ร่วมบุญกฐิน วัดที่ 2 ปี 2563
วัดป่าสหธรรมิการาม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
ร่วมบุญ 1,000 บาท สร้างพระอุโบสถ ปีที่ 2
อนุโมทนาสาธุกับผู้ร่วมบุญทุกท่าน
#####################
ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพกฐินสามัคคี
วัดป่าสหธรรมิการาม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓
นำโดย อ.ปฐม พัวพันธ์สกุล (ผู้ออกแบบพระอุโบสถ) และคณะ เพื่อนำปัจจัยร่วมบุญสร้างพระอุโบสถแนวศิลปะล้านนา ณ วัดป่าสหธรรมิการาม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
**************************
กำหนดการทอดกฐิน วันเสาร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
เวลา ๐๙.๐๐ น.
**************************
โอนปัจจัยร่วมบุญได้ที่
ธนาคารกสิกรไทย สาขาพร้าว เชียงใหม่
ชื่อบัญชี
พระครูสุพัฒนเขมคุณ เกษม ใจปะ และ
นายรุ่งโรจน์ ลิขิตตระกูลวงศ์ และ
นายสุภชัย เกิดรัตนศักดิ์
เลขที่บัญชี ๐๗๔-๑-๘๑๖๓๕-๐
*** ปิดยอดโอนร่วมกองบุญกฐินวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓
เวลา ๒๔.๐๐ น.
*** หากผู้ร่วมบุญโอนหลังกำหนดนี้ จะขอถือเป็นยอดเงินถวายเข้าทำบุญบำรุงวัดตามปกติ
ฝันไปถึง เมืองบังบด เมืองผี แดนลับแล แล้วแต่จะเรียก
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย jarujun, 21 มกราคม 2015.
หน้า 245 ของ 246
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
สิงห์ชำระร่างกาย ผลัดผ้าแล้วก็ ได้ยินเสียงกลองศึกตีระดมพล เป็นจังหวะอันเร่งเร้า
ก็รีบตรงไปยังลานสับประยุทธ์ทันใด เห็นทหารสองกองร้อย ตั้งทัพสองฝั่ง มีเจ้าหอหน้า
ประทับยืน เจ้าหอหน้าทอดพระเนตร สิงห์ แล้วให้สัญญานให้มายืนข้างพระองค์
" แบ่งไพร่พลเป็นสองกอง มิให้ใช้ม้า ประจัญหน้า ตะลุมบอนเยี่ยงกองโจร กูจักเป็นนายกอง กับขุนสิงห์คนละกอง ให้ฟังกลองเป็นสัญญานศึก กูจักให้สัญญานหยุด"
สิงห์มองพื้นดินเลน แลเป็นสีส้ม แล้วให้หนักใจนัก -
แล้วก็มีทหารนำดาบไม้ทาด้วยชาดสีแดงไว้ด้านคมดาบมาแจกให้ทหารทั้งสองกอง แล้วการตะลุมบอนก็เริ่มขึ้น สิงห์ยังงงกับการรบ แต่ก็ใช้สัญชาติญานดิบในตน ฟันหลบหลีก แล้วก็สังเกตุเห็นทหารที่โดนสิงห์ฟัน โดนจุดสำคัญ เช่นหัว คอ ขา พอโดนฟัน ก็จะหันดาบลงพื้น แล้วออกนอกสนามไป เห็นรอยชาดสีแดง ติดอย่างชัดเจน สิงห์ก็เข้าใจกฏของการตะลุมบอนทันที การตะลุมบอนเต็มไปด้วยความทุลักทุเล ทหารบางคนแม้ฝีมือดีด้านเพลงดาบ แต่มิเคยสู้ศึกในดินโคลนมาก่อน สิงห์นั้นแม้เก่งกาจ แต่ก็เกือบเพลี่ยงพล้ำไปหลายหน การแยกกองทหารมาจากผ้าที่คาดเอว แต่เมื่อโดนโคลนกระเซ็นให้เปรอะเลอะเทอะ จนแทบแยกไม่ออก
-
สิงห์นั้นในเพลานี้ ใช้ทั้งศอกทั้งเข่า ทั้งดาบ เพราะเพลานี้ จากที่ล้มไปหลายครา สิงห์ก็เปรอะเลอะไปด้วยโคลนตม แต่เมื่อหันไปมองเจ้าพี่ เพลานี้ นอกจากพระชงฆ์(หน้าแข้ง)และฝ่าพระบาท แทบไม่มีรอยโคลน พระองค์ทรงมิได้ล้มจากโคลนเลย ดั่งเคยฝึกฝนจนชำนาญ
สิงห์ให้อัศจรรย์ใจนัก แต่ก็เพียงไม่นาน เจ้าหอหน้า และทหารกองร้อย ได้จัดการทหารฝั่งของสิงห์เสียสิ้น ฝั่งของสิงห์ เหลือเพียงไม่ทหารไม่ถึง 10 คนที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ เจ้าหอหน้าก็ไม่รอช้า ล้อมสิงห์และพวกไว้ทันใด -
สวัสดี ป้ากลับมาแล้ว ได้รับการอภัยโทษละ กลับมาทำภารกิจต่อ
-
หายจากการโพสไปนานเกิ๊น555
-
เหล่าทหาร ฝั่งของสิงห์หายใจหอบ สิงห์รู้ได้ว่า ตนเพลี่ยงพล้ำเสียเปรียบ ทางรอดเดียวที่จักรอด คือกำจัดขวัญกำลังใจของฝั่งตรงข้าม ในสงครามไม่มียศตำแหน่ง มีแต่นักรบที่ห้ำหั่นกัน สิงห์ไม่รอช้ารีบเข้าห้ำหั่นเจ้าหอหน้า กระโดดตัวลอย ฟันลงไปเต็มดาบ เจ้าหอหน้าทรงรับด้วยดาบไม้ตรงๆ โดนไม่หวั่น ด้วยพละกำลังแขน และแรงแบบไม่ออมมือ ดาบไม้ทั้งสองหักลงในทันใด ทำให้เหล่าทหารฝั่งของสิงห์ หยุดดาบ ด้วยความตกใจ เมื่อแม่ทัพไม่มีดาบ ก็กำลังคิดว่าจักยอมแพ้ ตามกฏการรบ แต่ที่ทุกคนไม่คิด พอดาบหัก สิงห์ในจังหวะกระโดดลง ก็ไม่ยอมแพ้ โดดตีเข่าเจ้าหอหน้า แล้วศอกต่อทันที
-
รออ่านอยู่.. เรื่องราวสนุกดี
หายไปนานมากๆ -
เจ้าหอหน้าให้ทรงกริ้วนัก นักรบทั้งสองฝั่งได้แต่งงกับสถานการณ์ เลยถอยออกมาคุมเชิงไม่กล้ารบต่อ เหลือเพียงขุนสิงห์กับเจ้าหอหน้าคลุกวงใน เจ้าหอหน้าใบหน้าดูดุดันนัก จนทำให้เหล่าทหารทั้งหลายได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย กับชะตากรรมต่อจากนี้ของสิงห์ แต่ก็แอบชื่นชมว่าเจ้าหนุ่มรูปงามนามขุนสิงห์ช่างเก่งกล้าที่สามารถตีเข่า ฟันศอกเจ้าหอหน้าได้ นับแต่มีการฝึกรบ ไม่เคยมีใครเข้าประชิด จนตัวต่อตัวกับเจ้าหอหน้าได้ ส่วนมากมักจะโดนฟันในดาบเดียว เข้าจุดสำคัญ จนไม่มีดาบต่อไป
-
-
-
เพื่อที่จะพิมพ์เรื่องราวให้จบเสียที -
เมื่อไม่มีดาบ และก็ไม่มีใครกล้าโยนดาบให้ ด้วยเจ้าหอหน้าไม่ทรงออกคำสั่ง บัดนี้เหลือแต่ หมัด ศอก เข่า สิงห์นั้นเคยลองพละกำลังกับเจ้าหอหน้า สลบคาพระบาทมาก็หลายครา รู้ตนว่าสู้ด้วยกำลังในเวลาที่ทรงกริ้วหนัก ตนคงสู้ไม่ไหว ถึงแม้ร่างกายจะสูสีกัน แต่เจ้าหอหน้าทรงบึกบึนกว่า สิงห์เลยไม่สนใจ เข้าล็อคคอ ตีเข่า เท่านั้นคือทางรอด มิรู้ว่าสิ้นคิดได้เยี่ยงไร สิงห์ไม่เพียงตีเข่า สกัดเข่าเจ้าหอหน้า เมื่อเจ้าหอหน้าทรงจะปล่อยหมัดเข้าลำตัวสิงห์ สิงห์ก็โยกหลบ แล้วยกเท้าถีบพระอุระเจ้าหอหน้าเต็มๆ สู้แบบหมาจนตรอก จนเจ้าหอหน้าไม่คิดว่าไอ้สิงห์จะกล้า นายทหารที่เหลือ ได้แต่หนาวๆร้อนๆแทนสิงห์ ช่างกล้ายกเท้าถีบโดยไม่ลังเล
-
ทั้งขุนสิงห์และเจ้าหอหน้า ต่างตั้งการ์ดเชิงมวย สิงห์นั้นหน้าตามิได้หวั่นไหว ลังเล เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ดวงตาวาวดั่งตาเสือ มีแต่ความแค้นชิงชัง ใบหน้าบ่งบอกให้รู้ว่า มิตายก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าบรุษข้างหน้าจะเป็นเจ้าหอหน้าก็ตาม เจ้าหอหน้าก็ให้พระโลหิตสูบฉีด ทรงรู้สึกได้ว่าอยู่ในสนามรบจริง และบรุษเบื้องหน้าคือศตรูที่ทรงตัองกุดหัวให้ได้ ทรงพิโรธ จนร้อนไปทั้งพระวรกายที่ขุนสิงห์บังอาจนัก แม้ในสนามรบจริงก็มิเคยมีผู้ใด ถีบพระอุระมาก่อน ด้วยทรงโยกพระเศียรหลบ มิงั้นแม้แต่พระเศียร ไอ้หมาบ้าสิงห์ก็คงไม่ละเว้น
-
เจ้าหอหน้า ทรงมิรอเช้า ให้สิงห์ได้คิด ทรงเปิดด้วยการเตะก้านคอ สิงห์นั้นไม่หวั่นโยกหลบ แล้วสิงห์ก็โดนเอาคืน เจ้าหอหน้าทรงเข้าล็อคคอ สู้ระยะประชิด แต่ละดอกของเข่าลอยที่ทรงประเคนให้สิงห์ เสียงดังหนักหน่วง ไม่ใช่แค่การตัดกำลัง แต่กะเอาให้สลบคาพระบาท สิงห์นั้นพยามสลัดให้หลุด แต่ทำยังไงก็ไม่หลุด จนยอมโขกหัวกับพระเศียรเจ้าหอหน้า แต่เจ้าก็หน้าก็ไม่ยอมปล่อย
จนสิงห์เริ่มอ่อนแรง เกือบจะทรุดลงไปที่พื้น จุกจนกระอักเป็นเลือด แล้วเจ้าหอหน้าก็ปล่อยหมุดฮุคเข้าปลายคาง สิงห์ลงไปนอนหงาย ยังไม่หนำใจเจ้าหอหน้า ด้วยเห็นสิงห์ยังไม่สลบ ทรงกระแทกฝ่าพระบาทเข้าไปที่อกสิงห์ จนกระอักเลือดซ้ำ แต่มิมีใครคิด สิงห์ที่ใครคิดว่า น่าจะสลบ กลับจับข้อพระบาท แล้วกระชาก จนพระวรกายเจ้าหอหน้าเซถลา สิงห์ตีด้วยศอก แล้วหมุนตัวขึ้น จะล้มเจ้าหอหน้า แต่ทรงใช้เข่า เข้าหน้าสิงห์เต็มๆ สิงห์แทบสลบ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ก่อนสิงห์จะตายคาพระบาทจริง เสียงกลองหยุดศึกก็ดังขึ้น เจ้าหอหน้าเหมือนได้สติ ทรงลุกขึ้นมา สูดพระปัสสาสะเข้าอกลึกๆ แล้วทรงพระบัญชา " ให้มันลุกขึ้นมาเอง ห้ามไอ้หน้าไหนช่วย ใครขัดบัญชา กูจักกุดหัว" -
แล้วเหมือนพระพิรุณไม่เป็นใจ ฝนฟ้าลม พัดลงมา เป็นครั้งแรกที่สิงห์ร้องไห้ออกมาแบบไม่อายใคร น้ำตาไหลริน ลงพระแม่ธรณี คละเคล้ากับสายฝน รู้สึกถึงรสเลือดในปาก รู้สึกแพ้อย่างสิ้นเชิง ใจให้ท้อแท้กับโชคชะตาที่บิดเบี้ยว ใบหน้าของขรัวอินทร์ลอยมา คำสัญญาที่ก้องในหู
ปวดร้าวไปทั้งอก สายฝนหนาวจับใจจนสั่น แต่แผลที่โดนเจ้าหอหน้าประเคนหมัดศอก กับเจ็บร้อนดั่งไฟ สิงห์พยายามตั้งสติลุกขึ้น แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่สามารถเอาชนะร่างกายได้
แต่ก็ไม่ร้องขอความเมตตาจากเจ้าพี่ ในขณะที่เจ้าหอหน้าอยู่ในพลับพลามองฝ่าสายฝน
เจ็บไปทั้งพระอุระ ทั้งเจ็บใจและเจ็บกาย แต่ก็ไม่ทรงรับสั่งใดออกมา ทหารทั้งหลายก็ให้อึดอัดใจนัก ฤาเจ้าหอหน้าจะปล่อยให้สิงห์ตาย -
หายไปนานเลย ดีใจที่ท่านกลับมา
-
สิงห์จับไข้ จนสลบไป แล้วฝนก็หยุดตก ราตรีนั้นช่างยาวนัก แต่พระอาทิตย์ก็ขึ้นอีกครา
ไม่มีราตรีใด ที่จะอยู่ตลอดกาล ริมฝีปากแห้งแตก รู้สึกลำคอร้อนผ่าว กล้ามเนื้อเหมือนจะฉีกออกจากกัน แต่ด้วยหัวใจของทหาร นักรบผู้ไม่ยอมแพ้ แสงอาทิตย์อาบผิวจนแสบร้อน สิงห์ค่อยๆ พลิกตัวแล้วคลานไปตามดินบางส่วนที่ยังแฉะ ทำให้แม้แต่คลานก็ยังเป็นไปได้ยาก สิงห์คลานไปที่พลับพลาพระที่นั่ง ด้วยใจมุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ จนสลบไปอีกครา เหล่าทหารยาม ได้แต่ชำเลืองมองเจ้าหอหน้า รอสัญญานจากเจ้าหอหน้า ที่ในเพลานี้ ทรงประทับนั่ง พระหัตถ์อุ้มไก่ชนไว้ในมือ ทรงลูบหัวไก่ชน มองไปเบื้องหน้า เหมือนไม่เห็นร่างขุนสิงห์ ทุกคนได้แต่กลืนน้ำลาย
มิมีใครกล้าขัดพระบัญชาเจ้าหอหน้า แม้ขุนสิงห์เคยเป็นที่โปรดปราน แต่เพลานี้ ช่างน่าอนาถนัก
เจ้าหอหน้า ท่านในบางเพลา ก็โหดเหี้ยมจนเดาพระทัยมิถูก -
สิงห์ตื่นมาอีกครา ด้วยให้เจ็บนัก รู้สึกถึงฝ่าพระบาทที่เหยียบบนแผ่นหลัง ผิวหนังที่ท่อนแขนผิวหน้าแสบจากการคลานไปบนพื้น เจ้าหอหน้าตรัสเบาๆ ข้างหูสิงห์
"ขุนสิงห์ พี่เห็นใจเจ้านัก หากเป็นการศึก มัวแต่มานอนเล่นเยี่ยงนี้ หัวเจ้าร้อยหัวคงไม่พอให้พี่กุด กะไรเสียเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง ข้าจักปลุกเจ้าให้ตื่นไวไว จักได้รอดชีวิต จะได้กลับไปหาลูกหาเมียรัก ที่แย่งพี่ร่วมสาบานมา" แล้วทหารที่คุกเข่าข้างเจ้าหอหน้า ก็สาดน้ำลงมาราดรดขุนสิงห์ สิงห์กัดปากจนเลือดออก ไม่ให้ส่งเสียงร้องโหยหวน ด้วยน้ำที่เจ้าหอหน้าตรัสว่า คือน้ำพระทัยของพระองค์ ที่แท้คือ
น้ำเกลือ!!! -
ที่กายเจ็บปวดดั่งตกนรก ที่ใจแหลกสลายมิมีเหลือ กับประโยคสุดท้ายของเจ้าหอหน้า น้ำตาหลั่งรินแม้พยายามอดกลั้น ได้แต่สูดหายใจเข้าไป แล้วกัดฟัน กลืนเลือดและน้ำลาย เจ็บปวดจนมิรู้จะบรรยายเยี่ยงไร ยิ่งเห็นเจ้าหอหน้า ทรงอุ้มไก่ แล้วดำเนินไปนั่งประทับที่พลับพลา อย่างสง่า รอกระทืบขุนสิงห์น้องรัก ที่พลับพลา ที่มีทหาร เหล่าแม่ทัพ ตั้งแถวรอ ให้ขุนสิงห์คลานผ่าน เท้าที่ยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ไปหาเจ้าชีวิตของสิงห์
หน้า 245 ของ 246