แม้ ภาวนาเป็น ก็ เป็นทุกข์
ฝากคำถามถึงขันธ์ครับ...
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฟางว่าน, 16 มีนาคม 2012.
หน้า 5 ของ 7
-
-
-
ช่วยตอบ นาอินจาง ได้ไหมพี่ -
-
คุณบอกชัดไปว่า ทั้งหมด คุณมุ่งแก้คนติดสมถะ ติดสมาธิ ไม่ไปไหนเลย
อันนี้ผมว่า โม้ มากๆ
คุณจะแก้คนติด สมาธิได้ ก็แปลว่า คุณต้องสำเร็จเจโตวิมุติ ตัวนั้นๆ มาก่อน
และต้องชำนาญ มันถึงจะไปแก้เขาได้ ไม่งั้น เขาสวนว่า คุณทำเป็นหรือ หาก
ศีลคุณครบ มันก็ต้อง ม้วนแผ่นดินกลบหน้ากันเลย
ดังนั้น ที่พูดว่า มุ่งแก้คนติดสมถะ สมาธิ อันนี้ ให้ตกไป ไม่น่าเป็นไปได้
แต่ถ้าพูดว่า มุ่งแก้คนที่เพิ่งเริ่มเซิงกระติบ ไอ้นั่นนิด ไอ้นี่หน่อย แล้ว "ปักใจ"
ด้วยการคิด อันนี้ดูจะเหมาะสมกว่า คือ แก้ทิฏฐิเขา ไม่ใช่แก้คนติดสมาธิ
ทีนี้ หากยอมรับว่า "จริงด้วย ผมไปแก้คนทำสมาธิ คนติดฌาณ ไม่ได้"
ก็มาดูกันต่อว่า ตกลง แก้ที่กลุ่มคนแบบไหนกันแน่ บอกได้ไหม ? -
เพียงแต่หนู สงสัยเรื่องความสงบของพี่ หรือพี่เอก กลัวนาอินจัง ให้แล้ว -
-
สงบเพราะโมหะ หรือสงบ จากอะไร ตรงนี้มากกว่าค่ะ
พี่กับหนูแย้งกันตลอดนี้เนอะ พี่เคยชวนพักพวกไปเดินในป่าช้า
แต่ยกเว้นหนูไม่ให้ไปด้วยอีกนะ :'( -
พูดง่าย ทำยาก ฝึกต่อ -
มันสัญญาอารมณ์ทั้งนั้น
ถ้าบอกว่าเห็นความสงบแล้วเห็นจิตนี่หลงทางแล้วครับ
ความสงบก็คือความสงบ ความสงบไม่ใช่จิต
ผิดแล้วครับ -
เมื่อสำรวจลงไปที่ความว่างอันนั้น ก็พบว่า มันไม่มีขอบมีเขตอะไร
ถ้าถามว่า ยึดในสภาวะนั้นหรือไม่ ก็ต้องตอบ ไม่ยึด แต่ก็มีหน้าที่ที่จะต้องดูแล
เมื่อใดที่จมแช่อยู่ในความคิดปรุงแต่งใด ๆ สภาพว่างนั้นก็จะหายไป กลายเป็นความไม่ว่างทันที
ลักษณะอาการทางกายที่พอจะแสดงออกถึงความไม่ว่างได้ ก็คือ
เกิดรู้สึกตึงเครียดขึ้น มากน้อยต่างกันไปตามแต่ความหมกมุ่นนั้น
เกิดอาการแน่น จุก หรือเสียวที่หน้าอก แถว ๆ ลิ้นปี่
อันนี้เท่าที่สังเกตดู เป็นเพราะ
มันเกิดความไม่สมดุลขึ้นมา อันเนื่องมาจาก มีความจงใจลอกเลียนแบบ
หรือพยายามที่จะปรับสภาวะจิตให้เหมือนกับที่คิดนึกจำได้นั้น
เพราะการจะเข้าถึงสภาพว่างอันนั้นได้ต้องอยู่เหนือความปรุงแต่งและพ้นเจตนาใด ๆ ไปทั้งหมด
เป็นสภาวะที่คาดหมายไม่ได้ เหนือความคาดหมาย เอาสัญญาอะไรไปปรุงแต่งก็ไม่ได้
ผู้สัมผัสได้สัมผัสถึงจึงรู้จัก ปรุงแต่งเมื่อไหร่ก็หายไปเมื่อนั้น ยึดมั่นเมื่อไหร่ก็หายไปเมื่อนั้น
ทีนี้พอเข้าใจสภาพว่าง โล่งโปร่งอันนั้นแล้ว ต่อไปเวลาเราจะทำการทำงานอะไร
ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เราสังเกตตรงนั้นเอา ว่ามันยังโล่งยังโปร่ง ยังผ่อนคลายดีอยู่หรือไม่
ถ้าไม่โล่งไม่โปร่ง ไม่ผ่อนคลาย มีอาการตึง ๆ หนัก ๆ แน่น ๆ ขึ้นมาอันนี้แสดงว่า
ความคิดอ่านความปรุงแต่งมันเอาไปกินหมดแล้ว ไม่ว่างแล้ว
ก็รู้มันไปแบบนี้แหละ อารมณ์เกิดก็รู้ อารมณ์ดับก็รู้ เกิด ๆ ดับ ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่นั่น
ทีนี้ก็ใช้สติใช้ปัญญาบริหารจัดการเอา จะบริหารสมมุติอย่างไร
บริหารกาย บริหารจิต บริหารความคิดอย่างไร ไม่ให้มันมาปีนเกลียวกันเอง ก็เท่านั้น
จิตเกิดก็ต้องดับ แต่บางทียังไม่ทันดับหรอก มันดับไปเสียก่อน พอรู้ตัวมันก็ดับไปเลย
ยังหรอกครับ ผมยังต้องฝึกอีกมากครับ ไม่ใช่ว่าจะดีเลิศประเสริฐศรีอะไรนักหนา กิเลสยังมีอีกเพียบครับ
เพียงแค่รู้จักอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง -
ก็คือ คนเรามันจะมี กรรมฐานไปตามธาตุของตน
ธาตุใคร ธาตุมัน แต่ ธาตุกลุ่มเดียวกันนี่ มันจะเข้าหากัน และ ที่สำคัญ
ธาตุหนึ่งจะไปแก้อีกธาตุหนึ่งไม่ได้ หากไม่ได้ละเอียดกว่า สูงกว่า
เช่น พระโมคัลลานะไม่สามารถแก้ปัญหาของพระสารีบุตรได้
และ พระสารีบุตรไม่สามารถแก้ปัญหาของพระพุทธองค์ได้
สรุปแล้วก็คือ
ที่ผมถามว่า ตกลงคุณแก้กลุ่มไหนกันแน่ จริงๆมันต้องเห็นแล้ว
แตที่ไม่เห็น เพราะ ยึดมั่นถือมั่นอยู่ มันเลย งง ไม่ยอมย้อนเข้ามา
มันโง่ซ้อนโง่อยู่ไง พูดภาษาชาวบ้านเรียก หน้าด้าน
พูดภาษาปฏิบัติก็คือ ไอ้ที่บอกว่าพ้นเจตนา นั้นโกหกอยู่ จริงๆแล้วแอบ
ทำทั้งหมด จึงเกิดการยึดมั่นถือมั่น ขึ้นมา -
-
จริง ๆ ผมก็ของขึ้น จิตเกิดนะ แต่ผมก็ต้องฝึก ๆ ๆ เหมือนกัน เอาเมตตา อภัยทาน อโหสิกรรมเข้าไปแทนที่ เสริมกำลังใจตรงนี้เข้าไป ให้กำลังใจมันเต็ม เป็นการสร้างอานิสงส์อย่างหนึ่ง
-
เพราะความสงบไม่ใช่สมาธิไงคะ พอโดนกวนตรีน ให้นิดนุง ของเลยขึ้นมา
เพราะว่า อันนี้เป็นพรสวรรค์ ของนาอินจาง ค่ะ ถ้าหากเห็นความตั้งมั้นในสมาธิแล้ว
นาอินจาง จะตัวเท่ามดเอง -
มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของคนที่ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง คุณยายท่านหนึ่งเล่าให้ฟัง คุณยายแกเป็นคนปฏิบัติดี สมาธิแกก็ดี คิดอะไรมักเป็นไปตามที่แกคิดเสมอ มันเป็นสภาวะหนึ่งนะที่คนที่เคยผ่านมาแล้วจะรู้จักดี บางครั้งบางคราคิดแล้วมันจะเป็นตามที่คิดได้ มันเป็นอำนาจของสมาธิอย่างหนึ่งก็ได้ บางทีก็อาจเป็นด้วยเทพที่คุ้มครองตัวเขาก็ได้ ทีนี้มันมีผู้หญิงสาวคนหนึ่ง ไปทำพูดทำจาก้าวร้าวเข้า จริง ๆ เขาก็ไม่ได้ว่าแกหรอก แต่คุณยายแกฟังแล้ว แกเผลอไม่สบอารมณ์ขึ้นมา แกเล่านะ แกก็เลยคิดว่า อีนางคนนี้มันน่าจะตบปากฉีกนัก พูดจาไม่ได้เรื่อง นี่แกเผลอคิดแวบเดียวนะ ปรากฏว่า มันเป็นไปตามที่แกคิดนะสิ หญิงสาวคนนั้นไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหน ถึงกับปากฉีกต้องเย็บจริง ๆ เข้าในเวลาต่อมา ยายแกเล่าสภาวะการปฏิบัติของแก พร้อมเรื่องที่แกเผลอคิดนี้ให้ฟัง ฟังแล้วมันก็เลยเป็นอุทาหรณ์ให้ได้คิดว่า ต้องระวังใจ ระวังความคิด ระวังวาจา ต่อให้ไม่บรรลุอะไรก็ตามที แต่คนปฏิบัติเขาก็มีสมาธิของเขา เกิดเขาเผลอนึกอะไรขึ้นมา เราจะลำบาก ดังนั้นต้องระวังเรื่องกรรมทางวาจาไว้ด้วย ถ้าระดับเก่ง ๆ นี่ สติท่านว่องไวแล้ว ท่านรู้เท่าทันความคิด รู้ทันอกุศลในใจได้ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะใจท่านดี ท่านก็มองโลกในแง่ดีนะ
อ่านจบ ตกลงกลัว ไม่กล้าเล่ารึป่าว 555 -
เอ้ยพี่ปกติ จะด่าคนที่คิดว่าคุ้น ใครไม่คุ้นไม่ด่าหร๊อก รู้หรอกน่า ว่าพวกพี่ชอบให้หนูด่า
อันนี้คิดเอาเอง แล้วกรรมนั้นจะเป็นอกุศลได้ไง เจตตนาไม่ได้ทำให้โกธรนี่ แต่โกธรก็เรื่องของ พวกพี่ดิ ชิมิ
เพราะหนูอ่ะรู้ว่า ใครคิดอะไรยังไง บางคนคุ้นมากๆ ความคิดเขาเข้าในโสดประสาทเลย
หนูเลยรู้ว่าใครมี หรือไม่มีสมาธิ และแล้วใครที่เผลอโกธรนาอินจัง นาอินจางไม่สามารถทำให้โกธรได้หร๊อก นักปฏิบัติธรรมจะโทษสิ่งภายนอกได้ไง หึย(k)
บอกให้สงบแบบนาอินจัง -
เนี้ยโพสแล้ว กลัวซะที่ไหนล่ะ อ่านแล้วหน้าละรื่นเลยเนี้ย
เพราะนาอินจางมีสมาธิ ไว้สยบตัวเอง ไม่เชื่อล่ะดิ -
ก็ให้ทำไปนั่นแหละ เพียงแต่ อย่าลืมกำหนดรู้ไว้ว่า แอบทำอยู่
พอ ตามเห็นการแอบทำบ่อยๆ มันจะเห็น การไม่ย้อนจิตมาดูที่ฐานด้วย
พอเห็นบ่อยๆว่า การแอบทำ ทำเบาๆ ทำลอยๆ(ว่างๆ ว่างๆ) มันคือการ ออกจากฐาน
ไม่ได้รู้อยู่ที่ฐาน
รู้ไม่ถึงฐาน
มันจะเบรก หากเบรกพอดี มันจะ ติดดอยพอดี แล้วมันจะอึ๊ก อึ๊ก
พอ อึ๊ก แล้วคราวนี้มันจะต้องถอย มันค้างไม่ได้ เพราะ ผู้รู้ไม่เที่ยง
ตรงนี้จึงเป็นโอกาสที่จะพิจารณา ผู้รู้ไม่เที่ยง ฐานภูมันแล่นออกไปสกปรก
เพราะเหตุใด ให้รู้ไปตามความเป็นจริง ไม่ใช่ ไปอยู่บนภู บนดอยแล้ว
มัวแต่เลี้ยงครัสเพื่อให้มันเที่ยง มันคนละเรื่อง -
คนอื่นจะโกรธหรือไม่โกรธไม่สำคัญเท่ากับกิเลสที่มีอยู่ในใจเรา เรารู้ทันมันไหม
ทำไมเราจึงมองข้ามตัวเราเองไป ทั้ง ๆ ที่มันตั้งตระหง่าน (ยืมคำลุงแกมาใช้) อยู่ตรงหน้าทั้งแท่ง
กลับไม่เห็น เห็นเลยไปซะนี่ แล้วเมื่อไหร่จะละกิเลสในใจตนเองเสียที
ขืนมัวแต่ปล่อยให้กิเลสมันอ้างความชอบธรรมอยู่นี่ เดี๋ยวก็เผลอตกอเวจีไม่รู้ตัวหรอก ของอย่างนี้ประมาทไม่ได้นะ
หน้า 5 ของ 7