ผมจะบอกกับพวกคุณ ว่า กิเลส ตัณหา ทะยานอยาก มันเป็นแบบนี้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ผู้เตือน warn, 31 สิงหาคม 2016.

  1. ผู้เตือน warn

    ผู้เตือน warn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +688
    กิเลส ตัณหา ความอยากได้ใคร่มี มันเป็นแบบนี้นะ

    มันเหมือนเหล็กสปริง ผู้ใด มีกำลังสมาธิ ได้ฌาณสมาบัติ

    ก็สามารถจะข่ม กดสปริง ไปจนมิด กดไว้ ข่มเข้าไว้ พอกดเจ้าสปริงมิดจมไป

    เหมือนไม่มีอะไรแล้ว วางได้แล้ว ปล่อยวางได้หมดแล้ว

    แต่พอเผลอ หรือสมาธิอ่อนกำลังลง เจ้าสปริง ก็จะเด้งขึ้นมาเท่าเดิม

    เต็ม กิเลสท่วมหัวเหมือนเดิม

    ปัญญา เปรียบเหมือน เรื่อยเหล็ก ที่จะคอยบั่นทอน ทำไห้สริงขดงอ หัก

    หรือทำลายลงไป

    สมาธิการข่มอารมณ์ อย่างเดียว เอาไม่อยู่ ต้องหาโอกาส หาจังหวะ ทำลาย

    สปริงเหล็กกล้าไห้ได้

    ผม เตือนคุณแล้วนะ
     
  2. ผู้เตือน warn

    ผู้เตือน warn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +688
    ออกไม่ได้หรอก เราอยู่กับสปริง กินนอน อยู่กับสปริง

    เกิดมากับมัน เพราะมีมัน เราถึงได้เกิด มันเป็นศัตรูทางตัน
     
  3. ผู้เตือน warn

    ผู้เตือน warn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +688
    วงจรอุบาทก์

    อาสวะกิเลส สังขารกิเลส ตัณหา อุปาทาน นั้นล้วนเป็นองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาท จึงมีความเนื่องสัมพันธ์กัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันจนยังให้เกิดทุกข์อุปาทานขึ้นดังโยนิโสมนสิการได้จากปฏิจจสมุปบาทธรรม มักเรียกกันโดยย่อเป็นที่ทั่วไปว่ากิเลสตัณหาอุปาทาน หรือกิเลสตัณหาอาสวะ หรือเรียกรวมกันสั้นๆว่ากิเลสตัณหา ตลอดจนเรียกรวมกันโดยทั่วไปว่ากิเลสไปเลย มีความเนื่องสัมพันธ์กันดังแผนภูมิที่แสดงเป็นวงจร ได้ดังนี้

    อาสวะกิเลส

    อุปาทาน
    anired06_next.gif


    กิเลส

    ตัณหา
    กล่าวคือ ทั้ง ๔ ที่เกิดขึ้นและเป็นไปนั้น ตามความเป็นจริงแล้วก็ล้วนคือธรรมหรือสิ่งเดียวกันนั่นเอง เพียงแต่จำแนกแตกธรรมหรือจำแนกแจกแจงการทำงานไปตามหน้าที่บ้างเท่านั้น กล่าวคือเมื่อประกอบด้วยเหตุปัจจัยใดก็ยังให้ทำหน้าที่นั้นๆระบุเฉพาะเจาะจงลงไปเท่านั้นเอง ดังเช่น เหล่ากิเลสเมื่อสั่งสมนอนเนื่องที่รอเวลาซึมซ่านย้อมจิตให้ขุ่นมัวเมื่อประสบกับอารมณ์ ก็เรียกกิเลสชนิดนี้เจาะจงลงไปว่าอาสวะกิเลส แต่เมื่อเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอวิชชา ก็ระบุเฉพาะเจาจงลงไปว่าจึงมีสังขาร อันย่อมเป็นสังขารกิเลสหรือกิเลสขึ้นนั่นเอง แล้วดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาท จนเป็นเหตุปัจจัยจนทำหน้าที่เป็นตัณหา และอุปาทานเป็นลำดับในที่สุด แล้วเมื่อมรณะดับไปก็ยังเก็บจำสั่งสมเป็นอาสวะกิเลสสืบเนื่องต่อไปอีกนั่นเอง ทั้งสั่งสมและรอวันกำเริบเสิบสาน กล่าวคือ เมื่อจิตประสบกับอารมณ์ต่างๆก็ไหลไปซึมซาบขึ้นมาย้อมจิตทันที ให้เป็นทุกข์ขึ้นอีก จึงเป็นวงจรอุบาทก์ที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไม่รู้จักจบสิ้น
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กล่าวแบบนี้ ค่อยเหมือน นักปฏิบัติเข้ามาหน่อย

    หนีไม่ได้ ไม่ได้ให้หนี

    ทำลายไม่ได้ ไม่ได้ให้หาจังหวะ ทำลาย

    ทุกข์ ให้กำหนดรู้

    เสพซ่องฌาณให้มากๆ แล้ว ดูมันไปตรงๆ เวลามันเสื่อม
    อย่าไปจม สุข(จากสมาธิ) อย่าไปติดเฉย(อุเบกขา)

    เสพบ่อยๆ อบรมการเห็น ทุกขบ่อยๆ จิตจะค่อยๆ ได้รับการอบรมทีละเล็ก
    ทีละน้อย คนบางคนต้องอบรมเห็น การเสื่อมของสมถะ แสนอสงไขย จึง
    จะเกิด ปัญญา ขึ้นมาหนหนึ่ง สั้นๆ แล้วก็หายไป

    ปัญญาเกิดขึ้นมาหนหนึ่ง สั้นๆ แล้วหายไป หน้าที่เราคือ กำหนดรู้ทุกขสัจจ
    นั้นให้ทัน ไม่ได้มีกิจอื่น

    อบรมจนกว่าจิตจะได้รับการอบรมเต็มที่ จิตจึงจะยอมรับ การเห็นอริยสัจจ
    นั้น สักหนหนึ่ง

    หนทางฟังดูยาวไกล ดีกว่าไม่เริ่ม

    หรือ ไปโยนจิตทิ้ง เสียสติ แบบ น้าจร(วอนนิ๊)
     
  5. ผู้เตือน warn

    ผู้เตือน warn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +688
    ใช่ๆๆ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อันนี้ เป็น สัทธรรมปฏิรูป ให้โยนทิ้งเสีย ...

    อ่านได้ จดจำได้ ท่องขึ้นใจได้ แต่ให้ กำหนดรู้โยนทิ้งเสียไปพร้อมกัน

    แล้วจำทำไม ท่องให้ขึ้นใจทำไม

    ก็เหมือนกับ เราอาศัยอวิชชาเกิด มันไม่ใช่ วงจรอุบาทว์ อย่าตำหนิจิต

    อย่าใช้คิดเพื่อแสวงหานิพพาน

    เราอาศัยมันเกิด และเพราะอาศัยมันเกิดนั้นแหละ จึงเห็น
    การพ้นการเกิด นั้นมีอยู่แน่ ตรึกไม่ได้

    ซ่องเสพฌาณให้มากๆ แล้วกำหนดรู้ทุกข์ ถึงจะพอเห็นหนทาง
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ระวัง

    การไป สนทนากับ วอนนิ๊ หนาสันติ อะไรนั่น

    อายนี้ พวกประกาศอรหันต์ แต่ กลับบ้านไป เจ็ดเข้ กับเมี................
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ปรักปรำตรงไหน

    การเสพฌาณ กำหนดรู้ มะรู้จัก

    มันก็เลย กล่าวว่า สุขอย่างยิ่ง ไม่ใช่นิพพาน แต่เป็น การ ขรี้ ไง

     
  9. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ไม่เบื่อบ้างเหรอที่ต้องเห็นอยู่ทุกวี่วันน่าเบื่อจะตาย...
     
  10. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    แสดงว่ารู้ปลงได้ก็ปลง
     
  11. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    สิ่งดีดีไมช่ว่าใครก็รู้ได้แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นเช่นเดียวกันบุคคลทำสิ่งใดมักได้สิ่งนั้นอย่ามองพลาดแล้วกันว่าอะไรเป็นอะไร...มันเสีบเวลา
     
  12. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    เหนือฟ้า ก็ยังมีฟ้า

    เหนือนิวรณ์ ก็มีวรณ์นิ

    :cool:
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เจ้าของกระทู้ไปเพียรซ้ำสมถะกองถนัดแล้วหรือยัง

    ลองทำซ้ำเหนความเจริญแล้วเสื่อมสักอีกสองสามรอบ

    จึงจะเข้าใจมรรคญานที่ค่อยก่อเกิดจากการอบรมจิตและกายหายละคน

    จะปลิดปลงเจตนางดละตัดอันท่านถือเปนสีลลัพตปรามาสไปมาใสในมรรคญานแทน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2016
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    หรือถ้าไม่อยากซ้ำย่ำย้ำรอยเจโตวิมุตติ

    ถือสัททาปัญญานำประทีป

    ให้ยก. สสังขาริกัง เปนธรรมอาการจิต เจตนาตัดปลง

    เปนเพียงสภาวะเจตสิกธรรม เปนเวรกรรมของจิตที่ขวางทางตรง

    กำหนดรู้อย่างนี้เนืองๆ ก้จะได้มรรคญาน. มีรสวิเศษพ้นตัณหา ไม่ต่างกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2016
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ยกตัวอย่าง หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านจะพูดบ่อย ให้เจริญกสินให้คล่องตัว

    พอคล่องตัวแล้ว. ให้ตามเหน การเจริญแล้วเสื่อม. แล้วจึง ปรารภว่า เปนโลกียะ

    ท่านปรารภถึง กสิณเปนโลกียธรรม. สสังขาริกัง ต้องเจตนาชักชวนให้เกิด
    จากการลงมือจริง. แล้วเหนมันเสื่อมจริงๆ. ไม่ใช่พูดแบบ. ปริยัติทับการปฏิบัติ

    ดังนั้น มรรคญาน. จะเหนหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องการมุ่งเจริญ หรือเสื่อม

    แต่เปนการเหน. ความเปนสสังขาริกัง. ยกขึ้นกำหนดรู้ ทำให้มากๆ. ถึงจะ
    ยกเหนได้

    เว้นไว้แต่ สัททา ปัญญากล้า. ก้จะไม่ต้องหมั่นประกอบ สมาธิให้ถึงสำเร็จเจโตสมาธิ

    จะอาสัยรส. อาการของจิตที่เปน. อาการสสังขาริกัง เจตนาจงใจให้เกิดเข้ามาเลย

    มันจะมีอยู่ในทุกเรื่อง. นำหน้าสติ นำหน้าจิต ด้วยการเปนตัณหา จ้าววัฏจักร

    กำหนดรู้ไปซื่อๆ. ด้วยจิตตั้งมั่นเปนกลางเหนนั่นไม่ใช่เรา. ไม่ใช่ของเรา
    ไม่ใช่ของจริง. ก้จะค่อยๆ เอะใจ. แหวกฟองไข่ แหวกอาสวะ สัมผัสว่าวิมุตติมีอยู่แน่ๆ

    ตราบใดที่ยังปรารภความเพียร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...