พระผงหลวงปู่บุญวัดบ้านนาระยอง พระปิดตาลป.เจียง เนินหย่องระยอง.

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,981
    ค่าพลัง:
    +6,889
  2. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343

    ประวัติพ่อท่านนวล ปริสุทโธ วัดไสหร้า(วัดประดิษฐาราม)“พระครูวิสุทธิบุญดิตถ์” หรือ “หลวงพ่อนวล ปริสุทโธ” หรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า “พ่อท่านนวล” ท่านเกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2465 เกิดในตระกูลเจริญรูป ณ อำเภอทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ชีวิตในวัยเด็กของท่าน แต่ท่านเป็นคนขี้อาย มีความประพฤติเรียบร้อย ท่านเป็นคนรักเพื่อฝูง เป็นเด็กดีและเป็นที่รักของเพื่อนๆ และครอบครัว จนกระทั่งเมื่อถึงอายุเกณฑ์เข้าโรงเรียน ตอนนั้นท่านอายุ 7 ขวบ ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดมะเฟือง ต.นากกะชะ อ.ฉวาง จ.นครศรี ธรรมราช จนจบชั้นประถมปีที่ 6 ต่อมาเมื่อท่านมีอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2485 ณ พัทธสีมาวัดภูเขาหลัก ต.ทุ่งสัง อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช มีพระครูถาวรบุญรัตน์ วัดท่ายาง อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดชื่น อินทสุวัณโณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ผู้สำรวมในสติ และกาย วาจา ใจ “ท่านเป็นพระที่ ‘ปฏิบัติ’ อยู่ตลอด ท่านจะเจริญสติปัฏฐาน 4 อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการเดิน หรือทำกิจวัตรต่างๆ ศีลาจารวัตรของท่าน คือท่านจะเดินเรียบร้อยมาก” (เล่าโดยหลวงบ่าว-คุณเฉลิมพรกามณี) “พ่อท่านนวล … ช่วยด้วย!” มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ “นา” เป็นคนแถวคลองเพรียง มาเล่าให้ฟัง บอกว่าวันหนึ่งไปกรีดยาง สวมสร้อยคอทองคำหนักประมาณ 5 บาท แล้วก็มีโจรเข้ามาด้านหลัง เอาปืนจี้ ปืนทิ่มจ่ออยู่ที่หัวเลย ผู้หญิงคนนั้นเล่าว่า ไม่รู้จะทำยังไงดี ก็นึกถึง แต่สร้อยที่แขวนเหรียญหลวงพ่อไว้ ก็เลยคว้าเหรียญหลวงพ่อมาอมไว้
    แล้วก็พูดขึ้นว่า ‘พ่อท่านช่วยด้วย’ พอพูดเท่านั้น โจรที่เอาปืนจี้อยู่ที่ท้ายทอยด้านหลังก็ลั่นไกยิงเลย เธอบอกว่าหูอื้อแล้วก็สลบไปเลย มารู้สึกตัวคือมีคนพาเข้าโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่ามีแค่รอยถลอกที่ศีรษะ แต่ไม่เข้าไม่มีกระสุนฝังในเลย หาลูกปืนก็ไม่เจอ รู้แต่ว่าสลบไปเลยแล้วก็หูอื้ออยู่ 2 วัน พอออกจากโรงพยาบาลจึงมากราบหลวงพ่อแล้วก็เล่าเรื่องให้ท่านฟัง ส่วนเหรียญหลวงพ่อที่อมไว้ในปากก็หายไป…หาไม่เจอเลยเหมือนกัน” “มีผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งอยู่จังหวัดกระบี่ก็โดนยิงมาเหมือนกัน ผู้ใหญ่คนนี้ถูกเอ็ม 16 ยิง แต่ไม่เข้า มีแต่รอยช้ำๆ ที่หน้าอก เขาก็ไม่ได้เล่าว่าทำไมถึงโดนยิง รู้แต่ว่าตอนเช้าเขามาหาหลวงพ่อ บอกว่าถูกยิง แต่ไม่เข้ามี แต่ปวด ๆ แล้วก็มีรอยตรงหน้าอก ซึ่งตอนที่ถูกยิงนั้นเขาก็แขวนเหรียญของพ่อท่าน ก็เลยมาเล่าให้ท่านฟัง”
    “อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับ ‘แม่แดง’ เป็นคนแถวอำเภอพระแสงมีคนมาเล่าให้อาตมาฟังว่า ตอนนั้นเกิดไฟไหม้ขึ้นแถวบ้านของแม่แดงแล้วไฟไหม้ลามมาจะถึงสวนของแม่แดงอยู่แล้ว แม่แดงไม่รู้ว่าจะทำยังไงแกก็เอ่ยชื่อพ่อท่านออกมาว่า “พ่อท่านนวลช่วยด้วย !! เท่านั้นแหละ…ไฟดับ ดับชนิดที่แม่แดงแกก็ยังงงอยู่ว่าดับได้ยังไงเพราะไฟมันไหม้ล้อมมาหมดแล้ว … “ครูผู้ลึกล้ำใน ‘ปรมัตธรรม’ “ทำอะไรให้มีสติ” ประโยคนี้หลวงพ่อจะพูดเสมอ เป็นสโลแกนของท่านเลย ผมได้ยินมาบ่อยเพราะหลวงพ่อเองท่านปฏิบัติแบบเจริญสติปัฏฐานอยู่ตลอด ที่ว่าท่านมีวาจาสิทธิ์ เพราะเวลาที่ท่านจะพูดอะไรออกมาท่านจะไม่พลั้งเผลอมีสติเสมอ….เวลาที่หลวงพ่อท่านเดิน สายตาท่านจะทอดมองเหมือนเวลาที่พระเดินบิณฑบาต คือมองให้สายตาทอดลงที่พื้นตลอดนั่น คือกิริยาอาการของท่าน ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นตลอด ตอนนี้เรารู้แล้วว่า “ท่านรู้” แต่เมื่อก่อนตอนที่บวชใหม่ ๆ นั้นเราก็คิดแต่ว่า หลวงพ่อท่านไม่ได้พูด ไม่ได้สอนอะไรเลย แต่จริงๆแล้วพอเราได้อ่านได้ศึกษาธรรมะมากขึ้น ได้ดูข้อธรรมต่างๆ แล้ว เราเลยจึงถึงบางอ้อว่าอ้อ! หลวงพ่อท่านสอนนะ สิ่งที่ท่านสอนแต่ท่านปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่าง แล้วพอเราได้อ่านได้ศึกษา ก็จะเห็นว่าสิ่งที่ท่านปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้เราเห็นอยู่นี้เรียกว่าการฝึกสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นการสอนแบบ ‘ปรมัตธรรม’ คือปฏิบัติให้ดู ทุกกิริยาอาการที่ท่านทำทุกๆ ย่างก้าวของท่านจะเหมือนการเดินของราชสีห์เลย คือเดินนิ่ม แต่มีตบะ แล้วขณะที่หลวงพ่อท่านเดินอยู่นี้ ถ้าเราจะไปสนทนากับท่านด้วยเรื่องอะไรก็ตามหลวงพ่อท่านจะไม่เดินคุยนะ หลวงพ่อท่านจะหยุดเดินก่อน แล้วจึงพูดคุยกับเรา พูดเสร็จท่านจึงจะเดินต่อ
    หลวงพ่อเข้าห้องน้ำที่นานเป็นชั่วโมง เวลาฉันข้าวก็เป็นอย่างนั้นฉันละเอียด ฉันจนคนที่ดูอยู่เขานับซ้อน(เพื่อไปเสี่ยงโชค) นั่นคือความละเอียดของหลวงพ่อ กิริยาการเดินก็เป็นอย่างนั้น แม้แต่พระผู้ใหญ่อย่างท่านเจ้าประคุณสมเด็จวัดปากน้ำ (สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์วัดปากน้ำ) ตอนที่ท่านมาเปิดศาลาการเปรียญของวัดไสหร้า หลวงพ่อท่านเห็นว่าสมเด็จฯ ท่านมีตำแหน่งทางสงฆ์ที่สูงกว่า ท่านก็นิมนต์ให้สมเด็จฯ เดินนำหน้า แต่สมเด็จฯ ท่านรู้ว่าพ่อท่านมี พรรษาสูงกว่า ท่านก็กราบหลวงพ่อ แล้วก็ไม่ยอมเดินนำหน้า แต่นิมนต์ให้พ่อท่านเดินก่อน นี่คือสิ่งที่ผมประทับใจคณะสงฆ์ รูปอื่น ๆ ก็เหมือนกันก้มกราบท่านหมดเลยแทนที่พระผู้ใหญ่ที่มาในวันนั้นจะถือยศหรือตำแหน่งทางสงฆ์ แต่ท่านเหล่านั้นไม่ได้ถือเรื่องนี้เลยทุกๆท่านขอกราบพ่อท่านนวลหมดเลย “(เล่าโดยพระครูวินัยธรวีระพงศ์วรปุญฺโญ)
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลรูปภาพที่มาเว็บไซต์ต่างๆอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนพ่อท่านนวลปริสุทโธหลังพระศรีอริยเมตไตรยเนื้อว่านฝังมวลสารให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  3. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343
    ประวัติท่านพระครูอุทุมพราศัย (ชม กัสโป)
    วัดวรนายกรังสรรค์เจติบรรพตาราม (วัดเขาดิน)
    ต.เขาดิน อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา

    หลวงพ่อชม กัสโป เดิมชื่อ ชม เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน ๕ คน ของโยมบิดา นิ่ม และ โยมมารดา เชย ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงทำให้ในตระกูลของท่านไม่ปรากฏนามสกุล (ณ ตอนนั้น) ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๖๐
    แม้ท่านจะเป็นคนบางเดื่อ คือเกิดที่บ้านบางเดื่อ ต.บางเดื่อ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ท่านก็อยู่ไม่ไกลจาก วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อยังเล็กท่านจึงได้มาเรียนหนังสือที่วัดสะแกจนจบ ป.๔ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามีวิทยฐานะดีแล้ว จึงได้ออกมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพ
    ต่อมาเมื่ออายุได้ ๑๖ ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสะแกนั่นเอง และนี่คือการบวชครั้งแรกในชีวิต ซึ่งท่านไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยในขณะนั้นว่าท่านจะไม่ได้สึกอีกตลอดไป
    ขณะเป็นสามเณรอยู่ที่วัดสะแก ช่วงนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของปรมาจารย์ทางไสยเวทย์ที่หาตัวจับยากในอยุธยาคนหนึ่ง คือ ท่านอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ตอนที่เด็กชายชมเป็นสามเณรก็ให้บังเอิญที่อาจารย์เฮงกำลังบวชพระอยู่พอดี ท่านจึงได้เห็น ได้รู้ ถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของพระภิกษุเฮงตลอดมา
    วันทั้งวันจะมีคนเข้านอกออกในมากราบพระอาจารย์เฮงตลอด ตั้งแต่เจ้าขุนมูลนายทั้งในบางกอกและโดยรอบปริมณฑลล้วนเดินทางมาหาพระอาจารย์เฮงเพื่อมุ่งหาของดี สามเณรชมได้เห็นอภินิหารที่พระอาจารย์เฮงแสดงอยู่บ่อย ๆ อาทิ ให้ศิษย์ชักยันต์ชาตรีแล้วเอาหินขนาดสองคนยก ทุ่มลงไปบนหัวจนหน้าคะมำดิน เมื่อเงยขึ้นมาก็ไม่เจ็บ ไม่แตก ไม่ตาย ท่านรู้สึกอัศจรรย์ใจในวิชาของพระอาจารย์เฮงเป็นยิ่งนัก ทำให้อยากเรียนด้วยเป็นกำลัง แต่ท่านก็กลัวพระอาจารย์เฮงจนไม่อาจเข้าไปขอถวายตัวเป็นศิษย์ได้ ท่านเล่าว่าพระอาจารย์เฮงนั้นอารมณ์ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาจะดุขึ้นมาก็ราวกับเสือมาอยู่ต่อหน้า ทำให้ท่านประหวั่นเกรงจนไม่กล้าเข้าไปหาทั้ง ๆ ที่อยากเรียนด้วยใจแทบขาด
    ต่อมาก็ได้สังเกตเห็นการทดลองคงกระพันชาตรี โดยการที่บรรดาศิษย์หามีดดาบที่แหลมคมมาฟัน มาทิ่มแทงกัน แต่ก็ไม่เคยมีบาดแผลหรือมีเลือดออกให้เห็นแม้สักแมลงวันกินอิ่ม
    เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้ท่านเกิดความมุมานะหมั่นเพียรแอบศึกษาค้นคว้าจากตำรับตำราโบราณในวัดสะแกมาแต่ครั้งยังเป็นสามเณร
    จวบจนอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุโบสถวัดแก โดยมี ท่านพระครูอุทัยคณารักษ์ (แด่) วัดสะแก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระโบราณคณิสสร (ใหญ่ ติณณสุวัณโณ) วัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์วัดไผ่ ฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากบวชพระแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาที่วัดสะแกดังเดิม
    วัดสะแกยุคนั้นแม้จะเลื่องชื่อลือชาในกิตติคุณของพระอาจารย์เฮง แต่ก็ใช่ว่าจะกลบกลิ่นหอมของคนดีไปเสียจนหมดสิ้น นามหนึ่งที่ใครหลายคนรู้จักดีก็คือ พระอาจารย์สี พินทสุวัณโณ ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกในหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์กลั่น วัดพระญาติการาม เหมือนกัน และท่านพระอาจารย์สีนี้ก็ยังเป็นศิษย์น้องและศิษย์จริงของพระอาจารย์เฮงอีกด้วย
    เมื่อเป็นดังนี้ พระภิกษุนวกะอย่างพระชม จึงคิดเข้าหาพระอาจารย์สีมากกว่า เหตุหนึ่งเพราะท่านพระอาจารย์สีนี้ใจดีกว่า ดุน้อยกว่าพระอาจารย์เฮง
    ครั้งพระชมเข้าไปนมัสการพระอาจารย์สีขอถวายตัวเป็นศิษย์ องค์อาจารย์ก็เมตตารับโดยไม่รังเกียจ และเริ่มปฐมบทแห่งขลังด้วยการสอนให้พระใหม่ฝึกนั่งสมาธิภาวนา แรกนั่งท่านก็รู้สึกอึดอัดเบื่อหน่าย ด้วยใจท่านคิดว่าเรามาขอศึกษาวิทยาคุณกับหลวงพ่อท่าน แต่เหตุไฉนท่านจึงให้มานั่งหลับหูหลับตาอยู่อย่างนี้ไม่เห็นจะได้อะไร คาถาสักตัวก็ยังไม่ได้ น่าเบื่อเหลือเกิน
    ก็ไม่ทราบหลวงพ่อสีทราบได้อย่างไร จึงสอนท่านว่า “ท่านชม วิชาไสยศาสตร์ใด ๆ ก็ดีล้วนมีพื้นฐานอยู่ที่สมาธิทั้งสิ้น วิชาที่จะทำแล้วมีความขลังก็ต้องอาศัยสมาธิจึงจะทำได้ผล”
    ด้วยคำแนะนำเชิงปลอบประโลมเช่นนี้ จึงทำให้พระภิกษุชมเกิดความตั้งอกตั้งใจในการบำเพ็ญกัมมัฏฐานยิ่ง ๆ ขึ้น ต่อมาเมื่อหลวงพ่อสีเล็งเห็นว่าพระชมมีสมาธิดีในระดับหนึ่งแล้ว ท่านจึงเริ่มสอนเวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ ให้เป็นลำดับ ๆ ไป และเมื่อการนั่งภาวนาของท่านมีผลแปลก ๆ บังเกิดขึ้น ถ้าไม่ถามเอาจากหลวงพ่อสี พระชมก็จะไปกราบเรียนถาม หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ แทน เพราะท่านได้ขึ้นกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อดู่ไว้ด้วย
    ภายหลังท่านพระอาจารย์เฮงก็ลาสิกขาบทออกมามีภรรยาและลอยเรืออยู่ที่หน้าวัดสะแก อันเรือประทุนลำนี้อาจารย์เฮงห้ามขาดมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไปได้เลย เหตุเพราะอาจารย์เฮงมีภรรยาที่สาวและสวยมาก ๆ ท่านจึงไม่ต้องการให้ใครได้พบเห็น คงอนุญาตอยู่เพียงผู้เดียวให้ลงไปกินเหล้ากับท่านในเรือได้อย่างเป็นกันเองที่สุด นั่นก็คือ อาจารย์ก้าน บำรุงกิจ น้องชายแท้ ๆ ของหลวงปู่สี พินทสุวัณโณ ซึ่งอาจารย์ก้านนี้สมัยบวชเป็นภิกษุก็มีพระอุปัชฌาย์เดียวกันกับอาจารย์เฮง คือ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ฯ และต่อมาอาจารย์ก้านก็ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์เฮงอีกด้วย
    อันความขลังในเรื่องเมตตามหานิยมของอาจารย์เฮงนั้นบรรดาหนุ่ม ๆ ยุคกระนั้นล้วนทราบดี ต่างอยากได้ของดีในทางมหานิยมมาใช้กับสาวที่ตนรัก วิชาหนึ่งที่ขึ้นชื่อคือการหุงสีผึ้ง แต่อาจารย์เฮงก็ยังไม่ได้ถ่ายทอดให้ใครนอกจากหลวงปู่สี เมื่อพระชมต้องการเรียนวิทยาคุณ อย่างแรกที่ท่านขอศึกษาจากหลวงปู่สีคือการเสกสีผึ้ง
    หลวงปู่สีก็เมตตาถ่ายทอดวิชาและเคล็ดลับต่าง ๆ ให้พระชมโดยไม่ปิดบัง และยังบอกอีกว่าหากทำทุกอย่างได้สำเร็จครบตามตำรา ขณะทำการเสกอยู่นั้นจะได้ยินสีผึ้งระเบิดแตกดัง เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ชื่อว่าบรรลุผลใช้ได้ทันที
    พระภิกษุชมเพียรเสกสีผึ้งด้วยพระเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกอบรมมาอย่างยาวนานถึง ๑๐๘ คาบ สีผึ้งก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ๑๐๘ คาบที่สองก็ไม่มีปฏิกิริยา ท่านจึงรำพึงในใจว่า ชะรอยคงจะไม่สำเร็จ ดูแล้วน่าจะเสียเวลาเปล่า แต่แล้วท่านก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า ตลอดเวลาที่ทำการเสกจิตท่านคอยพะวงอยู่ว่าเมื่อไรสีผึ้งจะแตกให้ได้ยินเสียที เหล่านี้คงเป็นตัวการที่ทำให้จิตไม่สงบโดยแท้จริง จึงยังไม่ปรากฏผลใด ๆ ขึ้นมา
    ครั้งที่สามของการเสกนี้ พระชมจึงไม่สนใจกับตัวสีผึ้งเลย หากกำหนดจิตให้แน่วแน่อยู่กับตัวพระคาถา กดใจนิ่งบริกรรมภาวนากระทั่งจิตรวม ไม่นานท่านก็ได้ยินเสียงสีผึ้งระเบิดติดต่อกันถึง ๓ ครั้ง ทำให้ท่านมั่นใจว่าสำเร็จแล้ว เพราะหลวงปู่สีสั่งไว้ว่าถ้าได้ยินเสียงสีผึ้งแตกก็เพียงนับว่าพอใช้ได้ แต่ถ้าได้ยินติดต่อกันถึง ๓ ครั้งนั้นหมายถึงว่าสีผึ้งตรงหน้าบรรลุผลเต็มอัตรา เป็นของมหาวิเศษ มหานิยม อย่างยิ่งทีเดียว
    ต่อมาพระอาจารย์ชมก็ยินชื่อเสียงของ ปู่สอน หรือ อาจารย์สอน ซึ่งเป็นฆราวาสชาวอำเภออุทัย นามปู่สอนกระเดื่องไปก้องทุ่งด้วยเรื่องที่วัยเข้าขั้นปู่แต่มีภรรยาคราวลูกที่สวยสะคราญถึง ๗ นางด้วยกัน และทุกคนอยู่กินในเรือนเดียวกันอย่างมีความสุขไม่เคยทะเลาะตบตีกันแต่อย่างใด
    และเมื่อพระอาจารย์ชมได้พบปู่สอน ก็ปรากฏว่าปู่สอนรู้สึกถูกอัธยาศัยกับพระอาจารย์ชมเป็นอย่างยิ่ง จึงปรารภว่าที่ได้เมียสาวและสวยนี้เพราะวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ ถ้าอยากเรียนก็ยินดีจะถ่ายทอดให้ เป็นวิชาทางมหานิยม มหาเสน่ห์อย่างเยี่ยมยอด นั่นคือการ “เสกแป้งแปลงหน้า” โดยเมื่อปลุกเสกแป้งนี้แล้วครบถ้วนตามตำรา ครั้นนำมาผัดหน้าทากาย จะเดินไปสารทิศใดคนที่เห็นเราก็จะรู้สึกว่ามีรูปงามตาน่าชม อยากพูดจาพาทีด้วยเสียทั้งนั้น แม้รูปชั่วตัวดำหากใช้แป้งเสกนี้แล้วก็เป็นอันว่ามีเสน่ห์ต้องใจคนทั้งหลายได้ทันที จึงได้ชื่อว่า “วิชาเสกแป้งแปลงหน้า”
    และพระอาจารย์ชมก็ตกลงใจที่จะครอบครูเรียนวิชานี้ เมื่อท่านเรียนจบแล้วก็สามารถเสกแป้งให้ศิษย์วัดไปทดลองใช้ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ จึงทำให้ท่านมีวิชาเด็ดอยู่ในมือแล้ว ๒ วิชา
    พระอาจารย์ชมจำพรรษาอยู่ที่วัดสะแกยาวนานถึง ๑๐ พรรษาเศษ ๆ ท่านก็ถูกคณะสงฆ์แต่งตั้งให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบางเดื่อ ต.บางเดื่อ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา
    ที่วัดบางเดื่อนี้เอง ท่านได้พบคัมภีร์เก่าโบราณอายุราว ๒๐๐ ปี ซึ่งเป็นสมบัติเก่าของวัดประดู่โรงธรรม สำนักตักศิลาใหญ่ทางศาสตร์วิชาต่าง ๆ มากมายเกินพรรณนา โดยเฉพาะวิชาทางไสยเวทย์ถือได้ว่าเป็นหอสมุดขลังซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก หากไม่เพราะพม่าเข้ามาเผาทำลายไปจำนวนมาก ลูกหลานไทยคงได้พบเห็นอะไรดี ๆ อีกเยอะ
    ครั้นหลวงพ่อชมได้ครอบครองคัมภีร์สำคัญ ท่านก็เฝ้าศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียด พบว่าในตำรานั้นบันทึกวิชาการสร้างและเสก ตะกรุดโทน เบี้ยแก้ เชือกคาด เชือกแขน แหวนพิรอด การทำยาสมุนไพรและผงว่านต่าง ๆ มีทั้งการแก้และกันคุณไสยนานาประการ ยิ่งท่านศึกษาก็รู้สึกว่าตำรานี้มีความลึกซึ้งมาก แยบคายมาก ตอนใดที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ท่านก็จะนำความเข้าไปกราบเรียนถามกับ พระครูศีลกิตติคุณ (อั้น คันธาโร) วัดพระญาติการาม บ้าง ปรึกษากับ หลวงปู่สี พินทสุวัณโณ บ้าง ปรึกษากับ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ บ้าง ทำให้ท่านมีความก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาพระคัมภีร์นี้
    วิชาหนึ่งในนั้นที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือ การสร้างตะกรุดโทน ซึ่งเป็นวิชายุ่งยากมากที่สุด มีขั้นตอนในการทำสลับซับซ้อนมากที่สุด ท่านจึงให้ความสนใจมาก และในที่สุดท่านก็ตกลงใจที่จะสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย “ตะกั่วดำ”
    โดยท่านกำหนดวันซึ่งตรงกับ เพ็ญ เดือน ๑๒ ชำระฤกษ์ยามที่เป็นมงคลให้ถูกถ้วนดีแล้ว ก็ตั้งหัวหมู บายศรี ดำน้ำลงไปจารตะกรุดใต้น้ำและม้วนให้เสร็จภายในอึดใจเดียวโดยไม่ขึ้นมาก่อน ทุกดอกต้องได้รับการทำอย่างนี้เหมือนกันหมดตะกรุดชุดแรกมีจำนวนทั้งสิ้นราว ๒๐ ดอก
    เมื่อท่านปลุกเสกจนครบถ้วนตามตำราแล้ว ก็ได้มอบให้ศิษย์บางคนไปใช้คุ้มครองตัว ปรากฏมีศิษย์จอมซนสามคนซึ่งได้ตะกรุดไปคนละดอก ทดลองนำตะกรุดไปผูกกับไก่บ้านจำนวน ๓ ตัว แล้วยิงด้วยปืน .๓๘ ตัวละนัด ตัวละนัด เรียงเรื่อยมาจนครบทุกตัว
    ไม่ดังสักนัด
    ต่อเมื่อกระดกปากกระบอกขึ้นฟ้าแล้วเหนี่ยวไก เสียงปืนก็คำรามก้องทุ่ง เป็นเหตุให้สามหนุ่มหัวใจพองโตเกิดปีติอย่างยิ่งว่าได้ครอบครองของดีอย่างสุดยอดจากครูบาอาจารย์แล้ว จึงก้มกราบขอขมาแล้วอีกไม่นานก็มาเล่าถวายให้ท่านฟัง
    โดนเทศน์ไปหลายกัณฑ์
    เหตุนี้หลวงพ่อชมจึงเลิกทำตะกรุดโทนดอกใหญ่แต่หันมาทำตะกรุดดอกเล็ก ๆ แทน และเรียกว่า
    “ตะกรุดบริวาร”
    ตำราระบุว่าเมื่อจาร-ม้วนแล้วเสร็จ ต้องทำการเสกให้ถึงไตรมาสหนึ่งจึงใช้ได้ แต่เมื่อท่านเสกครบถ้วนตามตำรา ก็ยังมิได้แจกจ่ายออกไปเพราะยังไม่มีเหตุให้ต้องแจก กระทั่งคืนหนึ่งขณะที่ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ ท่านก็นิมิตเห็นชายชรารูปร่างสูงใหญ่ ใส่กางเกงจีนสีดำ ไม่สวมเสื้อแต่มีผ้าขาวม้าพาดบ่าเดินตรงเข้ามาหา มาถึงตัวหลวงพ่อแล้วก็ลงนั่งถามขึ้นว่า
    “ตะกรุดที่สร้างนั่นทำถูกต้องแล้ว และก็เสกจนใช้ได้แล้วทำไมยังไม่แจกจ่ายออกไปอีก”
    หลวงพ่อชมตอบว่า
    “อยากจะปลุกเสกต่อไปเรื่อย ๆ ก่อน”
    ชายชราลึกลับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นว่า
    “ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องปลุกเสกอีกแล้ว วันนี้จะช่วยเสกซ้ำให้”
    จากนั้นชายร่างใหญ่ก็นั่งขัดสมาธิ ลงมือบริกรรมภาวนาพระคาถาที่ใช้เสกตะกรุด ไม่นานนัก หลวงพ่อก็เริ่มรู้สึกว่ากุฏิของท่านมีการสั่นเทือน.....และแรงขึ้น....แรงขึ้นทุกที ความสั่นไหวนั้นเกิดตามคำบริกรรมภาวนาของชายชราร่างใหญ่ ยิ่งร่างนั้นเร่งรัวคำบริกรรมมากขึ้นเท่าใด ความสั่นสะเทือนก็รุนแรงขึ้นเท่านั้น
    ครั้นหลวงพ่อกำหนดจิตดูที่ถาดใส่ตะกรุดตรงหน้าซึ่งคั่นอยู่ระหว่างท่านกับชายลึกลับ ก็เห็นถนัดตาว่าตะกรุดหลายร้อยดอกมีอาการสั่นไหวจนกระโดดเต้นไปมาอยู่ภายในถาดราวกับมีชีวิต เหตุการณ์นี้ทำให้ท่านรู้สึกตื่นเต้นระคนยินดีเป็นอย่างมาก ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ดำเนินอยู่เป็นครู่ใหญ่ก็ค่อย ๆ สงบลง เมื่อท่านละความสนใจจากตะกรุดตรงหน้ามากำหนดดูที่ชายชรานิรนาม ก็ปรากฏว่าแกหายไปเสียแล้ว หลวงพ่อจึงค่อย ๆ ถอนจิตออกจากสมาธิ
    ครั้นลืมตาดูถาดตะกรุดตรงหน้าด้วยตาเนื้อ ท่านก็ต้องตกตะลึงเป็นยิ่งนัก เพราะตะกรุดในถาดที่เคยวางรวมกันเป็นหมวดหมู่ บัดนี้มีหลายสิบดอกที่ปาฏิหาริย์หล่นออกมากระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นกุฏิ แสดงให้เป็นเด่นชัดว่า “นิมิต” ที่ปรากฏในจิตท่านเมื่อครู่มิใช่นิมิตลวง ชายชร



    …คนเฒ่าคนแก่แถวๆวัดบางเดื่อเล่าปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อชมให้ฟัง ผู้เขียนจึงนำมาเล่าต่อ ดังนี้…

    …มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินทางมาหาหลวงพ่อชมที่วัดบางเดื่อ(แต่งเครื่องแบบ) แต่ไม่เคยพบหลวงพ่อมาก่อน จึงไม่รู้ว่าท่านเป็นใครอยู่กุฏิไหน

    …ทหารพากันเดินดุ่ยๆเข้าไปในวัด แล้วก็พบเข้ากับพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่ ทหารบอกกับพระรูปนั้นไปว่าจะมาหา“หลวงพ่อชม” พระรูปนั้นตอบว่า“ข้านี่แหละ หลวงพ่อชม” ทหารที่มากัน๔-๕คนจึงยกมือขึ้นไหว้

    …ทหารคนที่ท่าทางเหมือนหัวหน้าพูดกับหลวงพ่อว่า“หลวงพ่อครับ พวกเรามีของมาถวาย” พูดเสร็จก็ส่งของให้หลวงพ่อทันที!…

    …ถึงตอนนี้“หลวงพ่อชม”ท่านรู้แล้วว่า “โดนเจ้าพวกทหารวัยคะนองลองของเข้าให้ เพราะของที่ว่าเป็นลูกระเบิดสังหาร รุ่นM-26”(ทหารเอาระเบิดมาหยอกหลวงพ่อ โดยไม่ได้ดึงสลักออกแต่อย่างใด คือแบบว่าหากเอาลูกระเบิดนี้ปาลงพื้น หรือขว้างใส่กำแพง ก็ไม่สามารถระเบิดได้ นี่เป็นการเล่นแบบพิเรนทร์ๆของพวกทหาร)…

    …กลับมาที่ฝ่ายทหารกันบ้าง พวกทหารอยากจะดูว่า“พระอาจารย์ที่เขาลือกันว่าเก่งนักหนา พอตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ ท่านจะทำอย่างไร”(ตั้งใจมาลองของหลวงพ่อ)

    …ทหารบางนายคิดอย่างขำๆเลยเถิดไปว่า“หลวงพ่อคงตกใจจนขวัญหนีดีฟ่อ แล้วโยนระเบิดทิ้งไป ก่อนวิ่งหนีป่าราบ” บ้างก็คิดว่า“หลวงพ่อคงเขวี้ยงระเบิดไปไกลๆด้วยความหวาดกลัว” คือแบบว่าคิดกันไปต่างๆนาๆอย่างสนุกสนาน แต่ทหารกลุ่มนี้คิดผิด!…

    …พอ“หลวงพ่อชม”รับลูกระเบิดมาแล้ว ท่านก็ยิ้มให้แล้วพูดกับทหารกลุ่มนั้นว่า “รับแล้วนะ ทีนี้ข้าจะให้ของพวกเอ็งบ้าง” ว่าเสร็จท่านก็ปา“ระเบิด”ลงพื้นกลางวงทหาร และทั้งๆที่รู้ว่า”ระเบิดยังไม่ได้ถอดสลักออก อย่างไรก็ไม่ระเบิดแน่ๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้ทหารกลุ่มนั้นแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง ทหารบางนายรีบวิ่งแล้วนอนราบเอามือกุมหัว ส่วนบางนายกระโดดพุ่งหลาวไปกับพื้นลูกรังข้างหน้าแล้วนอนทำตัวแบนราบให้ตกเป็นเป้าสะเก็ดระเบิดน้อยที่สุด สรุปว่าทหารทุกนายทำตามยุทธวิธีที่เล่าเรียนมา”(การณ์กลับตาลปัตร ทหารว่าจะมาลองดีกับหลวงพ่อ แต่กลับโดนหลวงพ่อย้อนศรเข้าให้)

    …“พอลูกระเบิดกระทบพื้น ระเบิดก็ทำงานทันที แต่แทนที่ระเบิดจะส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ(ส่งสะเก็ดระเบิดออกมา) ระเบิดกลับมีเสียงดัง“ฟู้ด” แล้วก็มีฝุ่นขี้เถ้าแตกกระจายกลายเป็นผุยผง ฟุ้งกระจายไปถ้วนทั่ว”(ระเบิดไม่ได้แตก เพียงแต่ดินระเบิดเกิดฟู่ขึ้นมาเฉยๆ) และโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ พอทหารเห็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อชมกันแบบจะจะคาตาเช่นนั้น ต่างก็พากันคลานเข่าเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วหมอบกราบแทบเท้าน้ำหูน้ำตาไหล จากนั้นได้กราบขมาลาโทษและเอ่ยปากขอน้อมกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน หลวงพ่อชมพูดอย่างเมตตาว่า“ไม่เป็นไร พวกเจ้าอยากเห็นก็เลยแสดงให้ดู” นับจากนั้นเป็นต้นมาทหารกลุ่มนี้ได้กลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่คอยช่วยเหลืองานหลวงพ่ออย่างเต็มกำลังความสามารถ

    …ว่ากันว่า“ทหารเหล่านี้เป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์” เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล…

    Cr.น้าเอก.
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มารูปภาพเวปไซท์นิตยสารอย่างสูงครับ
    ลองอ่านประวัติท่านดุก่อนครับ ศิษย์สายวัดพระญาติ วัดสะแก อีกท่าน เหรียญยุคเก่า สวยเดิมๆ จะ50 ปีแล้ว
    เหรียญหลวงพ่อชมวัดบางเดื่อปี 2517 กะไหล่เงินหูตันให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  4. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
     
  5. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343


    หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน พระนครศรีอยุธยา
    ข้อมูลประวัติ หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน ต.ท่าวาสุกรี พระนครศรีอยุธยา
    เมื่อก่อนปี พ.ศ. 2500 ที่วัดญาณเสน ต. ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา มีพระอาจารย์ผู้เรืองวิชารูปหนึ่ง ชื่อ หลวงพ่อชื้น พุทธสโร ช่วยเหลือชาวบ้าน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยน้ำพระพุทธมนต์ มีชื่อเสียงมากในทางแก้คุณไสย ป้องกันภูตผีปีศาจ ถูกกระทำ โรคกรรมเก่า โรคจิตวิปริต จิตฟุ้งซ่าน คลอดลูกไม่ออก พ่นตาแดง รักษาฝี ฯลฯ
    เมื่อหลวงพ่อชื้นเสกน้ำมนต์ ให้ดื่มกินก็ปรากฏว่าหายวัน หายคืน เป็นไปอย่างน่าประหลาด เหล่าภูตผี เจ้าที่หรือวิญญาณที่มีสิงสู่ในตัวตน เมื่อรู้ว่ามีผู้นำน้ำพุทธมนต์เสกของ หลวงพ่อชื้น มา ก็รีบหนีไปผุดไปเกิดทันที จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วตลาดหัวรอ ตลาดเจ้าพรหม
    ผู้ทีชอบทางค้าขายหลวงพ่อก็จะเสกธะนางกวักเรียกคนเข้าร้านให้
    ผู้ที่ชอบทางโลดโผน ผจญภัย เป็นรั้วของชาติ ท่านก็สร้างตะกรุดโทนแจกให้
    เล่นแร่แปรธาตุ
    ในสมัยนั้นบรรดาเกจิอาจารย์นิยมเล่นแร่แปรธาตุ โดยนำโลหะต่างชนิดกันมาผสมกัน เพื่อให้เป็นทองคำให้เป็นแร่ธาตุกายสิทธิ์ผสมโลหะ 5 อย่าง 7 อย่าง 9 อย่าง ออกมาเป็นสัตตโลหะ นวโลหะ อย่างเช่น หอกของหลายชุมพล ปลายหอกทำด้วยสัตตโลหะ ใครที่ว่าเหนียว เมื่อเจอโลหะผสมก็เปื่อยเป็นเนื้อต้มทีเดียว หลวงพ่อชื้น ท่านก็ลองวิชาของท่านเหมือนกัน นำโลหะมาผสมได้เนื้อเหลืองทางทองคำก็มี เนื้อเหลือบใสแดงขาวก็มี ท่านเรียกโลหะของท่านว่า เนื้อลูกแก้ว ท่านผสมไว้มากมายใต้ถุนกุฏิ เมื่อใครมาขอท่านก็หลอมเป็นลูกอมเล็ก ๆ ให้พกติดตัว ผู้ที่ได้ไปก็แคล้วคลาดภัยอันตรายต่าง ๆ ถ้าวันใดว่าง ๆ ท่านก็จะให้ศิษย์ไปหาตะปูสังฆวานรตามเจดีย์ร้างเก่า ๆ มาหลอมรีดเป็นตะกรุด ผู้ได้ไปก็มีความคงกระพันชาตรี มหาอุด หยุดลูกปืน จนท่านทำให้แทบไม่หวาดไหว
    ต้นปี พ.ศ. 2500 มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้ธุดงค์ผ่านมาที่วัดญาณเสน พบกับ หลวงพ่อชื้นเข้าโดยบังเอิญ ท่านอาจารย์ทั้งสองเกิดถูกอัธยาศัยกัน จึงได้สนทนาธรรมกับผู้ศึกษาธรรมย่อมรู้ญาณซึ่งกันและกัน เพียงสนทนากันไม่กี่ประโยคก็ทราบได้ว่ามีความรู้เพียงใด บำเพ็ญเพียร มามากเพียงใด
    อาจารย์ต้องการศิษย์….ศิษย์ต้องการอาจารย์
    พระธุดงค์เปรยขึ้นมาว่า ที่ท่านชื้นได้ร่ำเรียนวิชามานั้น ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ในวัตถุ ต้องปล่อยปละละวาง ละความโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง พร้อมทั้งแนะนำธรรมะ และข้อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอีกหลายข้อ ตามแนวทางของพระพุทธองค์หลวงพ่อชื้น จึงได้กราบขอเป็นศิษย์ พระธุดงค์รูปนั้นก็มิได้ปฏิเสธ และพูดว่า “นับเป็นกุศลของอาตมาที่จะได้ช่วยให้ผู้มีบุญวาสนาอยู่แล้วได้สำเร็จมรรคผล” นับแต่วันนั้นมาพระภิกษุทั้ง 2 รูป ก็ได้ทบทวนศีล 227 ข้อ พระธรรมวินัยต่าง ๆ ภายในพระอุโบสถ ครั้นยามค่ำคืนก็พากันนั่งสมาธิอยู่โคนต้นโพธิ์ ภายในวัดญาณเสน โดยที่หลวงพ่อชื้นจะภาวนาพระคาถาต่าง ๆ ไปด้วย และลงท้ายด้วยภาวนา นัตถิเม มีพระธุดงค์รูปนั้น ได้นั่งสมาธิคุมไปด้วย
    ความสำเร็จ
    จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไป 2 เดือน กับอีก 27 วัน หลวงพ่อชื้น ท่านก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ว่าจิตใจสบายและสงบขึ้น และในคืนวันที่ 27 นั้นตอนใกล้รุ่งที่โคนต้นโพธิ์ หลวงพ่อชื้น ท่านได้ยินเสียงเหมือนคนหว่านทรายมารอบ ๆ ตัวท่าน จึงลืมตาถาม พระธุดงค์ พี่เลี้ยงว่า “นั่นเสียงอะไร” พระธุดงค์ จึงตอบว่า “ผีประจำต้นโพธิ์มันจะเข้าต้นไม้ มันไล่ท่านแล้ว” คืนต่อมาหลวงพ่อชื้น จึงขอเข้ามานั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ จะได้ไม่ไปรบกวนเจ้าที่เจ้าทาง หลังจากนั่งในพระอุโบสถคืนที่ 3 ใกล้รุ่ง หลวงพ่อชื้น ก็นิมิตเห็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งสมาธิลอยมา ถึง 3 พระองค์ และพระธรรมจักร เปล่งรัศมีโชติช่วง หมุนอยู่ระหว่างกลาง องค์พระทั้ง 3 พระองค์ เมื่อหลวงพ่อชื้นถอนสมาธิก็บังเกิดความสว่างขึ้นภายในดวงใจ เต็มไปด้วยความปิติ จะนึกสิ่งใดต้องการรู้สิ่งใดก็มีคำตอบขึ้นมาเสร็จ ท่านจึงได้เล่านิมิตให้พระธุดงค์ฟัง พระธุดงค์รูปนั้นท่านก็บอก ว่า “อาตมาหมดหน้าที่แล้ว อาตมาจะกลับไปที่บ้านเกิดของอาตมา ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดโบสถ์ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา”
    พระอาจารย์มรณภาพ
    หลังจากวันนั้นแล้วพระธุดงค์องค์นั้นก็ธุดงค์กลับ แม้หลวงพ่อชื้นจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อ เพื่อจะได้สนองคุณดูแลเมื่อยามแก่เฒ่า หลวงพ่อชื้น เล่าว่า พระธุดงค์องค์นี้ ชื่อ หลวงพ่อเสน เตชะธัมโม เป็นชาวโคราช อำเภอสูงเนิน มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เล็ก ๆ กับพระยาท่านหนึ่ง ต่อมาได้อุปสมบทที่วัดบรมนิวาส ได้เล่าเรียนพระปริยัตธรรม วิปัสสนากรรมฐานอยู่กับ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) จนกระทั่งมีความคงแก่เรียน จึงได้ออกรุกขมูลธุดงค์หาความวิเวกไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนกระทั่งบำเพ็ญเพียรถึงขั้นสูงสุดหลวงพ่อชื้น เล่าว่า ท่านได้ส่งกระแสจิตถึงกันอยู่เสมอ เพียงแต่นึกถึงกัน ก็สนทนากันได้แล้ว และหลังจากนั้นอีก 5 ปี พระอาจารย์เสน เตชะธัมโม ก็มรณภาพ ในท่านั่งสมาธิอยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง ในอำเภอสูงเนิน เมื่อหลวงพ่อชื้นทราบข่าว ก็ขึ้นไปทันที กว่าจะหาศพพบ ก็เป็นเวลา 7 วัน ปรากฏว่านั่งมรณภาพในขณะสมาธบำเพ็ญเพียรอยู่ในซอกหิน ศพไม่เน่าเปื่อยเหมือนคนหลับธรรมดา สัตว์ป่า หรือ มด แมลง ก็มิได้มาไต่ตอมหลวงพ่อชื้น ท่านก็ได้ช่วยทำการฌาปนกิจอย่างสมเกียรติ แล้วจึงเดินทางกลับ
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา ยังบอกว่า "ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว ให้ไปกราบพี่ชื้น วัดญาณเสน"
    หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ยังได้บอกศิษย์ว่า ให้ไปทำบุญกับหลวงปู่ชื้น จ.อยุธยา
    หลวงปู่พรหมา เขมจาโร ยังให้ลูกศิษย์ที่เป็นฤาษี มาเก็บพระหลวงปู่ชื้น
    หลวงปู่แหวน วัดดอกแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ยังเคยเอ็ดเอากับชาวอยุธยาว่า "ใกล้เกลือกินด่าง" หมายความว่า ชาวอยุธยาผู้นั้นเดินผ่านวัดหลวงปู่ชื้นกลับไม่รู้ว่ามีเพชรแท้อยู่หน้าบ้านตัวเอง แต่กลับไปกราบหลวงปู่แหวน ซึ่งห่างไปตั้งหลายร้อยกิโล
    ผมเคยถามท่านด้วยตัวเองว่า พระของหลวงปู่กันนิวเคลียร์ได้ใช่ไหมครับ (เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้) ท่านตอบว่า "ได้" และบอกอีกว่า นิวเคลียร์เป็นพลังทางโลกจะสู้พลังทางธรรมไม่ได้!

    คำอาราธนาพระเครื่อง
    ให้อาราธนาว่าดังนี้
    ข้าพเจ้าขอพระบารมีคุณ
    พระพุทโธ พระธัมโม พระสังโฆ เป็นที่พึ่ง......... หรือ
    พุทธัง ฤทธิ ธัมมัง ฤทธิ สังฆัง ฤทธิ ชัยยะมังคะลัง
    เอหิ พุทธัง เอหิ ธัมมัง เอหิ สังฆัง เอหิ จิตตัง มะมะ เอหิ
    ให้ท่านอาราธนาทุกเช้าค่ำแล้วท่านจะสำเร็จตามความปรารถนาตามที่ท่านอธิษฐาน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือน 8 รอบหลวงปู่ชื้นวัดญาณเสน ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
     
  6. shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,981
    ค่าพลัง:
    +6,889
    ขอจองครับ
     
  7. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343
    หลวงพ่อเง วรจนฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัดปทุมสราวาส จ.สุพรรณบุรี ได้ละสังขารด้วยอาการไตวายเฉียบพลัน และติดเชื้อในกระแสโลหิต หลังเข้ารักษาตัวที่ รพ.ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค. สิริอายุรวม 89 ปี


    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 31 ส.ค. ได้สูญเสียพระเกจิชื่อดังของ จ.สุพรรณบุรี คือ พระครูธวัชวุฒิคุณ หรือ หลวงพ่อเง วรจนฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัดปทุมสราวาส (นาลาว) ต.อู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ที่ลูกศิษย์กล่าวขานขนานนามว่า หลวงพ่อเง วาจาสิทธิ์ ได้ละสังขารด้วยอาการไตวายเฉียบพลัน และติดเชื้อในกระแสโลหิต หลังเข้ารับการรักษาด้วยอาการหอบ และน้ำท่วมปอด เมื่อวันที่ 6 พ.ค.2562 จากนั้นคณะแพทย์ พยาบาล โรงพยาบาลอู่ทอง ได้ให้การรักษาจนอาการดีขึ้น กระทั่งเมื่อคืนที่ผ่านมาได้เกิดภาวะไตวาย และติดเชื้อในกระแสเลือด แพทย์พยาบาลพยายามให้ยาฆ่าเชื้ออย่างเต็มที่ แต่ด้วยหลวงพ่ออายุมากจึงได้ละสังขารอย่างสงบในวันที่ 31 ส.ค. เวลา 23.04 น. สิริอายุรวม 89 ปี


    หลวงพ่อเง วรจนฺโท ท่านชอบเรียนวิชาไสยเวทย์เป็นชีวิตจิตใจ เมื่อทราบว่าที่ไหนมีอาจารย์ เชี่ยวชาญในไสยเวทย์ หลวงพ่อก็จะไปขอเรียน ได้มีหมอไสยศาสตร์ชื่อดังที่เชี่ยวชาญในวิชาไสยเวทย์ มากด้วยวิชา ชื่อ “หมอ สุวรรณ จันหอม” เก่งเรื่องอักขระเลขยันต์ อาบน้ํามนต์ ขับคุณไสย เสกหุ่น พยนต์ ทําน้ํามนต์จินดา ได้สอนวิชาหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่าให้หลวงพ่อเง เช่นคาถาอาวุธทั้ง 9 และ อาวุธทั้ง 22 ประการ สู้กับผีปลวกผีป่า เรียนอักขระขอม สักยันต์อยู่ยงคงกระพันชาตรี ตามข้อต่าง ๆ จํานวน 19 จุด เมื่อหลวงพ่อเง วรจนฺโท ได้เล่าเรียนและช่ําชองไสยเวทย์แล้ว ก็ได้ทําการสักอักขระขอม ชื่อของครูบาอาจารย์ของท่าน สักไว้ที่แขนซ้ายและแขนขวา แขนซ้ายจํานวน 5 ท่าน และ แขนขวา จํานวน 6 ท่าน รวมมีอาจารย์ผู้ได้ประสาทวิชาให้หลวงพ่อเง ถึง 11 อาจารย์ หลวงพ่อเง เป็นที่ศรัทธา เลื่อมใสของชาวบ้าน อ.อู่ทองมาก ได้นิมนต์ให้หลวงพ่อเง ไปเป็นรักษาการเจ้าอาวาส วัดท่าพยาจักร (ช่องลม)ในปีพ.ศ.2503 หลวงพ่อเง ได้เป็นที่พึ่งของชาวบ้านเป็นอย่างดี เช่นดูฤกษ์ยาม ปลูกบ้าน งาน มงคล โกนผมไฟ อาบน้ํามนต์สืบชะตา ขับคุณไสย เจิมรถ เจิมบ้าน เจิมร้านค้า ในช่วงนั้นหลวงพ่อเง ดัง มาก พระครูอโศกสันติคุณ (หลวงพ่อสงัด) เจ้าคณะอําเภออู่ทอง เจ้าอาวาสวัดดอนหอคอย ยังได้เดินทาง มาพักที่วัดช่องลมหลายครั้ง หลวงพ่อสงัด ท่านอาวุธโสกว่าหลวงพ่อเงมาก หลวงพ่อเงจะถวายทําการ บีบนวดร่างกายให้ท่านพระครูอโศกสันคุณ (หลวงพ่อสงัด) อยู่เสมอ และได้มีการถ่ายถามวิชาไสยเวทย์ ต่อกัน หลวงพ่อสงัด วัดดอนหอคอย ได้ทําการสอนวิชาเสกเหรียญให้อยู่ยง มหาอุต แก่หลวงพ่อเง เรื่อง เสกเหรียญหลวงพ่อสงัด เหรียญของท่านต้องยิงไม่ออกถึงให้ไปบูชา ถ้ายิงออกจะไม่ให้ไปเด็ดขาด เมื่อ หลวงพ่อเงมีชื่อโด่งดังเรื่องไสยเวทย์ จึงเป็นที่ทําให้พระคณาจารย์ที่เก่งและช่ําชองเรืองเวทย์ต้องการมา รู้จัก ได้มีพระภิกษุเรืองเวทย์รูปหนึ่ง
    ชื่อ “หลวงพ่อดํา” ได้เดินทางมาจากภาคใต้ มาพํานักอยู่วัดช่องลม กับหลวงพ่อเง อยู่ 2 พรรษา ได้แลกเปลี่ยนวิชาไสยเวทย์กับหลวงพ่อเง หลวงพ่อดํารูปนี้ท่านสําเร็จ กสิณไฟ มีพลังจิตแก่งกล้ามาก สามารถเสกน้ําเดือดได้ เสกกรวดหิน ดินทราย ปืนยิงไม่ออกแน่นอนทุก รายการ ร่างกายของหลวงพ่อดํา เหมือนมีพลังไฟฟ้า ใครจับต้องถูกจะเกิดตัวสั่น เหมือนโดนไฟฟ้าช๊อต ทําให้ผู้รู้ไม่มีใครกล้า ถูกตัวหลวงพ่อดํา หลวงพ่อเง จะขอจับดูแต่หลวงพ่อดํากลับไม่กล้าให้หลวงพ่อเง จับ เพราะหลวงพ่อเง มีวิชาคาถาอาวุธทั้ง 9 และ 22 ประการ หลวงพ่อดํา ต่อมาได้ไปพํานักอยู่วัดเขา พระ อําเภออู่ทอง ในครั้งหลวงพ่อเง ได้เป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดท่าพยาจักร (ช่องลม)ได้ทําการสัก ยันต์ เรื่องอยู่ยงคงกระพันชาตรี และมหาอุต ดังมาก มีผู้คนเดินทางมาขอสักจํานวนมากมาย จากจังหวัดร้อยเอ็ด มหาสารคาม พิษณุโลก สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และอีกหลาย ๆ จังหวัด มีศิษย์ยานุศิษย์ ที่สักยันต์จํานวนหนึ่งในบางคนที่เหิมเกริม และประพฤติตัวเป็นโจร เป็นนักเลง ทางการได้มาขอร้อง นิมนต์ขอให้หลวงพ่อเง หยุดทําการสักยันต์ หลวงพ่อเง จึงได้หยุดสักยันต์ต่างๆ ตั้งแต่นั้นมา หลังจาก หยุดทําการสักยันต์ หลวงพ่อเง วรจนฺโท ได้บําเพ็ญเจริญภาวนาเป็นเนืองนิด และได้สร้างวัตถุมงคล เป็นพระผงต่าง ๆ หลายสิบอย่าง แจกให้ทหารไปรบในสมรภูมิ รบเกาหลี ทหารได้รอดกลับมาทุกนาย หลวงพ่อเง วรจนฺโท มีไสยเวทย์เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ เป้นที่กล่าวขานเรื่องลือไปทั่ว มีอยู่วันหนึ่งในสมัยที่ วัดท่าพยาจักร (วัดช่องลม)
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อมีให้บูชา
    100 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  8. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่อโตวัดวิหารทองย้อนยุคที่ระลึกโรงเรียนอนุบาลสรรค์บุรีให้บูชา 100 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
     
  9. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343

    เครดิต คุณ อำพล เจน
    สิทธัตโถเป็นชื่อของพระกริ่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ถ้ำปากเพียงเมืองเชียงใหม่
    ใครอยากได้ทอง ให้บอกรายการตามไปดูได้เลย
    เริ่มที่มูลเหตุเดิม ๆ อันก่อให้เกิดพระกริ่งสิทธัตโถ
    ตอนนั้นสมเด็จพระสังฆราชญาโณทัย วัดสระเกศ ทรงประชวรหนักใกล้สิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงปรารภกับพระครูสังฆบริรักษ์ (วีรญาโณ มโนรมย์) วัดบรมนิวาส ว่า ในชีวิตของพระองค์ทรงเคยตั้งพระทัยไว้ประการหนึ่งว่า อยากจะทรงสร้างพระกริ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่ต้องมาประชวรลงเสียก่อน ทรงปรารภลอย ๆ ไม่ได้หวังอะไร
    พระครูสังฆรักษ์ได้นำเรื่องนี้มาปรึกษากับคุณมนตรี เหล่าวิสุทธิชัย บอกว่าอยากจะสนองพระราชปรารภขององค์พระสังฆราช แต่ไม่มีทุน คุณมนตรีบอกว่า ไม่ยาก รับปากพระองค์ท่านไปเลย ทุนสร้างจะหาให้เอง
    ความเป็นจริงของพระกริ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยได้มีอันหวังได้ว่าจะมีเกิดขึ้นทันที เหมือนเค้าฝนที่ตั้งทมึนพร้อมจะตก
    คุณมนตรีซึ่งในชีวิตดูเหมือนจะไม่เคยสร้างพระทำนองนี้มาก่อนก็โดดลงมาเต็ม ตัว ลงมาสู่สถานภาพแห่งประธานหาทุน และได้จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นประธานอุปถัมภ์ ฝนนี้จึงเป็นฝนใหญ่เค้าใหญ่ในเวลานั้นทันควัน
    ขนาดและสัดส่วนขององค์พระกริ่งถูกำหนดขึ้นปฏิมากรลงมือปั้น ให้หุ่นสำเร็จเป็นองค์จริงสูง 2 เมตร 30 เซนติเมตร หน้าตักกว้าง 1 เมตร 85 เซนติเมตร สร้างเสร็จแล้วอาราธนาพระกริ่งใหญ่องค์นี้ไปประดิษฐานที่ถ้ำปากเพียง เมืองเชียงใหม่
    ถ้ำปากเพียงอยู่ใกล้ ๆ ถ้ำเชียงดาว ซึ่งหลวงปู่สิม พุทธาจาโร พำนักอยู่ประจำจนวันมรณภาพ ดังนั้น มหาพิธีมังคลาภิเษกพระกริ่งสิทธัตโถองค์ใหญ่จึงได้หลวงปู่สิมเป็นเจ้าพิธี
    มหาพิธีทำขึ้นในวันที่ 7 ธันวาคม 2512 ที่วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ พร้อมพิธีนี้คณะกรรมการได้จัดสร้างเหรียญขึ้นเป็นที่ระลึก 11 พิมพ์ และพระกริ่งขนาดห้อยคออีก 1 พิมพ์ รวมเป็น 12 พิมพ์ ไม่นับพระกริ่งขนาดบูชาหน้าตัก 3 นิ้ว 5 นิ้ว และ 12 นิ้ว ตามลำดับ และพระบูชาประจำวันอีก 1 ชุด
    คณาจารย์ที่รับอาราธนาเข้าร่วมพิธีมหาพุทธภิเษกพระกริ่งสิทธัตโถและเหรียญ ที่ระลึกทั้งหมดนั้น อาจบันทึกได้ไม่ครบถ้วนทุกรูป แต่สามารถบอกได้ดังนี้
    1. หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
    2. หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    3. หลวงปู่นาค วัดระฆัง
    4. เจ้าคุณวรพรตปัญญาจารย์ (แก้ว) วัดป่าอรัญญิกาวาส ชลบุรี
    5. หลวงปู่เคน วัดเขาอีโต้ ปราจีนบุรี
    6. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลยไลย์ สุพรรณบุรี
    7. หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ อยุธยา
    8. หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน ลำปาง
    9. หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา
    10. หลวงพ่อเขียน วัดพิชัยสงคราม สมุทรปราการ
    11. หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ปทุมธานี
    12. หลวงพ่อเจริญ วัดอโศการาม (ปัจจุบันอยู่ถ้ำปากเพียง)
    13. หลวงพ่อเมตตาหลวง (ขณะนั้นคือเจ้าคุณสุนทรธรรมภาณ วัดป่าชัยวัน ขอนแก่น)
    14. พระราชปัญญาโสภณ (สุข) วัดราชนัดดา
    15. หลวงพ่อสา วัดราชนัดดา
    16. หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ลพบุรี
    17. หลวงพ่อเฉลา วัดคีรีภาวนาราม ระยอง
    18. หลวงพ่อแฟ้ม วัดป่าอรัญญิกาวาส ชลบุรี (ขณะนั้นอยู่วัดตรีรัตนาราม ระยอง)
    19. หลวงพ่ออำนวย ถาวโร วัดเสาธงกลาง สมุทรปราการ
    20. หลวงพ่อสำเนียง อยู่สถาพร วัดเวฬุวนาราม นครปฐม
    21. หลวงพ่อคำสิงห์ วัดล่ามช้าง เชียงใหม่
    22. หลวงพ่อเจียง วัดป่าสันติธรรม เชียงใหม่
    23. หลวงปู่ตื้อ อจลธมโม วัดป่าอรัญญวิเวก นครพนม (ขณะนั้นท่านอยู่เมืองเชียงใหม่)
    24. หลวงปู่แว่น วัดถ้ำพระสบาย ลำปาง (ขณะนั้นท่านอยู่วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร)
    25. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
    26. หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่ หนองพะอง
    27 หลวงพ่อบุญมี วัดอ่างแก้ว กทม.
    28. หลวงพ่อไพฑูรย์ วัดโพธินิมิต
    29. พระธรรมดิลก วัดบรมนิวาส
    30. หลวงพ่อหอม วัดท่าอิฐ อ่างทอง
    31. หลวงพ่อผ่อง วัดจักรวรรดิ กทม.
    32. หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ (ท่านเป็นเจ้าพิธีนี้ด้วย)
    เห็นจะไม่ต้องพรรณนา ความวิเศษของมหาพิธีนี้อีกแล้ว
    คงต้องบอกว่าเหรียญที่ระลึกสิทธัตโถ ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมด 3 รุ่น คือรุ่นปี 2512, 2514 และ 2517 รายละเอียดทั้งหมดของหมาพิธีนี้คือของรุ่นปี 2512 รุ่นเดียว
    ปัจจุบันพระกริ่งสิทธัตโถค่อนข้างหายาก ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก และเหรียญที่ระลึกทุกพิมพ์พอจะเห็นได้บ้างประปรายในที่ต่าง ๆ ผู้สนใจอยากจะได้ไว้ต้องลงมือหาเอาเอง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลรูปภาพที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญพระกริ่งสิทธัตโถปี 2512 สภาพผ่านการบูชา พระดีพิธีใหญ่
    ให้บูชา
    150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
     
  10. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343
    พระผงหลวงปู่เทพโลกอุดรบรรจุพระธาตุให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

     
  11. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.อยุธยา ยังบอกว่า "ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว ให้ไปกราบพี่ชื้น วัดญาณเสน"
    หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ยังได้บอกศิษย์ว่า ให้ไปทำบุญกับหลวงปู่ชื้น จ.อยุธยา
    หลวงปู่พรหมา เขมจาโร ยังให้ลูกศิษย์ที่เป็นฤาษี มาเก็บพระหลวงปู่ชื้น
    หลวงปู่แหวน วัดดอกแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ยังเคยเอ็ดเอากับชาวอยุธยาว่า "ใกล้เกลือกินด่าง" หมายความว่า ชาวอยุธยาผู้นั้นเดินผ่านวัดหลวงปู่ชื้นกลับไม่รู้ว่ามีเพชรแท้อยู่หน้าบ้านตัวเอง แต่กลับไปกราบหลวงปู่แหวน ซึ่งห่างไปตั้งหลายร้อยกิโล
    ผมเคยถามท่านด้วยตัวเองว่า พระของหลวงปู่กันนิวเคลียร์ได้ใช่ไหมครับ (เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้) ท่านตอบว่า "ได้" และบอกอีกว่า นิวเคลียร์เป็นพลังทางโลกจะสู้พลังทางธรรมไม่ได้!

    คำอาราธนาพระเครื่อง
    ให้อาราธนาว่าดังนี้
    ข้าพเจ้าขอพระบารมีคุณ
    พระพุทโธ พระธัมโม พระสังโฆ เป็นที่พึ่ง......... หรือ
    พุทธัง ฤทธิ ธัมมัง ฤทธิ สังฆัง ฤทธิ ชัยยะมังคะลัง
    เอหิ พุทธัง เอหิ ธัมมัง เอหิ สังฆัง เอหิ จิตตัง มะมะ เอหิ
    ให้ท่านอาราธนาทุกเช้าค่ำแล้วท่านจะสำเร็จตามความปรารถนาตามที่ท่านอธิษฐาน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือน 8 รอบหลวงปู่ชื้นวัดญาณเสน ให้บูชา บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
     
  12. shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,981
    ค่าพลัง:
    +6,889
  13. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343
    รับทราบครับ ขอบคุณครับ
    วันนี้จัดส่ง


    ขอบคุณครับ
     
  14. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343

    พระเทพสาครมุนี หลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม สมุทรสาคร


    สมัยหนึ่งช่วงที่ชีวิตยังตกระกำลำบากมากๆ ผมชอบไปไหว้พระตามวัดวาอารามต่างๆ วัดสุทธิวาตวราราม หรือวัดช่องลม ต.ท่าฉลอม สมุทรสาคร วัดที่อดีตพระเทพสาครมุนี หลวงปู่แก้ว ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสและจำพรรษาในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เป็นวัดที่ผมชอบไปมากๆ เนื่องจากบริเวณวัดเงียบสงบร่มรื่นมากๆ ผู้คนเป็นมิตรไม่ต้องระวังตัวเหมือนทุกวันนี้ ที่ชอบมากที่สุดคือด้านที่อยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีน จะเห็นทะเลปากอ่าวไทย ลมทะเลพัดมาชื่นใจลมพัดแรงสุดๆ มาแทบไม่ขาดสาย สมกับชื่อ..วัดช่องลม อย่างแท้จริง

    วันหนึ่ง..ผมนั่งรถไฟจากสถานีวงเวียนใหญ่ไปลงที่สุดทางรถไฟที่มหาชัย จากนั้นนั่งเรือข้ามฝากไปที่ฝั่งท่าฉลอม เพื่อเดินเท้าไปยังวัดช่องลม..ระยะทางเดินจากท่าเรือไปวัดน่าจะประมาณ 300 เมตร มีรถสามล้อถีบ รถมอเตอร์ไซค์วิ่งให้บริการในราคามิตรภาพ แต่..ในครั้งนั้นผม 3 คน พ่อแม่ลูกไม่มีเงินพอที่จะเป็นค่ารถสามล้อถีบไปยังวัดได้ เพราะต้องเก็บเงินไว้เป็นค่าข้าวค่ารถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้าน จึงต้องเดินเท้าสถานเดียว ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ แดดร้อนจัดมากๆเนื่องจากเป็นที่โล่งจึงต้องเดินตากแดดไปแทบตลอดทาง ข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้ทาน เนื่องจากจะไปทานแถววัด

    เดินไปได้ระยะหนึ่งมองเห็นหลังคาวัดช่องลมอยู่ลิบๆ ด้วยความที่เดินตากแดดร้อนจัดมาตลอดทาง และความน้อยใจที่ไม่มีเงินเป็นค่ารถสามล้อถีบหรือรถมอเตอร์ไซค์ให้มาส่งที่วัดได้จึงได้บ่นถึงหลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม ออกมาเสียงดังๆว่า หลวงพ่อครับทำไมต้องมาตั้งวัดเสียไกลอย่างนี้ ผมจะมาไหว้หลวงพ่อสักทีลำบากเหลือเกิน วัดก็อยู่ไกลแดดก็ร้อนจัด (จริงๆวัดอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือท่าฉลอม น่าจะประมาณ 200 ~ 300 เมตร โดยประมาณ แต่ความที่ผมร้อนแดด หิวข้าว เงินไม่ค่อยมี เลยไปพาลบ่นกับหลวงพ่อแก้วน่ะครับ)

    สุดจะทนแล้ว..วันนั้นอากาศร้อนจัดคอแห้งมาก แวะร้านค้าข้างทางเพื่อซื้อน้ำกินหน่อย อ้าวหวยรัฐบาลกำลังออกรางวัลที่หนึ่งอยู่พอดีขอยืนฟังสักหน่อย เวรกรรมไอ้ย่ามแดงรางวัลที่หนึ่งออกเลขอะไรจำไม่ได้ แต่จำได้แม่นยำมากว่าลงท้ายด้วเลข " 00 " เผลอบ่นเสียงดังในร้านค้าว่า หวยระยำมันออกอย่างนี้ใครมันจะไปซื้อถูก แฟนผมเข้ามากระซิบข้างๆว่า แต่ข้าถูกว่ะข้าซื้อสามตัวบนเลข 200 ถูกสามตัวตรงๆ แต่ก็ได้ไม่กี่พันบาทหรอกครับ เพราะต้องแบ่งเงินจากเงินที่มีอยู่น้อยนิดไปซื้อจึงซื้อได้ไม่มากนัก ขณะที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ได้คุยกับแฟน แฟนบอกว่าตอนเดินไปวัดในครั้งนั้นซึ่งนานมาแล้ว ได้บอกหลวงพ่อในในว่า หลวงพ่อแดดร้อนเหลือเกิน ให้ลูกถูกหวยด้วยเถิด ถ้าลูกมีโชคมีลาภ ถูกหวย..ลูกจะกลับมาไหว้หลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง



    จากเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่แก้ว หรือหลวงปู่แก้วท่านรำคาญเสียงบ่นเสียงคร่ำครวญของผม เลยเวทนาเมตตาให้ทุนมาต่อชีวิตที่ใกล้จะอดตายแล้ว หรือว่าจะเป็นความบังเอิญทางสถิติตัวเลข อย่างไรไม่ทราบได้ การณ์ต่างๆจึงลงตัวกลมกลืนกันได้อย่างพอเหมาะพอดี ถูกเรื่องถูกเวลาถูกสถานที่กันได้อย่างพอดิบพอดี สำหรับผมมีเพียงคำตอบเดียวคือ..

    ด้วยความเมตตากรุณาปราณีอย่างสุดประมาณ ของพระเดชพระคุณพระเทพสาครมุนี หรือ..หลวงปู่แก้ว วัดช่องลม จังหวัดสมุทรสาคร ที่มีต่อครอบครัวผุ้ยากไร้ของข้าพเจ้า สาธุ สาธุ สาธุ ฯ

    ปล.ลืมบอกไปว่า..เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีที่แล้วครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาเจ้าของเรื่องเล่าอย่างสูงครับ

    พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม รุ่นแรก(ปลดหนี้)
    สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ พระปิดตาเนื้อผง มวลสารที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นพระสมเด็จแก้วสุทธิที่ชำรุดแตกหักและผงว่านต่างๆ ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ชนิด รวมทั้งผงปัถมังและผงอิทธิเจ และเกศาของหลวงพ่อ นำมาตำบดผสมรวมๆกัน จำนวนการสร้าง ๓๙,๐๐๐ องค์
    พระปิดตาหลวงพ่อแก้วให้บูชา
    1,500 บาทครับ
     
  15. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343


    https://palungjit.org/threads/ประวัติและวัตถุมงคลต่างๆๆ-หลวงพ่อใหญ่-วัดไทรงาม.543248/

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    หลวงพ่อแป้น ครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ลูกศิษย์ลูกหาท่าน มากมาย ครับ
    ล็อกเก็ตหลวงพ่อแป้นวัดไทรงามให้บูชา
    150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  16. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343
    เหรียญหลวงปู่ทวด วัดโคกทราย พัทลุง
    แจกกฐิน พระผงเตารีดหลวงปู่ทวดวัดคลองท่อมจังหวัดกระบี่ ให้บูชา ๒ องค์ 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
     
  17. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343

    หลวงพ่อเม้ย วัดลาดเมธังกร ถือเป็นอีกหนึ่งพระเถระยุค ๒๕๐๐ ที่โด่งดังมากในพื้นที่จังหวัดราชบุรี พระเครื่องของท่านมีประสบการณ์มากมาย แก่ผู้ที่ห้อยบูชา เรื่องเหนียวนี่รับรองได้เพราะคนพื้นที่และระแวกใกล้เคียงโดนกันมาเยอะ
    หลวงพ่อเม้ย ท่านเป็นคนราชบุรีมาแต่กำเนิด มีชื่อว่า เม้ย นามสกุล พระสุทธพันธุ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๒ ณ ตำบลคลองลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการบันทึกชื่อของโยมบิดาและมารดาไว้ ต่อมาโยมบิดาและโยมมารดาได้ย้ายถิ่นฐานมาทำมาหากินที่บ้านโพหัก อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี
    ในสมัยเด็กหลวงพ่อเม้ย ได้มีโอกาสมาศึกษาเล่าเรียนที่วัดบพิตรภิมุข กรุงเทพมหานครฯ โดยอาศัยอยู่ดับญาติที่ฝั่งธนบุรี จนเมื่อจบการศึกษาจึงได้กลับไปอยู่บ้านเดิมที่ราชบุรี และได้ไปอยู่กับพระอาจารย์นุช วัดตรีญาติ ตำบลพงสวาย อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เพื่อเล่าเรียนเขียนอ่านภาษาบาลีเพิ่มเติม
    หลวงพ่อเม้ย ได้เรียนอ่านเขียนภาษาขอมและภาษาบาลีจนคล่องแคล้ว และได้บวชเป็นสามเณรที่วัดตรีญาติ อยู่หลายพรรษา จนอายุครบบวช จึงได้อุปสมบทที่วัดตรีญาติ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒ ได้รับฉายาว่า “มนฺตาสโย” โดยมี
    พระพุทะวิริยากร(จิตร) วัดสัตตนารถปริวัตร เป็นพระอุปฌาย์
    พระครูอุดมธีรคุณ(หลวงพ่อแดง) วัดศรีสุริยวงศ์ เป็นพระกรรมวาวาจารย์
    พระอาจารย์นุช วัดตรีญาติ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    หลังอุปสมบทท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดตรีญาติเรื่อยมา จนเมื่อพระอาจารย์เที่ยง เมธังกโร สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นที่บ้านลาด ตำบลสามเรือน จึงนิมนต์หลวงพ่อเม้ยมาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์นี้ด้วยกัน และจำพรรษาเรื่อยมาจนพระอาจารย์เที่ยงเดินธุดงค์และกลับไปมรณภาพที่เมืองมอญ
    หลังจากที่พระอาจารย์เที่ยง ได้ธุดงค์กลับไป ทางวัดได้แต่งตั้งให้ท่านอาจารย์แย้ม ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสรักษาการณ์อยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วท่านอาจารย์แย้มก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดไสค้าน จังหวัดเพชรบุรี จนมรณภาพ

    วัตถุมงคลของท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่
    https://www.pra-maeklong.com/2020/08/watladmatangkorn.html

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อเม้ยให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ


     
  18. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343

    ประวัติหลวงพ่ออุทัยตาทิพย์ หรือพระครูสังฆรักษ์อุทัย ปภงฺกโร วัดศรีมฤคทายวัน (วัดเกาะตาพุด) อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เดิมชื่อ อุทัย ดอกเกตุ เกิดที่ ต.บ้านใหม่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี บิดาชื่อ นายทัพ มารดาชื่อ นางแสง อาชีพทำนา มีลูกทั้งหมด 6 คน หลวงพ่ออุทัย เป็นบุตรคนที่ 2 ปัจจุบัน พี่น้องเสียชีวิตหมด เมื่ออายุได้ 6 ขวบ เกิดเป็นโรคขึ้นที่ตาเรียกว่า ตาเกล็ดกระดี่ พิษของโรคทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้าง แต่ยังพอมองเห็นแสงเดือน แสงไฟฟ้าแลบบ้าง ไม่ได้เรียนหนังสือ

    ต่อมา โยมพ่อได้พา ด.ช.อุทัย ไปฝากไว้กับหลวงพ่อแทน ธมฺมโชติ เจ้าอาวาสวัดธรรมเสน และหลวงพ่อแทน เอามาฝากไว้ที่สำนักสงฆ์เกาะตาพุด เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฟุ้ง อยู่ 1 ปี พออายุครบบวช หลวงพ่อแทน ได้ให้ไปบวชที่วัดธรรมเสน ในปี 2497 และกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเกาะตาพุด เพราะหลวงพ่อแทน เห็นว่าถ้าอยู่ที่วัดนี้อาจจมน้ำตายได้ เพราะรอบๆ วัดเต็มไปด้วยน้ำ การเดินทางต้องใช้เรือพายตลอด ซึ่งพระอุทัย ตาบอดทั้ง 2 ข้าง ส่วนการเรียนหนังสือใช้วิธีต่อเอาจากพระด้วยกัน ช่วงแรกเป็นสำนักสงฆ์เกาะตาพุด ต่อมา เปลี่ยนเป็นวัดศรีมฤคทายวัน เมื่อปี 2506 ส่วนชื่อวัดเกาะตาพุด เป็นชื่อวัดที่ชาวบ้านเรียกกัน

    หลวงพ่ออุทัย ประพรมน้ำมนต์ในโบสถ์มีลูกศิษย์ที่เคารพนับถือไปหาทุกวัน ทั้งคนใน จ.ราชบุรีและต่างจังหวัด รวมถึงคนกรุงเทพฯ มากมาย เว้นเฉพาะวันพระเท่านั้นที่จะหยุดไม่พรมน้ำมนต์ให้ใคร นอกจากนี้ ยังมีเหรียญ และพระเครื่อง บูชาโดยนำเงินที่ได้ไปสร้างสาธารณประโยชน์ให้แก่สังคม รวมทั้งนำไปช่วยเหลือองค์การการกุศล และช่วยเหลือทหาร และ ตชด.ตามชายแดน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลรูปภาพที่มาอย่างสูงครับ
    รูปและผ้าขอดจีวร หลวงพ่ออุทัย ให้บูชา 150 บาท ค่าจัดส่งด่วน30 บาทครับ
    แจกทหารครับ
    (ปิดรายการ)
     
  19. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,782
    ค่าพลัง:
    +21,343

    หลวงปู่ชอบ วัดเขารังเสือ เป็นพระสุปฏิปัณโณในแผ่นดินรัชกาลที่๙ ของในหลวงพระภูมิพล ท่านเป็นพระสหายธรรมรุ่นพี่ที่สนิทใกล้ชิดกับองค์สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชเจ้าในรัชกาลปัจจุบัน หลวงปู่ชอบ วัดเขารังเสือ หลวงปู่เป็นพระธุดงค์ตลอดในระยะเวลา33ปี มาสิ้นสุดการธุดงค์ที่เขารังเสือ ท่านเป็นพระลูกศิษย์ที่ไม่เผยชื่อของหลวงปู่

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลรูปภาพที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญจับหัวเสือหลวงปู่ชอบวัดเขารังเสือให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
     
  20. shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,981
    ค่าพลัง:
    +6,889
    ขอจองครับ
     

แชร์หน้านี้