พระพุทธประทานธรรม โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย pong-sit, 15 ตุลาคม 2006.

  1. pong-sit

    pong-sit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,626
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +17,781
    พระพุทธประทานธรรม
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    วันที่ ๙ กรกฏาคม ๒๕๓๕ วันนั้น หลวงพ่อป่วยหนักด้วยมีอาการไข้ซ้อน ท้องเสีย ปรากฏมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์มืดไม่สามารถไปพระนิพพานได้ มีอาการอย่างนี้อยู่ ๒-๓ วัน ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฏาคม ๒๕๓๕ จิตเริ่มโปร่ง ไข้ลดตัวลงจึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับที่พระนิพพาน กราบทูลถามว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า อารมณ์ฟุ้งไม่สามารถจะมองเห็นนิพพานได้ไม่สามารถจะไปนิพพานได้ อารมณ์อย่างนี้ ถ้าตายจะพลาดนิพพานหรือไม่พระพุทธเจ้าข้า

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ภิกขุ ดูก่อนภิกขุ จิตมีสภาพจำ ถึงแม้จะไม่คิดถึงนิพพาน แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพาน ของจิตมีอยู่และถ้าเธอตายเวลานั้น ก็ไม่พลาดนิพพานได้ ต้องมานิพพานแน่นอน พระพุทธองค์ตรัสอีกว่า เรื่องของจิตให้เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้จะอยู่ในโลกมนุษย์ข้างล่างก็ดี อยู่ข้างบนสวรรค์ พรหมก็ดี ยามปกติทำงานอยู่ก็ตาม ให้จิตถือไว้ว่า เราต้องการพระนิพพานไว้เสมอ ถ้าจิตต้องการนิพพานไว้เป็นปกติอย่างนี้ ถึงแม้ว่าอาการป่วยจะทำให้จิตมัวไปบ้าง จิตไม่เกาะนิพพาน แต่ว่าจิตมีสภาพจำ จิตสามารถจะไปนิพพานได้ทันทีเมื่อออกจากร่าง

    องค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคย์พระพุทธกัสปะพระพุทธเจ้า ได้ตรัสให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน มาบันทึกเสียงบอกบรรดาลูกศิษย์ลูกหาลูกหลานทั้งหลาย ที่ตั้งใจทำบุญกับหลวงพ่อ ดังนี้ว่า แต่ละคนมีวิมาน ที่คุณพูดนะยังพูดไม่ครบถ้วนนะ คุณต้องบอกเขาซิ บอกทุกคนที่เป็นบริษัทของคุณนะ ว่าเขามีวิมานแก้ว ๗ ประการ ด้วยกันทุกคนแล้วเป็นอย่างต่ำ ถึงแม้ว่าใครเขาทำ จะบุญมากก็ตาม จะทำบุญน้อยก็ตาม แต่ที่ว่าทำทำไปด้วยศรัทธาแท้ ไม่ใช่ว่าจำใจทำนะ หมายความว่า บริษัทของคุณน่ะที่เขาเลื่อมใสในคุณจริง ๆ มีการเลื่อมใสในการที่คุณนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาบอกเขา แล้วก็แนะนำเขาให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว เขามีความเลื่อมใสจริง ๆ มีความมั่นใจในคุณจริง ๆ เขามีวิมานแก้ว ๗ ประการหมดแล้ว เป็นวิมานอันดับ 2 สำหรับวิมานอันดับ ๑ นั้น มันเป็นวิมานแก้ว ๙ ประการ ความผ่องใสของวิมาน ย่อมแตกต่างกันด้วยอำนาจของบุญบารมี คือ กำลังใจในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ แตกต่างกัน แต่ก็ควรจะบอกเขาว่า วิมานแต่ละวิมานมีความสดสวย ความน่ารื่นรมย์ทั้งนั้น เขตวิมานแต่ละวิมานนะกว้างใหญ่ไพศาล มีที่อยู่เป็นสุขสบาย มีความเลื่อมสวยสะอาด วิจิตรตระการตา ความงามของวิมานนะพรรณนากันไม่ถูก ให้เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเข้าไว้ บอกว่าตถาคตว่าอย่างนี้ ให้ลูกหลานของเธอทุกคนหรือบริษัทของเธอทุกคนเขาตั้งใจไว้อย่างที่ฉันพูดนะ การจะไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี เป็นของง่ายไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างนักปราชญ์ ในโลกเขาพูดกันในเวลานี้ เวลานี้บรรดานักปราชญ์ในโลกเขาพูดกัน นักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากเขาถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูกต้องตามคติของฉัน การสอนธรรมะหรือพูดธรรมะให้คนเข้าใจง่าย ๆ นั่นดีและก็วิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ ให้ง่ายที่สุดนั่นแหละดี และก็วิธีปฏิบัติง่ายที่สุด ได้ผลมากที่สุด ได้รวดเร็วที่สุดอันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการสอนให้มันยากที่สุดแล้วได้ผลน้อยที่สุดอย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน

    สัมพเกสี เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะว่าให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่า มีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจรเมื่อเวลาที่เขาจะทำความชั่วอะไรมาก็ช่างเถิด เวลาก่อนนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายอย่าคิดถึงมัน ปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดีแล้วเอาใจนี่จับไว้ว่า นี่เรามีวิมานแก้ว ๗ ประการ ไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราตายเราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจแล้วก็ตั้งใจว่า เราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที

    ทีนี้คนไหนต้องการจะไป พรหมโลก ก็เป็นของไม่ยาก สัมพเกสี ให้เขาสร้างความดี คืนหนึ่งก่อนนอน ๑๐ นาที ตอนกลางวันจิตมันอาจจะเลว เอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าออก หายใจออกเท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วเป็นพรหมแน่

    ทีนี้คนไหนต้องการจะไปพระนิพพานก็เป็นของไม่ยาก สัมพเกสี ให้เขาคิดเห็นว่า โลกทั้งโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้แต่ร่างกายของเราเอง เราก็ไม่ชอบ ไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลกนี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลงมีการสลายตัว ก็ถือว่านี่โลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตายยังจะพัง เรายังปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปพระนิพพาน เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะ สัมพเกสีนะ ลูกหลานของเธอทุกคนพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรกเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน อย่างน้อยก็ไป กามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน ให้ลูกหลานทุกคนจำไว้แล้ว ทำตามง่าย ๆแบบนี้

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแนะนำให้บรรดาพุทธบริษัทผู้ปรารถนา จะเข้าถึงฌานสมาบัติและทรงมรรคผลให้ทุกคนแผ่เมตตาจิตไปในทิศทั้งปวงเสียก่อน ในอันดับแรก ก่อนที่เราจะทรงจิตเป็นสมาธิ ก็ตั้งใจแผ่เมตตาจิตและกรุณาความสงสารไปในทิศที่ครอบจักรวาลทั้งหมด โดยกำหนดจิตไว้เสมอว่า เราจะเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งหมด เราจะสงเคราะห์คนและสัตว์ที่ได้รับความทุกข์ยากให้มีความสุขตามฐานะกำลังของเรา จะไม่มีความโกรธ ความพยาบาท ไม่มีความเคียดแค้น มุ่งประทุษร้ายใคร ถ้าอารมณ์จิตของเราตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา ศีล ๕ ก็ครบบริสุทธิ์ เรื่องสมาธิจิตหรือวิปัสสนาญาณ เรื่องฌานสมาบัติเป็นของง่าย เรื่องเล็กจริง ๆ เพราะฌานสมาบัติจะทรงขึ้นได้และศีลบริสุทธิ์ได้ก็เพราะความเยือกเย็นของจิต จิตไม่เร่าร้อนไม่กระสับกระส่ายไม่โหดร้าย ใจเป็นสุขอารมณ์ดี เป็นกุศลคือความฉลาด

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ได้ถามเมื่อยกจิตไปคุยกับพระอรหันต์เบื้องบนพระนิพพาน

    ถาม อารมณ์พระนิพพาน เป็นอย่างไรใครตอบได้

    ตอบ คือพระที่ท่านเข้าพระนิพพานได้แล้วนั้นแหละทรงตอบ

    คือท่านแม่พรรณวดีศรีโสภาค ได้เข้าพระนิพพานแล้วได้เมตตาตอบดังนี้

    ที่พระนิพพานไม่มีอารมณ์อะไรเหลืออยู่แล้ว อารมณ์อย่างคนไม่มี อารมณ์อย่างเทวดาไม่มี อารมณ์อย่างพรหมไม่มี จะมานั่งห่วงว่าคนนั้นจะแก่คนนี้จะป่วย ห่วงคนนั้นจะหิว ห่วงว่าคนนั้นจะเหนื่อยก็ไม่มี มันไม่มีอะไรจะห่วงทั้งหมด อารมณ์มันเฉยๆ ถึงจะเป็นลูกพี่ เป็นน้องสามี ภรรยา อารมณ์เดิมมันก็ไม่มี แต่ความเนื่องถึงกันในอดีตนั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าขึ้นบนนิพพานแล้วอารมณ์มันปล่อยหมด เพียงแต่ว่า พันธะยังมีอยู่นิดหนึ่ง คือห่วงพวกที่ยังไม่เป็นอรหันต์ แต่ห่วงแล้วจิตก็ไม่ไปทุกข์หรอก มีกังวลอยู่นิดเดียวว่า ทำอย่างไรเขาจึงจะเป็นอรหันต์ จะหาวิธีใดที่จะให้เขามานิพพานได้

    ถาม สมมุติว่า ถ้าบุคคลที่เนื่องถึงกันเขามีกำลังไม่พอที่จะมานิพพานได้ละ จะมีกังวลไหม

    ท่านแม่ตอบว่า ไม่มีกังวลเพราะรู้ว่ากำลังเขาไม่พอ เราอยู่ที่นิพพานก็ไม่มีกังวล เราก็จะมีทางอย่างเดียวว่าชี้แนว แนะแนว เพื่อความเข้าใจเวลาที่จิตเขาเป็นทิพย์ จะสร้างความเข้าใจให้เกิด ว่าการจะเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงคือ พระอรหันต์น่าจะทำยังไง ช่วยให้เขาเกิดอารมณ์ความรู้สึกเอง

    ท่านแม่ได้ย้อนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่พระนิพพานว่า

    ถาม ท่านขึ้นมาอยู่บนนิพพานนี้มีกังวลไหม

    ตอบ หลวงพ่อได้ตอบว่า ฉันจะไปกังวลอะไร ฉันอยู่ในเมืองมนุษย์ฉันยังไม่กังวลเลย

    ท่านแม่พรรณวดีศรีโสภาค ทรงถามอีกว่า มานิพพานนี่ห่วงใครบ้าง

    หลวงพ่อ ตอบว่า ตัวฉันยังไม่ห่วงแล้วฉันจะห่วงใครล่ะ

    ขณะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประทับเป็นประธานอยู่ด้วยทรงตรัสว่า

    ถูก ตัวคุณ คุณไม่ห่วงและคำว่าห่วงจริง ๆ มันก็ไม่มี แต่ทว่าพระหรือคนก็ตาม ถ้าทำอารมณ์จิตดีถึงที่สุดได้ ก็อย่าลืมว่าถ้าขันธ์ ๕ มันยังมีอยู่ ภาระก็ยังมี นี่เราไม่ห่วงจริง แต่เราก็ต้องทำงานตามหน้าที่ ฉะนั้นความหนักในขณะที่ยังทรงขันธ์ ๕ มันจึงยังมีอยู่ แต่ทว่าจิตที่ยังทรงขันธ์ ๕ อยู่ควรจะทำอารมณ์ให้เบา เหมือนกับที่มาอยู่ที่นิพพาน ทำยังไงก็ว่าคาถาไว้ว่า ช่างมัน ช่างมัน ช่างมัน ชั่งจนกระทั่งน้ำหนักที่ชั่งเบาเหมือนชั่งอากาศ

    องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคย์ทรงอธิบายต่อไปว่า

    ขณะที่จิตยังมีขันธ์ ๕ ทรงอยู่ ให้ทำจิตเหมือนอยู่กับที่นิพพาน แต่ทว่ากิจที่จะต้องทำก็คือ ภาระเกี่ยวกับขันธ์ ๕ ถือว่าเราทำเพื่อมันทรงอยู่เพราะมันยังไม่จบ แต่อย่ามีอารมณ์กังวล มันอยากกินก็ให้มันกิน มันอยากถ่ายก็ให้มันถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันอยากนอนก็ให้มันนอน ทำสภาวะเหมือนกับว่า ร่างกายเป็นเสือตัวร้ายที่เราเลี้ยงไว้ แต่จิตเรากำลังจะกระโดดหนีเสือ แต่มันยังกระโดดหนีไม่ได้ เมื่อเราอยู่กับเสือ ก็มีความรังเกียจเสือ เราให้มันกินเพราะความจำใจ แต่เนื้อแท้จริงๆ เราไม่ต้องการมันเลย แล้วพระพุทธองค์ทรงสรุปอีกว่า

    ให้พยายามรักษากำลังใจที่ว่า ที่เราทรงขันธ์ ๕ อยู่ให้เหมือนกับว่า เราละขันธ์ ไปอยู่ที่นิพพานคือ อย่าให้มีอารมณ์ยุ่ง หน้าที่ก็ให้มันเป็นหน้าที่ จิตจงอย่ายุ่ง ทำทุกอย่างเพื่อเราละโลกนี้ เทวโลก พรหมโลก เหมือนพยัคฆ์ร้ายที่คอยทำอันตรายเรา เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

    องค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระปฐม ทรงโปรดสั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานมาบอกพุทธบริษัททุกท่านว่า ให้ทุกคนไหว้พระในตัวเอง คือไหว้จิตใจตนเองที่สะอาดฉลาดสดใสเบิกบานด้วย ทาน ศีล เมตตามีพระพุทธเจ้าพระนิพพานในใจ มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของแปรปรวนเปลี่ยนแปลง มีปัญหาต้องแก้ไขและสูญสลายไปในที่สุด จิตที่ไม่เกาะหลงใหลทุกอย่างในโลกจิตมุ่งเข้าพระนิพพานในชาตินี้คือ จิตเป็นพระที่แท้จริง ทำจิตของตัวเราเองให้เป็นพระให้ได้ก่อนดีกว่าไปเสาะแสวงหาไหว้พระนอกกายร่างกาย คือให้ทุกท่านทำจิตใจให้ใสสะอาดเป็นพระอรหันต์ คือ บอกเกณฑ์ว่างของอารมณ์ท่าน บอกว่าให้พุทธบริษัทนึกตามที่แกนึกครั้งแรก คือนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปถึงพระนิพพานให้จิตรวมกันนั่งนึกนอนนึกสัก ๑ ชั่วโมง ถ้ามันรวมจิตนั้นได้สัก ๓ นาที ข้าว่ามีผลบุญมากกว่าที่ลูกหลานจะเกณฑ์พระนอกมาบูชา คนพวกนี้มันชอบบูชาพระนอกกาย มันไม่ชอบทำใจตนเองให้เป็นพระ พระนอกกายเขาอุ้มเราไปนิพพานได้เมื่อไหร่ พระในกายคืออารมณ์จิตสะอาดเท่านั้นที่จะพาพุทธบริษัทไปนิพพานได้ ให้พุทธบริษัทคิดอยู่เสมอว่าร่างกายคนสกปรกเป็นคนละส่วนกับจิต ร่างกายเป็นซากศพเดินได้พูดได้ ตายเมื่อไหร่จิตเราจะไปพระนิพพานทันที ทำเพียงเท่านี้ใจมันจะเกาะติดพระนิพพานอย่างไม่รู้ตัว แกคือพระคุณเจ้าหลวงพ่อพระราชพรหมยานเริ่มทำ ๓ วัน ถอดจิตไปพระนิพพานได้ พวกศิษย์ของหลวงพ่อฯ ทำกันบ้างไม่ทำกันบ้าง พอจะตายนึกถึงพระพุทธเจ้านึกถึงพระนิพพาน ข้าจะมาให้เห็นปั๊บเดียว พอคนจะตายเห็นข้า มันก็มีจิตเกาะติดข้าก็ไปพระนิพพานกันได้ทุกคน

    หลวงพ่อได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า แล้วองค์สมเด็จพระศาสดาจะมาให้เขาเห็นก่อนตายหรือพระพุทธเจ้าข้า องค์พระพุทธสิกขีทศพลทรงตรัสตอบว่า

    เออ ข้าตั้งท่ามานานแล้ว!!!
    <!--IBF.ATTACHMENT_215-->

    <!-- THE POST -->
    วันที่ ๙ กรกฏาคม ๒๕๓๕ วันนั้น หลวงพ่อป่วยหนักด้วยมีอาการไข้ซ้อน ท้องเสีย ปรากฏมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์มืดไม่สามารถไปพระนิพพานได้ มีอาการอย่างนี้อยู่ ๒-๓ วัน ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฏาคม ๒๕๓๕ จิตเริ่มโปร่ง ไข้ลดตัวลงจึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับที่พระนิพพาน กราบทูลถามว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า อารมณ์ฟุ้งไม่สามารถจะมองเห็นนิพพานได้ไม่สามารถจะไปนิพพานได้ อารมณ์อย่างนี้ ถ้าตายจะพลาดนิพพานหรือไม่พระพุทธเจ้าข้า

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ภิกขุ ดูก่อนภิกขุ จิตมีสภาพจำ ถึงแม้จะไม่คิดถึงนิพพาน แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพาน ของจิตมีอยู่และถ้าเธอตายเวลานั้น ก็ไม่พลาดนิพพานได้ ต้องมานิพพานแน่นอน พระพุทธองค์ตรัสอีกว่า เรื่องของจิตให้เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้จะอยู่ในโลกมนุษย์ข้างล่างก็ดี อยู่ข้างบนสวรรค์ พรหมก็ดี ยามปกติทำงานอยู่ก็ตาม ให้จิตถือไว้ว่า เราต้องการพระนิพพานไว้เสมอ ถ้าจิตต้องการนิพพานไว้เป็นปกติอย่างนี้ ถึงแม้ว่าอาการป่วยจะทำให้จิตมัวไปบ้าง จิตไม่เกาะนิพพาน แต่ว่าจิตมีสภาพจำ จิตสามารถจะไปนิพพานได้ทันทีเมื่อออกจากร่าง

    องค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคย์พระพุทธกัสปะพระพุทธเจ้า ได้ตรัสให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน มาบันทึกเสียงบอกบรรดาลูกศิษย์ลูกหาลูกหลานทั้งหลาย ที่ตั้งใจทำบุญกับหลวงพ่อ ดังนี้ว่า แต่ละคนมีวิมาน ที่คุณพูดนะยังพูดไม่ครบถ้วนนะ คุณต้องบอกเขาซิ บอกทุกคนที่เป็นบริษัทของคุณนะ ว่าเขามีวิมานแก้ว ๗ ประการ ด้วยกันทุกคนแล้วเป็นอย่างต่ำ ถึงแม้ว่าใครเขาทำ จะบุญมากก็ตาม จะทำบุญน้อยก็ตาม แต่ที่ว่าทำทำไปด้วยศรัทธาแท้ ไม่ใช่ว่าจำใจทำนะ หมายความว่า บริษัทของคุณน่ะที่เขาเลื่อมใสในคุณจริง ๆ มีการเลื่อมใสในการที่คุณนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาบอกเขา แล้วก็แนะนำเขาให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว เขามีความเลื่อมใสจริง ๆ มีความมั่นใจในคุณจริง ๆ เขามีวิมานแก้ว ๗ ประการหมดแล้ว เป็นวิมานอันดับ 2 สำหรับวิมานอันดับ ๑ นั้น มันเป็นวิมานแก้ว ๙ ประการ ความผ่องใสของวิมาน ย่อมแตกต่างกันด้วยอำนาจของบุญบารมี คือ กำลังใจในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ แตกต่างกัน แต่ก็ควรจะบอกเขาว่า วิมานแต่ละวิมานมีความสดสวย ความน่ารื่นรมย์ทั้งนั้น เขตวิมานแต่ละวิมานนะกว้างใหญ่ไพศาล มีที่อยู่เป็นสุขสบาย มีความเลื่อมสวยสะอาด วิจิตรตระการตา ความงามของวิมานนะพรรณนากันไม่ถูก ให้เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเข้าไว้ บอกว่าตถาคตว่าอย่างนี้ ให้ลูกหลานของเธอทุกคนหรือบริษัทของเธอทุกคนเขาตั้งใจไว้อย่างที่ฉันพูดนะ การจะไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี เป็นของง่ายไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างนักปราชญ์ ในโลกเขาพูดกันในเวลานี้ เวลานี้บรรดานักปราชญ์ในโลกเขาพูดกัน นักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากเขาถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูกต้องตามคติของฉัน การสอนธรรมะหรือพูดธรรมะให้คนเข้าใจง่าย ๆ นั่นดีและก็วิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ ให้ง่ายที่สุดนั่นแหละดี และก็วิธีปฏิบัติง่ายที่สุด ได้ผลมากที่สุด ได้รวดเร็วที่สุดอันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการสอนให้มันยากที่สุดแล้วได้ผลน้อยที่สุดอย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน

    สัมพเกสี เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะว่าให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่า มีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจรเมื่อเวลาที่เขาจะทำความชั่วอะไรมาก็ช่างเถิด เวลาก่อนนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายอย่าคิดถึงมัน ปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดีแล้วเอาใจนี่จับไว้ว่า นี่เรามีวิมานแก้ว ๗ ประการ ไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราตายเราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจแล้วก็ตั้งใจว่า เราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที

    ทีนี้คนไหนต้องการจะไป พรหมโลก ก็เป็นของไม่ยาก สัมพเกสี ให้เขาสร้างความดี คืนหนึ่งก่อนนอน ๑๐ นาที ตอนกลางวันจิตมันอาจจะเลว เอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าออก หายใจออกเท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วเป็นพรหมแน่

    ทีนี้คนไหนต้องการจะไปพระนิพพานก็เป็นของไม่ยาก สัมพเกสี ให้เขาคิดเห็นว่า โลกทั้งโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้แต่ร่างกายของเราเอง เราก็ไม่ชอบ ไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลกนี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลงมีการสลายตัว ก็ถือว่านี่โลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตายยังจะพัง เรายังปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปพระนิพพาน เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะ สัมพเกสีนะ ลูกหลานของเธอทุกคนพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรกเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน อย่างน้อยก็ไป กามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน ให้ลูกหลานทุกคนจำไว้แล้ว ทำตามง่าย ๆแบบนี้

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแนะนำให้บรรดาพุทธบริษัทผู้ปรารถนา จะเข้าถึงฌานสมาบัติและทรงมรรคผลให้ทุกคนแผ่เมตตาจิตไปในทิศทั้งปวงเสียก่อน ในอันดับแรก ก่อนที่เราจะทรงจิตเป็นสมาธิ ก็ตั้งใจแผ่เมตตาจิตและกรุณาความสงสารไปในทิศที่ครอบจักรวาลทั้งหมด โดยกำหนดจิตไว้เสมอว่า เราจะเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งหมด เราจะสงเคราะห์คนและสัตว์ที่ได้รับความทุกข์ยากให้มีความสุขตามฐานะกำลังของเรา จะไม่มีความโกรธ ความพยาบาท ไม่มีความเคียดแค้น มุ่งประทุษร้ายใคร ถ้าอารมณ์จิตของเราตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ตลอดเวลา ศีล ๕ ก็ครบบริสุทธิ์ เรื่องสมาธิจิตหรือวิปัสสนาญาณ เรื่องฌานสมาบัติเป็นของง่าย เรื่องเล็กจริง ๆ เพราะฌานสมาบัติจะทรงขึ้นได้และศีลบริสุทธิ์ได้ก็เพราะความเยือกเย็นของจิต จิตไม่เร่าร้อนไม่กระสับกระส่ายไม่โหดร้าย ใจเป็นสุขอารมณ์ดี เป็นกุศลคือความฉลาด

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ได้ถามเมื่อยกจิตไปคุยกับพระอรหันต์เบื้องบนพระนิพพาน

    ถาม อารมณ์พระนิพพาน เป็นอย่างไรใครตอบได้

    ตอบ คือพระที่ท่านเข้าพระนิพพานได้แล้วนั้นแหละทรงตอบ

    คือท่านแม่พรรณวดีศรีโสภาค ได้เข้าพระนิพพานแล้วได้เมตตาตอบดังนี้

    ที่พระนิพพานไม่มีอารมณ์อะไรเหลืออยู่แล้ว อารมณ์อย่างคนไม่มี อารมณ์อย่างเทวดาไม่มี อารมณ์อย่างพรหมไม่มี จะมานั่งห่วงว่าคนนั้นจะแก่คนนี้จะป่วย ห่วงคนนั้นจะหิว ห่วงว่าคนนั้นจะเหนื่อยก็ไม่มี มันไม่มีอะไรจะห่วงทั้งหมด อารมณ์มันเฉยๆ ถึงจะเป็นลูกพี่ เป็นน้องสามี ภรรยา อารมณ์เดิมมันก็ไม่มี แต่ความเนื่องถึงกันในอดีตนั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าขึ้นบนนิพพานแล้วอารมณ์มันปล่อยหมด เพียงแต่ว่า พันธะยังมีอยู่นิดหนึ่ง คือห่วงพวกที่ยังไม่เป็นอรหันต์ แต่ห่วงแล้วจิตก็ไม่ไปทุกข์หรอก มีกังวลอยู่นิดเดียวว่า ทำอย่างไรเขาจึงจะเป็นอรหันต์ จะหาวิธีใดที่จะให้เขามานิพพานได้

    ถาม สมมุติว่า ถ้าบุคคลที่เนื่องถึงกันเขามีกำลังไม่พอที่จะมานิพพานได้ละ จะมีกังวลไหม

    ท่านแม่ตอบว่า ไม่มีกังวลเพราะรู้ว่ากำลังเขาไม่พอ เราอยู่ที่นิพพานก็ไม่มีกังวล เราก็จะมีทางอย่างเดียวว่าชี้แนว แนะแนว เพื่อความเข้าใจเวลาที่จิตเขาเป็นทิพย์ จะสร้างความเข้าใจให้เกิด ว่าการจะเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงคือ พระอรหันต์น่าจะทำยังไง ช่วยให้เขาเกิดอารมณ์ความรู้สึกเอง

    ท่านแม่ได้ย้อนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่พระนิพพานว่า

    ถาม ท่านขึ้นมาอยู่บนนิพพานนี้มีกังวลไหม

    ตอบ หลวงพ่อได้ตอบว่า ฉันจะไปกังวลอะไร ฉันอยู่ในเมืองมนุษย์ฉันยังไม่กังวลเลย

    ท่านแม่พรรณวดีศรีโสภาค ทรงถามอีกว่า มานิพพานนี่ห่วงใครบ้าง

    หลวงพ่อ ตอบว่า ตัวฉันยังไม่ห่วงแล้วฉันจะห่วงใครล่ะ

    ขณะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประทับเป็นประธานอยู่ด้วยทรงตรัสว่า

    ถูก ตัวคุณ คุณไม่ห่วงและคำว่าห่วงจริง ๆ มันก็ไม่มี แต่ทว่าพระหรือคนก็ตาม ถ้าทำอารมณ์จิตดีถึงที่สุดได้ ก็อย่าลืมว่าถ้าขันธ์ ๕ มันยังมีอยู่ ภาระก็ยังมี นี่เราไม่ห่วงจริง แต่เราก็ต้องทำงานตามหน้าที่ ฉะนั้นความหนักในขณะที่ยังทรงขันธ์ ๕ มันจึงยังมีอยู่ แต่ทว่าจิตที่ยังทรงขันธ์ ๕ อยู่ควรจะทำอารมณ์ให้เบา เหมือนกับที่มาอยู่ที่นิพพาน ทำยังไงก็ว่าคาถาไว้ว่า ช่างมัน ช่างมัน ช่างมัน ชั่งจนกระทั่งน้ำหนักที่ชั่งเบาเหมือนชั่งอากาศ

    องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์โสภาคย์ทรงอธิบายต่อไปว่า

    ขณะที่จิตยังมีขันธ์ ๕ ทรงอยู่ ให้ทำจิตเหมือนอยู่กับที่นิพพาน แต่ทว่ากิจที่จะต้องทำก็คือ ภาระเกี่ยวกับขันธ์ ๕ ถือว่าเราทำเพื่อมันทรงอยู่เพราะมันยังไม่จบ แต่อย่ามีอารมณ์กังวล มันอยากกินก็ให้มันกิน มันอยากถ่ายก็ให้มันถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันอยากนอนก็ให้มันนอน ทำสภาวะเหมือนกับว่า ร่างกายเป็นเสือตัวร้ายที่เราเลี้ยงไว้ แต่จิตเรากำลังจะกระโดดหนีเสือ แต่มันยังกระโดดหนีไม่ได้ เมื่อเราอยู่กับเสือ ก็มีความรังเกียจเสือ เราให้มันกินเพราะความจำใจ แต่เนื้อแท้จริงๆ เราไม่ต้องการมันเลย แล้วพระพุทธองค์ทรงสรุปอีกว่า

    ให้พยายามรักษากำลังใจที่ว่า ที่เราทรงขันธ์ ๕ อยู่ให้เหมือนกับว่า เราละขันธ์ ไปอยู่ที่นิพพานคือ อย่าให้มีอารมณ์ยุ่ง หน้าที่ก็ให้มันเป็นหน้าที่ จิตจงอย่ายุ่ง ทำทุกอย่างเพื่อเราละโลกนี้ เทวโลก พรหมโลก เหมือนพยัคฆ์ร้ายที่คอยทำอันตรายเรา เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

    องค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระปฐม ทรงโปรดสั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานมาบอกพุทธบริษัททุกท่านว่า ให้ทุกคนไหว้พระในตัวเอง คือไหว้จิตใจตนเองที่สะอาดฉลาดสดใสเบิกบานด้วย ทาน ศีล เมตตามีพระพุทธเจ้าพระนิพพานในใจ มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของแปรปรวนเปลี่ยนแปลง มีปัญหาต้องแก้ไขและสูญสลายไปในที่สุด จิตที่ไม่เกาะหลงใหลทุกอย่างในโลกจิตมุ่งเข้าพระนิพพานในชาตินี้คือ จิตเป็นพระที่แท้จริง ทำจิตของตัวเราเองให้เป็นพระให้ได้ก่อนดีกว่าไปเสาะแสวงหาไหว้พระนอกกายร่างกาย คือให้ทุกท่านทำจิตใจให้ใสสะอาดเป็นพระอรหันต์ คือ บอกเกณฑ์ว่างของอารมณ์ท่าน บอกว่าให้พุทธบริษัทนึกตามที่แกนึกครั้งแรก คือนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปถึงพระนิพพานให้จิตรวมกันนั่งนึกนอนนึกสัก ๑ ชั่วโมง ถ้ามันรวมจิตนั้นได้สัก ๓ นาที ข้าว่ามีผลบุญมากกว่าที่ลูกหลานจะเกณฑ์พระนอกมาบูชา คนพวกนี้มันชอบบูชาพระนอกกาย มันไม่ชอบทำใจตนเองให้เป็นพระ พระนอกกายเขาอุ้มเราไปนิพพานได้เมื่อไหร่ พระในกายคืออารมณ์จิตสะอาดเท่านั้นที่จะพาพุทธบริษัทไปนิพพานได้ ให้พุทธบริษัทคิดอยู่เสมอว่าร่างกายคนสกปรกเป็นคนละส่วนกับจิต ร่างกายเป็นซากศพเดินได้พูดได้ ตายเมื่อไหร่จิตเราจะไปพระนิพพานทันที ทำเพียงเท่านี้ใจมันจะเกาะติดพระนิพพานอย่างไม่รู้ตัว แกคือพระคุณเจ้าหลวงพ่อพระราชพรหมยานเริ่มทำ ๓ วัน ถอดจิตไปพระนิพพานได้ พวกศิษย์ของหลวงพ่อฯ ทำกันบ้างไม่ทำกันบ้าง พอจะตายนึกถึงพระพุทธเจ้านึกถึงพระนิพพาน ข้าจะมาให้เห็นปั๊บเดียว พอคนจะตายเห็นข้า มันก็มีจิตเกาะติดข้าก็ไปพระนิพพานกันได้ทุกคน

    หลวงพ่อได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า แล้วองค์สมเด็จพระศาสดาจะมาให้เขาเห็นก่อนตายหรือพระพุทธเจ้าข้า องค์พระพุทธสิกขีทศพลทรงตรัสตอบว่า

    เออ ข้าตั้งท่ามานานแล้ว!!!
    <!--IBF.ATTACHMENT_215-->
    <!-- THE POST -->
     
  2. อรหันตทาส

    อรหันตทาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,220
    ตามคติของฉัน การสอนธรรมะหรือพูดธรรมะให้คนเข้าใจง่าย ๆ นั่นดีและก็วิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ ให้ง่ายที่สุดนั่นแหละดี และก็วิธีปฏิบัติง่ายที่สุด ได้ผลมากที่สุด ได้รวดเร็วที่สุดอันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธี.........
     
  3. อรหันตทาส

    อรหันตทาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,220
    คุณต้องบอกเขาซิ บอกทุกคนที่เป็นบริษัทของคุณนะ ว่าเขามีวิมานแก้ว ๗ ประการ ด้วยกันทุกคนแล้วเป็นอย่างต่ำ ถึงแม้ว่าใครเขาทำ จะบุญมากก็ตาม จะทำบุญน้อยก็ตาม แต่ที่ว่าทำทำไปด้วยศรัทธาแท้ ไม่ใช่ว่าจำใจทำนะ หมายความว่า บริษัทของคุณน่ะที่เขาเลื่อมใสในคุณจริง ๆ มีการเลื่อมใสในการที่คุณนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาบอกเขา แล้วก็แนะนำเขาให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว เขามีความเลื่อมใสจริง ๆ มีความมั่นใจในคุณจริง ๆ เขามีวิมานแก้ว ๗ ประการหมดแล้ว เป็นวิมานอันดับ 2 สำหรับวิมานอันดับ ๑ นั้น มันเป็นวิมานแก้ว ๙ ประการ
     
  4. อรหันตทาส

    อรหันตทาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,220
    ให้ทุกคนไหว้พระในตัวเอง คือไหว้จิตใจตนเองที่สะอาดฉลาดสดใสเบิกบานด้วย ทาน ศีล เมตตามีพระพุทธเจ้าพระนิพพานในใจ มองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของแปรปรวนเปลี่ยนแปลง มีปัญหาต้องแก้ไขและสูญสลายไปในที่สุด จิตที่ไม่เกาะหลงใหลทุกอย่างในโลกจิตมุ่งเข้าพระนิพพานในชาตินี้คือ จิตเป็นพระที่แท้จริง ทำจิตของตัวเราเองให้เป็นพระให้ได้ก่อนดีกว่าไปเสาะแสวงหาไหว้พระนอกกายร่างกาย คือให้ทุกท่านทำจิตใจให้ใสสะอาดเป็นพระอรหันต์ คือ บอกเกณฑ์ว่างของอารมณ์ท่าน บอกว่าให้พุทธบริษัทนึกตามที่แกนึกครั้งแรก คือนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปถึงพระนิพพานให้จิตรวมกันนั่งนึกนอนนึกสัก ๑ ชั่วโมง ถ้ามันรวมจิตนั้นได้สัก ๓ นาที ข้าว่ามีผลบุญมากกว่าที่ลูกหลานจะเกณฑ์พระนอกมาบูชา คนพวกนี้มันชอบบูชาพระนอกกาย มันไม่ชอบทำใจตนเองให้เป็นพระ พระนอกกายเขาอุ้มเราไปนิพพานได้เมื่อไหร่ พระในกายคืออารมณ์จิตสะอาดเท่านั้นที่จะพาพุทธบริษัทไปนิพพานได้
     
  5. อรหันตทาส

    อรหันตทาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,220
    ขณะที่จิตยังมีขันธ์ ๕ ทรงอยู่ ให้ทำจิตเหมือนอยู่กับที่นิพพาน แต่ทว่ากิจที่จะต้องทำก็คือ ภาระเกี่ยวกับขันธ์ ๕ ถือว่าเราทำเพื่อมันทรงอยู่เพราะมันยังไม่จบ แต่อย่ามีอารมณ์กังวล มันอยากกินก็ให้มันกิน มันอยากถ่ายก็ให้มันถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันอยากนอนก็ให้มันนอน ทำสภาวะเหมือนกับว่า ร่างกายเป็นเสือตัวร้ายที่เราเลี้ยงไว้ แต่จิตเรากำลังจะกระโดดหนีเสือ แต่มันยังกระโดดหนีไม่ได้ เมื่อเราอยู่กับเสือ ก็มีความรังเกียจเสือ เราให้มันกินเพราะความจำใจ แต่เนื้อแท้จริงๆ เราไม่ต้องการมันเลย (bb-flower (bb-flower (bb-flower (bb-flower (bb-flower (bb-flower
     

แชร์หน้านี้

Loading...