ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

  1. เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905

    **** น้องตาลจ้าาาาาา เส้นยึดยังไม่หาย 555 รอก่อนนะ อิอิ
    เดียวนำภาพมาให้ชมกันจ้า(น้องหนู๋ดีถ่ายไว้เยอะ อิอิ)
    .....บอกนิดหนึ่ง น้ำที่หน้าทางขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปในถ้ำสีสวย ใส และ เย็น มากค่ะ ขอบอกๆ อิอิ

    อิอิ อิอิ อิอิ
     
  2. Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    อะแฮ่มมม!!!! รูปไม่ขึ้นเด้อพี่เอ๋ แอดใหม่เลย ๆๆๆ
    โห...กลับมางานตรึมเลยหรือคะ? รับทรัพย์กฐินจริง ๆ อิอิ โมทนาค่ะพี่ ๆ
     
  3. Phuya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    608
    ค่าพลัง:
    +10,966
    วันนี้ ตอนนี้พี่เตรียมข้อมูลสวยๆ ให้ทุกๆท่านได้อนุโมทนาบุญเสร็จแล้ว แต่บอร์ดไม่รับ File รูปภาพ กระทู้น่าจะป่วย รอแป๊บ แป๊บ นะจ๊ะ
    ถ้าหายป่วยจะมาลงให้อนุโมทนาบุญกันค่ะ (รับลองทันวันที่ หนึ่ง แน่นอน ใช่ไหมน้องนก อิอิ )
     
  4. ขาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +4,466
    แหมม พี่หม่อนล่ะก้อ...... หวังลาภลอยอยู่เหมือนกัน อยากไปฝึกมโนฯ เต็มกำลัง วันที่ 7-8 ธันวาคม ที่วัดท่าซุง

    อีกนิด น่าจะมี 8 อิอิ
     
  5. Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ขออภัยค่ะ พอดีเทสว่าโพสรูปได้หรือยังค่ะ
    ขอโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านแก้เขินนะคะ แหะ ๆๆๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. Phuya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    608
    ค่าพลัง:
    +10,966
    ขอเชิญร่วมอนุโมทนาบุญ....งานบุญกฐินวัดพระพุทธบาทหริภุญชัย (ห้วยทรายขาว) ลำพูน​

    ยอดเงินที่ในปีนี้...ส่วนใหญ่ ๙๐% เป็นของพวกเราค่ะ เพราะเนื่องจาก พระอาจารย์ขัน สิริจนโท ท่านอาพาธ มาตั้งแต่กลางปี จนกระทั้ง เข้ารับการผ่าตัดใหญ่ และออกจากโรงพยาบาลก่อนรับกฐินเพียงสามวัน ทำให้ไม่มีเวลาบอกบุญแถบลำพูน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีกัลยานมิตรหลายๆท่าน ที่ให้ความเคารพพระอาจารย์เข้าไปช่วยงาน จัดสถานที่ ดูแลความเรียบร้อยเพื่อต้อนรับคณะของเรา ทำให้งานในวันนั้นผ่านไปด้วยความอิ่มสุข และอิ่มบุญค่ะ ... ยอดเงินกฐินในปีนี้

    " ๕๖๐,๐๘๖ "​



    ซึ่งเงินก้อนนี้พระอาจารย์ขันได้คืนกลับมาให้จำนวน ๔๔๒,๐๘๖ เพื่อสมทบทุนสร้างศาลาเพื่อ ประดิษฐาน " พระพุทธอัมรินทร์รัตนบพิตร " ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ ปี ๕๗ เมื่อถึงเวลานั้นเรียนเชิญทุกท่านไปร่วม ถวายศาลาพร้อมองค์พระกันนะคะ (ตอนนี้ท่านประดิษฐาน อยู่ที่ศาลาที่ทำขึ้นมาชั่วคราว รอการเคลื่อนย้ายเข้าศาลาหลังใหม่หลังจากที่สร้างเสร็จแล้ว) แบบศาลาเน้นความเรียบง่าย แต่ดูดีสมฐานะท่าน คาดว่าจะลงกระทู้ให้ทุกท่านได้ยลโฉมกันในเร็ววันค่ะ

    ในช่วงเช้าที่ทำพิธีบวงสรวง ก็ประทับใจนะคะ เสียงเจ้าพิธีดังกังวาล โดยไม่ต้องใช้ไมโครโฟน...ส่วนรายละเอียดลึกๆ คงต้องให้พี่น้ำใส เข้ามาเล่าให้ฟัง

    กราบขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านได้ร่วมบุญ และมีส่วนเกี่ยวข้องทำให้งานบุญเพื่อพระศาสนาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

    ขออาราธนาบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดประทานพร ให้กัลยานมิตร ทุกท่านได้ในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ

    กระทู้หายป่วยเมื่อไหร่จะ นำภาพมาให้ชมกันนะคะ
     
  7. เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905
    จร้าาาาน้องตาล คือว่าแอดรูปไม่ได้เลยจ้า สงสัยกระทู้ไม่ค่อยสะบาย อย่างที่พี่phuya บอกนะค่ะ อิอิ
     
  8. เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905
    ร่วมบุญมหากุศลอันยิ่งใหญ่ ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2556
    เพื่อสร้างศาลาหลวงพ่อพระราชพรหมยานอนุสรณ์ 100 ปีเกิด
    และ สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ 100 องค์ ในที่ดิน 13 ไร่เศษที่ร่วมกันซื้อไว้
    ณ วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ จ.สมุทรสาคร

    ผู้ร่วมบุญ
    คุณmoom พร้อมกลัยาณมิตร = 300 บาท
    น้องนก (ขาล) พร้อมครอบครัว = 300 บาท
    คุณเป็ดและน้องฝ้าย = 200 บาท
    คุณกานต์ และกลัยาณมิตร = 1,000 บาท
    คุณเนตรนภา = 100 บาท

    ขอให้ทุกท่าน คิดสิ่งใดขอให้สมความปรารถนาทุกประการ
    และขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ทุกท่านมีความเจริญ และ มีความคล่องตัวทั้งทางโลกและทางธรรม
    นับแต่บัดนี้ตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ๊​

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านนะค่ะ
    จันทรกาล
     
  9. Phuya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    608
    ค่าพลัง:
    +10,966
  10. ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,339
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,286
    อนุโมทนาสาธุครับ เห็นภาพงานบุญแล้วชื่นใจครับมากๆนะครับ

    ขอให้ทุกท่านร่ำรวย และสมหวังในสิ่งที่ตั้งใจไว้ทุกประการครับ สาธุ สาธุ

    ขอบคุณพี่หม่อนมากครับ ที่ช่วยลงรูปให้ร่วมโมทนาบุญครับ
     
  11. เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905
    ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ๊

    ปล.ขอบอก.. อิอิ
    ช่วงนับเงินนี้ แต่ละท่านสนุก สนาน มากค่ะ สนุกในการปิดบุญ ปิดยอดสวยๆกันคะ
    แค่เอ่ย บอกว่ายอดนี้ ไม่สวย (พี่ phuya ประกาศบอกหน้าไมค์แจ้งยอดแล้ว ขอยอดสวยๆหน่อยจ้า )
    ผู้มีจิตรศัทธา ก็ทะยอยร่วมบุญมาไม่ขาดสายเลยค่ะ จนได้ยอดสวยๆ มาแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบนี้ค่ะ เห็นแล้วก็ปลื่มใจ จังค่ะ
    ขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านอีกครั้งค่ะ สาธุๆ

    จันทรกาล
     
  12. พีระชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +491
    อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
    ขอบคุณพี่ๆทุกท่านเป็นอย่างสูง ที่ทำให้มีโอกาสได้ร่วมงานบุญมหากุศลนี้ครับ
     
  13. Paktawadee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2012
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +2,570
    สาธุ อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านค่ะ

    ส่วนเรื่องเล่าแบบปัจจัตตังขอนำเสนอที่วัดใจ(ดงเทวี)ก่อนนะค่ะ
    วัดใจดงเทวีเป็นวัดที่เงียบสงบ บรรยากาศโดยรอบอากาศเย็นๆสบายๆ เดินสำรวจวัดก็พบกับคูเมืองเก่าที่กั้นระหว่าง2ฝั่ง(คูน้ำเก่า) ด้วยความอยากรู้ก็ได้ขึ้นไปดูใกล้ๆ ภาพที่ปรากฏขึ้นอีกฝั่งเป็นผู้หญิงนุ่งซินลาย ที่ศีรษะพันด้วยผ้าสีขาว เมืองนี้มีแต่ผู้หญิงและเด็ก เพราะผู้ชายต้องออกไปรบแล้วไม่ได้กลับมา ด้วยว่าเห็นเช่นนั้นก็เลยถอยลงมาแผ่เมตตาอุทิศผลบุญโดยทันที

    ** น้องตาลพี่หนูดีขอติดไว้1ตอนนะคะ ตอน สัมผัสประทับใจนะถ่ำเชียงดาว**
    และขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านอีกครั้งค่ะ
    หนูดี
     
  14. sereenon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,931
    อรหันต์ห่อข้าว



    ในสมัยพุทธกาล มีชายเข็ญใจคนหนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก ได้ฟังธรรมะ จึงได้รู้ว่าชีวิตของตนที่เกิดมา
    ลำบากเช่นนี้ เพราะไม่เคยให้ทานในกาลก่อน

    จึงปรารถนาที่จะถวายทานบ้าง แต่เนื่องจากความยากจน จึงหาอาหารตามมีตามได้ถวายพระภิกษุ
    แต่อาหารนั้นไม่ปราณีตและไม่อร่อย พระภิกษุรับมาแล้วก็ไม่ได้ฉัน ชายเข็ญใจเห็นดังนั้น รู้สึกเนื้อน้อยต่ำใจ
    ในวาสนาตัวเอง...

    ด้วยความคิดปรารถนาอย่างแรงกล้าว่า จะถวายทานอันประณีตสักครั้งหนึ่ง จึงปรึกษาภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก
    ยายเอ๊ย!!! ชีวิตของเราได้ลำบากยากจนเช่นนี้ เพราะเราไม่เคยทำบุญในกาลก่อน เราจักทำยังไงดีหนอ

    สองตายายจึงตัดสินใจนำลูกสาวของตนไปจำนำได้ทรัพย์มา ๑๒ กหาปณะ
    จากนั้นชายเข็ญใจนำเงินไปซื้อแม่โคนมเพื่อนำน้ำนมมาประกอบอาหารแล้วได้เอาไปแด่พระภิกษุสงฆ์
    ชายเข็ญใจเห็นพระสงฆ์ฉันอาหารของตนจนหมด ก็ดีใจหนักหนา....

    เขาจึงปรึกษาภรรยา คู่ทุกข์คู่ยาก จะไปหางานทำที่ต่างเมือง ทำงานหีบอ้อย จะได้นำเงินมาไถ่ตัวลูกสาว

    ชายเข็ญใจใช้เวลาทำงานอยู่ถึงครึ่งปี จึงได้เงินครบ ๑๒ กหาปณะ และตั้งใจจะรีบนำเงินกลับมาไถ่ตัวลูกสาว
    ในระหว่างทางได้พบพระเถระรูปหนึ่งซึ่งกำลังจะเดินทางไปนมัสการพระเจดีย์ จึงถามพระเถระว่า
    พระคุณเจ้าท่านจำพรรษาที่ไหนขอรับ

    "อาตมาจำพรรษาในป่าอุบาสก" ชายเข็ญใจได้ฟังดังนั้นรู้สึกเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก พระคุณเจ้าฉันข้าวหรือยังครับ
    "ยังเลยอุบาสก"ขอนิมนต์พระคุณเจ้ารอตรงนี้ก่อน ว่าแล้วเขาก็วิ่งไปหาอาหาร เผื่อจะมีอะไรบ้าง

    โชคดีมีชายตัดฟืนถืออาหารผ่านมา เขาจึงร้องขอซื้ออาหาร "สหายเอ๋ย!!!! ห่อข้าวของท่าน ขายได้หรือไม่ ผมให้ ๑ กหาปณะ"ชายตัดฟืนได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ ห่อข้าวเล็กๆของเราขอซื้อตั้ง ๑ กหาปณะ แสดงว่าชายผู้นี้มีเงิน
    จึงคิดจะโก่งราคา

    "เราไม่ขาย ในป่าแบบนี้ จะหาอาหารที่ไหน ผมขายให้ผมจะกินอะไร"
    ชายเข็ญใจได้ฟังดังนั้นก็เพิ่มเงินขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ยอมขายเลยตัดสินใจพูดว่า

    “สหายเอ๋ย!!! เงินของเรามีอยู่ ๑๒ กหาปาณะ เราไม่ได้ซื้อเพื่อประโยชน์ตนเลย
    แต่ซื้อเพื่อไปถวายพระซึ่งท่านนั่งพักอยู่ที่โคนไม้โน่น ถ้าท่านขาย ท่านก็จะมีส่วนแห่งบุญในภัตตาหารนั้นด้วย”
    ชายตัดฟืนจึงยอมขายอาหารให้

    ชายเข็ญใจดีใจหนักหนา น้อมภัตตาหารไปถวายพระเถระ พระเถระรับเพียงมาครึ่งเดียวเพื่อให้เขาได้รับประทานอาหารด้วย แต่ชายเข็ญใจกล่าวว่า "นิมนต์เถิดพระคุณเจ้าอาหารนี้เหมาะสำหรับบุคคลเดียวถึงจะอิ่ม อย่าได้ห่วงเกล้ากระผมเลย "

    พระเถระจึงยอมรับอาหารทั้งหมดมาฉัน พระเถระแปลกใจในป่าเช่นนี้เขานำอาหารมาจากไหน ชายเข็ญใจจึงเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง และกำลังจะไปไถ่ตัวลูกสาว

    พระเถระฟังแล้วรู้สึกสลดใจ ชายเข็ญใจผู้นี้กระทำสิ่งที่ยาก เราไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่พ่อ แม่ หรือพี่น้อง ทำไมเขาถึงกล้าทำขนาดนี้ เพราะเขาต้องการบุญจากเรา แต่เรายังไม่คุณธรรมอันใดเลย ท่านคิดดังนั้นก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้

    ท่านจึงตัดสินใจ "เราจะทำทานนี้ให้เป็นอรหันตทาน"

    ( ทานที่ถวายก่อนบรรลุอรหันต์ ทานนั้นจะมีผลมาก) ต่อไปนี้เราจักไม่ฉันอาหารจากใคร และจะไม่รับของใคร

    “แม้เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป หากไม่บรรลุธรรมก็จะไม่ลุกจากที่เด็ดขาด”

    ล่วงไปวันที่สองและวันที่สามก็ยังไม่สามารถยังคุณธรรมให้สำเร็จได้ จนกระทั่งลุถึงวันที่เจ็ด พระมหาเถระก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พร้อมจตุปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อบรรลุธรรมแล้ว จึงพิจารณาอายุสังขาร รู้ว่าจะไม่สามารถดำรงธาตุขันธ์อยู่ได้ ท่านจึงเดินออกมาเคาะระฆัง

    " ผู้ใดสงสัยในธรรมข้อใดจงถามเถิด สังขารนี้จะดับวันนี้แล้ว "

    เจ้าอาวาสท่านก็เป็นพระอรหันต์เช่นกันถามว่า "อาวุโสเหตุใดท่านถึงทำความเพียรอุกฤษฏ์เช่นนี้"

    ท่านจึงได้เล่าเหตุการณ์ให้พระภิกษุสงฆ์และบรรดาบริษัทที่นั่งฟังและที่เพิ่งจะมาถึงใหม่ เมื่อได้ฟังความเป็นมาแล้ว ทุกคนก็มิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ ต่างคนต่างก็ร้องไห้สงสารพระผู้เป็นเจ้า ที่สู้อุตสาหะกระทำความเพียรโดยมิได้หลับได้นอน ทั้งอดอาหารมาตลอด ๗ วัน จนอายุสังขารจะขาดสิ้นเข้านิพพานในวันนี้ ก็เพราะเหตุที่มีกตัญญูรู้คุณค่าแห่งอาหาร ประสงค์จะให้บิณฑบาตของเขาเป็น อรหันตทาน จนได้สำเร็จสมความปรารถนาพระมหาเถระเล่าจบ พระมหาเถระก็อธิษฐาน

    " แม้ใครๆในโลก ทั้งเทวโลก อย่าได้ยกศพข้าพเจ้าขึ้นเลย ยกเว้นอุบาสกเข็ญใจผู้นั้นมาถึงแล้ว ขอให้ศพนี้จงลอยขึ้น พร้อมด้วยไฟเถิด.."อธิษฐานเสร็จ ท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน

    ข่าวนี้ลือสะพัดออกไปมีคนมาร่วมงานศพของท่านจำนวนมากพร้อมพระราชา แต่ไม่มีใครสามารถคลื่อนศพของท่านได้

    พระราชาจึงให้ทหารตีฆ้องร้องป่าวประกาศว่า ใครสามารถเคลื่อนศพได้ เราจักให้เงิน ๑๐๐,๐๐๐ กหาปาณะ

    อุบาสกเข็ญใจได้ฟังข่าว ก็อยากไปกราบพระมหาเถระ พอไปเห็นศพพระมหาเถระก็จำได้ อุบาสกเข็ญใจวิ่งเข้าไปกอดศพแล้วร้องให้

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า เหตุใดท่านจึงจากข้าพเจ้าไปเร็วนัก ข้าพเจ้าพึ่งเห็นท่านไม่นานเลย "กล่าวจบศพของพระมหาเถระก็ลอยขึ้นกลางอากาศ พร้อมไฟก็เผาท่านกลางอากาศนั้น..................

    ผู้คนต่างรู้สึกต่างอัศจรรย์ ไม่เคยมีไม่เคยเห็นในกาลก่อน พระราชาจึงเข้าไปถามอุบาสถเข็ญใจจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง

    พระราชารู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในคุณธรรมที่ทำได้โดยยาก จึงตั้งให้เขาเป็นมหาเศรษฐีประจำเมือง......................
     
  15. ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,339
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,286
    อนุโมทนาในธรรมทานกับ คุณ serenon ด้วยนะครับ

    เรื่องราวของพระอรหันต์ห่อข้าว น่าเศร้าใจจริงๆ ครับ

    แต่เรื่องราวของการปฎิบัติธรรม มันแล้วแต่วาสนาบารมีนะครับ

    วิปัสสนากรรมฐานสำคัญมากๆ ต้องไปดูเรื่องราวของพระ 7 องค์
    ในพระไตรปิฏกในเรื่องของพระพาหิยะ ที่ท่านเป็นเลิศในการบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด
    นั่นท่านปฏิบัติตั้งแต่ปลายศาสนาพระพุทธกัสสปะ มาบรรลุอรหันต์ในสมัยพระสมณโคดมนะครับ
    คนเขาถึงบอกให้ขยันปฏิบัติหน่อย แต่ผมเองก็ไม่ขยันอะไรหรอกนะครับ ออกจะขี้เกียจมากๆ

    แต่ผมก็อยากให้ทุกคนรีบปฎิบัติธรรมให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วกลับมาโปรดผมบ้างนะครับ
    ผมจะได้ดีใจด้วยครับ ที่ทุกท่่านไปนั่งสบายใจอยู่ที่พระนิพพานแล้วอ่ะครับ สาธุ สาธุ:cool:
     
  16. ขาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +4,466
    ขาล ขอปูเสื่อรอ คุณหนูดี กับ ท่านอื่นๆ มาเล่าเรื่อง นะค่ะ ส่วนตัว รู้สึก เหมือนอยู่ใน red zone เลย ถอย ดีกว่า
     
  17. ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,339
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,286
    นิทาน ขอทานอยากเป็นพระราชา (ตอนแรก)

    วันนี้ ขอเล่านิทานคั่นเวลาแล้วกันนะครับ อันนี้ไปฟังมาจากท่านจิตโต ท่านเล่าให้ฟังนะครับ รับฟังกันสนุกๆนะครับ แต่ขอบอกก่อนนะครับ เขียนไม่เก่ง อาจจะงงนิดหนึ่งนะครับ แต่ก็จะพยายามเล่าให้สนุกครับ

    เรื่อง ขอทานอยากเป็นพระราชา

    กาลหนึ่งนานมาแล้ว ณ หมู่บ้านหนึ่ง มีขอทานชราคนหนึ่ง เที่ยวขอทานไปเรื่อยๆ เข้าบ้านนั้น ออกบ้านนี้ไปเรื่อยๆ ขอทานคนนี้เขามีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง
    ก็คือแกเป็นคนปากหวานมากๆ เวลาแกไปขอทานบ้านไหน แกก็ชมเขาก่อนเลย ด้วยวาจาอันเป็นมธูรส ตัวอย่างเช่น
    "ท่านผู้เจริญ ท่านผู้มีความเมตตาอยู่ในใจ ท่านผู้ถึงความด้วยความเสียสละ ท่านจงแบ่งของให้แก่ตัวช้าพเจ้าสักหน่อยเถอะ เพื่อประทังให่ชีวิตของกระผมได้มีลมหายใจต่อไป
    เมื่อท่านให้ทานแก่ข้าพเจ้าแล้ว ท่านจะเป็นผู้มีสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า คนทั่วไปก็จะยกย่องท่านด้วยความชื่นชมในตัวท่าน"

    ซึ่งบ้านไหนก็บ้านนั้น เจอแกยกยอเข้าไปก็มักจะให้ขอทานชราผู้นั้นอยู่เสมอๆ แกจึงได้ข้าวของมาเยอะแยะเพียงพอกับการดำเนินชีวิต แต่พอมีเด็กๆ เห็นแกได้ขนมมาก็จะขอแบ่งบ้าง ตัวแกก็จะพูดแดกดันออกไปเลย อย่างไม่น่าฟัง เช่น
    "ก็พวกมึงไม่ไปขอเอาเองหล่ะ กูหามาด้วยความยากลำบากกูไม่ไม่ให้โว๊ย พวกมึงรีบไปไกลๆหน้ากูเลยไป" ถ้าจะให้กล่าวตาแก่ขอทานชราคนนี้ก็เป็น พวกปากหวานก้นเปรี้ยว ต่อหน้าพูดจาอ่อนหวานแต่ก็ไม่จริงใจกับใครเลย

    จนมาวันหนึ่งมีพระฤาษีตนหนึ่ง ท่านออกมาหาตัวยาอย่างหนึ่งจะเอาไปผสมยาเพื่อรักษาเพื่อนที่เป็นฤาษีด้วยกันในป่า ท่านจึงจะไปขอบิณฑบาตตัวยาจากคนในหมู่บ้าน ซึ่งตัวยาก็จะเป็นข้าวเปลือกที่เวลาเราหุงข้าวแล้วจะมีข้าวเปลือกติดๆอยู่ในหม้อข้าวเวลาข้าวสุกแล้ว ซึ่งก็อีกนั่นแหละมันก็จะได้นิดๆหน่อยๆไม่เยอะ แต่ปริมาณท่านก็ใช้เยอะพอสมควรสักหนึ่งทัพพี ก็บังเอิญเหลือเกิน ท่านพระฤาษีตนนั้นท่านไปเจอกับขอทานชราเข้าพอดี ขอทานจึงถามท่านมาทำไม ท่านก็เล่าถึงเรื่องที่มาขอตัวยาไปรักษาโรคให้ฟัง

    ขอทานได้ฟังก็เริ่มคิดแผนชั่วในใจว่า เสร็จเราแหละ ตัวเราจะอาศัยพระฤาษีไปบอกบุญชาวบ้านคงจะได้ทรัพย์จากชาวบ้านมาบ้างแหละ จึงขออาสาพระฤาษีไปเอาตัวยาที่ท่านต้องการจากชาวบ้าน

    ตัวขอทานก็เริ่มดำเนินการตามแผน ก็ไปเล่าเรื่องของพระฤาษีให้ชาวบ้านฟัง ส่วนพระฤาษีท่านก็ไม่ไปไหนไกลหรอก ท่านก็นั่งสมาธิอยู่โคนต้นไม้ท้ายหมู่บ้าน เพื่อรอรับตัวยาตามที่ขอทานชราได้รับปากไว้ ขอทานก็ไปบอกบุญชาวบ้านก็ได้ของมาเยอะทั้งตัวยา และข้าวปลาอาหารที่ชาวบ้านฝากไปทำบุญกับพระฤาษี เพราะนึกว่าขอทานชราเป็นลูกศิษย์ของพระฤาษีท่าน เวลาก็ผ่านไปสักหนึ่งอาทิตย์ก็ได้ตัวยาตามที่พระฤาษีต้องการ ขอทานชราก็เอาตัวยาไปพระฤาษี ส่วนข้าวของที่ได้มาจากชาวบ้านแกก็ไม่ให้พระฤาษีหรอก พระฤาษีก็ไม่ได้ว่าอะไร ท่านก็เอาตัวยากลับไปรักษาเพื่อนๆของท่านที่เป็นฤาษีในป่า ส่วนตาแก่ขอทานก็นึกกระหยิ่มดีใจที่ได้ทรัพย์จากแผนของตัวแกมากมายเช่นนี็ แต่พอมีคนเดือดร้อนมาขอแบ่งทรัพย์จากตัวแกบ้าง แกก็จะดุด่าอย่างเสียหายๆ ตามนิสัยปากหวานก้นเปรี้ยวของแก

    จนวันหนึ่งพระฤาษีท่านก็กลับมาที่หมู่บ้านนี้อีก ตาแก่จำได้ก็เข้าไปทักทาย คราวนี้พระฤาษีท่านกลับมาก็เพื่อดัดสันดานตาแก่ขอทาน ซึ่งพระฤาษีท่านรู้ด้วยฌานสมาบัติของท่านว่า ตาแกเป็นคนยังไง ท่านก็เลยจะมาสั่งสอนให้เป็นคนดี ท่านจึงพูดออกไปว่า
    "ตัวเธออายุก็ปูนนี้ำแล้วลำบากมาก็มากมาย อยากจะอยู่อย่างสบายเป็นพระราชากับเขาบ้างไหมหล่ะ ฉันจะบอกวิธีให้นะ"
    ตาแกได้ฟํงก็นึกในใจว่า ก็ดีเหมือนกันนะ เป็นพระราชาชีวิตความเป็นอยู่ก็สบายไม่ต้องลำบาก ก็เลยบอกพระฤาษีท่านว่าอยากเป็นพระราชา
    พระฤาษีท่านก็เลยสอนให้นั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ ตัวขอทานแกก็ทำตามไปนั่งใต้ร่มไม้ทำสมาธิ ในใจก็คิดแต่อยากเป็นพระราชาอย่างเดียว จนใจของแกเป็นสมาธิ กับความแน่วแน่ที่อยากเป็นพระราชา แล้วเวลาก็ผ่านไปอีก 7 วัน ซึ่งตลอดเวลาทั้ง 7 วันตัวแกก็ไม่ได้กินอะไรเลย เพราะมัวแต่นั่งสมาธิอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายก็ตายเพราะร่างกายทนไม่ไหว เนื่องจากตัวแกเพิ่งเคยนั่งสมาธิเป็นครั้งแรกแล้ว ทำให้ธาตุขันธ์ปรับตัวสำหรับการอดอาหารไม่ทัน พอตัวแกตายก็ไปเข้าท้องของพระราชาเมืองหนึ่ง

    ซึ่งก่อนแกจะมาเกิด ก็เป็นช่วงที่พ่อแม่ซึ่งเป็นพระราชากำลังซ่อมแซมพระราชวังอยู่พอดี พระราชาก็เลยต้องไปอยู่ที่วังชั่วคราว พอตัวขอทานมาเกิดก็ปรากฏว่า ช้างของพระราชาเกิดตกมันก็วิ่งทำลายวังปัจจุบันของพระราชาซะราบเป็นหน้ากลอง เนื่องจากผลกรรมในชาติก่อนของตาแก่ขอทานที่ไม่เคยสร้างวิหารทาน ไว้เลย จึงหาวัง หรือที่อยู่อาศัยที่ดีๆอยู่ไม่ได้ อีกทั้งก็เป็นผลกรรมจากความเป็นพวกปากหวานก้นเปรี้ยว ต่อหน้าพูดจาอ่อนหวานแต่ก็ไม่จริงใจกับใครอีกด้วย

    พระราชาและพระราชินีอยู่มาได้อีกไม่กี่ปีก็ตายจากไป เหลือไว้แต่เจ้าชายตัวน้อยๆ กับข้าราชบริพารอีกไม่กี่คน
    ที่นี้วังใหญ่ที่กำลังซ่อมก็ต้องใช้เงินเพื่อซ่อมแซม แต่ตัวเจ้าชายน้อยหาเงินไม่เป็น สุดท้ายเขาก็เลยเอาชิ้นส่วนของวังไปขายเพื่อเป็นค่าจ้างแรงงาน
    สุดท้ายก็ไม่มีวังอีกต่อไป เพราะเขาถอดไปขายหมดแล้ว เจ้าชายเลยต้องไปอยู่กับข้าเก่าของพระราชาที่ยังจงรักภักดีอยู่
    ต่อมาเมื่อถึงเวลาโตขึ้นมา พอจะแต่งงานได้ ก็ไม่มีใครเขาอยากจะแต่่งงานกับเจ้าชาย เพราะเมืองนี้ชาวเมืองมีอาชีพปลูกข้าว
    พระราชาที่เป็นพ่อของเจ้าชายก็ต้องปลูกข้าวเพื่อเป็นเงินคงคลังของประเทศ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นพระราชาก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะก็ต้องลำบากปลูกข้าวไม่ได้อยู่สบาย
    ที่นี้สาวๆ เห็นเจ้าชายปลูกข้าวไม่เป็นก็เลยไม่มีใครแต่งงานด้วย เจ้าชายก็เลยเป็นโสด
     
  18. ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,339
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,286
    นิทาน ขอทานอยากเป็นพระราชา (ตอนจบ)

    วันหนึ่งเจ้าชายไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเดินเข้าป่า ก็บังเอิญไปเจอพระฤาษีที่เคยเจอกันในชาติก่อนพอดี

    พระฤาษีท่านจำได้ว่าเป็นขอทานในอดีตชาติ ก็เลยทักทายกับเจ้าชายว่ามาทำอะไรที่ในป่าแห่งนี้
    เจ้าชายจึงเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวในอดีตของตนเอง จนต้องตกระกำลำบาก เลยมาเดินสงบใจอยู่ในป่าแห่งนี้

    พระฤาษีท่านก็เลยสอนว่า ให้รู้จักทำทานให้มากยิ่งขึ้นไป โดยให้เก็บฟืนที่ในป่าไปขาย
    แล้วก็เอาเงินมาสร้างศาลาพักร้อนให้คนที่มาเดินทางในป่าพักผ่อน อันเป็นวิหารทาน
    แล้วก็เอาเงินช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยาก จากนั้นก็บำเพ็ญประโยชน์โดยการสอนความรู้ในการดำรงชีวิตให้แก่เด็กๆ ในหมู่บ้าน

    เจ้าชายได้ฟังเสร็จก็กราบลาพระฤาษี แล้วไปทำตามที่ท่านพระฤาษีสอน โดยเก็บเอาฟืนในป่าไปขาย แล้วก็เอาเงินมาสร้างศาลาให้คนพักผ่อน
    โดยขณะัเก็บฟืนก็ช่วยทำทางสัญจรหรือถนนคนเดินทางให้ดีขึ้น ช่วยเก็บอะไรที่มันรกในทางออกไป ถนนเป็นหลุมก็เอาดินเอาหินไปถมให้มันเรียบร้อย
    ช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยาก แล้วก็ให้ความรู้แก่เด็กๆในหมู่บ้าน พอทำๆไปฐานะการเงินก็ดีขึ้น มีคนช่วยทำทานมากขึ้น ก็เลยสามารถสร้างศาลาได้มากขึ้น
    จาก 2 เป็นสิบ เป็นร้อยศาลา ในเมืองนั้นก็เลยให้เกียรติยกย่องเจ้าชายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ในฐานะคนใจบุญ เป็นทานบดี ชีวิตของเจ้าชายก็ใช้อย่างสงบสุขจนตาย
    ตายไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ เสวยสุขในสวรรค์ก็มีวิมานใหญ่โต มีทิพยสมบัติมากมาย แต่ก็ไม่มีความสุขมากมายอะไรหรอก เพราะใจแกอยากเป็นพระราชาอยู่เหมือนเดิม
    ก็เลยเล็งๆ แล้วก็อธิษฐานจิตไปเกิดตามบุญวาสนาของตัวเจ้าชายเอง ด้วยความอยากเป็นพระราชาอีกนั่นแหละ

    ในชาติใหม่ที่เกิดมา ขอทานชราในชาตินี้ ได้ไปเกิดในเมืองที่มั่งคั่งมากกว่าเดิม มีพระราชวังใหญ่โตโอ่งโถกว้างขวางมากกว่าเดิม
    มีข้าทาสบริวารให้ใช้สอยมากมาย ด้วยผลบุญแห่งวิหารทาน และทานต่างๆ ที่ได้ทำมาในชาติก่อน พอถึงเวลาก็ได้ครองเมืองต่อจากพระราชบิดา

    แต่ในชาตินี้ก็อีกนั่นแหละ พอเป็นพระราชาไปก็มีปัญหา เพราะกรรมในอดีตที่เคยหลอกลวงชาวบ้าน ทำให้พวกอำมาตย์ ข้าราชบริพารมีนิสัยคดโกง
    ฉ้อราษฎร์บังหลวง เงินคงคลังก็เลยหายไปเรื่อยๆ อีกอย่างในชาตินี้ขอทานชราก็เกิดมาโง่กว่าพวกบริวาร ก็เลยไม่ทันเลห์กลของคนพวกนี้
    พอมารู้ตัวอีกทีเงินคงคลังก็แทบจะหมดอยู่แล้ว พระราชาเลยไม่มีความสุขในชีวิตสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็เลยเดินเซ็งๆ พวกบริวารเข้าป่าไป

    ก็ช่างบังเอิญอีก ไปเจอพระฤาษีคนเดิมอีกนั่นแหละ ด้วยความที่มีวาสนาต่อกันมาแต่ในอดีตชาติ
    พระฤาษีท่านก็เลยบอกให้ พระราชาทำทานให้มากขึ้น ให้ความช่วยเหลือราษฏร์ที่ตกทุกข์ได้ยาก สงเคราะห์ให้การศึกษาแก่สมณชีพราหมณ์
    ตลอดจนให้รักษาศีล เจริญภาวนาตลอดชีวิต พระราชาได้ฟังก็กราบลาพระฤาษี แล้วกลับไปทำตามที่พระฤาษีสอนเรื่อยๆมา จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

    ในชาติใหม่ต่อมา ขอทานชราได้เกิดมาเป็นพระราชาครองเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง มีแว่นแคว้นเป็นเมืองขึ้นมากมาย ที่จริงก็นับว่ามีความสุขมากในการครองราชย์
    แต่ในชีวิตของพระราชากลับไม่มีความสุขสักเท่าไหร่ เพราะในชาตินี้พระราชาเกิดมาฉลาดมากกว่าในชาติก่อนด้วย ผลบุญแห่งธรรมทานที่ให้การศึกษาแก่สมณชีพราหมณ์ในอดีตชาติ
    ทำให้มีสติปัญญารู้เท่าทันเล่ห์กลของบริวาร ข้าราชการที่คดโกง ฉ้อราษฏร์บังหลวง คือ พวกนี้คิดไม่ดียังไงรู้หมด แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ จะเอามาลงโทษก็ไม่ได้
    เพราะส่วนใหญ่จะมีอิทธิพลพัวพันกับญาติของพระราชา ถ้าทำอะไรลงไปก็อาจเป็นภัยแก่ตัวพระราชา อาจจะเกิดกบฎล้มราชบัลลังก์ของพระราชาได้
    พระราชาก็ได้แต่นั่งปลงๆ เซ็งๆกับชีวิต ไม่รู้จะทำยังไง ใจก็ไม่มีความสุขกับชีวิตสักเท่าไหร่ สุดท้ายพระราชาก็เลยอธิษฐานจิตต่อเทวดาที่รักษาเมืองชองพระราชา
    ขอให้คิดวิธีจัดการกับปัญหาในเรื่องที่กลุ้มใจอยู่ได้ด้วยเถิด เวลาก็ผ่านไปนานก็ยังไม่มีอะไรเป็นนิมิตปาฎิหาริย์ที่จะสามารถจะช่วยให้พระราชาแก้ปัญหาได้เลย

    จนอยู่มาวันหนึ่ง ก็เกิดมีลมพายุหอบเอาพระราชาพัดไปตกในป่า พระราชาฟื้นขึ้นมาก็เดินเข้าไปในป่า ก็เห็นแสงสว่างวาบไปทั่วป่าสักครู่แล้วก็ดับไป
    ซึ่งแสงสว่างนั้นก็คือ พระฤาษีที่พระราชาเคยเจอในอดีตชาติท่านกำลังละสังขารไปเกิดในพรหมโลก
    แต่พอเห็นพระราชาเดินเข้ามาก็เลย เนรมิตกายหยาบขึ้นมาเพื่อคุยกับพระราชา
    พระราชาก็เลยเล่าเรื่องตนเองให้พระฤาษีฟัง พระฤาษีก็เลยให้พระราชาทำใจให้สงบแล้วก็ไปนั่งสมาธิอยู่ใต้ร่มไม้
    เพื่อสงบใจจะได้มีสติปัญญาแก้ปัญหาได้ พระราชาก็นั่งทำสมาธิเรื่อยๆ จนจิตเป็นสมาธิได้ฌาน 4 เข้าสู่ความเป็นสุขในอารมณ์สมาธิ
    พระฤาษีท่านก็ปล่อยให้พระราชานั่งสมาธิไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนั้น

    จนกระทั่งถึงวันหนึ่งซึ่งเป็นวันพระ พระฤาษีก็เลยชวนพระราชาไปฟังเทศน์กับพระพุทธเจ้าบนสวรรค์
    พอพระราชาได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า แล้วน้อมนำพระธรรมเทศนาเข้ามาพิจารณากับความทุกข์ที่ตัวเองที่ได้เคยประสบมาในชีวิต
    ก็เลยสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ไปนิพพานในชาตินั้นเอง


    นี่แหละหนา ที่ขอทานชราอยากเป็นพระราชาด้วยความอยากจะเสวยสุขในราชสมบัติ
    ถึงเวลาได้เป็นพระราชาก็ไม่ได้มีชีวิตอย่างเป็นสุขอย่างที่ใจคิดเลย ขึ้นชื่อว่าความอยากเป็น อยากมี อยากได้เป็นทุกข์ทั้งนั้น
    เพราะต้องเป็นไปตามโลกธรรม 8 ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา
    มันต้องเจอทุกๆครั้งตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎสงสาร จะพ้นทุกข์ก็ต่อเมื่อไปพระนิพพานเท่านั้น


    สุดท้ายข้าพเจ้าขอกราบขอขมากรรมต่อพระอรหันต์ท่านนั้นที่อาจจะเล่าเรื่องราวของท่านไม่ครบถ้วนสักเท่าไหร่ ด้วยจิตที่เคารพบูชา
    และขอถวายบุญกุศลนี้เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถวายบูชาแก่พระอรหันต์ท่านนั้น ตลอดจนพรหมเทพเทวดาทั้งหลาย
    ผู้มีพระคุณทุกท่าน มีหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อเป็นที่สุด
    ขอจงเป็นปัจจัยให้มีแต่ความคล่องตัว และสมหวังทุกประการตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ สาธุ สาธุ
     
  19. Phuya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    608
    ค่าพลัง:
    +10,966
    อนุโมทนาบุญ กับคุณsereenon และ คุณชายนะคะ ที่นำเรื่องราวดีๆ มาให้ชาวเมืองได้อ่านกันสุดท้ายแล้วไม่มีใครหนีกรรมพ้น ฉะนั้นจงหมั่นสะสม
    บุญบารมีเอาไว้ดีกว่า ถึงแม้จะไม่ได้เสวยผลในชาตินี้ แต่ชาติหน้าไม่เจ็บไม่จนแน่นอน

    ขอเชิญ...ทุกท่านไปร่วมงานบุญ กฐินไตรประทาน " สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก "
    ณ. วัดโพธิญาณรังสี จ. สุรินทร์


    ท่านใดมีความประสงค์จะร่วมเดินทาง กรุณาแจ้งรายชื่อได้ที่คุณจันทกาล ทาง PM ค่ะ จัดรถตู้เอาไว้สองคัน

    กำหนดการเดินทาง : ออกเดินทางกันเย็นวันศุกร์ (8/11/56) เวลาประมาณ 22.00 น เช้าไปถึงวัด (9/11/56) กราบหลวงพ่อ อาบน้ำล้างหน้าที่วัด หลังจากนั้นจะไปท่องเที่ยวเมืองช้าง เยี่ยมชมเมืองสุรินทร์กันค่ะ ตอนเย็นกลับมานอนที่วัด ตอนค่ำให้พี่น้ำใสฝึกมโนให้ค่ะ (คิดเองเออเองเรียบร้อย ขออนุญาติไม่ปรึกษาพี่น้ำใสนะคะ คริ คริ) เช้าวันที 10/11/56 ถวายกฐินกันค่ะ เสร็จแล้ว เดินทางกลับน่าจะถึงกรุงเทพประมาณ 22.00 น เดินทางกันแบบสบายๆ (ทัวร์บุญ + บันเทิงค่ะ) จะได้ไม่เครียดรับบุญกลับบ้านแบบเต็มๆ

    ขอบอก น้ำพริก ผักสดๆ ฝีมือแม่ครัวที่วัดอร่อยมากกกก รีบๆ หน่อยนะคะ ที่นั่งมีจำนวนจำกัด
    อนุโมทนาบุญค่ะ
     
  20. Phuya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    608
    ค่าพลัง:
    +10,966
    บริวาร....กฐินไตรประธาน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    ณ. วัดโพธิญาณรังสี จ. สุรินทร์​


    ........ปีนี้จัดเตรียมหัวใจกฐิน....เป็นผ้าขาวหนึ่งพับใหญ่ พร้อมสีย้อม เข็มและด้าย เพื่อถวายให้กับสงฆ์ท่าน...นำผ้าขาวที่พวกเรากำลังจะถวายไปตัดเย็บเป็นสบงให้เสร็จสิ้นภายในวันกฐิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจของงานกฐินเลยค่ะ

    ........อุณาโลมเพ็รชพญานาครูปหยดน้ำสีแดง ประดับด้วยเพ็ชรชวาลอพกี้ เพื่อประดิษฐานบนพระนลาฏพระประธานในโบถส์

    .......ดวงแก้วหนึ่งคู่พร้อมพานรองกลีบบัวที่ทำด้วยผ้า ปราณีตสวยงาม สำหรับวางที่หน้าพระประธานในโบถส์

    .......เครื่องเหล็ก ประกอบไปด้วย คราด เสียม กรรไกรตัดกิ่งไม้ มีดที่ใช้สำหรับตัดกิ่งไม้ มีดทำครัวครบชุด อย่างดีจากหมู่บ้านทำเครื่องเหล็กอรัญญิก

    .......หม้อหุงข้าวขนาดจัมโบ้, ไมโครเวฟ ใช้ในโรงครัวเวลาที่วัดมีงาน

    ......ชุดสังฆทานสำหรับถวายพระ สิบชุด


    .......พระบรมสารีริกธาตุ สิบชุด


    ซึ่งทุกรายการจะนำไปเป็นบริวารกฐินค่ะ...จึงขอเชิญชวนกัลยานมิตรทุกท่านที่ไม่ได้ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ ส่งใจไปร่วมถวายด้วยกันนะคะ

    ส่วนท่านใดที่มีความประสงค์จะร่วมบุญกับบริวารกฐิน...โอนเงินได้ที่บัญชี
    น.ส. พรรณรวี ปริปุณณะ
    ธนาคารกรุงไทย
    เลขที่ ๐๓๑-๐-๓๐๗๓๙-๒
    บัญชีออมทรัพย์


    (ภายในวันพุธที่ ๖ นี้เท่านั้นค่ะ)

     

แชร์หน้านี้