หมดแล้ว พระนางพญา รุ่นสุดท้าย หลวงพ่อชาญณรงค์ ราคาสุดพิเศษ..

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย จิตตานุปัสสนา, 12 กันยายน 2018.

  1. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,842
    ค่าพลัง:
    +16,082
    พระนางพญา รุ่นสุดท้าย หลวงพ่อชาญณรงค์

    จากเดิมตั้งราคา 20,000 บาท

    ราคาพิเศษ เหลือ 13,500 บาท...

    บูชามาจากพี่หนุ่มฯ หลายปีแล้วครับผม


    1.jpg 2.jpg 3.jpg 4.jpg

    พระผงรุ่นสุดท้ายของหลวงพ่ออภิชิโต
    มี 4 พิมพ์ คือสมเด็จพิมพ์ใหญ่ สมเด็จพิมพ์คะแนน พระพิมพ์นางพญาและพิมพ์พระปิดตา
    รวมทุกพิมพ์แล้วมีประมาณเพียง 2500 องค์เท่านั้น

    โดยสร้างขึ้นเพื่อหาเงินไปบูรณะวัดอัมพวัน จ.หนองคาย
    โดยพระมหาเหลื่อมเป็นผู้ขอสร้าง
    มีพิธีสร้างและปลุกเสกที่วัดเงิน ตลิ่งชัน
    โดยหลวงพ่อเป็นผู้ปลุกเสกเดี่ยวด้วยกายเนื้อตลอดพรรษาทุกวันไม่เว้นแม้แต่วันเดียว
    และยังเชิญพระในดงทุกองค์มาร่วมปลุกเสกพระรุ่นนี้

    รวมทั้งท่านอาจารย์ใหญ่คือหลวงตาดำ
    อภิมหาปรมาจารย์ของพระในดงผู้เรืองฤทธิ์
    สิ่งมงคลและทุกอย่างที่เป็นของอาถรรพ์ในโลกนี้
    ท่านได้นำมาใส่ไว้ในการสร้างพระรุ่นนี้ทั้งสิ้น
    เพื่อให้เป็นที่สุดของพระเครื่องในยุคหลังกึ่งพุทธกาล
    ที่จะรอสร้างปาฏิหาริย์ในวันหน้าเมื่อบ้านเมืองถึงคราวยุคเข็ญ
    เท่าที่สอบถามและดูรายละเอียดที่มีการบันทึกไว้ในมวลสารต่างๆ ของพระรุ่นสุดท้ายปี 2529

    -พระสมเด็จวัดระฆัง ที่เป็นสมบัติตกทอดจากตระกูลท่าน
    -พระสมเด็จบางขุนพรหมจำนวนมากทั้งที่หักและสภาพดี
    -พระสมเด็จวัดเกศจำนวนหนึ่งกระป๋องนมตราหมี
    -พระพุทโธน้อยของคุณแม่บุญเรือน (ทั้งสองท่านรู้จักกันดี)
    -พระของขวัญวัดปากน้ำ(ท่านสนิทกับหลวงพ่อสดดี)
    -พระและผงของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
    -ผงพระวังหน้าและผงจากกรุวัดพระแก้วที่ได้มาจากหลังคาโบสถ์
    -ผงวิเศษและดินอาถรรพ์จากในดง ที่ท่านไปนำมาเพื่อใช้สร้างพระรุ่นนี้โดยเฉพาะ
    -ทรายจากขั้วโลกเหนือ ที่เป็นทรายเสกของพระอุปคุต
    ท่านลงทะเลน้ำแข็งไปเอามาโดยจีวรไม่เปียกน้ำต่อหน้าคนทั้งลำเรือ
    ส่วนที่เปียกน้ำเป็นเฉพาะทรายที่ท่านเอาจีวรห่อขึ้นมาจากทะเล
    -ใส่เขาปลาวาฬขั้วโลก (เป็นกระดูกที่งอกขึ้นบนหัวคล้ายเขาม้ายูนิคอร์น) ที่เจ้าสัวใหญ่มอบให้มา
    -ใส่ปากกา ปากเหยี่ยว จมูกเสือ เป็นเคล็ดวิชาแก้อาถรรพ์
    -ใส่ผงเขี้ยวทั้ง9 และผงเขาทั้ง 5 เพื่อแก้และกันอาถรรพ์ในป่าในดง
    -ใส่ทองอำพัน ใส่แก้วโป่งข่าม แก้วขนเหล็ก แก้และกันอาถรรพ์โลกวิญญาณ
    -ใส่ผงวิเศษที่ผู้มีบุญสูงศักดิ์ของเมืองไทยประทานมอบให้โดยเฉพาะ
    -ผงว่านสบู่เลือด ผงจ่าว่าน ผงไพรดำ
    -ใส่พระและผงจากกรุพระเมืองกำแพงเพชร ซึ่งเทวดานำมามอบให้ท่าน
    -ใส่ผงจากการสร้างพระวัดลาดบัวขาวปี 2485 ที่กดไม่ทันฤกษ์และเก็บรักษาไว้
    -ผงก้นกรุพระวัดชนะสงคราม
    -ผงจากพระและผงกรุวัดสามปลื้ม
    -ผงกรุพระวัดราษฎร์บูรณะ
    -ใส่พระสมเด็จแดง สมเด็จดำ สมเด็จเขียว ที่เหลืออยู่ทั้งหมด -
    ผงจากเจดีย์เมืองหงสาวดี ประเทศพม่าที่เป็นผงพันปีจากโลกลี้ลับ

    ในพิธีสร้างพระเครื่องปี 2529 นี้
    มีพราหมณ์ผู้จัดการบวงสรวงพิธีชื่อพราหมณ์แป๊ะ
    ซึ่งเป็นศิษย์อีกคนหนึ่งของท่าน ที่เรียกเข็มจากใต้น้ำได้
    แก้อาถรรพ์วิชาได้ เป็นผู้ทำพิธีต่างๆตั้งแต่ต้นจนเสร็จ
    พระเครื่องรุ่นนี้ท่านสร้างไว้เพื่อให้เกิดปาฏิหาริย์ต่อผู้ใช้บูชา
    เพื่ออำนวยผลต่อคนในยุคหน้าที่สังคมเสื่อมทรามและโลกถึงคราวพบเคราะห์กรรม
    ใช้ป้องกันนิวเคลียร์ กันภัยจากรังสีร้ายแรง

    ท่านได้ใส่อาคมที่กันได้ในวิชาอาคมทั้ง 18 อักขระภาษา
    เช่นกูโบ๊ส แขก มอญ ละติน ขอม ฯลฯ
    กันไว้ทั้ง 10 ทิศทั้งวันเปิด-วันปิดของคนบูชา
    ป้องกันคุณไสย ป้องกันการคัดถอนวิชาอาคมในตัว
    มีพยานรู้เห็นหลายคนว่า

    พระเครื่องรุ่นนี้ท่านปลุกเสกจนพระทั้งหมดลอยขึ้นจากพื้น (บางคนบอกว่าท่านเสกจนพระบินได้)

    ในพิธีปลุกเสกนั้น ไฟฟ้าในวัดทุกดวงได้ดับ
    ลงขณะท่านกำหนดสมาธิจิตจรดปากกาลงบนแผ่นจารเพื่อทำพิธี
    โดยที่ไฟฟ้านอกวัดไม่ดับเลย
    เมื่อท่านปล่อยจิตเป็นปกติไฟฟ้าก็ติดทุกดวง
    คนยุคนั้นและคนทั้งบางละแวกนั้นจะรู้จักพระรุ่นนี้ว่า”พระรุ่นไฟดับ”

    (ท่านบอกกับศิษย์ว่า พระรุ่นนี้ท่านจะทำทิ้งทวน)
    ในสรรพวิชาที่เรียนมาให้ดีที่สุดเพื่อคนในรุ่นหลัง
    จะสร้างของวิเศษไว้ในแผ่นดินให้โลกจารึกไว้
    และจะไม่ให้ศิษย์หรือคนที่นับถือท่านต้องตกต่ำด้อยค่ากว่าใครๆ
    ศิษย์ของท่านบอกตรงกันว่า พระชุดนี้ไม่เป็นรองใครในแผ่นดินและกันได้ทุกอย่าง
    จะก่อปาฏิหาริย์มากในวันหน้า

    พระชุดนี้มีหลายสี เช่นสีขาวๆ จะแก่ผงวิเศษต่างๆ
    สีขาวปนแดงอ่อนจะแก่พระสมเด็จแดงชุดสุดท้ายที่หลวงพ่อเทใส่ครกตำลงไปด้วย (หายากมาก)
    สีเทาเข้มๆอมน้ำมันจะแก่มวลสารอาถรรพ์และสมเด็จเขียว
    สีน้ำตาลอ่อนจะแก่ว่านยาจากในป่าในดง
    สีขาวปนเทาอ่อนๆจะเป็นเนื้อมาตรฐานของพระรุ่นนี้

    เคยมีผู้นำพระผงรุ่นสุดท้ายนี้ไปให้พระอาจารย์ชื่อดังสายวิปัสสนา
    ศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตรวจรังสีจิตในองค์พระผงรุ่นสุดท้ายของหลวงพ่ออภิชิโต
    พระอาจารย์ท่านนั้นถึงกับสะดุ้งและบอกว่า
    "ในโลกเรายังมีคนทำของได้ดีสมบูรณ์แบบอย่างนี้อีกหรือ สูงค่าจริงๆ .........." .......................พระเครื่องรุ่นสุดท้ายของท่านอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต
    ที่ว่ากันว่าดีที่สุดในความรู้สึกของศิษย์ท่านที่ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่แทบทั้งสิ้น

    -พระผงรุ่นสุดท้าย เท่าที่คนซึ่งเคยอยู่ร่วมในพิธีสร้างยืนยัน
    มีสามพิมพ์ เนื้อหาแก่มวลสารมากและเนื้อไม่ค่อยเข้ากันมากนัก
    หากส่องดูจะเห็นเม็ดมวลสารลอยอยู่ทั่วไปบนผิวและในเนื้อพระ ............
    ไม่มีกลิ่นน้ำมันตังอิ๊ว เจ้าสัวหลายคนอยู่ร่วมในพิธีขณะหลวงพ่อเอาพระสมเด็จวัดระฆังใส่ครกตำทำมวล สารพร้อมๆกับพระสมเด็จบางขุนพรหมและพระกรุวังหน้า ผงต่างๆที่ท่านนำมาจากในดงใส่รวมเข้าไป เป็นพระผงที่ตั้งใจทำทิ้งทวนแบบต้องการฝากไว้กับแผ่นดินเมื่อวันหน้าจะได้มี ประโยชน์ต่อคนที่มีวาสนาพบเจอ.......................

    พิมพ์คะแนนหายากมาก พิมพ์นางพญา
    ท่านปลุกเสกเองและผสมด้วยเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังดีๆหลายองค์
    พระสมเด็จบางขุนพรหมนับไม่ถ้วน พระกรุวังหน้าอีกจำนวนมาก
    เนื้อหาของพระชุดนี้แก่มวลสารมากพระสมเด็จหลวงพ่อชาญณรงค์มีส่วนผสมสมเด็จวัดระฆัง 27องค์

    ปฏิปทาภินิหารพระอาจารย์ในดง ; พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต (ศิริสมบัติ)
    ศิษย์ผู้น้องของพระครูเทพโลกอุดร.................................

    พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต นามสกุล ศิริสมบัติ
    เป็นบุตรของ พระยาศิริสมบัติ มหาเศรษฐีระดับพันล้าน
    สมัยก่อนสงครามโลก ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศไทยในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านเรียนจบแพทย์ศิริราชรุ่นหลักสูตรเร่งรัด 2 ปี
    ในสมัยสงครามโลกเมื่อเรียนจบยังไม่ทันได้ทำงาน
    ท่านไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท 2 ท่านคือ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนเดช
    และอาจารย์เฉลียว เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งสนิทกันมาก

    อยู่มาวันหนึ่งท่านประสบอุบัติเหตุ แข้งขาหัก
    ญาติผู้ใหญ่พาไปรักษากับหลวงปู่พลอย วัดเงิน (วัดรัชดาธิษฐาน) ตลิ่งชัน
    เพราะท่านเก่งเรื่องหมอ.............................

    โดยเฉพาะเกี่ยวกับกระดูกแล้วเชี่ยวชาญที่สุด
    หลวงปู่บอกว่าถ้ารักษาหายแล้วให้บวชเณร
    เจ้าตัวก็ยอมรับ หลวงปู่จึงรักษาให้ทางไสยศาสตร์
    โดยให้พากลับบ้านได้ แล้วท่านก็นั่งปั้นหุ่นรักษาแข้งขาหักที่ร่างของหุ่น
    ไม่กี่วันเจ้าของร่างที่ป่วยก็หายเดินได้เป็นปกติ
    เมื่อหายแล้วจึงรักษาสัจจะกับหลวงปู่
    ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่กับท่าน
    ทั้งได้ชวนเพื่อนสนิทไปด้วยคือ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนเดช
    และอาจารย์เฉลียว อยู่กับหลวงปู่ระยะหนึ่ง
    ท่านส่งสามเณรทั้ง 3 ไปเรียนวิชากับหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม
    ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพระปฐมเจดีย์นัก.......................

    สามเณรทั้ง 3 อายุ 18-19 ปี อยู่ในวัยกำลังซุกซน
    วันหนึ่งชวนกันไปเที่ยวขุดหัวมันในป่าอยู่ติดกับวัดนั่งเอง
    กำลังขุดกันเพลินก็มีเสียงทักขึ้นมาว่า “เณร ทำอะไรกัน”
    สามเณรพากันเหลียวดู ก็เห็นตาแก่ผิวดำ รูปร่างสูงใหญ่ยืนยิ้มอยู่
    จึงพากันตอบว่า “ขุดหัวมันจะเอาไปต้มกิน”
    ตาแก่บอกว่า “มันสุกอยู่ในดินแล้ว ขุดขึ้นมาก็กินได้ทันที ไม่ต้องเอาไปต้มหรอก”............................

    เมื่อสามเณรขุดขึ้นมาก็สุกจริงดุจที่ตาแก่บอก
    จึงมองหน้ากันด้วยความฉงน
    ตาแก่ถามว่า “พวกแกว่าฉันเก่งมั้ย อยากเป็นศิษย์ของฉันมั้ย”
    ทั้ง 3 ท่านมาจากตระกูลสูง
    เมื่อมีตาแก่บ้านนอกมาใช้วาจาไม่เป็นที่เคารพขึ้นฉัน ขึ้นแก
    แล้วยังมาอาสาเป็นอาจารย์อีกจึงแสดงความไม่พอใจ
    พูดสวนขึ้นว่า “ตาแก่ แกมีดีอะไรนักหนาถึงบังอาจมาอาสาเป็นอาจารย์ของพวกข้า”

    ตาแก่หัวเราะฮาๆ กล่าวว่า
    “เอางี้ไหมพนันกัน ฉันจะให้พวกแก 3 คนนี่ทำร้ายโดยวิธีไหนก็ได้
    ถ้าฉันได้รับอันตรายใดๆ จะไม่ถือโทษ
    แต่ถ้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกแกต้องเป็นศิษย์ไปเรียนวิชากับฉัน”.................................

    ทั้ง 3 ท่านได้คำรับท้าดังนั้น
    จึงรีบลุกขึ้นพากันทำร้ายตาแก่คนนั้น บ้างเตะ ต่อย เอาท่อนไม้ตี
    เอาก้อนหินทุบขว้าง พยายามลงมือกันเป็นเวลานานจนสิ้นเรี่ยวแรง
    ตาแก่ก็นั่งบนขอนไม้ให้ทำร้ายอย่างไม่สะทกสะท้าน
    และไม่แสดงกริยาอาการบาดเจ็บอย่างใดทั้งสิ้น
    จนทั้งสามท่านนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน
    ตาแก่หัวเราะฮาๆ พูดว่า “พวกแกแพ้ฉันแล้ว ต้องกราบรับฉันเป็นอาจารย์เดี่ยวนี้

    สิ้นคำสามเณรทั้งสามก็ลุกขึ้นนั่งกราบท่านพร้อมๆ กัน
    ตาแก่จึงเอาแขนโอบสามเณรทั้งสามท่านแล้วหายแว็บ
    จากที่นั่นไปโผล่ในดงลี้ลับแห่งหนึ่งในชั่วพริบตา.............................

    พระอาจารย์ชาญณรงค์เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า...
    ในดงนั้นมีพระและฆราวาสที่อยู่ฝึกวิชากับตาแก่ประมาณ 50 ท่าน
    มีฆราวาสมากกว่าพระ และทุกท่านเรียกตาแก่ว่า “หลวงตาดำ”
    พระอาจารย์ชาญณรงค์เคยถามชื่อของท่านว่าชื่ออะไรกันแน่
    ท่านให้เรียกว่า “หลวงตาดำ” ก็ใช้ได้แล้ว ถามว่าเป็นคนหรือภูตผี
    หรือเทวดา ท่านก็ให้จับดู เห็นเป็นคนมีเลือดเนื้อเหมือนกัน
    เมื่อถามถึงอายุ ท่านบอกว่าไม่รู้กี่ปี ท่านได้ร่วมงานพระศพของพระพุทธเจ้า
    ท่าน (หลวงตาดำ) เป็นศิษย์ของพระมหากัสสปะ
    ได้รับมอบหมายให้บำเพ็ญอิทธิบาทธรรมมีชีวิตอยู่ยืนยาวเพื่อรักษาพระศาสนา

    คราวใดที่พระศาสนาเริ่มเสื่อมเศร้าหมอง
    มีอลัชชีเข้ามาอาศัยในพระศาสนามาก
    คำสอนอันแท้จริงเริ่มเสื่อม ท่านต้องฝึกลูกศิษย์ขึ้นมาช่วยกันสั่งสอนใหม่ ให้กลับคืนสู่เนื้อหาพุทธศาสนาอันจริงแท้...........................

    พระอาจารย์ในดง ลูกศิษย์ของหลวงตาดำ
    พระอาจารย์ชาญณรงค์บอกว่า...
    เท่าๆ ที่เคยพบเห็นและเรียกกันในดง
    มีหลวงพ่อตีนโต เป็นพระที่มีรูปร่างสูงใหญ่
    ฝ่าเท้ายาวใหญ่ วัดจากล่างถึงหัวเข่าได้ 81 เซนติเมตร
    ท่านเปิดเผยตัวเองบ่อยเพราะชอบสอนคน
    จึงมีคนพบเห็นท่านเสมอ ที่มักเรียกขานกันว่า
    หลวงปู่เทพโลกอุดร ความจริงชื่อนี้ไม่มีใครเรียก
    หรือรู้จักกันในดง เห็นเรียกรูปพระที่ปรากฏในภาพถ่ายโบราณว่า
    พระครูเทพโลกอุดร ความ จริงเป็นรูปหลวงพ่อตีนโต
    ท่านเป็นพระกรรมฐานนิกายธรรมยุตเกิดในสมัยรัชกาลที่ 4-5 เข้าเป็นศิษย์
    ของหลวงตาดำรุ่นเดียวกับกรมพระราชวังบวรวิเศษไชยชาญ หรือพระองค์ดำ เป็นคนร่วมสมัยกับหลวงปู่สุก วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโพรงโพธิ์
    ผู้มักท่องเที่ยวอยู่ในแถวจังหวัดกาญจนบุรี
    เหตุที่ชื่ออย่างนั้น เพราะท่านปลูกต้นโพธิ์เป็นวงกลม
    ปลูกติดๆ กัน พอต้นโพธิ์ใดขึ้นก็มีโพรงใหญ่อยู่ข้างใน
    ท่านก็ใช้เป็นที่อยู่ของท่าน......................

    พระในดงเขาไม่เรียกชื่อจริง ใครมีลักษณะแบบไหนก็เรียกตามนั้น
    ลืมชื่อสมมุติในโลกให้หมด หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า
    ท่านมีลักษณะสกปรกมอมแมมด้วยฝุ่นขี้เถ้า
    เพราะท่านนิยมก่อไฟบูชาไฟ เพ่งกสิณไฟ
    และไม่เคยอาบน้ำ ศิษย์ของท่านที่ผู้คนรู้จักกันดี
    คือ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา และ หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อเศียรบาตร (หลวงปู่หัวยุบ) มีชื่อตามลักษณะของท่านซึ่งมีศีรษะโตใหญ่ และหลวงปู่ยามแดง....................

    ตามบันทึกของอาจารย์พันเอกชม บอกว่า 12 ตุลาคม 2535
    เยี่ยมอาจารย์ชาญณรงค์ ไปกับ พ.อ. ยนต์
    ท่านเล่าว่า หลวงพ่อตีนโต หลวงปู่สุข (อาจารย์แจ้งฌานแห่งเขาใหญ่) หลวงตาแป้น และท่านเจ้า (เสด็จในกรมวังหน้า ร.5) และหลวงพ่อโพรงโพธิ์
    เรียนกับหลวงตาดำรุ่นเดียวกัน เป็นคนไทย 5 คนที่เรียนจบแล้วเป็นครูฝึก
    รุ่นเดียวกับอาจารย์ชาญณรงค์มี อาจารย์ประทุม อาจาร์เฉลียว
    อีกคนตายชื่อ ศิริ หลวงปู่แป้น หลวงปู่พลอย
    เป็นศิษย์นอกดงของหลวงตาดำ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ เป็นศิษย์นอกดง (ไม่บ่งว่าเป็นศิษย์ของใคร) อาจารย์ฉลอง ผู้ทำยาทูลฉลอง
    อาจารย์พัว แก้วพลอย เป็นศิษย์นอกดง เรียนกับ หลวงปู่สุข (แจ้งฌาน)
    ที่เขาใหญ่.................

    6 สิงหาคม 2535 อาจารย์ชาญณรงค์เล่าว่า
    ลูกศิษย์นอกดงที่เก่งพิเศษอย่าง หลวงตาพุก
    เป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงเลน 4 ตุลาคม 2529
    จากคำเล่าของอาจารย์พันเอกชม ทำให้ทราบว่า
    ศิษย์ในดงนั้นมีหลายชาติ หลายภาษา หลายทวีป
    เมื่อใครเข้าไปอยู่ในข่ายฌานของหลวงตาดำ
    ท่านก็จะไปทรมานแล้วก็รับมาเป็นศิษย์ฝึกวิชากับท่านในดงลี้ลับ
    ซึ่งดงนี้ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะไม่ว่าจะอยู่ประเทศไทย
    เมื่อหลวงตาดำพาไป ก็ใช้เวลาพริบตาเท่ากัน
    คนอยู่ในประเทศไหนก็เลยคิดว่าดงนั้นอยู่ในประเทศของตน...................

    ในบันทึกของพ.อ.ชม กล่าว ว่า... สามสหาย
    (พระอาจารย์ชาญณรงค์ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนเดช และอาจารย์เฉลียว)
    อยู่ฝึกวิชาฌาน 8 กับหลวงตาดำในดงลี้ลับเป็นเวลาเกือบ 4 ปี
    เมื่อสำเร็จฌาน 8 ท่านก็ส่งตัวออกมาสู่โลกภายนอก
    เพื่อมาฝึกวิชาภาคสนามต่อสู้กับกิเลสตัณหา
    อันจะเป็นบรรทัดฐานให้ฝึกจิตชั้นสูงโลกุตรธรรมตราบจนสิ้นพระอรหันต์เป็นที่สุด
    สหายอีก 2 ท่านสึกออกมาฝึกในเพศฆราวาส
    มีเพียงท่านอาจารย์ชาญณรงค์เท่านั้นที่ยังคงเป็นบรรพชิต.........................

    เมื่อจบออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว หลักสูตรขั้นแรกคือต้องฝึกลูกศิษย์ให้ได้ 10 คน
    เป็นอย่างน้อย ตามหลักวิชาฤทธิ์อภิญญาที่เรียนมาจากในดง
    เพื่อสร้างคนมีคุณภาพไว้สืบพระศาสนา ศิษย์ที่ไปเรียนในดงลี้ลับ
    เรียกว่าศิษย์ในดง ส่วนศิษย์ที่เรียกต่อจากศิษย์ในดงเรียกว่าศิษย์นอกดง
    ถึงแม้นจะอยู่ในป่าเขาตลอดก็เรียกว่าศิษย์นอกดงอยู่นั่นเอง
    ศิษย์นอกดงรุ่นแรกของอาจารย์ชาญณรงค์เท่าที่ทราบมีหลวงพ่อคูณ
    ผู้โด่งดังในยุคปัจจุบัน เสือดำ ผู้ล่องหนหายตัว
    ซึ่งต่อมามีบารมีธรรมถึงขนาดหลวงตาดำมารับเข้าไปอยู่ในดงลี้ลับแล้ว
    อีกท่านมีนามว่า อาจารย์ละมูล ส่วนอาจารย์พันเอกชม เป็นศิษย์รุ่นหลัง
    และหลายสิบท่าน ซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อ เพราะไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของชื่อ....................

    การศึกษาในดงของอาจารย์ชาญณรงค์นั้นมีขั้นตอนต่างๆ ตามลำดับดังนี้
    (จากบันทึกของอ.พันเอกชม ซึ่งไต่ถามพระอาจารย์ของท่าน)
    1. เมื่อเริ่มต้นไปฝึกสมาธิในดง ท่านสั่งให้นั่งสมาธิ รู้สึกนานเตรียมเลิกเอง พระอาจารย์ใหญ่(คือหลวงตาดำ) จะก้าวข้ามหัวไปเหยียบมือไว้ พูดว่า “เอ้านั่งให้มันตายไป”
    2. สมาธิดีพอควรแล้วให้ไปนั่งสมาธิในทางเสือผ่าน และสั่งว่าถ้าไม่อยากตายให้นั่งสมาธิ
    3. กำหนดให้เดินธุดงค์คู่แล้วเดินเดี่ยวไปในป่าลึก ในป่าประเทศต่างๆ หลายแห่ง บางครั้งต้องอดอาหารหลายวัน
    4. สอนให้ใช้พลังจิตจากง่ายไปหายากตามลำดับขั้นของสมาธิ การทำใบไม้ให้เป็นสัตว์ เดินลอดภูเขา เป็นต้น
    5. นั่งเข้าฌานให้ได้ในสภาพอากาศต่างๆ กัน เช่น เข้าฌานในทะเลทรายที่ร้อนจัดตามที่ท่านกำหนดให้ ฝึกอยู่ในทะเล 20 วัน
    6. เดินในเมืองตามเส้นทางที่ท่านกำหนด โดยไม่ให้พักเลย นอนได้วันละ 3 ชั่วโมง ไม่ให้เข้าอยู่ใต้ชายคา
    7. ไม่ให้พูด 15 วัน และกำหนดเส้นทางให้เดิน
    8. ให้เป็นคนขอทานครบ 27 วัน ไม่ให้เงิน วันหนึ่งให้ขอ 2 คน ขออาหารกิน 5 แห่ง ขอเงินจากคนหนึ่งเพียงบาทเดียว ต่อไปต้องหาใช้คืนเขา 2,500 บาท
    9. ช่วยแก้ทุกข์ของคนตามกำหนด เช่น ช่วยรักษาคนป่วยโรคมะเร็ง คนติดเฮโรอีน คนขอย้ายที่ทำงาน เป็นต้น
    10. เรียนจบปีที่ 6 แล้วให้โดดลงเหวลึกสลบไป 4 วัน ให้รู้เห็นว่ามีกายทิพย์ออกจากร่างไปเที่ยวไกลๆ เหมือนคนตายแล้วฟื้น หรือที่ตายจริง เป็นการเรียนรู้การตายว่าตายอย่างไร
    11. นั่งบนน้ำแข็ง 20 วัน ที่เมืองซีแอตเติล ในอเมริกา เมื่อ 31 สิงหาคม 2526
    12. ขั้นสุดท้ายฝึกล่องหนหายตัว ขั้นนี้รวมฝึกพร้อมๆ กันทั้ง 8 ท่าน เมื่อมาถึงขั้นนี้หากเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอะไรก็ดีท่านห้ามรักษา ไม่ว่าจะด้วยยาสมุนไพรหรือพลังจิต ให้เรียนรู้การเจ็บป่วย................




    กรุณาโอนเงินมาที่
    บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารทหารไทย
    สาขาเซ็นทรัลพลาซ่าอุดรธานี
    ชื่อบัญชี ณรงค์ ขันดีศรีไพบูลย์
    เลขที่บัญชี 629-2-09003-9
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2018
  2. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,842
    ค่าพลัง:
    +16,082
    มีองค์เดียวนะครับผม..
     
  3. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,842
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ปิดรายการให้ท่านที่จองทาง pm ครับผม..
    ขอบคุณมากครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...