ผ้ายันต์ธงชัยหลวงพ่อวัดดอนตัน จ. น่าน ปี ขนาดความกว้าง 14 ซม. ยาว 22 ซม. เมื่อเอ่ยชื่อ “หลวงพ่อวัดดอนตัน” อ. ท่าวังผา จ. น่าน คนทางเหนือย่อมรู้จักท่านดี เพราะเครื่องรางของขลัง,เหรียญ,ผ้ายันต์ ของท่านดังมาก มีอานุภาพปกป้องคุ้มภัย ให้โชคให้ลาภดีสารพัด แม้กระทั่ง “วิทยุปักกิ่ง จีนแดง” เมื่อได้รู้กิตติศัพท์อานุภาพเหรียญ,ผ้ายันต์ของหลวงพ่อวัดดอนตันเข้า ก็ได้นำไปกล่าวขวัญออกอากาศ ทั้งนี้เนื่องจากตอนที่พวกก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ทางชายแดน จ. น่าน ประมาณ 200 คน ได้บุกเข้าโจมตีหน่วยงานของบริษัท อิตาเลียนไทย ที่ ต. น้ำยาว อ. ทุ่งช้าง จ. น่าน เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2518 ได้ก่อความสูญเสียทั้งชีวิตร่างกายของเจ้าหน้าที่และคนงานตลอดจนเครื่องมือ เครื่องใช้และสิ่งก่อสร้างอย่างหนัก “แต่รถและคนที่มีเหรียญและผ้ายันต์ของหลวงพ่อวัดดอนตัน ปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายทั้งๆ ที่ถูกยิง ถูกจุดไฟเผาและถูกระเบิดขว้าง” ผ้ายันต์ธงชัยของหลวงพ่อวัดดอนตัน เมื่อทำเสร็จก็ได้นำขึ้นเครื่องบิน บ.ด.ท. ไปให้หลวงพ่อปลุกเสกที่วัดดอนตัน จ.น่าน แล้วจึงนำกลับมาเข้าพิธีพุทธาภิเษกในมงคลสมัยวิสาขฤกษ์ วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2518 เวลา 17.30 น ณ.พระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ พิธีพุทธาภิเษกในมงคลสมัยวิสาขฤกษ์ วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2518 เวลา 17.30 น ณ.พระอุโบสถวัดพระ เชตุพนฯ ตั้งแต่เย็นจนตลอดรุ่งเช้า พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ -พระพรหมคุณาภรณ์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค 9 วัดสระเกศ กทม. (ตำแหน่งในปัจจุบัน สมเด็จพุฒาจารย์ (เกี่ยว) วัดสะเกศ) -พระธรรมปิฎก เจ้าคณะภาค 13 วัดชนะสงคราม กทม. (ตำแหน่งในปัจจุปัน สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม) -พระธรรมคุณาภรณ์ ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม กทม. -พระเทพโสภณ เจ้าคณะภาค 14 วัดพระเชตุพน กทม. -พระราชปัญญาสุธี เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี วัดไชยชุมพลชนะสงคราม จ.กาญจนบุรี -พระราชวิมลมุนี เจ้าคณะอำเภอลาดกระบัง วัดพระเชตุพน กทม. -พระทักษิณคณิสสร เจ้าคณะตำบลพระบรมมหาราชวัง วัดพระเชตุพน กทม. -พระวิเชียรธรรมคุณาธาร เลขานุการเจ้าคณะภาด 14 วัดพระเชตุพน กทม. -พระอุดรคณารักษ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน กทม. โดยมีพระอาจารย์ที่เข้าร่วมพิธีฯ ครั้งสำคัญนี้ มีหลายสิบองค์ อาทิเช่น -ลป.โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม. -ลพ.เมี้ยน วัดพระเชตุพน กทม. -ลพ.ถิร วัดป่าเลไลย์ จ.สุพรรณบุรี -พระอาจารย์วีระ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม. -ลพ.แพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี -ลพ.เหมือน วัดกำแพง จ.ชลบุรี -ลพ.หอม วัดซากหมาก จ.ระยอง -ลพ.ทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง จ.สมุทรสาคร -ลพ.อุตตะมะ วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี -ลพ.แช่ม วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม -ลพ.จรัญ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี -ลพ.จ้วน วัดพระพุทธบาทเขารูปช้าง จ.เพชรบุรี -ลพ.มงคล วัดศรีมงคล (ก๋ง) อ.ท่าวังผา จ.น่าน -พระอาจารย์พยนต์ วัดเกตุมดีศรีวราราม จ.สมุทรสาคร -พระอาจารย์นคร วัดเขาอิตอสุคโต จ.ประจวบครีขันธ์ -พระอาจารย์กัสสปมุณี สำนักปิปพลิวนาราม ระยอง ฯลฯ และที่สำคัญ...ยังมีพระอาจารย์ที่ลงแผ่นเงิน แผ่นทองแดง และนั่งปรกให้พิเศษอีก อาทิเช่น -ลพ.เงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม -ลพ.วัดดอนตัน วัดดอนตัน จ.น่าน -ลพ.เส่ง วัดกัลยานิมิตร กทม. -พระอาจารย์ประเสริฐ วัดพระเชตุพน กทม. -พระอาจารย์มหาบรรจง วัดพระเชตุพน กทม. -พระอาจารย์เขียน วัดพระเชตุพน กทม. -ลพ.จันทร์ วัดมฤคทายวัน จ.เพชรบุรี -ลพ.แผ่ว วัดโตนดหลวง จ.เพชรบุรี -ลพ.อมฤต วัดเวฬุวราราม จ.เพชรบุรี ประวัติหลวงพ่อวัดดอนตัน พระครูเนกขัมมาภินันท์ หรือ หลวงพ่อวัดดอนตัน มีนามเดิมว่า บุญทา ใจเฉลียว เกิดวันที่ 5 มกราคม 2439 ณ บ้านดอนตัน ต. ศรีภูมิ อ. ท่าวังผา จ. น่าน ในวัยเยาว์ท่านได้เล่าเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พออายุได้ 14 ปี บิดานำไปฝากเป็นศิษย์วัดดอนตัน เพื่อเรียนหนังสือ อักษรธรรมล้านนา และสามารถศึกษาได้อย่างแตกฉาน เมื่ออายุครบ 16 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 ณ วัดดอนตัน โดย พระเตวินต๊ะ วัดสบหนอง ต. ตาลชุม อ. ท่าวังผา เป็นพระผู้ให้บรรพชา และเปลียนชื่อให้ใหม่ว่า สามเณรสุทธวงศ์ ใจเฉลียว เป็นสามเณรจนอายุครบบวช เมื่ออายุครบ 21 ปี ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดดอนตัน ต. ตาลชุม อ. ท่าวังผา จ. น่าน โดยพระเตวินต๊ะ วัดสบหนอง ต. ตาลชุม อ. ท่าวังผา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอุปทะ วัดตาลชุม ต. ตาลชุม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระพรมทพ วัดอัมพวัน ต. ตาลชุม อ. ท่าวังผา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2460 เมื่ออุปสมบทแล้วมีชื่อว่า พระสุทธวงศ์ ฉายา พุทธวังโส ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยและพระปริยัติธรรมจนได้วุฒินักธรรมโท และสนใจศึกษา ฝึกฝน ด้านพุทธาคม เวทมนต์คาถาและโหราศาสตร์อีกด้วย ต่อมาท่านได้อธิษฐาน สมาทานออกธุดงค์ เพื่อฝึกจิต สมาธิ ยกระดับภูมิจิตภูมิธรรม พบปะแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชา ฝากตัวเป็นศิษย์กับครูอาจารย์หลายสำนัก ทั้งบรรพชิตและฆราวาส ท่านเคยผ่าน พิธีอาบแช่น้ำว่าน (หรือ“อาบขาง”ในภาษาล้านนา ) มากถึง 7 หม้อ 7 อาจารย์ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาด้านคงกระพันชาตรี ที่สืบทอดมีมาแต่โบราณกาล ท่านได้มุ่งมั่นฝึกฝน จนแตกฉานในด้าน เวท พุทธาคม อักขระเลขยันต์ การลงตระกรุดแบบต่างๆ ซึ่งท่านได้นำมาประยุกต์ใช้ และสงเคราะห์แก่สาธุชนทั่วไป ด้วยเมตตาธรรมเป็นที่ตั้ง ท่านปกครองวัดดอนตันนานถึง 61 ปี ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นพระอุปัชฌาย์ จนถึงสมณศักดิ์สุดท้ายเป็น พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท (รูปแรกของคณะสงฆ์ จ. น่าน) ราชทินนามที่ “ พระครูเนกขัมมาภินันท์ ” ท่านมรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อ 17 ธันวาคม พ.ศ.2523 เวลา 20.25 น. ณ วัดดอนตัน สิริรวมอายุได้ 85 ปี 65 พรรษา “ เมื่อใจมีศรัทธา ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นเสมอ “
ประวัติและวัตถุมงคล “หลวงพ่อวัดดอนตัน”
พระครูเนกขัมมาภินันท์ (สุทธวงศ์ พุทธวํโส)
อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนตัน อ. ท่าวังผา จ. น่าน โดยสังเขป
พระครูเนกขัมมาภินันท์ หรือ หลวงพ่อวัดดอนตัน มีนามเดิมว่า บุญทา ใจเฉลียว เกิดวันที่ 5 มกราคม 2439 ณ.บ้านดอนตัน ต.ศรีภูมิ อ.ท่าวังผา จ.น่าน ในวัยเยาว์ท่านได้เล่าเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พออายุได้ 14 ปี บิดานำไปฝากเป็นศิษย์วัดดอนตัน เพื่อเรียนหนังสือ อักษรธรรมล้านนา และสามารถศึกษาได้อย่างแตกฉาน เมื่ออายุครบ16 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 ณ.วัดดอนตัน โดย พระเตวินต๊ะ วัดสบหนอง ต.ตาลชุม อ.ท่าวังผา เป็นพระผู้ให้บรรพชา และเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า สามเณร สุทธวงศ์ ใจเฉลียว เป็นสามเณรจนอายุครบบวชเมื่ออายุครบ 21 ปี ได้อุปสมบท ณ.พัทธสีมาวัดดอนตัน ต.ตาลชุม อ.ท่าวังผา จ.น่าน โดยพระเตวินต๊ะ วัดสบหนอง ต.ตาลชุม อ.ท่าวังผา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอุปทะ วัดตาลชุม ต.ตาลชุม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระพรมทพ วัดอัมพวัน ต.ตาลชุม อ.ท่าวังผา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2460 เมื่ออุปสมบทแล้วมีชื่อว่า พระสุทธวงศ์ ฉายา พุทธวํโส ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยและพระปริยัติธรรมจนได้วุฒินักธรรมโทและสนใจศึกษา ฝึกฝน ด้านพุทธาคม เวทมนต์คาถาและโหราศาสตร์อีกด้วย
ต่อมาท่านได้อธิษฐาน สมาทานออกธุดงค์ เพื่อฝึกจิต สมาธิ ยกระดับภูมิจิตภูมิธรรม พบปะแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชา ฝากตัวเป็นศิษย์กับครูอาจารย์หลายสำนัก ทั้งบรรพชิตและฆราวาส ท่านเคยผ่าน พิธีอาบแช่น้ำว่าน (หรือ“อาบขาง” ในภาษาล้านนา ) มากถึง 7 หม้อ 7 อาจารย์ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาด้าน คงกระพันชาตรี ที่สืบทอดมีมาแต่โบราณกาล ท่านได้มุ่งมั่นฝึกฝน จนแตกฉานในด้าน เวท พุทธาคม อักขระเลขยันต์ การลงตระกรุดแบบต่างๆ ซึ่งท่านได้นำมาประยุกต์ใช้ และสงเคราะห์แก่สาธุชนทั่วไป ด้วยเมตตาธรรมเป็นที่ตั้งท่านปกครองวัดดอนตันนานถึง 61 ปี ได้รับการแต่งตั้ง เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นพระอุปัชฌาย์ จนถึงสมณศักดิ์สุดท้ายเป็น พระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท (รูปแรกของ คณะสงฆ์ จ. น่าน) ราชทินนามที่ “พระครูเนกขัมมาภินันท์”ท่านมรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อ 17 ธันวาคม พ.ศ.2523 เวลา 20.25 น. ณ.วัดดอนตัน สิริรวมอายุได้ 85 ปี 65 พรรษา วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดดอนตัน เป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชน ทั้งใกล้ไกลรวมถึง ในแวดวงนักนิยมสะสม พระเครื่องฯ ที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางได้แก่ “เหรียญรูปเหมือน หลวงพ่อวัดดอนตัน รุ่นแรก ปี 2514” เฉพาะพระเครื่องฯ ที่จัดสร้างรวมแล้วเกือบ 30 รุ่น (หรือ ประมาณ 45 เนื้อหา / ทรงพิมพ์ ) นอกจากนี้ยังมีพวกเครื่องราง เช่น ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ แบบต่างๆ ตระกรุดโทน,ตระกรุดร้อยแปด, ตระกรุดพับ, ตระกรุดชุด ชนิดต่างๆ ลูกอมเทียนชัยฯเป็นต้น.
พระเครื่อง และเครื่องรางฯ ของหลวงพ่อวัดดอนตัน มีรูปแบบที่งดงาม คงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเชิงพุทธศิลป์ และมีพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์มากด้วยประสบการณ์จนเป็นที่เล่าขานกันสืบมา แต่ด้วยวัตถุมงคลบางชนิด มีจำนวนการสร้างน้อย ณ.ปัจจุบันจึงหาดูได้ยาก. ด้วยเมตตาธรรม บารมีธรรม วัตถุมงคลต่างๆ ที่หลวงพ่อวัดดอนตันได้เมตตาปลุกเสก ล้วนแล้วได้รับความนิยมเลื่อมใสศรัทธา ก็ด้วยบารมี เกียรติคุณทั้งด้านวัตรปฏิบัติตลอดจนเวทวิทยาพุทธาคม ของ “หลวงพ่อวัดดอนตัน” สมกับเป็น “สุดยอดพระเถราจารย์ของเมืองน่านและล้านนาตะวันออก” โดยแท้.......
ประสบการณ์ของเหรียญรุ่นนี้ ขอยกมาเพียงบางส่วนนะครับ
เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๙ ในวโรกาศ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสองพระองค์ เสด็จฯตรวจราชขการณ กองทหารชายแดน พัน ร.๒๑๓ อ.ปัว จ.น่าน(ปัจจุบันรื้อเป็นเทศบาลตำบลปัว)หลวงพ่อวัดดอนตันได้จัดเหรียญและผ้ายันต์ รุ่นพญาครุฑแบกงาช้างดำ (งาช้าดำก็เรียก) ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย(เสียดายที่ไม่มีรูปภาพบันทึกไว้)จำนวน ๓๐๐ ชุด เพื่อพระราชทานแก่ ทหารตำรวจ เหรียญและผ้ายันต์หลวงพ่อวัดดอนตันรุ่นงาช้าดำนี้ ได้ให้ประสปการณ์คุ้มครองศาสนิกชน จนเป็นข่าวมากมาย ขอยกตัวอย่าง จากหนังสืออนุสรณ์ของหลวงพ่อวัดดอนตัน ที่ท่านเจ้าคุณอมรสุธีจัดทำ ไว้ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๔ ก.ย. ๒๕๑๘ นายวัลภ สิงหลชาติ เจ้าหน้าที่บรัษัทเอสดฝซ่ ได้ขับรถไปตรวจงานที่ จ.ตากพอไปถึงทางแยก กำแพงเพชร-ตาก ถูกคนร้ายดักยิงด้วยปืนลูกซอง กระสุนถูกหน้ารถแตกพรุนไปหมด จนเจาะถึงเบาะคนนั่งด้านใน นายวัลลภรีบสังให้น้องชายขับรถหนี จนถึงด่านตรวจ ตำรวจตรวจสภาพแล้ถามว่า ตายกี่คน? พอนายวัลลภบอกไม่มีใครเป็นอะไรเลย ตำรวจก็งง นายวัลลภจึงชี้มือไปที่ผ้ายันต์และหรียนของหลวงพ่อวัดดอนตัน และวบอกว่า หลวงพ่อได้ช่วยชีวิตผมไว้
๒. ๑๕ ธ ค ๒๕๑๘ พ.ท. เทิอดศักดิ์ มารมณ์ ได้ไปปฏิบัติงานประจำจังหวัดน่าน ได้นั่งเฮลิค๊อปเตอร์ลงบริเวณ ลานวัด สปัน อ.ปัว(ปัจจบันอ.บ่อเกลือ) พอไม่ทันไรก็ถูกพวกก่อการร้าย คอมมิวนิสต์ ถล่มหนัก ทั้งตัวท่านลูกน้อง ชาวบ้าน พระเณร หลวงหลุมหลบภัยด้วยกัน เสียงระเบิด RPG ถล่มกุฎิพระพังยับเยิน แล้วระเบิดลูกหนึ่งตกมาที่ปากหลุมพอดี(โอ้...พระเจ้า)และปรากฏว่าระเบิดไม่แตก(ไม่งั้นไม่รู้แน่ชิ้นส่วนไหนของพระชิ้นไหนทหาร) ประกฏว่าเสมียน๑ในผู้หลบในหลุม มีเหรียญและผ้ายันต์ของหลวงพ่อวัดดอนตันรุ่นงาช้างดำติดตัว (บารมีของหลวงพ่อคุ้มทั่วถึงแท้ แม้คนที่ไม่พกมา)
๓. นายสิบท่านหนึ่ง(สงวนนาม) ได้ไปปฏิบัติงาน ณ กองทหารชายแดน พัน ร.๒๑๓ อ.ปัว จ.น่าน ถูกคนร้ายยึงด้วยปืนลูกโม่ ตรงขมับล้มคว่ำ เมื่อเอามือจับดูก ปรากฏว่า แค่เลือดออกซิบๆ และลูกปืนไม่เข้า ทหารท่านผู้นี้ได้พกเหรียญและผ้ายันต์ของหลวงพ่อวัดดอนตันรุ่นงาช้างดำติดตัว หลังจากเหตุการณ์นี้ ท่านได้สะสมวัตถุงมงคลหลวงพ่อไว้มากกว่า ๓๐ ชุด
๔. มรว.ชนม์สวัสด์ ชมพูนุท ได้ทำบุญและรับเหรียญหลวงพ่อ วันที่ ๓๐ พค.๒๕๑๘ รุ่งขึ้น ๑.มิย. ได้พาพรรคพวกไปจันทบุรี ก่อนเดินทางได้แบ่งเหรียญให้พวกผู้หญิงเก็บติดตัว ส่วนท่านเก็บผ้ายัต์ไว้ ขณะที่รถวิ่งในอ.บ้านใหม่ รถได้เสียหลักวิงตกถนนคล่อมต้นยางขาดไปหลายต้น รถเสียหาย คนเห้นสภาพรถแล้วตอ้งบอกว่า ไม่รอดแน่ แต่อัศจรรย์ไม่มีใครตายเลย มรว.ชนม์สวัสดิ์กล่าวว่า ผมเชื่อว่าเพราะอานุภาพเหรียญและผ้ายันต์หลวงพ่อวัดดอนตัน
๕. รายนี้พิเรนหน่อยๆ เป็นคนขายปลาหมึกย่าง ได้ฟังลูกค้าที่กำลังนั่งกินปลาหมึกคุยกัน บอกว่า ผ้ายันต์ของหลวงพ่อวัดดอนตันกันไฟได้ เลยขอมาแล้ว วางบนเตาปิ้งปลาหมึก ทันใดนั้นเอง ไฟในเตาทำเสียงดังฟุ๊บและดับหมดทั้งเตา....!
ประสบการณ์สงครามร่มเกล้า ผู้บังคับหมู่ในสงครามร่มเกล้า เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นแกบอกว่า ช่วงตอนปะทะ กันเป็นเนินมีลูกหมู่แกคนหนึ่งขึ้นไปบนเนิน โดนสอยกลิ้งตกลงมา แกบอกลูกหมู่อีกคน ไปดู เพราะโดนเข้าหน้าผาก ตายแน่ ๆ พอไปพลิกดู หัวโนเท่าลุกมะนาว โดนจัง ๆ กลางหน้าผาก นึกว่าตายแล้ว เลยไปดูที่คอว่าแขวนอะไร เหรียญรุ่นแรกวัดดอนตัน ตอนนั้นองค์หลักพันต้น ๆ เดียวนี้ สวยพอประมาณ หมื่นอัพ
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
ผ้ายันต์ธงชัยหลวงพ่อวัดดอนตัน
เก่าเก็บ ในอดีต แจกทหาร
ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท
ครับ(ปิดรายการ)
พระพุทธชินราชปิดทองลพช่อพระผงรูปเหมือนลป.เหลืองวัดกระดึงทอง
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.
หน้า 113 ของ 113
-
-
ประวัติความเป็นมาของพระสยามเทวาธิราช เนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยมีเหตุการณ์ร้ายเกือบจะต้องเสียอิสรภาพ
มาหลายครั้ง แต่ก็มีเหตุให้รอดพ้นได้เสมอน่าจะมีเทพยดาคอยพิทักษ์
รักษาอยู่ สมควรสร้างรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นไว้สักการบูชา จึงทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ นายช่างเอก ทรงปั้นรูปเทพยดาที่มี
ลักษณะเป็นเทวรูปหล่อยืน หล่อด้วยทองคำทั้งพระองค์ งดงามได้สัดส่วน สูง
ประมาณ 8 นิ้ว ทรงเครื่องกษัตริยาธิราช พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์ พระหัตถ์
ซ้ายยกขึ้นจีบพระดรรชนีเสมอพระอุระ องค์พระสยามเทวาธิราชสถิตในเรือนแก้ว
ทำด้วยไม้จันทน์แบบวิมานเก๋งจีน มีคำจารึกที่ผนังเบื้องหลังเป็นอักษรจีน
แปลความว่า เทพยดาผู้สิงสถิตรักษาสยามประเทศ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัวทรงถวายพระนามว่า พระสยามเทวาธิราช ปัจจุบันประดิษฐาน ณ
พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง
พระสยามเทวาธิราชเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป
หากจะกล่าวสาบานในศาล จะต้องสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมือง 3 อย่างคือ
ศาลหลักเมือง พระแก้วมรกต และพระสยามเทวาธิราช
เหรียญหล่อ
พระสยามเทวาธิราช มูลนิธิกัลยาณวิสุทธิ์ พิธีฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี
เหรียญพระสยามเทวาธิราช สร้างโดยมูลนิธิกัลยาวิสุทธิ์ พิธีฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕
รายนามพระเกจิร่วมปลุกเศกที่อยู่ในบันทึกมี 33 รูป
ดังนี้
1. สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถระ) ทรงอธิษฐานแผ่พระบารมี
2. หลวงปู่แก้ววัดช่องลม สมุทรสาคร
3. หลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์
4. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังวิเวการาม กาญจนบุรี
5. หลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม จันทบุรี
6. หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม นครปฐม
7. หลวงพ่อทูรย์ วัดโพธินิมิต กรุงเทพฯ
8. หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง สมุทรสาคร
9. หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม สุรินทร์
10. ครูบาขันแก้ว วัดป่ายาง ลำพูน
11. ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี เชียงใหม่
12. หลวงพ่อถิร วัดป่าฯ สุพรรณบุรี
13. หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่
14. หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี
15. หลวงพ่อฮวดวัดห้วยถนนใต้ นครสวรรค์
16. หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม สิงห์บุรี
17. หลวงพ่อบุญ วัดวังมะนาว ราชบุรี
18. หลวงปู่เพิ่ม วัดสรรเพชร นครปฐม
19. หลวงปู่เข็ม วัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ
20. หลวงพ่อสุจินดา วัดม่วงชุม เชียงราย
21. หลวงพ่อวาง วัดเทพนิมิต สุรินทร์
22. หลวงพ่อบุญ วัดใหม่ทรายทอง ปราจีนบุรี
23. หลวงพ่อจรัล วัดฤาษีนุจรัสวงษาราม สระบุรี
24. หลวงพ่อผ่องวัดจักรวรรดิ กรุงเทพฯ
25. หลวงพ่อพริ้ง วัดนากันตา สุรินทร์
26. หลวงพ่อลั้งวัดอัมพาราม ชลบุรี
27. หลวงปู่สำลี วัดซับบอน สระบุรี
28. ครูบาอินถาวัดเมืองลัง เชียงใหม่
29. พระอาจารย์สงัด วัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ
30. พระครูปัญญาธุรทร วัดเขาชายธง นครสวรรค์
31. พระอาจารย์ไฮ้ วัดป่าสัก สระบุรี
32. หลวงพ่อพิมพ์ วัดวิหารทอง ชัยนาท
33. พระราชญาณดิลกวัดธรรมิการาม ประจวบคีรีขันธ์
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
.
ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
กลุ่มคุณหมอทั้งหลายที่ในโรงพยาบาลสวนดอก (เชียงใหม่) ต่างยกย่องกล่าวขานถึงหลวงพ่อว่าน่าอัศจรรย์แท้ !! เพราะเขาถ่าย x-ray ท่านออกมาปรากฏว่ากระดูกข้างในเป็นแก้วทั้งหมด หมอทั้งหลายในโรงพยาบาลสวนดอก เลยเคารพท่าน
กราบไหว้พระอริยเจ้าองค์นี้ และหลวงตามหาบัวก็ยืนยันในความดีและคุณธรรมของท่านพระอาจารย์ประสิทธิ์
พระปิดตามหาลาภ ฝังปฐวีธาตุ หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ปี 2554
หลวงพ่ออธิฐานจิต 1 ไตรมาส เข้าพิธีอธิษฐานจิตโดยองค์หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร ณ วัดศรีมุงเมือง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ มหาวิหารไทลื้อปุญญมากโร สภาพสวยสมบูรณ์
พระปิดตาพิมพ์ใหญ่ ด้านหลัง บรรจุปฐวีธาตุ สภาพสวยทุกองค์
คุณวิเศษ ของปฐวีธาตุ นั้น ครูบาอาจารย์ ท่านกล่าวไว้ว่า ครอบจักรวาล
มวลสารพระปิดตา ฝังปฐวีธาตุ หลวงพ่อประสิทธิ์
1. ปฐวีธาตุ หลวงพ่อประสิทธิ์
2. ผงพุทธคุณ พระธาตุเจดีย์นพีสีพิศาลมงคล - ผงเบ้าหลอมพระเจ้าเพชรเงินล้าน
3. ผงธูปพุทธคุณ เสาร์ 5
4. ผงดอกไม้ บูชาพระเจ้าเพชรเงินล้าน ตั้งแต่ปี2550-2552 หลวงพ่อประสิทธิ์ เสกทุกวาระที่มีการปลุกเสกพระ
- งานเสกมวลสารพระเจ้าเพชรศรีมุงเมือง รุ่นแรก และหล่อพระเจ้าเพชรเงินล้าน วิสาขะ 2550
- งานเสกพระเจ้าเพชรศรีมุงเมืองรุ่นแรก และเสกพระเจ้าเพชรเงินล้าน 5 ธ.ค. 2550
- งานเสกรูปเหมือนลอยองค์ หลวงพ่อประสิทธิ์ 16 ม.ค. 2552
- งานกฐินมหากุศล และเสกประเจ้าเพชรเงินล้าน รุ่นแรก 22 ต.ค. 2552
- งานเสกพระสิวลี (ต่ออายุ) 15 เม.ย.2553
- งานบรรจุหัวใจ พระสิวลี (ต่ออายุ) 25 ก.ค. 2553 (เป็นองค์พระแล้ว)
5. ทรายเสก เสาร์ 5
6. กล้วยน้ำหว้า เสาร์ 5
7. ข้าวก้นบาตร เสาร์ 5
8. น้ำมนต์ เสาร์ 5
logo
หน้าแรก
ทั่วไป
ทั่วไป
'หลวงพ่อประสิทธิ์'ละสังขารแล้ว สิริอายุ75ปี
31 ก.ค. 2016 เวลา 21:39 น.
'หลวงพ่อประสิทธิ์'ละสังขารแล้ว สิริอายุ75ปี
"หลวงพ่อประสิทธิ์" เจ้าอาวาสวัดป่าหมู่ใหม่ ละสังขารแล้ว สิริอายุ 75 ปี คณะศิษยานุศิษย์ นำสรีระสังขารหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดถ้ำสหายฯ
วันนี้ (31 ก.ค.) เมื่อเวลา 14.23 น. หลวงพ่อหลวงปู่ประสิทธิ์ ปุญญมากโร เจ้าอาวาสวัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ได้ละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว สิริอายุ 75 ปี 4 เดือน 26 วัน 55 พรรษา (พรรษานี้เป็นพรรษาที่ 56) ซึ่งหลวงพ่อได้เข้ามารับการรักษาอาการอาพาธเป็นระยะหนึ่งที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น และขณะนี้คณะศิษยานุศิษย์ ได้นำร่างหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดถ้ำสหายธรรมจันทร์นิมิต อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี แล้ว ท่านเป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตาและเป็นพระที่ชาวเชียงใหม่ให้ความเคารพนับถืออย่างมาก โดยเฉพาะสายวัดป่า
หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร เกิดที่บ้านหนองบัวบาน ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2484 บิดาชื่อ พ่อสนธิ์ มารดาชื่อแม่มุก นามสกุล สิมมะลี มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 7 คน เป็นชาย และหญิง 4 คน
ชีวิตในวัยเด็ก หลวงพ่อประสิทธิ์ เท่ากับเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว เมื่อมีอายุ 7 ปี ได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล บ้านหนองบัวบาน ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ สอบไล่ได้ตำแหน่งที่ 1 หรือ ที่ 2 เป็นประจำทุกปี ตลอดจนจบชั้นประถมปีที่ 4 พอจบชั้นประถมแล้ว ครูใหญ่ชื่อ “ปรีชา” ให้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมพิทยานุกุล ในตัวจังหวัดอุดรธานี หลวงพ่อได้ถามบิดาว่า “จะเรียนดีหรือไม่เรียนดี” และเมื่อบิดาบอกว่ “ทำไร่ทำนาดีกว่า สบายใจดี” หลวงพ่อฯ จึงตัดสินใจช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา
หลวงพ่อประสิทธิ์ เมื่อเยาว์วัย จึงเป็นแรงสำคัญช่วยงานบิดา มารดา อย่างเต็มความสามารถ ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือชั้นประถม จนเช้าสู่วัยหนุ่มอายุ 19 ปี จึงเกิดความคิดอยากเข้าวัด เนื่องจากวัดป่านิโครธาราม ของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ อยู่ใกล้บ้าน ท่านได้ทบทวนชีวิตฆราวาส ผ่านมาได้ช่วยบิดามารดามา จนเป็นที่พอใจแล้ว ฐานะทางครอบครัวก็พอดีๆ ไม่รวยและไม่จน และพี่น้องต่างก็โต พอจะช่วยงานของครอบครัว พ่อแม่ได้แล้ว หลวงพ่อท่านคิดว่า ได้เกิดมาใช้หนี้บุญคุณพ่อแม่พอที่ได้อาศัย ท่านมาเกิดในชาตินี้แล้ว จึงคิดมองหา เส้นทางจิต ที่คิด ไม่อยากกลับมาเกิดเป็นหนี้ภพชาติอีกต่อไป โดยเกิดศรัทธาปัญญาในทางพระพุทธศาสนา คิดจะบวชไม่มีกำหนดตลอดชีวิต หวังอยู่ปฏิบัติ ตนเพื่อหลุดพ้น ความเกิดจนถึงอมตะพระนิพพาน
ต่อมาครอบครัว ได้พาหลวงพ่อเข้าไปฝากตัวกับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2503 เวลา 19.00 น. และได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2503 ณ วัดโพธสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นเมื่ออายุครบ 20 ปี พ.ศ.2504 จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี ในวันที่ 1 มิถุนายน โดยมีพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูอุดรคณานุศาสน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลวงพ่อประสิทธิ์ ได้บวชและอยู่ศึกษาอบรมธรรมะกับหลวงปู่อ่ออน ญาณสิริ วัดนิโครธาราม ตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ภายหลังหลวงปู่อ่อน มรณภาพลง ท่านได้ไปปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
จากนั้นได้เดินธุดงค์ขึ้นสู่ภาคเหนือ มาอยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่แหวน สุจิณฺโร วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ แล้วเดินธุดงค์ แสวงหาความวิเวก จนกระทั่งมาพบสถานที่ป่าสงบเงียบ หลังที่ทำการชลประทานแม่แตง จึงได้ขออนุญาตจัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์ และยกฐานะเป็นวัดตามลำดับ
วัดป่าหมู่ใหม่ เป็นวัดป่าสายธรรมยุตที่สงบเงียบ หลวงพ่อประสิทธิ์ ได้อนุรักษ์สภาพพื้นที่ป่าเดิม พร้อมกับปลูกป่าเสริมเพิ่มต้นไม้ตลอดเวลา ทำให้วัดมีต้นไม้ใหญ่สมบูรณ์ร่มรื่น
การที่วัดป่าหมู่ใหม่มีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง แต่ละกฏิไม่มีการสะสมสิ่งของ ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าใดๆ เป็นวัดปฏิบัติธรรม จึงเป็นวัดป่าศักดิ์สิทธิ์ และมีเสน่ห์สำหรับผู้เข้าไปสัมผัส ทั้งนี้เพื่อ มรรค ผล นิพพาน อย่างแท้จริงนั่นเอง
"กรรมใหญ่ของหลวงพ่อมันมาถึงแล้ว กรรมหมู่ใหญ่ครั้งนี้มันระดมต่อแถว พากันมาทวงคืนกับเราทั้งหมด ชาติสุดท้ายแล้วอะไรๆ มันก็พากันมาทวงคืนเอาทั้งหมด มันเป็นกรรมในอดีตชาติของเราทั้งหมด กรรมที่เราเคยเบียดเบียนมนุษย์ กรรมที่เราเคยเบียดเบียนสัตว์ กรรมที่เราเคยเบียดเบียน ทุบตีวัวนี้มันจะเข้ามาสนองก่อนเพื่อน กรรมนี้จะเป็นตัวเปิดประตู ให้กรรมอื่นๆ ในอดีตตามมา.." หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
(ที่มา : ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน , ศูนย์เผยแผ่ธรรมะออนไลน์กัณฑกะ)
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
-
ประวัติ หลวงปู่เหลือง ฉนฺทาคโม
วัดกระดึงทอง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
พระดีที่ควรกราบไหว้รูปหนึ่งในเวลานี้คือ หลวงปู่เหลือง ฉนฺทาคโม หรือ พระราชปัญญาวิสารัท เจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต)....
ท่านเป็นศิษย์อาวุโสรูปหนึ่งของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร และพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) วัดรังสีปาลิวัน จ.กาฬสินธุ์
หลวงปู่เหลืองมีนามเดิมว่า เหลือง ทรงแก้ว ท่านเกิดในยามใกล้รุ่งของวันอังคารที่ 1 พ.ค. ปี พ.ศ. 2470 ที่บ้านนาตรัง หมู่ที่ 2 ต.เขวาสินรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นบุตรคนที่ 6 ในครอบครัวของนายเที่ยง ทรงแก้ว และนางเบียน ทองเชิด
หลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขณะอายุได้ 15 ปี แล้วออกจาริกเดินตามหลังพระพี่ชายไปตอนอายุ 16 ปี หลังจากนั้นชีวิตของหลวงปู่เหลืองก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ด.ช.เหลือง ออกจากบ้านเดินตาม พระครูสมุห์ฉัตร ธมฺมปาโล และพระอาจารย์สมุห์เสร็จ ญาณวุฑโฒ 2 ภิกษุศิษย์หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “มือขวา” ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไปใน พ.ศ. 2486 จากสุรินทร์ไปถึงนครราชสีมา ไปฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี ระยอง
ด้วยอายุเพียงเท่านั้นแต่ท่านมีบุญได้พบครูบาอาจารย์แล้วหลายรูป อาทิ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระผู้สรุปอริยสัจ 4 จากการปฏิบัติไว้ชนิดคนสามัญขนานนามท่านว่า เจ้าแห่งจิต ท่านพ่อลี ธมฺมธโร แห่งวัดป่าคลองกุ้ง ฯลฯ รวมทั้งได้มอบกายถวายใจเป็นศิษย์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ท่านเล่าถึงวันคืนในอดีตครั้งไปกราบท่านพ่อลีที่วัดป่าคลองกุ้งว่า “ตอนนั้นวัดป่าคลองกุ้งยังเป็นป่าอยู่ ต้นไม้ใหญ่ๆ มีศาลทำบุญไม้หนึ่งหลังและกุฏิกรรมฐานเล็กๆ ตั้งอยู่ตามโคนต้นไม้ เงียบสงัด พระฉันแล้วก็เข้ากรรมฐานหมด ไม่เพ่นพ่านรุ่งเรืองเหมือนสมัยนี้ ไปพักอยู่กับท่าน 1 เดือน ...บอกกับท่านว่าจะขอธุดงค์ต่อไปทางบ่อไพลิน เข้าสู่แดนเขมร ท่านพ่อลีก็ห้าม ตอนนั้นปลายสงครามโลก เหตุการณ์ยังไม่ปกติ เกรงจะเป็นอันตราย แต่พระอาจารย์ฉัตรพี่ชายก็จะขอไปให้ได้ก็ต้องยอมผ่อนผันให้ไป ท่านพ่อลีเมตตาอาตมามากเพราะยังเป็นเด็ก กลัวจะลำบาก ท่านเลยบอกว่า จะให้คาถากันตัว สั่งให้ท่องไว้ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวเสือช้างอะไรทั้งสิ้น
คาถาของท่านยังจำได้จนถึงบัดนี้ว่า นะบัง โมบัง พุทโธบังหน้า ธัมโมบังหลัง”
สภาพบ้านเมืองในเวลานั้นช่างต่างจากเวลานี้นัก
ท่านว่าใช้เวลาเดิน 3 คืนบุกป่าฝ่าดงจากจันทบุรีถึงทะลุถึงบ่อไพลิน ตามรายทางนั้น “เห็นพลอยเกลื่อนกลาด แต่ไม่ได้เก็บเพราะอาจารย์ฉัตรท่านว่า เรามาธุดงค์แสวงบุญไม่ได้มาหาเพชรพลอย”
การธุดงค์จบลงด้วยการย้อนกลับมาที่ วัดป่าศรัทธารวม จ.นครราชสีมา
ณ พ.ศ.นั้น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร กำลังเป็นสดมภ์หลักในการบุกเบิกขยายวงพระกรรมฐานโดยใช้ จ.นครราชสีมา เป็นฐาน โดยท่านเองรับเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้อยู่ถึง 12 ปีคือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2475-2487 ช่วงเวลานั้น วัดป่าศรัทธารวมซึ่งเป็นป่าช้าเก่าเป็นศูนย์รวมของพระกรรมฐานจำนวนมากไม่ว่า พระมหาปิ่น ปัญญาพโล หลวงปู่เทกส์ เทสรังสี หลวงปู่ภุมมี ฐิตธัมโม หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ฯลฯ หลวงปู่เหลืองเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้น ขณะอายุ 17 ปี หรือราวช่วง พ.ศ. 2486-2487 โดยบรรพชาเป็นสามเณรที่ วัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา มีพระโพธิวงศาจารย์ (สังข์ทอง นาควโร) หรือเจ้าคุณโพธิฯ เป็นพระอุปัชฌาย์
ลุถึง พ.ศ. 2490 จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วัดป่าศรัทธารวมนั่นเอง
“ไทยดำ” ผู้เคยเขียนประวัติหลวงปู่เหลืองลงในนิตยสารโลกทิพย์ ฉบับเดือน ธ.ค. 2530 เคยเรียนถามท่านว่า ระหว่างอยู่กับหลวงปู่ฝั้นนั้นหลวงปู่ฝั้นสอนอย่างไรบ้าง หลวงปู่เหลืองตอบทีเดียวเป็นความ 4 ประโยค แต่ครอบคลุมพระไตรปิฎกหมด 90 เล่ม ความนั้นมีว่า
ท่านสอนง่ายๆ ว่า “ประสูติ หมายถึง ลมเข้า
พระวินัย หมายถึง ลมออก
ปรมัตถ์ หมายถึง ผู้รู้ลมเข้าลมออก
เป็นอันจบพระไตรปิฎก นอกนั้นเป็นแต่กิ่งก้าน”
การได้อยู่ที่ จ.นครราชสีมา ณ พ.ศ.นั้นเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ได้พบและศึกษากับพ่อแม่ครูอาจารย์จำนวนมาก ซึ่งท่านเหล่านั้นกระจายกันอยู่หลายแห่ง อาทิ วัดป่าสาลวัน วัดสุทธจินดา วัดสว่างอารมณ์ ฯลฯ แต่รูปที่อัธยาศัยต้องกันมากที่สุดและจะมีผลต่อชีวิตของท่านในกาลข้างหน้าคือ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล)
เวลานั้น พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) รับภาระการบริหารคณะสงฆ์เป็นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ฝ่ายธรรมยุต ท่าน|ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาจนทำให้การของคณะสงฆ์เป็นปึกแผ่น แต่ยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ ก็เหนี่ยวรั้งท่านให้ห่างหายจากการปฏิบัติได้ไม่ กลับเตือนตนอยู่ตลอดเวลาว่า “การคลุกคลีกับหมู่คณะมากเกินไปทำให้เป็นผู้ประมาท...”
เพราะตระหนักเช่นนั้นจึงมักจะปลีกตัวออกวิเวกเป็นครั้งคราวอยู่เสมอ ก่อนจะตัดสินใจทิ้งพัดยศออกปฏิบัติอย่างเดียวใน พ.ศ. 2498 นั้น ครั้งหนึ่งท่านชวนหลวงปู่เหลือง ซึ่งยังเป็นพระหนุ่มอยู่ในขณะนั้นออกไปปฏิบัติอยู่ในป่า จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน
ท่านทั้งสองอยู่ด้วยกันสองคนหนึ่งพรรษา จากนั้นพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) ก็ต้องกลับมารรับภาระทางการคณะสงฆ์ต่อ ขณะที่หลวงปู่เหลืองได้พำนักและภาวนาอยู่ในสำนักสงฆ์กลางป่า อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ต่อเนื่องไปอีกถึง 7 ปี ต่อมาป่าแห่งนั้นได้รับการพัฒนากลายเป็น วัดป่ารังสีปาลิวัน ซึ่งเป็นถิ่นพำนักของพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) จนท่านละสังขาร เมื่อ พ.ศ. 2543
ตลอดเวลาที่อยู่นั้น พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) ก็จะแวะเวียนมาภาวนาอยู่ ณ สำนักสงฆ์แห่งนั้นและช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ให้ชาวบ้านได้อาศัยแหล่งน้ำ ฯลฯ มาตลอด โดยมีหลวงปู่เหลืองเป็นผู้ช่วย แม้แต่เมื่อตัดสินใจออกจาริกอีกครั้งหลังอยู่ที่นั่นมาแล้ว 7 ปีก็เป็นการออกจาริกโดยมีพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) เป็นผู้นำ
ท่านทั้งสองจาริกในถิ่นต่างๆ มีประสบการณ์ในภาวนาอันพิสดารหลายอย่างด้วยกัน โดยเฉพาะที่ถ้ำขันตี ซึ่งอยู่ในเทือกเขาภูพาน ท่านว่า การภาวนา ณ สถานที่แห่งนั้นทำให้มีความก้าวหน้าอย่างมาก ขณะเดียวกันท่านทั้งสองก็ผ่านเป็นผ่านตายมาพร้อมกันด้วย กล่าวคือ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) เป็นไข้ป่าเกือบจะเสียชีวิต ก็ได้หลวงปู่เหลืองดูแล พอหลวงปู่เหลืองเองล้มเจ็บเพราะไข้ป่าก็ได้ “เจ้าคุณอาจารย์” เป็นคนรักษา
ท่านกล่าวถึงความทุกข์ยากในเวลานั้นว่า
“แต่ก่อนที่อาตมาจะเป็นไข้นั้น ท่านเจ้าคุณเป็นมาก่อน เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เรียกว่าเป็นมากทีเดียว จนเพ้อ ยาก็ไม่มีรักษา ท่านมีสติสั่งว่า ถ้าท่านตายก็ให้เผาที่นี่ แล้วกวาดขี้เถ้าทิ้งลงเขาไป อย่าเอาไปลำบากเพราะไม่ใช่ตัวตนอะไรของเรา อีกอย่างหนึ่งแม้ท่านจะลาออกจากตำแหน่งแล้วแต่พัดยศอยู่ที่กุฏิ ยังไม่ได้ส่งคืน ขอให้จัดการเอาไปคืนด้วยซึ่งทำให้ประทับใจในตัวท่านมาก ท่านไม่เคยแสดงความพรั่นพรึงต่อการมรณะเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องตาย...ถึงตาอาตมาบ้าง...ท่านเจ้าคุณก็ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เราฝากผีฝากไข้กันมาอย่างนี้”
เพราะฝากผีฝากไข้ ผ่านเป็นผ่านตายร่วมกันมา จึงไม่แปลกที่ต่อมาเมื่อ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) อาพาธ เนื่องจาก|เส้นเลือดฝอยในสมองแตกในปี 2527 ทำให้อวัยวะเบื้องขวาเป็นอัมพาต ใครนิมนต์ไปปฏิบัติอุปัฏฐากที่ไหนท่านก็ไม่ไป แต่เมื่อหลวงปู่เหลืองนิมนต์ ท่านรับ
ทุกวันนี้หลวงปู่เหลือง รับภาระการบริหารคณะสงฆ์เป็นเจ้าเข้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต) ภาระนี้เกิดมาต่อเนื่องตั้งแต่กึ่งศตวรรษก่อนโน้นเพราะปี พ.ศ. 2499 ท่านเป็นเป็นพระครูสมุห์ ฐานานุกรมของท่านเจ้าคุณพระอริยเวที พร้อมกับเจ้าอาวาสวัดรังสีปาลิวัน
ปี พ.ศ. 2515 เป็นเจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง และเป็นเจ้าคณะตำบล วัดแห่งนี้เดิมเป็นวัดที่พระอาจารย์สมุห์เสร็จ พี่ชายเป็นคนบุกเบิกสร้างไว้ เมื่อท่านออกวิเวกเสียชีวิตเพราะไข้ป่า พระสมุห์ฉัตร พี่ชายคนรองก็เป็นคนมาดูแลแทน
ปี พ.ศ. 2519 ได้รับตราตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง พ.ศ. 2523 เป็นเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต)
หลวงปู่เหลืองกล่าวว่า พระพุทธองค์มิได้สอนให้เชื่อพระองค์เพียงอย่างเดียว หากแต่ให้ชื่อว่า “จิต คือ พุทธะ” ถ้าเราดำเนินตามที่พระองค์ทรงสอน จิตของเราก็เป็นพุทธะอย่างพระพุทธองค์ได้ ถ้าจะให้ถึงซึ่งพุทธะก็เหมือนกับเอาแก่ของต้นไม้ใหญ่ ถ้าจะเอาแก่นต้องใช้ขวานถากเปลือก ถากกระพี้ออก จิตคนเรานั้นเป็นพุทธะอยู่แล้ว หากแต่เราปล่อยให้กิเลสตัณหาห่อหุ้มจนจิตไม่ประภัสสร
“จิตประภัสสรก็หมายถึงจิตเดิม ซึ่งเปรียบเสมือนเพชร ลักษณะแวววาวสุกใสอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่ที่มันเศร้าหมองจนเรามองไม่เห็นความประภัสสรของมัน เพราะมีสิ่งอื่นมาห่อหุ้ม ทำให้รัศมีเปล่งออกมาไม่ได้ อย่างไฟฉายของเรา พอเปิดสวิตช์ขึ้น มันก็สว่างเป็นลำพุ่งออกไปพอปิดสวิตช์มันก็มืด ไม่เห็นดวงไฟ ทั้งที่ความจริงจิตมันประภัสสรอยู่แล้วแต่คนเราทุกวันนี้ ก็เอากิเลส ความโกรธ ความหลงที่เปรียบเหมือนดินทรายเขม่าไฟต่างๆ ไปห่อหุ้มปิดบังมันเสียเอง มันเลยมืดบอดอยู่อย่างนั้น...เราอยากจะเห็นตามพระองค์บ้างก็ต้องลงทุนลงแรงเอาสิ่งที่หุ้มห่อออก แล้วจึงจัดสีให้มันเปล่งแสงประภัสสรขึ้น เอาอะไรมาขัดสีล่ะ ก็เอาสมาธินั่นแหละมาขัดสี...”
“สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันก็อยู่ที่จิตนี้เอง ความรู้สึกของเราอยู่ที่ไหน จิตใจก็อยู่ที่นั้น หลวงปู่มั่นท่านก็เคยพูดว่า อยู่ที่ใจของเจ้า โลกนี้ไม่มีใจก็ไม่มีความหมาย โลกกับธรรมมันอิงกันอยู่ ก็อยู่อย่างไม่ขัดโลกขัดธรรมเขา รูปนาม ถ้าแยกออกก็เป็นอภิธรรมทั้งหมด
รูปกับนามเป็นจุดแรกของปัญหา เรื่องราวต่างๆ ที่เราไม่รู้ก็เพราะไม่ได้ค้นคว้ากำหนด ท่านว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นวัฏฏะ หมุนเวียนตั้งแต่จุดเล็กไปถึงจุดใหญ่ เหมือนกับความมืดกับความแจ้ง มันต้องอยู่ที่เดียวกัน แต่คนละช่วง มันเกิดพร้อมกันไม่ได้
ความจริงรูปนามมันมีอยู่แล้ว ถ้าปลงความเชื่อว่า คำสอนต่างๆ ล้วนมีอยู่แล้ว ถ้าไม่มี ท่านก็ไม่มีอะไรจะพูด เมื่อไม่มีอะไรจะพูดมันก็หยุดเป็นวิมุตติไป ถ้าเอามาพูดถึงมันก็เป็นสมมติไป ธรรมะจริงๆ จะพูดหรือไม่พูดมันมีอยู่แล้ว...”
หลวงปู่เหลือง เป็นพระมหาเถระที่ควรแก่การอัญชลี ท่านเจริญรอยตามครูบาอาจารย์ของท่านคือ แน่วแน่กับการปฏิบัติภาวนาไม่เสื่อมคลาย อยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย แทบไม่มีใครจำสมณศักดิ์ของท่านได้เรียกกันแต่ว่า หลวงปู่เหลือง วัดกระดึงทอง
cr.www.watpasattharuam.com/luangpooleang.html
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระผงรูปเหมือนรุ่นแรกหลวงปู่เหลืองวัดกระดึงทองปิดทองเนื้อโซนสีขมิ้น
ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
หลวงพ่อช่อ วัดโคกเกตุบุญญสิริ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
ศิษย์หลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิบางเค็ม หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ
เดิมชื่อ ช่อ มุสสะ เกิดวันที่ 7 มี.ค. พ.ศ.2460 ที่ ต.บางเค็มใต้ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี อุปสมบทขณะอายุ 22 ปีเมื่อวันที่ 28 เม.ย. พ.ศ.2482 ณ วัดกุฏิบางเค็ม โดยมี หลวงพ่อชุ่ม วัดกุฏิเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์หงส์ วัดกุฏิเป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อชื่น วัดโพธิ์บางเค็ม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ บวชแล้วได้ศึกษากรรมาฐานและพุทธาคมกับหลวงพ่อชุ่ม วัดกุฎิ และึิััหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเกตุบุญญสิริและได้รับสมณศักดิ์ที่พระครูสังวรานุโยค มรณภาพเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2551
หลวงพ่อช่อรูปนี้ท่านมีดีมาตั้งแต่ภพชาติที่แล้ว ท่านเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าเมื่อสมัยเด็กตอนอายุ 4-5 ขวบ ท่านเห็นพี่สาวท่านหาบขนมขาย แต่เหลือกลับบ้านมาทุกวัน ท่านเลยเสกน้ำในจอกให้เป็นน้ำมนต์ด้วยคาถาที่ท่านรู้ขึ้นเอง (ติดมาจากภพชาติที่แล้ว) เสกเสร็จท่านก็ประพรมน้ำมนต์ไปบนขนมในกระจาดที่พี่สาวจะหาบไปขาย ส่วนน้ำมนต์ที่เหลือในจอกท่านก็สาดขึ้นบนหลังคาจาก ปรากฏว่าคราวนี้พี่สาวท่านขายขนมหมดแต่เช้าทุกวัน เมื่อมาบวชเป็นพระท่านก็ยังนำคาถานี้มาช่วยสงเคราะห์ลูกศิษย์จนโด่งดัง
ส่วนวิชาคงกระพันมหาอุดท่านเรียนมาจากหลวงพ่อชุ่ม ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน วิชาในสายวัดกุฏิบางเค็มนี้ขลังยิ่งนัก เพราะท่านใช้ปลุกเสกพระสมเด็จคะแนนจนเกิดประสบการณ์ยิงไม่เข้ากระสุนแบนติดหัวจนโด่งดังขึ้นหน้า1หนังสือพิมพ์รายวัน จนพระสมเด็จรุ่นนั้นได้รับฉายาว่า รุ่นกระสุนแบน วิชาเหล่านี้ท่านได้ถ่ายทอดไว้กับลูกศิษย์ 2-3ท่าน ซึ่งจะนำเสนอต่อไป.....
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระพุทธชินราชปิดทองปี๒๕๑๙ หลวงพ่อช่อปลุกเสกอธิษฐานจิต
ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
หลวงพ่อทวดหนอน วัดสำเภาเชย จ.ปัตตานี สร้างแจกในวันลอยกระทง ปี ๒๕๔๘ เป็นเนื้อว่านกดพิมพ์มือทุกองค์ ด้านหลังเป็นยันต์กำเนิดและยันต์จัตตุโรของพระอาจารย์ทอง วัดสำเภาเชย ครับ
พระดีประสบการณ์สูง ของวัดมักไม่มีการโฆษณา พระอาจารย์ทอง จะทำเองไว้แจก ท่านพูดเสมอว่าท่านไม่ชอบขายพระกิน พระที่ท่านทำเมื่อวันลอยกระทง ปี ๔๘ เป็นพระหลวงพ่อทวดหนอนเนื้อว่าน ประสบการณ์ดีมากๆ ยิงกันหน้าวัดก็รุ่นนี้แหละที่ช่วยให้ปืนยิงไม่เข้าเพราะท่าน ตั้งใจทำเพื่อจุดประสงค์นี้โดยเฉพาะ และที่สำคัญพระอาจารย์ทองก็ได้บอกว่า “หลวงพ่อทวดหนอนท่านมาร่วมเสกให้ด้วย" เป็นเหตุให้ผู้ที่มีจิตศรัทธาในองค์หลวงพ่อทวดหนอนและพระอาจารย์ทอง มาขอรับพระหลวงพ่อทวดหนอนเป็นจำนวนมาก
หลวงพ่อทวดหนอน โพธิสัตว์แห่งเขามะรวด ต.บ้านกลาง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ท่านเป็นพระธุดงค์มาจากอยุธยา ล่องเรือมาทางทะเล และมีปลาว่ายตามมาเป็นจำนวนมากด้วยความหิวโหย หลวงพ่อทวดหนอนท่านเกิดความสงสารเลยแล่เนื้อตัวเองเป็นอาหารให้ปลา กิน เมื่อท่านธุดงค์มาขึ้นฝั่งที่ อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี ท่านก็ได้ปักกลดที่ยอดเขามะรวด และแผลที่ท่านแล่เนื้อให้ปลากินนั้น ก็มีหนอนชอนไชตามแผล เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจะรักษา หลวงพ่อท่านก็บอกไม่ต้องรักษา เพราะสงสารมัน (หนอนที่ชอนไชแผลท่าน) จากนั้นชาวบ้านก็เรียกท่านว่า "หลวงพ่อทวดหนอน" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาหลวงพ่อทวดหนอนมรณะภาพลง ชาวบ้านเลยสร้างสถูปให้ไว้ บนยอดเขามะรวดและ ชาวบ้านมักจะเห็นดวงไฟขึ้นจากยอดเขามะรวดเป็นประจำ ครับ
.................
“พระศีลมงคล” หรือที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า “พ่อท่านทอง สีลสุวัณโณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี พระเกจิดังเมืองปัตตานี ที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความเลื่อมใสศรัทธา ท่านมีลิ้นดำที่ติดตัวท่านแต่กำเนิด ด้วยตามตำราโบราณถือว่าผู้มีลิ้นดำมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ สามารถกำราบคุณไสย ด้วยเหตุนี้จึงได้รับนิมนต์ร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลแทบทุกงาน
อีกภาพหนึ่งท่านเป็นพระของชาวบ้าน รอบรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในอำเภอปะนาเระ และแก้ได้ถูกจุด
เป็นลูกชาวปัตตานีโดยกำเนิด เกิดในตระกูลศรีชาติ มีใจฝักใฝ่ในพระศาสนามาแต่ครั้งเยาว์วัย จนกระทั่งเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ที่พัทธสีมาวัดดอนตะวันออก เมื่อพ.ศ.2482 ได้รับฉายาว่า สีลสุวัณโณ แปลว่า " ผู้มีศีลงดงามดั่งทอง "
พ.ศ.2487 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย
พ.ศ.2494 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะตำบล
พ.ศ.2509 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอปะนาเระ พ.ศ.2543 ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เจ้าคณะอำเภอปะนาเระ
พ.ศ.2497 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ “พระครูพินิตนรัญญู”
พ.ศ.2545 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ที่ “พระศีลมงคล”
อุปนิสัยเป็นพระเรียบง่าย พูดน้อย แต่ทำงานเยอะ โดยเฉพาะงานด้านการศึกษาที่ท่านสนับสนุนส่งเสริมเต็มที่ โดยบริจาคที่ดินให้จัดตั้งโรงเรียนวัดสำเภาเชย ซึ่งทำการสอนในระดับมัธยมศึกษา ม.1-ม.3 (ป.5-ป.7 เดิม) ตั้งแต่พ.ศ.2499 ปัจจุบันได้ยุบรวมกับโรงเรียนบ้านปะนาเระ ต่อมาได้จัดตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมประจำศาสนศึกษาขึ้นในวัดสำเภาเชย แผนกธรรมประจำสนามสอบวัดสำเภาเชย อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
เพื่อเป็นการส่งเสริมการศึกษาแก่เด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ท่านจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 ในฐานะเจ้าอาวาสวัดสำเภาเชย พัฒนาวัดโดยจัดสร้างอาคารเสนาสนะต่างๆ ภายในวัด เช่น อุโบสถ หอฉัน ศาลาอเนกประสงค์ ศาลาที่พัก ซุ้มประตู และกำแพงวัด ปรับบริเวณสถานที่ให้มีความร่มรื่น สวยงาม
จนได้รับการยกย่องให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง จากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ในปีพ.ศ.2525 และเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นในปีพ.ศ.2544
นอกจากนี้ ยังได้สร้างและปรับปรุงเสนาสนะแก่วัดต่างๆ อีกด้วย คือ สร้างอุโบสถวัดโพธาราม สร้างตึกสงฆ์หลวงปู่ทวด ในโรงพยาบาลปะนาเระ สร้างอุโบสถวัดดอนตะวันออก สร้างอาคารอเนกประสงค์ หมู่ที่ 4 บ้านคลองต่ำ ตำบลปะนาเระ รวมทั้งเพื่อให้พระภิกษุ-สามเณรมีกำลังใจ ท่านให้ทุนการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณรที่ไปศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี ที่กรุงเทพฯ เป็นเวลากว่า 10 ปี อีกทั้งยังมอบเครื่องเขียนแบบเรียนแก่พระภิกษุสามเณรที่ศึกษาพระธรรมวินัย ทั้งวัดสำเภาเชยเอง และวัดในอำเภอปะนาเระด้วย
มีโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนทุกปี เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม และเปิดโอกาสให้เด็กเยาวชนได้ ใกล้ชิดกับวัดมากยิ่งขึ้น ในฐานะเจ้าคณะอำเภอปะนาเระท่านมีส่วนช่วยเหลือจัดสร้างดำเนินการสาธารณูปโภค ร่วมกับประชาชนและราชการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญรุดหน้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ สร้างศาลาที่พักริมทางในตำบลปะนาเระหลายแห่ง ตัดถนนลัดจากหมู่บ้านคลองต่ำถึงตลาดอำเภอปะนาเระ สร้างถนนจากหมู่บ้านมะรวดขึ้นไปยังสถูปเจดีย์หลวงพ่อหนอน ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขามะรวด จัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาแก่เด็กนักเรียนในอำเภอปะนาเระที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และเผยแผ่ สร้างความเจริญแก่ชุมชนและเป็นคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา เช่น อบรมศีลธรรมแก่เยาวชนในช่วงปิดภาคเรียน จัดอบรมกรรมฐานแก่ประชาชน จัดพิมพ์หนังสือธรรมะเพื่อเผยแพร่ผลงานที่ท่านได้ทำ เพื่อเป็นอนุสรณ์ทิฏฐานุคติแก่อนุชนรุ่นหลัง ทำให้ท่านเป็นผู้รับรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ประเภทส่งเสริมการพัฒนาชุมชน และสงเคราะห์ประชาชนโดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา สาขาส่งเสริมการพัฒนาชุมชน ประจำปี 2540
....ท่านละสังขารอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2554 สิริอายุ 93 ปี พรรษา 76
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
หลวงพ่อทวดหนอนสร้างแจกในวันลอยกระทง ปี ๒๕๔๘ ด้านหลังเป็นยันต์กำเนิดและยันต์จัตตุโร
ให้บูชา 450 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
-
-
-
โอนแล้วครับ 10/03/68 เวลา 20.30 น.จำนวน 530 บ.จัดส่งที่เดิมครับ
หน้า 113 ของ 113