ผลแห่งกรรมที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย birdkub, 16 มกราคม 2010.

  1. birdkub

    birdkub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +401
    ผลแห่งกรรมที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
    โดย วศิน อินทสระ


    เรื่องชีวิตและกรรม มีความสลับซับซ้อนมาก
    ดังพรรณนามา คนที่มองชีวิตและกรรมในสายสั้น
    จึงไม่อาจเข้าใจชีวิต และกรรมอย่างแจ่มแจ้งโดยตลอดได้
    แม้ผู้ได้ญาณระลึกชาติหนหลังได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)
    และได้ญาณรู้อนาคต (อนาคตตังสญาณ)
    แต่ได้ระยะสั้นเพียงชาติ ๒ ชาติ
    ก็ยังหลงเข้าใจผิดได้
    เพราะเห็นผู้ประกอบกรรมชั่วในปัจจุบัน
    บางคนตายแล้วไปบังเกิดในสวรรค์
    เห็นผู้ทำกรรมดีบางคนตายแล้วเกิดในนรก
    เขาไม่มีญาณที่ไกลกว่านั้น
    จึงไม่อาจเห็นกรรมและชีวิตตลอดสายได้
    ส่วนผู้มีญาณทั้งในอดีตและอนาคตไม่มีที่สิ้นสุด
    เช่น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถเห็นกรรม
    และชีวิตได้ตลอดสาย
    ทรงสามารถชี้ได้ว่า ผลอย่างนี้ๆ มาจากกรรมอย่างใด
    มีตัวอย่างแห่งกรรมมากมายที่ปรากฏในคัมภีร์
    ทางพระพุทธศาสนา
    ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า
    บุคคลนั้นๆ ได้ประสบผลดีผลชั่วอย่างนั้นๆ
    อันแสดงถึงผลกรรมที่สามารถให้ผลข้ามภพข้ามชาติ
    จะขอนำบางเรื่องมาประกอบพิจารณาในที่นี้

    ๑. ภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อจักขุบาล ท่านทำความเพียร
    เพื่อบรรลุมรรคผลจนตาบอดทั้ง ๒ ข้าง
    พร้อมกับสำเร็จเป็นพระอรหันต์
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นผลของกรรมที่เมื่อชาติหนึ่ง
    พระจักขุบาลเป็นหมอรักษาโรคตา
    ประกอบยาให้คนป่วยตาบอดโดยเจตนา
    เพราะคนป่วยทำทีบิดพลิ้วจะไม่ให้ค่ารักษา
    เรื่องนี้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบทภาค ๑ เรื่องจักขุบาล


    ๒. ชายคนหนึ่ง ชื่อจุนทะ มีอาชีพทางฆ่าหมูขาย
    คราวหนึ่งป่วยหนัก ลงคลาน ๔ ขาร้องครวญคราง
    เสียงเหมือนหมู ทุกข์ทรมานอยู่หลายวันจึงตาย
    เรื่องนี้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๑
    เรื่องจุนทสูกริก


    ๓. ชายคนหนึ่ง มีอาชีพทางฆ่าโคขายเนื้อ
    วันหนึ่งเนื้อที่เก็บไว้เพื่อบริโภคเอง
    เพื่อนมาเอาไปเสียโดยถือวิสาสะ
    จึงถือมีดลงไปตัดลิ้นโคที่อยู่หลังบ้าน
    มาให้ภรรยาทำเป็นอาหาร
    ขณะที่เขากำลังบริโภคอาหารอยู่นั้น
    ลิ้นของเขาได้ขาดหล่นลงมา
    เขาคลาน ๔ ขา เหมือนโค
    ร้องครวญครางทุกข์ทรมานแสนสาหัส
    และสิ้นชีพพร้อมกับโคหลังบ้าน
    เรื่องนี้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบทภาค ๗
    เรื่องบุตรของนายโคฆาต


    ๔. ภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อติสสะ เป็นแผลเปื่อยพุพองรักษาไม่หาย
    พระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ไปช่วยดูแลให้อาบน้ำอุ่น
    แสดงธรรมให้ฟังพระติสสะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
    พร้อมกับนิพพานในวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า
    ที่เป็นแผลพุพองนั้นเพราะชาติก่อน
    พระติสสะเป็นพรานนก จับนกขายเป็นอาหาร
    ที่เหลือก็หักปีกหักขาไว้เพื่อไม่ให้มันบินหนี
    เรื่องนี้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๒
    เรื่องปูติคัตตติสสะ


    ๕. พระนางโรหิณี ๑ พระขณิษฐาของพระอนุรุท
    พระญาติของพระพุทธเจ้า ทรงเป็นโรคผิวหนังอย่างแรง
    ทรงละอายจนไม่ปรารถนาพบผู้ใด
    เมื่อพระอนุรุทเถระมาถึงเมืองกบิลพัสดุ์
    พวกพระญาติต่างก็มาชุมนุมกัน
    เว้นแต่พระนางโรหิณี พระอนุรุทจึงถามหา
    ทราบความว่าพระนางเป็นโรคผิวหนัง
    พระเถระให้เชิญพระนางออกมา
    แล้วทรงแนะนำให้ทำบุญโดยให้ขายเครื่องประดับต่างๆ
    เท่าที่มีอยู่ แล้วนำทรัพย์มาสร้างศาลาโรงฉัน
    ท่านขอแรงพระญาติที่เป็นชาย ให้ช่วยกันทำโรงฉัน
    พระนางโรหิณีทรงเชื่อ เมื่อสร้างโรงฉัน ๒ ชั้นเสร็จแล้ว
    ทรงปัดกวาดเอง ทรงตั้งน้ำใช้น้ำฉันสำหรับพระภิกษุสงฆ์เอง
    ถวายขาทนียะโภชนียาหารแก่ภิกษุสงฆ์เป็นประจำทุกวัน
    โรคผิวหนังของพระนางค่อยๆ หายไปทีละน้อยจนเกลี้ยงเกลา
    โรคนี้เป็นโรคที่เกิดแต่กรรม ต้องเอาบุญมาช่วยรักษา
    ลดอิทธิพลแห่งกรรมจนไม่มีอานุภาพในการให้ผลอีกต่อไป
    เหมือนคนกินยาเข้าไปปราบเชื้อโรค
    วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จมาเสวยที่โรงฉัน
    ของพระนางโรหิณี แล้วตรัสให้พระนางทราบว่า
    โรคนั้นเกิดขึ้นเพราะกรรมของพระนางเอง

    ในอดีตกาล พระนางโรหิณีเป็นอัครมเหสี
    ของพระเจ้ากรุงพาราณสี
    มีจิตริษยาหญิงนักฟ้อนคนหนึ่งของพระราชา
    ได้ทำเองด้วย ให้คนอื่นทำด้วย
    คือการเอาผลเต่าร้างหรือหมามุ้ยโรย
    ลงบนสรีระของหญิงนักฟ้อนคนโปรดของพระราชา
    นอกจากนี้ยังให้บริวารเอาผงเต่าร้างไปโปรยบนที่นอน
    ของหญิงนักฟ้อนคนนั้นอีกด้วย
    หญิงนักฟ้อนคันมาก เป็นผื่นพุพองขึ้นมา
    ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส นี่คือ
    บุพพกรรมของพระนางโรหิณี
    พระพุทธเจ้าตรัสเตือนว่าพึงละความโกรธ
    ความถือตัวเสีย
    เรื่องนี้ ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๖
    เรื่องพระนางโรหิณี


    ๖. ในอรรถกถาสาราณียธรรมสูตร ภาค ๓ หน้า ๑๑๐–๑๑๒
    เล่าไว้ว่า ในพุทธกาลมีภิกษุรูปหนึ่ง มีนิสัยชอบเอื้อเฟื้อ
    เผื่อแผ่ ได้ปัจจัยอะไรมาก็แบ่งปันแก่ภิกษุอื่นเสมอๆ
    ด้วยอานิสงส์นี้ ท่านกลายเป็นผู้มีโชคดีในเรื่องลาภ
    อย่างประหลาด ในที่บางแห่ง ภิกษุอื่นไปบิณฑบาต
    ไม่ได้อาหารอะไรเลย แต่พอภิกษุรูปนั้นไป
    ปรากฏว่ามีคนมีจิตคิดทำบุญใส่บาตรให้ท่าน
    จนเต็ม ท่านได้นำอาหารเหล่านั้นมาแบ่งให้ภิกษุอื่นๆ
    จนหมด คราวหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินมีพระประสงค์
    จะถวายผ้าแก่พระทั้งวัด มีผ้าเนื้อดีที่สุด ๒ ผืน
    (คงจะเป็นผ้านุ่ง คือผ้าสบงผืนหนึ่ง ผ้าห่มคือจีวรผืนหนึ่ง)
    พระรูปนั้นทราบเข้าจึงพูดไว้ล่วงหน้าว่า
    ผ้าเนื้อดี ๒ ผืนนั้น จะต้องตกมาถึงท่านอย่างแน่นอน
    อำมาตย์ได้ทราบเรื่องนี้ จึงนำเรื่องไปทูลกระซิบพระราชา
    พระราชาเป็นผู้ถวายผ้าเอง
    ก็ทรงสังเกตผ้าที่วางซ้อนๆ กันอยู่
    พอมาถึงลำดับภิกษุหนุ่มรูปนั้น ก็เป็นผ้าเนื้อดีทั้ง ๒ ผืน
    ทั้งอำมาตย์และพระราชาต่างมองหน้ากันเป็นเชิงประหลาดใจ
    เมื่อทำพิธีถวายผ้าเสร็จแล้ว
    พระราชาเสด็จเข้าไปหาภิกษุหนุ่มรูปนั้น
    ด้วยเข้าพระทัยว่าพระรูปนั้นเป็นพระอรหันต์มีญาณวิเศษ
    อย่างแน่นอน จึงตรัสถามว่าพระคุณเจ้าได้บรรลุโลกุตรธรรม
    ตั้งแต่เมื่อไร ภิกษุหนุ่มถวายพระพรว่ายังไม่ได้
    บรรลุอะไรเลย แต่ที่รู้ว่าผ้าเนื้อดีจะต้องตกแก่ตนนั้น
    ก็เพราะท่านเป็นผู้บำเพ็ญสาราณียธรรม
    คือการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่เป็นนิตย์
    ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญมาก็ได้ผลอย่างประหลาดอยู่เสมอ
    คืออะไรที่ดีที่สุด ถ้ามีการแจกกันโดยไม่เจาะจง
    สิ่งนั้นก็ต้องตกมาถึงท่าน พระราชาทรงชื่นชมยินดี
    และทรงอนุโมทนา


    ๗. ในคัมภีร์อปทาน (อันเป็นพระประวัติที่พระพุทธเจ้า
    ตรัสเล่าถึงเรื่องในอดีตของพระองค์)
    พระไตรปิฎก เล่ม ๓๒ ตั้งแต่หน้า ๔๗๑
    พระองค์ได้ทรงเปิดเผยถึงอดีตกรรมของพระองค์
    อันเป็นเหตุบันดาลให้เกิดผลแก่พระองค์ในปัจจุบัน
    มากเรื่องด้วยกัน ขอนำมากล่าวเพียงบางเรื่องดังนี้

    ๗.๑ ชาติหนึ่ง พระองค์เป็นนักเลงชื่อปุนาสิ
    กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าสุรภี
    ผู้ไม่ประทุษร้ายพระองค์เลยแม้แต่น้อย
    ผลของกรรมนั้น ทำให้พระองค์ต้องตกนรกอยู่นาน
    ในพระชาติสุดท้ายถูกนางสุนทรีใส่ความ
    ว่าพระองค์ได้เสียกับนาง
    เป็นเรื่องอื้อฉาวมากเรื่องหนึ่งในพุทธกาล


    ๗.๒ ชาติหนึ่ง พระพุทธองค์ได้ใส่ความสาวกของพระพุทธเจ้า
    พระนามว่าสัพพาภิภู
    (พระนามของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ชื่อสาวก)
    สาวกนั้นชื่อนันทะ ด้วยผลกรรมนั้น
    พระองค์ต้องนกนรกอยู่นาน
    ในพระชาติสุดท้ายที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    จึงถูกนางจิญจมาณวิกาใส่ความว่าได้เสียกับนาง
    ในพระคันธกุฎีจนนางมีครรภ์
    เป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในพุทธกาล


    ๗.๓ ชาติหนึ่ง พระองค์ทรงฆ่าน้องชายต่างมารดาม
    เพราะอยากได้ทรัพย์เพียงผู้เดียว
    โดยผลักน้องชายลงซอกเขาเอาหินทุ่ม
    ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ในพระชาติสุดท้าย
    ที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    จึงถูกพระเทวทัตปองร้ายเอาศิลาทุ่ม
    แต่เพราะกรรมนั้นเบาบางมากแล้ว
    จึงไม่ถูกอย่างจังถูกเพียงสะเก็ดเล็กน้อย
    ที่นิ้วพระบาทเท่านั้น


    บทความนี้คัดมาจากหนังสือ
    "หลักกรรม และ การเวียนว่ายตายเกิด"
    เขียนโดย วศิน อินทสระ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ธรรมดา
     

แชร์หน้านี้

Loading...