พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จอนุโมทนา พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จริงแค่ไหน ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ไจโกะ, 7 พฤศจิกายน 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    นิพพานในฐานะเป็นแดนดับ นี่ก็ หมายถึงสภาวธรรมตามธรรมชาติอันหนึ่ง หรือชนิดหนึ่ง ที่มนุษย์อาจจะเข้าถึงได้ หรือรู้สึกได้ ด้วยจิตของมนุษย์นั้นเอง นี่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นสิ่งที่ต้องรู้ หรือต้องรู้จัก ที่เรียกสิ่งนี้ว่าสภาวธรรมก็หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว มีอยู่เองตามธรรมชาติ เมื่อใครยังไม่ถึง หรือยังไม่ทำให้ปรากฏได้ ก็ดูคล้ายกับว่าไม่มี พอใครปฏิบัติถูกต้องได้ ก็ถึงแดนนั้นเขตนั้น หรือสภาวะอันนั้น นี้ออกจะเป็นโวหารสักหน่อย ที่ว่าแดนดับทุกข์ สภาวะดับทุกข์นั่นมันมีอยู่ตามธรรมชาติ ทั้งนี้ก็เพื่อจะป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจว่าเราสร้างมันขึ้นมา เราไม่ถือว่าเราอาจจะสร้างนิพพาน หรือสร้างความเย็น หรือสร้างอะไรขึ้นมาได้ นิพพานเป็นสิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติ เราต้องทำให้ถูกเรื่องแล้วสิ่งนั้นก็จะปรากฏแต่จิตมนุษญ์ นี้เรียกว่าเป็นสภาวธรรมตามธรรมชาติ ที่มนุษย์อาจจะเข้าถึงได้ด้วยการรู้สึกทางจิต หรือต้องเข้าถึงโดยจิต นิพพานในลักษณะที่เป็นแดนดับของความทุกข์ อย่างนี้ บางทีก็เรียกว่านิพพานธาตุ คือธาตุแห่งนิพพาน แปลว่าธาตุอันเป็นที่ดับของธาตุที่ไม่ใช่นิพพาน หมายความว่าธาตุนี้มีมากอย่างเดียวกัน นิพพานธาตุก็เป็นความดับของธาตุ อื่นๆ

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า : อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ น อาโป น เตโช ฯลฯ ยืดยาวออกไป; อันมีใจความสั้นๆ เพียงแต่ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งนั้นมีอยู่คือ สิ่งซึ่งไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่อากาศ ไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ดวงจันทร์ ไม่เป็นการไป ไม่เป็นการมา ไม่เป็นการหยุดอยู่ อะไรทำนองนี้ ปฏิเสธหมดเรื่อยๆ ไป แต่สิ่งนั้นมีอยู่ และนั่นแหละเป็นที่ดับของทุกข์ เป็นที่สิ้นสุดของความทุกข์ อย่างนี้ท่านเล็งถึงนิพพานธาตุ หรือแดนเป็นที่ดับของความทุกข์ อันนี้ถูกเข้าใจผิด หรือว่าจะไม่เข้าใจผิดก็สุดแท้ แต่มันถูกสมมติให้เป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นนคร เรียกว่า นิพพานมหานคร หรือนครนิพพานหรืออะไรขึ้นมา นี่เรียกว่า พูดอย่างบุคคลาธิษฐาน สำหรับคนที่ฟังอย่างลึกซึ้งไม่ออก ก็พูดไว้คล้ายๆ เป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นโลกๆ หนึ่ง ให้พยายามปฏิบัติเพื่อจะได้ไปอยู่ในโลกนั้น ถ้าจะว่าโดยเนื้อแท้ก็เป็นสภาวธรรม ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่เมือง ไม่ใช่โลก แต่เป็นสภาพทางจิตชนิดหนึ่ง ที่เมื่อปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนเหมาะสมแล้ว สภาพนั้นก็จะปรากฏออกมา พระพุทธเจ้าท่านเรียกสิ่งนี้ว่า อายตนะอันหนึ่ง แต่ไม่ใช่อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือไม่ใช่แม้แต่อายตนะคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ มันเป็นอายตนะที่ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เป็นวิสังขาร เป็นนิพพาน แต่ก็ต้องเรียกว่ามันเป็น “สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งมีอยู่ ที่เรียกว่านิพพานว่าอายตนะก็เพราะว่า เป็นสิ่งที่มนุษย์อาจจะรู้สึกได้ หรืออาจจะถูกรู้สึกได้ด้วยจิตใจของมนุษย์ ดังนั้นจึงเรียกว่าอายตนะด้วยเหมือนกัน แต่อย่าเอาไปปนกับอายตนะภายนอก อายตนะภายใน ทำนองนั้น นี้เรียกว่า นิพพานในฐานะเป็นแดนดับ อะไรเข้าไปถึงนั่นแล้วจะต้องดับ

    คำบรรยายประจำวันเสาร์ในสวนโมกขพลาราม ของ พุทธทาสภิกขุ
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "ท่านทั้งหลายพิจารณาก็แล้วกัน ให้พิจารณาให้ตั้งเนื้อตั้งตัวอยู่ภายในตัวของเราเอง รอรับเหตุการณ์ สิ่งภายนอกมันแฝงเข้ามาได้ที่จะมาหลอกให้ลุ่มหลง อย่างปัจจุบันนี้มีอะไรบ้าง แต่ก่อนเมืองไทยเราจะมีอะไร ได้อะไรมาอยู่มากินมาใช้สอยวันหนึ่ง ๆ พอ ไม่ได้สร้างความกังวลวุ่นวาย ความดีดดิ้นให้มากมายอะไรนัก ก็เป็นความสุขความสบาย เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันไหลเข้ามาไม่ทราบทางน้ำทางบกทางไหน ๆ มาเรื่อย ๆ อะไรมามันก็ตื่น ๆ ก็ดีดก็ดิ้นแล้วดีดดิ้นมันส่วนมาก ๆ เราอยากพูดว่าร้อยทั้งร้อยเป็นเรื่องที่จะทำคนให้หลงงมงายให้หลับหูหลับตาไปเรื่อย ๆ ไม่ให้ตื่นนะ เวลานี้กำลังเต็มบ้านเต็มเมืองเข้ามา อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี ไม่เคยได้เห็นก็เห็น ไม่เคยได้ยินก็ได้ยิน มีมาหมดทุกอย่าง ต้องได้ฟิตหัวใจเราด้วยสติปัญญาด้วยดี ไม่งั้นหลงไปกับสิ่งเหล่านี้ได้

    พูดอันนี้แล้ว เอ้า พูดถึงท่านผู้ที่ผ่านไปโดยสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว อะไรมารู้หมด ที่จะให้ท่านหลงท่านลืมท่านชินต่อสิ่งเหล่านี้ไม่มี ปั๊บ รู้ทันที ๆ ๆ นั่นต่างกันกับโลกที่กำลังลุ่มหลงอยู่ อะไรมาคอยแต่จะหลง ๆ ผู้ที่ท่านรู้ท่านรอบหมดแล้วทำยังไงให้หลงก็ไม่หลง ปั๊บมาก็รู้ ตกผล็อย ๆ เหมือนน้ำบนใบบัว น้ำที่ตกลงบนใบบัว กลิ้งตก ๆ ไม่ซึมซาบ จิตของท่านที่เป็นใบบัวแล้วสมมุติทั้งหลายเหมือนน้ำ ตกลงมาปั๊บกลิ้งเลย ๆ ไม่ซึมซาบมันต่างกันอย่างนี้นะ พวกเราพวกไม่ใช่ซึมซาบ มันพวกลิง คว้ามับ ๆ อะไรมาคว้ามับเลย เพราะฉะนั้นมันถึงตามไม่ทันนะ จมได้เร็ว กำลังเริ่มขึ้นนะ สิ่งเหล่านี้แหละเป็นบริษัทบริวารเป็นเครื่องอุปกรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างของกิเลสเสียมากต่อมากทีเดียว ถ้าไม่มีธรรมจะไม่รู้เลย แล้วจะเพลินไปตามสิ่งเหล่านี้ แล้วก็จมไปทุกวี่ทุกวัน ผู้มีธรรมเหมือนกับว่ามาขัดเกลาจิตใจ อะไรผ่านเข้ามา ถ้าจิตใจเป็นธรรมขึ้นไปโดยลำดับลำดาแล้วอะไรผ่านเข้ามา เหมือนกับเป็นหินมาลับปัญญา หินลับมีด สติปัญญาของเราเหมือนมีด

    สิ่งทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้องเหมือนหินมาลับมีด ๆ เพราะเมื่อขั้นเป็นธรรมแล้วอะไรเป็นธรรมหมด อยู่ที่ไหนเป็นธรรม ท่านว่าอัตโนมัติ ๆ คือเป็นธรรมอัตโนมัติโดยลำดับ จนจะถึงขั้นเด็ดขาดเป็นอัตโนมัติ อะไรผ่านเข้ามาเป็นธรรมหมด อยู่เฉย ๆ ก็เป็น ความคิดความปรุงขึ้นมานี้ แต่ก่อนมันเป็นกิเลสตัณหาเป็นฟืนเป็นไฟ เวลามันกลับกลายขึ้นมาเป็นธรรมแล้วด้วยการฝึกฝนอบรมเรา ที่ไหนอะไรผ่านเข้ามามันเป็นธรรม เหมือนกับว่ามาเตือนสติปัญญา ลับสติปัญญาให้คมกล้าเป็นลำดับลำดา มันต่างกันนะ ให้คิดแยกหลายประเภทซิ กิเลสมันร้อยสันพันคม เราก็ให้เป็นอย่างนั้นธรรมะ เมื่อมันทันกันแล้วร้อยก็ร้อยพันก็พัน มีคมเหมือนกันเลย นั่น ทันกัน ๆ

    ค่อยหนาไป ๆ ดูนะ มันอดไม่ได้เพราะสิ่งเหล่านี้มันสัมผัส อายตนะภายนอก อายตนะภายใน อายตนะแปลว่าเครื่องสืบต่อ เครื่องประสานกัน เช่น ตาเรานี้เพื่อประสานรูป รูปเป็นอายตนะภายนอก ตาเป็นอายตนะภายในเครื่องประสานกัน ตาเห็นรูปเป็นยังไง หูฟังเสียงเป็นยังไง มันประสาน เรียกว่าประสานกัน เวลาทางภายในมันรอบหมดแล้วอายตนะก็สักแต่ว่าใช้ในเวลามีสมมุติอยู่เท่านั้น ส่วนภายในจิตนั้นไม่ได้ซึมซาบกับสิ่งเหล่านี้ เราจะแยกเข้าไปพูดว่าเป็นอายตนะของตัวเองโดยเด็ดขาด โดยหลักธรรมชาติไม่ผิด แต่ต้องเป็นผู้ปฏิบัติผู้บรรลุไม่ค้านกัน ถ้าไม่ปฏิบัติไม่รู้แล้วค้านวันยังค่ำเข้าใจไหม ท่านเป็นอายตนะโดยหลักธรรมชาติ ในเวลาอยู่ในสมมุติท่านก็ทราบ ไม่ถือไม่ติด นั่น ท่านพูดอันหนึ่งว่า อายตนะนิพพาน มีนะในหนังสือ

    อายตนะนิพพานเป็นยังไง อันนี้พูดยากนะ แต่ไม่สงสัย มันเป็นอายตนะนอกสมมุติเสียทั้งหมด นิพพานก็นอกสมมุติแล้ว อายตนะนิพพานก็นอกไปด้วยกัน แล้วจะเอามาพูดคลุกเคล้ากันกับมูตรกับคูถได้ยังไง แน่ะ อายตนะที่จะใช้ในมูตรในคูถก็ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของพระอรหันต์ท่านก็มีท่านก็ใช้เหมือนกัน แต่ท่านไม่แปดเปื้อนกับสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นอายตนะอันหนึ่ง อายตนะนิพพาน จิตเป็นนิพพานแล้วก็เป็นอายตนะอันหนึ่ง มาใช้ภายนอกเป็นอายตนะอันหนึ่ง เอ้า ดับไปโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องพูด แน่ะ หายสงสัยทุกอย่างวันนี้พูดธรรมะจะสูงไปหรือต่ำไปก็ไม่รู้นะเรา ก็งงผู้พูดเหมือนกันเราก็งง หนาขึ้นเรื่อย ๆ นะ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ กิเลสจะหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ คนจะนับวันทะนงตัวดีดดิ้นเรื่อยไปตามกิเลส ทะนงเท่าไรยิ่งต่ำลง ๆ ผู้มีสติสตังพินิจพิจารณาผู้นี้ไม่ทะนงจะผ่านไปได้ ๆ จำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น"

    หลวงตามหาบัว ฌาณสัมปันโน
     
  3. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    นิมิตนั้น หลายหลายยิ่งนัก ยกตัวอย่างเช่น

    ช้างปาริไลยะกะนั้นถ้าถามว่า มาเกิดเป็นใครในยุคปัจจุบัน ก็จะได้คำตอบที่หลากหลายไม่ซ้ำกันเลย ทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ร่วมกันในช่วงเวลาปัจจุบันด้วยซ้ำ เท่าที่สรุปมีดังนี้

    1. ครูบาศรีวิชัย (หนังสือประวัติหลวงปู่จาม ท่านเล่าว่าฟังจากคำหลวงปู่ตื้อ )
    2. หลวงปู่อ่ำ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำบอก)
    3. ในหลวงองค์ปัจจุบัน ร.9 (หลวงปู่สิมบอก)
    4. เป็นเทวดาในสวรรค์ (นิมิตจากคุณ tjs)
    5. ยังมีอีกหลายคนที่อ้างว่าตนเองเคยเกิดเป็นช้างปาริไลยกะ
    6. มีอีกหลายคนที่ถูกพยาการณ์โดยอาจารย์นิรนามว่าเคยเกิดเป็นช้างปาริไลยกะ

    ลองอ่านดูครับ
    http://palungjit.org/threads/โพธิสัตว์องค์ไหนคือ-ช้างปาลิไลย์.225886/

    http://palungjit.org/threads/ทำไมหลวงพ่อฤาษีลาพุทธภูมิครับ.473164/page-2#post7637358
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2013
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อนึ่ง อาจจะมีปัญหาว่า เวลานี้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ไหน? นักศึกษาพุทธประวัติก็จะตอบว่า เวลานี้มีแต่พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงและบัญญัติไว้เมื่อพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ ซึ่งตั้งอยู่ในฐานะศาสดาแทนพระองค์พระพุทธเจ้า ตามที่ได้ทรงสั่งตั้งไว้เมื่อใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน แต่นักศึกษาธรรมก็อาจตอบให้แง่คิดว่า พระพุทธเจ้าทรงบรรลุอมตธรรม (ธรรมที่ไม่ตาย) จึงทรงเป็นอมตะ เวลานี้พระพุทธเจ้าก็ยังมีอยู่ และมีอยู่เป็นนิรันดรกาล มีอยู่ในที่ไหน ก็มีอยู่ในอมตธรรมนั่นแหละ นักศึกษาธรรมยังอ้างหลักฐานในพระสูตรอีกว่า พระพุทธศาสนาไม่แสดงว่า พระตถาคตพุทธเจ้าและพระอรหันต์ตายสูญตายเกิด หรือทั้งตายสูญทั้งตายเกิด เพราะสิ่งที่ตายนั้น คือ ขันธะ หรือ สกันธะ (สกนธกาย) ส่วนพระตถาคตพุทธเจ้าและพระอรหันต์มิใช่ขันธ์ จะเห็นท่านตายสูญหรือตายเป็นอะไรอย่างไรจึงไม่ถูกทุกอย่าง นักศึกษาธรรมยังกล่าวยืนยันต่อไปว่า ตามที่กล่าวว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่เป็นอมตะนั้น ไม่ได้อ้างเอาเองอย่างลม ๆ แล้ง ๆ แต่อาจเห็นได้จริง ๆ คือ ถ้าใครต้องการจะเห็นพระองค์ในเวลานี้หรือในเวลาไหน ๆ ก็ตาม ก็ตั้งใจปฏิบัติพระพุทธศาสนา อบรมจิตใจเห็นเป็นสมาธิ อบรมปัญญาในธรรม ก็จะได้เห็นพระพุทธเจ้าด้วยตนเอง เพราะได้ตรัสไว้แล้วว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” หลักฐานเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงดำรงอยู่เป็นอมตะ และอาจเห็นได้จริง การถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ (ที่พึ่ง) จึงไม่เป็นการถึงอย่างว่างเปล่า เพราะไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แต่มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นสรณะได้จริง

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ความรู้บางอย่างไม่อาจรู้ได้จากการอ่านตามตำราหรือตามคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์
    ต้องใช้กำลังของสมาธิ คุณต้องทำสมาธิต้องปฏิบัติด้วยตัวเองจึงจะสามารถรู้ธรรมะได้
    คุณอวดอ้างว่า "บรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องใช้ฌาน" คุณอาศัยแต่สัญญาการจดจำเรียนรู้จากสมอง
    คุณไม่เจริญสมาธิด้วยตนเอง อาศัยแต่สัญญาการจดจำเรียนรู้โดยอาศัยผู้อื่น
    ความรู้ของจิตเป็นของแปลกประหลาด หากไม่ใช้กำลังสมาธิของตนแล้วไม่มีทางทราบได้
     
  6. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ผมบอกตรงไหนหรือครับว่า บรรลุธรรมโดยไม่ต้องใช้ฌาน?
    คาดว่าคุณอุรุเวลาคงเข้าใจผิดมากกว่า

    ในคัมภีร์อภิธรรมมัตตสังคหะ

    ท่านกล่าวไว้เลยว่า

    "โลกุตตรจิตของพระอริยบุคคลที่ไม่ได้ทำฌานมาก่อนเมื่อสำเร็จมัคคผลย่อมมีปฐมฌานเข้าประกอบด้วย จึงจัดโลกุตตรจิตเข้าไว้ในปฐมฌานด้วย "

    http://abhidhamonline.org/aphi/p1/113.htm

    โปรดอ่านสิ่งที่ผมโพสต์ในกระทู้เก่าและทำความเข้าใจเสียใหม่ครับ
    ซึ่งผมสรุปจากพระอภิธรรมว่า


    - ก่อนบรรลุธรรม ไม่จำเป็นต้องได้ฌาน
    - ขณะบรรลุธรรมจิตต้องรวมเป็นฌานเสมอ


    *ฌานในที่นี้หมายเอา อัปปนาสมาธิ ที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ได้แก่ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

    พระอริยเจ้าที่ไม่เคยทำฌานมาก่อนแล้วบรรลุธรรม นี้มีในตำรา แต่คุณอุรุเวลายังไม่เคยรู้ยังไม่เคยเห็น ก็อย่าพึ่งคัดค้านว่าไม่มีครับ

    ถ้าไม่มีตำราหรือคนบอกนำทางการปฏิบัติ เป็นเครื่องบอกว่าอะไรถูกอะไรผิด ก็ไม่มีทางที่จะปฏิบัติได้ถูกหรอก มีแต่จะเข้ารกเข้าพง (นอกจากพระพุทธเจ้่ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าที่จะ รู้วิธีพ้นทุกข์ถึงนิพพานได้ด้วยตนเอง) คุณเองก็ยังอ้างคำสอนของพระปฏิบัติดีหลายองค์ เช่น พระสังฆราช หลวงตามหาบัว ท่านพุทธทาส มิใช่หรือ?

    อีกอย่างผมไม่เคยอวดอ้างเลยว่า ผมบรรลุธรรมโดยไม่อาศัยฌาน นอกจากนี้ผมไม่ได้แค่ศึกษาปริยัติจากการอ่านตำราอย่างเดียว ผมเองก็ปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนาด้วย อย่าพึ่งด่วนสรุป และกล่าวตู่ผมด้วยถ้อยคำที่ไม่จริงครับ

    เพราะมรรคาปฏิบัตินั้น จิตต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิ จึงจะทำวิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ได้ ซึ่งสมาธินั้นไม่จำเป็นต้องถึงฌาน เสมอไป แต่เมื่อถึงเวลาที่สุกงอมจิตก็จะถึงฌานและบรรลุธรรมครับ
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    http://palungjit.org/threads/ความเข...อนจึงจะสามารถทำวิปัสสนาจนบรรลุธรรมได้.505525/
     
  8. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    มันเป็นสมมุติบัญญัติ ถ้านิยามแต่ละคนไม่ตรงกัน พูดไปสนทนากันไปก็เปล่าประโยชน์ คุณอุรุเวลายกคำครูบาอาจารย์ต่างๆ ล้วนแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนทนาทั้งสิ้น

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสมมุติบัญญัติที่หมายถึง มนุษย์คนแรกแห่งยุคที่รู้วิธีดับทุกข์อย่างแท้จริงอย่างไม่กลับกำเริบอีก ด้วยตนเอง และสามารถสอนผู้อื่นให้ถึงภาวะดับทุกข์อย่างแท้จริงอย่างไม่กลับกำเริบได้

    พุทธะแปลว่ารู้ตื่นเบิกบาน

    ผมสรุปดังนี้ตามนิยามสากลจากพระไตรปิฎกนะครับ
    - ปัจจุบันพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว นี่เป็นความจริงที่ใครก็ค้านไม่ได้

    - พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระอานนท์ก่อนปรินิพพานว่า ให้พระธรรมวินัยเป็นศาสดา แทนตถาคต

    - ภาวะแห่งพุทธะคือภาวะที่จิตบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลส ซึ่งเสมอกันระหว่างพระพุทธเจ้่ากับอรหันต์สาวก แต่ความรู้ความเข้าใจแตกต่างกัน

    - พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

    - ที่พูดๆกันว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ นั้น เป็นคำพูดโดยโวหาร สมมุติบัญญัติ ที่หมายถึงคำสอนของพระพุทธเจ้ายังมีอยู่ไม่ถูกบิดเบือนหรือเลือนหายไป การศึกษาคำสอนนั้นผ่านพระไตรปิฎกก็เสมือนหนึ่งได้ ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าครั้งยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ แต่ความจริงโดยปรมัตถุคือ ขณะนี้พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่ได้อยู่บนโลกนี้หรือโลกไหนๆ แล้ว เพราะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว

    - ที่ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต หมายถึง ผู้ที่เห็นธรรมคือนิพพานนั้น คือรู้เห็นอย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้ารู้เห็น และรู้ว่าจิตบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าครั้งยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ มีลักษณะเช่นไร และเห็นความเป็นตถาคตคือ เป็นพุทธะหรือรู้ตื่นเบิกบานปราศจากกิเลส ไม่ใช่เห็น รูปนามของพระพุทธเจ้าเป็นตัวเป็นตน

    - หลวงปู่มั่น ท่านเห็นจริงในนิมิต แต่นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่มีชีวิตแบบครั้งพุทธกาล แต่เป็นจิตรู้ของหลวงปู่มั่น ที่สัมผัสความบริสุทธิ์แล้วสร้างเป็นนิมิตพระพุทธเจ้าขึ้นมา
    (ส่วนนิมิตที่เห็นนั้น เป็นรูปที่เหมือนพระพุทธเจ้าหรือไม่ อันนี้ไม่รุ้ เพราะคนในปัจจุบันไม่มีใครสักคนที่เคยเห็นพระพุทธเจ้าครั้งยังดำรงพระชนม์ชีพอยุ่ จึงตัดสินไม่ได้)

    - แม้ใครจะเห็นนิมิตพระพุทธเจ้าก็ตาม ก็อาจจะเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆ เป็นเพียงนิมิตที่จิตสร้างขึ้น ถ้าหลงไปยึดว่าเป็นจริงก็เพราะความไม่รู้ต่างหาก การหลงไปยึดนิมิตที่ไม่จริงว่าเป็นจริงก็ไม่ต่างกับคนที่ฝันแล้วเชื่อว่าเหตุการณ์ที่ฝันนั้นเป็นความจริง
    อย่าว่าแต่หลวงปู่มั่นเลย หลายคนในที่นี้ก็มีนิมิตเห็นรูปพระพุทธเจ้าได้ แม้จะยังไม่ถึงที่สุดแห่งธรรมก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่เครื่องรับประกันความเก่งกาจในการปฏิบัติธรรม

    - พระนาคเสนเคยสอนพระเจ้ามิลินทร์ว่า
    จริงอยู่ที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แต่การบูชาพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นบุญอยู่ และคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ยังดำรงอยู่สามารถศึกษาทำตามและพ้นทุกข์ได้ไม่ต่างกับสมัยพุทธกาล

    อุปมาเหมือน ไฟที่ดับไปแล้ว แต่ยังมีความร้อนหลงเหลืออยู่ คนก็ยังกำบังลมไว้ไม่ให้โดนบริเวณที่เคยมีไฟลุกแม้ไฟจะดับไปแล้ว เพราะบริเวณนั้นยังมีความร้อนอยู่จักทำความอบอุ่นให้ร่างกายได้อยู่ ถ้าลมพัดก็จะพัดเอาความร้อนนั้นไปด้วย

    ต้องแยกให้ออกว่า ความร้อน กับ ไฟ ไม่ใช่อันเดียวกัน
    คำสอนของพระพุทธเจ้า กับ ขันธ์ 5 ของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

    พระพุทธเจ้าดับขันธ์ไปแล้ว โดยปรมัตถุ์นั้น คือ พระพุทธเจ้าไม่อยุ่แล้ว
    แต่โดยโวหารก็พูดกันว่ายังอยู่ ซึ่งไม่ใช่ความจริงโดยปรมัตถุ์
     
  9. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนนะครับ ถ้าคุณอุรุเวลาจะแย้งก็ช่วยอธิบายเหตุผลที่ตรงประเด็นนะครับว่า ไม่เห็นด้วยกับพระพุทธพจน์ข้างต้นนี้เพราะอะไร

    ไม่ใช่สักแต่ว่า copy คำครูบาอาจารย์ในปัจจุบัน ที่ท่านเทศน์ในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มาอ้าง
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมคัดลอกคำสอนของครูบาอาจารย์มาให้อ่านนั้น ท่านได้ให้ตอบไว้หมดแล้วครับ แต่คงยากเกินไปและผมไม่บอกว่าไม่เห็นด้วยกับพระพุทธพจน์ข้างต้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสแต่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต สังเกตเห็นอะไรบ้างครับ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเท่านั้นที่จักไม่เห็นตถาคต นอกจากเทวดาและมนุษย์แล้วพระองค์ไม่ได้บอกว่าจะมีใครเห็นพระองค์ ถ้าจะพิจารณาว่ามีใครเห็นพระองค์ ก็ต้องย้อนกลับมาที่พระองค์ทรงไว้ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั่นเห็นเรา ตถาคต" และที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า "ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม" ดังนั้นผู้ที่เห็นพระพุทธเจ้าคือผู้ที่เห็นธรรม ส่วนจะเห็นอย่างไร เห็นจริงหรือไม่เห็นจริงเกินความสามารถของคนธรรมดาหรือคนไม่เห็นธรรม วิมมุติหรือนิพพานไม่ใช่ว่า จะมีใครผู้มีอภิญญาสมาบัติยกนิพพานมาให้ดูกันได้ ผู้นำธรรมะไปปฏิบัติเท่านั้นจึงจะเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมะก็เห็นพระพุทธเจ้า ที่พูดกันว่าเห็นพระพุทธเจ้าในแดนนิพพานแล้วเอามาเล่ากันนั้น ไม่ใช่ของจริง ผู้ที่บรรลุมรรคผลนิพพานแล้วคือไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ที่ไปเห็นแล้วกลับมาเกิดอีก กลับมาเล่าอย่างนั้นอย่างนี้ที่เห็นที่เล่านั้นไม่ใช่สภาวะนิพพาน ผู้ที่เห็นนิพพานแล้วกลับมาสมมุติอีกกลับเล่าเมืองนิพพานอีก เมืองนิพพานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นั้นยังไม่ใช่พระนิพพาน
     
  11. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    โดยสรุปนะ

    ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา คือ เห็นสภาวะจิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสแบบที่พระพุทธเจ้ารู้เห็นครั้งยังดำรงพระชนม์ชีพ เห็นว่าพระพุทธเจ้ามีสภาพจิตเช่นไร

    แม้จะยกคำครูบาอาจารย์มา ก็ไม่สามารถหักล้างกับพระพุทธพจน์ที่ว่า

    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

    ได้

    ส่วนที่เห็นพระพุทธเจ้าเป็นรูปร่างนั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆที่เสด็จมาจากแดนนิพพานแน่นอน แต่เป็นนิมิตที่จิตสร้างขึ้น

    ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านก็รู้ เพียงแต่บางท่านอาจจะไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้ฟัง

    ทำให้คนที่ยังมีกิเลสอยู่เข้าใจผิดๆว่า นิมิตที่เห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่มีตัวตนจริงๆเสด็จมาจากแดนนิพพาน
     
  12. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    นิมิตจิตที่สร้างขึ้น ก็มีความรู้เท่าที่เจ้าของรู้นั่นแหละ
    ภูมิรู้ภูมิธรรมของพระอรหันต์สาวก แม้จะบริสุทธิ์เทียบเท่าพระพุทธเจ้า แต่ความรู้ความเข้าใจ และความสามารถในการอธิบายธรรม ย่อม น้อยกว่าพระพุทธเจ้า

    ดังนั้น แม้พระอรหันต์สาวกทั้ง 500 รูปที่ทันเห็นพระพุทธเจ้าครั้งยังทรงพระชนม์ชีพ จะสามารถมีนิมิตเห็นรูปพระพุทธเจ้าได้ แต่ท่านก็รู้ว่านั่นคือนิมิตที่จิตสร้างขึ้น ไม่ใช่ของจริง ที่จะมาตอบคำถามว่า สิกขาบทเล็กน้อยได้แก่อะไรบ้าง ได้

    เรื่องสิกขาบทเล็กน้อยนี้สำคัญมาก เพราะเป็นต้นเหตุให้ คณะสงฆ์วัชชีบุตร เสนอวัตถุ 10 ประการที่ย่อหย่อนต่อพระวินัย อาทิเช่น รับเงินทองได้ ทำให้สงฆ์คณะอื่นไม่เห็นด้วย และทำให้สงฆ์แตกเป็นสองฝ่าย ตั้งแต่ พศ.100 เป็นต้นมา
     
  13. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386


    อันนี้ไม่ใช่พระดำรัสของสมเด็จพระสังฆราชแน่นอน เมื่อมีคนออกมาบิดเบือน ในฐานะคนนับถือพระองค์ท่านก็ต้องออกมาชี้แจง
    ชาวบ้านชาวช่องเขารู้กันมานานแล้ว......ว่ามันเป็นการแอบอ้างเขียนมาจากไหนไม่รู้เอาชื่อสมเด็จท่านมาใส่ทำปกสีชมพูให้มีตราสวยหรู.....เพื่อความน่าเชื่อถือของคนไทยที่เห้นปุ๊บเชื่อปั๊บ หาดูคำแฉในเว็ปเองเด้อ.....

    .มันก็เหมือนกรณีทะไลลามะตรัสยกย่องในหลวงว่าเป็นพระโพธิสัตว์อาตมาสู้มหาราชภูมิพลไม่ได้เลย เมื่อหลายปีก่อน เอาเร็วๆๆนี้ วัดธรรมกาย ต้องถอดรูป "เจมส์ จิ" เพราะเอาไปแอบอ้างว่า"เจมส์ จิ"เป็นสาวกคนสำคัญและชวนคนเข้าวัดทำบุญ พร้อมคำว่าI’m a Buddhist and you? (แปลเป็นไทยว่าผมเป็นพุทธศาสนิกชน แล้วคุณล่ะ?)โอ้ยเขากำลังกอบโกยจากงานถ่ายปกเดินแบบเล่นละครเขาจะว่างมาวัดธรรมกายหรือครับยิ่งเด็กรุ่นๆๆด้วยมันจะเข้าวัดหรือครับ ถ้ามีสมองคงไม่โง่โดนหลอก

    เจ้าของกระทู้ท่านยกกาลมาสูตร มาประกอบแล้ว ก็ควรจะพิจารณา.....
    หนังสือเล่มนี้ มันเล่มเล็กๆๆพิมพ์เผยแพร่ในกลุ่มหนึ่งๆๆ เกริ่นเริ่มด้วย เหตุการณ์ความไม่สงบภาคใต้ เนื้อความหลายหน้า และลงท้ายว่า รพ.จุฬา พ.ค. 50

    แต่ประเด็นคือสมเด็จท่านไม่ได้ตรัสเทศน์ ใจความยาวๆ ตั้งแต่ราวปี 2546 เพราะสุขภาพไม่อำนวยว่าแต่หนังสือผีเล่มนี้มันมาได้อย่างไรขยายไปหลุดโลกมาเพียงใด อ้อและเวลาสมเด็จท่านเทศน์ท่านจะไม่อ้างพระอ.แมวเหมียวที่ไหนทั้งนั้นท่านอ้างแต่พระไตรปิฏกเป็นสำคัญ ลองเอาหนังสือสัมมาทิฏฐิมาอ่านก็จะรู้


    ก่อนจะอนุโมทนา ก็ควรจะหาข้อมูลเพิ่มเติมนะ.......ไม่ใช่สมเด็จท่านไม่นับถือพระอ.มั่นหรือสายนั้น เพราะพระองค์ท่านเป็นผู้สนับสนุนให้สายนี้กลับมามีบทบาทอีกหลังถูกขับออกไป เพราะศิษย์เอกพระอ.มั่นรูปหนึ่งที่เขียน(ร่วม)มุตโตทัยดันไปมั่วกับสีกา ถูกเขาจับได้เขาเลยจับสึกสมเด็จสังฆราชองค์ที่แล้วจึ่งขับพระสายนี้ออกไป แล้วไปอุ้มสายพระอ.สดแทนเพราะพระอ.สดเป็นญาติกับท่าน จวบจนสืบต่อมาเป็นคณะธรรมกายอันเป็นมหาภัยในปัจจุบัน สมเด็จพระสังฆราชเจริญนี้เอง ที่หันมาอุ้มพระป่าสายนั้นอีกครั้ง ควบคู่ไปกับเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกที่สนับสนุนพระนอกรีต(ในสายตาคณะสงฆ์ยุคนั้น) อย่างท่านอ.พุทธทาส ทั้งนี้เพราะสมเด็จท่านมีวิสัยทัศน์และภูมิปัญญาสูง ดังที่ท่านก็สนับสนุนพระพรหมคุณากรณ์มาโดยตลอด แม้จะอ่อนเชิงปกครองไปบ้างดังที่มีเหลือบไรอยู่รอบๆๆตัวพระองค์มิใช่น้อย เพราะทรงใช้แต่พระคุณ จนพวกนี้ได้ใจ

    เห็นแล้ว
    ปลง

    เพราะขนาดสมเด็จท่านยังทรงโดนแอบอ้าง

    ออกแนวบิดเบือนนะฮ่ะ

    สมเด็จพระญาณสังวร ท่านเป็นสายปฎิบัติ ที่ไม่เคยมีปรากฏเลยว่า
    ท่านจะสอนแนวอื่น หรือพูดเรื่องแดนนิพพาน ดังท่านทรงมีหนังสือขับเจ้าคณะธรรมกายก็เพราะเผยแพร่คำสอนผิดๆๆนี้หาเงินหาทอง

    ท่านสอนแต่สติปัฎฐานและธรรมการปฏิบัติ+ปริยัติล้วนๆ

    แต่ขอให้รู้ว่า ไม่ใช่ท่าน ใครเคยอ่านหนังสือของสมเด็จท่านจะรู้ว่าท่านเน้นย้ำสูตรที่ว่า"ทั้งเทวดามนุ๋ษย์หรือใครๆๆจะไม่ได้เห็นเราอีกเมื่อปรินิพพาน เหมือนไฟดับไม่เหลือเชื้อท่านจะบอกได้ไหมว่าไฟไปอยู่ที่ไหน"
    ยกมาว่า"

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้วผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต."


    พรหมชาลสูตร ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙
    ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
    อ่านปุ๊บเชื่อปั๊บนี่แหละคนไทย เวลาอ่านบางคนก็เชื่อไปตามสติปัญญาตื้นๆๆ ท่านพุทธทาสแนะว่า ให้เอาภาษาคนภาษาธรรมมาจับ นะจะเชื่อโง่ๆๆไปเลยมันไม่ได้ ...................ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นเราที่แน่ๆๆเขาไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าจะลอยมาจากฟ้าเป็นตัวๆๆมาโผล่เวลาคุณนั่งสมาธิแน่

    หนักใจแทน คนสมัยนี้จริงๆ มิน่าคนไทยมันถึงได้ถูกวิจัยว่าโง่ที่สุดในอาเซียน ก็เขาจัดอันดับ8ประเทศไม่จัดลาวกับพม่า ไทยได้ที่สุดท้ายที่แปดอะ ถ้าเอาพม่าเอาลาวมาคิด ด้วยเกิดได้ที่10 นี่มันอายเขาไหมไปดูถูกเขา เหอๆๆ แพ้กระทั้งเขมรและเวียดนาม เฮ้ยไม่ใช่เล่นๆๆนะโว้ย.....เอาซี่อย่างน้อยเมืองหลวงเราก็รถติดที่หนึ่งของโลกกล้าแข่งปะ ไทยเรามันหนึ่งในโลก มีรัฐธรรมนูญฉีกเขียนฉีกเขียนเยอะสุด มีรัฐประหารเยอะสุด คอรัปชั่นที่สุด กล้าแข่งไหมล่ะ

    ไม่นาน สัจธรรมจะถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆ

    ทางเอก คือสติปัฎฐานที่แท้ ถ้าทุกคนทำได้ ก็จะเข้าใจ
    ไม่หลงไปกับภาพมายาทางจิต ซึ่งหลอกได้เนียนมาก

    ไม่แปลกใจหรอก ถ้าศาสนาจะเสื่อมลงทุกวัน
    และไม่นานธรรมะแท้ๆ ก็อาจจะค่อยๆ เลือนไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2013
  14. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พึงใช้หลักมหาปเทศ

    กล่าวคือ ไม่ว่าจะได้ยิน พระรูปไหน (แม้แต่พระสังฆราช) หรือพระกลุ่มไหน กล่าวสอนสิ่งใดก็ตาม

    ให้ตรวจสอบว่าเทียบเคียงได้กับพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนหรือไม่
    ถ้าผิดจากพระธรรมวินัย ก็อย่าไปเชื่อ

    ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่ ใช้ศรัทธานำปัญญา แค่มีชื่อพระที่มีชื่อเสียง แปะทึ่หนังสือ ก็เชื่อโดยที่ไม่สนใจแล้วว่าพระพุทธเจ้าตรัสเช่นไร ข้อความในหนังสือผิดยังไงไม่สน รู้แค่ว่า มีชื่อพระที่มีชื่อเสียงติดเป็นโลโก้รับประกันก็เชื่อไว้ก่อนว่าถูก

    ยกตัวอย่างเช่น เชื่อผิดๆว่า อภัยทานเหนือกว่าธรรมทาน เพราะมีชื่อพระสังฆราชแปะหน้าหนังสือ วิธีสร้างบุญบารมี

    ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การให้ธรรมทาน ชนะทานทั้งปวง

    ความจริงแล้ว พระสังฆราช แต่งหนังสือวิธีสร้างบุญบารมีเหมือนกัน แต่ไม่มีข้อความที่ผิด นี้

    แต่มีคนกลุ่มหนึ่งที่ แต่งหนังสือวิธีสร้างบุญบารมีเหมือนกับชื่อหนังสือที่แต่งโดยพระสังฆราช

    แต่เนื้อหากลับบิดเบือนพระพุทธพจน์ แล้ว แอบอ้างใส่ชื่อว่าพระสังฆราชเป็นผู้แต่ง

    เท่านั้นแหละครับ คนก็เชื่อผิดๆและเผยแพร่สิ่งผิดๆ จนกระจายไปทั่วเลยทีเดียว
     
  15. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386

    วันนั้นบอกกับผู้ดูแลทำนองว่าผมจะไม่มาเขียนอะไรในเว็ปนี้อีก จะเลิกและ ไม่แน่จริงนี่หว่า อรุเวลา พอหลุดจากใบแดงก็โผล่มาอีก หลงชื่นชมว่าอุรุเวลาเขาเอาจริงโว้ยเลิกโพสต์ เลิกแสดงความคิดเพราะเบื่อ นายแน่มาก ไม่ทันไร ผิดหวังจริงๆๆ55555

    ล้อเล่นนะเขียนไปเถอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2013
  16. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คุณ ซงแทแฮา

    เรื่องยมกสูตร นั้นผู้ที่แก้ความเห็นผิดของพระยมกะ จนบรรลุอรหัตตผล คือ พระสารีบุตร ไม่ใช่พระพุทธเจ้า

    สา. ดูกรท่านยมกะ ถ้าชนทั้งหลาย พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ท่านยมกะ ภิกษุ ผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร ท่านถูกถามอย่างนั้น จะพึงกล่าวแก้ ว่าอย่างไร?             
     ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ถ้าเขาถามอย่างนั้น ผมพึงกล่าวแก้อย่างนี้ว่ารูปแลไม่เที่ยง สิ่ง ใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไป แล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ ข้าแต่ท่านสารีบุตร ผมถูกเขาถามอย่างนั้น พึงกล่าวแก้อย่างนี้.
    สา. ดีละๆ ยมกะ

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=17&A=2447&Z=2585

    ส่วนเรื่อง เปรียบเทียบ การเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน กับ ไฟที่ดับ
    พระพุทธเจ้าสอน ปริพาชก ชื่อ วัจฉะ ใน อัคคิวัจฉโคตตสูตร

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=13&A=4316&Z=4440
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤศจิกายน 2013
  17. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    ถึงคุณรณจักรพอดีผมไปลอกเขามาจากhttp://pantip.com/topic/31158176ตัด...ูกไหมดูผ่านๆๆเขาว่าข้อความนี้มันอยู่ในหนังสือ ๔๕ พรรษา ของพระพุทธเจ้า หน้า 125-126 ผิดถูกยังไงผมไม่รู้ครับเพราะไม่มีเล่มนี้ว่ามานี้ คนย่อมาคงจะย่อมาผิดอ้อแต่ในยมกสูตร เป็นพระสารีบุตรท้วงก็ถูกแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2013
  18. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คุณอุรุเวลาโดนแบนหลายครั้งแล้ว
    เท่าที่เห็นก็ 2-3 ครั้งมั๊ง
     
  19. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ไม่เป็นไรครับ ผมช่วยแก้ให้แล้ว ไม่ว่าในหนังสือเล่มนั้นจะเขียนยังไงก็ตาม แต่ความจริง ตามพระไตรปิฎกก็ เป็นอย่างที่ผมนำมาบอกแหละครับ
     
  20. ซงแทฮา

    ซงแทฮา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +386
    อ้อขอบคุณครับ ผมก็ไม่ได้ตรวจทาน เทียบกับสูตรอีกที แต่ที่แก้มาถูกต้องแล้วครับ อันนี้ผมไม่ต้องเช็คที่ท้วงเลยเพราะถูกแล้วแน่นอนผมเคยเห็นสองสูตรนี้มาแล้วจำได้อยู่ ที่ท้วงมาใช่แล้วครับ คุณรณจักรต้องจับประเด็นได้ไม่งั้นท้วงแบบนี้ไม่ได้เพราะมันนิดเดียวจริงๆๆ สมาชิกแบบนี้หายากในเว็ปนี้พวกเอาสีข้างเข้าถูมันเยอะเว็ปนี้
    ผมก็ตัดไปแล้วเดี๋ยวคนเข้าใจผิด (กรณีที่ต้องการความแม่นยำมากๆๆ)

    อันนี้ก็เป็นข้อพิสูตรนิดหนึ่งว่าข้อมูลในเน็ตนี่เชื่อไม่ได้ต้องระวังพอสมควร ถ้าเผลอก็ไปไกลเลยทีเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...