แม้พระผู้ใหญ่หลวงปู่ก็ว่าเอาแรงๆ<TABLE id=table16 align=left><T><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD>อย่าว่าแต่ลูกศิษย์เลยที่หลวงปู่ตื้อท่านเตือนเมื่อเวลาหลงผิด หรือประพฤติไม่เหมาะสมกับความเป็นพระหลวงปู่บุญทัน ฐิตปญฺโญ</TD></TR></T></TBODY></TABLE>
แม้แต่พระผู้ใหญ่ หรือสหธรรมิกของท่าน หลวงปู่ก็ไม่เว้น ท่านจะบอกจะเตือนตรงๆ และบางทีก็แรงๆ ด้วย
มีตัวอย่างตอนหนึ่งในประวัติของหลวงปู่บุญทัน ฐิตปญฺโญ แห่งวัดป่าประดู่ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ในสายกรรมฐานของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
หลวงปู่บุญทัน ท่านเล่าว่า ในระหว่างที่ท่านเร่งความเพียร อย่างหนัก ทำให้ท่านหลงสำคัญตนว่า ท่านสำเร็จหมดจากกิเลสแล้ว จึงได้ออกติดตามหาหลวงปู่มั่น เพื่อจะแจ้งความในใจให้พระอาจารย์ ได้รับรู้
หลวงปู่บุญทัน ติดตามหลวงปู่มั่น จนไปพบที่เชียงใหม่ เข้าไปนมัสการพระอาจารย์ แล้วกราบเรียนอย่างถ่อมตัวว่า
พระบางรูปบรรลุอรหันต์ แต่ท่านพูดไม่เพราะ เพราะอุปนิสัย (เราควรระวังอย่าตำหนิท่าน)
ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย แดนโลกธาตุ, 25 ธันวาคม 2007.
หน้า 2 ของ 2
-
แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี
-
แดนโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พูดถึงหลวงปู่ตื้อ<TABLE id=table23 align=right><T><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD>หลวงปู่เจี้ยะ จุนโท แห่งสำนักวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอ สามโคก จังหวัดปทุมธานี เป็นศิษย์อาวุโสที่สำคัญอีกองค์หนึ่ง ท่านรับ ใช้ใกล้ชิด และหลวงปู่มั่นเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานท่านจริงๆหลวงปู่เจี้ยะ จุนโท</TD></TR></T></TBODY></TABLE>
ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๐๙-๒๕๑๘ หลวงปู่เจี้ยะ พำนักจำพรรษาที่ วัดเขาแก้ว อำเภอเมือง จันทบุรี บ้านเกิดของท่าน ท่านได้ปฏิบัติพัฒนาวัดแห่งนี้จนเจริญรุ่งเรือง สร้างเสนาสนะบริบูรณ์ทุกอย่าง
ในปี พ ศ.๒๕๑๗ หลวงปู่เจี้ยะได้จัดงานทำบุญฉลองพระอุโบสถ โดยนิมนต์หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม มาเป็นประธาน และ พระกรรมฐานทั้งหลายได้มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก พระผู้ใหญ่ก็เช่น หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พระอาจารย์วัน อุตฺตโม พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย เป็นต้น
เมื่อหลวงปู่ตื้อ มาพักที่วัดเขาแก้ว ท่านจะสนทนาธรรมกับ หลวงปู่เจี้ยะ เป็นเวลานานๆ หลวงปู่เจี้ยะจะแสดงกิริยานอบน้อมน่ารักยิ่งนัก พูดจาวา -
เคยทราบมาว่า พระอริยเจ้าท่านไม่มีแรงจูงใจที่จะต้องแสดงออกในทางที่เรียบร้อย หรือ กิริยางดงาม อยู่ตลอดเวลา ในทางที่ฝืนกับนิสัยส่วนตัวของท่านที่ไม่ได้เป็นกิเลส
ท่านไม่มีความจำเป็นต้องแสดงออกอย่างนั้นเพื่อเอาอกเอาใจพุทธบริษัททั้งหลายอีกแล้ว เพราะท่านปล่อยวางจากโลกธรรมแล้ว
ดังนั้นเวลาเราจะดูว่าท่านเป็นพระดีหรือไม่ จึงดูการแสดงกิริยามารยาทภายนอกมิได้ คนส่วนมากที่ตัดสินพระดีจากกิริยาภายนอกเท่านั้น จึงพลาดโอกาสที่จะเข้าถึงพระดีไปอย่างน่าเสียดาย -
อันนี้ขอยืนยันนะว่าเป็นเรื่องที่จริง เพราะพระอรหันต์ละนิสัยเก่าไม่ได้ อย่างท่านพระสารีบุตร เมื่อครั้งที่บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคฯ พากันเดินผ่านทางพระบางรูปเดินด้วยอย่างธรรมดาข้ามแบบธรรมดา แต่พระสารีบุตรขัดเขมรโดดไปอีกฝั่ง บางคนไปตำหนิท่าน หาว่าท่านไม่เรียบร้อย สมณะอะไรโดด ไม่เข้าท่าทั้งนี้เพราะพระสาวกละทิ้งนิสัยเก่าไม่ได้ เรียกว่าอธิวาสนะน่าจะอธิวาสนา เพราะว่าการกระทำต่อกันมาแบบนี้หลายชาติเลยติดเป้นความเคยชิน เลยเป็นนิสัยต่อมาผุ้ที่จะละนิสัยเก่าได้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพราะว่าพระองค์ต้องมีพระพุทธจริยาอีกแบหนึ่ง ต่างหาก
-
-
ขอบคุณผู้ตั้งกระทู้ และทุก ๆ ท่านสำหรับธรรมทานที่ให้ค่ะ ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น เป็นแสงสว่างได้ดีทีเดียว
-
เวปไซท์นี้ สมกับเป็นเวปไซท์ของคนรุ่นใหม่ครับ
ที่นี่รวบรวมแต่เรื่องดี ๆ
ที่นี่มีเรื่องให้พูดคุยมากมาย กว้างขวาง คุยกันได้แทบทุกเรื่อง
ที่นี่มีพระธรรม มีธรรมจากพระหลายสำนัก
อนุโมทนาครับ ขอบคุณที่ให้ใช้บริการ
ปีใหม่นี้ขอสิ่งศักสิทธิ์ บันดาลให้มีสมาชิกเพิ่มพูน เพิ่มพูน มากขึ้น มากขึ้น
จนกลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศไทย ให้สังคมสงบสุขอยู่ในกรอบธรรม พระธรรมอยู่ยงคู่ชาติไทย นำคนไทยรุ่นใหม่รับแต่สิ่งที่ดีเข้ามาประยุกต์ใช้พัฒนา ไม่ละเมิดออกนอกกรอบพระธรรม -
สำรวมกาย วาจา ใจ เป็นอันดีที่สุด ใครจะเป็นอย่างต้องสนใจด้วยหรือ
เราสำรวมกาย วาจา ใจ เป็นพอ -
คำพูดบางคำเป็นคำที่เราและท่านเคยพูดกันในสมัยโบร่ำ โบราณ แต่พอมาถึงตอนนี้ กลับมองเป็นคำหยาบทั้งๆ บางคำ เป็นคำสั่งสอนและห่วงเราจริงๆๆ
อนุโมทนาคะ -
ความหายนะอย่างถึงที่สุด10 ข้อ ของการปรามาสพระรัตนตรัย
อ้างอิงจากหนังสือ"พระประวัติ สมเด็จพระสังฆราชสุกไก่เถื่อน"
ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลที่เป็นพระโสดาบันแล้วถ้าปรากฏว่า มีผู้อื่นผู้ใดประมาทพลาดพลั้ง หรือคะนองปาก กล่าวตำหนิติเตียนหรือนินทาว่าร้ายด่าบริภาษแม้จะเป็นพระอริยะบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์
ท่านกล่าวว่า ห้ามมรรค ผล นิพพานแม้บุคคลผู้นั้นจะพากเพียรปฏิบัติธรรม อย่างไรก็มิอาจสามารถบรรลุมรรคผลได้การติเตียน ด่าบริภาษพระอริยเจ้าจึงมีโทษมาก
<O:p></O:p>
เกิดความหายนะอย่างร้ายแรงที่สุด10 อย่างคือ<O:p></O:p>
<O:p> </O:p>
บุคคลผู้นั้นจะยังไม่บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ 1
เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ฌาณ สมาธิ จะเสื่อมทันที 1
สัทธรรมของบุคคลผู้นั้นย่อมไม่ผ่องแผ้ว 1
เป็นผู้หลงคิดว่าตนเป็นผู้บรรลุสัทธรรม 1
ไม่ยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์ 1
ถ้าเป็นภิกษุต้องอาบัติเศร้าหมองอย่างใดอย่างนึง 1
ย่อมถูกโรคเบียดเบียนอย่างหนัก 1
ถึงความเป็นบ้ามีจิตฟุ้งซ่าน 1
หลงตามกาละคือตายอย่างขาดสติ 1
เมื่อตายย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก 1
กรรมที่บริภาษ ด่าทอ พระอริยบุคคลนี้เป็นกรรมตัดรอน มรรคผล นิพพาน
มิใช่กรรมเก่าแต่เป็นกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ และมีผลรุนแรงมากมีอำนาจตัดรอนกรรมดีอื่นๆ ในทันใด
วิธีแก้กรรมนี้ต้องกล่าวขอขมาโทษ แก่พระอริยเจ้า เมื่อพระอริยเจ้าอดโทษ ไม่เอาโทษแล้ว<O:p></O:p>
ก็ไม่ห้ามมรรค ผล นิพพาน กลับมาเป็นปรกติดังเดิม<O:p></O:p> -
หากข้าพเจ้าได้ล่วงเกินปรามาศพระอริยสงฆ์ หรือพระสงฆ์ รูปใดก็ตาม จะด้วยเจตนา หรือไม่ได้เจตนา แม้ด้วยกาย วาจา หรือใจก็ตาม ขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ สาธุ สาธุ สาธุ
-
หน้า 2 ของ 2