พรรษา ที่ ๒๑ พ.ศ. ๒๕๐๖ จำพรรษาที่ภูสิงห์น้อย (ภูกิ๋ว) (พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย พามมะวดี, 22 พฤษภาคม 2015.

  1. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    พรรษา ที่ ๒๑ พ.ศ. ๒๕๐๖ จำพรรษาที่ภูสิงห์น้อย (ภูกิ๋ว)


    ข้าพเจ้าได้ออกจากถ้ำจันทน์แต่ในปี ๒๕๐๕ มุ่งหน้ามายัง
    เขาภูสิงห์ ในเขตอำเภอบึงกาฬ เมื่อมาถึงภูสิงห์แล้ว
    ได้ขอให้ญาติโยมพาไปตรวจสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเขาลูกย่อมๆ
    อยู่ระหว่างเขาภูสิงห์ใหญ่และภูทอกใหญ่ เรียกกันว่า “ ภูสิงห์น้อย หรือ ภูกิ๋ว”
    ซึ่งเป็นการเรียกตามลักษณะของเขา เพราะอยู่ระหว่างแนวเขาใหญ่ ๒ ลูก
    ซึ่งคอดกิ่วมาต่อเชื่อมกัน ภูสิงห์น้อยนี้อยู่ตรงกลางอันมีลักษณะคอดกิ๋ว
    จึงกลายเป็นภูกิ่วอีกชื่อหนึ่ง



    ข้าพเจ้าได้ตรวจดูสถานที่แล้วก็เห็นว่า เป็นที่พอจะหลบหลีกปลีกตัว
    ซุกซ่อนวิเวกอยู่ได้ มีน้ำซับตามธรรมชาติ มีน้ำไหลตลอดปี
    จึงตกลงเลือกเป็นที่วิเวกต่อไป โดยมาตั้งต้นปักกลดอยู่ใต้ต้นไม้


    เมื่อแรกมาถึงภูสิงห์น้อยนั้น ปรากฏว่ายังเป็นป่ารกชัฏ
    ต้องป่ายปีนตัดเถาวัลย์ขึ้นไปบนเขา แต่โดยที่พอมีถ้ำ
    มีเงื้อมหินอันสงัด มีน้ำซับตามธรรมชาติ น้ำดี น้ำสะอาด น้ำมีรสอร่อยดี
    ก็เลยพากันปลูกเสนาสนะหลังย่อมๆ อยู่ชั่วคราว
    โดยอาศัยญาติโยมจากบ้านนาสะแบงบ้าง บ้านนาคำภูบ้าง มายกกระต๊อบอยู่
    ปลูกเสนาสนะเป็นหย่อมๆ พากันอาศัยทำความพากเพียรอยู่ที่นั้น
    ปรากฏว่าทำความเพียรดีมาก เพราะเป็นที่สงบสงัดและอากาศปลอดโปร่งดี
    ร่มไม้ก็ดี ต้นไม้ยูงยางยังอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าก็มีมาก การบิณฑบาต
    ก็ไม่ไกล้ไม่ไกลพอไปพอมา อาหารขบฉันก็พอเป็นไป
    ไม่ขาดแคลนแต่ก็ไม่ใช่ร่ำรวย พอเยียวยาชีวิตให้ยืนไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น
    เมื่อถึงเวลาจะเข้าพรรษา ปี ๒๕๐๖ ข้าพเจ้าจึงตกลง จำพรรษาที่ภูสิงห์น้อย

    (ต่อ)

    ------------------------

    ที่มา : หน้าที่ ๑๓๐-๑๓๑ หนังสืออัตตโนประวัติและพระธรรมเทศนา
    พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ
    วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2015
  2. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    ในพรรษามีพระจำพรรษาด้วยกัน ๒ องค์
    คือข้าพเจ้าหนึ่ง และพระอาจารย์สอน อุตตรปญโญ อีก ๑
    มีเณรอีก ๑ และผ้าขาวเฒ่า ๑ คน ซึ่งบัดนี้ได้เสียชีวิตแล้ว
    ไปบิณฑบาตที่บ้านนาคำภู ตำบลโคกก่อง อำเภอบึงกาฬ
    ระยะทางไม่นับจากที่พักบนเขา ลงมายังที่ราบล่าง...
    กว่าจะถึงหมู่บ้าน ก็ประมาณ ๓ กิโล


    ข้าพเจ้าได้เพื่อนสหธรรมิกดี ต่างองค์ต่างแยกกันอยู่
    ขะมักเขม้น พากันปรารภความเพียรอย่างยิ่งยวด
    มิได้มีความนอนใจเลย ต่างค้นคว้าพิจารณากัมัฏฐานของตน
    พิจารณาการยคตานุสติ ไม่ให้พลั้งเผลอ ตลอดกาลพรรษา


    ในภูสิงห์น้อยนี้มีเหตุการณ์แปลกที่ควรบันทึกไว้คือ
    วันหนึ่งใกล้พลบค่ำ ข้าพเจ้าได้เดินจงกรมอยู่
    โดยกำหนดจิตภาวนาบริกรรมไปโดยตลอด
    เวลานั้นเป็นเวลาใกล้มืดแล้ว จมูกรู้สึกได้กลิ่นเหม็นอย่างหนึ่ง
    ไม่ใช่กลิ่นเหม็นสัตว์หรือซากสัตว์ เป็นกลิ่นเหม็นชอบกลอยู่
    เดินจงกรมกลับไป กลับมา ก็ได้กลิ่นเหม็นอย่างนั้น
    ก็เลยตั้งวิตกถามจิตขึ้นดูว่า........ เหม็นอะไรนี่


    จิตตอบว่า.........นี่เป็นกลิ่นเปรต เหม็นเปรต

    ข้าพเจ้าก็เลยนึกอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเขา
    ขณะเดินจงกรมต่อไป กลิ่นนั้นก็เลยหายไป


    (ต่อ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2015
  3. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    ตอนเช้า ลงสู่โรงฉัน พบหน้าท่านอาจารย์สอนซักกันคุยกัน
    ก็เลยได้ทราบว่า ท่านอาจารย์สอนก็ได้กลิ่นเหม็น
    ระหว่างเดินจงกรมเหมือนกัน และเมื่อกำหนดจิตถาม
    ก็ได้ความอย่างเดียวกัน อุทิศส่วนกุศลให้แล้ว
    ก็หายกลิ่นเหม็นนั้นเหมือนกัน คืนนั้นข้าพเจ้าก็ได้นิมิตประหลาด
    เห็นเปรต 2 ตน อยู่บนหน้าผาภูสิงห์น้อย เป็นเปรตผู้หญิง
    นั่งอยู่ด้วยกัน ๒ ตน มีแต่ผ้านุ่ง ไม่มีเสื้อ ไม่มีผ้าปกกายข้างบนเลย
    เปลือยตลอด ผมยาว มีผิวสีดำคล้ำ เศร้าหมอง ข้าพเจ้าก็เลยถามดูว่า


    “ ท่านเป็นอะไร ทำไมมาอยู่ที่นี้ “
    เปรตหญิง ๒ ตนนั้น ก็ตอบว่า “ พวกข้าพเจ้าเป็นเปรตอยู่ที่ภูสิงห์นี้”
    “เป็นเปรตอยู่ในสภาพนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
    “เป็นเปรตมานานแล้ว”
    “ เอ.... ทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องมาตกเป็นเปรต” ข้าพเจ้าถามในนิมิต
    เขาก็ตอบว่า “เมื่อครั้งพวกข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ พวกข้าพเจ้าได้เอา
    ตัวไหม ตัวหม่อน ซึ่งมีฝักรังใหม่อยู่ข้างใน
    โดยมีตัวอ่อนอยู่ข้างใน เอามาต้มในน้ำร้อนเพื่อจะสาวเอาใยไหมมาทอผ้า
    พวกข้าพเจ้าทำกันอย่างนี้ ด้วยบุพกรรมอันนี้ คือบาปอันนั้น
    พอตายจากชาติมนุษย์ จึงกลายเป็นเปรต มีแต่ผ้านุ่ง
    ผ้าห่มปกกายไม่มีดังนี้


    ข้าพเจ้าเลยถามเขาว่า “พวกท่านเมื่อเป็นมนุษย์มีชื่อว่าอะไรล่ะ ? “
    “พวกข้าพเจ้า เมื่อเป็นมนุษย์ เป็นพี่น้องกัน
    ลูกพ่อเดียวแม่เดียวกัน ผู้พี่ชื่อนางสาวทา ผู้น้องชื่อนางสาวสี... “



    ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ตื่นจากนิมิต ข้าพเจ้ามาพิจารณาว่า
    การทำลายสัตว์มันเป็นบาปจริง ๆ

    (ต่อ)



    ---------------
    ที่มา : หน้าที่ ๑๓๒-๑๓๓ หนังสืออัตตโนประวัติและพระธรรมเทศนา
    พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ
    วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2015
  4. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    ที่ภูสิงห์น้อยนี้ ถ้าใครประมาท ขี้เกียจก็จะทำความเพียรไม่ได้
    บางทีเห็นผีหัวขาด มีแต่ตัวกับคอ ไม่มีหัว เณร ผ้าขาว
    เดินจงกรมกลางคืน บางครั้งบางวัน
    ก็จะเห็นเงาคนเดินจงกรมเคียงไปด้วย
    แต่ไม่มีหัว เป็นเงาของผีหัวขาด
    บางคราวถ้าเกียจคร้าน ไม่ลุกขึ้นบำเพ็ญความเพียร
    ก็จะมีผู้มาดึงขาบ้าง ทุบกุฏิบ้าง
    เป็นการเร่งเตือนมิให้ประมาท
    เณรและผ้าขาวจะโดนกันอยู่เป็นประจำ



    ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ากำลังนั่งสมาธิ อยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง
    ได้ยินเสียงปืนดังเปรี้ยงๆ ๒ นัด อยู่ห่างๆ
    ไม่นานก็เห็นกวาง ๒ ตัว วิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดยืน
    ทำตาอ่อนละห้อย อยู่ข้างหน้าถ้ำเบื้องหน้าข้าพเจ้า
    คล้ายๆ จะมาขอฝากเนื้อฝากตัวหลับภัยให้ช่วยเหลือ
    ต่อจากนั้นสักประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงปืนระเบิดดังลั่น
    ไม่ห่างจากที่ข้าพเจ้านั่งอยู่นัก และสักอึดใจต่อมา
    ก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางขอความช่วยเหลือ
    “ โอ้ย....ช่วยด้วย....ช่วยด้วย “ ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นไปดู
    ก็เห็นชายคนหนึ่ง ถูกปืนนอนร้องอยู่ มีเพื่อนอีกสามคน
    ช่วยประคองอยู่ข้างๆ ในมือเนื้อตัวและเสื้อผ้ามีเลือดอาบแดงฉาน
    ถามได้ความว่า พวกเขามาล่าสัตว์ เข้ามาในเขตวัด
    เห็นกวาง ๒ ตัว ผัวเมีย ก็เอาปืนยิงทั้งคู่
    แต่ปรากฏว่า พลาดทั้งสองนัด เขาไล่ตามมา
    เห็นกวางทั้งสองมาหยุดอยู่ตรงหน้าถ้ำ เขาตามมาทัน
    จึงยกปืนยิงมันอีก แต่ปืนยิงไม่ออก สับถึง ๒ ครั้ง
    ครั้งที่สาม ยิงได้ แต่กลับปืนแตก กระท้อนมาถูกผู้ยิงเอง
    ตามมือและเนื้อตัวเป็นแผลเหวอะหวะหมด

    (ต่อ)



    ----------------------

    ที่มา : หน้าที่ ๑๓๒-๑๓๓ หนังสืออัตตโนประวัติและพระธรรมเทศนา
    พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ
    วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2015
  5. mmoonoy

    mmoonoy สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +19
    แอบติดตามอ่านอยู่นะค่ะ และต้องขออภัยคุณพามมะวดีด้วยที่ moo รบกวนเรื่องที่ส่ง friend list ไปให้คะ (ขออนุญาตเขียนตรงนี้เพราะส่งข้อความส่วนตัวไม่ได้อะค่ะ) >_<''
     
  6. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    ----------------------

    ขออภัยอย่างยิ่งค่ะ : )
    ไม่ได้เปิดรับ friend list
    ไม่ได้เปิดรับข้อความ ขออภัย : )
     
  7. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    ข้าพเจ้าไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่า นิ้วมือของชายนั้นขาดไปสามนิ้ว
    ฝ่ามือทะลุเป็นแผลเหวอะหวะ เลือดโชก
    พร้อมทั้งแก้มข้างขวาก็มีแผลทะลุใหญ่มาก
    จึงช่วยเช็ดแผลให้จนเลือดหยุด และก็เตือนให้เขานึกถึง
    บาปบุญคุณโทษในการที่ตั้งใจจะทำลายชีวิตผู้อื่น
    โดยเฉพาะในเขตวัด ซึ่งถือว่าเป็นเขตร่มเย็น
    อาศัยได้สัตว์ย่อมเข้ามาพึ่งพิงด้วยคิดว่ามีความปลอดภัย
    ชีวิตทุกชีวิตย่อมกลัวตาย พวกเขาทำอะไรลงไป
    ย่อมเป็นกงเกวียนกรรมเกวียน สักวันหนึ่งก็อาจจะต้อง
    มาสนอง........อย่างที่เขากำลังประสบด้วยตนเองนี้
    เขาคิดจะฆ่ากวาง แต่เขาเองกลับถูกรรมอันนั้น
    ตอบสนองให้เจ็บปวดอยู่นี้ ต่อจากนี้ไปอย่าคิดฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเลย

    ข้าพเจ้าให้เขาปฏิญาณรับศีล ๕ แล้ว ก็ให้เขากลับบ้าน
    และเขาก็พูดเล่าลือกันต่อไป ไม่ให้ไปล่วงเกินสัตว์ในเขตวัด
    อาจจะมีอันตราย.... ความจริงข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำอะไร
    อาจจะเป็นเหตุบังเอิญ แต่ก็เป็นการดีอย่างหนึ่ง คือ
    ทำให้สัตว์ทั้งหมดอยู่ด้วยความสงบสุขขึ้น


    เมื่อพูดถึงเรื่องปืนแตกนี้ มีอยู่อีกครั้งหนึ่งที่ถ้ำจันทน์
    วันนั้น ข้าพเจ้าออกไปบิณฑบาตและได้ยินเสียง โอ๊ย
    เรียกให้ช่วย ก็ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งถูกปืนของตัวเองลั่นใส่
    ตัวปากกระบอกแตก ข้าพเจ้าช่วยเหลือเยียวยา
    และต่อมาเขาก็มาขอขมาข้าพเจ้า ได้ความว่า
    เขามองเห็นสีเหลืองของจีวรข้าพเจ้ารำไรในหมู่ไม้
    เขานึกว่าเป็นกวางเป็นเก้ง ก็กดปืนยิงเปรี้ยงเข้าให้
    บังเอิญปืนกลับแตกลั่นถูกตัวเอง บาดเจ็บดังกล่าว
    เขาว่าเขาผิดพลาด ๒ กระทง กระทงแรกคือมายิงสัตว์ในเขตวัด
    กระทงสอง มาล่วงเกินยิงข้าพเจ้าผู้เป็นพระภิกษุเขาจึงได้รับผลของกรรมนั้น

    คราวนั้นก็เช่นเดียวกับครั้งนี้ ข้าพเจ้าก็ได้สอนให้เขารู้จัก
    บาปบุญคุณโทษของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ให้นึกถึงกรรม
    ผลของกรรมซึ่งจะติดตามตัวเราเหมือนรอยเกวียน
    ที่ติดตามเท้าโคฉะนั้น



    -----------------

    ที่มา : หน้าที่ ๑๓๔ หนังสืออัตตโนประวัติและพระธรรมเทศนา
    พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ
    วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย
     
  8. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    ระหว่างปีนั้น กลางพรรษา ฝนตกชุกมาก น้ำท่วมทางบิณฑบาตหมด
    ไปบิณฑบาตไม่ได้ ชาวบ้านก็มาส่งอาหารไม่ได้ เหมือนถูกปล่อยเกาะ
    น้ำท่วมเจิ่งไปหมด เณรต้องต้มข้าวสาลีที่ปลูกในวัด ต้มข้าวสาลี
    และผักป่าอาศัยฉันไปวันหนึ่งๆ จนกว่าน้ำจะแห้งก็เป็นเดือนๆทีเดียว
    นับเป็นการผจญภัยอย่างหนึ่ง


    ในพรรษาที่อยู่ภูสิงห์น้อยนี้ ได้พากันเร่งบำเพ็ญภาวนากัมมัฏฐาน
    อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามความสามารถของตน ๆ ไม่เป็นผู้ที่
    ย่อท้อต่อการทำความพากความเพียร พิจารณาร่างกายของตน
    กายาคตาคติ ไม่ให้จิตรวม ไม่ให้จิตลงพัก พิจารณาไปพอสมควรก็สงบ
    สงบพอสมควรก็พิจารณาค้นดูในร่างกาย พิจารณาทวนขึ้นและตามลง
    เป็นปฏิโลมและอนุโลม อุทฺธํ ปาทตลา อโธ เกสมตฺถกา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
    เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป และด้านกลางสถานโดยรอบค้นดูในร่างกาย
    ให้รู้เห็นตามเป็นจริง ให้จิตมันอ่อนมันน้อมยอมหันมาเชื่อต่อคำสอน
    ของพระพุทธเจ้า พระสัจธรรมในร่างกายของเรามีทุกขุมขน
    ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะสัจจะแปลว่า ของจริง ร่างกายนี้จะน้อมไปสู่
    สัจธรรมของจริงของร่างกาย....... เห็นสัจจะ....จริงไปหมด


    เช่น เราจะห้อมพิจารณาเป็นของไม่สวยไม่งาม เป็นของสกปรกโสโครก
    เป็นของปฏิกูลพึงรังเกียจ....... มันก็เป็นจริง เห็นจริง เห็นสัจจะของจริง
    เห็นในร่างกายของเรานี้เป็นของไม่สวย ไม่งามจริง



    หรือ จะน้อมพิจารณาให้เห็น เป็นธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ
    ธาตุไฟ ธาตุลม มันก็เป็นสัจจะจริง เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ เป็นลม จริงทีเดียว !


    หรือจะน้อมพิจารณาให้เห็นเป็นซากศพ ซากผี.... อย่างนี้มันก็เป็นจริง
    เพราะมันเหม็นมันเน่า มันสกปรก ตายแล้วก็ผุพัง ละเอียดลงสู่สภาพเดิม
    คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ต่างหาก




     
  9. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    หรือ จะน้อมพิจารณาให้เห็นว่า มันไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
    ไม่ใช่ตัวตนเราเขา ให้น้อม ให้รู้ ให้เห็นสัจจะตามความเป็นจริง
    น้อมพิจารณาดูสังขารตามนี้ให้เห็นเป็นทุกข์.... ความเกิดเป็นทุกข์จริง
    ความแก่เป็นทุกข์จริง ความเจ็บเป็นทุกข์จริง ความตายเป็นทุกข์จริง
    ความโศก ความเศร้า ความร้องไห้ร่ำไรรำพันเป็นทุกข์จริง
    ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เป็นทุกข์จริง น้อมไปตามนี้.....
    น้อมไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง
    ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ท่านรู้ท่านเห็นตามความเป็นจริง
    ตามสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าเห็น ที่พระอริยเจ้าเห็นนั้น......
    ไม่ยอมที่จะหยุดการพิจารณา พิจารณาจนจิตนั้น ยอมรู้ ยอมเห็น.....นั่น !
    เชื่อมั่นว่า สัจธรรมของจริง มีจริง



    จิตยอมเชื่อและเห็นชัดว่า ความเกิดเป็นทุกข์จริง ความแก่เป็นทุกข์จริง
    ความเจ็บเป็นทุกข์จริง ความตายเป็นทุกข์จริง ความโศก ความเศร้า เป็นทุกข์จริง
    ความร้องไห้ ร่ำไรรำพัน เป็นทุกข์จริง ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เป็นทุกข์จริง
    ความเสียใจคับแค้นใจเป็นทุกข์จริง

    น้อมเข้าจนมันรู้ มันเห็น..... อย่างนี้ สัจธรรมประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ เป็นทุกข์จริง
    พลัดพรากจากสิ่งที่รักใคร่ ชอบพอเป็นทุกข์จริง ไม่สมความรัก ความปรารถนา
    ไม่สมประสงค์ก็เป็นทุกข์จริง


    น้อมเข้ามาพิจารณาขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทาน คือ ความยึดมั่น
    ถือมั่น ว่าขันธ์เป็นเรา เราเป็นขันธ์ ขันธ์เป็นตนของเรา
    ก็พิจารณาเราเป็นทุกข์จริง......!

    ตลอดพรรษาที่อยู่ภูสิงห์น้อย ได้ทำประโยค พยายามพากเพียรโดยไม่ท้อถ้อย
    พิจารณาแผ่นดินภายใน อชฌตติกา กล่าวคือ อัตภาพร่างกายนี้อย่างไมลดละ
    มิให้จิตรวมลง เพราะถ้าจิตรวมลงถึงอัปปนาสมาธิ หรือ ฐีติจิตแล้ว
    มันพิจารณาอะไรไม่ได้ มันไม่รู้ไม่เห็นอะไร เพราะเป็นจิตที่ละเอียด
    วางอารมณ์ วางธาตุ วางขันธ์ เดินวิปัสสนาไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงไม่ให้จิตรวม
    ให้จิตสงบพอดีพองาม พอเป็นพื้นฐานของวิปัสสนา ให้เป็นเอกคตารมณ์
    มีอารมณ์อันเดียว เจาะจงบ่งเฉพาะสัจธรรมของจริงอันเดียวเท่านั้น

     
  10. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    ในพรรษานี้ การทำความพากเพียรสะดวกมากนัก เพราะไม่มีการงานอะไร
    มีแต่ตั้งหน้าทำความพากเพียร พิจารณากัมมัฏฐานเท่านั้น
    เพราะเป็นสถานที่ที่สงบสงัด หลีกเร้นจากผู้คน วิเวกดีมาก


    ถ้าจะเปรียบกับสถานที่ต่างๆ ที่ผ่านมาแล้ว ที่ ภูสิงห์น้อย
    นี้ก็นับเป็นที่สัปปายะที่สุดแก่การบำเพ็ญเพียรภาวนาของข้าพเจ้า
    คือ ดงหม้อทอง จิตรวมง่าย แต่ปัญญาไม่แก่กล้า
    ที่ ถ้ำจันทน์ จิตรวมดีเช่นกัน ได้คิดค้นในกายเรื่อยมา
    กระจ่างมาเป็นลำดับ ๆ พอมาถึงภูสิงห์น้อย ปัญญากำลังที่สะสมมา
    ก็ได้ใช้เต็มที่ ในครั้งนี้ข้าพเจ้าเร่งทำความเพียรอย่างอุกฤษฎ์
    เพราะคิดว่าจิตพักมาเพียงพอล้ว คอยระวังรักษามิให้จิตพัก
    ใช้อุบายปัญญาทุกอย่าง เหมือนนักมวยไทย
    ต้องใช้อาวุธในกายทุกอย่างที่มี.... ทั้งศอก ทั้งเข่า ทั้งเท้า ทั้งกำปั้น
    อาศัยแยบคายอุบายปัญญาทุกประการที่เกิดขึ้น เพื่อจะพยายามน็อคเอ๊าท์
    คู่ต่อสู้คือกิเลสให้ล้มคว่ำลงให้ได้


    เมื่อออกพรรษา ปวารณาแล้ว ท่านพระอาจารย์สอน
    ก็ออกไปแสวงหาที่วิเวกแห่งอื่น ตามสมณวิสัยของฝ่ายกัมมัฏฐาน
    ส่วนตัวข้าพเจ้า ญาติโยมทางบ้านดอนเสียด ถ้ำพระ ถ้ำบูชา ภูวัว
    ได้มาอาราธนานิมนต์ ให้ไปโปรดพวกเขาจำพรรษาต่อไปกับเขา
    โดยให้ไปเลือกสาถนที่ซึ่งเหมาะสมควรจะตั้งเป็นสำนักสงฆ์
    โปรดญาติโยมถิ่นนั้น ข้าพเจ้าและเณรก็เลยไปตรวจดู
    ถ้ำพระและถ้ำบูชาตามคำนิมนต์ แล้วก็ตกลงยับยั้งพักอยู่ที่ถ้ำบูชา
    ทั้งๆ ที่ถ้ำบูชาเองก็อยู่ห่างจากหมู่บ้านถึง ๑๐ กิโลเมตร
    ไม่มีทางจะไปบิณฑบาตเลย


    --------------------------------------------

    ที่มา : หน้าที่ ๑๓๖-๑๓๗ หนังสืออัตตโนประวัติและพระธรรมเทศนา
    พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ
    วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย

     
  11. พามมะวดี

    พามมะวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +1,857
    สมัยนั้นถ้ำพระอยู่ห่างจากหมู่บ้านมากกว่าถ้าบูชา
    ไม่สะดวกในการบิณฑบาต หมู่บ้านอยู่ไกลมีแต่ป่าดงทึบ
    เพราะสมัยที่ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร อยู่บำเพ็ญภาวนา
    และสร้างพระกับพระอาจารย์ทองสุข สุจิตโต นั้น ท่านไม่ได้
    ลงบิณฑบาต ท่านอาศัยญาติโยมทางบ้านนาตะไก้บ้าง
    บ้านโสกก่ามบ้าง บ้านดอนเสียดบ้าง ลำเลียงอาหาร
    ข้าวสุก ข้าวสาร อาหารผักเนื้อ ข้าวปลาอาหารไปสะสมไว้ให้เณร
    หรือผ้าขาว หรือญาติโยมไปทำกัปปิยะจังหันถวายท่าน
    เพราะลงบิณฑบาตไม่ได้ ไม่มีที่บิณฑบาต ข้าพเจ้าไปตรวจดู
    แล้วเห็นว่าไม่มีบ้าน ไม่มีที่บิณฑบาต ลำบาก ก็เลยตกลงเลือกถ้ำบูชา
    เพราะอย่างไร ถ้ำบูชาก็ยังเป็นสถานที่พอที่จะอาศัยได้บ้าง
    เนื่องจากใกล้หมู่บ้านมากกว่าถ้ำพระ


    แต่ถึงกระนั้น ทางบิณฑบาตรก็ลำบากมากเหมือนกัน ด้วยต้องไป
    บิณฑบาตถึง ๑๐ กิโลเมตรที่หมู่บ้านดอนเสียด ซึ่งเป็นหมู่บ้าน
    ที่ใกล้ที่สุดสำหรับทางเดิน แม้จะเป็นเพียงทางเดินป่าอันเป็น
    ปกติธรรมดาของชาวป่าก็ไม่มี ต้องบุกป่าฝ่าดงดอนไปตามทางสัตว์นั่นเอง
    โดยที่หนางไกลมากถึง ๑๐ กิโลเมตร และต้องบุกป่าฝ่าเขา
    กว่าจะถึงหมู่บ้านก็กินเวลา ๒ ชั่วโมงกว่า หรือ ๓ ชั่วโมงมีเดียว
    ดั่งนั้นระยะแรก ๆ ที่อยู่บนหลังถ้ำบูชา กับเณรรวม ๒ องค์นั้น
    ยังลงบิณฑบาตรไม่ได้ พวกชาวบ้านเขาต้องนำเสบียงอาหาร
    ลำเลียงมาส่ง ๗ วันครั้งหนึ่ง เช่น ข้าว กะปิ พริก ปลาร้า เกลือ
    แล้วก็อาศัยเณรหุงต้ม มีพริก มีปลาร้าคลุกเข้ากัน
    แล้วก็เก็บผักป่าตามธรรมชาติ มีพวกหัวข่า หัวขิง ผักหนาม
    เห็ด ยอดผัก ยอดหวาย ในป่า.............เหล่านั้น
    แต่แต่จะหามาได้ต้ม มาแกง พอเยียวยาอัตภาพประทังชีวิตไปชั่ววันหนึ่งๆ เท่านั้น



    เมื่อญาติโยมเขาเสร็จกิจในการงานของเขา คือ เก็บเกี่ยวเรียบร้อยแล้ว
    ข้าพเจ้าก็เลยพาญาติโยมตัดทางจากบ้านดอนเสียดขึ้นภูวัวไปถ้ำบูชา
    ช่วยกันบุกเบิกทำทางอยู่ ๓ เดือน จึงสำเร็จ มีความสะดวกในการเดินทางไปมา
    รถและเกวียนพอเดินได้ และเป็นเส้นทางคมนาคมตลอดมาตราบเท่าทุกวันนี้
    แก่กระนั้นสำหรับการบิณฑบาต ก็ยังต้องแบ่งกันคนละครึ่งทางกับชาวบ้าน
    คือชาวบ้านครึ่งหนึ่ง พระครึ่งหนึ่ง โดยจัดสร้างแคร่มีที่มุงเล็กๆ
    สำหรับเป็นที่บิณฑบาต ชาวบ้านเดินทางขึ้นมาจากบ้านครึ่งทางมารอ
    ใส่บาตร และให้พระลงจากเขามาอีกครึ่งทางมารับบาตรที่นั่น


    เรียกว่า เป็นการพบกันครึ่งทางตามสำนวนสมัยก็พอจะได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...