พระพรหมผู้ัสร้างโลกในศาสนาฮินดู เป็นใครในศาสนาพุทธ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย you da one, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. you da one

    you da one Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +72
    ในทางศาสนาพุทธ ก็มีกล่าวถึง พระพรหม ในหลายแง่

    โดยทั่วไป ก็เป็นเทพชั้นหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ในสังสารวัฏ ที่เป็นเพื่อนเวียน

    ว่ายตายเกิด ไม่ได้เป็นผู้สร้างโลก

    หรือจะพระพุทธเจ้า กล่าวถึง ตัวเอง

    "เราเป็นบุตรเกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาค เกิดจาก พระธรรม พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็น ทายาทของพระธรรมดังนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า " ธรรมกาย" ก็ดี "พรหมกาย" ก็ดี "ธรรมภูต" ก็ดี "พรหมภูต" ก็ดีเป็นชื่อของพระตถาคต"

    ในทางมหายานมีการกล่าวถึง พระอาทิพุทธเจ้า ว่าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง

    เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม เป็นพรหมภูตที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึง

    มีอีกชื่อรู้จักกันว่า พระวิสุทธิพุทธรังษี องค์นี้จะใช่ พระพรหมผู้สร้างโลกใน

    ศาสนาฮินดูใช่หรือไม่
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    พระพรหมตามหลักศาสนาฮินดู ก็ตรงกับ อวิชชา ในศาสนาพุทธไงครับ

    เพราะอวิชชาจึงเกิดภพ เพราะภพจึงเกิดชาติ เพราะชาติจึงเกิดการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย
     
  3. Artorius

    Artorius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +313
    เกรงว่าท่าน Phanudet กล่าวเช่นนี้จะเป็นผลดีต่อความรู้สึกศาสนาพราหมณ์นะครับ
    เข้าใจว่ากำลังจะบอกว่าในทางศาสนาพราหมณ์กล่าวว่าพระพรหมคือผู้สร้างทุกอย่าง
    ท่านจึงเอาหลักปฏิจสมุปบาทที่ว่าเพราะอวิชาเกิด จึงเกิดวิญญาณ...ภพ ชาติ ชรา มรณะ
    แล้วเอามาจับเข้าคู่กันเอง จริงๆแล้วคนละเรื่องกันครับ พระพรหมก็คือพระพรหมครับ ในทางพระพุทธศาสนาคือมนุษย์ที่บำเพ็ญเข้าขั้น แต่ก็ยังไม่ถึงกับอรหันต์ จึงไปเกิดเป็นพรหมมีชีวิตยืนยาวจนคิดว่าตัวเองเป็นอมตะ และเป็นผู้อยู่เหนือทุกสิ่งหลุดพ้นแล้ว แต่อวิชาหมายถึงความไม่รู้ มันคนละเรื่องกัน
     
  4. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    การมองว่าศาสนาของตนเองดี แล้วดูถูกศาสนาคนอื่นยังห่างไกลมากจากความจริงมากครับ อวิชชาไม่ใช่ไม่รู้แต่รู้ไม่ถึงหรือรู้ไม่มากพอต่างหากครับ เอาเป็นว่าชาติต่อไปถ้าได้น้อยกว่าพรหมก็อย่าไปดูถูกเขาเลยครับ คุณหยุดมีคู่ผัวเมียได้หรือยัง ถ้ายังก็ต่ำกว่าพรหมนะครับ จริงอยู่พรหมบางองค์ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่พรหมที่เป็นพระอนาคามีก็มีมากมายครับ
     
  5. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    พระพรหม นี่ก็ง่าย คนที่ทรงฌานสมาบัติ แล้วเข้าฌานตายไปเป็นพรหมหมด อายุนี่ยาวนานจริงเป็นพรหม ดูอย่างผกาพรหม เกิดเป็นพรหม แล้วจุติเป็นพรหมอีก(จุตินี่คือ ย้ายภพภูมิ) ไปเป็นพรหมชั้นอื่นอีก จนสุดท้ายเข้าใจว่าเราคืออมตะไม่มีวันตาย พระพุทธเจ้าทรงเห็นเลยมาแข่งฤทธิเล่นซ่อนหากัน พอสุดท้ายพระพุทธเจ้าไปทรมาร(คือทําให้ลดมานะทิฐิกิเลสลง จะได้ฟังธรรมบรรลุได้) พระพรหมนั้นฟังที เป็นพระอริยเจ้าเลย

    สรุปง่ายพระพรหมคติพุทธ(จริงๆศาสนาพุทธคือศาสนาของความจริง)พระพรหมคติพุทธก็คือ เทวดา อยู่ในพรหมโลก เกิดจากตอนมีชีวิตอยู่สร้างฌานสมาบัติแล้วเข้าฌานก่อนจะตาย แล้วอีกอัน ก็คือพรหมนี่ก็คือพ่อแม่ พระพุทธเจ้าบอกเลย พ่อแม่เหมือนพรหมของบุตร คือพรหมวิหาร4
     
  6. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ผมเข้าใจว่า จขกท เขากล่าวถึงพระพรหมในทัศนะของศาสนาพราหมณ์ล้วนๆ ไม่ได้เอาแนวคิดของพรหมในแบบของศาสนาพุทธเข้ามาประกอบกันเลย....

    ผมจึงกล่าวถึงพรหมในลักษณะของพราหมณ์ มาเทียบกับของพุทธ โดยไม่มีทัศนะแนวคิดในเรื่องไตรภูมิของศาสนาพุทธเข้ามาเกี่ยวข้องครับ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2013
  7. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ทั้งนี้มีบทความทางวิชาการที่น่าศึกษาที่มีท่านผู้รู้ได้ศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกันในลักษณะนี้มาแล้ว มาศึกษากันครับ....

    บางส่วนจากบทความทางวิชาการ โดย พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี นธ.เอก. ป.ธ.๘ , พธ.บ.(บาฬีพุทธศาสตร์) , พธ.ม.(วิปัสสนา).
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2013
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    พระพุทธเจ้าไม่ตอบเรื่อง “สร้างโลก” เพราะไม่มีความรู้..??

    พระพุทธเจ้าไม่ตอบเรื่อง “สร้างโลก” เพราะไม่มีความรู้..??

    ตอบว่า..หลังจากตรัสรู้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้พระนามใหม่ อีกพระนามหนึ่งว่า“พระสัพพัญญู” แปลว่า ทรงรู้เรื่องทั้งปวง คือ รู้หมดทุกอย่าง ด้วยความที่พระองค์รู้ทุกอย่างนี่เอง ทำให้พระองค์ประมวลความรู้ทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วมีพระดำริว่า ถ้าหากทรงสอนทั้งหมด หรือบอกทั้งหมดที่รู้ จะก่อให้เกิดโทษ เกิดหายนะแก่มวลสรรพสัตว์เสียมากกว่า พระองค์จึงเลือกที่จะสอนเฉพาะเรื่องที่เป็นไปเพื่อดับทุกข์ คล้ายโศกเพียงเท่านั้น ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ หน้า ๖๑๓ ดังนี้

    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวันเขตกรุงโกสัมพี ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคทรงหยิบใบประดู่ลาย ๒-๓ใบขึ้นมา แล้วรับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ใบประดู่ลาย๒-๓ใบที่เราหยิบขึ้นมากับใบที่อยู่บนต้น อย่างไหนจะมากกว่ากัน”

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ใบที่อยู่บนต้นไม้นั้นแลมากกว่า ใบประดู่ลาย๒-๓ใบที่พระองค์ทรงหยิบขึ้นมามีเพียงเล็กน้อย พระพุทธเจ้าข้า”

    “ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้ว.. แต่มิได้บอกเธอนั้นมีมาก เพราะเหตุไรเราจึงมิได้บอก? เพราะสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่จุดเริ่มต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อดับ ไม่เป็นไปเพื่อสงบระงับไม่เป็นไปเพื่อรู้ยิ่ง ไม่เป็นไปเพื่อตรัสรู้ ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน เพราะเหตุนั้นเราจึงมิได้บอก

    สิ่งอะไรเล่าที่เราบอกแล้ว คือ เราบอกว่า‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’ เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนี้มีประโยชน์ เป็นจุดเริ่มต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพิ่อตรัสรู้ เพื่อนิพพานเพราะเหตุนั้นเราจึงบอก[1]



    --------------------------------------------------------------------------------


    [1] สังยุตตนิกาย สีสปาวนสูตร เล่มที่ ๑๙ ข้อ ๑๑๐๑ หน้า ๖๑๓
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2013
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่อง “พระเจ้า” และ “พระผู้สร้าง” ?

    ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่อง “พระเจ้า” และ “พระผู้สร้าง” ?

    พระพุทธเจ้าเปรียนเหมือนหมอผ่าตัดผู้ป่วยที่ถูกลูกศรปักอก หมอไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าคนยิงเป็นใคร ทำไมคนร้ายจึงยิง หมอทำหน้าที่เพียงเร่งผ่าตัดช่วยชีวิตให้เร็วที่สุด ....แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ยอมให้ผ่าตัด โดยตั้งเงื่อนไขว่า “ต้องหาคนยิงให้ได้ก่อน ..เขาหน้าตาเป็นอย่างไร? ผู้หญิงหรือผู้ชาย...ต้องให้เขาบอกเหตุผลที่ยิงให้ได้ก่อน...ผมจึงจะยอมให้หมอผ่าเอาลูกศรออก” ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็รับรองได้ว่า “ผู้ป่วยตายแหง๊แก๊ !???” ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฏกจูฬมาลุกยสูตร เล่ม ๑๓ ข้อ ๑๒๖ หน้า ๑๓๘ ดังนี้

    “หากมีใครกล่าวว่า ‘ตราบใดที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงตอบเราว่า ‘โลกเที่ยงหรือโลกไม่เที่ยง? ฯลฯ (..โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร )’ ตราบนั้นเราก็จักยังไม่ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระองค์ ต่อให้บุคคลนั้นสิ้นชีวิตไปตถาคตก็ไม่ตอบเรื่องนั้น เปรียบเหมือนบุรุษต้องลูกศรที่อาบยาพิษอย่างร้ายแรง มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของบุรุษนั้น พึงไปหาแพทย์ผู้ชำนาญในการผ่าตัดมารักษาบุรุษผู้ต้องลูกศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ตราบใดที่เรายังไม่รู้จักคนที่ยิงเรา เราก็จักไม่ให้ถอนลูกศรนี้ออกไป’ ฯลฯ

    บุรุษผู้ต้องลูกศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ตราบใดที่เรายังไม่รู้จักลูกธนูที่เขาใช้ยิง เราว่า เป็นลูกศรธรรมดา ลูกศรคม ลูกศรหัวเกาทัณฑ์ ลูกศรหัวโลหะ ลูกศรหัวเขี้ยวสัตว์ หรือลูกศรพิเศษ ตราบนั้นเราก็จักไม่ถอนลูกศรนี้ออกไป’ ต่อให้บุรุษนั้นตายไป เขาก็จะไม่รู้เรื่องนั้นเลย[1]

    “เราไม่ตอบปัญหาว่า ‘โลกเที่ยงหรือโลกไม่เที่ยง? ฯลฯ (..โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร )’ เราไม่ตอบเพราะเหตุไร? เราจึงไม่ตอบเพราะปัญหานั้นไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความคลายทุกข์ เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้และเพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่ตอบ ปัญหาอะไรเล่าที่เราตอบ คือปัญหาว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’ เราตอบเพราะเหตุไร? เราตอบเพราะปัญหานั้นมีประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็น ไปเพื่อความคลายทุกข์ เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงตอบ

    เพราะเหตุนั้นแล เธอจงจำปัญหาที่เราไม่ตอบว่าเป็นปัญหาที่เราไม่ตอบ และจงจำปัญหาที่เราตอบว่าเป็นปัญหาที่เราตอบเถิด”[2]



    --------------------------------------------------------------------------------




    [1] ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๒๖ /๑๓๘


    [2] ม.ม.(ไทย) จูฬมาลุกยสูตร เล่มที่ ๑๓ ข้อ ๑๒๘ หน้า๑๔๑
     
  10. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เปรียบเทียบศาสนา

    มีคำถามว่า...ทำไมศาสนาทั้งหลายสอนไม่เหมือนกัน มีความเชื่อไม่เหมือนกันและปฏิบัติไม่เหมือนกัน

    ที่จริงแล้วความจริงและความบริสุทธิ์สูงสุดมีเพียงหนึ่งเดียว แต่ที่ศาสนาทั้งหลายสอนต่างกัน เพราะศาสดาของแต่ละศาสนาเข้าถึงความจริงได้ไม่เท่ากัน ถ้าสมมติว่าความจริงสูงสุดคือช้าง ศาสดาที่จับถูกหางก็บอกว่า “หางนี่แหละคือช้าง” ศาสดาที่จับถูกงวงก็บอกว่า“งวงนี่แหละคือช้าง” ศาสดาที่จับถูกหูก็บอกว่า“หูนี่แหละคือช้าง” ศาสดาที่คลำทั่วทั้งตัวก็บอกว่า“ทั้งตัวนี่ แหละคือช้าง”[1]

    ถามว่า...คำสอนของศาสดาทั้งหมด กล่าวถูกต้องหรือไม่ ?

    ตอบ.. ศาสดาทุกท่านกล่าวถูกหมด ไม่มีใครกล่าวผิดแม้แต่ท่านเดียว เพราะหูก็คือช้าง งวงก็คือช้าง หางก็คือช้าง เพียงแต่ศาสดาบางท่านรู้บางส่วน แต่หลงเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตนรู้คือทั้งหมดของตัวช้าง



    วิเคราะห์ศาสนาอื่นด้วยหลักของพุทธศาสนา

    ศาสนาคริสต์สอนให้ฝังดิ่งศรัทธาลงในพระผู้เป็นเจ้า โดยปราศจากข้อ สงสัย สอนให้ทำความดีมีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น ปฏิบัติตามที่พระเจ้าปรารถนา เมื่อตายแล้วจะได้รับชีวิตนิรันดรในในดินแดนสวรรค์ของพระเจ้า

    พระเจ้าคือผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างและกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ฉะนั้นพระเจ้าของศาสนาคริสต์ ก็คือ สิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า “พระธรรม” หรือ “ธรรมชาติ” เพราะธรรมชาติ คือทุกสิ่งทุกอย่าง มีกฏเกณฑ์ในตัวเอง

    “ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และสัตว์” ฉะนั้น พระเจ้าก็คือสิ่งที่พุทธศาสนา เรียกว่า “อวิชชา(ความไม่รู้ความจริง)”นั่นเอง ..อวิชชาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ[2]
    “ผู้ที่ทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้นจึงจะได้ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า” ตรงกับหลักคำสอนของพุทธศาสนาว่า “ ผู้ที่ทำบุญกุศลไว้มาก ขณะที่ตายมีจิตผ่องใส เมื่อตายแล้วจะได้ไป เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์”

    ต่างกันแต่..พุทธศาสนาสอนต่อไปอีกว่า เมื่อเสวยผลบุญในสวรรค์หมดแล้วก็ต้องกลับมาเกิดเป็นคนอีก.....ซึ่งเรื่องนี้ศาสนาอื่น ๆ ยังรู้ไปไม่ถึง



    “จงเปิดใจรับการเข้ามาของพระเจ้า” ตรงกับ การเจริญอนุสสติกัมมัฏฐานในพุทธศาสนา ซึ่งสามารถทำผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงได้เพียงขั้นจตุตถฌานเท่านั้น เมื่อตายแล้ว จะได้ไปเกิดเพียงแค่รูปพรหมชั้น “อสัญญี”

    ถามว่า.. ทำไมศาสนาคริสต์สอนว่าการได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เป็นความสุขสูงสุดชั่วนิรันดรและสัตว์ที่ตกนรกก็ต้องตกไปชั่วนิรันดร์กาลเช่นกัน

    ตอบ เพราะท่านศาสดาสามารถระลึกชาติได้เพียงชาติเดียว จึงเข้าใจผิดว่า ชาติหน้ามีอยู่เพียงชาติเดียว ทำให้ท่านคิดว่าผู้ที่ทำความดีจะได้อยู่ในแดนสวรรค์ชั่วนิรันดร์ ผู้ที่ทำความชั่วก็ต้องตกนรกไปตลอดกาล แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่...

    พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก(4) บางชาติเกิดเป็นเทพ บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญ ทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น(5)

    เมื่อเรายังต้องเกิดอีก สิ่งที่จะตามมาด้วย คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์กายทุกข์ใจ ฉะนั้น วิธีที่จะรอดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์ทั้ง ปวงได้ ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ “การไม่เกิดอีก”

    เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ เจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ตัดกระแสธรรมชาติให้ขาดสะบั้นลงได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง กำจัดสาเหตุที่ก่อให้เกิดการถือกำเนิดในภพใหม่ เพราะเมื่อไม่เกิดอีก เราก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์กาย ทุกข์ใจอีกต่อไป

    สรุปว่า คำสอนของศาสนาคริสต์ที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ล นำผู้ปฏิบัติตามให้เข้าถึงได้เพียงรูปพรหมชั้น“อสัญญี”เท่านั้น



    วัฏจักร และ จุดจบของโลก ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา

    ขอตั้งสมมติฐานว่า “จุดจบของโลกอยู่ที่ ๖๐๐๐ ล้านปี และ จุดจบของโลก กับ จุดจบของสัตว์ที่มีวิญญาณครองต่างกัน” โดยมีเหตุผลและอรรถาธิบาย ยกหลักฐานจากพระคัมภีร์ มาประกอบดังนี้ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์บอกว่า โลกใบนี้เกิดมาแล้ว ประมาณ ๔๕๐๐ ล้านปี พระพุทธเจ้าตรัส ว่า ในภัทรกัปนี้ โลกใบนี้เคยมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแล้ว ๔ พระองค์ คือ ๑. พระกกุสันธะ ๒. พระโกนาคมนะ ๓. พระกัสสปะ ๔. พระโคดม (พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)[3] นั่นก็เท่ากับว่า ประมาณ ๑,๑๕๐ ล้านปีมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๑ พระองค์ หลังจากนั้นโลกจะล้าง เพราะน้ำท่วม,ไฟใหม้ (ภูเขาไฟระเบิด)เป็นยุค ๆ ไป[4] ขณะที่โลกถูกไฟไหม้ และน้ำท่วมนั้น มนุษย์ส่วนมากจะไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม(ไปอยู่กับพระเจ้า) เมื่อภูมิ อากาศและผืนดินอุบัติขึ้นใหม่ ก็จะกลับมาเกิดในโลกอีก[5]
    พระพุทธเจ้าตรัสบอกอีกว่า ในกัปของโลกนี้ จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเพียง 5 พระองค์[6] แล้วโลกก็จะแตกพินาศไป เพราะไฟ ( ดวงอาทิตย์เรียงกัน ๗ ดวง[7] )

    นั่นก็แสดงว่า อีกประมาณ ๑๕๐๐ ล้านปีข้างหน้าโลกจะแตกพินาศ หลังจากพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระศรีอริยเมตตรัย อุบัติแล้ว ๑๐๐๐ ล้านปี


    แต่สรรพสัตว์มิได้มีจุดจบอยู่แค่นั้น หลังจากโลกพินาศแล้ว สัตว์ส่วนมากจะไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม เมื่อโลกอุบัติขึ้นใหม่ ก็จะกลับมาเกิดเป็นสรรพสัตว์ในโลกอีก ดูลายระเอียดได้ใน อัคคัญญสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐



    โลกล้าง กับโลกแตกแตกต่างกัน

    อีกประมาณ ๕๐๐ ล้านปีโลกจะล้าง เพราะน้ำท่วม และไฟไหม้จนมนุษย์ตายหมดโลก ....แต่โลกยังไม่แตก หลังจากนั้น..ภูมิอากาศของโลกก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครับ ..มนุษย์ที่ตาย ไปเกิดในอาภัสสรพรหม..(ไปอยู่กับพระเจ้า..) ก็จะกลับมาเกิดในโลกอีกครั้ง..แล้วจะเข้าสู่ยุคอยู่พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ คือ พระศรีอริยเมตตรัย.... หลังจากยุคพระศรีอริยเมตตรัย..ประมาณ ๑๐๐๐ ปี โลกจึงจะแตก...
    เมื่อโลกแตก....ก็จะเกิดโลกดวงใหม่ต่อไปอีก....สรรพสัตว์ก็จะกลับมาเกิดในโลกดวงใหม่ต่อไปอีก... เป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด


    เมื่อธรรมชาติเป็นเช่นนี้ การได้ไปอยู่บนสรรค์กับพระเจ้า..ก็ยังมิใช่ที่ปลอดภัย...เพราะ..??? เพราะเมื่อหมดบุญแล้วก็ต้องกลับไปเกิดในอบายภูมิเป็นส่วนมา ปรากฏความในพระคัมภีร์ว่า

    ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้ปลายพระนขา(เล็บ)ช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ..“ภิกษุทั้งหลาย เธอเข้าใจความข้อนี้อย่างไร ฝุ่นที่เราใช้ปลายเล็บช้อนขึ้นมากับแผ่นดินใหญ่นี้อย่างไหนจะมากกว่ากัน
    ภิกษุทูลตอบว่า ....ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นที่ปลายพระนขามีเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว คำนวนไม่ได้ เทียบกัน ไม่ได้ หรือไม่ถึงส่วนเสี้ยว
    ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติเทวดามาเกิดในเทวดามีจำนวนน้อย ส่วนเทวดาที่เคลื่อนจากสวรรค์แล้วไปเกิดในนรก ไปเป็นเปรตมีจำนวนมากกว่า พวกเทพชั้น เวหัปผลาที่ไม่ได้สดับพุทธธรรมมีอายุประมาณ ๕๐๐ กัป เมื่อสิ้นอายุให้ระยะเวลาที่เป็นกำหนดอายุหมดไปแล้ว ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง[8]
    พระองค์ตรัสเปรียบเทียบให้พระภิกษุฟังว่า.... “ เมื่อพรหมเคลื่อนจากภพของตนแล้ว ที่จะได้กลับไปเกิดเป็นพรหมอีกหรือไปเกิดในภูมิที่ต่ำลงมามีจำนวนน้อยแต่เทวดาที่ต้องไปตกนรกมีจำนวนมาก... เทียบได้กับจำนวนฝุ่นที่ปลายเล็บกับผืนดินทั้งปฐพี ฉะนั้น”

    สรุปว่า ถ้ายังไม่บรรลุอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป โดยไม่ขึ้นกับศาสนา หรือศาสดาองค์ใด เพราะนี่คือกฎธรรมชาติ ถึงไม่มีใครเชื่อก็ยังคงเป็นอย่างนี้ เพราะนี้คือ กฎธรรมชาติ



    ศาสนาพุทธมิใช่ว่าปฏิเสธเรื่อง “พระเจ้า” แต่ไม่ให้ความสำคัญ และไม่ใส่ใจที่จะไปพึ่งพายึดถือ เพราะพระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า การได้เป็นเทพหรือการไปเกิดอยู่ในวิมานในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว....ก็ยังมิใช่สุขแท้สุขถาวร ที่ไม่ต้องกลับมาเป็นทุกข์อีก คือ แม้จะได้เกิดเป็นเทวดาแล้วก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตกนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็มีโอกาสที่จะตกนรกอีก เพราะคนที่เกิดมาแล้วไม่ทำบาปเลยไม่มี

    ศาสนาพุทธมุ่งศึกษาแต่ในประเด็นว่า ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นไปจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงได้ ไม่ต้องยอมสยบอยู่กับอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทรงค้นพบวิธีการนั้น นั่นก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่สามารถปฏิบัติให้เห็นผลได้จริงในชาติปัจจุบัน ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ด้วยตนเองในชาตินี้ ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน ซึ่งมีพระอริยเจ้าในพุทธศาสนาสามารถพิสูจน์ทราบจนเห็นประจักษ์ แล้วนำออกเผยแผ่ สืบทอดต่อ ๆ กันมาทุกยุคทุกสมัย จนถึงปัจจุบัน















    --------------------------------------------------------------------------------


    [1] คัมภีร์พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ หน้า๒๙๒)


    [2] จากหนังสือ ..ปัญหาเกี่ยวกับ พระผู้เป็นเจ้า กรรม อนัตตา โดย พุทธทาสภิกฺขุ


    [3] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๖. พุทธปกิณณกกัณฑ์ เล่มที่ ๓๓ ข้อ ๑ หน้า ๗๒๑


    [4] โลกเสื่อม มี ๓ อย่าง คือ (๑)อาโปสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะน้ำ) หมายถึงกัปที่เสื่อมเพราะน้ำนับแต่ชั้นสุภกิณหพรหมลงมา (๒)เตโชสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะไฟ) หมายถึงกัปที่ไฟไหม้ นับแต่ชั้นอาภัสสรพรหมลงมา (๓)วาโยสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะลม) หมายถึงกัปที่ลมพัดทำลาย นับแต่ชั้นเวหัปผลพรหมลงมา หรือหมายถึงช่วงระยะเวลาที่เปลวไฟดับจนถึงมหาเมฆที่ให้กัปพินาศ (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๑๕๖/๓๘๔, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/๑๕๖-๑๕๘/๔๒๑, วิสุทฺธิ. ๒/๔๐๖/๕๕)


    [5] ดูรายละเอียดได้ใน อัคคัญญสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ 10


    [6] ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๕ องค์ คือ พระกกุสันธ พุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคดมพุทธเจ้า พระเมตเตยยพุทธเจ้า (ขุ.อป.อ. ๒/๒๒๕/๓๓๐)


    [7] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต สัตตสุริยสูตร เล่มที่ ๒๓ ข้อ ๖๖ หน้า ๑๓๔


    [8] อ้างอิง....สํ.มหา.(ไทย) ๑๙/๑๑๗๘/๖๕๔ , องฺ.จตุ.(ไทย) ๒๑ /๑๙๓/๑๒๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2013
  11. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
  12. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    พี่น้องครับ พระพรหมสร้างโลก ก็คือ พ่อกับแม่ ที่สร้างเรามานี่แหละครับ
    อย่าคิดมากเดี๋ยวเป็นบ้า
     
  13. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ถกปัญหาธรรมเพื่อความรู้ ก็ดีครับ ไม่มีใครผิดใครถูก มันมีทั้งถูกและผิด ในตัวของมันครับ ว่าอย่างไหนผิดถูก มากมากกว่ากันครับ พระพุทธเจ้า ท่านสอนคุมหมดแล้วครับ ทุกระดับ ไม่มีอย่าไหน ที่ไม่สอน ทุกศาสนา เขามีควารู้แค่ไหน เขาสอนแค่นั้น ทุกศาสนา สอนให้เป็นคนดี สิ่งไหนดี เอาของเขามาได้ สิ่งไหน ไม่ดี ก็อย่าเอามา แค่ เกิดเป็นเทวดา ก็มีพระอริยเจ้า ตั้งแต่ พระโสดาบันถึง พระอนาคามี และพรหมทุกชั้น

    ผมไม่อธิบายละเอียด เพราว่า ทุกคน ถกกันขนาดนี้ ก็คงเข้าใจแล้วครับ แล้วความรู้ ทุก ๆท่าน ก็ไม่เท่ากันครับ เอาว่า พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เป็นพระอริยเจ้า สมัยพระพุทธองค์ พระอินทร์ ก็เช่นเดียวกัน ท่านเหล่านี้ หมดบุญ ก็ไป ที่สูงๆขึ้นไป จนถึงนิพพาน องค์ใหม่มาแทน ตำแหน่งพระอินทรื หรือตำแหน่งอื่นก็เหมือนกัน ศาสนาอื่น เขาอาจจะเรียก แบบอื่น หรือภาษาของเขา อาจจะเรียก คนละแบบเท่านั้นครับ และ ที่เขาสอนแค่นั้น ก็เขามีแค่นั้น รู้แค่นั้น พระพุทธเจ้า ถึง สอนไม่ให้ พกาพรหม มีทิฏฐิ ยังมีที่สูงกว่านั้น คือ พระนิพพาน และพระองค์ได้นำคำสอน มาสั่งสอน เวไนยสัตว์ ให้พ้นทุกข์ แดนที่ไม่มีการเคลื่อน ย้ายไปไหน เป็นแดนอัมตะ บรมสุข นั่นคือพระนิพพาน

    พระพุทธเจ้า เสด็จไปสอนใคร สำนักไหน ท่านไม่ได้ดูถูก ที่เขาทำอยู่ เพียงท่าน บอก มันยังดีไม่พอ ท่านจึงสอน แบบฉบับ ของท่าน ที่ท่านตรัสรู้มา อริยสัจ ๔ ทุกคนก็คงเข้าใจ ใครจะสร้างโลกก็เรื่องเขา แต่เรื่องของเรา คือนำคำสอนมาประพิฤปฏิบัติ ช่วยกันนำคำสอนของพระพุทธองค์ ให้ ท่านที่เข้าใจผิด ให้สูงยิ่งๆขึ้นไป ใครไม่เชื่อ ก้เรื่องของเขา พระพุทธองคื ยังไม่สามารถ นำคนไปนิพพานได้หมดฉันใด เราคงไม่มีความสามารถ เท่า ละอองธุรีพระบาทของพระองคื หรอกครับ
     
  14. you da one

    you da one Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +72
    พูดถึงเรื่อง พระพุทธเจ้าเปรียนเหมือนหมอผ่าตัดผู้ป่วยที่ถูกลูกศรปักอก

    เคยตั้งกระทู้นึงไว้ ใครคือผู้ยิงศร

    รายละเอียด

    "ศาสนาพุทธเถรวาท พระพุทธเจ้าตรัสบอกชัดเจนว่า พวกเราเหมือนโดนลูกศรปักอก ทำให้เกิดทุกข์ ต้องหาทางรักษาตัวให้หายทุกข์ ยังไม่ต้องไปสนใจว่าใครยิงลูกศรใส่เรา รักษาตัวให้หายก่อน เรื่องอื่นค่อยไปว่ากันทีหลังเมื่อเราดับทุกข์ได้แล้ว

    แต่ศาสนาพุทธมหายาน ปรมาจารย์และสาวกนิกายนี้ เป็นพวกมีความอยากรู้อยากเห็นมาก ถ้าพระพุทธเจ้าตอบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องผู้ที่ยิงศรใส่เขาไม่ได้ เขาก็ไม่ร่ำเรียนเพื่อดับทุกข์กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า จึงต้องตรัสบอกกับเขาถึงผู้ที่เป็นคนยิงศร ศาสนาพราหมณ์เขาเรียกผู้ยิงศรนั้นว่า พระเจ้า(พรหม) แต่พระพุทธเจ้าตรัสบอกกับเขาว่า ผู้ยิงศรคือ อาทิพุทธเจ้า หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า หรือพระธรรม และพระพุทธองค์เองก็เป็นอวตารที่ออกมาจากพระธรรม หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า

    หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธองค์นั่งเสวยวิมุตติสุข 49 วัน เรื่องที่เถรวาทเล่า เป็นข้อมูลที่ไม่ครบ (มีวาระซ่อนเร้น) จึงต้องไปหาอ่านในมหายานด้วย ผมจึงพบความจริงว่า ในขณะนั้น พระพุทธองค์ท่านได้สำแดงสัมโภคกาย เป็น องค์พระมหาไวโรจนะพุทธเจ้า ทำ พุทธกิจ สอนธรรมเหล่าพุทธะโพธิสัตว์ เรื่องนี้ในพระไตรปิฎกของเรา ไม่มีการเขียนรายละเอียดเลย แต่ปิฎกมหายาน เขาจารึกอยู่ใน อวตังสกสูตร

    นี่ก็คือพระพุทธเจ้าสอนทางมหายานละเอียดยิบ เรื่องอาทิพุทธเจ้า หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า หรือพระธรรม ได้อวตารลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า อย่างไรก็ตาม อาทิพุทธเจ้า หรือพระไวโรจนพุทธเจ้า หรือพระธรรม ท่านจะอวตารเป็นสัมโภคกายของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่เรียกว่า "ธยานิพุทธเจ้า"ก่อน แล้วค่อยให้ธยานิพุทธเจ้าอวตารลงมาสู่ร่างมนุษย์อีกที

    เมื่อมนุษย์คนใดได้บำเพ็ญบารมีถึงขั้น ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า โดยธยานิพุทธเจ้าจะอวตารลงมา เรียก พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ว่า "พระมานุสสีพุทธเจ้า หรือ นิรมาณกาย" เรื่องพวกนี้ต้องไปศึกษาจากปิฎกของฝ่ายมหายาน จึงจะรู้ความจริง"

    ตามการวิเคราะห์ของตัวเอง พระไวโรจนพุทธเจ้า เป็นสัมโภคกายหนึ่งของพระอาทิ

    พุทธเจ้า ซึ่งเสด็จลงมาประทับพระพุทธเจ้า

    เจาะลึกเรื่อง: พระพุทธเจ้าองค์แรก (สมเด็จองค์ปฐม) พร้อมหลักฐานอ้างอิง
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กล่าวถึง "สมเด็จองค์ปฐม" มีชื่อว่า พระพุทธสิกขี แต่ในคัมภีร์ปฐมมูล ที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงตรัสแสดงแก่ " พระอัญญาโกณฑัญญะ" พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า พระพุทธเจ้าองค์แรก ใน พระพุทธศาสนา ที่ตรัสรู้ก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงพระนามว่า "พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    ส่วนในศาสนาพุทธมหายานระบุว่า อาทิพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมบ้าง พระไวโรจนพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมบ้าง

    แล้วตกลงใครล่ะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐมกันแน่?.... เรื่องนี้ถ้าผมเงียบไว้ ไม่เปิดเผยก็คงไม่ได้แน่

    "สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้อยู่ในโลกธาตุใบนี้ อยู่ในโลกธาตุใบอื่น(โลกมนุษย์ใบอื่น)มีชื่อว่า พระพุทธสิกขี

    "สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นมนุษย์ และอยู่ในโลกธาตุ หรือโลกมนุษย์ ใบที่พวกเราอยู่นี้ มีชื่อว่า โคตมะพุทธเจ้า

    "สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นสัมโภคกาย กายทิพย์ที่เกิดจากพระธรรม(ธรรมกาย) พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในคัมภีร์มหายาน คือ พระไวโรจนพุทธเจ้า

    "สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นสัมโภคกาย กายทิพย์ที่เกิดจากพระธรรม(ธรรมกาย) พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฎกเถรวาท คือ พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะคณะสงฆถรวาทผู้เรืองอำนาจในอดีต โดนมารครอบงำ พวกมารจึงได้ตัดเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่ไม่ใช่มนุษย์ออกหมด

    "สมเด็จองค์ปฐม" ที่เป็นธรรมกายต้นกำเนิด หรือเป็นพุทธภาวะ คือ อาทิพุทธ องค์นี้ไม่ได้เป็นมนุษย์ และก็ไม่ได้เป็นสัมโภคกาย

    แล้วพระวิสุทธิพุทธรังษี พระบรมบิดาล่ะเป็นใคร ตอบ... ท่านก็คือ อาทิพุทธ น่ะซิ
     
  15. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ถ้าจะศึกษาฝ่ายเถรวาท กับฝ่ายมหายาน เอามาเทียบกันผมว่าลำบากนะครับ

    เพราะว่าไม่เหมือนกัน ขนาดเรื่องการแบ่งหมวดหมู่ยังไม่เหมือนกัน บางครั้งเรื่องราวที่ปรากฏในพระไตรมหายาน เป็นเรื่องที่แต่งกันขึ้นมาก็มี จึงมีการเรียกมหายานอีกอย่างว่า อาจาริยวาท อย่างนี้ก็มี ยกตัวอย่าง พระสูตรที่มีชื่อว่า ลังกาวตารสูตร เขาว่าพระพุทธเจ้าไปเทศน์ที่ลังกา เนื้อความคือทรงแนะนำให้กินเจ แต่ตามประวัติ พระพุทธเจ้าไม่เคยออกจากอินเดีย และ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงกล่าวห้ามกินเนื้อด้วย......

    พระไตรปิฏกมหายานเป็นพระไตรที่ฝ่ายเถรวาทเองไม่ยอมรับครับ.....แต่พระไตรฝ่ายเถรวาท เป็นพระไตรที่ฝ่ายมหายานเขายอมรับครับ......
     
  16. Starsophere

    Starsophere เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    168
    ค่าพลัง:
    +437
    คงต้องไปถามฝ่ายฤษีแล้ว ใช้สมาธิวิธีพิจารณาความเป็นพรหมจนไม่นิพพาน
     
  17. wainkam

    wainkam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2011
    โพสต์:
    757
    ค่าพลัง:
    +881
    อนุโมทาสาธุท่านทั้งหลายผู้น้อยได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
    ทุกศาสนาล้วนสอนให้เป็นคนดี อันที่สอนให้ไม่ดรไม่ใช้ศาสนา :))
    ส่วนเรื่องใครสร้างไม่สร้างอ่านไปอ่านมาชักงง ด้วยความรู้อันน้อยนิดรู้แต่เพียงว่า มีจิต กับมีวัตตะ วัตตะขับเคลื่อนด้วยกรรมอันมีจิตเป็นตัวกระทำ
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ใครจะสร้างกรรม ก็เชิญนะครับ ตามสบาย ของใครของมัน ใครจะไปนรกสวรรค์ไม่มีใครเขาห้าม ไม่มีใครอยากเป็นคนชั่ว ทุกคนต้องการเป็นคนดี ทุกคนล้วนมีปัญญา เอามันออกมาใช้ พิจรณา ให้ถ่องแท้ ในหลักของความเป็นจริง คำสอนของผู้มีกิเลส กับคำสอนของ ผู้ไม่มีเกส มันเดิน ขนาน คู่กันกันมา ฝ่ายดี กับฝ่ายชั่ว มันแยกกันไม่ออก ถ้าไม่ใช่ ปัญญา จริงๆ แยกแยะ มันมีหลาย ขั้น หลายชั้น จงดู พระพุทธเจ้า กับ พระเทวทัต พระพุทธเจ้า ไปนิพพาน พระเทวทัต ไปอเวจีมหานรก พระพุทธเจ้า มี บริวารมากมาย ส่วนพระเทวทัต มีบริวาร แค่หลักพัน มันมีมาตั้งแต่ ครั้ง พุทธกาลแล้วๆ มันก็จะมี คู่ กับโลกนี้ ไปอีก จนไม่มีที่สิ้น สุด


    ผมพูดมาหลายที่แล้ว หลายกระทู้แล้ว ว่า พ่อองค์เดียวกัน คำสอน เหมือนกัน พระพุทธเจ้า มี องค์เดียว ในยุคนี้ องค์นี้ เป็นองค์ที่ ๔ ของกัปนี้ กัปนี้ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว ถึง ๔ พระองค์ องค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคดม พระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครเอามาหมด ให้ถึงเรียนให้ จบก็เถอะ มันจำไม่หมดแน่นอน คำสอนอันเดียวกัน เพียงบางยุค บางสมัย ลูก ศิษย์ เลวๆ ที่นำคำสอน ของตัวเอง ที่สอนผิดๆ ตีความเอาเอง ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า จึงบิดเบือน คำสอน มาสอน ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พระอริยเจ้าทั้ง หลาย พระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย ที่มีกำลังมาก ท่านจะนำคำสอน ไปในทิศทางเดียวกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน


    ทุกอย่างพ่อองค์เดียวกันหมด กรุณาอ่านให้เข้าใจด้วยครับ ไม่ว่า นิกายใดๆ เมื่อเข้าถึงธรรมแล้ว ย่อมรู้เข้าใจ ว่า คือธรรม อันเดียวกัน ที่พ่อสอน ไม่มีเป็นอื่น พระพุทธเจ้าทั้ง หลาย ที่ตรัสรู้มาแล้ว ไม่รู้กี่ ล้านๆพระองค์ สอนเหมือนกันหมด ทุกพระองค์ สมเด็จองค์ ปฐม ชื่ออาจซ้ำกันได้ มีองค์ต้น ๑ องค์เท่านั้น ชื่อว่า สมเด็จพระสิขีทสพล ที่ ๑ สมเด็จองค์ปฐม ฝ่ายมหายานก็ดี ฝ่ายมหานิกายก็ดี นิกายใดๆก็ดี ถ้าทำถึงเข้าถึง ก็คือพ่อองค์เดียวกัน คือ พระสมณะโคดม พระพุทธเจ้า เป็น ๑ ไม่มี ๒ ภาษาพูด ภาษาต่างๆในโลก อาจเรียกชื่อไม่เหมือนกัน จะเรียกชื่อ ตามภาษาของๆตน จึงเป็นของไม่แปลก จะแปลกก็คำสอนผิดๆเท่านั้น ลูกพระตถาคต จะไม่สอนผิด ให้เป็นอย่างอื่น ส่วนคน ที่ปลอม เป็นลูกตถาคต นั่นแหละ เอาคำสอนของตถาคต ไปสอนผิด บิดเบือน ของจริง ให้เป็นของ ปลอม แล้วอ้างว่า เป็นของตถาคต

    พระพุทธศาสนา ทั้งมหานิกาย มหายาน ยังอยู่ในไทยครบครัน ท่านที่ทำถึง ณ ปัจจุบัน พระอริเจ้า ที่ทรง ธาตุขัน ที่มรณะไปแล้วไม่เน่าเปลื่อย ยังมีเยอะ ในไทย ไปพิสูตรกันได้ ในส่วนของ มหานิกาย ส่วนประเทศอื่นๆ ศาสนาพุทธ เกือบจะสลายตัวไป ประเทศไทย เรา ยังอยู่ครบ ให้ได้ สัมผัส ได้ทำบุญ ได้ศึกษา ได้ สั่งสอน กันมากมาย ในแต่ละสาย ของครูบาอาจารย์ องค์นั้นๆ คำสอนทุกอย่างยังอยู่ ครบบริบูรณ์ สมบูรณ์ ทุกอย่าง ใครเชื่อ ใครอยากไปกับพระพุทธจ้า ก็เชิญ นำคำสอน ของท่านไปประพิฤปฏิบัติ ตามคำสอน ของพระองค์ท่าน ถ้าใคร อยากไปอยู่ กับพระเทวทัต ก็เชิญตามสบาย ไม่มีห้าม พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนให้ใครไปนิพพานได้หมด อย่างดี ไปไม่ได้ ท่านก็สอน ไปสวรรค์ ก็ยังดี กว่าเกิดเป็นคน เกิดเป็นคน ก็ยังดี เกิดไปเป็น สัตว์นรก เปรต อสูรกาย เบามาหน่อย ก็ เกิดเป็นสัตว์เดรัชฉาน
     
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    คำสอนของครูบาอาจารย์แต่ละองค์ แต่ละสาย ย่อมมี ทั้งคนดีและคนชั่ว และ นำคำสอน ไปสอนผิดๆเยอะแยะไป เห็นความแตกต่าง ของครูบาอาจารย์ไปเลย กล้ากว่าว ว่ามีทุกสายแหละครับ แต่สาย ที่ค้าน คำสอน ของพระพุทธเจ้า ก็มีเยอะแยะ อาศัย ผ้าเหลือง ซึ่ง เป็นธงชัยของพระอรหันต์ ท่าน หากิน อยู่ในผ้าเหลือง ทำลาย พระธรรมวินัย ของพระพุทะเจ้า พวกนี้ ปัจจุบัน ก็มีเยอะแยะไป แต่พวกเรา เลือกไว้ ทำบุญเลือกได้ นิ้วไหนดีควร เอาไว้ นิ้วไหนร้าย ควรตัดออกไป ไม่ควรส่งเสริม มันเป็นธรรมดา พระเทวทัต ยังมีบริวาร แต่พระเทวทัต มีคติ แน่นอนแล้ว ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว สิ้นจาก พระศาสนานี้แล้ว ท่านจะมาตรัสรู เป็นพระปัจเจกะพุทธเจ้า ก่อนพระศรีอริเมตตรัย มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วเราเป็นใครล่ะ มีคติ แน่นอนแล้วหรือยัง
     
  20. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    ก่อนที่คุณจะพิจารณาเรื่องนี้คุณต้องศึกษาการเกิดหรือวิวัฒนาการจากศาสนาพรหมณ์มาเป็นฮินดูก่อน ตะก่อนตามหลักพรหมณ์ที่ดำเนินมาก่อนยุคพุทธกาลได้เข้าใจว่า พรหมเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่ง พระอินทร์เป็นเทวราชาเป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์กามาวจรทั้งหมด ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติแสดงพระสัจธรรม ชี้ให้เห็นความจริงว่า พรหมไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งแต่สรรพสิ่งเกิดมาเพราะอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ พรหมคือผู้ที่ทรงคุณธรรมทรงสมาบัติทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติตายแล้วจากความเป็นมนุษย์จึงไปเกิดเป็นพรหมมีทั้งหมด 16 เขตแดนตามแต่วาสนาบารมี ไม่ได้อยู่ดีๆก็เกิดขึ้นเองตามแบบของศาสนาพราหมณ์ที่เรียกว่า สยัมภู มีหัวหน้าพรหมคือท่านท้าวสหัมบดีพรหม พระอินทร์ก็เกิดจากผู้ทรงคุณธรรมสมัยเป็นมนุษย์มีคุณธรรมพิเสษ 7 อย่างตามพระสูตรที่ว่าด้วยเรื่องของพระอินทร์ หรือมาฆมานพ แล้วทั้งสองพระองค์ก็เป็นพระอริยะเจ้าตามพระสูตร กาลเวลาผ่านไป 600 ปีหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ศังกราจารย์ อาจารย์ของพวกพรหมณ์แปลงตัวมาบวชในพระพุทธศาสนาแล้วแอบคัดลอกพระสูตรหลักธรรมคัมภีร์ต่างๆออกไป จากนั้นก็ศึกไปเป็นพรหมณ์ตามเดิมและได้แต่ง คัมภีร์ขึ้นใหม่ชื่อคัมภีร์มหาปุราณะว่าด้วยเรื่องเทพเจ้าต่างๆ พระศิวะ พระนารายณ์ พระพิฆเนศและอื่นๆ ก็เกิดช่วงนี้แล้วก็เผยแพร่ออกไปโดยดัดแปลงจากพระไตรปิฎกของพุทธ อันนี้คือเรื่องจริงที่ไม่ค่อยมีคนกล่าวถึง...
     

แชร์หน้านี้

Loading...