+++ สังเกตุให้ดี ๆ ตำแหน่งที่แท้จริงของมัน จะอยู่ตรง "ใจกลางของ กระโหลกศีรษะ"
+++ ตรงนี้ จะใช้อาการ "ดู" ไม่ได้ สิ่งที่จะ "รู้-เห็น" มันได้คือ "อาการ รู้" แต่เพียงอย่างเดียว เท่านั้น
+++ ให้ทำการ "เดินจิต ทดสอบ" ขยายอาการนี้ให เต็มร่าง มันก็จะกลายเป็น "กาย100"
+++ จากนั้นให้ "เดินจิต ทดสอบ" รวบ-ย่น-ย่อ กาย100 ลงไปเรื่อย ๆ มันก็จะ "หดรวมตัวกัน" มาเป็นอาการนี้
+++ ธรรมะทั้งหลาย รวบสรุปลงมาได้เหลือแค่เพียง "รูป กับ นาม" เท่านั้น
+++ ตรงนี้แหละที่ "เวทนากาย กับ เวทนาจิต" (เวทนานุปัสสนา กับ ธรรมานุปัสสนา) จะแปรสภาพเหลือเพียง "นาม ที่ไร้ รูป" เท่านั้น
+++ เจอแล้วนะ "ตัวดู-หลุมดำ-อัตตาจิต" ตัวจริง นั่นเอง
+++ การฝึกเพื่อให้ "หลุดพ้น จากอัตตา" ตรงนี้ จะผ่าน "ปรากฏการณ์หลายอย่าง" ที่เรียกว่า "อจินไตย"
+++ การฝึก "เข้า-ออก" หลุมดำตรงนี้เป็น "สัจจธรรม" ที่เข้าถึงได้ยาก และละเอียดยิ่ง
+++ ดังนั้น "บางส่วน หรือ อีกหลาย ๆ ส่วน" จะไม่สะดวกในการ "โพสท์หรือพูดคุยในที่ สาธารณะ" ต้องปล่อยให้มัน "ลึกล้ำดำมืด เป็น ปริศนา" ต่อไป
+++ คำแนะนำ ของการฝึกในบริเวณนี้ คือ "ควรฝึกต่อหน้า หรือ ใน conference hangout" เท่านั้น หากมีอะไรเกิดขึ้นก็จะได้ "แก้ไข" ได้ทันท่วงที
+++ ปรากฏการณ์ทุกชนิดในบริเวณการฝึกนี้เป็น "อจินไตย" ทั้งหมด และต้องฝึก "ปิดกั้น สภาวะที่เรียกว่า มโนเข้าแทรก" ให้เหลือแต่ "สัจจธรรม" อย่างเดียว เท่านั้น
+++ ทุกสิ่งทุกอย่าง จะเป็นการ "เดินจิต ในระดับ วาระจิต" และจะ "เกิดปรากฏการณ์หลากหลายมากมาย" ใน ณ ที่บริเวณการฝึกของระดับนี้
+++ ปรากฏการณ์ "ลึกลับ" ที่คุณ Eaktk เขียนมาใน E-mail นั้น หากเทียบกับการฝึกในบริเวณนี้แล้ว ถือว่ายังเป็นเรื่อง "จิ๊บ ๆ" เท่านั้น
+++ จริง ๆ แล้วคุณ Eaktk - rakjung2524 และ tongrolass อยู่ในระดับการฝึกที่ "เป็นระดับเดียวกัน" ช้า-เร็ว กว่ากันก็แค่ 1-2 วันเท่านั้น
+++ หากสามารถเข้าฝึกใน hangout เป็นกลุ่มเดียวกันได้ ก็จะเกิด "ประสพการณ์ ชนิดรวมกลุ่ม" ซึ่งจะทำให้เกิดการ "ตรวจสอบ-ประเมินผล ในประสพการณ์ต่าง ๆ ได้กว้างยิ่งขึ้น" นะครับ
ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.
หน้า 62 ของ 69
-
อาจารย์ครับ
ตัวทุกข์เกิดจากอะไรครับ
เราจะดับทุกข์ได้อย่างไรครับ
และเราจะหลุดพ้นได้อย่างไรครับ
ขอคำแนะนำครับ -
+++ คำอธิบาย แบบวิธีทำนั้น หลวงปู่ดูลย์เคยกล่าวไว้แล้วว่า
+++ จิตส่งออก คือ สมุทัย ผลลัพธ์ คือ ทุกข์
+++ จิตเห็นจิต คือ มรรค ผลลัพธ์ คือ พ้นทุกข์
+++ ส่วนในพระไตรปิฏก กล่าวว่า "เพราะสัตว์ไม่รู้จักทุกข์ จึง "ติด" อยู่ในวังวนของทุกข์" ฯลฯ
+++ สรุปคือ "ทุกข์ เกิดจาก ความเกิด"
+++ ณ เหตุของการเกิด คือ "เหตุปัจจัยโย ในมหาปัฏฐานสูตร"
+++ หรือ ณ จุดที่หลวงปู่มั่นท่านเคยกล่าวว่า "ฐีติภูตัง อวิชชาปัจจยาสังขารา"
+++ ดังนั้นคำว่า "ทุกข์" ใคร ๆ ก็พูดได้ แต่จะ "เห็น" มันจริง ๆ นั้น จะมีได้กี่คนตามความเป็นจริง
+++ ต้องฝึกจนถึงสภาวะที่ "เกิด แก่ เจ็บ ตาย และ ทุกข์ไม่สามารถตั้งอยู่ได้" เท่านั้น จึง พ้นได้ นะครับ -
อาจารย์ครับ
เมื่อคืนหลังจากทั้งฝึกเสร็จ
ผมก็นอนเลยนะครับ แต่ช่วงระหว่างที่นอนหลับ
ผมรู้สึกว่าจิตมันำม่ได้หลับไปกะเรานะครับ
เหมือนมันตื่นอยู่ตลอดเวลา มันโปร่งๆโล่งๆ ครับ
ผมงงมาก แต่ก็เฉยๆ ครับ
ผมต้องทำยังงัยอีกครับ
อีกเหตุการณ์หนึ่ง
เมื่อบ่ายกว่าๆ ผมออกกำลังกาย (เล่นเวท)
ผมทำกาย100 ไปด้วย มันไปโผล่ที่หลุมดำครับ
แต่ผมไม่ได้เข้าไปใกล้มันครับ อยู่ที่หัวดินสอดูมันเฉยๆครับ
เมื่อคืนกราบขอบคุณอาจารย์มากครับที่ช่วยฝึกจนดึกเลย -
+++ จริง ๆ แล้ว "ต้อง" เติมข้อ 5 ลงไปด้วย นั่นคือ "รู้อยู่ตลอดเวลา"
+++ นี่แหละคือ "อาการของ พุทโธ" ที่เป็น "อาการรู้ อาการตื่น และ ไร้นิวรณ์ 5"
+++ "สติ ข้ามพ้นนิวรณ์" ได้เมื่อไร อาการนี้จะแสดงตัวของมันออกมาเอง
-
ตอบ ท่านอาจารย์
เมื่อเข้าไปที่ศูนย์กลางแห่งพลังงาน จะอยู่ที่มิติสุดท้าย ที่เป็นความว่าง บริสุทธิ์ เป็นภราดรภาพ ไม่มีความเป็นตัวตน ความเวิ้งว้างเหลืออยู่เลย -
-
+++ 1. จากจิตปกติ เข้า สภาวะนั้นแล้ว ออก สู่จิตปกติ หากการเดินจิต "ขาเข้า" มีเพียง 1 ขณะจิต แต่ขาออก "ไม่มีขณะจิต หรือ วาระจิต" ตรงนี้ "ใช่"
+++ 2. เมื่อ "อยู่ในสภาวะนั้น" รูป-นาม ของความเป็น "ตน" ไม่สามารถมีอยู่ได้ "แต่" การสื่อสารกลับสามารถมีอยู่ แต่ "ไร้สภาพ ไร้การเดินจิต ไร้กิริยาจิต" ตรงนี้ "ใช่"
+++ 3. แม้ว่าจะมี "รูปอื่นปรากฏ" แต่รูปนั้น ๆ ไม่มีความเป็น "ตน" ไม่มี "กิริยาจิต" เจือปน ไม่มีสภาวะที่เรียกว่า "ธาตุอื่น" นอกจากเนื้อธาตุของสภาวะนั้นแล้ว ตรงนี้ "ใช่"
+++ 4. ตัวเนื้อของสภาวะธาตุนั้น "มีมาอยู่ก่อนที่ ความเป็นตน จะเกิด" เนื้อสภาวะนั้น "พ้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เนื้อสภาวะนั้น "พ้น ปฏิจจะสมุปบาท" ตรงนี้ "ใช่"
+++ 5. ตัวเนื้อของสภาวะธาตุนั้นมีความ "เจิดจ้าแห่งพรรณรังสี ด้วยตัวของมันเอง" และเป็นอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่ "ดึกดำบรรพ์" โดยไม่มีการแปรเปลี่ยนใด ๆ เลย ตรงนี้ "ใช่"
+++ ให้ลองตรวจสอบกับคำว่า "ไกวัลยธรรม" ของหลวงพ่อ พุทธทาส ดูว่า "ทุกประการ" ที่ท่านกล่าวมานั้น "ตรง" กันกับสภาวะที่คุณ วรพรต เข้าถึงหรือไม่
+++ หากทุก อัขระ พยัญชนะ ตรงกันหมด ก็ถือว่า "ใช่" และก็ขออนุโมทนากับคุณ วรพรต ด้วยนะครับ
+++ ลิ้งค์อยู่ข้างล่างนี้ นะครับ
ไกวัลยธรรม คือ สิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งท -
อาจารย์ธรรม-ชาติครับ
อาจารย์ครับ
ผมทำอยู่กับรู้ช่วงเวลาทำงาน และทำจ้าตอนช่วงเวลานอน มันชอบหลุดครับ
ขอคำแนะนำจากอาจารย์ครับ
และผมขออนุญาตงดการเข้ากลุ่มฝึก ซักระยะก่อนนะครับ
ผมขอทบทวนอ่านกระทู้ทั้งหมด อีกซัก 3-4 เที่ยว แล้วลอง map ตามครับ
ผมอยากให้ผลลัพธ์ที่เรียนมาทั้งหมดให้แน่นยิ่งขึ้นครับ
ถ้ามีจุดไหนที่ยังไม่เข้าใจ ผมจะโพสต์ถามตรงกระทู้นี้นะครับ
สำหรับท่องเที่ยวผมขอข้ามไปก่อนนะครับ
กราบขอบพระคุณอาจารย์มากครับ -
+++ จะเห็นตรงนี้ได้ ต้องอยู่ใน "นิโรธสมาบัติ" แล้วหา "เหตุแห่งการ ถอนจิตจาก นิโรธให้เจอ"
+++ จะเห็น "เหตุปัจจัยโย" ได้เอง
-
ทีมใหม่
คราวนี้จะได้เริ่มตรวจสอบ จากที่นั่งบ้านใครบ้านมัน แต่กลับรู้-เห็นสิ่งเดียวกันเหมือนๆ กันได้ :cool::cool:
และอาจจะเจอกัน ขณะที่นั่งอยู่บ้านใครบ้านมันได้ เอ๊ะ มันแปลกดีเนอะ :boo::boo: -
+++ เมื่อวันที่ 15-10-2016 เขียนไว้ว่าคุณ Eaktk - rakjung2524 และ tongrolass อยู่ในระดับการฝึกที่ "เป็นระดับเดียวกัน" ช้า-เร็ว กว่ากันก็แค่ 1-2 วันเท่านั้น
+++ แต่เมื่อคืน 24-10-2016 ซึ่งคุณ tongrolass เพิ่งเข้ามาและห่างกันแค่ 9 วัน ก็จะเห็นได้ว่า ต่างกันมาก
+++ การฝึกเอาเองเปรียบเสมือน "พายเรือริมตลิ่ง ที่ไม่มีร่องกระแสน้ำช่วย ย่อมติดตลิ่งบ้าง ฝ่าความตื้นเขินบ้าง เป็นธรรมดา"
+++ การฝึกแบบ "เดินจิตต่อหน้า" เปรียบเสมือน "พายเรือไปตามกระแสน้ำ ที่ไหลไปอย่างรวดเร็ว ตามร่องน้ำออกสู่ทะเลใหญ่"
+++ แม้ว่าจะใช้ ระยะแห่งการจ้วงพายเท่ากันก็ตาม "ผู้ที่พายริมตลิ่ง ต้องพายหนักกว่าผู้ที่พายไปตามกระแสน้ำ ซึ่งพายบ้างพักบ้าง แต่ก็ไปได้ไกลกว่ากันมาก"
+++ ผู้ที่เคย "พายเรือตามน้ำ" ย่อมเข้าใจชัดเจนถึงอาการที่ผมกล่าวมาแล้วนี้
+++ ส่วนผู้ที่ "พายเรือทวนน้ำ" พวกเราจะไม่พูดถึง เพราะเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ และไม่ไปถึงไหนเลย
+++ ณ ขณะเดียวกันที่ กายเวทนา เพิ่งถอดออก ทำให้ "รู้แจ้ง" ได้ว่า "กายไม่ใช่ตน" หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า "ตัวไม่ใช่ตน และ ตัวกับตน มัน คนละอย่างกัน"
+++ แต่ "ผู้ที่ฝึกเดินจิตต่อหน้า" ผมจะชี้ให้ "เดินจิตกับ ความหยาบ-ละเอียด ในธาตุแห่งความเป็นตน" จนเหลือแต่ "ความเป็นธาตุ หรือ สภาวะที่ไร้ขอบเขต แห่ง อรูปธาตุ ในอรูปฌาน"
+++ จากนั้นจึงให้ฝึกจนถึง "จิตเดิมแท้ เปล่งรัศมีสว่างไสว เป็นประภัสสร (จิตเปล่งรังสี-อาภัสสระพรหม)" ก่อนที่จะเข้าสู่ "การแยกความเป็น ตน ออกไป (วิมุติญาณทัศนะ)"
+++ จากนั้นจึงให้ฝึก "ดับ" รูป-นาม ทั้งหมด ที่เรียกว่า "สัญญาเวทยิตธินิโรธ" ที่มีอาการ "ตรงกันกับ" พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ที่ว่า
+++ "เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้น กายสังขารก็ดับ จิตตสังขารดับทีหลัง" ซึ่งเป็นอาการที่ "ตัวพูดมากดับก่อน จากนั้นกายดับ แล้วจึง ตัวดู ดับไป"
+++ ขณะที่อยู่ใน นิโรธสมาบัติ สิ่งที่เรียกว่า "เจตนา" จะไม่สามารถปรากฏได้
+++ แต่ผมจะสอนให้ "รู้การกำเนิดของจิต" ที่ตรงกับที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฏกว่า "ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จิตตสังขารเกิด ขึ้นก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็เกิดขึ้น วจีสังขารเกิดขึ้นทีหลัง"
+++ ตรง "จิตตสังขารเกิด ขึ้นก่อน" ตรงนี้แหละ ที่ผมให้ฝึก "รู้จัก การกำเนิดของ ตัวดู" ซึ่งจะตรงกันกับ "เหตุปัจจัยโย อารัมมะณะปัจจะโย อธิปะติปัจจะโย" ในมหาปัฏฐานสูตร และตรงกันกับ ฐีติภูตัง อวิชชาปัจจยาสังขารา ที่เป็น "กำเนิด" ของวงจรปฏิจจสมุปบาท
+++ ห่างกันเพียง 9 วันเท่านั้นนะ ต่างกันมากเลยทีเดียว ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า "อย่างเร็ว 7 วัน และ ช้าที่สุดก็เพียง 7 ปี" หากไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องได้ "อนาคามี" (หยุดตัวดู ยังไม่รู้แจ้งในการดับ รวมทั้งเหตุเกิดของมัน) ซึ่งไม่หวลกลับมายัง กามาวจร อีกเลยนั้น เป็นเช่นนั้นทุกประการ
+++ อีกประการหนึ่ง ผู้ที่ฝึกจนถึง "นิโรธ" จะรู้ชัดเจนถึงคำที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฏก ดังนี้ "ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ผัสสะ ๓ ประการ คือ ผัสสะชื่อสุญญตะ (รู้สึกว่าว่าง) ผัสสะชื่ออนิมิตตะ (รู้สึกว่าไม่มีนิมิต) และผัสสะชื่ออัปปณิหิตะ (รู้สึกว่าไม่มีที่ตั้ง) ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ" ตามนี้ทุกประการ นะครับ -
-
แผ่บุญ
อาจารย์ครับ การที่ประชาชน มีความปรารถนาที่จะแผ่บุญแด่ในหลวง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน จะต้องปฏิบัติอย่างไรครับ -
+++ 1. ให้รำลึกถึง พระราชกรณียกิจ ที่พระองค์ "ปฏิบัติประจำ" ว่า พระองค์มีเจตจำนงค์ ไปทางไหน (สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป)
+++ 2. ในยามที่พระองค์ทรงตรัสกับประชาชน รวมทั้งคำแนะนำต่าง ๆ นั้น พระองค์ทรงตรัสอย่างไร (สัมมาวาจา)
+++ 3. พระองค์ทรงแสดงแนวทางปฏิบัติอย่างไร (เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ของมหาชนชาวสยาม) (สัมมากัมมันโต)
+++ 4. ไปจนถึง "การลงมือปฏิบัติของพระองค์ ในพระราชโครงการต่าง ๆ" (สัมมาอาชีโว)
+++ 5. ความเพียรของพระองค์ "ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม ไม่เคยย่อท้อ" (สัมมาวายาโม)
+++ 6. การมีสติของพระองค์ (มีกล่าวถึงในหลาย ๆ กรณี) ท่ามกลางสภาวะการณ์ต่าง ๆ (สัมมาสติ)
+++ 7. การตั้งพระทัยมั่น ไม่เบี่ยงเบนเป็นอื่น เช่น ทศพิธราชธรรม เป็นต้น (สัมมาสมาธิ)
+++ ไม่ว่าจะเป็น "ข้อใดแม้เพียงข้อเดียวก็ตาม" หาก ผู้ใดสามารถระลึกได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในจิต ก็คือ
+++ 1. เห็นคุณในการ บำเพ็ญประโยชน์ จิตอาสา พระมหากรุณาธิคุณ รวมทั้ง "การตั้งจิต เล็งคุณ เล็งประโยชน์ ไปทั่วสรรพจิตในแผ่นดิน" (การเพ่งคุณของพระองค์ท่าน จะตรงกันข้ามกับการเพ่งโทษ ทุกประการ)
+++ 2. เมื่อจิต เห็นคุณ อยู่ในธรรมารมณ์แห่งคุณ ความ "ปลาบปลื้ม ปืติ อิ่มเอิบแห่งจิต" ก็จะปรากฏเป็นการภายใน ของจิตนั้น ๆ
+++ 3. เมื่อจิตของ "มวลประชาชน" ตั้งอยู่ใน "ความปลาบปลื้ม ในคุณธรรมของพระองค์" กระแสความปลาบปลื้มปิติ ก็จะ "แผ่ออกมาเอง ตามธรรมชาติของจิต"
+++ 4. โดยธรรมชาติของจิต ก็จะมีการ "สื่อสาร" ออกมาทาง "รูป-นาม" ที่จิตแต่ละดวง "เสพอยู่ ถือครองอยู่"
+++ 5. การแผ่ออกซึ่ง "ความปลาบปลื้มปิติ" ก็จะสื่อสารไปยัง "เหตุแห่งความปิติ" นั้น ๆ ซึ่งก็คือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ" นั่นเอง
+++ การแผ่ "บุญ" (ความสุข-ความปิติ) ด้วย "วิถีแห่งการเดินจิต" ก็เป็นไปตามที่กล่าวมานี้
+++ ข้อที่สำคัญคือ "ให้ดูในมรรคทั้ง 8 ตามแบบฉบับของ พระโพธิสัตว์" ให้ดี ๆ แล้วความปลาบปลื้มปิติในดวงจิต ย่อมเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติของจิต นะครับ -
เป็นรู้ 360 องศา
อาจารย์ช่วยแนะนำที่เป็นเทคนิคหลักๆ ที่มันแตกต่างในการฝึกระหว่างที่ เป็นรู้ (แบบเดิม วาสนาเก่า) กับ เป็นรู้ 360 องศา ด้วยค่ะ
2-3 วันที่ฝึก มันตกภวังค์ แบบสลบไสล เลยค่ะ หรือว่ามันพยายามที่จะดูด้านหลัง (180 องศาหลัง) ด้วย ตัวดูเลยกลับเข้ามา คราวนี้อยู่กลางศีรษะเลย -
+++ แต่ที่ไม่ยอมเป็น 360 องศา ก็เพราะว่า "ตัวดู" มันเข้ามาบดบัง และ "นิสัยที่ดองสันดานของตัวดู" ก็คือ "ดูได้แค่ไม่ถึง 180 องศา" ตลอดกาล
+++ ก็ไอ้เจ้า "ตัวดู" นี่แหละที่มันทำให้ไม่ "รู้จนกลายเป็นเห็น (ญาณทัศนะ)" ได้เต็มที่ นั่นเอง
วิธีทำ
+++ 1. ให้ทำ "กาย0" ก่อน จากนั้น "ทำ สภาวะรู้ จนเป็นแต่ รู้ อย่างเดียว" แล้วอยู่อย่างนั้น (อยู่กับ รู้ ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
+++ 3. จากนั้น "ไม่ต้องสนใจตัวดู" เป็นแค่ "รู้" อย่างเดียว ตรงนี้ "ตัวดูจะจางคลาย" ไปเอง (อยู่กับรู้ วางตัวดู)
+++ 4. ณ ขณะที่ "ตัวดูกำลังจางคลาย" จะมีอยู่เพียงแค่ "ระดับเดียวเท่านั้น" ที่มันจะเห็นรอบทั้งหมด 360 องศา
+++ 5. ณ ตรงนั้นแหละ ให้ทำการ "ตรึง-แช่-อยู่" ณ เนื้อตรงนั้นเลย "ตัวดู ก็จะกลายไปเป็น อายตนะวิสุทธิ์ ที่ไม่มีธรรมารมณ์เป็นองค์ประกอบ"
+++ 6. ณ ขณะที่ "รู้รอบ-เห็นรอบ" อยู่นั้น สถานะที่เรียกว่า "ไม่มีความเป็นตน รวมทั้ง สรรพสิ่งที่ รู้-เห็น ทั้งหมด จะไร้ความเป็น ตัวกู-ของกู อยู่ตลอดเวลา"
+++ 7. ณ ขณะที่ "รู้รอบ-เห็นรอบ" อยู่นั้น อาการที่เรียกว่า "จิตส่งออก" จะไม่มีปรากฏขึ้นมาเลย
+++ ตรงนี้คือ "อายตนะของวิญญาณขันธ์" ชั้นสุดท้าย ที่ละเอียดที่สุด หากปล่อยให้การ "จางคลาย" เลยตรงนี้ออกไป "วิญญาณขันธ์ก็จะสลายตัว" เหลือแต่ "สภาวะรู้บริสุทธิ์" เท่านั้น
+++ คำศัพท์ในโพสท์นี้ ใช้ได้กับ "โพสท์นี้เท่านั้น" อย่าเอาไปปนกับโพสท์อื่น เพราะเป็นแค่ "แจงวิธีทำ เฉพาะเรื่อง" เท่านั้น นะครับ -
ขอสวัสดี นักปฏิบัติทุกท่าน
ขอสอบถาม ท่านผู้ที่โพสก่อนหน้านี้ สักเล็กน้อย
เนื้อความ ที่ท่านได้โพส ในความเห็นก่อนหน้านี้
คำถาม คือ เนื้อความนี้ อยู่ในส่วนไหน ของพระไตรปิฎก
โดยเฉพาะวรรคนี้
"พระพุทธองค์ ทรงสั่งสอนไว้ว่า
พวกท่าน เหล่าลูกศิษย์ หากอยากจะบรรลุธรรม
ท่านก็จะต้องรู้จัก พระนิพพานเสียก่อน โดยฟังคำสอนของเรา
แล้วจากนั้น ท่านก็ความหวังในใจลึกๆ ไว้ว่า
ชาตินี้ หากตายไป ขอให้ถึงพระนิพพานด้วยเถิด
แล้วท่าน ก็ท่อง คำว่า นิพพานๆๆๆๆ ไว้ในใจตลอด
ท่องอย่างนี้ แทนการเข้าญานเลยก็ได้
คือ ไม่ต้องเข้าญานลึกๆ
คำบริกรรมว่า นิพพาน นั่นแหละ คือ ญาน อย่างหนึ่ง"
ขอท่านชี้แจง แก่นักปฏิบัติทุกท่านด้วย(การโพสลอยๆ โดยอ้าง พระพุทธองค์นั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควร และผลจากการนั้น หนักหนาเหลือประมาณ)
ปล.นักปฏิบัติทุกท่าน พึงพิจารณา ถึงสิ่งที่บุคคลหนึ่งๆ กล่าว(โพส) โดยสำรวจเจตนานั้นๆด้วยสติ ดังเช่น
1. ข้อความที่ว่า "คำบริกรรมว่า นิพพาน นั่นแหละ คือ ญาน อย่างหนึ่ง"
2. ข้อความที่ว่า "พระนิพพาน ก็เหมือน เกมส์โชโดกุ หรือ เกมส์เรียงตัว 1-9"
ว่าเป็นบุคคล ที่ควรข้องเกี่ยว ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งด้วยหรือไม่ -
ตั้งแต่ผมเจอหลุมดำผมก็ฝึกหลุมดำจนมันไปเลย ยิ่งฝึกยิ่งได้รู้อะไรมากมายถึงสัจธรรมของหลุมดำ และอำนาจของมัน ตอนแรกผมเจอผมงงมาก
-
ตอนแรกผมมีประสบการณ์ทางจิต ผมก็ยังไม่ฟันธงว่าเรื่องจริง เช่นคนตายมาหาและอื่นๆ พอมาเจอหลุมดำนี่แหละผมถึงกับงง อะไรของมันฟะ แรกๆ ก็แบบอะไรฟะเดี๋ยวสวรรค์เปิดนรกเปิด ผมก็ลองนั่นลองนี่มาเรื่อยหาเหตุและผล กว่าจะได้ความรู้แต่ละอย่างแทบกระอักเลือด และพลาดมามาก แต่ไม่ค่อยกล้าเล่าให้ใครฟังส่วนใหญ่เล่าให้แฟนฟัง เล่าให้คนอื่นฟังก็ไม่ได้ ข้อดีอีกอย่างของการใช้พลังหลุมดำคือเรื่องของบารมี คือหมายความว่าจะติดต่อนรกสวรรค์เขาก็เกรงใจ ไม่รู้คนอื่นเหมือนกันเปล่า เดินลงไปในน้ำน้ำก็แหวก ผีเข้าใกล้ก็ไม่ได้ บอกให้ทำอะไรก็ต้องทำไม่มีทางเลือก พอถอดจิตแล้วเปลี่ยนฐานเป็นหลุมดำ พวกเทวดามักจะดีใจสุดๆ แบบกระโดดเลย เหมือนถูกรางวัลที่ 1 หลายคนดีใจจนร้องไห้เลยผมเห็นบ่อยมาก
หน้า 62 ของ 69