ฝันไปถึง เมืองบังบด เมืองผี แดนลับแล แล้วแต่จะเรียก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jarujun, 21 มกราคม 2015.

  1. veer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +356
    ติดตามครับ
     
  2. aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ขอถามนอกเรื่องนิดนึงเกี่ยวกับชัมบาลาของธิเบต(บางทีก็เรียกจัมบาลา) มีใครเคยไปเที่ยว(ทางจิต) หรือมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างครับ ที่อยากทราบเพราะเกี่ยวข้องกับอดีตชาติของผมตามที่เพื่อนเล่าจากความฝันให้ฟังว่า เพื่อนท่านนั้นเคยพาผมไปที่นั่นในยุคสมัยลามะธิเบตนิกายหมวกแดง ซึ่งดูเหมือนสถานที่อยู่อาจเป็นวัดหรือวิหาร ที่อยู่บนภูเขามีบันไดทอดขึ้นไป ด้านล่างของภูเขามีลำน้ำไหลผ่าน เพื่อนเรียกที่นั่นว่าชัมบาลา ตอนที่มาชวนผมไปนั้นเพื่อนเหาะมาหาแล้วให้เกาะหลังหลับตาพาเหาะขึ้นไป ผมเป็นวัยรุ่นธรรมดาอยู่นะตอนนั้น และเพื่อนชาตินั้นมีอายุใกล้เคียงกันด้วยแต่มีฤทธิ์อภิญญาเหาะได้

    แต่ในปัจจุบัน ชัมบาลากลายเป็นปริศนาว่า อาจเป็นสถานที่ลึกลับ หรือเป็นเมืองลับแล หรือเป็นเมืองที่สร้างด้วยเวทมนต์ จึงหาข้อสรุปที่แน่นอนไม่ได้เสียทีและไม่รู้แน่ว่าอยู่ที่ใด
    มีท่านใดพอจะทราบเรื่องราวของที่นี่บ้างหรือไม่ครับ
     
  3. center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,717
    @ คุณ Aries.
    Center - in - center ไม่มีประสบการณ์ อะไรมากมาย
    ที่จะมาเล่าให้ฟัง..จ้า.
    ..รอฟัง รออ่าน ข้อมูล ความรู้ จากท่านผู้รู้ หลายๆคน ไปเรื่อยๆ
    ครับ..
    ..สา..ธุ
     
  4. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    เรื่องไม่เครียดก็มีเยอะ

    แต่ที่เยอะกว่าก็เรื่องเครียด

    ตายอนาถอีกต่างหาก
     
  5. บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013
    การเลี่ยงบาลี เป็น ''ข้ออ้าง'' หรือ ''ข้อแก้ตัว'' ไปคิดเอานะครับ
    ไม่ต้องตอบประเด็นนี้..เพราะความจริงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรครับ..
    เป็นนิสัยส่วนบุคคล.ควรรู้เองได้ว่าควรจะให้เกิดหรือไม่ให้เกิดขึ้น
    กับจิตของเรา..ถือว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่ขอพูดถึงนะครับ...


    พวกวิชาพิเศษนั้น นับคนได้ครับ.ที่จะรู้ว่าประโยชน์จริงๆคืออะไรครับ..
    ส่วนมากก็จะมาเล่าเชิงเป็นนิทานบ้าง เรื่องเล่าบ้างไปต่างๆนาๆ
    แต่ก็ยังความศรัทธาในเรื่องบาปบุญคุณโทษให้เกิดขึ้นได้
    ทำให้บุคคลต่างๆมีจิตใจโน้มเข้าหาความดีได้..เพราะทราบว่า
    โน้นนี่นั้นมีจริง สัมผัสได้นะ เห็นได้นะ...แต่จำเอาไว้อย่างหนึ่งนะครับ.
    .ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เรายังมองเห็นเป็นภาพได้.
    นั่นแสดงว่ามันยังมีสัญญาการปรุงแต่งร่วมด้วยอยู่
    ไม่ว่าจะมาจากภายในดวงจิตเราเอง และจากสัญญาที่มาจากดวงจิต
    หรือจากพลังงานภายนอก..เพราะฉนั้นเป็นไปได้..ถ้าจิตมันจะไปรับรู้
    จากสัญญาเดิมจากตัวจิตเราและไปเชื่อมกับสัญญาภายนอกจนสามารถ
    สร้างขึ้นมาเป็นภาพได้แล้วนั้น..ก็ปล่อยให้มันรับรู้ไป แต่ว่ารู้แบบไม่ยึดครับ..
    ถ้าเมื่อไร..จิตเกิดเข้าไปยึดกับการเห็นพวกนี้..นอกจากว่ามันจะตัดความ
    สามารถของเราในการพัฒนาจากการรู้เห็นของเราเองแบบที่ทำให้คนอืนๆ
    เห็นและสัมผัสแบบเราไม่ได้..ไปสู่การพัฒนาไปสู่เรื่องกำลังจิต เรื่องความ
    สามารถในการรับรู้และสัมผัสพลังงานภายนอกได้ด้วย..และจะทำให้เรา
    เอ๊ะอะอะไรก็ ฉันรู้สึกว่า ผมรู้สึกว่า
    เหมือนๆให้คนหลายๆคนมายืนมองก้อนหินแล้ว
    ถามว่าคนอื่นๆว่ารู้สึกอย่างไรนั่นหละครับ..
    มันไม่เหมือนกับการที่เอาก้อนหินก้อนนั้นๆให้ทุกๆคนได้จับ
    แม้จะอธิบายไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร พูดกันคนละภาษา..
    แต่เรื่องความรู้สึกที่สัมผัสได้ก็จะเหมือนกัน.พอเข้าใจนะครับ..
    และก็นับคนได้ครับ.ที่จะพัฒนาจนสามารถสร้างให้จิตมีกำลังจิตได้ครับ..
    เพราะอะไรนั่นหรือครับ...เพราะสอบไม่ผ่านนั่นเองครับ..คุณก็เป็นคนหนึ่ง
    ที่สอบตกแบบร้อยเปอร์เซนต์เต็มครับ...
    การที่เรารู้เห็นได้คนเดียวแบบภายในนั้น..
    ถามว่ามีใครเค้ารู้เห็นได้แบบเราบ้าง

    ไปที่เดียวกัน สถานที่เดียวกัน ถาม ๑๐ คนก็รู้สึกไม่เหมือนกัน
    บางคนเห็นเป็นสีโน้น สีนี่ แตกต่างกันไปตามสัญญาในตัวจิต
    ถามว่าเราไปจับต้องได้ไหม สามารถทำให้จับต้องได้ไหมครับ
    และสัมผัสแบบเราได้ไหมครับ.เอ๊ะอะก็อีหรอบเดิมคือ ฉันรู้สึก
    ฉันสัมผัส ผมเห็นได้ ผมเห็นอย่างนั้นอย่างนี้.มันก็เป็นผมเห็นฉันเห็น
    ไอ้ตัวผมเห็นฉันเห็นนี่หละครับ ที่เป็นสัญญาที่อยู่ในจิตฉันจิตผม..
    เพราะฉนั้นถ้าอยากจะพัฒนามากกว่านี้ต้องตัดสัญญาความจำได้ใน
    จิตตรงนี้ออกไปให้หมด..จิตถึงจะพัฒนาเข้าสู่ในเรื่องของพลังงาน.
    ง่ายก็คือพลังงานที่เป็นบุญ เป็นบาป เป็นกุศลหรืออุกศล ทั้งหลายนั้นหละครับ..
    เพราะฉนั้นจึงไม่แปลกแม้ฉันแม้ผม จะรู้เห็นพิศดารล้ำลึกอลังการงานสร้างขนาดไหน
    ถ้าดวงจิตที่ไม่มีศรัทธาและดวงจิตที่ยึดมั่นในความคิดตัวเองหรือที่เราเรียก
    ว่าจิตใจคับแคบนั้น..เค้าจะกล่าวถึงคุณถึงฉันถึงผมในทางอกุศลต่างๆนาๆ..
    ตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ..

    และถ้าจิตเรายังยึดติดกับสัญญาที่เป็นภาพต่างๆอยู่..ก็จะทำให้เราเผลอคิดว่า
    การที่เราเห็นได้นั้น สัมผัสได้นั้น มันเป็นเรื่องวิเศษวิโส เป็นเรื่องยิ่งใหญ่..
    ทั้งๆที่ตัวจิตของเรา มันไม่มีกำลังจิตอะไรเล๊ยยยยยยย ทำอะไรที่ให้บุคคล
    อื่่นๆสัมผัส ก็ไม่ได้ เรียกเป็นพลังงานต่างๆนาๆก็ไม่ได้..ใช้ประโยชน์ที่เป็น
    รูปธรรมต่างๆนานาก็ไม่ได้..มีแต่จะเอามาเล่าว่าเห็นโน้นเห็นนี่ได้..และก็มันจะ
    ทำให้เราลืมไปเรื่องหนึ่ง อย่างคาดไม่ถึงก็คือ..แม้ว่ามันจะดูไม่ยึดสังเกตุเอานะครับ
    แต่มันจะเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง เค้าเรียกว่า กิเลสธรรม จิตเรามันจึงไม่เน้นที่จะมา
    เจริญสติเพื่อสร้างสติทางธรรม ไม่เน้นที่จะมาวิปัสสนาเพื่อที่จะลดละคลายกิเลสในใจ
    ของเราให้มันคล่อยๆคลายลงไป จนกระทั่งมันไม่มีเป็นปลายทางสุดท้าย...
    และก็เห็นตัวอย่างมาหลายแล้วประเถทว่าตนมีวิชาพิเศษชนิดเปิดบ้าน
    สอนคน เปิดรับดูโน่นดูนี่ พอเจอพวกหมอธรรมมีกำลังจิตแซะเอาหน่อย
    ขาหัก แขนหัก ชนิดเดินแบบธรรมดาอยู่ และนอนไอซียูมาหลายรายแล้วครับ
    อย่างคุณเค้าอ่านจิตออกว่า ยังไม่มีกำลังจิตพอที่เค้าจะมาทดสอบกับคุณ
    ให้เสียเวลา.และอีกกรณีพวกนั้นเค้ายังไม่หมั่นไส้คุณ..คุณจึงยังไม่เป็นอะไร
    ..และจะหวังเอาแค่ว่า ฉันเห็นได้ ผมเห็นได้ ฉันสัมผัสได้ ฉันรับรู้ได้ แล้วก็มาปลงๆๆๆ
    ในใจ..ถามว่าไอ้ปลงๆ ดูๆเห็นๆ ตัวจิตมันตัดได้จริงๆไหมครับ..ไม่งั้นห่มเหลืองมี
    ชื่อท่านจะเน้นให้ท่านๆ มาวิปัสสนาตัดร่างกายกันทำไหมนี่มันเป็นประเด็นหลัก
    ที่ท่านเน้น..แต่ก็อย่างว่าหละครับ..เรามันก็มัวแต่มาเฝื่อ คอยจะเล่าแต่การรู้การเห็น

    อย่างนั้นอย่างนี้..แล้วก็สรุปเอาอย่างนั้นอย่างนี้ ในเรื่องพลังงานต่างๆ..ทั้งๆที่
    วิชาพิเศษอย่างนี้.มันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจในเรื่องพลังงานได้..
    เพราะเราเผลอไปยึดมันถือมันกับการออกไปเห็น..ทั้งๆที่ออกไปแบบไม่มีตัวสติ
    ในการควบคุม ถ้าเรามีกำลังสติมากพอ ตัวสติมันจะตามตัวจิต ไปตั้งแต่ก่อนที่มัน
    จะออกไปแล้ว และไปไหนก็ไปด้วย..ไม่ใช่ว่าไปถึงแล้วยังไม่รู้เลยว่าที่ไหน
    และก็ไปได้อย่างไร มาได้อย่างไร..และก็ยังจะหลงตัวเองไปว่า ฉันไปได้ ผมไปได้
    ทั้งๆที่ ไปตามสัญญาในจิตทั้งนั้นและก็ไปแบบกำลังสติมันน้อย..เผลอๆคิดว่าตน
    มีเครื่อ่งรู้พิเศษอีก บางคนหนักไปกว่านี้คินว่าตัวเองบรรลุโน้น
    บรรลุนี้เป็นจิตระดับโน้นระดับนี้.ยิ่งจะไปกันใหญ่ ประเด็นนี้อ่านให้ดีๆนะครับจะเข้าใจ..
    และด้วยการที่เราไม่สร้างให้จิตมีกำลังจิตมาก่อน มีเพียงแต่เครื่องรับรู้ภายในแบบ
    ใช้ประโยชน์ทางธรรมและก่อให้เกิดประโยชน์กับบุคคลอื่นๆไม่ได้ แล้วยึดติดกับ
    การรู้เห็นแบบที่คิดเอาเองว่า มันพิศดาร โดยไม่รู้ตัวว่า แท้จริงกำลังสติทางธรรม
    เรามันอ่อนนั้น.เลยไม่สนใจเรื่องเดินปัญญาลดละกิเลสอย่างประกอบด้วยความเพียร
    ..เราจึงไม่มีเครื่องรู้ในเรื่องของการที่จะต้องใช้ วิชาพิเศษอย่างนี้เป็นฐานร่วมกับ
    กำลังจิต..เราจึงสรุปเอาเอง ว่าเวทมง เวทมนต์ ต้องประกอบด้วยพื้นฐานจาก
    ธาตุทั้ง ๔ ทั้งๆที่จิตเราเองก็ทำไม่ได้..ไม่เข้าใจในเรื่องของพลังงานเลยมองว่า
    จิตดวงนั้นดวงนี้ มันแยกได้หลายที่หลายเวลา เพราะไม่รู้ในเรื่องที่เป็นปกติ
    ของพลังงานว่ามันเหนือคำว่ามิติและเวลาไปแล้วนั่นเอง..และยิ่งแล้วไปกันใหญ่
    ยังไม่เข้าใจในเรื่องของ กายวัชระเพราะไม่เข้าใจเรื่องพลังงานภายนอกร่วมด้วย..
    อย่าลืมนะครับ ดวงจิตถ้าไม่มีกาย มันจะเหลือแค่ สัญญากับเวทนานะครับ..

    ระลึกไว้ด้วย..ให้ลองคิดเอาเอง..คนต่างที่ต่างถิ่นจึงเห็นและรับรู้แตกต่างกันไป..
    ดวงจิตจึงต้องรับผลไม่ว่ากุศลหรืออกุศลแตกต่างกันไป..ที่ปรุงแต่งทั้งหลายก็มา
    จากเครื่องรับรู้ที่เราเรียกว่า วิญญาน แล้วปรุงแต่งที่เราเรียกว่า สังขาร ที่มันมีอยู่
    เฉพาะในดวงจิตที่มีร่างกายเท่านั้น..อ่านแล้วถ้าจับใจความได้.จะเข้าใจว่า
    ทำไมถึงบอกว่า ปล่อยให้รับรู้และไม่ต้องไม่ยึดครับ...
    ส่วนเรื่องพระก็อีกเช่นกัน..ก็ยังคงติดแต่ในเรื่องเครื่องรู้แบบภายในอีก.
    ยังไงๆก็ไม่พ้นเรื่องการเห็นด้วยภาพ..ซึ่งมันจำเป็นจะต้องมีแต่ไม่ใช่สิ่ง
    สำคัญครับ..ไอ้พวกการชงการเชิญทั้งหลายนั้น..แท้จริงเป็นเรื่องของ
    การสร้างต้นกำเนิดพลังงานให้มีกำลังเพียงพอ บวกกับพลังงานจากตัว
    จิตของผู้ที่ครอบครอง..เพื่อให้มีกำลังงานเพียงพอที่จะเชื่อมกับต้นพลังงาน
    ของผู้ที่ปลุกเสกพระเครื่องครับ..และต้นกำลังงานตรงนี้มันจะมีอยู่แล้วเป็นปกติ
    เพียงทั่วๆไปเราขาดการสร้างให้ตัวจิตมีความสามารถในเรื่องการสร้างกำลังจิต
    เพื่อให้เกิดพลังงานจากตัวจิตออกไปเชื่อมกับพลังงานภายนอกที่มีอยู่แล้ว
    เป็นปกติพวกนี้..มันจึงต้องอาศัยพลังงานต่างๆที่สร้างมาจากศรัทธาเพื่อมา
    หนุนให้เกิดพลังงานจากตัวจิตไปเชื่อมกับพลังงานภายนอกนั่นเองไงครับ..
    เรื่องที่คุณเล่า เรื่องที่คุณพูดเกี่ยวกับพระสมเด็จ เป็นแนวทางในการสร้าง
    พลังงานจากจิตไปเชื่อมพลังงานภายนอกได้แบบรู้สึกได้ แต่สัมผัสเป็น
    พลังงานไม่ได้ มองเห็นเส้นสายพลังงานยังไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องไม่ดี
    เป็นเรื่องที่มันมีความสัมพันธ์อย่างแยกกันไม่ได้..เพียงแต่ว่าตัวจิตเราตอนนี้
    จะมองเห็นได้ เข้าถึงได้ในมุมไหนเท่านั้นเองครับ..เพราะฉนั้นโดยสรุปนะครับ
    เรื่องอะไร.ที่ตัวจิตเรายังทำไม่ได้ ยังสร้างให้มีไม่ได้ ยังไม่เข้าใจได้ถึงลักษณะ
    การกำเนิด อย่าพึ่งรีบด่วนสรุป เช่น เรื่องพื้นฐานเวทย์ เรื่องวัชระ ฯลฯ
    เพราะมันจะตัดความสามารถในการเข้าถึงได้ในอนาคตของเราในชาตินี้..
    เราต้องไม่รีบสรุป ไม่รีบตีความเอาตามความคิดเราถ้าเรายังทำไม่ได้..
    ไม่งั้นภพภูมิแดนไตรภูมิเค้าจะปิดการรับรู้ การเข้าถึงของเราตรงนี้ครับ..

    ปล.หวังว่าคงพอจะเข้าใจนะครับ..และในเรื่องพลังงานในบางประเด็น
    ต้องดูด้วยว่ามันเหมาะสมที่จะพูดด้วยหรือไม่ครับ..
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นสิทธิของคุณเองครับ..ถือว่าแค่ผ่านมาเท่านั้นครับ
     
  6. SMING เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +430
    คุณ nopphakan.....จะเอาอะไร พิมมาตั้งเยอะไม่เห็นเข้าใจ...ทำได้ยังที่พูด
     
  7. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    กำลังอ่านกระทู้ ทหารพระองค์ดำรายงานตัวหน่อยครับ มีหลายความเห็นที่เห็นภาพ
    หรือได้รับสารคล้ายเรา แต่สิ่งที่เราเห็น ถ้าเล่าไป แต่ไม่พาดพิงถึงปัจจุบัน จะโดนปิดกระทู้มั้ย
    ได้ยินเสียงคนร้องไห้ ....

    ขออ่านให้จบก่อนนะ

    แล้วจะมาเล่าต่อ
     
  8. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ยินดีต้อนรับ ท่านชาย

    ถึงเวลาเล่านิทาน
     
  9. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    คงกระพันชาตรี สะเดาะโซ่ตรวน เครื่องรัดร้อย ตะกรุุด ตัดไม้ข่มนาม

    วิชาที่ทหารเอกต้องเรียน ปลุกว่าน ปลูกว่าน

    มวย หมัด เพลงดาบ เพลงหอก

    ตำราพิชัยสงคราม
    ตัวเอกของเรื่อง ขอชื่อ เสือ

    นักรบสมัยอโยธยา ทหารเอก
     
  10. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ยินดีต้อนรับ กลับอโยธยากันมั้ย ท่าน รำลึกความหลัง
     
  11. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    อีกวิชา ภูติพราย กุมารทอง

    รอคนฟัง
     
  12. khunpak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +115
    มาแล้วขอรับเกลอเก่า
     
  13. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    เสือ เกิดมา เป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง รูปร่างกำยำ สูงใหญ่กว่าชายในวัยเดียวกัน
    ในจังหวัดภาคกลางของประเทศไทย ตอนเกิดมาพ่อของท่านเป็นขุนนางระดับพระยาในราชสำนัก
     
  14. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    บิดาของเสือ มักเข้าวังอยู่เสมอ บางทีก็ไปกรำศรึกเป็นเดือนๆ ในเรือนของท่าน เป็นเรือนไทยหมู่ขนาดใหญ่ บิดาของท่านนั้นมีภรรยาหลายคน โดยเมียเอกของท่านอยู่ที่เรือนใหญ่ แต่แม่ของท่าน หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงาม ว่ากันว่าท่านแม่คลอดเสือตั้งแต่อายุเพียง 17 ตั้งแต่จำความได้ ท่านแม่ไม่ค่อยออกไปไหน เอาแต่ไหว้พระสวดมนต์ และท่านพ่อไม่เคยมาที่เรือนเล็กเลย เสือเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ ตั้งแต่เด็ก โมโหร้าย ชอบทุบตีทำร้ายบ่าวไพร่เป็นประจำ อีกทั้งรูปร่างสูงใหญ่ ตั้งแต่เล็กท่านพ่อไม่เคยตีเสือ และไม่เคยกอดเสือเลย เสือได้รับความเมตตาให้ไปเรียนรู้วิชาการปกครอง ตำราพิชัยสงครามร่วมกับเชื้อพระวงค์ทั้งหลาย ตั้งแต่เด็ก เมื่อได้รับโอกาสให้เข้าวังมักจะมีคนมองท่านด้วยสายตาเหยียดหยาม บ้างก็กระซิบกระซาบ ถึงแม้จะเป็นลูกพระยาก็มิสมควร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    จนเสือมักจะหลบไป ไม่ไปเรียน อยู่เสมอ จนบิดาของท่านอิดหนาระอาใจ เมื่ออายุได้ 12 เมียพระราชทานของท่านพระยา ท่านหญิงได้ คลอดบุตรชายอีกคน
    น้องของเสือ จนเสืออายุได้ 17 ชอบมีเรื่องต่อยตีกับคนทั่วไป มารดาของท่านวึ่งอยู่ในวัย 34 ย่าง 35 ได้สิ้นลงเพราะพิษไข้ เสือรู้สึกเศร้าเสียใจมาก เพราะในชีวิตท่าน
    คนเดียวที่ไกล้ชิดกับท่านที่สุด คือมารดา เสือได้ฝึกเพลงดาบจากลูกน้องของพระยา ฝีดาบของเสือรุนแรงรวดเร็วมาก จนไม่นานท่านก็มีฝีดาบเทียบท่านทหารเอกของพระยานั้นเอง
    วันหนึ่งน้องของท่าน พร้อมแม่นมมาที่เรือนเล็ก เพื่อมาแอบดูท่านพี่ฝึกดาบ เสือไม่ได้สนใจขณะนั้นท่านกำลังประดาบกับท่านขุนท่านนึง เพื่อประลองฝีมือกันอย่างจริงจัง
    ท่านชายน้อยกับวิ่งมากลางวงดาบโดยไม่เกรงกลัว จนเสือและท่านขุนเกือบหยุดดาบไม่ทัน เสือรู้สึกโกรธมาก ท่านตบหน้าแม่นมของท่านชายน้อย
    และไล่ท่านชายกลับเรือนใหญ่ เมื่อความทราบถึงท่านหญิง ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นภรรยาเอกของพระยา ท่านหญิงจึงนำความปรึกษาหารือกับสามี
     
  16. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    วันรุ่งขึ้น เจ้าพระยาเรียกเสือเข้าพบ และได้บอกความอย่างหนึ่งซึ่งทำให้ชีวิตของเสือเปลี่ยนไป ท่านเจ้าพระยาเล่าว่า เสือนั้นมิใช่ลูกของตน
    เป็นเพียงลูกของเพื่อนที่เคยร่วมสัตย์สาบาน บิดาเจ้านั้น มีเมียอยู่แล้ว มิอาจรับแม่เจ้าและเจ้าไปอยู่ได้ บัดนี้เจ้าเติบใหญ่ แม่เจ้าก็สิ้น
    ข้าเห็นว่าพฤติกรามของเจ้าเกินที่ข้าจะรับไหว จึงขอส่งเจ้าไปเป็นทหารที่ชายแดน แต่ข้าจะเมตตาเจ้าในฐานะที่เคยเรียกว่าพ่อ ข้าจะให้เจ้าไปเรียนวิชากับ
    ขรัวอินทร์ ที่ค่ายทหาร
     
  17. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ค่ายทหาร
    เมื่อได้พบท่านอาจารย์ครั้งแรก เสือตอนนั้นอยู๋ในสภาวะอารมณ์ที่เหมือนกับโลกแตกทั้งใบ เมื่อได้พบพระอาจารย์ ท่านเป็นชายวัยประมาณ 50 ปี รูปร่างกำยำ เพียงพบเสือ พระอาจารย์ก็เห็นลักษณะที่ดีหลายอย่าง ท่านรู้ทันทีว่าเสือเป็นคนพิเศษท่านกล่าวว่า มาแล้วหรือ ศิษย์เอกของข้า เสือรู้สึกถึงกระแสเมตตา จึงก้มลงกราบที่เท้าขรัวอินทร์ แล้วความรู้สึกที่กดดันก็ไหลบ่าออกมา เป็นครั้งแรกที่ร้องไห้
    พระอาจารย์กล่าวว่า จงร้องออกมา ต่อไปนี้เลือดและน้ำตา ขอให้ไหลให้แผ่นดินเท่านั้น คนเรานั้นเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกเป็นและเลือกตายได้
     
  18. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    ราตรีนั้นมืดสนิทบรรยากาศในค่ายชายแดนนั้น ดูเงียบสงัด แต่ระอุไปด้วยความเครียด บรรยากาศเหมือนหมู่บ้านขนาดย่อมๆ บ้านชนบท ขาดการดูแล และนอกค่ายคือทุ่งนากว้างใหญ่ เลยไปสุดลูกหูลูกตาคือแม่น้ำ เมื่อมาถึงและพบพระอาจารย์ก็ค่ำแล้ว ท่านให้เสือไปนอนพัก เสือนั้นแม้อายุย่างสิบแปด แต่ก็มีรูปร่างฉกรรจ์ราวกับผู้ใหญ่ อีกทั้งการเดินเหินดูสง่าแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป ผิวพรรณก็นวลเนียนละเอียด ขาวอมเหลือง ผมและคิ้วดำสนิท จมูกโด่งเป็นสัน ผิดกับชาวบ้านทั่วไป
    ดวงตานั้นกลับเป็นสีดำสนิท เป็นประกายดุดันแต่ก็ดูงดงาม เพราะขนตาที่ยาวและหนา คืนนั้นพระอาจารย์ได้ให้เสือนอนด้วยกันที่กุฎิ แต่เมื่อเสือมองไป ชาวบ้าน แลทหารคนอื่น ต่างเดินตรวจตราอย่างเงียบๆ มีการจุดกองไฟ บางแห่งก็สุมไฟ มีม้าประมาณห้าหกตัวอยู่ในคอก แต่ละตัวดูสกปรก และคอตก อ่อนล้า รูปร่างม้าก็แลดูซูบผอม ชาวบ้านพากันเมียงมอง เพราะชุดที่เสือใส่ เป็นชุดที่ดูก็รู้ว่ามาจากเมืองใหญ่
    ทหารบางคนก็นั่งขัดดาบ บ้างก็นอนใต้โคนไม้ใหญ่ ข้างกองไฟ เลอะเทอะไปด้วยฝุ่น และทุกคนจับดาบมั่น แม้หลับไปแล้ว บางคนก็มีผ้าพันแผลเลอะเลือดเกรอะกรังตามแขน แลขา หญิงชาวบ้านก็จับกลุ่มคุยกันหน้าตาเศร้าหมอง คนที่นี่ช่างดูอนาถา และยากไร้ อีกทั้งยังสกปรกอีกด้วย
    เมื่อเปิดเข้าไปในที่นอนของพระอาจารย์ที่เป็นกุฏิขนาดเล็ก เสือรู้สึกรันทด และคิดในใจว่า คับแคบยิ่งกว่าเรือนบ่าวไพร่ ทันใด พระอาจารย์ก็กล่าวว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก แผ่นดินไทย หากขาดทหารหาญ คงไม่มีแม้แต่ผืนดินให้นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. jarujun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2013
    โพสต์:
    3,285
    ค่าพลัง:
    +11,833
    คืนนั้นเสือหลับๆตื่นๆ แว่วได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงลอยมา
    แล้วเสียงพระอาจารย์ก็ลอยมาในความมืด นั่นคือเสียงของหญิงม่าย ที่เสียลูกและผัวไปในสนามรบ แล้วก็ตามมาด้วยเสียงโอดโอย ของทหารที่ได้รับบาดเจ็บ บางคนที่นอนในเรือนถัดไป กับที่นอนของขรัวอินทร์ เสียงพระอาจารย์ลอยกลับมาว่า คืนนี้จงหลับเสีย แล้วกำหนดดูลมที่จมูก ว่ามันเข้าออก ช้าเร็ว กระแทกกระทั้นอย่างไร
    ในเพลานี้มีแต่ผู้เสียเสียและทุกข์ทน ทุกข์ในใจของเจ้านั้น เทียบได้หรือไม่กับทุกข์ที่ต้องเสียลูก เสียผัว ขาดแขน ขาดขา สิ้นคำนั้น ใจก็เสือก็สงบลง
     
  20. บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,434
    ค่าพลัง:
    +35,013

    คิดดีแล้วใช่ไหมครับ..ที่เขียนอย่างนี้..ยังไงอ่านจบแล้วพิจารณา
    ดีๆก่อนตอบนะครับ..เพื่อว่าคุณจะยังเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนครับ..
    และอ่านต่อให้จบนะครับ..แล้วพิจารณาดูให้ดีๆว่าคุณควรจะมิตร
    หรือจะเป็นอริต่อกันให้คิดเอาเองนะครับ..
    ไม่รู้ว่าทำได้หรือยังครับ แต่ทำมาแล้วและก็ช่วยคนมาเยอะแล้วครับ..
    ประมาณจะ ๒ ถึง ๓ ปีครับไม่เคยจำว่าช่วยไปกี่คน..
    ..และก็ไม่เคยมาแสดงหรือมาอวดใครครับ.
    คุณพอจะคิดเองได้ไหมว่าทำได้หรือไม่ได้ครับ..

    เพราะจริตไม่ชอบโม้ครับ.ผมนะรู้สึกละอายใจมากๆนะครับ..
    การที่จะบอกว่า สามารถทำโน้นทำนี่ได้..เพราะผมรู้ตัวว่า
    จริงๆผมยังไม่เก่ง และมีที่ท่านที่เก่งๆกว่าเราเยอะแยะ.
    ถ้าเรื่องสัมผัสเรื่องอะไรก็ตาม แบบที่เห็นคนเดียวรู้คนเดียว
    แล้วถ่ายทอดสอนคนอื่นๆให้ทำตามอย่างเราไม่ได้.ที่มันไม่มีประโยชน์
    ส่วนตัวจะไม่เขียนครับ.ส่วนใครชอบเขียนชอบโม้ก็เรื่องของเค้า
    ส่วนตัวไม่เคยไปยุ่งครับ..และชอบแนะนำคนอื่นๆที่พอจะมีแววครับ.
    ตามประสบการณ์ที่ตนเองเคยผ่านมาครับ...

    ความจริงอยู่ในเวปนี้คุณเคยอ่านข้อความผม น่าจะพอรู้นะครับว่าผมนิสัย
    ยังไง.และที่สำคัญผมก็ไม่ได้คุยกับคุณนะครับ ถ้าคุณมาแนวนี้คุณจะเป็น
    ที่สนใจของผมทันทีครับ..เพราะผมจะจับกระแสจิตได้ไม่เกิน ๒ วินาทีครับ
    เพราในนี้คนหลงตัวเองมันเยอะครับ.พอพูดความจริงก็มักไม่ยอมรับ..
    เพราะอยากได้รับการยอมรับจากสังคม ว่าตนเองนะวิเศษวิโส
    เป็นผู้บรรลุโน้นบรรลุนี้.
    แต่ผมก็มีมารยาทพอและรู้ว่าใครควรพูดและไม่ควรพูดด้วย และรู้ว่า
    ควรจะพูดตอนไหนครับ..

    ถ้าคุณไม่มีปัญญาพอที่จะอ่าน
    แล้วเข้าใจนั่นมันเรื่องของคุณครับ....เพราะฉนั้นอยู่เงียบๆไว้จะเป็นผลดี
    ผมคิดว่า หลังจากเขียนเสร็จ เจ้าของกระทู้น่าจะเข้าใจและไม่ต่อความยาว
    สาวความยึดให้มันไร้ประโยชน์อะไร..
    และกระแสจิตแบบคุณพวกความคิดวนเวียนในสมองแบบนี้
    ดีว่ามันไม่มากเท่าไร. แต่ไร้กำลังจิตแบบนี้
    มาอีกร้อยคนก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะครับ..
    คุณอยากจะโม้ อยากจะพูดอะไรก็เรื่องของคุณครับ
    ปกติจะไม่ได้ไปวิพากย์วิจารณ์อะไรนะครับ.
    .เพราะฉนั้นถ้าตาไม่ดีพอ ความสามารถไม่ดีพอ
    และจับเรื่องพลังงานไม่ได้.ก็มีมารยาทบ้างนะครับ
    และกระแสจิตคุณมันไม่ได้เชื่อมองค์ความรู้อะไรกับข้างบน
    คุณจึงไม่สามารถผุดคำอธิบาย คำบรรยายอะไรออกมาได้
    เหมือนคนอื่นๆที่เค้ามีกัน.
    ดันชอบแต่แนวสมาธิแบบกำลังสูง แต่จิตตัวเองไม่พัฒนาเรื่องสัมผัสพิเศษ
    ไม่พัฒนาเรื่องความสามารถพิเศษ..
    เรื่องกำลังจิตอะไรเลยแบบนี้ แถมไม่เชื่อมข้างบนแบบนี้.
    เพราะฉนั้นคุณจึงอ่านที่ผมเขียนไม่รู้เรื่อง.
    เพราะฉนั้นถ้าไม่รู้อะไรเลย ก็ไม่ต้องมาอ่านและมาวิจารณ์..
    ดีว่าจิตคุณมันไม่ยังไม่ใช่กระแสแบบพวกภูมิภูติอสูรกายเพราะพอมีเมตตา
    อยู่ผมถึงคุยกับคุณบ้าง..


    แต่ถ้าคุณอยากลองของ..ไม่เห็นยากนิครับ..ถ้าสงสัยไปลอง
    อ่านกระทู้ที่ผมแนะนำ
    เรื่องกสิณแล้วไม่เข้าใจ หรือไม่คิดจะอ่าน แต่สงสัยว่าทำได้หรือเปล่า
    ไอ้คนที่มันชอบขี้โม้ ว่ามันเก่งระดับโลก ผมนะรู้จักครูบาร์เค้าดีครับ.
    ตอนนี้ผมทำได้เร็วกว่าท่านนั้น..แต่ผมมีความเคารพไม่ไปเบรคเค้า.
    เพราะก็ถือว่า อาจารย์เค้าก็เสมือนเป็นผู้แนะนำชี้ทางผมเช่นกัน
    แต่คุณก็ลองดูก็ได้นะครับ..พอดีผมถนัดใช้เรื่องพลังแบบนี้
    เคลียร์เรื่องวิญญานด้วยครับและ
    และใช้พลังงานจากกสิณที่ทำได้..
    อยู่เบื้องหลังแบบนี้และทำมาพอสมควรครับและเจอมาแล้วทุกภพภูมิครับ..
    โดนส่งของจากพวกหมอธรรมติดต่อกันมา ๒ เดือนจนไม่มีอะไรเล่นพอดี..
    ผมถึงเข้าใจเรื่องกำลังจิตและเรื่องความสามารถของแต่ละภพภูมิดี.หรือ
    ไม่ว่าจะเซียนสวดหรือหมอธรรมทั้งหลาย..

    ว่าแต่คุณมีปัญญายกกายทิพย์มาหาผมไหมหละครับ..
    คุณต้องมาเองนะครับ เพราะผมไม่เคยคิดทำร้ายและเป็นศัตรูกับใครครับ.
    แต่ถ้าตั้งใจมา และมีปัญญามาได้เอง.ก็จำเป็นจะต้องป้องกันตัวกันบ้างครับ..
    จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร..หรือจะลองวัดกำลังจิต
    หรือจะทดสอบพลังงานกสิณก็ได้นะครับ
    ไม่เกิน ๑ นาทีผมทำให้คุณสัมผัสได้หมดทุกกองครับ..
    ไม่ต้องกลัวครับผมทำให้ขึ้นที่มือคุณก็พอครับ เหมือนๆกับ
    ที่ทำให้หลายๆคนที่เคยคุยกับผมลองสัมผัสดู.แต่ไม่แน่นะ
    .ถ้านึกสนุกๆไปกำหนดขึ้นภายในหัวกระโหลกคนเล่นๆ
    ไม่รู้ว่าจะส่งผลกับร่างกายได้.หรือเปล่าโดยเฉพาะ
    การใช้กสิณดินที่จะไปเพิ่มธาตุดินบริเวณที่เรากำหนดนะครับ...
    และไม่ใช่ว่าไม่เคยทำ เคยเผลอทำให้พวกมาทางสายสายพลัง
    งานลองเสียงหลงมาแล้ว..และก็จะทำตอนไหนก็ได้ครับ..
    .ทำให้บุคคลอื่นๆรับรู้พร้อมกันหลายๆคนก็ได้ครับ..
    ในเวปนี้หลายคน.ที่เคยคุยกับผมถึงตามอ่านอย่างเดียว..
    และไม่ค่อยจะพูดอะไรมากมาย.เพราะเค้าสัมผัสได้ว่าคนทำ
    ได้จริงๆ.และไม่ชอบโอ้อวดมันมีอยู่...

    ถ้าคุณเป็นฉลาดบ้าง..น่าจะอ่านจากคำแนะนำแล้วก็พอรู้นะครับ
    ว่าจริงๆผมค่อนข้างจะถ่อมตัวมาก..และไม่ค่อยชอบยุ่งหรือมีเรื่อง
    กับใครนะครับ..แต่ถ้าอยากรู้เชิญนะครับ.ยกกายมานะครับ
    หรือมีปัญญาส่งอะไรมาก็ได้.ให้คิดว่าเอาให้ตายเลยนะครับ
    แล้วจะทราบด้วยตัวเองครับว่าอะไรเป็นอะไรครับ..
    ปล.ใครมาดีก็ยิ้มรับ ใครมาไม่ดีก็ยิ้มรับ..

    ขอบคุณมากครับ.ขออภัยนะครับถ้าพูดตรงๆ เพราะผมค่อนข้างจะตึง
    กับคุณพอสมควรครับ..ด้วยความเคารพ....
     

แชร์หน้านี้