จากความเห็นว่า ความไร้สภาวะ+ความไร้สภาวะ=ความไร้สภาวะ. ความมีสภาวะที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการรวมกันของความไร้สภาวะเท่านั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง. เป็นมายา การมีความเห็นเช่นนี้จะทำให้เกิดความรู้สึก ไม่ให้สำคัญกับอะไร ทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นรูปหรือนาม เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง จะไม่ให้สำคัญกับอะไร จึงตั้งสติกำหนดอยู่ที่ความคิดความเห็นและอารมณ์ หากความคิดหรืออารมณ์อันไหนทำให้ใจมันเกิดปฏิฆะ ก็จะระลึกไปถึงว่ามันไม่จริง เรื่องไร้สาระ มันจึงเป็นการปฎิบัติที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน สามารถทำได้ตลอดเวลา(หากมีสติดี) มันจึงส่งผลให้ไม่ค่อยทุกข์กับอะไร การใช้การปฎิบัติในแนวนี้ทำให้มีความคิดความเห็นที่แตกต่างออกไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นความเห็นผิดหรือเห็นถูก. เนื่องจากยังมีความสงสัยในความรู้ที่เห็นจึงอยากจะสอบถามกับท่านผู้รู้ หากเป็นความเห็นที่ผิดจะได้เปลี่ยนแปลง แล้ววันหลังจะเล่าเกี่ยวกับความเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆให้ฟังนะค่ะ ว่าความเห็นเช่นนี้จะนำไปสูุ่ภพใด
ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.
หน้า 56 ของ 69
-
-
+++ กระทู้นี้เป็นเรื่องของ "รู้-เห็น" และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "คิด-เห็น" แต่ประการใดทั้งสิ้น ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นต่าง ๆ ในกระทู้นี้ถือว่าเป็น "อาการ" ของ "คิดซ้อนคิด" ตรงนี้ต้อง ปรับประเด็นให้ ตรงทาง เสียก่อนนะ
+++ หากเป็นผู้ที่ทำได้จริง แม้กระทั่ง "การกำหนด (รวมถึงการกำเนิด) จิต ทั้งหมด ถูกรู้" ซึ่งเป็น "สติระดับที่ 4 ของกระทู้นี้" ตรงนี้เรียกว่า "เห็น"
+++ ผู้ใดที่ "เห็น" ตรงนี้ได้ "จิต" จะดับไปทันทีไม่มีการสืบต่อ ตรงนี้เรียกว่าเห็นอาการ "เกิด-ดับ" ของจิต แต่ตรงนี้ยังเป็น "สติระดับ 4" ของกระทู้นี้ เท่านั้น (อยู่ในหน้าแรกของกระทู้)
+++ หลายคน หรือแม้กระทั่ง สายกรรมฐานบางสาย เมื่อมาถึง "สติระดับ 4" ตรงนี้ ก็มักจะหมายเอาว่า "ตนรู้แล้ว ตนเข้าใจแล้ว" แต่ความเป็นจริง "ตรงนี้แค่ต้นทาง" เท่านั้น
+++ จนกว่าจะเกิดอาการ "เบื่อ (นิพพิทา)" ในอาการ เกิด-ดับ ของจิต จึงค่อยแสวงหาวิธีที่ทำให้ "มันดับแบบไม่ต้องเกิดมาอีก" แต่จะหาทางเท่าไร "ก็ไม่เจอ" ก็เลยเกิดอาการ "เลือกฝั่ง"
+++ ตรงนี้จึงทำให้เกิด สติระดับที่ 5 "อยู่กับตน" และนี่คือ จุดเบื้องต้นของ "สติครองฌาน" จากนั้นจึงเข้าสู่กอง "ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" ได้ จากนั้นจึง พัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ แต่จะไม่กล่าวในโพสท์นี้ เพราะมีอยู่แล้วในกระทู้
+++ หากชอบ "ความคิด" ในลักษณะนี้ ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะไม่นานมันจะทำให้ "กระทู้ฝึก กลายเป็น กระทู้โต้วาที" แล้วเกิด "วิวาทะ" แล้ว "กรรมหนัก วิบากหนัก" จะตามมาถึง "ผู้ที่ไม่รู้จริง ทำไม่ได้ตามความเป็นจริง รวมทั้ง ผู้ที่มีเจตนาแอบแฝงต่าง ๆ" กรรมเกิดจากเจตนา ไม่สามารถบิดเบือนด้วยคำพูดได้ วิบากจะสาหัสมากจริง ๆ เพราะมันทำให้เกิดการ "ขวางธรรมะ" กันมากขึ้น
+++ หากชอบ "ธรรมะ" ในลักษณะนี้ ก็ควรฝึก "สติระดับ 3 กำหนดรู้" ซึ่งมี วิธีทำ อยู่ในหน้าแรกให้ได้เสียก่อน และ เมื่อระดับการฝึกถึงจุดอันสมควรแล้ว ธรรมะ ในระดับที่ NASA ยังไปไม่ถึง คุณก็เข้าถึงได้ และ ยังมีมากกว่านั้น ธรรมะ ในระดับการ เกิด-ดับ ของอสงไขย ก็สามารถเรียนรู้ได้ แต่ตรงนี้เป็นการฝึกการเรียนของ นักเรียนในภาค "มหาปัฏฐานสูตร (เหตุปัจจัยโย) อันเป็นภาคขากลับ" ไม่ใช่ภาค "มหาสติปัฏฐาน 4 (กายเวทนาจิตธรรม) ที่เป็นภาคขาไป" เมื่อถึงจุดอันสิ้นสงสัยทั้งหมดแล้ว ก็จะ "เบื่อ" ในภาคมหาจักรวาล แล้ว พัฒนาเข้าสู่ การพ้นจากภาคนี้ แล้วไม่หวลกลับมาอีก
+++ อนึ่ง ให้เข้าใจไว้ว่า การฝึกปฏิบัติในกระทู้นี้ ไม่ใช่การฝึกของ สุขะวิปัสสโก ให้ทราบไว้แค่นี้ก่อน ก็พอ
+++ ตรงนี้เป็น "ฟุ้งซ่าน+ฟุ้งซ่าน=มหาฟุ้งซ่าน" และ ฟุ้งซ่านทั้งหลายนั่นแหละคือ "มายาของ ความคิด" และนี่แหละคือ "คิดให้ตายก็ไม่รู้"
+++ เมื่อ "จุติจิต" บังเกิดและเป็นจน "ได้นิสัย แต่ยังไม่มี อาสัญญกรรม" เมื่อไร การ booking ตั๋วในการจุติ ก็จะเกิดขึ้น เมื่อนั้น
+++ ในขณะที่ "อาสัญญกรรม" ก่อตัวขึ้น "จุติจิต" ก็จะเริ่ม "เล็งเป้า" แล้วเตรียมการ "อยู่-ย้าย" ไปตามเป้าที่เล็งนั้น ตรงนี้เป็น "กฏแห่งกรรมในระดับ วาระจิตและการจุติจิต"
+++ แต่ "กฏแห่งกรรมในระดับ วาระจิตและการจุติจิต" จะรู้ไม่ได้เลย เมื่อยังไม่สามารถผ่านพ้น ถีนมิทธะ (ความง่วงนั่งหลับ) ตรงนี้ และในที่สุด "ตื่นขึ้นมา จำอะไรไม่ได้" ตรงนี้ถือว่า "หลงภพภูมิ" อย่างเต็มตัว โดยหมดโอกาสที่จะรู้ได้ว่า "ภพภูมิ" ได้เกิดขึ้นและจบลงไปกี่ภพภูมิแล้ว ยังดีที่ยังมี "กายเนื้อ" เป็นตัวถ่วงอยู่ หากหมดกายเนื้อเมื่อไร แต่ละภพภูมินั้น ๆ จะกลายเป็น "แต่ละชาติกำเนิด" ทันที
-
+++ ยิ่งคิด อาการ Loop วนก็จะยิ่ง "บังรู้ บังสติ" จนหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ หากปรารถนาที่จะ "ออกจากวังวนนี้" ก็ให้ "อยู่กับความรู้สึกตัวทั่วถึง" ตรงนี้คือ "การย้ายออกจากคิด มาอยู่กับสติ"
+++ จากนั้นให้สังเกตุให้ดี ๆ ว่า "ยามใดที่อยู่กับ รู้หรือรู้สึก ยามนั้น ความคิดจะดับไป หรือ ชลอตัวลงและอิทธิพล ลดลง ณ เวลานั้น ๆ ทันที"
+++ จากนั้นให้ "ฝึกตรงนี้ให้ได้นิสัย" นะครับ -
อาจารย์ จากลิงค์นี้ http://palungjit.org/posts/9751191
-
+++ อ่านดูแล้ว น่าจะพูดถึง "การตรึงมวล ในทุกอณู" โดยการทำให้ Atomic-bond ไม่เกิดการเคลื่อนตัว และ สลายแรงดึงดูด อะไรทำนองนั้น
+++ ทำให้นึกถึง "เรื่องเล่า" เกี่ยวกับสมัยมหาสงครามเอเซียบูรพา ที่ฝ่ายสัมพันธมิตร (อังกฤษ เมกา ฝรั่งเศษ) พากันมารุม "ทิ้งระเบิดในเมืองไทย" (เลยโดนวิบากกรรมในช่วงนี้)
+++ แล้วเกิด "ระเบิดด้าน" ทิ้งลงมาดัง "ตุ๊บ ๆ เฉย ๆ ไม่มีบึ้ม" ตามสถานที่สำคัญ ๆ หรือสถานที่ ๆ มี "ทรายเสก" ของหลวงพ่อ (ชื่ออะไรจำไม่ได้) รู้แต่ว่า "เป็นเกจิดังแถว ๆ อยุธยา" ไม่ใช่สาย ธรรมกาย หรือ สาย มโน ในยุคนี้ เอ่ยชื่อไปก็ไม่มีใครรู้จัก เป็นเรื่องเล่าสมัยที่ผมยังเด็ก เลยจำชื่อหลวงพ่อองค์นี้ไม่ได้
+++ บ้านญาติทางยายผม ก็โดน 2 ลูก ทิ้งลงมาในบริเวณ ทรายเสกของหลวงพ่อองค์นี้ มัน ตุ๊บลงมาเฉย ๆ ไม่ระเบิดทั้ง 2 ลูก ตอนหลังให้หน่วยทหารขนย้ายระเบิดออกไป จำได้เท่านี้
+++ ดังนั้น "anti-war devices หรือ สนามพลังงานหลากมิติ หรือพวก massless objects รวมทั้ง ฟิสิกส์หลากมิติ" ต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องของ ฟิสิกส์ 3 มิติ แต่เป็นเรื่องที่ "พลังจิตในโลกระดับ 3 ทำได้" แต่ผมจะไม่พูดถึง เรื่องนี้เป็นเรื่อง "อฐิษฐานฤทธิ์" อยากทราบว่าทำอย่างไร ให้ไปหาอ่าน "วิธีอฐิษฐาน ที่หลวงปู่มั่น ต่ออายุจาก 60 เป็น 80 ปี" เอาเอง
+++ มนุษย์ในโลกระดับ 3 หรือที่เรียกกันว่า third density นี้ ผู้ที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ ต้องเข้าใจชัดเจนในเรื่องของ "ความเป็นกาย-ความเป็นตน (ภาษาบาลี สักกายะทิฐิ)" แล้วเป็นอย่างดี จึงจะรู้ได้ว่า "ความเป็นตนอยู่ที่ไหน ความเป็นกายอยู่ที่นั่น" ส่วนผู้ที่จะ "ใช้ความเป็นตน" ได้ดังใจ ผู้นั้นต้องได้ "มหาปัฏฐานสูตร (เหตุปัจจัยโย)" เสียก่อน โดยเฉพาะ "อธิปะติปัจจัยโย กับ สหะชาตะปัจจัยโย (แตกขันธ์บริวาร ณ ขณะเดียวกัน)" เรื่องพวกนี้ "เป็นอจินไตย" ในเวปนี้ ดังนั้นผมจะ "ไม่กล่าวถึง" ไว้ฝึกต่อหน้าแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
+++ เรื่องของ Kryon พวกนี้ ผมไม่ได้ให้ความสนใจ และไม่เคยปรากฏมาในแวดวงการฝึกซะด้วย
+++ ผมจะให้ความสนใจ "เฉพาะ" พวกที่เข้ามาเกี่ยวข้อง "โดยบังเอิญ หรือ จงใจติดต่อเข้ามา" เท่านั้น เพื่อป้องกันในเรื่องของการ "นึกเอาเอง เออเอาเอง" และทุกอย่างในการฝึก "จะต้องทำบันทึก" ในเรื่อง "การฝึก และ ผลลัพธ์จากการฝึก" ทุกครั้งที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่อง อจินไตย ไม่งั้นมันจะเป็น "มโนมะทึบทึบ" ไป ซึ่งผม "ไม่ยอมรับ" ตรงนี้แน่นอน
+++ การฝึกในภาค "ไร้กาย ไร้อัตตา หรือ ม้างกาย ต่าง ๆ" ผมจะไม่นำมากล่าว ในเวปนี้ เป็นอันขาด ผู้ที่อยากรู้ ปรารถนาที่จะทำได้ "ต้องฝึกเองด้วยตน" เท่านั้น นะครับ -
อาจารย์ ดาวไม่ได้สนชาวครายออนอะไรเนี่ย สนแต่ ทำยังไงให้ระเบิดมันด้าน
คงจะมีประโยชน์ไม่น้อยในวันข้างหน้านี้ -
+++ "คน" ทำระเบิด "คน" วางระเบิด "คน" ทำให้มันระเบิด
+++ "คน คน คน" เป็นสิ่งที่มีจิตครอง "ระเบิด" เป็นสิ่งไม่มีจิตครอง (และ ผีไม่กล้าสิงในระเบิด แน่นอน ถ้ามันรู้)
+++ หากหยุดที่ "คน" ไม่ได้ ก็จะไม่มีวันแก้ปัญหา ระเบิด ได้เลย
+++ ถามคำเดียว "ระหว่าง หยุด IS กับหยุดระเบิด" ตรงไหนเป็นการ "ดับที่เหตุ" ตรงนี้จะวางไว้แค่นี้ก่อน
+++ ถ้าอยากจะทำให้ระเบิดมันด้าน ผู้อยากจะต้องฝึกจน "เห็นอณู" ให้ได้เสียก่อน
+++ จากนั้นจึงฝึก แก้ปัญหาให้ได้ว่า หากจะควบคุมอณู จะต้อง "ควบคุมที่อณู หรือ ที่ตน"
+++ หาก ควบคุมที่อณู หรือ ที่ตน แล้วมันไม่หยุด จะต้อง ม้างกาย ลงในระดับไหนจึงจะ compatible กับอณู
+++ ตอนนี้ "มึนตึ๊บ" มากกว่ามือระเบิดหรือยัง งวดการฝึกปีหน้าอย่าลืมเตือนเรื่องนี้ก็แล้วกัน จะสอนเรื่อง อณู ให้
+++ ส่วนเรื่องทรายเสกนั้น ไม่รู้ หลวงพ่อองค์นั้นท่านไม่สนใจเรื่องชื่อเสียง สนใจแต่ช่วยคนให้พ้นภัยเท่านั้น
+++ สงครามจบ มนุษย์ก็ไม่สนใจเรื่องทรายเสกอีก (ประโยชน์มีแค่นั้น ช่วงสั้น ๆ) หากท่านยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะเกิน 100 ปีไปแล้ว
+++ แต่เท่าที่ดู ๆ ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่อง "อฐิษฐานฤทธิ์" คือ อฐิษฐาน แล้ว หยุดตนให้เป็น อุเบกขาจนชัดเจน (ฌาน 4) แล้ว ถอนออกมา อฐิษฐานซ้ำอีกที
+++ ของหลวงปู่มั่นใช้ อฐิษฐาน แล้ว ดับตน เหลือแต่รู้อย่างเดียว (จิตบริสุทธิ์) แล้วถอนออกมา อฐิษฐานซ้ำอีกที
+++ หลักของการ อฐิษฐานฤทธิ์ ก็มีเท่านี้ คือ 1. ตั้งเจตนา 2. เข้าพลัง (โลกียะใช้ฌาน โลกุตระใช้ญาณ) 3. ซ้ำเจตนา
+++ ลองเล่นกับ อฐิษฐานฤทธิ์ ที่โน่นไปก่อน การ "หยุดตนให้เป็นอุเบกขา รวมถึง การทำลายตัวดูทิ้งเหลือแต่รู้" ก็ทำได้ตั้งแต่ฝึกคราวที่แล้ว
+++ ถ้าขี้เกียจเล่น อฐิษฐานฤทธิ์ ก็ใช้การถอดชนวนมันออก เทดินระเบิดเอาไปทำเชื้อเพลิง (ถามทหารพรานเอาเองนะ) แล้วเอาเหล็กไปชั่งกิโลขายก็ได้ หุหุ -
อาจารย์ตอบยาวยืด ดับตนคงได้อยู่ แต่คงดับระเบิดทั่วโลกไม่ได้ละ ช่วยชาวโลกไม่ได้แล้ว 5555+
แต่ก็ยังอยากเรียนเผื่อไว้ไม่เสียหายเรียนไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
ใครอยากเรียนยกมือขึ้น ครอสเรียนหนัก 10 วันรวด
พลาดโอกาสแบบนี้แล้วพลาดกันเลยน่ะ อาจารย์ใจดีขนาดนี้ -
+++ อาการที่ "ก่อ" การตรวจจับอณู จะเกิดการรวมตัวแบบ "มีสภาพ เป็นกลุ่มกระจุกของ ไอธาตุ อะไรสักอย่างหนึ่ง" (อารัมมะนะปัจจัยโย)(กำเนิดอวิชชา)
+++ จากนั้น กลุ่มกระจุกไอธาตุ นี่แหละเกิดการบิดตัวเป็น "Tornado" แล้วลงไป Touch Down ที่ "อณู" (กำเนิดสังขารา)
+++ ทุกอย่าง "เกิดในความว่าง" เกิดในสภาพ "ไร้อัตตา" และตรงนี้ "อัตตา" ก็ถือกำเนิดขึ้นมา จากความว่าง นั่นแหละ (กำเนิด วิญญานัง)(อะธิปะติปัจจัยโย)
+++ หากใคร "รู้ทัน" ตรงนี้ กระแส Touch Down จะเกิดการถอนตัว แต่แน่นอน Storm base (มวลไอธาตุ) ยังมีอยู่
+++ กระแส Touch Down ตรงนี้แหละคือ "จิตส่งออกคือสมุทัย" ส่วนการ "Touch Down แล้วถอนตัว" ตรงนี้คือ "มัน จ่อไม่จ่อ" ของหลวงตามหาบัว
+++ ที่กล่าวมานี้ คือ หลักสูตรการฝึกขั้นต่อไปของผู้ที่ "ดับตน" ได้แล้ว ก็จะเข้าสู่ ความรู้แจ้ง ของการ "กำเนิดตน" นั่นแหละ จากนั้นจึงต่อไปถึง "การใช้ตน" (ใช้ขันธ์ต่าง ๆ)
+++ 1 ถึง 13 กุมพาพันธ์ หากได้ที่ กทม อาจฝึกได้มากกว่า 10 คน แต่แบ่งเป็น 2 ห้อง คือ ห้องผู้ฝึกใหม่ กับ ห้องผู้ที่ดับตนได้แล้ว
+++ หากไม่มีที่ฝึกใน กทม ก็ใช้ คอนโดที่หาดแม่รำพึง ระยอง แต่เต็มพิกัดได้ 6 คน และ เฉพาะผู้ที่ดับตนได้แล้ว เท่านั้น นะครับ -
5555+ อาจารย์ 4 วันหายไปไหน ก็เอาไว้พักผ่อน กินเที่ยว เยี่ยมพ่อแม่ปู่ย่าตาทวด
-
นั่งโดยวิธีนี้ ทำให้เกิดปีติ สบายดีจังครับ ชอบแนวทางมากครับ
อยากขอทราบเทคนิค 0 เปอร์เซ็นต์ จากอาจารย์ ธรรมชาติ หน่อยครับ ไม่ทราบว่าต้องวางอารมณ์และจิต ไว้อย่างไร :cool: -
อาการ 0% เป็น "ก้าวแรกของ วิปัสสนาญาณทัศนะ"
+++ ผู้ที่จะเข้าสู่ "อาการ 0%" ควรที่จะ "ผ่าน" อาการไล่ลำดับ % ต่าง ๆ มาแล้ว รวมถึง "ชำนาญในวสี 5 ประการ" มาแล้วเช่นกัน
===============================================
+++ ในขั้นตอน "ย้อนหลัง" ตรงนี้ ผมจะให้คำอธิบาย "ในรายละเอียด" ดังต่อไปนี้ (ก่อนที่จะ "อยู่" ในอาการ 0%)
+++ อันดับแรก ให้เข้าใจเสียก่อนว่า "กาย คือสิ่งที่ จิตอาศัยอยู่ (วิหารธรรม) และยึดถือเอาเป็น ตน" (รู้ตน มีตนเป็นที่พึ่ง)
===============================================
+++ จากการเคยไล่ลำดับ % ต่าง ๆ มาแล้ว จะรู้ได้ว่า "ลักษณะของ เนื้อกายเวทนา" สามารถแปรเปลี่ยนได้ตาม "ความเข้มข้น-เบาบาง" ตามการ เร่ง-ผ่อน ของวสี
+++ ไม่ว่า กายเวทนา จะแปรเปลี่ยนไปอย่างไร ผู้ที่ฝึกฝนจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่า
1. รู้ตัวเองชัดเจนมากกว่ายามปกติ และ ไม่มีทุกข์เข้ามาเกี่ยวข้อง
2. ความ "ชอบ-ไม่ชอบ-ฟุ้งซ่าน-ลังเล-ง่วงซึม" ไม่ปรากฏ เมื่อตั้งอยู่ในฐานของกายเวทนาได้แล้ว ตรงนี้ยืนยันด้วยตนเองได้ว่า "พ้นนิวรณ์ 5" ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
3. อาการ "พ้นนิวรณ์ 5" คืออาการที่เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" ส่วนอาการ "รู้ตนเองชัดเจน" นั้นคือ "สติ+สัมปชัญญะ" เป็นลักษณะเด่นและอยู่เหนืออิทธิพลของ สมาธิ ทั้งหมด
+++ จากอาการ "กล่าวย้อนหลังการฝึกแบบคร่าว ๆ" นี้ ให้ทบทวนตามบันทัดต่อไปนี้สัก 3-5 นาที เพื่อความชัดเจน คือ
===============================================
+++ ให้ไล่อาการ % ใหม่ แล้วให้สังเกตุจน "แน่ใจรู้แจ้งว่า" ไม่ว่า กายจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม แต่ "อาการ รู้" ยังอยู่คงที่อย่างเสถียรภาพ ตลอดเวลา
+++ ให้ "อยู่" กับอาการ "รู้" ตรงนี้ แล้วไล่เรียง % ของกายใหม่อีกที ก็จะทำให้เริ่มเห็น "การกำหนดจิต และ ผลลัพธ์จากการกำหนดนั้น ๆ ถูกรู้"
+++ จากนั้น "ให้ถอนจิต และ เลิกฝึก" ก็จะชัดเจนได้อีกว่า แม้กระทั่ง "การเลิกฝึก ก็ยัง ถูกรู้"
===============================================
+++ ตรงนี้แหละคือ "อาการ 0%" หากอยู่กับอาการตรงนี้ได้ชำนาญแล้ว ให้หมั่นฝึกซ้อม "ย้อนหลัง" กายเวทนาและวสี รวมถึง การแปรสภาพของ "ตัวเนื้อ ของกาย" ไว้เนือง ๆ
+++ โดยที่ "อยู่กับรู้" 0% ตลอดเวลา ซึ่งไม่นานก็จะพัฒนาสู่ระดับของ "การกำหนดจิตทั้งหมด ถูกรู้" เมื่อถึงตรงนี้ให้หมั่นสังเกตุว่า "การกำหนดนั้น ๆ เป็นของใคร" หากมันไม่ใช่เราเป็นผู้กำหนด มันย่อมมาจาก การกำหนดของผู้อื่น ตรงนี้เป็นการเริ่มต้นของการเรียนรู้ในเรื่องของ "จิตสื่อสาร" Telepathy และ เจโตปริยะญาณ ต่าง ๆ
+++ กาย 0 คือ "อยู่กับรู้" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล (ในชั้นเบื้องต้น ที่ยังเรียนไม่จบ) ส่วนการจะอยู่ได้นานเท่าไร ตรงนี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน รวมทั้ง "อยู่แล้ว รู้อะไรบ้าง" ก็เป็น ปัจจัตตัง ของแต่ละคนเช่นเดียวกัน
+++ กาย 0 คือ "รู้ ที่กลายเป็น เห็น (ญาณ ที่กลายเป็น ทัศนะ)" แม้ในขณะที่ "การเลิกฝึก ก็ยัง ถูกรู้" ตรงนี้ "ทั้งกายและกิริยาจิต" ก็กลายเป็น "สิ่งถูกรู้" โดยอัตโนมัติ อยู่ในตัว ควรทำให้ชำนาญ
+++ ในขณะที่ "ฝึกย้อนหลังไปตาม % ต่าง ๆ" โดย "อยู่กับรู้" ตลอดเวลา ก็จะทำให้เริ่ม "ชัดเจน" ได้ว่า "กาย" มีทั้งระดับ "หยาบ กลาง ละเอียด (ทิพย์) หลายระดับชั้นขั้นตอน" หากอยู่ในกายระดับหนึ่ง องค์ประกอบและสิ่งแวดล้อมก็เป็นอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนระดับกาย องค์ประกอบและสิ่งแวดล้อมก็จะเปลี่ยนไปด้วย "รวมทั้งธรรมารมณ์ที่เสพด้วยเช่นกัน"
+++ เมื่อเห็นตรงนี้ได้ชัดเจนเมื่อไร ก็ให้รู้ว่า "การกำหนดกาย ย่อมนำมาซึ่งภพ ส่วนธรรมารมณ์เป็นตัวระบุชี้ถึง ภูมิ" ทุกสิ่งในบริเวณนี้ "สัมพันธ์เป็นวงจรเดียวกัน" ให้ทำตรงนี้ "ให้รู้แจ้ง" จนกว่าจะ "สิ้นสงสัยในการกำหนดกาย (สักกายะทิฐิ)" "สิ้นสงสัยในความสัมพันธ์เป็นวงจรเดียวกัน (วิจิกิจฉา)" "สิ้่นสงสัยในการกำหนดที่พ้นทุกข์เบื้องต้น (ศีลและพรต ปรามารมณ์)" เมื่อ "แจ้งชัด" ตรงนี้ได้เมื่อไร เมื่อนั้นก็ย่อม "รับรองตนเองได้ว่า ปิดอบาย ได้อย่างมั่นคง" แน่นอน
+++ ให้ผ่านในบริเวณนี้ ให้เรียบร้อยเสียก่อน ผลลัพธ์จากการฝึกฝนในบริเวณนี้ จะเป็นตัวชี้ "จริต" ว่าจะมุ่งไปในแนวทางไหนจาก สุขะวิปัสสโก หรือ รู้รอบละเอียดกว่านี้ นะครับ -
+++ ขอให้ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน (รวมถึงทุกตนด้วย) ประสพความสำเร็จและมีความสุขโดยถ้วนหน้ากัน ตลอดปี 2016 นะครับ ;aa44be happy1
-
อิทธิพลของ สักกายะทิฐิ
+++ วันนี้บังเอิญเจอข่าวแปลก ๆ ที่แสดงออกถึง "สักกายะทิฐิ และ อิทธิพลของมัน" จึงเอามาโพสท์ไว้ในที่นี้ ใครจะว่าเป็น "อภิญญา" หรือไม่ก็ อย่าเพิ่งไปใส่ใจ
+++ เจตนาในโพสท์นี้ จะชี้ให้เห็นเพียงแค่ "ความเป็นตน คือ อาการตั้งอยู่" ในกฏของไตรลักษณ์ ใครศึกษาในส่วนนี้ได้ดีและละเอียด ก็จะ "แตกฉาน" ในส่วนของ อจินไตย ได้เองตามธรรมชาติ
+++ ถือว่า "เป็นของขวัญปีใหม่" สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม และเป็นโพสท์แรกในปี 2559 นี้ นะครับ
+++ เรื่องของ "สักกายะทิฐิ" เป็นเรื่องของ "ตัวดู" ยึดเอาสภาวะรอบนอก มาเป็นตัวมัน (ในวงจรของความเป็นอยู่ของ ตัวดู)
+++ ยึดหรือจำกัดขอบเขต ได้แค่ไหน ส่วนนั้นก็อยู่ได้ และมีความ "เป็นตน" โดยสภาวะแห่ง "พลังงานของความเป็นตน" (กายเวทนา - กายธรรมารมณ์ เป็นเรื่องของ "นามกาย") เป็นสภาวะหล่อเลี้ยง
+++ สัตว์เดรัจฉาน "โดยทั่วไปตามมาตรฐาน" ความเป็นตน จะอยู่ในบริเวณ "ส่วนหัว หรือ ส่วนที่ ตัวดู อาศัยอยู่" เป็นหลัก รวมถึง "อาณาบริเวณโดยรอบ" ส่วนจะ ใกล้-ไกล เพียงใดตรงนี้เป็น "ปัจจัตตัง" ของจิตแต่ละดวงที่ แผ่รัศมีจนเป็นนิสัย ออกไปไม่เท่ากัน
+++ วิธี "ศึกษา" ตรงนี้
1. ในปัจจุบันขณะ ที่อ่านอยู่นี้ "ให้ตรึงขอบเขตของ ความรู้สึก" ให้ "หยุดอยู่กับที่ ห้ามขยายขอบเขตออกไป" (สำหรับผู้ที่เคยฝึก "กายเวทนา" ตรงนี้ "สัญชาติญาณ" ย่อมแผ่ออกไปทั้งตัวแล้ว)
2. ใครที่ "แผ่ออกไปแล้ว" ก็ให้ "หดกลับ" มายังขอบเขตในขณะ "แรกอ่าน" โพสท์นี้ หรือ "ถอนจิตออกทั้งหมด" แล้ว "เริ่มต้นอ่านใหม่" แล้ว "ตรึงขอบเขต" ไม่ให้ขยายตัวออกไป
=================================================
*** โดยปกติตามธรรมชาติ สักกายะทิฐิ จะไม่ปรากฏแบบ "รู้สึกตัวทั่วพร้อม" มันจะมีได้แค่เป็น "หย่อม ๆ" อันเป็นลักษณะตามธรรมชาติของมัน (ในขณะที่ ไม่มีอาการของ จิตส่งออก) และจะไม่มีลักษณะแบบ "ปัญจะสาขา" (1 หัว + 2 แขน + 2 ขา = 5 ระยาง เรียกว่า ปัญจะสาขา) ลักษณะโดยรวมจะเป็น "ทรงกลม"
*** ในขณะที่ "ตัวดู ถูกรู้" และแยกตัวออกเป็น "วัตถุภายนอก" โดยเบ็ดเสร็จ ในขณะนั้นเป็น "วิปัสสนาญาณทัศนะ" ในขณะที่ "ตัวดูเป็น แก่นกลาง" ในขณะนั้นเป็น "มหาปัฏฐาน (อธิปะติปัจจัยโย)" ทั้ง 2 สภาวะนี้ จะมีลักษณะเป็น "ทรงกลม" ทั้งสิ้น ไม่มี ปัญจะสาขา อันเป็นลักษณะของ "กามาวจร"
*** ส่วน "สภาวะรู้" นั้นไม่มีลักษณะ ไม่จำกัดทั้ง นอก-ใน ทรงกลม และมีอยู่ได้ทั้ง นอก-ใน รวมถึง "ทั้งหมด" แห่งเนื้อ "ธาตุรู้"
=================================================
3. หลังจาก "ตรึงขอบเขต" ให้จำกัด ตน ได้แล้ว "ส่วนที่อยู่นอกขอบเขต" แม้ว่าจะมีอยู่ "แต่การยึดเป็นตน" จะไม่ปรากฏ หากมีอยู่ก็จะเป็น "สักแต่ว่ารู้" แต่ถ้า ไม่ใส่ใจ ก็จะเกิดการ "วางหายไป" ตรงนี้ให้สังเกตุให้ดี ๆ (สภาวะของ "เนื้อแห่งความเป็นธาตุ" แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง)
4. ในส่วนที่ "อยู่ภายในขอบเขตที่ เป็นตน" ก็จะมีความรู้สึก และมีพลังงานที่จิตอาศัยอยู่ หล่อเลี้ยง ในส่วนที่ "นอกความเป็นตน" จะไม่มีส่วนที่ พลังงานของจิต เข้าไปหล่อเลี้ยง จะมีก็เพียง วัตถุธาตุทาง กายา เท่านั้นที่ยังรักษาอยู่ (ในส่วนของกายเนื้อเท่านั้น ส่วนของกายละเอียดหรือกายทิพย์ จะไม่พูดถึงในโพสท์นี้)
+++ หากใครยังทำใน 4 ข้อข้างบนนี้ไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งกดลิ้งค์เข้าไปดู เพราะมันจะทำให้เกิด "ความปรุงแต่ง ฟุ้งซ่านได้ง่าย"
+++ หากใครทำตาม 4 ข้อข้างบนได้อย่าง "ชัดเจนและแจ่มแจ้งแล้ว" ก็ให้กดเข้าไปดูตามลิงค์ได้เลย แล้วจะเข้าใจในเรื่องของ "สักกายะทิฐิ" ได้ชัดเจนกว่าเดิมมาก
https://youtu.be/A09JBQqPLSg
รายละเอียด
อึ้ง!! “เจ้าบุญครึ่ง” ปลาครึ่งท่อนยังวายน้ำได้ (คลิป) : มติชนออนไลน์
+++ แม้ว่า จะเข้าใจได้แล้วก็ตาม หากจะกลั่นกรองออกมาเป็นภาษาที่จะเป็นประโยชน์แก่บุคคลโดยทั่วไปแล้ว จะยากกว่ากันกี่เท่าตัว (ผู้ที่เข้าใจแล้ว ย่อมทราบดี) ส่วนภาษาที่ "ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชนในยุคนี้" ให้วางไว้ก่อน เพราะยิ่งมาก็จะ "ยิ่งฟุ้งซ่าน" ลุกลามกันไปใหญ่โต จนท้ายที่สุดกลายเป็นการทำลายศาสนาพุทธไปโดยปริยาย แบบไม่รู้ตัว ตรงนี้ พวกเราไม่ควรเข้าไปมี "ส่วนร่วม" แห่ง วิบากกรรม นั้น ๆ เลยนะครับ -
พูดถึงกายพลังงาน เคยทำนั่งร้านทาสี เข้ากายพลังงานก่อน ลักษณะเพ่งเข้า พลังงานเต็ม แบกท่อนไม้ไผ่หนักๆได้สบายๆ ไม้ไผ่ 40 ลำ ตั้งนั่งร้าน+ขันชน๊อก ทำคนเดียว ความสูงของนั่งร้าน 8 เมตร ตอนทำนี่ เหงื่อออกมาจากรูขุมขนหยดติ๋งๆเลย กายเนื้อไม่มีอาการเหนื่อยใดๆ แต่พอทำเสร็จ ถอนกายพลังงาน ก่อนที่พลังงานจะสลาย จะรู้สึกมีพลังงานวิ่งวนยุ๊บยิบทั่วร่างกายก่อน หลังจากนั้นจะหมดแรง หลายคนที่เห็นนั่งร้านแล้วถามว่าทำกี่คน ตอบทำคนเดียว ไม่มีใครเชื่อสักคน
-
...พระองค์ทรงค้นพบ การเวียนจบของจักรวาล หนทางที่จะว่ายผ่าน วัฏสงสารอันปลดปลง
+++ ในลำดับไตรลักษณ์ ตรงนี้เป็นใน step ที่เรียกกันว่า "ตั้งอยู่" สำหรับผู้ที่มีจริตในทาง "รู้แจ้ง" (ไม่ใช่จริตสุขะวิปัสสโก ที่ละวางปล่อยวางแม้แต่ สภาวะธรรมที่ปรากฏเฉพาะหน้า) ให้ค่อย ๆ สังเกตุไปตั้งแต่ step ที่เรียกกันว่า "เกิดขึ้น" (ตรงนี้เรียกว่า เดินจิต) ไปจน step ที่เรียกว่า "ตั้งอยู่" (ตรงนี้คือ สมาธิ แบบมหาปัฏฐานสูตร (เหตุปัจจัยโย)) จนถึงจบลงใน step ที่เรียกกันว่า "ดับไป" (ตรงนี้คือ ถอนจิต ในกระบวนนี้ ให้รวมฝึกแบบ ถอนเร็ว-ช้า เพื่อรู้แจ้งในสภาวะ ธรรมารมณ์ ในขณะที่ถูกถอน) จากนั้นในเวลา "เดินจิต" รอบใหม่ทุกครั้ง ก็จะทำให้เห็น "เหตุที่จิตถือกำเนิด" ได้ ตรงนี้อาจใช้เวลาพอสมควร
+++ สำหรับผู้ที่ "ร่ำรวยของเล่น" ร้อยทั้งร้อยจะมีความละเอียดใน step ที่เรียกกันว่า "ตั้งอยู่" รวมถึงการ "อยู่-ย้าย" แบบละเอียดในขณะ ตั้งอยู่ สู่ ตั้งอยู่ (เอกัคตา สู่ เอกัคตา) ภาษาที่ใกล้เคียงที่สุดตรงนี้น่าจะเป็น "teleportation" หรือ "ล่องหน" ไปมาในสภาวะธรรมต่าง ๆ รวมทั้งการรู้ทั่วถึงองค์ประกอบที่เรียกว่า "ภพ-ภูมิ" ต่าง หากชำนาญดีเพียงพอ ก็จะสามารถ ล่องหน ออกมาจากภพภูมิที่ทางโลกรู้จักกัน แล้วหลุดออกมา นอนเล่นอยู่ในอวกาศและรู้จักสภาวะที่เรียกว่า "เนื้ออวกาศ" ที่ยังมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละระดับ เช่น ภายในระบบสุริยะ จะมีความหนาแน่นของเนื้ออวกาศ มากกว่าในระดับ กาแลคซี่ ส่วนระดับกาแลคซี่ เนื้ออวกาศก็จะยังแน่นกว่าระดับ กลุ่มกาแลคซี่ จนกระทั่ง ออกไปจนเนื้ออวกาศไม่สามารถที่จะ จางคลายได้มากกว่านี้แล้ว และหยุดชั่วครู่ก็จะเริ่มเห็น สภาวะที่เป็นการ กางกั้นระหว่างเนื้ออวกาศภายในกับภายนอก จนเมื่อล่องหนออกไปภายนอกก็จะรู้ได้ว่า เนื้ออวกาศภายนอกนั้นยังเจือจางกว่าภายในมาก และเมื่อออกไปไกล ๆ จึงรู้ได้ว่า "อะไรคือ big bang เกิดดับ 1 รอบเรียกว่า 1 อสงไขย" "กลุ่มกาแลคซี่ โคจรรอบตัวกลุ่มเอง เรียกว่า มหากัปป" "ตัวกาแลคซี่ โคจรรอบตัวเอง เรียกว่า กัปป และตัวกาแลคซี่นั่นแหละที่เรียกว่า โลกธาตุ" และความรู้ต่าง ๆ อันแตกฉานไปเรื่อย ๆ
+++ สำหรับผู้ที่มีจริตในทาง "รู้แจ้ง" เท่านั้นที่จะทราบได้อย่างชัดเจนว่า "ศาสนาพุทธนั้น หล่อหลอม กาลอวกาศเอาไว้ภายในตัวอยู่แล้ว" และส่วนเรื่องของ "อัตตะจักรวาล" นั้นสามารถมีอยู่ได้หลายชั้นขั้นตอน เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้มีอยู่ในส่วนของ "กาลจักร ตันตระ" หากจะกล่าวแบบเต็ม ๆ ก็น่าจะกล่าวได้ว่ามันคือ "กาลจักรวาล หรือ กาลอวกาศ" ได้ตรง ๆ
+++ หากใครเคยดูละครเรื่อง "พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก" ก็คงจะคุ้น ๆ กับเนื้อเพลงท่อนนี้ที่กล่าวว่า "...พระองค์ทรงค้นพบ การเวียนจบของจักรวาล หนทางที่จะว่ายผ่าน วัฏสงสารอันปลดปลง" ตรงนี้แหละ "เป็นเรื่องจริงทั้งแท่ง" แต่ภาคของการ สืบทอดวิธีการฝึกในภาคนี้ ได้สูญหายไปตามกาลเวลา เว้นไว้แต่ว่า "บางคนฝึกได้มาด้วย ความบังเอิญ เมื่อเดินจิตได้ถูกต้อง" ดังนั้นเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ กาลอวกาศ รวมถึง อุตรกุรุทวีป อมรโคยาทวีป ชมภูทวีป และ บุพพวิเทหทวีป ต่าง ๆ เหล่านี้ รับประกันได้ว่าห่างไกลจาก "ชมภูทวีป คือ ทวีปอินเดีย" กันห่างไกลสุดกู่ทีเดียว
+++ เรื่องของ "อัตตะจักรวาล" นั้นยังเป็นเพียงแค่ "หนทางที่จะว่ายผ่าน วัฏสงสารอันปลดปลง" เท่านั้นเอง ต่อเมื่อมีขีดความสามารถที่จะ "ดับจิตตนได้" เท่านั้นจึงจะ "ว่ายผ่าน วัฏสงสารอันปลดปลง" ได้สำเร็จ
*** หมายเหตุ จากหน้าแรก และ โพสท์แรก ของกระทู้นี้ ที่ผมกล่าวไว้ว่า "กรรม-ฐาน เป็นเรื่องของ 2 สภาวะเท่านั้น คือ สภาวะที่อยู่ในส่วนของ "กรรม" (มีการกระทำ มีการทำงาน Dynamic) กับสภาวะที่อยู่ในส่วนของ "ฐาน" (ไร้การกระทำ ไร้การทำงาน Static)" นั้น เรื่องของ "อัตตะจักรวาล" จะอยู่ "ตรงกลาง" โดยมีเนื้ออวกาศเป็นฐาน และ มวลสภาวะต่าง ๆ (จักรวาล) เป็นส่วนของกรรม ทั้งหมด ผู้ที่ฝึกผ่าน กรรม-ฐาน ในระดับ "อณู" มาแล้ว จะสามารถออกมาถึงในส่วนนี้ได้ไม่ยากนัก โดยเฉพาะผู้ที่มีความละเอียดในปรากฏการณ์ของ เหตุที่ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" โดยเน้นตรงจุดของ แต่ละ "เหตุ" ให้ชัดเจน ก็ถือได้ว่า "ยืนอยู่ตรง ปากประตูของ จักรวาล" เรียบร้อยแล้ว
+++ คงเล่าสู่กันฟังเล่น ๆ ไว้เพียงแค่นี้ก่อน ส่วนของคุณ mischievous นั้น ในขณะที่ "อยู่ในกายเวทนา" ก็ให้ลองเล่น โดยการหัด "โยกกายเวทนา" แบบเล่น ๆ แล้วศึกษา "อิทธิพล" ที่กายเวทนามีต่อกายเนื้อ และเน้นตรง แรงดึงดูดกับแรงผลักดันให้มาก ๆ แล้วจะเห็นว่า "กายเวทนา มันลากกายเนื้อ ไปมาได้" และถ้า "เป็นกายเวทนา ได้อย่างถูกต้อง" มันก็ออกมา เดินเล่นหรือลอยเล่น นอกกายเนื้อได้โดยไม่ยากอะไรเลย นะครับ
แก้คำศัพท์จาก "จิตจักรวาล" มาเป็น "อัตตะจักรวาล"
ตามโพสท์นี้ -
สวัสดี อาจารย์ และพี่ๆทุกท่าน
ผม ได้เปลี่ยนชื่อจาก "เดินธรรม" มาเป็น "ไปกับธรรม" แล้วนะครับ:p -
"จิตจักรวาล" กับพระป่าสาย หลวงปู่มั่น
+++ เรื่องของ "อัตตะจักรวาล" นั้น สามารถหาอ่านประกอบกันไปกับ "การฝึก" ในกระทู้นี้ได้ ผมแนะนำแต่เฉพาะของ "พระป่าที่มีอัฐิเป็นพระธาตุแล้วเท่านั้น" นอกนั้นมักจะ "เหลวไหล" และพาออกนอกทางได้ง่าย ๆ
+++ บทความครูบาอาจารย์ พระป่าสายหลวงปู่มั่น ที่พูดเกี่ยวกับ "จิตและจักรวาล" ในขณะนี้เจอบทความเพียงแค่ 2 องค์ คือ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย กับ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
+++ ให้ศึกษาเปรียบเทียบกันดู "ตัวภาษา" นั้นใช้ไม่เหมือนกัน แต่ให้พิจารณาาตรง "เนื้อหาหลัก ๆ" ก็จะได้ประโยชน์ต่อผู้ฝึกมาก นะครับ
แก้คำศัพท์จาก "จิตจักรวาล" มาเป็น "อัตตะจักรวาล"
จากโพสท์นี้
http://palungjit.org/threads/พลังจิต-พลังจักรวาล.560071/ -
การฝึกในวันที่ 1-12 ก.พ. ที่ผ่านมา ทุกคนได้ผลลัพธ์เป็นที่พอใจ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีธุระกลางคัน สามารถฝึกได้สมตามความปรารถนากันทุกคน นะครับ
หน้า 56 ของ 69