พระอาจารย์กล่าวว่า
"ช่วงนี้มีน้ำท่วมหลายพื้นที่ คราวนี้พระสงฆ์ก็ออกไปช่วยชาวบ้านกันมาก โดยเฉพาะการทำอาหารไปแจก นำอาหารแห้งไปแจก แต่ปรากฏว่าเป็นข้อถกเถียงกันในสื่อโซเชียลมีเดียว่า ใช่กิจของสงฆ์หรือเปล่า ? ทำแบบนี้ศีลขาดหรือไม่ ?
เรามาดู ๒ ประเด็นที่เขาว่าไว้
ประเด็นแรกคือใช่กิจของสงฆ์หรือเปล่า ?
อาตมาเองยืนยันว่าใช่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าวาระแรกที่พระพุทธเจ้าส่งพระอรหันต์ ๖๐ รูป ออกไปประกาศพระพุทธศาสนา พระอรหันต์ตั้ง ๖๐ รูปมีใครบ้าง ? ก็มีพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ พระยสกุลบุตรกับสหายรวมแล้วอีก ๕๕
พระองค์สั่งว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวไป พหุชน หิตาย พหุชน สุขาย โลกานุกมฺปาย เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก
พระท่านไปช่วยคนน้ำท่วมเป็นประโยชน์ของคนหมู่มากคือส่วนรวมหรือเปล่า ? เพื่อความสุขของคนหมู่มากคือเพื่อส่วนรวมหรือเปล่า ? เป็นการอนุเคราะห์แก่ชาวโลกหรือเปล่า ? เราจะเห็นว่าใช่ทุกข้อ เพราะฉะนั้น...ประเด็นนี้ชัดเจนว่าสิ่งที่พระท่านทำเป็นกิจของสงฆ์อย่างแน่นอน"
"อีกส่วนหนึ่งก็คือ หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้ทุกคนมีพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา รักผู้อื่นเสมอตัวเอง กรุณา สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ มุทิตา พลอยยินดีเมื่อเขาอยู่ดีมีสุข และอุเบกขา ถ้ายากเกินความสามารถก็ปล่อยวาง
คราวนี้การช่วยคนน้ำท่วมไม่เกินความสามารถ พอที่จะทำได้ ทำได้แค่ไหนก็ทำแค่นั้น หลาย ๆ รูป หลาย ๆ แห่งรวม ๆ กันทำ ก็บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนไปได้ส่วนหนึ่ง จะมัวแต่ไปรอรัฐบาลก็ไม่ได้ เพราะว่ารัฐบาลมัวแต่หาทางว่า ทำอย่างไรตัวเองจะอยู่ให้ได้นานที่สุด แม้กระทั่งเรื่องการช่วยชาวบ้านก็ลืมไปชั่วคราว พระจึงต้องไปช่วย
ประเด็นที่สองคือ ผิดศีลหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าเองบัญญัติว่า ห้ามภิกษุหุงต้มอาหารด้วยตัวเอง ห้ามภิกษุเก็บอาหารเอาไว้เอง ห้ามภิกษุเก็บอาหารไว้ในที่อยู่ คราวนี้ห้ามหุงต้มด้วยตัวเองเพราะอะไร ? เพราะว่าถ้าหุงต้มด้วยตัวเอง ก็จะทำแต่อาหารที่ตัวเองชอบ แทนที่จะเป็นการละกิเลสก็เป็นการเพิ่มกิเลสไป
ห้ามเก็บอาหารไว้เอง เพราะว่าพระไม่ควรเป็นผู้สะสม แต่เราจะเห็นว่าหลายวัดมีโรงครัว มีคลังพัสดุ มีการเก็บข้าวสารอาหารแห้งไว้ ถามว่าผิดหรือไม่ ? ขอยืนยันว่าไม่ผิด เพราะว่าผู้เก็บไม่ใช่พระ แต่เป็นเด็กวัดหรือแม่ชี
ห้ามเก็บอาหารไว้ภายในที่อยู่ของตน เพราะกลัวว่าจะแอบไปฉันนอกเวลา หรือว่าเลือกอาหารที่ตัวเองชอบเก็บเอาไว้ แล้วฉันสนองกิเลสของตัวเอง คราวนี้สิ่งนี้ที่พระองค์ท่านห้าม ก็ยังมีการอนุญาตให้ในบางวาระ อย่างเช่นว่าเกิดทุพภิกขภัย เวลาข้าวยากหมากแพง หาอาหารได้ยาก ถ้าหากว่าไม่มีเก็บเอาไว้บ้าง ถึงเวลาไปบิณฑบาตไม่ได้ แล้วจะฉันอะไร แต่พระองค์ท่านก็ยกเลิกข้อห้ามนี้เวลามีความอุดมสมบูรณ์
คราวนี้เรามาดูว่าเวลาน้ำท่วมถือว่าเป็นวาระที่ไม่ปกติ เหมือนกับเวลาข้าวยากหมากแพงที่ไม่ใช่วาระปกติ ถ้าดูตามข้ออ้างในมหาปเทส ๔ พระพุทธเจ้าให้ไว้เพื่อตีความพระธรรมวินัยว่า สิ่งที่ไม่สมควร ถ้าพิจารณาแล้วว่าสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร ก็แปลว่าพระไม่ควรทำอาหารด้วยตัวเอง แต่ถ้าในวาระที่ไม่ปกติ อย่างเช่นว่า ข้าวยากหมากแพง น้ำท่วม ไฟไหม้ ถ้ามัวแต่ไปพึ่งญาติโยมก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาหมดเนื้อหมดตัวไปตาม ๆ กัน ก็ต้องทำเอง สิ่งที่ไม่สมควรเพราะว่าขัดกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม แต่พิจารณาแล้วว่าสมควร สิ่งนั้นย่อมสมควร ถ้าอย่างนี้ก็ถือได้ว่าไม่ผิดศีล"
"การตีความพระธรรมวินัยตามหลักที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ ก็ยังสามารถที่จะตีความได้ว่าเป็นการกระทำที่ถูก ศีลไม่ขาด และประการที่สุดท้าย พระท่านทำอาหารไปแจกโยม ไม่ได้ทำฉันเอง เพราะฉะนั้น...จึงไม่ผิดเลย ที่พระองค์ท่านห้ามก็คือห้ามทำฉันเอง เพราะกลัวว่าท่านที่มีฝีมือ จะเลือกทำแต่อาหารที่มีรสชาติถูกปากถูกกิเลสตัวเอง
ถ้ามีใครเขาถามปัญหาพวกนี้ ชี้แจงเขาให้ชัดเจนด้วยว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วเป็นกิจของสงฆ์ เป็นสิ่งที่ทำได้โดยไม่ผิดอยู่แล้ว โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าสอนเราให้ ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระองค์ท่าน มีพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ ถ้าเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วยเหลือ นั่นต่างหากที่ทำไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ก็คือไม่ถูกทั้งทางโลกและไม่ถูกทั้งทางธรรม
สมัยนี้คนที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าพระมีมาก พอถึงเวลาก็มักจะคิดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ อาตมาขอถามคืนประโยคเดียวว่า ในเมื่อไม่ใช่หน้าที่ของสงฆ์ ก็แปลว่าเป็นหน้าที่ของคุณ แล้วคุณได้ทำอะไรช่วยเหลือเขาบ้างแล้วหรือยัง ?"
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐
เว็บวัดท่าขนุน
พระท่านไปช่วยคนน้ำท่วม ใช่กิจของสงฆ์หรือเปล่า ศีลขาดหรือไม่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร ?
ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 20 สิงหาคม 2017.
-
-
พระอาจารย์สนทนากับพระลูกศิษย์
"ปีนี้หนักจริง ๆ เมื่อครู่เพิ่งจะพูดเรื่องที่เขามาเถียงกันว่า พระไปช่วยโยมถูกต้องตามพระธรรมวินัยหรือเปล่า ? ใช่กิจของสงฆ์หรือไม่ ? อธิบายไปชัดเจนแล้วว่าเป็นกิจของสงฆ์เลย พระพุทธเจ้าท่านสั่งเอาไว้ชัดว่า พหุชน หิตาย พหุชน สุขาย โลกานุกมฺปาย ปฏิบัติในพรหมวิหารแล้วมานั่งดูชาวบ้านเขาเดือดร้อนก็ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรม
ที่ห้ามทำอาหารด้วยตนเองนั้น พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระทำเพื่อฉันเอง ไม่ได้ห้ามทำให้คนอื่น เรื่องพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วโยมก็ไม่ชัดเจน เขาก็จับมาโยงกันมั่วไปหมด
วันก่อนมีโยมจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตบางกรวย เป็นแผนกสื่อสาร ไปทำบุญด้วย เอายาสามัญประจำบ้านไปถวายเป็น ๑๐ กล่อง จึงบอกว่าพระไม่ได้ใช้อย่างเดียวนะ เพราะว่าของเรานอกจากแจกเพื่อนพระวัดต่าง ๆ แล้ว พวกหน่วยทหาร ตำรวจ และหน่วยตำรวจตระเวนชายแดน หรือหน่วยป่าไม้เราก็แจกเขาด้วย เด็กนักเรียนเราก็แจกด้วย เพราะฉะนั้น...สิ่งที่โยมถวายมาได้ใช้ประโยชน์จริง ๆ เขาก็สงสัยว่าพระก็ทำบุญด้วยหรือ ? อาตมาขอยืนยันว่า...พระนั่นแหละต้องทำบุญ"
"พวกเราถ้ามีใครชี้แจงได้ชัดเจนแล้ว เราต้องเอาไปเผยแพร่ต่อ ไม่อย่างนั้นแล้วกลายเป็นว่าคนที่ไม่รู้จริงตีเราอยู่ฝ่ายเดียว แล้วตีผิด ๆ ด้วย แต่คนทั่วไปที่ไม่รู้ความจริงก็คิดว่าใช่
ไม่เป็นไร...เดี๋ยวเขาถอดเทปเสร็จแล้วค่อยเอาไปแชร์ก็แล้วกัน แจงไปทุกประเด็นแล้ว ไม่ว่าจะทางโลก ไม่ว่าจะทางธรรม จะตะแคงข้างไปหรือจะไปตรง ไม่ผิดทั้งนั้นแหละ ตะแคงข้างก็อ้างมหาปเทส ๔ ได้ พระพุทธเจ้าอนุญาตเวลาที่มีทุพภิกขภัย หุงต้มเองได้ เก็บไว้เองได้ เก็บไว้ในที่อยู่ได้
คำว่า ทุพภิกขภัย ก็คือ เหตุการณ์ที่นาน ๆ เกิดที ก็เหมือนกับพวกอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย อะไรพวกนั้น ก็แปลว่าในวาระที่ไม่ปกติ พระสามารถทำอาหารเองได้ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเพราะท่านห้ามเอาไว้ แต่ถ้าหากพิจารณาแล้วว่าสมควรสิ่งนั้นก็สมควร ถ้าเราจะตะแคงข้างก็อ้างมหาปเทส ๔ แต่ถ้าไม่ตะแคงข้างไปก็คือ ท่านห้ามทำฉันเองเพราะกลัวติดรส แล้วที่ทำให้ญาติโยมกินเกี่ยวอะไรกันด้วยเล่า ?"
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่มีประโยชน์เพราะว่าพระเรามีสมณสารูปบังคับอยู่ จะไปเถียงกันแบบชาวบ้านร้านตลาดไม่ได้ ถ้าเถียงกันก็อยู่ในลักษณะของตรรกะวิภาษหรือธรรมสากัจฉา เพราะฉะนั้น...แค่ชี้แจงเขาให้ชัดเจนก็จบแล้ว
ภาพที่พระไปทำความดีเหล่านี้เขาไม่ค่อยแชร์กันหรอก แต่ภาพชั่ว ๆ นี่ แหม...แชร์กันกระจาย แชร์กันเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง แต่ทำความดีเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งไม่รู้ว่าเขาจะแชร์ให้สักครั้งหรือเปล่า ?
....................
ท่านอาจารย์เปี๊ยก วัดโป่งโก มีหน่วยกู้ภัยอยู่ในวัด เมื่อคราวน้ำท่วมด่านมะขามเตี้ย โยมสองแม่ลูกติดอยู่กลางน้ำ บ้านเป็นทางน้ำไหล พวกกู้ภัยถอดใจกันหมดแล้ว ท่านอาจารย์เปี๊ยกเอาเชือกผูกเอวว่ายข้ามไปช่วย แล้วให้โยมขี่หลังข้ามมา คนก็ถามว่าพระแบกผู้หญิงได้ด้วยหรือ ? ท่านอาจารย์เปี๊ยกบอกว่า "คนกำลังจะตายห่...กูไม่คิดหรอกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย กูช่วยเอาไว้ก่อน"
แบบเดียวกับในนิทานเซ็นที่เล่าว่า พระเดินไปเจอผู้หญิงกำลังยืนลังเลอยู่ เพราะว่าชุดกิโมโนของผู้หญิงยาวลากพื้น จะเดินข้ามแอ่งน้ำก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะเลอะ พระท่านก็อุ้มเดินข้ามมาเลย พอพ้นแอ่งน้ำก็วางลงแล้วก็ไปต่อ พระที่ไปด้วยกันทนไม่ได้ กลับถึงวัดแล้วก็บ่นว่า "ท่านไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร ?" พระที่ท่านอุ้มผู้หญิงข้ามน้ำตอบว่า “อ้าว...คุณยังแบกอยู่อีกหรือ ? ผมวางตั้งแต่ข้ามน้ำเสร็จแล้ว” โอ้โฮ...แสบมากเลย คุณแบกกลับมายังวัดเลยหรือ ? ผมวางตั้งแต่ข้ามน้ำเสร็จแล้ว
....................
ศาสนาอื่นเขาเจตนาจะเล่นงานให้พระพุทธศาสนาหมดกำลัง เพื่อที่จะได้ยึดครองแทน แล้วพวกที่เป็นแนวร่วมแบบโง่ ๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไร กลายเป็นไปช่วยเขาตีนี่เยอะมากเลย
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐
เว็บวัดท่าขนุน