ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    หลวงพ่อจรัญ : มาฟังท่านเล่าเรื่องกรรม

    MaHa Channel
    Sep 16, 2020
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lpJarunKarma.jpg
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    อาจารย์ยอด : สองเกลอสองกรรม [กรรม] new

    อาจารย์ยอด : ปลาเผาครึ่งตัว [กรรม] new

    อาจารย์ยอด
    Dec 12, 2020
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2020
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    king9blessing.jpg
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    LpBuddhaParent.jpg
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ชาติก่อนและการแก้กรรม
    จากรายการข้อคิดรอบตัว
    เรื่อง : พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D.; Ph.D.)
    วิธีแก้กรรม l แก้กรรมทำแท้ง l แก้กรรมความรัก

    570930-1.jpg
    แก้กรรม วิธีแก้กรรม ตัดกรรม แก้กรรมและสะเดาะเคราะห์ต่างกันไหม?
    เรื่องการแก้กรรมที่เขาพูดกันเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน?

    คำสอนเรื่องกรรม แก้กรรม เรื่องชาติก่อนชาตินี้ เป็นคำสอนหลักอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ความเข้าใจว่า โลกนี้โลกหน้ามีจริง กฎแห่งกรรมมีจริง นรกสวรรค์มีจริง คือความเชื่อที่เป็นสัมมาทิฐิพื้นฐานใครไม่เชื่อเรื่องนี้ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ คือมีความเห็นผิด เข้าใจผิด เพราะคำสอนหลักในพระพุทธศาสนาเรื่องกฎแห่งกรรมที่ว่าใครทำอะไรแล้วจะเกิดผลอย่างไร ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า เป็นสิ่งที่โยงใยกันหากตัดตอนว่าชาติก่อนไม่มี ชาติหน้าไม่มี ตายแล้วสูญ ต้องถือว่าหลุดไปจากคำสอนในพระพุทธศาสนาเลย
    เราจะพิสูจน์เรื่อง ชาติก่อน กรรม &แก้กรรมได้อย่างไร
    ถ้าจะพิสูจน์ให้ไปเห็นชัด ๆ เลยว่า ชาติก่อนเป็นอย่างไร ก็ต้องตั้งใจนั่งสมาธิ(Meditation) เกิดญาณทัสสนะเมื่อไรไปดูด้วยตัวเองได้ ในระหว่างที่ยังไม่เข้าถึง เราสามารถตรองคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข้อได้ด้วยเหตุด้วยผล และจะเห็นว่าเป็นจริงทั้งหมด ไม่มีเหตุผลอะไรที่พระองค์จะทรงมาหลอกเรา และไม่เฉพาะพระองค์เท่านั้น ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน มีพระอรหันต์จำนวนมหาศาล พระอรหันต์เหล่านี้บางรูปเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน บางองค์เป็นมหาเศรษฐี เป็นมหาเสนาบดี ฯลฯ ท่านเหล่านี้สละสิ่งที่ตนเคยมีทั้งหมดไปอยู่ป่าบำเพ็ญสมณธรรม แล้วยืนยันตรงกันว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเป็นเรื่องจริง แม้ปัจจุบันผู้ที่ปฏิบัติเข้าถึงธรรมได้ก็มีอยู่ และยืนยันตรงกันมาตลอด

    จริง ๆ แล้วอย่าว่าแต่ชาวพุทธเลย ในอเมริกาและยุโรปก็มีการสำรวจและพบว่าคนที่เชื่อเรื่องตายแล้วไม่สูญ ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง มีถึง 70 - 80 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ตรงข้ามกับคำสอนในศาสนาของเขา แล้วยังมีกลุ่มที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ ที่เป็นนักศึกษา นักวิทยาศาสตร์ รวมทีมกันไปเก็บข้อมูลที่ไหนมีคนระลึกชาติได้ เขาจะไปเก็บข้อมูลทุกอย่าง และมีการพิสูจน์ด้วย เช่น เด็กที่จำเรื่องราวในอดีตได้ ก็ทำการพิสูจน์ ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่ใช่การแต่งเรื่องขึ้น เพราะไม่ใช่วิสัยที่เด็กอายุขนาดนี้จะแต่งเรื่องต่าง ๆ ได้ แล้วมีกรณีอย่างนี้เป็นร้อยกรณี เขารวบรวมขึ้นมาเป็นเล่ม เป็นหลักฐานว่า ชาติก่อนมีจริง ถ้าคนเราไม่เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า จะทำบาปได้ง่าย แต่ถ้าเชื่อแล้วจะมีสติยับยั้ง มีกำลังใจทำความดี ความเชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้าจึงเป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม แต่ที่สำคัญที่สุดคือมันเป็นความจริง ไม่ใช่ความเชื่อ นี้คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายยืนยันกับเรา

     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    Karma-01.jpg
    วิธีแก้กรรมตามหลักพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องกรรม การแก้กรรมไว้อย่างไรบ้าง?
    กรรม แบ่งได้หลายประเภท ในที่นี้จะแบ่งประเภทตามลำดับการให้ผลของกรรมก่อน ซึ่งมีทั้งหมด 4 ประเภท คือ

    1. ครุกรรม คือกรรมหนัก ใครทำครุกรรม ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดีก็ปิดอบายไปเลย ละโลกแล้วไปสู่สุคติภูมิแน่นอน คือ ไปสวรรค์ ไปเป็นพรหม อรูปพรหม เคยทำบาปเท่าไรก็ตาม ปิดประตูเลย ตัวอย่างของครุกรรมฝ่ายดี คือการได้ฌานสมาบัติ นั่งสมาธิจนได้ดวงสว่างใส ๆ ได้ปฐมฌานเป็นต้นไป ใครเคยทำกรรมไม่ดีอะไรมาก็ตาม ถ้านั่งสมาธิจนได้ปฐมฌาน เกิดดวงใส ๆ นิ่งที่กลางท้องปิดอบายเลยชาตินี้

    ส่วนครุกรรมฝ่ายบาป ได้แก่ อนันตริยกรรม 5 คือ 1.ฆ่าพ่อ 2.ฆ่าแม่ 3.ฆ่าพระอรหันต์ 4.ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต .ทำสงฆ์ให้แตกกัน (สังฆเภท) ใน 5 ข้อนี้ ใครทำลงไปต่อให้เคยทำความดีเท่าไรหรือภายหลังไปทำบุญอีกเท่าไรก็ตาม ตกนรก 100 เปอร์เซ็นต์ ปิดสวรรค์ปิดนิพพาน ชาตินั้นไม่มีทางขึ้นสวรรค์และหมดสิทธิ์เข้าพระนิพพาน

    ที่หนักที่สุด คือ สังฆเภท ทำให้สงฆ์แตกกัน ใครไปยุให้พระทะเลาะกัน รู้เถอะว่ากรรมหนักที่สุด ยิ่งกว่าฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ หรือทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อเลือดเสียอีก การทำให้สงฆ์แตกกันเป็นกรรมหนักมาก และสร้างความเสียหายใหญ่หลวง ถ้าหากไปทำผิดเข้าแล้ว บุญไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ ช่วยเหมือนกัน แต่ช่วยแค่ให้พ้นจากนรกขุมลึกมาอยู่ขุมตื้น อย่างไรก็ต้องตกนรก

    2. อาสันนกรรม กรรมก่อนตาย ก่อนตายคิดถึงอะไร สิ่งนั้นจะให้ผลก่อน คนเราทำทั้งบุญทั้งบาปมามากมาย ถ้าก่อนตายใจนึกถึงบุญกุศล ใจสว่างผ่องใส จะทำให้ไปสวรรค์ แต่ถ้าก่อนตายนึกถึงเรื่องที่ไม่ดี เป็นอกุศล เศร้าหมอง ก็จะต้องไปอบาย โบราณจึงบอกคนใกล้ตายว่าให้นึกถึงพระเพราะรู้หลักนี้ดี รู้ว่านึกถึงพระรัตนตรัย ใจจะได้สว่าง แล้วจะได้ไปดี แล้วบาปที่ทำหายไปไหนหรือเปล่า ไม่หาย แต่จะให้ผลทีหลัง

    ตัวอย่างเช่น พระภิกษุรูปหนึ่งชื่อพระติสสเถระ โยมพี่สาวของท่านเอาจีวรเนื้อดีมาถวาย ท่านชอบมาก ตั้งใจจะใช้วันรุ่งขึ้น แต่คืนนั้นท่านมรณภาพไปก่อน ด้วยความที่ใจเกาะอยู่กับจีวร ผลคือตายแล้วไปเกิดเป็นเล็นเกาะอยู่ที่จีวร ทั้ง ๆ ที่สร้างบุญไว้มาก

    พอท่านมรณภาพแล้ว ข้าวของที่มีอยู่คณะสงฆ์จะนำมาแบ่งกัน เช่น จีวรก็ตัดแบ่งกัน ขณะที่พระท่านเตรียมจะแบ่งจีวรกันนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าให้ชะลอไว้ก่อน พอถึงวันที่ 8 ทรงรับสั่งให้แบ่งกันได้ เพราะขณะที่พระภิกษุคุยกันว่าจะแบ่งจีวรนั้น พระติสสเถระที่เกิดเป็นเล็นก็วิ่งวุ่นอยู่บนจีวร เพราะความหวง หากมีการแบ่งจีวรในตอนนั้น เล็นจะผูกโกรธพระภิกษุทั้งหลาย และจะทำให้ไปเกิดในมหานรก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงรับสั่งให้รอ 7 วัน พอวันที่ 7 เล็นก็ตาย แล้วไปเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต เพราะมีบุญเก่ามาก แต่ที่ไปเกิดเป็นเล็น เพราะใจเกาะอยู่ที่ผ้าจะเห็นได้ว่า อาสันนกรรมเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เราจึงไม่ควรยึดติดอะไรมากเกินไปเอาแค่พอประมาณ แล้วให้ใจเราเกาะกับเรื่องที่ใส ๆ อยู่เสมอ

    3. อาจิณณกรรม บางคนรู้หลักว่า ทำใจใส ๆ นึกถึงพระ นึกถึง สัมมา อะระหัง แล้วจะไปดี เลยคิดว่าต่อจากนี้ไปทำอะไรตามใจชอบได้เลย ใกล้ตายเมื่อไรค่อย “สัมมา อะระหัง” ค่อยนึกถึงพระ ไปดีแน่นอน แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ตั้งตัวไม่ติด แล้วถ้าทุกขเวทนาบีบคั้นก็จะนึกถึงบุญไม่ออกจะนึกถึงแต่สิ่งที่ทำจนคุ้นเคย เสี่ยงมาก มีโอกาสไปอบายมาก ถ้าจะให้ปลอดภัยแน่นอน ต้องทำดีเป็นอาจิณณกรรม คือทำบ่อย ๆ สม่ำเสมอ พอใกล้ตายเราจะนึกถึงบุญออก

    4. กตัตตากรรม คือกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้ทำไม่มีเจตนา ให้ผลเป็นลำดับสุดท้าย ถ้าไม่มีกรรมอย่างอื่นมากมาย กรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ก็จะส่งผลที่จริงเรื่องกรรมมีความซับซ้อนมาก ยังมีรายละเอียดมากกว่านี้อีกมากมาย
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    การแก้กรรมมีผลดีอย่างไรบ้าง?
    มีคนถามว่าแก้กรรมได้ไหม ความจริงก็คือ กรรมที่ทำไปแล้วในอดีต เราเปลี่ยนไม่ได้ แต่แก้ไขกรรมได้ แก้อย่างไร? เวลาเราทำบาปก็เหมือนเติมเกลือ ทำบุญเหมือนเติมน้ำ ถ้าน้ำน้อยเกลือมากมันก็เค็มจัด วิบากกรรมก็ส่งผลแรง แต่ถ้าเราเติมบุญ คือเติมน้ำลงไปให้เจือจาง ความเค็มก็น้อยลงทุกอย่างจะทุเลาเบาบาง หนักจะเป็นเบา เบาก็หายไปเลย เพราะฉะนั้นการแก้ไขวิบากกรรมในอดีตทำได้ด้วยการสร้างบุญนั่นเอง
    ศึกษาวิธีแก้กรรม

    มีวิธีตัดกรรมแก้กรรมตามหลักพระพุทธศาสนาบ้างไหม? อย่างไร?


    วิบากกรรม เกิดจากสิ่งที่เราเคยทำไว้ในอดีต แล้วเกิดเป็นผลบาปตามมา จะแก้ไขต้องเอาบุญแก้ให้เราสร้างบุญ ทั้งทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา สิ่งนี้ช่วยเราได้อยู่แล้ว ขอให้อยู่ในบุญเท่านั้นประการสำคัญอย่ามุ่งแต่เพียงว่าจะไปแก้ไขวิบากกรรมในอดีต ที่สำคัญคือต้องระวังอย่าไปสร้างเหตุที่ไม่ดีในปัจจุบันด้วย (อย่าสร้างกรรมใหม่) อะไรที่ไม่ดีอย่าทำ สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือ อกุศลกรรม 10 ประการ คือ การฆ่าสัตว์ เบียดเบียนรังแกสัตว์, ลักทรัพย์, ประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น, โกหกหลอกลวง, พูดส่อเสียด ยุยงให้แตกความสามัคคี, พูดคำหยาบ, พูดเพ้อเจ้อ, โลภอยากได้ของของผู้อื่น, คิดร้าย ปองร้ายผู้อื่น, เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม

    สมัยนี้มีเรื่องที่ต้องระวังอย่างหนึ่ง เมื่อก่อนโอกาสพูดคำหยาบมีไม่มาก เพราะพูดแล้วกลัวเขาโกรธ เดี๋ยวเราจะเดือดร้อน แต่ตอนนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล โอกาสที่จะพูดคำหยาบโดยไม่ถูกโจมตีกลับจัง ๆ มีมากขึ้น เช่น การไปให้ความเห็นในเว็บบอร์ด ให้ความเห็นท้ายข่าวในอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เขียนว่าเขาไปแล้วคนอ่านไม่รู้ว่าใครเขียน ดังนั้นเราจะเห็นว่า สำนวนในอินเทอร์เน็ตใช้คำค่อนข้างแรง เพราะผู้เขียนเหมือนไม่ต้องรับผิดชอบเลย อยากว่าใครก็ว่าได้เลยและถ้าไม่มีความผิดจริง ๆ ตำรวจไม่มาสืบจริง ๆ อาจจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนว่า

    แต่กฎแห่งกรรมส่งผลเสมอ แม้นึกว่าไม่มีใครรู้ เราคงไม่ต้องรับผลแห่งการกระทำ จริง ๆ แล้วต้องรับ เพราะไม่มีอะไรหนีพ้นกฎแห่งกรรม กฎแห่งกรรมศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎหมายบ้านเมืองเสียอีกน่ากลัวกว่าด้วย แล้วถ้าเราเกิดเข้าใจผิด ผสมโรงโจมตีไปกับเขาด้วย ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างที่เราเข้าใจ วิบากกรรมเกิดขึ้นหนักเลย ยิ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนา ไปตำหนิติติง โจมตีวิจารณ์ผู้ทรงศีล วิบากกรรมยิ่งหนัก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบอกว่า ผู้ประทุษร้ายบุคคลที่ไม่ประทุษร้าย ผลแห่งวิบากย่อมกลับมาสู่ผู้กระทำเอง เหมือนคนเอาธุลีพุ่งซัดทวนลมไป ธุลีจะปลิวมาเต็มหน้าเราเอง ฉะนั้นอย่าทำเด็ดขาด ถ้าไปเห็นผลของวิบากกรรมด้วยตัวเอง จะรู้ว่าน่ากลัวมากไม่คุ้มเลย

    ถ้าเราไม่ทำอกุศลกรรมบถ 10 ข้อ ก็เหมือนกับว่า เราสร้างเกราะป้องกันตัวเราไว้ดีพอสมควรและถ้าไม่ยุ่งอบายมุขด้วย ถือว่าชีวิตเราปลอดภัย 99 เปอร์เซ็นต์แล้ว นี่คือสิ่งที่เราควรทำให้ถูกต้องในปัจจุบัน และอดีตที่ผิดพลาดทั้งหลายลืมให้หมด นึกแต่เรื่องดี ๆ แล้วตั้งใจทำความดีทุกชนิดอย่างเต็มที่ อะไรที่ไม่ถูกต้องไม่ทำอีกเด็ดขาด ถ้าทำได้อย่างนี้ เราจะมีความสุขต่อไปในอนาคต
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    Karma-02.jpg
    วิธีแก้กรรมอย่างถูกหลักวิชชา
    แก้กรรมและสะเดาะเคราะห์ต่างกันไหม?
    พฤติกรรมที่ทำไปแล้ว เราเปลี่ยนไม่ได้ แต่สามารถแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบาได้ ด้วยการทำความดีไปเจือจางบาปอกุศลใหเบาบางลง แล้วไม่ไปทำอะไรผิดซ้ำอกจะเรียกตรงนี้เป็นการสะเดาะเคราะห์ทำให้เคราะห์เบาลงก็ได้ ถ้าสะเดาะเคราะห์หมายถึงอย่างนี้ก็ถือว่าถูก แต่ถ้าไปสะเดาะเคราะห์ ไปทำพิธีตัดนั่นตัดนี่อะไรต่าง ๆ นานา ก็ไม่ใช่ ต้องถือตามหลักพระพุทธเจ้า คือ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส นี่คือการแก้ไขวิบากกรรมในอดีตที่ดีที่สุด

    ถ้าปัจจุบันเราเจอสิ่งที่ร้าย ๆ อย่าหดหู่ ให้รู้ว่าทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีเหตุก็แสดงว่าในอดีตเราทำไว้ไม่ดี ถึงได้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น แตเมื่อรู้แล้วไม่ควรเพิกเฉย ให้แก้ด้วยการตั้งใจทำความดีในปัจจุบันให้ดีที่สุด ขณะเดียวกันอะไรที่ไม่ดี ไม่ทำอีกเด็ดขาด อย่างนี้คือการเห็นตลอดทั้งสาย แล้วดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องสมกับเป็นพุทธศาสนิกชน
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    LoiKratong.jpg
    วิธีแก้กรรม

    คำถาม : กรรมมีวันหมดหรือเปล่าค่ะ หนูรู้ว่าหนูทำบาปเยอะ ไม่รู้ต้องชดใช้ไปอีกนานแค่ไหน

    พระอาจารย์ : อกุศลกรรมที่เราทำไว้ก็มีวันหมด บุญที่เราเองสร้างไว้ ไม่สร้างเพิ่มก็มีวันหมดเหมือนกันนะ ทั้งด้านลบด้านบวกมันมีวันหมดทั้งคู่แหละ เพราะฉะนั้น ถามว่าควรจะทำยังไง ถ้าเราเองทำบาปไว้เยอะ หนึ่ง บาปกรรมอกุศลไม่ทำอีกอย่างเด็ดขาด อย่าไปเติมกรรมใหม่ กรรมเก่าที่ทำไว้แล้ว มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น แต่ของใหม่อย่าไปทำเพิ่มอีกนะ สอง คือ บาปกรรมอกุศลในอดีต อย่าไปนึกถึง ลืมให้หมดเลย ไปนึกถึงเหมือนเราไปขุ้ยมันขึ้นมา พอเราลืมไม่นึกถึง ก็ทำให้มันมีฤทธิ์น้อยลงๆ แต่มันยังไม่หมดนะ มันยังอยู่ แต่ว่าเราอย่าไปเสริมฤทธิ์ให้มัน แล้วก็ตั้งใจสร้างบุญกุศลใหม่ให้เยอะๆ เดี๋ยวบุญใหม่ที่เราสร้างไว้ จะเหมือนกับเติมน้ำ ทำบาปเหมือนเติมเกลือ น้ำจะไปเจือจางเกลือให้อ่อนกำลังลงและหมดฤทธิ์ไปในที่สุด อดทนหน่อยคุณโยม ถ้ามีความตั้งใจจริง สุดท้ายเราก็จะพ้นจากวิบากกรรมทั้งหลายเหล่านั้นไปได้ เจริญพร
    :- https://www.dmc.tv/pages/top_of_wee...ัดกรรม-แก้กรรมและสะเดาะเคราะห์ต่างกันไหม.html
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ธรรมบรรยาย ท่านเจ้าคุณพระสุนทรธรรมภาณ (พระอาจารย์สมชาติ ธมฺมโชโต) วัดพระพุทธแสงธรรม จ.สระบุรี (สำนักปฏิบัติแสงธรรมส่องชีวิต)
    เรื่องที่ไม่ควรปรุงแต่งก็ไปปรุงแต่งมันซะ เดี๋ยวก็ตกนรก ไอ้สิ่งเหล่าเนี้ยเราต้องหยุดมันให้ได้ ของอาตมาตัดกระแสทันที จะไม่ปล่อยมานั่งผสมจนเราเมากับมัน แล้วก็มานั่งบีบน้ำตา ความเสียใจมันเคยช่วยอะไรเราบ้าง มีแต่คิดฆ่าตัวตาย แล้วก็ทำลายตัวเอง สุดท้ายก็บอกหมดกำลังใจ ความโกรธมันเคยช่วยอะไรเราบ้าง มันมีแต่สร้างโทษ สร้างเวรสร้างภัย แต่ไม่เคยสร้างสิ่งดีดีให้กับเรา จนบัดนี้เรายังใช้มันอยู่ ความโกรธ ความน้อยใจ ความเสียใจ / การไม่เบียดเบียนกันเป็นความสุข ถ้าเมื่อไหร่เราขาดเมตตาธรรมกัน ไม่ว่าสังคมที่ไหน จะมีกินแค่ไหน ก็ไม่มีความสุข แต่ว่าการได้เจริญเมตตา การอยู่ร่วมกัน ไม่เห็นแก่ตัว คนที่เห็นแก่ตัวก็เริ่มจากการเบียดเบียนตนเองแล้วก็ผู้อื่น แรก ๆ ก็ดูเหมือนดีอะไรก็ได้ก่อน แล้วก็ไม่ต้องสนใคร แต่พอนานไปทางมันแคบลง ผิดกับผู้ที่เจริญเมตตามีการเห็นอกเห็นใจกัน จึงไม่เบียดเบียน ถ้าใครเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ถ้าจิตไม่เมตตาก็คงไม่ใช่ผู้ภาวนา เพราะว่าพรหมวิหารธรรมต้องมีอยู่ในหัวใจของผู้ภาวนา ไม่งั้นทำฌาณไม่ได้ เพราะฌาณมีปิติ สุข เอกคตา เหมือนกัน การเจริญเมตตาก็มี ปิติ สุข ใจไม่ฟุ้งซ่าน เหมือนกับเมตตาเลย ใครที่ทำฌาณไม่ได้ก็เพราะยังขาดเมตตา ต้องเจริญเมตตาให้เยอะกว่าเก่า อย่าไปคิดเบียดเบียนใคร ของไม่ดีก็อย่าไปทำ ของเหม็น ๆ เรายังไม่เลิก ของมีโทษเรายังไม่ละ แล้วจะเอาชนะอะไรได้ แสดงว่าจิตเค้ายังหยาบ ไม่ใช่ ภาวนา ขี้ยา ปฏิบัติ ขี้ขอ อย่างเนี่ย มันไม่ใช่ ใจมันยังไม่ใช่ / แล้วก็อย่าเป็นคน เพ้อเจ้อ คือคนที่เพ้อเจ้อ ฟูมฟาย ฟุ้ง เค้าเรียกจิตไม่นิ่ง เค้าไม่ฝึกจิตพวกนี้ หรือเค้าฝึกไม่ได้ ที่บอกฝึกไม่ได้เพราะเค้าชอบตามใจตัวเอง แต่ถ้าตามครูบาอาจารย์ หรือตามพระพุทธเจ้าอย่างไงก็สอนได้ ขนาดองค์คุลีมารที่ว่าเก่งขนาดไหน พระพุทธเจ้าโปรดแค่แป๊บเดียว คุกเข่ากราบขอถวายตัว ชีวิต บวชในพระพุทธศาสนาจนเป็นพระอรหันต์ / พูดธรรมะใยต้องเอาชนะกัน ธรรมะมันไม่มีตัวตน ธรรมะเพียงแต่อบรมสั่งสอนมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ให้มนุษย์มีจิตเป็นเทพเซียน มีจิตเป็นอริย มีจิตเป็นอรหันต์ ไม่มีแพ้ไม่มีชนะ มีแต่คำว่าจะละได้เมื่อไหร่ วางได้เมื่อไหร่ จิตก็ว่างเมื่อนั้น ก็เข้าสู่มรรคผล / ต้องใช้สติควบคุมจิต ควบคุมได้มั้ย บางคนเค้าห้ามแล้วก็ยัง ตัวเองห้ามตัวเองไม่ได้ถูกเค้าห้ามอีก ก็ยังถือตัวต่อ จะทำซะอย่าง รับผิดชอบเอง ...คำพูดคุณชีวิตคุณคนเดียวคุณจะรับผิดชอบไหวเหรอ คนอีกตั้งเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น แสน ล้าน ... ไม่ได้หรอก นั่นมันคุณพูด ฉะนั้นเวลามีอำนาจใช้ให้มันเป็นประโยชน์ มิฉะนั้นมันจะเป็นโทษ .
    ########## มีให้ฟังอีกมาก พอดแคสต์ sangdhamsongchevit : https://soundcloud.com/user-697057355
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    BuddhaTeaching (2).jpg
    บุพกรรมของพระสีวลี
    พระสีวลีเถระ อยู่ในครรภ์มารดา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน แต่เมื่อเป็นพระเป็นผู้เลิศในทางลาภและยศ เพราะกฎแห่งกรรมที่ให้ผลคละกัน
    เรื่องของ กฎแห่งกรรม ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระสีวลีนี้ มีกล่าวถึงในเรื่อง พระขทิรวนิยเรวตเถระ (ในอรหันตวรรค ของอรรถกถาพระธรรมบท ภาค 4) เฉพาะในส่วนบุพกรรมของพระสีวลีเถระสรุปได้ว่า
    ๑.สาเหตุที่พระสีวลีเถระเป็นผู้เลิศทางโชคลาภ (ดังพระพุทธวจนะว่า “เอตทคฺคํ ภิกฺขเว มม สาวกานํ ลาภีนํ ยทิทํ สีวลีติฯ แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย พระสีวลีเถระนั้นเป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายที่เป็นสาวกทั้งหมดของตถาคตในทางมีลาภมาก) นั้นเพราะเป็นไปตาม กฎแห่งกรรม ที่กระทำในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า "วิปัสสี" ท่านพระสีวลีได้เกิดเป็นชาวบ้านนอกคนหนึ่งและท่านได้ร่วมถวายมหาทานกับชาวเมือง ซึ่งได้จัดถวายทานแข่งพระราชา แต่ยังขาดเฉพาะน้ำผึ้งสด โดยท่านได้ถวายน้ำผึ้งสด ซึ่งชาวบ้านได้ขอซื้อถึงหนึ่งพันกหาปณะ ทั้งที่น้ำผึ้งมีราคาไม่ถึงหนึ่งบาทด้วยซ้ำไป แต่ท่านไม่ขายกลับขอเข้ามีส่วนร่วมในการถวายทานแก่พระวิปัสสีพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ 680,000 รูปด้วย ซึ่งด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้าทำให้น้ำผึ้งนั้นมีประมาณเพียงพอแก่พระสงฆ์ทั้งหมด
    ๒.สาเหตุที่พระสีวลีอยู่ในครรภ์พระมารดานานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วันนั้น เพราะกฎแห่งกรรม หลังจากนั้นแล้วท่านได้ไปเกิดบนเทวโลก จากนั้นได้จุติมาเกิดเป็นพระราชาในกรุงพาราณสี ต่อมาท่านได้ยกทัพไปใช้ยุทธวิธีปิดล้อมเมืองหนึ่งนาน 7 ปี 7 เดือน โดยปิดล้อมเฉพาะประตูใหญ่ทั้ง 4 ด้าน แต่ชาวเมืองยังไม่ยอมแพ้ เพราะอาศัยประตูเล็กทั้ง 4 ด้านลอบออกไปหาอาหารและน้ำ พระราชมารดาของพระองค์ทราบข่าวจึงสั่งให้ปิดประตูเล็กทั้งสี่ด้วย จนถึงวันที่ 7 ชาวเมืองนั้นจึงฆ่าพระราชาของตนและถวายราชสมบัติแก่พระองค์ เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วท่านได้ไปบังเกิดในนรกเพราะกรรมนั้นนานมาก คือ"ตราบเท่ามหาปฐพีนี้ หนาขึ้นได้ประมาณโยชน์หนึ่ง" จึงได้มาจุติในครรภ์มารดาในครั้งพุทธกาลดังกล่าว
    พระศาสดาได้ตรัสสรุปถึงบุรพกรรมของพระเถระอันเป็นไปตามความเชื่อมโยงของ กฎแห่งกรรม ไว้ดังนี้
    “ภิกษุทั้งหลาย สีวลีไหม้แล้วในนรกสิ้นกาลประมาณเท่านั้น เพราะกรรมที่เธอล้อมพระนครแล้วยึดเอาในกาลนั้น ถือปฏิสนธิในท้องของมารดานั้นนั่นแหละ อยู่ในท้องสิ้นกาลประมาณเท่านั้น เพราะความที่เธอปิดประดูเล็กๆทั้ง ๔ เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีลาภเลิศมียศเลิศ เพราะความที่เธอถวายน้ำผึ้งใหม่ ด้วยประการอย่างนี้”
    :- https://sites.google.com/site/dhammatharn/km-mu-na-wt-ti-lo-ko/pppp-2

     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    how-karma-works-350x214.jpg
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    กรรมที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ กรรม คือการกระทำ ทำความดีเรียกกุศลกรรม ทำความชั่วเรียกอกุศลกรรม กำเนิดเป็นกวาง เก้ง ด้วยสมัยเป็นมนุษย์ ชอบหลงมัวเมาในเรือนร่างสัดส่วน อันน่ารัก น่าใคร่ น่าหลงใหลติดใจ พึงพอใจในการขายเนื้อขายตัว มักมากในกามารมณ์ มั่วกามเคล้าโลกีย์อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน หาเงินมาโดยมิชอบ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ต้องเกิดเป็นพวกเนื้อ เก้ง กวาง ละมั่ง อาศัยอยู่ในป่าลึก ถูกมนุษย์ตามล่ามาบริโภค ชดใช้หนี้กรรมตามจริงนิสัยเดิมที่ตนได้ก่อไว้แต่ชาติปางก่อน ยังมีสัตว์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เพื่อให้เรื่องสั้นกระชับ จึงให้ข้อสังเกตว่าสัตว์เดรัจฉานส่วนมากพ้นออกมาจากนรก เปรต อสุรกาย แล้วมาชดใช้เศษกรรมเล็กๆ น้อยๆ จนกว่าจะหมดกรรมเก่า มีสัตว์หลายชนิดเมื่อเสวยกรรมเก่าหมดแล้วก็อาจไปเกิดในสวรรค์ หรือเป็นมนุษย์ต่อไปได้ เช่น สุนัข ลิง แมว ปลา นก เป็นต้น แต่ขึ้นชื่อว่ากุศลธรรมและอกุศลธรรมแล้ว ทำไว้อย่างไรก็ย่อมได้รับอย่างนั้น เพียงแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้นแต่หากท่านบำเพ็ญจิตจนทำลายอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทิฐิ สังโยชน์ ได้หมดสิ้นแล้ว กุศลและอกุศลก็ติดตามส่งผลให้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะกรรมใดๆ ที่ยังไม่ได้เสวยก็จะเป็นอโหสิกรรมไปทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2022
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,569
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    gossip and admirer.jpg
    โทษของการว่าร้ายผู้อื่น
    การประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับตัวของเราเองและมวลมนุษยชาติ ผู้มีธรรมะเป็นอาภรณ์ ย่อมจะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวาทั้งหลาย อาภรณ์ภายนอกนั้นแม้อาจจะมีมูลค่ามากมาย แต่เป็นที่พึ่งในยามคับขันให้กับเรายังไม่ได้ อีกทั้งยังทำให้เป็นห่วงกังวลในการเก็บรักษา แต่ธรรมะภายในเท่านั้น ที่เป็นอาภรณ์ชั้นเลิศ เป็นที่พึ่งที่ระลึกให้กับตัวเราได้อย่างแท้จริง แม้คนอื่นก็ให้ความเคารพเลื่อมใส จะทำให้เป็นที่รักที่น่าปรารถนา และเป็นผู้ทรงคุณค่าสง่างามของมหาชนทั้งหลาย ดังนั้นธรรมะจึงเป็นอาภรณ์ประดับคู่กายที่อมตะมั่นคงที่สุด ที่จะติดตามตัวเราไปได้ทุกภพทุกชาติ เราจึงต้องหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงธรรมะภายใน เราจะได้เป็นเจ้าของสมบัติอันลํ้าค่านี้ได้ตลอดไป
    มีพระบาลีกล่าวไว้ใน สุภาษิตสูตร ว่า
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และเป็นวาจาอันวิญญูชนทั้งหลายไม่ติเตียน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมกล่าวแต่วาจาที่บุคคลกล่าวดีแล้วเท่านั้น ไม่กล่าววาจาที่บุคคลกล่าวชั่ว ย่อมกล่าวแต่วาจาที่เป็นธรรมเท่านั้น ไม่กล่าววาจาที่ไม่เป็นธรรม ย่อมกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รักเท่านั้น ไม่กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก ย่อมกล่าวแต่วาจาจริงเท่านั้น ไม่กล่าววาจาเท็จ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เหล่านี้แล เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นวาจาทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และเป็นวาจาอันวิญญูชนทั้งหลายไม่พึงติเตียน”
    วาจาสุภาษิต หมายถึงคำพูดที่ได้รับการกลั่นกรองมาอย่างดีแล้วจากใจที่บริสุทธิ์ ประกอบด้วยความเมตตาปรารถนาดีต่อผู้ฟัง เนื่องจากธรรมชาติให้ดวงตามา ๒ ตา มีหน้าที่ดู สำหรับหูมีหน้าที่ฟังเพียงอย่างเดียว ธรรมชาติก็ให้มาถึง ๒ หู จมูกให้มา ๒ รู มีหน้าที่ดมกลิ่นอย่างเดียว แต่ปากมีเพียงปากเดียว แต่ต้องมีหน้าที่ถึง ๒ อย่าง คือ ทั้งกินและพูด แสดงว่าธรรมชาติต้องการให้คนดูให้มาก ฟังให้มาก แต่พูดให้น้อย ให้มีสติคอยระมัดระวังปาก ยามจะกินก็กินให้พอดี จะพูดก็พูดให้พอดี ลักษณะคำพูดที่เหมาะสมพอดี เป็นคุณทั้งแก่ตัวผู้พูดและผู้ฟัง ท่านเรียกว่า วาจาสุภาษิต
    การพูดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ทุกๆ คน จะล้มเหลวหรือจะประสบความสำเร็จในชีวิตก็อาศัยวาจาที่เปล่งออกมาจากปากนี่แหละ ก่อนเปล่งถ้อยคำเรายังเป็นนายของคำพูด ครั้นเมื่อพูดออกไปแล้ว คำพูดนั้นจะเป็นนายของเรา เพราะฉะนั้น เราต้องระมัดระวังคำพูด ต้องรู้จักใช้วาจาให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อส่วนรวม และต่อชาวโลก ให้พูดแต่วาจาที่ไพเราะเสนาะโสต สมานไมตรี เราจะได้เป็นผู้มีวาจาอันเป็นที่รักที่เชื่อถือได้ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่พูดแล้วนำความเดือดร้อนมาให้ในภายหลัง อย่าพูดจาเพียงเพื่อสนุกปากด้วยความคึกคะนอง หรือพูดคำหยาบว่าร้ายผู้อื่น มิฉะนั้นจะต้องประสบทุกข์เพราะคำพูดของตนเอง เหมือนอย่างพระโกกาลิกะ ผู้มีจิตประทุษร้ายด่าว่าพระอรหันต์ ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในมหานรก
    * เรื่องมีอยู่ว่า พระโกกาลิกะมีจิตผูกอาฆาตในพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เนื่องจากไม่ชอบใจที่หลังจากออกพรรษาแล้ว พระเถระทั้งสองรูปไม่ได้รับไทยธรรมที่ญาติโยมนำมาถวายให้ ทำให้ตนเองพลอยไม่ได้ลาภสักการะไปด้วย จึงหาทางคอยแต่จะแก้แค้นพระเถระทั้งสองอยู่ตลอดมา จนกระทั่งมีอยู่พรรษาหนึ่ง เมื่อพระอัครสาวกทั้งสองพาภิกษุ ๕๐๐ รูป เที่ยวจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อโปรดญาติโยม ได้พากันเดินธุดงค์ไปจนถึงโกกาลิกรัฐ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระโกกาลิกะ
    สาธุชนต่างพากันให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ให้เข้าไปพักในวิหาร แล้วช่วยกันจัดแจงภัตตาหารหวานคาวมาถวาย รวมไปถึงคิลานเภสัชและเครื่องนุ่งห่มอีกมากมาย พวกภิกษุที่มาด้วยกัน ต่างได้รับจีวรที่ญาติโยมนำมาถวาย ส่วนพระโกกาลิกะไม่ได้รับกับเขา
    พระโกกาลิกะเมื่อไม่ได้จีวรจึงตัดพ้อต่อว่าพระเถระทั้งสองว่า พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ เป็นผู้ปรารถนาลามกมักมาก รับเสียจนล้นเหลือ ไม่ยอมให้ตนเอง ซึ่งเป็นพระเจ้าถิ่นเลย พระเถระคิดว่า โกกาลิกะต้องประสบอกุศลเพราะอาศัยปากของตนแน่แท้ ท่านไม่อยากให้พระโกกาลิกะได้รับบาปมากไปกว่านี้ จึงพาบริวารออกไปพักที่อื่น แม้ชาวบ้านจะอาราธนาอ้อนวอนให้อยู่ต่อ แต่ท่านก็ไม่รับอาราธนา สาธุชนเข้าไปถามสาเหตุที่ทำให้พระเถระไม่อยู่ที่นี่ เมื่อทราบว่าเป็นเพราะพระโกกาลิกะด่าว่าพระอัครสาวกทั้งสอง จึงได้นิมนต์ให้พระโกกาลิกะไปขอขมาพระเถระ แล้วอาราธนาให้ท่านกลับมาเป็นเนื้อนาบุญที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะขับไล่พระโกกาลิกะออกจากวัดนี้
    พระโกกาลิกะจำต้องไปอ้อนวอนพระเถระทั้งสองรูป เนื่องจากกลัวโยมอุปัฏฐากจะขับไล่ แต่พระเถระและคณะสงฆ์ ต่างปฏิเสธที่จะกลับไป เมื่อพระโกกาลิกะไม่อาจจะนิมนต์พระเถระให้กลับมาได้ ก็กลับไปยังวิหารตามลำพัง ฝ่ายญาติโยมอุบาสกอุบาสิกาเมื่อรู้ว่า พระอัครสาวกทั้งสองไม่ยอมกลับมาอีก จึงพากันขับไล่พระโกกาลิกะให้ออกจากวิหารไป
    เมื่อท่านถูกญาติโยมขับออกจากวัดเสียแล้ว ก็ถือบาตรจีวรไปขออาศัยอยู่ตามวัดต่างๆ พระวัดอื่นรู้ว่านี่คือพระโกกาลิกะผู้ด่าว่าพระอัครสาวก จึงไม่มีใครอยากจะรับไว้ เพราะกลัวว่าจะมาทำให้สงฆ์เสื่อมเสีย และกลัวพระในวัดจะแตกความสามัคคี สุดท้ายเมื่อมองไม่เห็นที่พึ่งอื่นแล้ว จึงเดินทางไปวัดพระเชตวันเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา แต่เมื่อไปเข้าเฝ้าแล้วแทนที่จะพูดเรื่องจริง ก็ไปโกหกพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก เป็นคนมักมาก เป็นผู้ยินดีในลาภสักการะ ได้พาภิกษุไปเบียดเบียนข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์ต้องเดือดร้อน ไร้ที่อยู่อาศัย”
    พระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของพระเถระทั้งสองรูปดี จึงรับสั่งว่า “โกกาลิกะ เธออย่ากล่าวอย่างนี้เลย จงยังจิตให้เลื่อมใสในสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด” พระโกกาลิกะก็ไม่ยอมฟัง แล้วยังกล่าวไม่เหมาะสมกับพระพุทธองค์อีกว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์มัวแต่เชื่อพระอัครสาวกของพระองค์อยู่ได้อย่างไร ข้าพระองค์เห็นประจักษ์มากับตาแล้วว่า ภิกษุพวกนี้ล้วนเป็นคนมักมาก มีลับลมคมใน เป็นผู้ทุศีลทั้งนั้น” พระบรมศาสดาตรัสห้ามถึง ๓ ครั้งว่า "อย่าไปกล่าวร้ายพระอรหันต์เลย" แต่พระโกกาลิกะไม่ยอมเชื่อ ว่าแล้วก็ยังลุกจากไปโดยไม่เคารพยำเกรงต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เมื่อท่านเดินลับคลองจักษุของพระผู้มีพระภาคเจ้าไปเท่านั้น ทั่วทั้งเรือนร่างของท่าน ก็เกิดเม็ดตุ่มประมาณเท่าเมล็ดผักกาด ค่อยๆ พุพองใหญ่ขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนเท่าผลพุทรา แล้วโตใหญ่ขึ้นขนาดผลมะตูมสุก จากนั้นตุ่มก็แตกออกเป็นน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลโทรมกาย ส่งกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งออกจากตัว ท่านต้องนอนเจ็บปวดทุรนทุรายอยู่ที่ซุ้มประตูวัดพระเชตวัน ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เรื่องนี้ได้มีการโจษจันไปในวงกว้าง ตั้งแต่หมู่มนุษย์ เทวดา จนถึงพรหมโลก ว่าพระอัครสาวกทั้งสองถูกพระโกกาลิกะด่าบริภาษ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2021

แชร์หน้านี้

Loading...