พระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพ่อทอง จนฺทสิริ) เจ้าอาวาสวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ได้มรณภาพลงด้วยอาการสงบ

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย navycom33, 16 มีนาคม 2016.

  1. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    [​IMG]

    พระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพ่อทอง จนฺทสิริ) เจ้าอาวาสวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ได้มรณะภาพลงด้วยอาการสงบที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเช้าตรู่วันนี้ (๑๖ มีนาคม ๒๕๕๙) เวลาประมาณ ๐๔.๑๐ น

    สิริอายุรวม ๘๓ ปี ๑๐ เดือน ๑๔ วัน
    พรรษา ๖๓

    ข่าวจาก Facebook ลูกศิษย์ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม
     
  2. navycom33

    navycom33 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +6,732
    ประวัติและปฏิปทา พระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพ่อทอง จนฺทสิริ) วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ

    [​IMG]
    ๏ วัดอโศการาม
    “ทะเลไทยทั่วแคว้น แลงาม
    วัดอโศการาม พรั่งพร้อม
    สันติทุกโมงยาม ตามป่า เลนแฮ
    ธรรมชาติยังห้อมล้อม นก-ไม้แลสลอน”

    โคลงสี่สุภาพบทนี้ บรรยายให้คนทั่วไปรับรู้แลเห็นถึงสภาพสิ่งแวดล้อมอันร่มรื่นภายใน “วัดอโศการาม” ซึ่งเป็นวัดสังกัดธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่เลขที่ 136 หมู่ที่ 2 ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เป็นอย่างดี

    ปัจจุบันมี “ท่านเจ้าคุณพระญาณวิศิษฏ์ (ทอง จนฺทสิริ)” หรือที่ชาวบ้านญาติโยมทั่วไปขานนามท่านว่า “พระอาจารย์ทอง จนฺทสิริ” ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอโศการาม อันดับที่ 3 เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน สืบต่อจาก พระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) อดีตเจ้าอาวาสที่ได้มรณภาพไป

    พระอาจารย์ทอง จนฺทสิริ ท่านมีศีลาจารวัตรอันงดงาม เรียบร้อยโดยจริตธรรม ฉันภัตตาหารมื้อเดียวเป็นอาจิณ กิริยาสงบนิ่งเยือกเย็น วาจาชัดถ้อยคำเปี่ยมด้วยเมตตา พูดน้อยแต่หนักแน่น เทศนาปาฐกถาธรรมจับใจบรรดาคณะญาติโยมผู้ศรัทธา เป็นที่เลื่องลือของสาธุชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง


    ๏ อัตโนประวัติ

    ภูมิหลังของท่านก่อนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ พระอาจารย์ทอง จนฺทสิริ มีนามเดิมว่า ทอง นารีวงษ์ เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2475 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 8 ค่ำ เดือน 5 ปีวอก พื้นเพเดิมครอบครัวเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาด้วยกันทั้งหมด 9 คน เป็นชาย 4 คน หญิง 5 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 6 ต่อมาครอบครัวอพยพย้ายถิ่นฐานมาปักหลักอยู่ ณ ต.วังใหญ่ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

    ชีวิตในวัยเด็กของ ด.ช.ทอง นารีวงษ์ ค่อนข้างมีชีวิตยากลำบาก ด้วยความเป็นอยู่ของทางบ้านที่มีฐานะยากจน ครอบครัวประกอบอาชีพทำนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ท่านเรียนจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ต้องเลิกเรียนกลางคันเพื่อมาช่วยเหลือทางบ้านทำนาหาเลี้ยงปากท้อง

    ๏ การบรรพชาและอุปสมบท

    แต่ด้วยความเป็นคนใฝ่รู้ แสวงหาหลักยึดเหนี่ยวชีวิต มีใจเอนเอียงทางพุทธะ ประกอบกับโยมบิดามีความปรารถนาอันแรงกล้าให้บุตรชายได้บวชเรียนศึกษาตามธรรมเนียมชีวิตลูกผู้ชาย ทั้งนี้ ผู้ที่คอยชี้ทางส่งเสริมให้ท่านได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน คือ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี ธมฺมธโร) หรือท่านพ่อลี ธมฺมธโร เทพธรรมแห่งจังหวัดสมุทรปราการ ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ นั่นเอง

    จากการได้ออกติดตามท่านพ่อลี ธมฺมธโร ผู้มีศักดิ์เป็นหลวงอา ไปทุกหนแห่งเวลาออกธุดงค์และพำนักจำพรรษาตามวัดต่างๆ ท่านต้องคอยปรนนิบัติรับใช้หลวงอาและต้องนอนอยู่หน้าโบสถ์ ความยากลำบากแทนที่จะกัดกร่อนจิตใจให้ท่านย่อท้อ แต่กลายเป็นความศรัทธาเลื่อมใสต่อวัตรปฏิบัติของหลวงอา ที่ดำรงตนด้วยความเรียบง่าย มักน้อย สันโดษ แต่เพียบพร้อมด้วยความวิริยะอุตสาหะ ดังนั้น ท่านจึงตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณร ในปี พ.ศ.2494 เมื่ออายุครบ 19 ปี ณ วัดป่าคลองกุ้ง ต.ตลาด อ.เมือง จ.จันทบุรี

    เวลาผ่านไป 2 ปี เมื่อมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ก่อนย้ายไปพักจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาแก้ว ต.หนองตาคง อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี


    ๏ การศึกษาพระปริยัติธรรม

    หลังจากนั้น ได้หวนกลับมาอยู่วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก

    ความตั้งใจเดิมที่ต้องการบวชเรียนก็เพื่ออุทิศผลบุญส่วนกุศลให้แก่โยมบิดา เพียง 1-2 พรรษาเท่านั้น แล้วจะลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตตามปกติทั่วไป ได้พลันแปรเปลี่ยนเมื่อท่านได้ลงลึกในรายละเอียด ศึกษาค้นคว้าหลักธรรมแห่งพระพุทธองค์จนถึงแก่น ความเลื่อมใสศรัทธาจึงเพิ่มทวีคูณ

    พ.ศ.2499 พระอาจารย์ทองได้มาจำพรรษาที่วัดอโศการามกับท่านพ่อลี ธมฺมธโร ในพรรษาที่ 6 ท่านได้ไปเรียนวิชาภาษาบาลีที่วัดบรมนิวาส ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ แม้จะเคยเรียนบาลีมาบ้างแล้ว แต่ท่านมิได้อวดรู้วิชา ยังฟังคำชี้แนะจากครูบาอาจารย์ให้ไปเรียนเพิ่มเติมอีก

    จนมาถึงปี พ.ศ.2500 ไปจำพรรษาที่สำนักสงฆ์บ้านสันกอเก็ด ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เป็นเวลา 3 ปี กระทั่งท่านพ่อลีได้มรณภาพลง ท่านจึงได้กลับมาอยู่ที่วัดอโศการาม


    ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเพื่อทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    ณ พระธุตังคเจดีย์ วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2509
    โดยมี พระเทพโมลี (สำรอง คุณวุฑฺโฒ) เจ้าอาวาสวัดอโศการาม (ในขณะนั้น) เฝ้ารับเสด็จฯ


    ๏ ตำแหน่งงานปกครองและสมณศักดิ์

    พ.ศ.2518 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี

    ล่วงเข้าปี พ.ศ.2534 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอโศการาม

    รุ่งขึ้นอีกปี ในปี พ.ศ.2535 เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ เวียนมาบรรจบครบ 5 รอบ 60 พรรษา ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในพระราชทินนามที่ “พระญาณวิศิษฏ์”


    ๏ แนวทางการปฏิบัติธรรม

    ด้านหลักธรรม พระอาจารย์ทอง จนฺทสิริ ท่านเน้นหนักด้านวิปัสสนากรรมฐาน ศึกษาพระปริยัติธรรมแต่พอประมาณ เน้นหนักการปฏิบัติเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องจิตตามหลักสากลทั่วไป สมถะอุบายให้สงบใจ วิปัสสนาอุบายให้เกิดปัญญา ถือเป็นหลักกรรมฐาน เป็นข้อวัตรปฏิบัติที่สำคัญอย่างยิ่ง พระอาจารย์ทองเคยปรารภว่า สาย หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านสอนเจริญบริกรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือยึดพุทโธเป็นหลัก ต่อมาท่านพ่อลี ธมฺมธโร ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เกิดความรู้ความชำนาญ ท่านมีปัญญาแตกฉานในนามานุสติด้วยการมาใช้ลมหายใจ กำหนดลมหายใจเป็นหลักควบคู่กับพุทโธ หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” นี่คือหลักปฏิบัติ

    “จริงๆ แล้วตามหลักของการเจริญธรรมะ การสงบใจ ไม่มีอะไรมาก คนเรามันโลภมาก มันหิวกระหาย เพราะฉะนั้นพอไปเห็นอาหารการกินเข้า อำนาจความอยากมันล้น เพราะเรื่องของจิตใจจริงๆ”

    “ขอให้เราผูกจิตผูกใจไว้อะไรจริงๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นมงคล ขอให้ใจมันยึดแน่ๆ ให้ถึงเถอะมันสำเร็จทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องพุทโธ ธัมโม สังโฆ หรอก พุทโธ ธัมโม สังโฆ มันเป็นหลักเท่านั้น ผูกจิตใจอันฟุ้งซ่านด้วยอำนาจของกิเลส ให้มันเป็นใจที่มีหลักปักปักเพื่อจะไปสังหารกิเลส”

    “มนุษย์โลกที่ไม่มีหลักเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ไม่มีจุดยืน จะไปใช้สติปัญญาสังหารกิเลสของตน การบำเพ็ญวิปัสสนาเพื่อให้รู้แจ้งชำระกิเลสได้ กว่าจะไปถึงขั้นนั้นต้องทำให้จิตสงบลงก่อน ให้จิตสว่าง มันยังไม่ถึงวิปัสสนา เป็นสมถะ วิปัสสนามันมาคิดก็จริงอยู่ คิดไปคิดมาจิตหยุดความคิด เมื่อสมาธิเป็นสมถะจิตจะบังเกิดความสงบ อย่างบางคนบอกอะไรอนิจจัง อะไรไม่เที่ยง อะไรก็อยู่ไม่ได้ อะไรแตกดับ ทำไมไม่ถึงวิปัสสนา เพราะใจมันยังไม่มีสมถะ ใจมันไม่นิ่ง ใจมันส่ายไปมา พอใจหยุดนิ่ง สิ่งที่เห็นคือพระ สิ่งที่เห็นด้วยใจ ไม่ได้เห็นจากดวงตา สิ่งที่มันเกิดคือผู้รู้แท้ ถ้ารู้ใจเจ้าของคือผู้รู้ตน ใจก็อยู่ที่ใจ ไม่ใช่เอาใจไปไว้ที่หัวหรือบนผม รู้จักที่มาที่ไป ไม่ใช่ไปรู้ตามหนังสือที่เขียน แล้วก็หอบสังขารไป”

    ทุกวันนี้ พระอาจารย์ทอง จนฺทสิริ ในวัย 79 ปี (เมื่อปี พ.ศ.2554) ยังคงเดินหน้าพัฒนาวัดและจิตใจของชาวบ้านญาติโยมอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา ท่านเป็นพระนักเทศน์ที่ติดรับกิจนิมนต์ตลอดเวลา และเป็นศูนย์รวมใจของชาวชุมชนโดยมิเสื่อมถอย วัดอโศการามแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติอันร่มเย็นสำหรับเป็นที่พักพิงแก่มวลสรรพสัตว์ฉันใด พระอาจารย์ทองก็เป็นธงธรรมให้ร่มเงาจิตใจแก่ชาวบ้านญาติโยมฉันนั้น



    ที่มา : หน้าหลัก - ธรรมจักร :: เว็บธรรมะออนไลน์
     
  3. สักการะ

    สักการะ ชิวิตดั่งอาทิตย์อัศดง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,922
    ค่าพลัง:
    +5,740
    ขอบารมีหลวงพ่อช่วยคุ้มครองลูกหลานด้วยครับ
    หากข้าพเจ้าได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน หลวงพ่อไว้ จะด้วย กาย วาจา ใจ
    เจตนาหรือไม่เจตนา หรือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม จะในชาติใดๆก็ตาม
    ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตาอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ
     
  4. mattabu

    mattabu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2011
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +509
    พระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพ่อทอง จนฺทสิริ) วัดอโศการาม ละสังขาร

    หลวงพ่อทอง จันทสิริ เจ้าอาวาสวัดอโศการาม ศิษย์ "ท่านพ่อลี ธัมมธโร" มรณภาพแล้วที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 59



    วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ.....ขอแจ้งกำหนดการสรงน้ำสรีระสังขารของพระญาณวิศิษฏ์ (หลวงพ่อทอง จนฺทสิริ) ในวันนี้ (๑๖ มีนาคม ๒๕๕๙) ณ ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม วัดอโศการาม
    ๑๖.๐๐ น. กราบขอขมา / สรงน้ำสรีระสังขาร
    ๑๘.๐๐ น. น้ำหลวงสรงสรีระสังขารมาถึงวัดอโศการาม / บรรจุสรีระสังขารลงหีบศพ
    ๑๙.๐๐ น. สวดพระอภิธรรม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      96.9 KB
      เปิดดู:
      349
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2016
  5. mattabu

    mattabu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2011
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +509
    พระญาณวิศิษฏ์ (หลวงปู่ทอง จันทสิริ) "พระอริยเจ้าผู้มีธรรมงดงามดั่งแสงจันทร์" เจ้าอาวาสวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ละสังขารเมื่อเช้าวันนี้ ตรงกับวันพุธที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙ เวลาประมาณ ๐๔.๑๕ น. สิริอายุรวม ๘๓ ปี ๑๐ เดือน ๑๖ วัน ๖๒ พรรษา

    กำหนดการสรงน้ำสรีระสังขารของพระญาณวิศิษฏ์ (หลวงปู่ทอง จนฺทสิริ) ในวันนี้ (๑๖ มีนาคม ๒๕๕๙) ณ ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม วัดอโศการาม

    ๑๖.๐๐ น. กราบขอขมา / สรงน้ำสรีระสังขาร
    ๑๘.๐๐ น. น้ำหลวงสรงสรีระสังขาร มาถึงวัดอโศการาม / บรรจุสรีระสังขารลงหีบศพ
    ๑๙.๐๐ น. สวดพระอภิธรรม

    "..สังขารวิบากมันยังมีอยู่ ก็ต้องประคองกันไป มันเป็นธรรมชาติของมัน จะไปเอาอะไรกับมัน ถึงเวลามันก็หยุด ก็แตกดับไปเอง.." โอวาทธรรมคำสอนพระญาณวิศิษฏ์ (หลวงปู่ทอง จันทสิริ)

    ◎ กราบขอขมาหลวงปู่ทอง จันทสิริ
    มหาเถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต
    มหาเถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต
    มหาเถเร ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต

    ลูกหลานกราบขอขมาหลวงปู่ทอง จันทสิริ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี หากเคยประมาทพลาดพลั้ง ด้วยความขาดสติรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง ทั้งอดีตหรือปัจจุบัน ลูกหลานกราบขอขมา ขอหลวงปู่ทอง จันทสิริ โปรดอโหสิกรรม และงดโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อความสำรวมระวังในการณ์ต่อไป และธรรมอันใดที่ท่านได้รู้แจ้งแล้ว ขอลูกหลานได้รู้ธรรม เห็นธรรมอันนั้นด้วยเทอญ...สาธุ

    หลวงปู่ทอง จันทสิริ ท่านมีศีลาจารวัตรอันงดงาม เรียบร้อยโดยจริตธรรม ฉันภัตตาหารมื้อเดียวเป็นอาจิณ กิริยาสงบนิ่งเยือกเย็น วาจาชัดถ้อยคำเปี่ยมด้วยเมตตา พูดน้อยแต่หนักแน่น เทศนาปาฐกถาธรรมจับใจบรรดาคณะญาติโยมผู้ศรัทธา เป็นที่เลื่องลือของสาธุชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง

    ๏ ชาติภูมิ

    ภูมิหลังของท่านก่อนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ หลวงปู่ทอง จันทสิริ มีนามเดิมว่า ทอง นารีวงษ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก พื้นเพเดิมครอบครัวเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาด้วยกันทั้งหมด ๙ คน เป็นชาย ๔ คน หญิง ๕ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๖ ต่อมาครอบครัวอพยพย้ายถิ่นฐานมาปักหลักอยู่ ณ ต.วังใหญ่ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์

    ชีวิตในวัยเด็กของ ด.ช.ทอง นารีวงษ์ ค่อนข้างมีชีวิตยากลำบาก ด้วยความเป็นอยู่ของทางบ้านที่มีฐานะยากจน ครอบครัวประกอบอาชีพทำนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ท่านเรียนจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ต้องเลิกเรียนกลางคันเพื่อมาช่วยเหลือทางบ้านทำนาหาเลี้ยงปากท้อง

    ◎ การบรรพชาและอุปสมบท

    แต่ด้วยความเป็นคนใฝ่รู้ แสวงหาหลักยึดเหนี่ยวชีวิต มีใจเอนเอียงทางพุทธะ ประกอบกับโยมบิดามีความปรารถนาอันแรงกล้าให้บุตรชายได้บวชเรียนศึกษาตามธรรมเนียมชีวิตลูกผู้ชาย ทั้งนี้ ผู้ที่คอยชี้ทางส่งเสริมให้ท่านได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน คือ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) หรือท่านพ่อลี ธมฺมธโร เทพธรรมแห่งจังหวัดสมุทรปราการ ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ นั่นเอง

    จากการได้ออกติดตามท่านพ่อลี ธมฺมธโร ผู้มีศักดิ์เป็นหลวงอา ไปทุกหนแห่งเวลาออกธุดงค์และพำนักจำพรรษาตามวัดต่างๆ ท่านต้องคอยปรนนิบัติรับใช้หลวงอาและต้องนอนอยู่หน้าโบสถ์ ความยากลำบากแทนที่จะกัดกร่อนจิตใจให้ท่านย่อท้อ แต่กลายเป็นความศรัทธาเลื่อมใสต่อวัตรปฏิบัติของหลวงอา ที่ดำรงตนด้วยความเรียบง่าย มักน้อย สันโดษ แต่เพียบพร้อมด้วยความวิริยะอุตสาหะ ดังนั้น ท่านจึงตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณร ในปี พ.ศ.๒๔๙๔ เมื่ออายุครบ ๑๙ ปี ณ วัดป่าคลองกุ้ง ต.ตลาด อ.เมือง จ.จันทบุรี

    เวลาผ่านไป ๒ ปี เมื่อมีอายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๖ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ก่อนย้ายไปพักจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาแก้ว ต.หนองตาคง อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

    ๏ การศึกษาพระปริยัติธรรม

    หลังจากนั้น ได้หวนกลับมาอยู่วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก

    ความตั้งใจเดิมที่ต้องการบวชเรียนก็เพื่ออุทิศผลบุญส่วนกุศลให้แก่โยมบิดา เพียง ๑-๒ พรรษาเท่านั้น แล้วจะลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตตามปกติทั่วไป ได้พลันแปรเปลี่ยนเมื่อท่านได้ลงลึกในรายละเอียด ศึกษาค้นคว้าหลักธรรมแห่งพระพุทธองค์จนถึงแก่น ความเลื่อมใสศรัทธาจึงเพิ่มทวีคูณ

    พ.ศ.๒๔๙๙ พระอาจารย์ทองได้มาจำพรรษาที่วัดอโศการามกับท่านพ่อลี ธมฺมธโร ในพรรษาที่ ๖ ท่านได้ไปเรียนวิชาภาษาบาลีที่วัดบรมนิวาส ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ แม้จะเคยเรียนบาลีมาบ้างแล้ว แต่ท่านมิได้อวดรู้วิชา ยังฟังคำชี้แนะจากครูบาอาจารย์ให้ไปเรียนเพิ่มเติมอีก

    จนมาถึงปี พ.ศ.๒๕๐๐ ไปจำพรรษาที่สำนักสงฆ์บ้านสันกอเก็ด ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เป็นเวลา ๓ ปี กระทั่งท่านพ่อลีได้มรณภาพลง ท่านจึงได้กลับมาอยู่ที่วัดอโศการาม

    ◎ ตำแหน่งงานปกครองและสมณศักดิ์

    พ.ศ.๒๕๑๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี

    ล่วงเข้าปี พ.ศ.๒๕๓๔ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอโศการาม

    รุ่งขึ้นอีกปี ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ เวียนมาบรรจบครบ ๕ รอบ ๖๐ พรรษา ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในพระราชทินนามที่ “พระญาณวิศิษฏ์”

    ๏ แนวทางการปฏิบัติธรรม

    ด้านหลักธรรม พระอาจารย์ทอง จนฺทสิริ ท่านเน้นหนักด้านวิปัสสนากรรมฐาน ศึกษาพระปริยัติธรรมแต่พอประมาณ เน้นหนักการปฏิบัติเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องจิตตามหลักสากลทั่วไป สมถะอุบายให้สงบใจ วิปัสสนาอุบายให้เกิดปัญญา ถือเป็นหลักกรรมฐาน เป็นข้อวัตรปฏิบัติที่สำคัญอย่างยิ่ง พระอาจารย์ทองเคยปรารภว่า พระกัมมัฏฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านสอนเจริญบริกรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือยึดพุทโธเป็นหลัก ต่อมาท่านพ่อลี ธมฺมธโร ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เกิดความรู้ความชำนาญ ท่านมีปัญญาแตกฉานในนามานุสติด้วยการมาใช้ลมหายใจ กำหนดลมหายใจเป็นหลักควบคู่กับพุทโธ หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” นี่คือหลักปฏิบัติ

    “จริงๆ แล้วตามหลักของการเจริญธรรมะ การสงบใจ ไม่มีอะไรมาก คนเรามันโลภมาก มันหิวกระหาย เพราะฉะนั้นพอไปเห็นอาหารการกินเข้า อำนาจความอยากมันล้น เพราะเรื่องของจิตใจจริงๆ”

    “ขอให้เราผูกจิตผูกใจไว้อะไรจริงๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นมงคล ขอให้ใจมันยึดแน่ๆ ให้ถึงเถอะมันสำเร็จทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องพุทโธ ธัมโม สังโฆ หรอก พุทโธ ธัมโม สังโฆ มันเป็นหลักเท่านั้น ผูกจิตใจอันฟุ้งซ่านด้วยอำนาจของกิเลส ให้มันเป็นใจที่มีหลักปักปักเพื่อจะไปสังหารกิเลส”

    “มนุษย์โลกที่ไม่มีหลักเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ไม่มีจุดยืน จะไปใช้สติปัญญาสังหารกิเลสของตน การบำเพ็ญวิปัสสนาเพื่อให้รู้แจ้งชำระกิเลสได้ กว่าจะไปถึงขั้นนั้นต้องทำให้จิตสงบลงก่อน ให้จิตสว่าง มันยังไม่ถึงวิปัสสนา เป็นสมถะ วิปัสสนามันมาคิดก็จริงอยู่ คิดไปคิดมาจิตหยุดความคิด เมื่อสมาธิเป็นสมถะจิตจะบังเกิดความสงบ อย่างบางคนบอกอะไรอนิจจัง อะไรไม่เที่ยง อะไรก็อยู่ไม่ได้ อะไรแตกดับ ทำไมไม่ถึงวิปัสสนา เพราะใจมันยังไม่มีสมถะ ใจมันไม่นิ่ง ใจมันส่ายไปมา พอใจหยุดนิ่ง สิ่งที่เห็นคือพระ สิ่งที่เห็นด้วยใจ ไม่ได้เห็นจากดวงตา สิ่งที่มันเกิดคือผู้รู้แท้ ถ้ารู้ใจเจ้าของคือผู้รู้ตน ใจก็อยู่ที่ใจ ไม่ใช่เอาใจไปไว้ที่หัวหรือบนผม รู้จักที่มาที่ไป ไม่ใช่ไปรู้ตามหนังสือที่เขียน แล้วก็หอบสังขารไป”

    Cr.ท้องถิ่นธรรมพระกรรมฐาน/Mattabuddha
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpeg
      image.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      56 KB
      เปิดดู:
      124
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...