พบพระพุทธเจ้า ถามเฉพาะ คนที่ได้พบนะครับ คนที่เข้ามาแนะนำอะไรไม่ต้องเข้ามานะครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รักษ์11, 28 สิงหาคม 2016.

  1. จิงทรงฌาณ

    จิงทรงฌาณ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +29
    เคยได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ขณะนี้ยังมีชืวิตอยู่นะครับ
    แต่ท่านอยู่ตจว. ท่านเล่าให้ฟังว่า เล่ายาวนะ ท่านบอกว่า ครั้งหนึ่ง
    สมัยหนึ่ง ท่านเคยไปนั่งสมาาธิ ในถ้ำพญานาค หรือเมืองบาดาล
    ส่วนพญานาคเป็นพรรคพวกกัน นั่งอยู่ในนั้น นานไปหน่อย เกือบจะ
    เป็นหลายๆพันปี เพลินไปนิด ทรงอยู่ในฌาณ เพลินไป เพลินอยุ่ในฌาณสมาบัติ
    นั้งอยู่ ทรงอยูอย่างนั้น จนมีแสงสว่างจ้า สว่างมากเข้ามากระจักษุ
    (ในสมัยนั้น เป็นสมัยว่างจากศาสนาพุทธ ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่ศาสนาอื่นน่ะมีครับ)
    ท่านมองเข้าไปในส่วนกลางของแสงสว่างเจิดจ้า ท่านมองเห็นหน้าคล้าย
    หน้าพระพุทธรูปในสมัยนี้ หน้าอิ่ม แบบหน้าหน้าพระ มีเสียงกังวาล ออกมามาว่า
    "ที่ตรงนี้ เธอไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้" แล้วท่านก็หายไป
    มานพผู้นี้เมื่อใด้ฟังคำ ก็ถอนออกจากสมาธิ แล้วก็ได้ออกจากเมืองบาดาล
    เรื่ิองเล่าจากโลกใบนี้แระ แต่นานมากแล้ว มันนานมามากๆ
    ปัจจุบันมานพท่านั้น ก็ได้มาห่มผ้ากาสวพัก ผ้าเหลือง ธงชัยของพระอรหันต์
    ชาตินี้ การเกิดของท่านคงจะเป็นชาติสุดท้ายแล้วล่ะ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กรณีที่ ภาวนาด้วยวิหารธรรม ที่ไม่ต้องตั้งใจ แล้ว
    เหนจิตที่ห่างจากข้าศึก มีอยู่แล้วในจิต หรือ จิตพุทโธ ปรากฏโดยไม่ต้องเจตนา

    เสร็จแล้วก้เหนจิต ตรึกธรรม ฟังสัทธรรมแท้ กระตุ้นบ้าง แลโลกที่ปรากฏแล้วเกิดการตุ้นขึ้นมา
    บ้าง

    ถ้าจะให้ไม่ติด ปฏิปทานี้โดยส่วนเดียว เข้าไปส่วนสุด หรือ เกิดอาการสำคัญตนว่าภาวนาอยู่

    พระอริยเจ้า เวลาเจอพุทธภูมิ จะยิงคำถามง่ายๆ
    ถามว่า ตอนนี้จิตเดินการภาวนาเพื่อประโยชน์นอก
    หรือประโยชน์ใน

    ใช้อุบายนี้ ถึงจะ อึดอัดระอา ราคะที่ยึดจับปฏิปทาที่ภาวนาอยู่ กิเลสเหมือนไม่มี แต่จริงๆ
    ความคิดดีที่ออกมาจากสุญญตา เปนอวิชชา ทั้งหมด

    ถ้าเปนสายบริกรรม จะเน้นวิหารให้ชัดๆ ก้จะเหน
    ความคับแคบ ความหนัก ความเบา

    ถ้าเอาสายพระสารีบุตร จะเน้น การพรั่งพรูของ
    การตึกดี คิดดี มันเปนสัญญา หรือ สังขาร

    ถ้าเปนสังขารมันจะย้อมจิต ขณะคิดเหมือนเปนส่วน
    เดียวกับเรื่องราวนั้น กลับมาปัจจุบัน จะเออะอะนิดหนึ่ง ก่อนสลัดทิ้ง

    ถ้าเปนสัญญา พอตรึกจบ หายจ้อย ไม่ค้าง ไม่คา

    แล้วค่อยยก สัญญาสั้นๆที่มีปิติเปนองค์ประกอบ เพื่อสัมผัสให้ชำนาญ แล้วหน่วงเหนี่ยวเพื่อรู้ที่ไม่รู้
    เอาแต่เฉพาะ รู้ ที่ไม่เกิดคำพูด ถึงจะรู้ได้ว่าพ้น
    สัญญาเหนความเกิดดับของจุดและต่อม ได้หรือแพ้
    หมดรูป

    พินาเอา ว่า มีอันไหนน่าจะเอาไปแก้จิตไหม


    อย่าลืมนะ ปราถนาพุทธภูมิ คือ จิตติดขัดอย่างหนึ่ง

    อย่าทะลึ่ง ดำริว่า ไม่ต้องแก้จิตหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2016
  3. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ผมเองก็พอเข้าใจนะคับที่กล่าวมา...แต่เวลาผ่านมานานมากพอสมควรที่จริงพระศาสดาเคยตรัสว่าพุทธภูมิหรือโพธิสัตว์ตรัสไว้เป็นนัยไม่ได้หมายให้จมปรักเพราะว่ามีหลายองค์และหลายท่านที่รู้แต่ไม่เป็นเช่นเดียวกันกับเป็นแต่ไม่รู้น่าสนใจสำหรับผู้ศรัทธาประสาทะทั้งหลายมีทั้งยุคที่หีเวอร์และยุคที่เสื่อมถอยท่านทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเฉยๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเช่นที่เป็นอยู่นะตอนนี้อาจเพราะทำอะไรไปมันเหมือนเรือโดยสารลำเล็กจะบรรทุกคนเดินทางมากเกินความเป็นไปได้ก็คงล่มไม่เป็นท่านอกจากทำให้ตนเดือดร้อนแล้วผู้โดยสารพวกนั้นเขาผิดอะไรต้องมาจมหายตายจากไปเพราะเราคิดการเกินตัวด้วยละว่าไหมคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กันยายน 2016
  4. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    อูยขอประทานโทษนะคับ ผมกล่าวว่าฟีเวอร์นะคับ ขออภัยทุกๆท่านในที่นี้ที่ใช้คำไม่เหมาะสมหวังว่าคงไม่จินตนาการกันไปไกลนะคับก็อิแค่พิมพ์ผิด...จริงๆคับ
     
  5. พระtoshi

    พระtoshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +270
    เอาจากของจริงๆที่หลวงพี่เคยส่งลูกศิษย์หลวงพี่เองไปนะ มันมีวิธีอยู่ อธิบายแบบตรงๆเลยเเล้วกัน รูปร่างหน้าตาของพระศาสดาเท่าที่ลูกศิษย์หลวงพี่เห็น สูงประมาณ 178ซม. ไว้ผมแบบรวบหยาบๆขึ้นไปมัดด้วยเถาวัลย์ป่าเส้นเล็กๆเท่านั้น ในวันที่ตรัสรู้จนวันที่ดับขันธ์ หน้าตาหล่อเหลาน่ารักแบบคนอินเดีย แต่ว่าพระศาสดาองค์จริงๆผิวเหมือนชาวเอเชียของเราธรรมดาผิวออกน้ำตาล ค่อนมาทางคนไทย อย่าลืมว่าเชื้อสายแต่เริ่มของพระศาสดาเป็นเผ่าอริยะะ กับมิลักขะ ผสมกันมานานแล้วจึงไม่ใช่ผิวขาวแบบแขกเปอร์เซีย ที่ลูกศิษย์หลวงพี่เห็นตอนที่ส่งเขาไปในอดีต เขาบอกว่าตรงขอบปากของพระศาสดาค่อนข้างคล้ำอยู่บ้าง ซึ่งก็จริง เพราะคนอินเดียคุณลองสังเกตุดูโดยทั่วไปจะมีริมฝีปากคล้ำ ใบหน้าท่านเรียวยาวคางแหลมได้รูปทรง นัยตาสวยมาก แต่ตอนที่ลูกศิษย์หลวงพี่เห็นเขาบอกว่าท่านหลับตาอยู่ที่ใต้ต้นโพธิ์ และต้นโพธิ์ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรเลยเหมือนที่จินตนาการกัน เพราะต้นโพธิ์มีอายุแค่ 35 ปีเท่ากับอายุของพระศาสดา และไม่มีใครที่เหมือนท่านเลยเขาบอกหลวงพี่แบบหนุ่มบ้านนอกซื่อๆว่า หลวงพี่ถ้าพระศาสดาท่านมาเกิดในยุคนี้คงเป็นดาราที่มีชื่อเสียงไปหลายปีเลยครับหล่อมากๆอยากรู้รายละเอียดมากกว่านั้นจะมีอยู่ในบันทึกที่หลวงพี่เก็บไว้ในเฟสบุ๊คที่หลวงพี่เผยแพร่อยู่ทุกวันนี้ รายละเอียดจะเยอะกว่ามาก ถ้าอยากเห็นเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่เป็นบุญตาของคุณสักครั้งด้วยตัวของคุณเอง ก็ไปเห็นท่านเองสิ มันมีวิธีอยู่นะ....
     
  6. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    ผมว่า ผมเห็นพระพุทธเจ้า ด้วยปริศนานกยางนะเป็นทางผ่าน มีคำชี้แนะจากอาจารย์ เป็นประโยคสั้น ๆ เป็นประตู
    ตอนผมเป็นบ้าอยู่วัด อกหัก เป็นทุกข์กับชีวิต เพราะไม่เข้าใจโลก ใช้ศรัทธานำมากกว่าใช้ปัญญา เป็นบัวใต้น้ำที่ไม่รู้จะงอกเงยไปทางไหนให้ไปเจอกับแสงสว่าง เพราะโง่ แต่โชคยังดีที่เอาธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวมาตั้งแต่เด็ก
    ตอนนั้น ผมพยายามแก้ปริศนานกยางอยู่ เพราะคิดว่าตัวเองคือพระจักรพรรดิ์

    ช่วงสาย ๆ - บ่าย
    ผมจำไม่ได้ว่าตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่หรอก
    หลังจากกวาดลานวัดเสร็จแล้ว ก็จะกลับกุฏิที่พัก พระอาจารย์ถามผมว่ากลับกุฏินาคจะทำอะไร
    ผมตอบว่า ช่วงนี้ผมกำลังแก้ปริศนานกยางอยู่ครับ ผมลองแก้ดูเพราะผมคิดว่าปริศนานกยางจะทำให้ผมฉลาดขึ้น ซึ่งผมเองก็คิดว่าพอจะเห็นผลแล้ว และคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับปฏิจจสมุปบาท

    แก้ได้อยู่หรือ พระอาจารย์ถาม
    ไม่รู้หรอกครับ ผมเพียงแต่แก้เพราะคิดว่ามันจะช่วยให้ผมได้วิธีที่จะมีปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม

    ตอนนั้นพระอาจารย์ก็ถามว่า
    ธรรมดาก้อนเมฆมันจะพูดได้มั้ย

    เท่านั้นแหละครับ ตาผมนี่เปิดกว้าง คิ้วข้างขวายกขึ้นสูงเลย
    จากนั้นผมก็ลืมไปเลยว่าคุยกับพระอาจารย์ต่อเรื่องอะไรบ้างเพราะรู้ว่าตัวเองแาจจะพบหรือเข้าใกล้คำตอบของปริษนานกยางแล้ว

    คำว่าธรรมดาที่พระอาจารย์สะกิดต่อมสมองของพระอาจาร์ยนี่แหละ ที่
    ทำให้ผมเข้าใจว่า ทำไม ชีวิตผมมันบัดซบนัก

    ถ้าให้อธิบายก็คงจะยาว ขอข้ามไปก่อน
    แต่ถ้าจะให้อธิบายธรรมดาง่าย ๆ ก็คือ ในเชิงเปรียบเปรยนะครับ มันเหมือนกับว่า เพราะเราโยนก้อนหินขึ้นฟ้า
    ก้อนหินจึงพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ก้อนหินตกลงมา เพราะห้อนหินมีแรงดึงดูด
    ผมเป็นทุกข์เพราะผมอยากให้ก้อนหินพุ่งขึ้นฟ้าไม่กลับมา
    แต่ธรรมดาก้อนหินมันต้องตกลง
    มันเป็นอาการของหินที่ต้องเป็นไปเมื่อมีเหตุปัจจัยมากระตุ้น ถ้ากระตุ้นด้วยการโยนหินขึ้นฟ้าซ้ำ ๆ กินมันก็จะมีอาการ พุ่งขึ้น เคลื่อนที่ช้าลง ตกลง แบบนี้เสมอ

    เมื่อสนทนากับพระอาจารย์เสร็จ ผมก็กลับกุฏิครับ พิจารณาว่าที่ผ่านมาชีวิตผมบัดซบ เพราะอะไร
    ก็ได้คำตอบประมาณว่า
    ที่ผ่านมาชีวิตผมบัดซบเพราะผมไม่เข้าใจโลกเลย อยากให้ก้อนหินพุ่งขึ้นฟ้า อยากให้โลกรอบตัวเป็นดังใจ แต่มันไม่เคยเป็นดังใจผม มันก็มีวิถีของมัน
    ตอนนั้นแหละ พอรู้ว่าธรรมดาคืออะไร ก็เข้าใจความทุกข์ของตัวเองได้เกือบหมดแทบจะในทันที คำสอนต่าง ๆ ที่เคยเรียนตอนเรียนศาสนาวันอาทิตย์ สามปี รวมถึง วิชาพุทธศาสนาในโรงเรียนมันก็ผุดขึ้นมาในหัวเรื่อย ๆ และปัญหาของผมก็ถูกคลี่คลายไปเรื่อย ๆ ผมรู้เลยว่าผมพลาดอะไรไป ทำไมชีวิตจึงบัดซบนัก
    และจะทำความเข้าใจชีวิตตัวเองต่อไปอย่างไร

    และผมก็คิดว่าผมได้พบพระพุทธเจ้าตอนนั้นแหละ
    เพราะธรรมดาของโลกมันเป็นแบบนี้เอง พระพุทธเจ้าก็เลยบัญญัติพระธรรมคำสอนมาอย่างนี้ ๆ
    ถ้าจะให้ยกตัวอย่างง่าย ๆ มันจะดูอนุบาลไป ผมไม่ขอยกดีกว่า

    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระตถาคต
    แต่ผู้ใดเห็นพระตถาคตไม่ได้แปลว่าจะเห็นธรรมเสมอไป

    การได้ใกล้ชิดพระศาสดาที่สุด ก็คือการเข้าใจธรรมดา และการศึกษาพระธรรมครับครับ แค่เข้าใจธรรมดา แต่ไม่ศึกษาพระธรรมก็ไม่เข้าใจพระตถาคตหรอก
    เพราะเข้าใจธรรมดาก็เข้าใจพระตถาคต ว่าท่านมีเหตุผลอย่างไรที่สอนอย่างนี้ ๆ
    ผมยังเห็นพระพุทธเจ้าไม่ครบทุกแง่มุมหรอก ยังเหลือธรรมดาให้ศึกษาอีกเยอะ
    ถ้าไปคิดโดยตรงว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นคนอย่างไร เรามีสิทธิ์บ้าได้
    มีแต่ศึกษาโดยอ้อมจากธรรมะที่พระองค์บัญญัติ เทียบกับ ธรรมดาของ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับ พระธรรมที่พระองค์บัญญัติเท่านั้นแหละ ถึงจะไม่ต้องบ้า

    ผมว่าการได้เข้าใจธรรมดาแล้ว "พอที่จะรู้" ว่าพระพุทธเจ้าท่านมีความคิดเห็นแนวไหนเหมือนว่าได้รู้จักท่านนี่มันอยู่ใกล้ท่าน มากกว่าไปยืนต่อหน้าพระองค์แล้วเห็นแค่รูปสังขารของท่าน แต่ไม่เข้าใจพระธรรมที่ท่านสอนเลยอีกนะ

    เชื่อเถอะ ผมบ้ามาแล้ว เพิ่งหายบ้าช่วงจ่าลบเพื่อนไปประมาณปีนึง ซึ่งถ้าผมเป็นจ่าผมว่าผมก็คงต้องลบตัวเองออกจากลิสต์เพื่อนตอนนั้นเหมือนกัน ตอนนี้ก็ยังเหลือความบ้าประมาณ 20 เปอร์เซ้นต์ให้เอาออก 555 ที่เหลือก็คงจะเป็นตักตวงความรู้ความเข้าใจในธรรมดา ธรรมชาติ พระธรรม เพื่อพุทธภูมิไปอีกนับกัป ๆ กัลป์ ๆ จนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้มีปัญญามากและสอนธรรมให้ผู้อื่นเข้าใจและหยั่งลงสู่กระแสธรรมได้โดยง่าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2017
  7. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,264
    ค่าพลัง:
    +5,219
    การเห็นธรรมดาของสรรพสิ่งมันก็วิธีเดียวที่นักปฏิบัติใช้สังเกตอาการของจิตน่ะแหละครับ เพียงแต่ธรรมดามันมีอยู่ในหลายสิ่ง แต่ละสิ่งก็มีธรรมดาไม่เหมือนกัน
    การเข้าใจธรรมดาทั้งหมด จึงเป็นการยาก

    ผมไม่สามารถสัมผัสธรรมดาของภาคทิพย์ไม่ได้ เพราะ ผมนั่งสมาธิไม่เป็นครับ อาจเพราะเป็นอาภัพบุคคลหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรืออาจ มีจริตแสดงตัวครบ 6 เป็นคนวิกลจริตน่ะครับ เพราะโตมาแบบเก็บกดเป็นเวลานาน ความเครียดเลยส่งผลต่อสภาพจิตใจจนไม่รู้ว่าคนปกติมันเป็นกันยังไง แต่พอเข้าใจธรรมแล้วก็สังเกตธรรมดาของคนเรามากได้ขึ้น จนนึกสงสัยอยู่ในใจ่ ว่าเอ๊ะ นี่คนปกติมันปกติจริง ๆ เหรอ ขนาดนั้นแหละ

    งั้นผมจะพูดถึงธรรมดา ที่ผมสัมผัสได้ก็แล้วกัน
    ธรรมดาที่ผมสัมผัสได้มันคล้าย ๆ กับว่า
    โยนก้อนหินขึ้นฟ้า มันก็จะพุ่งขึ้นฟ้า สักพักมันจะพุ่งขึ้นฟ้าช้าลง เมื่อถึงจุดสูงสุด มันจะร่วงลงมา เร็ว และแรงขึ้น น่ะครับ
    มันคือ สภาวะอาการที่ สิ่งนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ โดยมีเหตุปัจจัยมาเป็นเหตุ อาการที่เปลี่ยนไปเนื่องจากเหตุปัจจัยมากระทบ เป็นผล เรียบง่ายเหมือนความรู้ในวิชาฟิสิกส์

    และอย่างที่บอกว่าธรรมดามีอยู่ในหลายสิ่ง นอกจากมีธรรมดาที่เรียบง่ายก็ยังมีธรรมดาที่ซับซ้อนครับ
    อย่างเช่นธรรมดาของมนุษย์ ที่เราไม่ค่อยจะเข้าใจสักที
    อันนี้อาจจะต้องอาศัยวิชาพฤติกรรมมนุษย์ กับจิตวิทยา แต่เผอิญผมไม่ได้เรียนมา

    อย่างเช่น ผมโดนแฟนเก่านอกใจ
    ผมเป็นทุกข์มาก ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร ไม่รู้จะเลิกทุกข์ได้อย่างไร ทำไมเขาทำกับเราแบบนี้
    เป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของผมเสมอมา
    เราโดนหลอก เราทำดีมาตลอดทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ ทำไมเราต้องเจ็บเจียนตายแบบนี้ คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ผุดขึ้นมาในหัวผม เวลาที่ความทรงจำเรื่องแฟนนอกใจผุดขึ้้นมาในหัว
    แล้วผมจะแก้ปัญหาความทุกข์์นี้อย่างไร
    ตอนนั้น ผมได้วิชาตีธรรมดาให้แตกมาแล้วนี่
    แล้ว ผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง
    ธรรมดาคนเราเป็นอย่างไร?
    คนธรรมดา มีโลภะ โทสะ โมหะ ตัณหา ราคะ กิเลศต่าง ๆ นานา ในตัวกันทุกคน
    คนเราธรรมดามีความคิดแตกต่างกัน
    สัตว์โลกเบียดเบียนกันเป็นเรื่องธรรมดา
    แล้วทำไมเขาต้องทำกับเราแบบนั้น ทำไมรอบตัวเราต้องเจอแต่คนแบบนี้ เขาทำไมโหดร้ายกับเราอย่างนี้ ก็เกิดฉุกคิดได้ว่า นั่นสิ ทำไมเขาเป็นคนแบบนั้น
    แล้วเราล่ะ ทำไมเราเป็นคนแบบนี้

    การเลี้ยงดูของพ่อแม่ สภาพแวดล้อม สิ่งที่หล่อหลอมเรามาทำให้เราเป็นแบบนี้เอง เราเจอมาแบบนี้ เราก็ต้องโตมาเป็นคนแบบนี้แหละ ธรรมดา
    ส่วนแฟนเราเราไม่รู้หรอก ว่าทำไมเขาทำอย่างนั้นกับเรา แต่ที่แน่ ๆ เขาก็ต้องโตมาเป็นในสิ่งแวดล้มที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้นนั่นแหละ เราคาดหวังว่าเขาจะต้องเป็นคนดีมันไม่มีทางหรอก เพราะเขาก็เป็นแบบนั้น อย่างที่สภาพแวดล้อมเขาหล่อหลอมเขา สิ่งแวดล้อมอะไรที่หล่อหลอมมาอาจไม่จำเป็นต้องรู้ไม่ต้องไปรู้หรอก
    แค่เข้าใจว่า เขาเป็นแบบนี้ เพราะ มีเหตุปัจจัยให้เขาเป็นแบบนี้ ก็พอ นิสัยแย่ ๆ ก็มาจากเหตุปัจจัยแย่ ๆ น่ะแหละ
    สิ่งที่เขาทำมันเป็นธรรมดาของเขา เพราะนิสัยเขาเป็นแบบนั้น สิ่งที่เราเจอ มันเป็นธรรมดาของเราที่ต้องเจอ เพราะเขาเปนคนแบบนั้นและเราเป็นคนแบบนี้ เป็นคนที่ดูเฉยชาและเอาใจคนไม่เป็นที่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เขาทำแบบนั้นกับเราไป

    หายสงสัยชีวิตบัดซบได้เรื่องหนึ่ง ได้ศรัทธามาแทน เพราะเจอปากทางการเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามาไว้ในมือแล้ว คือคำว่าธรรมดาของสิ่งนี้เป็นอย่างไร
    สรุปที่ผ่านมา
    ผมทุกข์เพราะโดนแฟนเก่าทิ้ง เพราะ ไม่สามารถปล่อยวางความทุกข์ได้ และไม่เข้าใจธรรมดาของโลก และคาดหวังว่า เราจะได้สิ่งดี ๆ กลับคืนมาบ้างจากความดีของเรามากเกินไปครับ คือไม่เข้าใจศาสนาพุทธที่แท้จริงน่ะ

    พอตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าศาสนาพุทธที่แท้จริงเป็นเรื่องของการเข้าใจธรรมดา มองธรรมดาให้ออก และปล่อยวางมันให้ลงครับ ซึ่งการที่จะปล่อยวางอะไรสักอย่างลงได้นี่ก็ เราจะต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราอยากแล่อยวางจนไม่มีธุระอะไรกับมันแล้วนั่นแหละ เราถึงจะวางมันลงได้
    เรื่องคำสอนอะไรที่พระพุทธเจ้าสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ผมไม่ขอพูดถึงแล้วกันครับ
    แต่สิ่งที่ผมนึกได้แล้วเอามาใช้กับข้อนี้ คือ การระลึกได้ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า คนเรามีสิ่งนี้ ๆ ๆ อยู่ในตัวนะ คนเรามักทำสิ่งนี้ ๆ ๆ ต่อกันนะ แล้วเอามาทำความเข้าใจในแบบของตัวเอง แล้วก็ บูม เกิดเป็นโกโก้ครั้นช์

    อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจเท่าไรนะครับ
    ไม่รู้จะอธิบายคำว่าธรรมดาอย่างไรจริง ๆ เพราะความรู้ยังน้อย เลยต้องยกตัวอย่างนี้ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อยากจะบอกว่า หลังจากที่ได้คลี่่คลายความทุกข์ใจที่เกิดจากจากหหญิงอันเป็นที่รักในวันนั้น ผมก็ได้เข้าใจคำว่าธรรมดา เลยเริ่มมีความคิดว่า นี่แหละมั้ง ธรรมดาที่พระพุทธเจ้าท่านได้เห็น ก็เกิดความดีใจว่าเราเริ่มเข้าใจแล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านเห็นอะไร จึงจำแนกธรรมนั้น และบัญัตติพระธรรมขึ้นมาสอนคน

    ผมเริ่มมีความมั่นใจว่าได้เห็นเศษเสี้ยวหนึ่งของธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านเห็นครับ
    ผมเริ่มประเมิณได้แล้วว่าพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้ามีขอบข่ายกว้างสุดประมาณ
    ผมเริ่มประเมิณได้แล้วว่าพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์มีมากล้นเพียงได้ ที่นำธรรมที่พระองค์ตรัสรู้มาสั่งสอนสัตว์ โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่าตนเองโง่เพียงใดตอนที่ยังไม่รู้ธรรมดา และมีปัญญามากขึ้นเพียงใดตอนที่เข้าใจธรรมดาแล้ว
    และผมก็เริ่มประเมิณได้แล้วว่าพระวิสุทธิคุณของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ได้มาอย่างไร อยู่สูงล้ำกว่า ปุถุชนอย่างเรา ๆ แค่ไหน ทำไมพระองค์จึงสามารถเอาชนะพญามารได้ ผมพอจะเข้าใจแล้ว
    ความเข้าใจ ธรรมดา มันเป็นตัวช่วยให้เข้าใจ พระธรรม ที่เคยได้เรียนมา
    ที่เหลือก็หาครูบาอาจารย์ที่เป็นแบบอย่างที่ดี ให้ท่านอบรมสั่งสอนล่ะครับ แต่ ข้อสามนี่อาจจะขอเว้นไว้ก่อน ถ้าจะขอพึ่งก็คงต้องพึ่งในแง่ของขวัญกำลังใจแทน ที่มีพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงให้เราเห็นเป็นแบบอย่าง ให้เรามีกำลังใจตอนท้อจนต้องถามตัวเองว่า
    เราจะทำดีไปเพื่ออะไร ในเมื่อไม่มีใครร่วมทำดีกับเรา

    เพราะ ผมเป็นพุทธภูมิ และพุทธภูมิมักจะดื้อแต่ใฝ่ดีเป็นสันดาร ให้เชื่อเลยไม่เชื่อหรอก ต้องรู้เหตุผลที่ยอมรับได้นั่นแหละ ถึงยอมเชื่อ ยอมฟัง ยอมทำตาม
    ขอดื้อเรียนรู้ ธรรมดาด้วยตัวเองก่อน และคงต้องเรียนรู้นอกตำราไปตามระเบียบพุทธภูมิ ครับ 555 ให้เข้าใจธรรมดาเยอะ ๆ เอาไว้สอนคนอื่นในภายภาคหน้า ตอนที่ตัวเองสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    และผมคิดว่าผมน่าจะมีแนวทางในการศึกษาธรรมะของตัวผมแล้ว
    นั่นคือ เรียนรู้ธรรมดา เท่าที่ทรัพยากรณ์ที่มีจะเอื้ออำนวยครับ ยังนั่งสมาธิไม่เป็นก็พิจารณาด้วยมันสมองนี่แหละ อาศัย ตา กหู จมูก ลิ้น กาย ใจ โผถถัพพานี่แหละ เพื่อที่จะทำความเข้าใจองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อที่จะเป็นพระสัมมาพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2017
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    เรื่องนี้แมวจะไม่ยุ่ง
     
  9. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    พูดกับทำแย้งกัน ในเมื่อไม่ยุ่ง ก็ไม่ต้องอ้างอิงมาบอกใครดอก ทำยังงี้แหละเรียกว่ายุ่งแล้ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมสำเร็จแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...