีก็ไม่ได้
    คนเมืองชลบุรีใจบุญสุนทานมีน้อย ส่วนมากไม่สนใจในการทำบุญทางพระศาสนา เพราะคนส่วนมากชาติก่อนเป็นปลาในทะเลได้มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่เมืองชลบุรีในชาตินี้ ดังนั้นทางวัดต้องอาศัยโรงครัวจึงพอมีข้าวเลี้ยงพระเณรในวัดไปวัน ๆ ”
    ท่านพระอาจารย์จันทาได้ยืนยันที่จะไปบิณฑบาต เพราะการออกบิณฑบาตนี้ ตามพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตทุกเช้าเป็นพุทธจริยาที่จะทรงโปรดประชากรทุกชั้นวรรณะมิได้เลือกหน้า
    พระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นสมณศากยบุตรลูกของพระพุทธเจ้าโดยทางธรรม จักต้องเจริญรอยตามบาทพระพุทธองค์ คือออกโคจรบิณฑบาตเช่นเดียวกัน เพื่อรับการใส่บาตรจากชาวบ้านชาวเมือง กระทำทานได้บุญกุศล
    เจ้าอาวาสได้กล่าวอีกว่า
    “เมื่อพวกท่านจะไปบิณฑบาตจริง ๆ ก็นิมนต์เสี่ยงบารมีไปดูเถอะ”
    ท่านพระอาจารย์จันทาและหลวงพ่อห้อ ก็ออกจากวัดไปบิณฑบาตในเมืองชลบุรี ปีนั้นตรงกับ พ.ศ.๒๔๙๔ (สองพันสี่ร้อยเก้าสิบสี่) หรือเมื่อ ๓๖ ปีมาแล้ว สมัยนั้นเมืองชลบุรียังไม่เจริญรุ่งเรืองใหญ่โตเหมือนปัจจุบันนี้ ยังเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่
    ออกจากวัดมาได้ไม่ไกลก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง เห็นศพคนตายอยู่ในห้องแถวเก่า ๆ มีญาติพี่น้องเฝ้าศพอยู่ ท่าทางเศร้าโศกเงียบหงอย เพื่อพวกเขามองมาเห็นพระบิณฑบาตก็ทำเฉย ๆ ท่านพระอาจารย์จันทากับหลวงพ่อห้อเดินผ่านไป
    “อาตมารู้สึกประหลาดใจที่บ้านมีคนตายแต่พวกญาติพี่น้องเห็นพระแล้วไม่ใส่บาตรทำบุญให้กับคนตาย ถ้าเป็นทางเหนือทางอีสานแล้ว เขาจะร้อง นิมนต์ก่อน ตุ๊เจ้า นิมนต์ก่อน ครูบา แล้วรีบเอาข้าวมาใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย แต่รายนี้ที่เมืองชลพวกเขาเฉย ๆ ”
    ท่านพระอาจารย์จันทากล่าวแต่ท่านพระอาจารย์เพ็งได้ให้ความเห็นว่า ครอบครัวคนตายนั้น อาจจะเป็นคนจีนที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา จึงไม่สนใจหรือไม่เข้าใจในเรื่องทำบุญตักบาตรให้คนตาย
    การเที่ยวบิณฑบาตในเช้าวันนั้น ได้ไปทั่วทุกตรอกซอกซอยในเมืองชลบุรี และเลยลงไปถึงหมู่บ้านแถบชายทะเลด้วยแต่ก็ไม่ได้ข้าวสักทัพพีเดียว ไม่มีคนใส่บาตรเลย
    ครั้นกลับมาถึงทางสี่แยกใกล้วัด จึงมีชายหนุ่มคนหนึ่งใสบาตรให้ข้าว ๑ ทัพพี เขาพนมมือถามนอบน้อมว่า
    “ผมไม่เคยเห็นท่านอาจารย์ทั้งสององค์มาก่อนเลย ท่านอาจารย์นุ่งสบงห่มจีวรสีดำคล้ำ สะพายบาตรใบใหญ่อย่างนี้ เป็นพระมาจากไหนขอรับ?”
    ท่านพระอาจารย์จันทาตอบฉันเมตตาจิต
    “มาจากภาคอีสานเมืองบนโน้น ที่นั่งห่มสีกรักนี้เป็นพระธุดงคกรรมฐานสายของท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ”
    ชายหนุ่มคนนั้นสีหน้าตื่นเต้นปีติปราโมทย์ร้องว่า
    “โอ! เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงเพิ่งเห็นตัวจริงพระธุดงค์สายท่านพระอาจารย์มั่นวันนี้เอง ผมขอบุญด้วยขอรับ”
    “ขอให้บุญจงเป็นของคุณโยมเถิด”
    ท่านพระอาจารย์จันทา และหลวงพ่อห้อ บิณฑบาตกลับถึงวัดเวลาประมาณ ๙ โมงเช้า เจ้าอาวาสวัดมาเปิดฝาบาตรดูแล้วหัวเราะกล่าวว่า
    “ผมบอกท่านทั้งสองแล้ว คนเมืองนี้ไม่ชอบทำบุญใส่บาตรหรอก ผมได้สั่งทางโรงครัวของวัดให้ทำอาหารไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อถวายพวกท่าน ขอให้ผมได้ทำบุญกับพระธุดงคกรรมฐานอย่างพวกท่านเถิด”
    ท่านพระอาจารย์จันทาเล่าว่า เจ้าอาวาสวัดนี้น้ำใจดีงามเหลือเกิน ใจบุญใจกุศล รูปร่างคล้ายพวกขุนนางในวัง
    เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้วเจ้าอาวาสยังได้ถวายค่ารถโดยสารให้อีก เป็นพระบ้านหรือคามวาสีที่น่าเคารพเลื่อมใสมาก
    หลังจากปีนั้นมา พุทธศาสนาในชลบุรีรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมากทางราชการ พ่อค้า คหบดี และประชาชนได้ร่วมแรงร่วมใจกันฟื้นฟูพัฒนาพระศาสนาอย่างขนานใหญ่
    ชาวบ้านชาวเมืองหันมาเลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนามากมาย นิยมทำบุญตักบาตรพระเณรได้ข้าวปลาอาหารคาวหวานล้นบาตรทุกวัน พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของชาวชลบุรี
    เมื่อชาวชลบุรีทำบุญตักบาตรกันทุกวันนี้ก็เหมือนหว่านข้าวกล้าลงในเนื้อนา ข้าวกล้าย่อมงอกเงยไพบูลย์งอกงาม คือย่อมได้บุญได้กุศลใหญ่ เป็นเหตุปัจจัยให้ร่ำรวยเจริญรุ่งเรืองทันตาเห็นในชาตินี้
    ดังจะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ชลบุรีเจริญพัฒนารุ่งเรืองเป็นหัวเมืองชั้นเอก ชาวบ้านชาวเมืองอยู่ดีกินดีมีสุข พระพุทธศาสนาก็รุ่งเรืองประเทืองใจ ควรแก่การโมทนาสาธุการ
     
  6. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]

    พระอาจารย์ลุน วัดวิเวการาม

    ที่ศรีราชาหลวงพ่อห้อพาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดวิเวการาม เจ้าอาวาสวัดชื่อ พระอาจารย์ลุน เป็นพระธุดงคกรรมฐานชาวจังหวัดอุบล ฯ
    ท่านพระอาจารย์จันทากล่าวว่า ท่านทำความเพียรได้รับความสงบดีมาก แต่แปลกที่ว่าธาตุขันธ์ไม่ถูกกันกับอาหารไทยแบบภาคกลาง ฉันข้าวหุงและอาหารจืดอาหารผัดต่าง ๆ แล้วท้องเสีย แต่ถ้าวันใดได้ฉันข้าวเหนียวกับปลาร้า ธาตุขันธ์ท้องไส้จะดีมาก ร่างกายกระชุ่มกระชวยซาบซ่านแข็งแรงแปลกพิลึก
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้กราบลาท่านพระอาจารย์ลุน เดินทากลับมาพักอยู่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่อยู่วัดวิเวการามศรีราชาแล้วท้องร่วงท้องเสียเพราะอาหารไทย เมื่อมาถึงวัดป่าสาลวันแทบไม่มีแรงเดินบิณฑบาต
    แต่เมื่อแข็งใจไปบิณฑบาตในตลาดโคราชได้ข้าวเหนียวกับปลาร้ามาฉันแล้ว ปรากฏอัศจรรย์ว่า ร่างกายแข็งแรงขึ้นทันตาเห็นอาการท้องเสียหายไปเป็นปลิดทิ้ง
     
  7. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    รับโอวาทจากหลวงปู่บัว

    [​IMG]

    <TABLE id=table2 width=168 align=left border=0><TBODY><TR><TD width=162>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=162>
    หลวงปู่บัว สิริปุณโณ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พักอยู่วัดป่าสาลวัน ๒-๓ วัน ได้ขึ้นรถไฟมาลงที่จังหวัดอุดรฯ จากนั้นก็ขึ้นรถยนต์ไปอำเภอหนองวัวซอ ลงจากรถเดินไปยังวัดบ้านหนองแซง นมัสการหลวงปู่บัว สิริปุณโณ (บิดาของท่านพระอาจารย์เพ็ง พุทธธัมโม)
    ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมรับการอบรมจากท่านหลวงปู่บัวพอประมาณ สอนเน้นหนักเรื่อง “สติ” ท่านกล่าวว่า
    “การปฏิบัติธรรมมุ่งหวังความพ้นทุกข์ ขอให้มีสติรู้เท่าทันเป็นปัจจุบันอารมณ์อยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเถอะน่า สติรู้ตัวเดียวนี้แหละจะทำให้เราเกิดญาณจักษุรู้แจ้งหมดโลกหมดจักรวาล”
    ท่านหลวงปู่บัว สิริปุณโณเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงที่ได้รับคำชมเชยจาก หลวงปู่ขาว อนาลโยวัดถ้ำกลองเพลว่า
    “ท่านบัวนี้ เป็นผู้วิเศษองค์หนึ่งนะ !”
    ปีที่ท่านพระอาจารย์จันทาไปรับการอบรมอยู่กับหลวงปู่บัวนี้ พ.ศ.๒๔๙๕ และต่อมาอีก ๒๓ ปี (ยี่สิบสามปี) ท่านหลวงปู่บัวได้อำลาสังขารมรณภาพในปี พ.ศ.๒๕๑๘ อัฐิของท่านได้กลายเป็นพระธาตุ
     
  8. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]
    สาวงามชาวภูไทชวนให้สึก

    ท่านพระอาจารย์จันทาพักรับการอบรมจากหลวงปู่บัวไม่นาน ก็กราบลาท่านออกธุดงค์ต่อไป เที่ยววิเวกไปตามแถวภูพานสกลนคร และได้เข้าจำพรรษาอยู่กับ ท่านพระอาจารย์สีลา โพธิโก วัดป่าโชติการาม ตั้งอยู่เชิงเขาภูเหล็ก สมัยนั้นท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม ยังไม่ได้ไปอยู่ที่ภูเหล็ก (วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม)
    วัดป่าโชติการามเชิงเขาภูเหล็ก เป็นที่สัปปายะสงัดวิเวกดีมาก ท่านพระอาจารย์จันทาอยู่ที่นี่ถึง ๓ พรรษา แถบย่านภูเหล็กนี้มีชาวภูไทอยู่กระจัดกระจายเคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาดีมาก สาวภูไทนั้นงามนักเหมือนสาวทางเชียงใหม่ทางลำพูน ผิวขาวปานไข่ปอก
    สาวภูไทมาถวายจึงหันในตอนเช้า มีหลายนางที่งามแบบสาวบ้านป่าตาหวานเยิ้ม ส่งสายตาให้ แล้วนิมนต์ให้ท่านพระอาจารย์จันทาลาสิกขาสึกออกไปเป็นฆราวาส
    “จะให้อาตมาสึกไปทำอีหยังล่ะโยม ?”
    ท่านพระอาจารย์จันทาถามแต่คำตอบที่ได้รับนั้นทำเอาสะดุ้งเพราะสาวภูไทตอบว่า
    “จะเอาไปเป็นผัว !”
    ท่านพระอาจารย์จันทาตอบว่า
    “ฮ่วย ! ผู้ชายหนุ่ม ๆ มีมากมายหลายหมู่บ้าน ทำไมพวกโยมไม่เอาเขาเป็นผัว ?อาตมาเป็นพระ กว่าจะได้บวชก็ยาก บวชมาแล้วก็ศึกษาภาวนาด้วยความยากลำบาก ขอให้พวกโยมช่วยกันหวงแหนอาตมาไว้ในพระศาสนาให้เป็นพระสงฆ์องค์เจ้าเอาบุญต่อไปเถอะ”
    สาวงามภูไทตอบเสียงหวานตามประสาซื่อตรงไม่มีจริตมายาว่า
    “ไม่อยากได้ผู้ชายชาวบ้านเป็นผัว เพราะไม่ทำให้เจริญ อยากได้แต่ครูบาไปเป็นผัว จะพาร่ำรวยเจริญรุ่งเรือง ครูบาเป็นผู้มีบุญ เป็นเจ้าศีลเจ้าธรรม ผู้ใดได้ไปเป็นผัว ถือว่ามีวาสนาสูงแท้”
    “ก่อนที่จะมาบวชนี้ อาตมามีครอบครัวแล้วนะโยม มีลูกชาย๑ คน อาตมาจึงไม่ใช่หนุ่มสด ๆ หากเป็นพ่อม่ายมาบวชเป็นพระ”
    คำตอบนี้ทำให้สาวงามภูไทหน้าเสียกราบลากลับไป และไม่มาวัดอีกเลย เพราะธรรมเนียมทางภาคพื้นนั้น สาว ๆ มีความรังเกียจพ่อม่ายไม่อยากเข้าใกล้เพราะถือว่า พ่อม่ายเป็นตัวอัปมงคลนั่นเอง !
     
  9. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ภูเหล็กแตนศักดิ์สิทธิ์

    [​IMG]

    ภูเหล็ก นี้ ตามประวัติเล่าว่าแต่ก่อนเคยศักดิ์สิทธิ์และสำคัญมาก ที่ถ้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่งห่างจากถ้ำพวงประมาณ ๑๐ เมตร เคยมีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อ “พระนรสีห์” มานิพพานที่นั่น
    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตสมัยไปวิเวกที่บนภูเหล็ก เวลาจะเข้าใกล้ถ้ำที่พระนรสีห์อรหันต์นิพพาน ท่านพระอาจารย์มั่นจะสั่งให้ลูกศิษย์ถอดรองเท้าตามอย่างท่าน เป็นการแสดงความคารวะสถานที่อย่างเคร่งครัดเพราะถือว่ามีเทพยดาเฝ้ารักษาสถานที่แห่งนี้อยู่
    และที่บริเวณถ้ำพวง ภูเหล็ก ก่อนนี้มีช่องหนึ่งลึกลงไปใต้ภูเขาท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโมเคยไปวิเวกที่นั่น พบด้วยญาณจักษุว่า ช่องใหญ่ลึกมาก อยู่ไม่ไกลจากถ้ำพวง เป็นถ้ำพญานาคมันพ่นพิษใส่ท่านเป็นการขับไล่ ท่านเลยเอาก้อนหินมาปิดช่องทางนั้นอย่างแน่นหนา แต่ตอนหลังไม่ทราบอยู่ตรงไหนเพราะพื้นราบเรียบกันไปหมด
    ท่านพระอาจารย์จันทาเล่าว่า
    “อาตมาไปเจริญภาวนาที่ภูเหล็ก ตรงที่นั้นเป็นหน้าผาดิ่งลงมาอยู่คนละด้านภูเขากับถ้ำพวงสมัยนั้นเป็นดงหนาป่าทึบกว้างใหญ่ มีพวกโซ่ พวกภูไทอยู่กันห่าง ๆ กระจัดกระจาย”
    ป่าใหญ่แถวนั้นผีสางเทวดาดุร้ายมาก จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ เพราะอาตมาได้ประสบมาจริง ๆ เรื่องผีเรื่องเทพนี้อาตมาเจอมามากจนหายสงสัยแล้ว”
    “ป่าภูเหล็ก อำเภอส่องดาว (สมัยนั้นเป็นเพียงตำบล) ชาวบ้านกลัวกันมาก ใครขืนไปถางป่าทำไร่หรือตัดไม้มาปลูกบ้านเป็นต้องถูกฝูงผีรุมเล่นงานตายทันตาเห็นในวันนั้น ถ้าไม่ตายก็ป่วยเรื้อรังเป็นปี ๆ ผอมหัวโต”
     
  10. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]

    นิมิตสมาธิ

    “อาตมาจะขอนำนิมิตในสมาธิมาเล่าให้ฟัง เพื่อให้ผู้อ่านถือเอาเป็นคติไว้พิจารณาศึกษาต่อไป
    คืนหนึ่งตอนเที่ยงคืน อาตมาทำความเพียรภาวนาจิตรวมสงบลงเป็นสมาธิธรรม ได้ยินนิมิตเสียงผู้หญิงหลายคนร้องไห้ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งป่า
    จากนั้นก็เป็นนิมิต พวกผู้คนชาวบ้านทั้งหญิงและชายจำนวนมาก ถือคบไต้จุดสว่างไสวเดินออกจากป่ามาพบอาตมา พวกเขาเล่าให้ฟังว่า ผู้หญิงในหมู่บ้านออกลูก แต่แล้วก็ถูกผีปอบกินเด็กที่คลอดใหม่ ๆ พวกหมอมนต์คาถาอาคมในหมู่บ้านไล่ผีปอบไม่ออก อยากจะขอนำมนต์ของอาตมาไปไล่ผีปอบ
    นิมิตนี้แปลกมาก จิตบอกอาตมาว่าพวกเขาเป็นผี แต่เหตุใดในหมู่พวกผีถึงได้มีผีปอบเข้าสิงพวกผีด้วยกันอีก มันเป็นเรื่องผีซ้อนผี อาตมาก็ทาน้ำมนต์ให้ไป
    เมื่อพวกเขากลับไปก็มองเห็นว่า บ้านเมืองของพวกเขาอยู่ตามกอหญ้า อยู่ตามต้นไม้ อยู่ตามซอกหินแคบ ๆ อยู่ตามถ้ำใหญ่ ๆ ต้นไม้ทุกต้นมีบ้านเรือนใหญ่บ้างเล็กบ้าง อยู่แน่นไปหมด
    อาตมาได้กำหนดจิตถามพวกเขาก็ได้คำตอบว่า พวกผีที่มีบ้านเรือนอยู่ตามกอหญ้า เป็นเพราะมีควรมีกรรม ถ้าไปอยู่ต้นไม้ใหญ่ก็เกิดอาการร้อนเหมือนอยู่ในกองไฟ อยู่ไม่ได้ เพราะวาสนาไม่ถึง
    พวกผีที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ ๆ เป็นพวกมีบุญพอสมควร เป็นกึ่งผีกึ่งเทวดา พวกที่อยู่ในถ้ำเป็นเทวดาก็มี เป็นกึ่งเทวดาก็มี เป็นเปรตอสุรกายก็มี พวกนี้หน้าตาท่าทางการแต่งกายเหมือนคนบ้านนอกทั่วไป
    เมื่อพวกนี้ไปแล้ว นิมิตที่เห็นเป็นปราสาทเงินปราสาททองงามระยิบระมับลอยอยู่เหนือยอดเขาภูเหล็ก พวกที่อยู่บนปราสาทนี้หน้าตาผ่องใส แต่งตัวเรียบร้อยมีสง่าราศีเหมือนชาวกรุง ไม่ได้ใส่ชฎาแต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนยี่เก แต่งเหมือนชาวกรุงสมัยใหม่ดี ๆ นี่เอง พวกเขาลงมาจากปราสาทเหมือนเดินมาธรรมดา
    พอมาถึงพวกเขาก็กราบไหว้อาตมา กิริยามารยาทเรียบร้อย พูดจาพาทีอ่อนโยนทั้งหญิงและชาย ขอไตรสรณคมน์ปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัย และขอศีล ๕ ไปปฏิบัติ
    เหตุเพราะว่าสมัยเป็นมนุษย์เคยรักษาศีล ๕ เคร่งครัด ทำบุญให้ทาน เมื่อตายแล้วจึงได้มาเกิดอยู่บนวิมานเงินวิมานทองลอยอยู่เหนือภูเหล็ก
    เมื่ออาตมาให้พระไตรสรณคมน์และศีล ๕ แล้ว พวกเขาก็กราบลาไป พวกนี้เป็นเทวดาชั้นอากาศเทวา
    เมื่อพวกเทพกลับไปบนภูเหล็กแล้ว นิมิตมาอีกเป็นผู้หญิงชาวบ้าน ใช้ด้ามเสียมคอนตะกร้าเดินผ่านหน้าอาตมาไป พลางเอื้อนแอ่วเสียงไพเราะเศร้า ๆ ว่า ผู้ข้าจะขึ้นไปเก็บใบหม่อนไปเลี้ยงตัวไหม ใครผู้ใดอยากจะมาเล่นแอ่วหมอลำให้สนุก กินแกงปลาร้าอึ่งกับนางก็เชิญได้ นางร้องแอ่วลำขึ้นไปบนภูเหล็ก
    “นิมิตบอกว่า ผู้หญิงนางนี้เป็นผีพวกหนึ่ง สมัยเป็นมนุษย์เป็นหมอฟ้อนรำ ผีฟ้าแบบเข้าทรงครั้นเมื่อตายจากมนุษย์ก็มาเกิดเป็นผีอาภัพ จะไปเป็นเทวดาก็ไปไม่ได้ จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ไม่ได้”
    นิมิตที่เล่ามานี้ จะเป็นเพราะจิตละเอียดสุขุมปรุงแต่งเล่นสนุก ๆ หรือเป็นเรื่องจริง ก็ขอให้ท่านผู้อ่านผู้มีปัญญาไปศึกษาภาวนาพิสูจน์ดูเอาเองเถิด
     
  11. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ประมวลภาพถวายเงินร่วมสร้างเจดีย์แด่องค์หลวงปู่จันทา ถาวโร ครั้งที่5
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->เนื่องจากในวันนี้(17กรกฎาคม2551)เป็นวันอาสาฬหบูชาผมและครอบครัวได้ถือโอกาสไปทำบุญเลี้ยงอาหารผู้มาทำบุญและซื้อจักรยานแจกนักเรียนที่ยากจนพร้อมทั้งถวายผ้าอาบน้ำฝนและเทียนจำนำพรรษาและหลอดไฟ ที่วัดท่าหลวง จังหวัดพิจิตร ในเช้าที่ผ่านมาและเนื่องจากเป็นช่วงใกล้เข้าพรรษาผมและครอบครัวโดยคุณแม่ของผมเป็นตัวแทนผู้มอบปัจจัยซึ่งเป็นปัจจัยที่พี่น้องชาวเว็ปไซด์พลังจิตทุกท่านร่วมบุญเพื่อร่วมสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้า5พระองค์ จำนวน29999บาทไปถวายแด่องค์หลวงปู่จันทา ถาวโร ณ วัดป่าเขาน้อย พิจิตรจึงขอแจ้งให้ทราบเพื่อให้ทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญมาในโอกาสนี้ครับ ส่วนความคืบหน้าพระมหาเจดีย์นี้ ตอนนี้เริ่มมีการตอกเสา เกลี่ยพื้นที่ และวางโครงพระมหาเจดีย์ พร้อมกับการปรับภูมิทัศน์โดยรอบไปด้วย โดยการก่อสร้างเริ่มรุดหน้าไปมากแล้วครับ ก็ขออนุโมทนาบุญในการสร้างพระมหาเจดีย์แก่พี่น้องชาวพลังจิตทุกท่านครับ ขอให้ทุกท่านเจริญไปด้วย มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และ นิพพานสมบัติทุกท่านเทอญ
    การร่วมบุญยังคงเปิดให้ร่วมบุญอยู่นะครับโดยจะเปิดให้ร่วมบุญจนกว่าพระมหาเจดีย์จะเสร็จ โดยครั้งหน้าจะนำปัจจัยไปถวายในช่วง ออกพรรษาแล้วนะครับขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน
    ภาพการถวายปัจจัยแด่องค์หลวงปู่จันทา
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  12. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ธรรมะภูไท
    สมัยที่ไปวิเวกอยู่ที่ภูเหล็กนั้น วันหนึ่งไปบิณฑบาตที่ บ้านหนองแวงม่วง อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว) จ.สกลนคร กับหลวงพ่อไค ซึ่งเป็นคนภูไท ท่านรู้ภาษาไทยโส้ ไปถึงระหว่างกลางทาง มีไทยโส้ผัวเมียกับลูก ไปหาอาหารตามป่า พ่อแม่เดินออกหน้าไปไกลมากแล้ว ลูกอยู่ด้านหลังเดินตามไม่ทัน ก็ร้องว่า
    “เอออ้อง.. ๆ ... ๆ ...”
    จึงถามหลวงพ่อไคว่า “เอออ้อง หมายความว่าอย่างไร ?”
    “นี่เป็นภาษาไทยโส้นะ” ท่านว่าอย่างนั้น “ถ้าพูดเป็นภาษาลาว (อีสาน) ก็คือ อีพ่ออีแม่เอ๊ย...! ท่าข้อยแน๊... ข้อยสิหลงป่า (พ่อจ๋า แม่จ๋า รอฉันด้วย เดี๋ยวฉันจะหลงป่า)”
    ทีนี้ก็เลยถามหลวงพ่อไคต่อไปว่า “แม่เรียกลูกว่าอย่างไร ?”
    “กวนใจสี กวนใจตา”
    “ผัวเรียกเมียว่าอย่างไร ?”
    “เย็นใจสี เย็นใจตา”
    โอ๋... ถูกใจนะ ผัวกลับจากป่าดงพงไพร หิวโหยกระหายมาเห็นเมียแล้วเย็นตาเย็นใจ นั่นแหละ มีหลวงปู่องค์หนึ่งเพิ่งบวชใหม่ อยู่ อ.สว่างแดนดิน เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน พูดให้ฟังว่า
    “ครูบาอาจารย์เอ๊ย...สมัยที่ผมยังเป็นฆราวาสอยู่นั้น ไปทำไร่ทำนา หิวโหยกลับมาจากป่าถึงบ้านเรือน พอเห็นหน้าเมียก็เย็นใจ ได้กลิ่นเมียกลิ่นลูกก็หอมหื่นชื่นใจ หอมหวนชวนใจ ความหิวก็หายไปหมด นั่งสูบยามวนใหญ่ ดมกลิ่นเมียกลิ่นลูกสบาย เป็นอย่างนั้นนะ”
    จึงถามหลวงพ่อไคต่อไปอีกว่า “เมียเรียกผัวว่าอย่างไร ?”
    “กวนก้นสี กวนก้นตา”
    “โอ๊ !...ข่มหัวลงดมก้น กวนก้น ตอนเย็นก็กวนก้น ตอนเช้าก็กวนก้น สมขี้หน้าที่เขาเรียกว่า กวนก้น”
    หมดความสงสัยแล้ว หลวงพ่อไคขอจงเป็นพยานนะ และเทพเจ้าเหล่าเทวาแม่เจ้าธรณีทั้งหลาย ก็ขอให้เป็นพยานด้วยเถิดว่า
    “ต่อไปนี้ ข้าพเจ้าจะเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ในการรักษาเพศพรหมจรรย์ จะไม่ออกไปเป็นพ่อกวนก้น ให้ผู้หญิงข่มหัวดมก้นอีกนะ”
    นั่นแหละ ก็ได้ปัญญาฉลาดรู้ตั้งแต่วันนั้นมา เมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นว่า เป็นอย่างเดียวกันนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพระยานาหมื่น นายพล นายพัน ข้าหลวง ผู้ว่า ก็ล้วนแต่ดมก้นผู้หญิงทั้งนั้น เป็นพ่อกวนก้น ตอนเช้าก็กวนก้น ตอนเย็นก็กวนก้น กลางคืนก็กวนก้น กลางวันก็กวนก้น กวนแต่ก้นนั่นแหละ ไปไหนไม่ได้ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นคนทุปัญญา
    ทุปญฺา ปราภโว ผู้ทุปัญญา จึงโง่เขลาเบาปัญญาอย่างนั้น ไม่สามารถเอาตัวรอดพ้นจากความทุกข์ได้
    นี่แหละ ธรรมพเนจรบทบาทนี้ดีมากนะ ได้เป็นข้อคิด เป็นคติธรรมเตือนใจ
     
  13. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    [​IMG]
    ภาวนาสู้เสือ
    สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๖) ได้เร่ร่อนสัญจรไปวิเวกยัง ดงผาลาด บ้านหนองแปน อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็น อ.เจริญศิลป์) จ.สกลนคร มีพระ ๒ กับ เณร ๑ ไปอยู่ด้วยกัน ห่างจากหมู่บ้านราว ๒ - ๓ กิโลเมตร
    โยมเขาก็มาทำที่พักให้ เป็นที่เตียน ๆ แจ้ง ๆ ข้างหนึ่งก่ายกับพลาญหิน อีกข้างหนึ่งก่ายกับต้นสะแบง สูงเพียงเอวเท่านั้นแหละ พระอีกองค์หนึ่งก็เข้าไปอยู่ใต้ร่มเม็ก ต้นเม็กมันมีใบหนาแน่นคลุมดี เสือมองไม่เห็นนะ ส่วนเณรก็เข้าไปทำที่พักอยู่ในป่ารก
    คืนแรก พอค่ำมาก็ลงเดินจงกรมจนถึง ๒ ทุ่ม จากนั้นก็ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิภาวนาต่อไป พอถึง ๓ - ๔ ทุ่ม เสือโคร่งใหญ่ลงไปกินน้ำในห้วยแล้วกลับขึ้นมา หายใจดัง ฮื่อฮ่า... ๆ... ๆ เสียงมันดัง เพราะคอมันใหญ่ เดินปัดหางดัง ก๊วก... ๆ... ๆ ใกล้เข้ามา ก็นึกในใจว่า
    มันจะทำอย่างไรก็แล้วแต่บุญ แล้วแต่กรรมเถิด ถ้าได้ทำกรรมไว้ ก็มอบร่างกายนี้ให้เป็นภักษาหารของเสือใหญ่ไปเลย ไม่อาลัยเสียดายทั้งนั้น เราเป็นคนตายแล้ว วันนี้ ข้าพเจ้าบวชมาเป็นทาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ก็แล้วแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะพึงปกปักรักษา
    เมื่อเสือใหญ่เข้ามาใกล้ที่พัก มันก็เดินเลี่ยงไปทางพลาญหิน แล้วก็วกกลับมานั่งดู ยืนดู อยู่อย่างนั้น บางตัวก็คุ้ยเขี่ยดินดังกร๊าก... ๆ ...ๆ บางตัวก็ร้องคำราม มาว...ว่า มาว...ว่า บางทีก็ร้องเสียง แก๊ก ก๊า... ๆ ...ๆ อย่างนี้ก็มี มีหลายอย่างนะ เสียงเสือใหญ่มันร้อง บางทีมันเป่าเล็บตีนดัง ฟ้าบ... ๆ ...ๆ บางทีมันร้องเหมือนไก่ขัน แก๊กกะแก๊ก... ๆ ...ๆ นายพรานเขาว่า ที่เสียงดัง ฟ้าบ ๆ ๆ นั้น เสือโคร่งใหญ่มันเป่าเล็บตีน ล่อกินกวาง เสียงไก่ขัน ก็ล่อกินไก่
    นั่นแหละ เสือก็เฝ้าอยู่อย่างนั้น จนล่วงไปถึง ๖ ทุ่ม มีเทพบุตรตนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุกขเทวดามาพูดว่า
    “หลวงพ่อ ๆ อย่ากลัวนะ แมวใหญ่ (เสือโคร่ง) นั้น ข้าพเจ้าบอกให้เขามาเฝ้ารักษาหลวงพ่อไว้ ตัวที่อยู่ใกล้ เฝ้าดูแลรักษา ส่วนตัวที่อยู่ไกลก็ร้องส่งสัญญาณ ขู่ไม่ให้สัตว์อื่นเข้ามารบกวนในบริเวณนี้ เพราะข้าพเจ้ากับท่าน และเสือใหญ่นั้น เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว มาชาตินี้เห็นท่านมาเจริญสมณธรรม เกรงว่าจะเป็นอันตราย จึงให้เขามารักษาญาติพี่น้องของเราไว้ อย่าได้เป็นอันตราย จะออกไปขี่หลังมันก็ได้ ไม่ต้องกลัว”
    นั่นแหละ คืนนั้นก็ไม่ได้นอน นั่งภาวนาอยู่จนสว่างแจ้ง เป็นวันใหม่ เสือมันก็เข้าดงไป นั่นแหละ ไปวิเวกตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นอย่างนั้น เมื่อก่อนนี้ในภาคอีสาน ยังมีคนน้อย มีแต่ป่าดงทึบ สัตว์ร้ายเสือช้างอะไรมันก็มาก ผีก็เยอะ ผีกองกอย สะมอยดง ผีโป่ง ผีป่ามากมาย ถึงแม้จะมีสัตว์ร้ายมากขนาดไหน ก็ไม่หวั่นไหวนะ ภาวนาอยู่ที่นั่นนาน ก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
     
  14. แดนโลกธาตุ

    แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2006
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    7
    ค่าพลัง:
    +23,976
    ชื่นใจครับ
    ขออนุโมทนากับครอบครัวคุณด้วยที่มีโอกาสรับใช้พระอริยเจ้าผู้ทรงคุณวิเศษ เช่นหลวงปู่จันทา ถาวโร ครับ
     
  15. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ๙ ภาวนาสู้เสือ
    สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๖) ได้เร่ร่อนสัญจรไปวิเวกยัง ดงผาลาด บ้านหนองแปน อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็น อ.เจริญศิลป์) จ.สกลนคร มีพระ ๒ กับ เณร ๑ ไปอยู่ด้วยกัน ห่างจากหมู่บ้านราว ๒ - ๓ กิโลเมตร
    โยมเขาก็มาทำที่พักให้ เป็นที่เตียน ๆ แจ้ง ๆ ข้างหนึ่งก่ายกับพลาญหิน อีกข้างหนึ่งก่ายกับต้นสะแบง สูงเพียงเอวเท่านั้นแหละ พระอีกองค์หนึ่งก็เข้าไปอยู่ใต้ร่มเม็ก ต้นเม็กมันมีใบหนาแน่นคลุมดี เสือมองไม่เห็นนะ ส่วนเณรก็เข้าไปทำที่พักอยู่ในป่ารก
    คืนแรก พอค่ำมาก็ลงเดินจงกรมจนถึง ๒ ทุ่ม จากนั้นก็ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิภาวนาต่อไป พอถึง ๓ - ๔ ทุ่ม เสือโคร่งใหญ่ลงไปกินน้ำในห้วยแล้วกลับขึ้นมา หายใจดัง ฮื่อฮ่า... ๆ... ๆ เสียงมันดัง เพราะคอมันใหญ่ เดินปัดหางดัง ก๊วก... ๆ... ๆ ใกล้เข้ามา ก็นึกในใจว่า
    มันจะทำอย่างไรก็แล้วแต่บุญ แล้วแต่กรรมเถิด ถ้าได้ทำกรรมไว้ ก็มอบร่างกายนี้ให้เป็นภักษาหารของเสือใหญ่ไปเลย ไม่อาลัยเสียดายทั้งนั้น เราเป็นคนตายแล้ว วันนี้ ข้าพเจ้าบวชมาเป็นทาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ก็แล้วแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะพึงปกปักรักษา
    เมื่อเสือใหญ่เข้ามาใกล้ที่พัก มันก็เดินเลี่ยงไปทางพลาญหิน แล้วก็วกกลับมานั่งดู ยืนดู อยู่อย่างนั้น บางตัวก็คุ้ยเขี่ยดินดังกร๊าก... ๆ ...ๆ บางตัวก็ร้องคำราม มาว...ว่า มาว...ว่า บางทีก็ร้องเสียง แก๊ก ก๊า... ๆ ...ๆ อย่างนี้ก็มี มีหลายอย่างนะ เสียงเสือใหญ่มันร้อง บางทีมันเป่าเล็บตีนดัง ฟ้าบ... ๆ ...ๆ บางทีมันร้องเหมือนไก่ขัน แก๊กกะแก๊ก... ๆ ...ๆ นายพรานเขาว่า ที่เสียงดัง ฟ้าบ ๆ ๆ นั้น เสือโคร่งใหญ่มันเป่าเล็บตีน ล่อกินกวาง เสียงไก่ขัน ก็ล่อกินไก่
    นั่นแหละ เสือก็เฝ้าอยู่อย่างนั้น จนล่วงไปถึง ๖ ทุ่ม มีเทพบุตรตนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุกขเทวดามาพูดว่า
    “หลวงพ่อ ๆ อย่ากลัวนะ แมวใหญ่ (เสือโคร่ง) นั้น ข้าพเจ้าบอกให้เขามาเฝ้ารักษาหลวงพ่อไว้ ตัวที่อยู่ใกล้ เฝ้าดูแลรักษา ส่วนตัวที่อยู่ไกลก็ร้องส่งสัญญาณ ขู่ไม่ให้สัตว์อื่นเข้ามารบกวนในบริเวณนี้ เพราะข้าพเจ้ากับท่าน และเสือใหญ่นั้น เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว มาชาตินี้เห็นท่านมาเจริญสมณธรรม เกรงว่าจะเป็นอันตราย จึงให้เขามารักษาญาติพี่น้องของเราไว้ อย่าได้เป็นอันตราย จะออกไปขี่หลังมันก็ได้ ไม่ต้องกลัว”
    นั่นแหละ คืนนั้นก็ไม่ได้นอน นั่งภาวนาอยู่จนสว่างแจ้ง เป็นวันใหม่ เสือมันก็เข้าดงไป นั่นแหละ ไปวิเวกตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นอย่างนั้น เมื่อก่อนนี้ในภาคอีสาน ยังมีคนน้อย มีแต่ป่าดงทึบ สัตว์ร้ายเสือช้างอะไรมันก็มาก ผีก็เยอะ ผีกองกอย สะมอยดง ผีโป่ง ผีป่ามากมาย ถึงแม้จะมีสัตว์ร้ายมากขนาดไหน ก็ไม่หวั่นไหวนะ ภาวนาอยู่ที่นั่นนาน ก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
     
  16. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ผีโป่งที่ผาอีเมย

    [​IMG]
    เมื่อพักภาวนาอยู่ที่ดงผาลาด พอสมควรแล้ว ได้ข่าวว่าที่ผาอีเมย บ้านดงนาซอน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร มีผีโป่งดุร้ายมาก เขาว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว ระวังให้ดีนะ มันจะหักคอกิน
    นั่นแหละ ก็เลยออกเดินทาง ไปถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำที่พักไม่ทัน ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ ค่ำนั้นก็ไม่เดินจงกรม เพราะเดินทางไกลมาแล้ว
    พอ ๖ โมงเย็นกว่า ๆ ก็มีเสียเหาะขึ้นทางโคนโป่งโน้น ขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พุ่งลงทางหัวทุ่งทางโน้น เสียงดัง ตึ้ง... ราวกับว่าทุ่งมันจะพังทลาย ไม่นานก็กลายเป็นไฟไหม้ป่าแดงจ้าร่าเข้ามา ไฟป่าก็ลุกรุ่งโรจน์ใกล้เข้ามา มันจะทำให้ตกใจกลัวจนเป็นบ้า วิ่งหนีเข้าป่าไป
    โอ๋...นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย ถ้าใช่จริง ๆ ก็มาหากันวันนี้ เรามาก็เพื่อว่าจะเจริญสมณธรรมหรอก มิได้มารบกวน หวังยึดเอาสถานที่ของใครทั้งนั้น เอานะ มาลองดูกันว่า คาถาอาคมของใครจะเก่งกว่ากัน เราจะได้รู้กันว่า อาคมของศาสนาจะดีเพียงใด จะปราบผีร้ายได้ไหม พอไฟใกล้เข้ามาในระยะประมาณ ๑ เส้น (๒๐ วา) เท่านั้น ก็อ่านคาถาว่า
    อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเส พุทธนาเม อิอิเมนา พุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธะปิติอิ ตะโจพระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง มังสังพระธัมมเจ้า ขอจงมาเป็นเนื้อ อัฏฐิพระสังฆเจ้า ขอจงมาเป็นกระดูก ตะริเพ็ชรคงคง อิสวาหะ สวาสุ สวาอิ พุทธะปิติอิ นะมะอะอุมิ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ พุทโธกั้ง (กั้น) ธัมโมบัง สังโฆปิด
    จบแล้วก็เป่าพึบ !...ไฟนั้นก็แตกกระจายไป สีแดง ๆ หายไป กลายเป็นสีเขียววิ่งเข้าโคนโป่งไปเลย
    คืนนั้น ๓ ทุ่มกว่า มีโยมบ้านดงนาซอนเขามาหา (บ้านดงนาซอน เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประมาณ ๑๒ หลังคาเรือน ตั้งอยู่กลางดงผาลาด) เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความกันแล้ว ก็ให้เขารับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ จากนั้น ก็อธิบายธรรมให้เขาฟังบ้างเล็กน้อย เสร็จแล้วก็ถามเขาว่า
    “โยม...เมื่อเย็นนี้ ราว ๖ โมง มีเสียงเหาะขึ้นไปบนฟ้า แล้วตกลงมากลางทุ่งทางโน้น เสียงดังสนั่นราวกับทุ่งมันจะถล่มทลาย และไม่นานก็มีนิมิตเป็นไฟป่ามา อันนั้นเป็นเสียงอะไร ?”
    “อ๋อ...ผีโป่งมันมาหาท่าน มันร้ายกาจมากนะท่าน นายพรานในเขตนี้มาล่าสัตว์ ยิงเก้งกวางแล้วมันวิ่งหนีเข้าไปในพุ่มไม้นั้น พอวิ่งตามเข้าไปดู ก็เห็นผีตัวใหญ่ หัวล้านเพ่อเว่อ นั่งสูบยามวนใหญ่เท่าแขนโป้ อยู่บนจอมปลวกโคนโป่งนั่น นายพรานในเขตนี้เขากลัวกันมาก ไม่กล้าไปอีกเลยนะท่าน”
    นั่นแหละ พอรุ่งเช้าได้ข่าวว่า ผีโป่งมันเข้าไปสิงชาวบ้าน แล้วมันพูดว่า
    “แหม...เราเป็นเจ้าของโป่ง อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสโป โน่น เคยเป็นนายพรานใหญ่มาล่าสัตว์ที่นี่ แล้วขึ้นไปนั่งบนโคนโป่งใหญ่ มีเสือตัวใหญ่ยาว ๑๒ ศอก ผ่านมา ก็เลยยิงออกไป แต่ว่าเสือนั้นไม่ตาย มันจึงกระโดดเข้ามากัดเราตาย เราหึงหวงห่วงอาลัยในสถานที่นี้ เมื่อตายก็เลยกลายเป็นผีมาเฝ้าโป่งอยู่ที่นี่ นั่นแหละ พอเห็นพระกรรมฐานจีวรคล้ำ ๆ ร่มใหญ่ ๆ บาตรโต ๆ เดินผ่านมามีรัศมีด้วยนะ เราก็รู้ว่าพระจำพวกนี้มีธรรมจืดนะ ไปอยู่ที่ไหนก็จืดหมดทั้งนั้น ไม่มีใครสู้ได้ แต่เราก็สู้ด้วยฤทธิ์ด้วยคาถา คาถาของเราก็เป็นหนึ่ง ฤทธิ์ของเราก็เป็นเลิศประเสริฐ ไม่กลัวใครทั้งนั้น แต่เราสู้ไม่ได้ เพราะคาถาของพระกรรมฐานนั้นเก่งกว่าเรา”
    นั่นแหละ ก็ไปได้ชัยชนะกับผีโป่งที่นั่น ฉะนั้น เรื่องผีสางคางแดงดำอะไรจึงไม่กลัวทั้งนั้น ธรรมพระไตรสรณคมน์เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ผีเจ้าเข้าสิง ใช้ทำน้ำมนต์ กำจัดปัดเป่าหายไปได้ทั้งนั้น อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย ฉะนั้นขอให้เอาไปภาวนาเช้าเย็นอย่าได้ขาด ไปไหนมาไหนก็ภาวนาอย่างนั้น ตายแล้วอบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะได้ไปสวรรค์โดยเร็วพลัน นี่เรียกว่า คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์ เอาไปบริกรรม อย่าได้ขาด อย่าได้ประมาท อันนี้เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้
     
  17. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ขอเชิญร่วมบุญถวายปัจจัยหลวงปู่ได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างครับ
     
  18. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    มีข่าวฝากมาครับเนื่องจากพี่มะลิกัลยาณมิตรของกองบุญเราได้เปิดเว็ปบ้านคาราโอเกะ.คอม http://www.bankaraoke.com/bbs/index.php โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทำเว็ปธรรมะเอนเตอร์เทรน โดยเว้ปนี้จะมีมิวสิคบอร์ดไว้ร้องคาราโอเกะ และมีห้องพระพุทธศาสนา ห้องธรรมะ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ และห้องพระป่าสายหลวงปู่มั่น พร้อมทั้งห้องพระเครื่อง เหตุผลเพื่อต้องการนำธรรมะและเอนเตอร์เทรน มาบรรจบกัน โดยท่านใดที่สนใจก็เข้าไปสมัครสมาชิกช่วยโพสธรรมะ พระเครื่องและ ร้องคาราโอเกะได้ รวมถึงโฆษณากองบุญได้นะครับเว็ปนี้ยินดีเปิดให้ทุกท่านไปร่วมโพสในสิ่งที่เกี่ยวกับพระเครื่องของเราครับ
    เชิญสมัครสมาชิก(ฟรี)และโพสได้ที่ http://www.bankaraoke.com/bbs/index.php
     
  19. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ก็ในเว็ปบ้านใหม่ก็ได้นำประวัติหลวงปู่ไปลงเพื่อเป็นสังฆานุสสติด้วยครับ
     
  20. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ช้างมาหาหลวงปู่จันทาขอรับพระไตรสรณคมน์
    [​IMG]
    สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๗) ไปวิเวกที่ดงหม้อทอง อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็นอำเภอบ้านม่วง) จ.สกลนคร กับ หลวงปู่ขาว อนาลโย และ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ และพระอื่น ๆ อีก รวมแล้ว ๗ - ๘ องค์ด้วยกัน
    คืนหนึ่ง ในขณะที่เดินจงกรมอยู่ประมาณ ๔ - ๕ ทุ่ม ก็มีฝูงช้างใหญ่ราว ๑๐ ตัว เดินเข้ามาหา พอห่างได้ระยะ ๑ เส้น (๒๐ วา) จ่าฝูงก็กระทืบตีน ๓ ครั้ง แล้วก็โบกหูไปมาแล้วชูงวงขึ้น แต่ก็ไม่มีความสะทกสะท้านหรือเกรงกลัวแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะอำนาจพระธรรมเกิดขึ้นแล้วที่จิต คือ ความสงบนั้น จึงกำหนดถามพระธรรมตัวเองขึ้นว่า
    “ช้างเขามาทำอะไรกัน ?”
    พระธรรมพูดขึ้นว่า “ช้างฝูงนี้เป็นญาติของเรามาแต่ชาติปางก่อนโน้น เขามาอนุโมทนาส่วนบุญกับเรา จงอุทิศส่วนบุญให้เขาเสีย”
    ก็เลยตั้งใจมั่น แล้วแผ่เมตตาให้ว่า
    “ช้าง... พวกท่านกับอาตมา เป็นญาติกันมาแต่ชาติปางก่อนโน้น มาชาตินี้ ก็ได้มาประสบพบปะกันแล้ว จงอนุโมทนาส่วนบุญนะ จะอุทิศให้ ปุญญัง อุทิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงได้รับส่วนบุญเถิด” จากนั้นก็ให้โอวาทแก่เขาว่า
    “ขอให้พวกท่านทั้งหลาย จงน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปไว้เป็นที่พึ่งนะ ไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาประจำชีวิต ไม่ลดละ ท่านทั้งหลายจงตั้งตนอยู่ในศีล ๕ ปาปะกัง ปาณาติบาต อย่างเพิ่งฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมนุษย์นะ เป็นบาป อย่าเพิ่งลักขโมยกินของไร่ของสวนเขานะ เป็นบาป เขาจะฆ่าเอา อย่าเพิ่งนอกใจซึ่งกันและกัน นั่นแหละอันนี้เป็นข้อสำคัญมั่นหมาย เมื่อพวกท่านมีพระไตรสรณคมน์ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว มีศีล ๕ ประจำชีวิตอีก ก็จะได้ มนุสสธัมโม เปลี่ยนชาติภพจากสัตว์เดรัจฉานไปเป็นมนุษย์ เมื่อเปลี่ยนชาติเปลี่ยนภพแล้ว จะได้ทำคุณงามความดีเหมือนอย่างข้าพเจ้านี่แหละ”
    เขาก็ตั้งใจฟังจนจบ จากนั้น จ่าฝูงก็กระทืบเท้า ๓ ครั้ง แล้วโบกหูพึบพับ ๆ จากไป
    สมัยนั้น ที่ดงหม้อทองยังเป็นป่าดงทึบ มีสัตว์ป่ามากมาย ทั้งช้าง ทั้งเสือเหลือง เสือโคร่ง ส่งเสียงร้องกันสนั่นหวั่นไหว แต่สัตว์ร้ายเหล่านั้น ก็ไม่ได้มาทำอันตรายแต่อย่างใด เพราะอำนาจของการประพฤติธรรม บันดาลให้เป็นมหาเสน่ห์มหานิยม
     

แชร์หน้านี้

Loading...