ผิดมั้ยถ้าคิดจะทิ้งธรรมะ เพราะรู้สึกไม่ได้อะไร ไม่มีกำลังใจไปต่อ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 3 กรกฎาคม 2016.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,440
    ถึงเจ้าของกระทู้ ต่อจากที่โพสไว้ครั้งก่อนครับ


    ...จะเดินไปข้างหน้า ก็ต้องปลดพันธนาการที่ดึงไว้ข้างหลัง




    ถ้าทำอะไร แล้วพอใจแค่ความสงบ เนื่องด้วยยังไม่มีอะไรมากระทบ กับความต้องการภายในใจ ไม่ว่า ทางหู ทางตา ฯลฯ

    ชีวิต ก็ไม่ได้พัฒนาอะไร


    ยังไม่นับว่า ....เข้าถึงพระศาสนา

    เพราะ สรรพชีวิต ไม่ว่าคนหรือสิ่งใด ก็สงบได้ เมื่อยามไม่มีสิ่งมากระตุ้น ฉุด ดึง ต่อต้าน ผลักดัน ต่อความปรารถนาในใจ


    เราอาจวิเคราะห์อุปสรรค์ได้หลายประการ เช่น

    1. เหตุ-ปัจจัย จากอดีต ที่ดึงไว้ ขวางไว้ เช่น วิบากอกุศลกรรม ที่เคยขัดขวางความเจริญของชีวิตอื่น , การปรามาส ดูถูก ลบหลู่บุพการี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีบุญ ผู้มีกำลังใจสูง , เป็นต้น สิ่งนี้ อาจผ่อนคลายหรือแก้ได้ตามลำดับการรับรู้ หรือเพียรทำประจำ ด้วยการ เจริญภาวนา แผ่เมตตา แผ่พรหมวิหาร อุทิศกุศลต่อเจ้ากรรมนายเวรโดยตรง รวมทั้ง การขอขมากรรมด้วยใจจริง ลึกซึ้ง แยบคาย ว่า เห็นทุกข์โทษการกระทำเหตุไม่ดีต่างๆแล้ว ตังสัจจะอธิษฐานว่า ไม่ทำต่อไป

    .....หาก มีกำลังของผู้มีบารมีสูงมาช่วย ก็จะได้ผลเร็ว และมีคุณภาพ เช่น นึกน้อมด้วยความเคารพ ขอท่านช่วยเป็นคนกลางนำบุญกุศลที่เราทำดี ภาวนา แผ่กุศล ไปถึงเจ้ากรรมนายเวรที่ขัดขวางความเจริญของชีวิต เป็นต้น



    2. การไม่มีสติ-สัมปชัญญะ แยบคาย สุขุมพอเพียง ที่จะ พิจารณาเหตุปัจจัยในชีวิตประจำวัน ที่มีการขัดแย้ง


    เราสามารถเปิดใจกว้าง เก็บข้อมูลแม้ในมุมมองของคนที่ต่างจากเรา เพื่อเข้าใจเค้า
    และสามารถหาเหตุผลมาพูดคุย หาจุดสรุปในแต่ละเรื่อง แต่ละรายละเอียดได้ โดยให้เค้าจำนนต่อเหตุผล และยอมรับในความเป็นผู้ใหญ่ ที่มีมุมมองที่เค้าเข้าไม่ถึง เป็นต้น


    สภาพแวดล้อมสังคมยุคปัจจุบัน เป้นตัวสร้าง และ เสริม ให้คนรุ่นใหม่ มีความทะยานอยากจะให้สิ่งที่ต้องการ ให้มีความสำเร็จลุล่วงโดยเร็ว

    แม้จะมีข้อมูลมากมาย ในโลกออนไลน์ทีจะนำมาคุย มาเป็นเหตุผลในการนำไปสู่ความสำเร็จหลายๆเรื่อง

    .....แต่ว่า หากขาด การควบคุมภายในด้วยสติ-สัมปชัญญะ ที่จะพิจารณาทุกเรื่องราว
    โดยไม่ให้ความทะยานอยาก กระตุ้นเร่งเร้า ......ทุกอย่างที่เค้าเปิดทางให้ อาจจะล้มเหลวเร็ว และเจ็บหลายๆด้าน


    .....ถ้าอ่านช้าๆ จะเข้าใจว่า ทำอย่างไรบ้าง ที่จะทำให้เค้าโอนอ่อนผ่อนปรน ให้โอกาสเราที่จะได้ทดลองตามความคิดบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 กรกฎาคม 2016
  2. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ตอบคุณ นพกานต์

    ปรางยึดทิฏฐิมากเลยว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้า และไม่ยอมรับความจริงดังที่ท่านกล่าวมาเลย คือเหมือนความรู้ด้านสัญญาทางธรรมไม่ได้ช่วยขัดเกลาปรางเลย ถ้าปรางไม่ตั้งใจเจริญสติทางธรรมอย่างจริงจัง เป็นขั้นตอนทั้งทานและศีลประกอบกันด้วย
     
  3. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ใช่ค่ะ คำตอบที่ปรางจะตอบก้อเหมือนที่ตอบคุณนพกานต์ ปรางยอมรับสภาพความจริงไม่ได้ จึงดิ้นรน
     
  4. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ตอบคุณนิวรณ์และคุณนางสาวอยู่จ้ะ เนื่องจากปรางไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริง ปรางจึงเลี่ยงการกำหนดรู้ทุกขสัจค่ะ
     
  5. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ตอบคุณนักรบเงา ปรางไม่ทนต่อขันติค่ะ คือไม่เอาเลยแม้นิดเดียว ซึ่งตรงนี้แหละเป็นข้อเสีย ทำให้ความเพียรที่สร้างมาในการภาวนาต้องพังลง เพราะมีอะไรมากระทบนิดเดียว ปรางก้อขยายใหญ่โตให้เรื่องราวบานปลาย วุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำมาก
     
  6. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    (เขียนตามความเข้าใจของตัวเอง)

    ตามหลักกฏแห่งกรรมแล้ว มนุษย์และสัตว์โลกทุกชนิด เกิดมาเพื่อเสวยผล
    แห่งกรรมที่ตนเคยกระทำไว้ในอดีต
    การที่คนเรามีความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเพราะเขาเคยทำชั่วไว้ในอดีต
    นั่นเอง และปัจจุบัน กรรมชั่วกำลังส่งผล จึงทำใ้ห้เกิดความทุกข์เดือดร้อน
    ตัวเขาจึงเปรียบเสมือนนักโทษที่ต้องจองจำไว้ด้วยกฏแห่งกรรมนั้น
    การที่ใครก็ตาม คิดไปช่วยเหลือบุคคลๆนั้น อุปมาไม่ต่างกับช่วยเหลือนักโทษหลบหนีคดี ผู้ลงมือช่วยเหลือต้องมีความผิดในฐาน ขัดขวางกฏแห่งกรรม

    ดังนั้น จึงไม่มีทวยเทพใดๆยินยอมยื่นมือช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์เพราะผลแห่งกรรมของตน ยกเว้นก็แต่
    -ทำเพื่อทดแทนหนี้บุญคุณในอดีต
    -เคยมีกรรมร่วมกันมา หรือมีความผูกพันฐานญาติมิตร ศิษย์อาจารย์
    -บุคคลผู้นั้นมีคุณงามความดีสมควรแก่การช่วยเหลือ หรือแน่ใจว่า เมื่อลงมือช่วยเหลือแล้ว ต่อไปเขาจะสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่คุ้มค่ากว่า และตนเองก็จะพลอยได้รับส่วนบุญกุศลไปด้วย

    ดังนั้น การช่วยเหลือผู้ใดๆ ที่เป็นการช่วยฟรีนั้น ต้องพิจารณาโดยรอบคอบว่า
    เขาเป็นผู้สมควรแก่การช่วยเหลือหรือไม่ เช่นเป็นผู้ใกล้พ้นกรรมแล้ว เคยมีกรรมร่วมกัน หรือ เขาเป็นคนดีที่ควรแก่การช่วยเหลือ
    หากไม่พิจารณาดูให้ดี ทำการช่วยเหลือโดยเปะปะ ตนเองก็จะเกิดความเดือดร้อนเอง เพราะไปขวางกฏแห่งกรรมที่กำลังให้ผลกับคนอื่น

    ส่วนพวกหมอ พยาบาล ที่รักษาผู้ป่วย โดยคิดเงินค่ารักษานั้น ไม่ต้องมีความผิด โดยฐาน ขัดขวางกฏแห่งกรรม เพราะเป็นการทำดดยหน้าที่
    และไม่ได้ทำให้ฟรีๆ
    จุดประสงค์ของกฏแห่งกรรม(ความชั่ว)คือต้องการให้ผู้ก่อกรรมได้รับความทุกข์
    (จากการเจ็บป่วย) พวกหมอ แม้จะมีหน้าที่รักษาผู้ป่วย ช่วยให้บรรเทาทุกข์ลงมาได้
    แต่พวกหมอก็คิดค่ารักษาพยาบาลในราคาที่แพง(ผู้ป่วยพ้นจากทุกข์คือความเจ็บป่วย แต่ต้องมาทุกข์เพราะการเสียทรัพย์และมีหนี้สิน)
    ตรงจุดนี้เอง ที่ทำให้พวกหมอ กลายเป็นเครื่องมือของกฏแห่งกรรมอย่างหนึ่ง
    สำหรับเล่นงานผู้ป่วย ดังนั้นพวกหมอที่ช่วยรักษาผู้คนแล้วคิดเงิน
    จึงไม่มีความผิดในฐานขัดขวางกฏแห่งของใคร

    กรณีของหมอดูอีทีก็ไม่ต่างกัน
    การทำนายทายทักอนาคตของคน โดยคิดค่าดูแพงๆ ทำให้หมอดูคนนี้
    ไม่ต้องมีความผิดในฐานขัดขวางกฏแห่งกรรมของใคร เพราะเขาไม่ได้ดูให้ฟรี
    แต่ผู้ที่มาดูกับเขาต้องเสวยทุกข์จากเสียเงินที่มาดูหมอกับเขา
    ก็ถือว่าเป็นการรับผลกรรมโดยอ้อมอย่างหนึ่ง(ทุกข์เพราะเสียทรัพย์)

    จะเห็นได้ว่า ต่างกับการดูให้ฟรีๆ
    เพราะการดูให้ฟรีนั้น เป็นการบอกให้เขารู้อนาคต
    และเปลี่ยนอนาคต เป็นการขัดขวางการให้ผลของกรรมอย่างแรง
    คนที่ลงมือขัดขวางจำเป็นมีความผิดและรับโทษทัณฑ์ไปด้วย

    แต่ถ้าปฏิบัติตัวให้เป็นเครื่องมือของกฏแห่งกรรมซะ ความผิดข้อนี้มันจะเบาบางลง หรือไม่มีอีกต่อไป
    ก็เหมือนพวกหมอตามโรงพยาบาล ที่รักษาคนไข้โดยไม่มีโทษในฐานขัดขวางกฏแห่งกรรมนั้นแหละ เพราะเขาไม่ได้รักษาฟรี
    แต่เขาทำหน้าที่ของหมอ(รักษาคนไข้) และทำหน้าที่เป็นเครื่องมือของกฏแห่งกรรม(คิดเงิน/ทำให้ผู้มารักษาต้องเป็นทุกข์จากการเสียเงินหรือต้องเป็นหนี้สิน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2016
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เนี่ยะ

    การปรารภแบบนี้ เขาเรียกว่า ปรารภความเพียร

    การปรารภแบบนี้ ในทางปฏิบัติ นักปฏิบัติ เขาจะถือว่า กำลังยกการปฏิบัติ
    แล้ว ยกได้ผลด้วย


    การยกความเพียร ชื่อมันก็บอกว่า เป็นเรื่อง การกระทำ การทำความเพียร
    ไม่ใช่การ ถึงผล เอาผล ....เราเน้น มรรคจิต

    ส่วนเรื่อง ผลจิต จะเป็น อนัตตาธรรม ให้ประจักษ์ภายหลัง เมื่อ ปรารภ
    ความเพียรเนืองๆ



    ทีนี้ ฟังดีๆ


    ให้ไปทำงาน อะไรก็ได้ แล้วแต่จะ ตัดสินใจ .....จะล้มเหลว หรือ สำเร็จผล
    เหล่านั้นเป็นเรื่อง โลก ทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับ ธรรมะ


    ธรรมะ จะเป็นสิ่งที่ เคียงคู่ไม่ห่าง ผู้ปรารภความเพียร

    เมื่อออกไปทำงาน จมโลกอยู่ ก็รู้อยู่ว่า ไม่ได้กำหนดรู้ทุกขสัจจ นั่นแหละ
    สุดยอดการรู้ .....รู้ชัดๆ ก็จะ เห็นธรรม ฉับพลันได้
     
  8. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ตอบคุณนักรบเงาอีกครั้ง

    ปรางขอขมาพระรัตนตรัย และอุทิศบุญเสมอ เมื่อสวดมนต์ ส่วนงานปรางก้อตกลงจะทำเบเกอรี่ด้วย(ยอมแม่) เพราะแม่ก้อสนับสนุนปรางมากกว่าพ่อ คือพ่อจะบีบคั้นหนักกว่า และแม่จะเกรงพ่อ ปรางโดนต่อว่าเพราะระยะหลังขี้เกียจมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ขยันช่วยขายแกงและทำงานบ้านสุดๆ จนมีคนอยากฝากงานให้เยอะมาก แต่ปรางเคยเป็นลูกน้องคนอื่นแล้วไม่มีความสุข เพราะแต่ละองค์กรมีกฏระเบียบ ปรางรักความเรียบง่ายอิสระ ปรางคิดว่าจะพยายามเลิกทำตัวซึมเศร้า กลับมาขยัน เพื่อให้ที่บ้านยอมให้เราทำธุรกิจเครือข่าย ถ้าปรางแข็งตลอดก้อไม่ดี เพราะแม่ก้อสนับสนุนอยุ่ แต่เพราะพ่อ.. แม่จึงลำบากใจ เรื่องครอบครัวพูดยากละเอียดอ่อนค่ะ
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไม่ต้องไป เพียร แบบ ยอสรตรอย

    ทำสมาธิ เข้าหาธรรม ไม่ห่าง อ่านตำรามากล่าวว่า เท่านี้ถูก อย่างอื่นเปล่า

    เสร็จแล้ว ก็ เอาแต่ ปรารภ การแช่งชัก หักกระดูก การท้าทายประลองธรรม
    ถวายเป็น พุทธบูชา

    ประหักประหาร สหธรรมิก เป็น พุทธบูชา ....... ร้อยปี ก็ได้แต่ห่างไป
    สี่เซ็นติเมตร เฮียรับทาน


    สู้เจ้าของกระทู้ รู้ซื่อๆ รู้ด้วยใจเป็นกลาง ไม่ได้กำหนดรู้ทุกขสัจจ ก็รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
    เนืองๆ สัมมาสมาธิ ปรากฏ ได้ ไว กว่า พวก แช่งชักหักกระดูกถวายเป็นพุทธบูชา ปฏิบัติบูชาหลายเท่า
     
  10. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    คุณนิวรณ์ตอบดีมากค่ะ ฉลาดในโวหารมากๆ ช่วยแก้ปัญหาให้ปรางไม่ต้องจมทุกขแบบโง่ๆ คือหมกมุ่นย้ำคิดวนไปวนมา
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    ธรรมะ ของพระพุทธองค์ เป็นของ คนรู้เร็ว ไม่ใช่รู้ช้า

    เป็นของคนมี ปัญญาดี ไม่ใช่ปัญญาทราม

    เมื่อกำหนดรู้ การปรารภความเพียรได้ ถูกส่วน

    ให้สังเกต ใจ ที่มัน ห่างจาก ทุกข์

    แล้ว สังเกต สภาพความ เบิกบาน ตื่น รู้ ที่พึ่งเกิดขึ้น ดับไป [ ซึ่ง มีการเห็น ทุกข ตามความเป็นจริง อยู่ ไม่ใช่ไม่เห็น จมภพ จมโลก]

    ดับไปนะ ไม่มี ค้างเติ่ง

    ที่ดับไป ไม่ค้างเติ่ง หากกำหนดรู้ ทัน โดยตลอด จะเกิด
    การ วนซ้ำใน พุทโธ จิตมีพุทโธ จิตมีบริกรรมพุทโธ เข้ามาทันที

    เกิด ดับ

    เกิด ดับ

    แล้ว เหตุของการเห็นได้อย่างนี้ คือ การปรารภความเพียร ไม่ใช่ กิจอื่น
     
  12. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ใช่ นี่แหละหนทางเสวยวิมุตติสุข
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    การ ปรารภความเพียร จะมี ธรรมสองอย่าง เป็น อุปการะ

    คือ สมถะ

    กับ วิปัสสนา

    ทั้ง สมถะ และ วิปัสสนา ไม่ใช่ สภาวะเข้าไปเห็น สัมมาสมาธิ เห็นหนทางวิมุตติ

    แต่ สมถะ และ วิปัสสนา เป็น อุปการะธรรม หาก ไม่มีสองตัวนี้ ไม่ได้
    บริหารจิตเอาไว้ ก็ไม่มี ฐานนะ จะอ้างว่า ปรารภความเพียรอยู่


    สังเกตุ การเอื้อกัน การเป็นอุปการะธรรม ไว้ให้ดีๆ

    อย่าไป ขยุ้มรวมกัน เหมือน ปุถุชน ที่ไม่เคยสดับ ไม่เคย กำหนดรู้ทุกขสัจจ
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    [​IMG]

    ถ้าปรารภ ความเพียรถูกส่วน

    สังเกตุเลย

    จะกุศลา ก็ ธัมมาปฏิบัติ ได้

    จะอกุศลา ก็ ธัมมาปฏิบัติ ได้

    จะ อัพพยากตา ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เอนไปไม่เอนมา ตั้งมั่น ก็เอามาปฏิบัติได้

    ไม่ใช่ เอาจิตตั้งมั่น นะ เพราะ ทุกอย่างต้อง สอนการเกิด ดับ ให้เรา นมสิการ ไตรลักษณ์ญาณไม่ทิ้ง ธรรม
     
  15. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    แหมมม ยอหน่อย ลอยเลยนะ
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    คนอื่น จะเฮียอย่างไร ไม่ต้องไปใส่ใจ

    ให้ กำหนดรู้ลงไปที่ใจ มีความจริงใจต่อ การ สมาทานธรรมปฏิบัติ ไหม

    ถ้ามี ก็ได้ชื่อว่า ไม่ทิ้งธรรม


    แล้ว หนทางนี้ ไม่มีเรื่องตัวบุคคล ใครเก่ง ไม่เก่ง

    เพราะ ตราบใด มีความเพียร จิต นั้นๆ จะต้องถึง ฝั่ง เหมือนกันหมด ทุกประการ
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไหนๆ ก็ ไหนๆ และ เดี๋ยวไม่จบกระแสธรรม

    ว่ากันไปแล้วเรื่อง " ความเพียร "


    " จิตใดมีความเพียรก็รู้ ไม่มีความเพียรก็รู้ " นั่นแหละ สุดยอดความเพียร

    เพราะ การถึงฝั่ง พระพุทธองค์ตรัสไว้

    " เราไม่เพียร ไม่พัก จึงถึงฝั่งได้ "

    แต่ถ้า ยังเพียรอยู่ หรือ แม้นแต่รู้ว่าไม่ได้เพียร จะ ตำหนิตัวเอง ยังไม่ได้เลย
    เพราะ คนที่เห็นความเพียร ย่อมชื่อว่า ไม่ประมาท และ มารไม่อาจสบช่อง
    จะตำหนิตน ยังทำไม่ได้ ถ้าคนๆนั้น เพียรอยู่ก็รู้ ไม่เพียรอยู่ก็รู้
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,440

    มีเรื่องจริงของคนหลายคน ที่คล้ายคุณตรงโพสนี้ และหลายคนในนั้น ได้ใช้วิธีที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์แนะนำ

    คือ ต่ระหนักดีว่า กำลังตนนั้นน้อยนิด ทุกครั้งที่ไหว้พระสวดมนต์ หรือ ทุกครั้งที่นึกได้

    จะกำหนดถึงหลวงปู่(.....) ซึ่งเค้าเชื่อมั่นว่าคือมหาโพธิสัตว์่บารมีเต็ม นึกเอาด้วยใจเคารพศรัทธา เช่น ขอกำลังและบารมีหลวงปู่ เชื่อมกำลังพระรัตนตรัย กำลังพระจักรพรรดิ กำลังแห่งความดีงามทั้งหลายที่รักษาโลกไว้ให้เป็นสุข เชื่อมรวมกับความดีงามที่ข้าพเจ้าเพียรกระทำมาจนถึงขณะนี้

    ส่งผ่านไปถึง...ทุกชีิวิต ทุกรูปนาม ไมว่าจะเป็นเทวดา เทพ พรหม สรรพวิญญาณในภูมิใดก็ตามที่รักษาและอยู่กับรุปนามของบิดาข้าพเจ้า ขอให้ท่านอโหสิกรรมต่อบิดา มารดา และข้าพเจ้าในทุกอกุศลกรรมที่มีต่อกัน ขอให้ดลจิตดลใจบิดาข้าพเจ้า ให้เป็นผู้น้อมเข้าสู่ธรรมอันดีงาม ยิ่งๆขึ้น ให้ครอบครัวเราเข้าใจกันและอยู่เป็นสุข พากันเข้าสู่กระแสธรรมยิ่งขึ้น

    ...ลูกขอกำลังหลวงปู่(....) แสดงภาพความจริง ที่เป็นเหตุให้ครอบครัวเราและสรรพวิญญาณทั้งหลายที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ต้องวนเวียนทำอกุศลกรรมต่อกัน ให้เค้าได้เห็น และ เห็นโทษภัยที่ต้องผูกพยาบาทต่อกัน เมื่อเห็นแล้วขอให้จิตใจอ่อนลง ยอมอโหสิกรรมต่อกัน และ.....

    .....อนุญาตให้มาร่วมอนุโมทนา ต่อทุกความดีที่ข้าพเจ้าและครอบครัวได้กระทำ จนกว่าจะตายไปในภพชาตินี้ ด้วยเทอญ

     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,220
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,106
    ค่าพลัง:
    +70,440
    เปลี่ยนเจ้ากรรมนายเวรภายนอก ให้มาเป็นสหธรรมมิค

    เมื่อทำตามวิธีการที่โพสไว้ ตามโพสก่อนหน้านี้

    เพียรทำ จนชิน

    ความเปลียนแปลงในทางที่ดี จะมีขึ้น

    ช้า เร็ว ต่างกันตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน ( แต่เราจะไม่รอไม่คาดหวังเหตุปัจจัยจากอดีต เราจะทำให้มากในปัจจุบัน )


    .....คนจำนวนมาก มองข้ามจนเป็นปกติ ว่า คนทีี่ใกล้ตัวที่สุด เรารักที่สุด และเราทำอะไรเค้าไม่ได้ นั้น อาจเป็นเจ้ากรรมนายเวร ที่ผูกกันมา
    มีทั้งรัก และ ไม่พอใจ

    แต่เรา จะเปลี่ยน กำลังด้านลบ ให้เป็นกำลังบวกที่จะเสริมซึ่งกันและกันได้


    ด้วยพุทธวิถี และ วิธี ที่ทรงสั่งสอนไว้ดีแล้ว
     
  20. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ผมขอถามคุณ นิวรณ์ หน่อย
    สำหรับ กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา นั้น ผมพอเข้าใจ
    แต่สำหรับ อัพยากตา ธัมมา นี้เป็นธรรมแบบไหน ?
    การคิด และการกระทำแบบไหน จึงเป็น อัพยากตา ธัมมา ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...