เนื่องจากผมเผลอไปคิดเรื่องบ้า ๆ เหนือจินตนาการเข้าเกี่ยวกับโลก จักรวาล สุดท้ายพอยิ่งคิดกลายเป็นฟุ้งซ่านประมาณว่าจิตใต้สำนึกมันอยากรู้คำตอบให้ได้ มันอยากจะรู้ไปทำไมกันนักหนา ไม่ทราบว่าแก้ยังไงดีให้หายขาด รู้สึกว่าเหมือนมี 2 คนในร่างเดียวทะเลาะกันมันทรมานมากเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่น่าไปคิดเลยกับเรื่องแบบนี้กลัวจะเป็นบ้าเอาสักวัน เวรกรรมจริง ๆ ไม่น่าเกิดเป็นคนที่มีความคิดสูงเลย น่าจะเกิดเป็นคนโง่ ๆ ไม่ก็เป็นสัตว์ไปตลอดไม่ต้องคิดไรมาก
ผมดันไปวิตกเรื่องอจินไตย
ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย dim789, 6 สิงหาคม 2013.
-
จิตสับสน ว้าวุ่น ต้องฝึกสมาธิ จึงจะหายเอง ใช้เวลานานหน่อย หรือ หางานอะไรก็ได้ทำ จนไม่มีเวลาว่างมาคิด
-
อจินตัยก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ควรคิด แต่ไม่ไช่คิดไม่ได้ ถ้าวางได้ ก็คิดได้ ถ้าวางไม่ได้ก็อย่าไปคิดมัน สำหรับคุณผมว่าตอนนี้จะคิดอะไรก็ปล่อยมัน ไอ้ทีว่าเป็นตัวตนอีกคนนั้นอย่าไปสนใจมัน ช่างมันอย่างเดียวครับ ทำกิจวัตรไปตามปกติ มีสติกับสิ่งที่ทำไนเวลาปัจจุบัน ก็น่าจะหายนะครับ สู้ๆนะคับ
-
ขอแนะนำการแก้ไขความฟุ้งซ่านจากคำสอนของหลวงพ่อชาดังนี้..
หลวงพ่อชา สุภัทโท
จิตฟุ้งซ่านมากทั้งๆ ที่พยายามจะมีสติอยู่
อย่าวิตกในเรื่องนี้เลย พยายามรักษาจิตของท่านให้อยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาภาย ในจิตก็ตาม จงเฝ้าดูมัน และปล่อยวาง อย่าแม้แต่หวังที่จะไม่ให้มีความนึกคิดเกิดขึ้นเลย แล้วจิตก็จะเข้า สภาวะปกติตามธรรมชาติของมัน ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความดีและความชั่ว ร้อนและหนาว เร็วหรือช้า ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัวตนเลย อะไร ๆ ก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น เมื่อท่านเดินบิณฑบาตไม่จำเป็นต้องทำอะไรพิเศษ เพียงแต่เดินและเห็นตามที่เป็นอยู่ อย่ายึดมั่นอยู่กับการแยกตัวไปอยู่แต่ลำพัง หรือกับการเก็บตัว ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด จงรู้จักตัวเองด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดู เมื่อเกิดสงสัยจงเฝ้าดูมันเกิดขึ้นและดับไป มันก็ง่าย ๆ อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น
เหมือนกับว่าท่านกำลังเดินไปตามถนน บางขณะท่านจะพบสิ่งกีดขวางทางอยู่ เมื่อท่านเกิดกิเลส เครื่องเศร้าหมอง จงรู้ทันมันและเอาชนะมันโดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวางที่ ท่านได้ผ่านมาแล้ว อย่าวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่ได้พบ จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าสนใจกับระยะทางของถนน หรือกับจุดหมายปลายทาง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าท่านผ่านอะไรไป อย่าไปยึดมั่นไว้ ในที่สุดจิตจะบรรลุถึงความสมดุลตามธรรมชาติของจิต และเมื่อนั้นการปฏิบัติก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นและดับไปในตัวของมันเอง
ที่มา:
http://mahamakuta.inet.co.th/practice/mk722.html#mk722_9 -
ฝ่ายธรรมคือ สติปัญญาที่ใคร่ครวญถึงความไม่มีประโยชน์
เนื่องจาก ฝ่ายกิเลสก็มีกำลังมาก เนื่องจากเราฝึกแต่นิสัยคิดมาแต่ไหนแต่ไร จนการคิดนั้นกลายเป็นนิวรณ์ คือ คิดฟุ้งซ่าน และ สงสัย ในสิ่งที่ไม่ควรสงสัย
เมิ้อเป็นดังนี้แล้ว เรามีสติปัญญฉุกคิดแล้วว่า สิ่งนั้นไม่ดี เป็นความน่ารำคาญ
ก็ให้เราพิจารณาเพื่อช่วยสนับสนุนธรรม คือ มันจะสงสัยก็สงสัยไป แต่ให้รู้ตัวแล้วพิจารณาหาซิว่า ได้คำตอบไปแล้วจะไม่สงสัยเรื่ออื่นต่อหรือ หรือเรื่องที่สงสัยนี้เอาโลกทั้งโลกมาแบกไว้มันก็ไม่หมด ถามคัวเองซิว่า สิ่งที่สงสัยนี้จำเป็นไหม ความรู้ของเรามีฐานมากพอที่จะเปลื้องสงสัยได้หรือยัง นี่ให้พิจารณาเพื่อให้เห็นความโง่เขลาที่จะไปสงสัยในเรื่องนอกโลกจักรวาลในเวลาที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ เมื่อพิจารณาไปเรื่อยๆ เราจะเห็นความโง่ความเขลาไปเรื่อยๆ เมื่อสิ่งที่เราพิจารณาซึมเข้าใจไปเรื่อยๆแล้ว เราจะเลิกหยิบความโง่ใส่เข้าตัวเรา
การกระทำข้างต้นที่กล่าวมานั้นเรียกว่า พิจารณาตามความเป็นจริง หรือ วิปัสสนา
แต่หากเรายังสู้ไม่ไหวก็อาจจะ ฝืนบ้าง ตามบ้าง แล้วหมั่นทำสมาธิให้สงบ เพื่อคอยพยุงให้เราไม่เพลี่ยงพล้ำต่อกิเลส ความสงสัยไปตามความไม่รู้
การทำสมาธิให้จิตสงบตัวไป ไม่แสดงความสอดส่ายฟุ้งซ่าน หรือ สงสัยให้ปรากฎ เรียกว่า เป็นการทำ สมถะ กรรมฐาน
มีประโยชน์ทั้งสองอย่าง ทั้งสมถะ และวิปัสสนา โดยใช้สติในการสอนตนว่าสิ่งใดดี เหมาะสมควรใช้ตอนไหน เพื่อดับทุกข์คือ ความฟุ้งซ่านสงสัยในเรื่องจักรวาลจนหยุดไม่ได้ -
สรรพสัญญาอนิจจัง..สรรพสัญญา สรรพสังขาราอนัตตา.
ตามประวัติหลวงปู่มั่นท่าน..เคยฝากให้แม่ชีที่โดน
วิปัสนูปกิเลสเล่นงานครับ..อย่างที่คุณว่ามาเป็นกันเยอะครับ
ทั้งพระและโยม..แต่ที่คุณเขียนมาคุณยังมีสติค่อนข้าง
ดีอยู่..หมั่นเจริญสติให้มากและทำสมาธิควบคู่ไปด้วยครับ
อารมณย์และสภาวะการปรุงแต่งทั้งหลาย..ที่มันเกิดขึ้นมา
ที่เราทุกข์เป็นเพราะเราไปยึดมันบ้าง..อยากให้มันไม่คิดบ้าง
ไม่อยากให้มันคิดอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง..ขณะนี้เรามีหน้าที่
แค่เจริญสติกับสมาธิ..และพยายามปล่อยวางกับความคิด
และสภาวะของธรรมมารมณย์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นครับ..จะหายช้าหรือ
เร็วขึ้นอยู่กับ..ความเพียรครับถ้ามีผู้รู้ช่วยคอยแนะนำด้วย
ก็จะยิ่งดีครับ ยินดีแนะนำครูอาจารย์ท่านที่จะแก้ไขได้ให้ครับ. -
อย่าวิตกในเรื่องนี้เลย พยายามรักษาจิตของท่านให้อยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาภาย ในจิตก็ตาม จงเฝ้าดูมัน และปล่อยวาง อย่าแม้แต่หวังที่จะไม่ให้มีความนึกคิดเกิดขึ้นเลย แล้วจิตก็จะเข้า สภาวะปกติตามธรรมชาติของมัน ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความดีและความชั่ว ร้อนและหนาว เร็วหรือช้า ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัวตนเลย อะไร ๆ ก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น เมื่อท่านเดินบิณฑบาตไม่จำเป็นต้องทำอะไรพิเศษ เพียงแต่เดินและเห็นตามที่เป็นอยู่ อย่ายึดมั่นอยู่กับการแยกตัวไปอยู่แต่ลำพัง หรือกับการเก็บตัว ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด จงรู้จักตัวเองด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดู เมื่อเกิดสงสัยจงเฝ้าดูมันเกิดขึ้นและดับไป มันก็ง่าย ๆ อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น
เหมือนกับว่าท่านกำลังเดินไปตามถนน บางขณะท่านจะพบสิ่งกีดขวางทางอยู่ เมื่อท่านเกิดกิเลส เครื่องเศร้าหมอง จงรู้ทันมันและเอาชนะมันโดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวางที่ ท่านได้ผ่านมาแล้ว อย่าวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่ได้พบ จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าสนใจกับระยะทางของถนน หรือกับจุดหมายปลายทาง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าท่านผ่านอะไรไป อย่าไปยึดมั่นไว้ ในที่สุดจิตจะบรรลุถึงความสมดุลตามธรรมชาติของจิต และเมื่อนั้นการปฏิบัติก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ทุกสิ่ง
--------------------------------------------------------------------------
แบบนี้เป็นการวิปัสสนารึเปล่าคะ? -
นี่คือ หลักแห่งวิปัสสนาที่แท้จริง
แต่เท่าที่อ่านมาข้างต้นนั้น เป็นการจินตนาการเสียมากกว่า เพราะยังไม่กำหนดรู้สภาพทุกข์เลย
ผู้กล่าว พูดถึงปลายทางให้ปล่อยวาง แต่ไม่ได้กล่าวในวิถีทางในการปล่อยวางให้ได้
จึงไม่ใช่เป็นหลักวิปัสสนาตามหลักที่ถูกต้อง -
เมื่อทำมากๆบ่อยเนืองๆย่อมสามารถละความติดยึดข้องในอัตตาตัวตน ทราบชัดในความจริงว่าสิ่งทั้งปวงไม่ใช่เราหรือใคร ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เพราะแปรปรวนเปลี่ยนไปเสมอ ทั้งทราบชัดว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น มาจากการประชุมของเหตุปัจจัย ต่างๆ จึงหาความยั่งยืนมั่นคงอะไรไม่ได้ ด้วยว่าปัจจัยทั้งหลายก็ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยงเช่นกัน..
-
จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่ว่า เมื่อไหร่ความคิด
คำนึงระลึกถึงตัวตนในอดีต (คิดถึงเรื่องอดีต)
หมายถึงตัวตนในอดีตมาหา มาอยู่ใกล้
ระบบของการคิดก่ จะวนเวียน กับตัวตนของตน
ที่มา ....
ความรู้ปัจจุบันจะเรียกว่า จิตใต้สำนึก
แต่ความจริงคือ ตัวตนในอดีตของตนเอง มาหา -
ที่ผ่านมาเราถูกสอนให้โลภเอาแต่แข่งขัน ถูกสอนให้เอาแต่คิดอย่างเดียวมาแต่ตั้งแต่เด็กๆ แล้วจนละทิ้งความสำคัญคำสอนพุทธศาสนา สุดท้ายกิเลสความอยากรู้มันพาไปไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ จนผมเกือบควบคุมมันไม่ได้
ขอบคุณทุกความคิดเห็นเดี่ยวพรุ่งนี้ผมจะไปทำวิปัสนากรรมฐานให้รู้แจ้งเห็นจริงครับ