ในอนันตจักรวาลนี้มีพระพุทธเจ้าสิ้นจำนวน 3,584,192 พระองค์ ไม่ใช่ 5 พระองค์ หรือ 28 พระองค์ อย่างที่ผมเข้าใจครับ ทุกท่านคิดว่าอย่างไรครับ ตามรายละเอียดข้างล่างนี้ครับ
สัมพุทเธ
สัมพุทเธ อัฏฐะวีสัญจะ ทฺวาทะสัญจะ สะหัสสะเก,
ปัญจะสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง,
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหัง,
นะมะการานุภาเวนะ หันตฺวา สัพเพ อุปัททะเว,
อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ อะเสสะโต.
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ๕ แสน ๑ หมื่น ๒ พัน ๒๘ พระองค์ ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมด้วย พระสงฆ์ด้วย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยเคารพ ด้วยอานุภาพ แห่งการกระทำความนอบน้อม จงขจัดเสียซึ่งอุปัทวะทั้งปวง แม้อันตรายทั้งหลายเป็นเอนก จงพินาศไปโดยไม่เหลือ
สัมพุทเธ ปัญจะปัญญาสัญจะ จะตุวีสะติสะหัสสะเก,
ทะสะสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง,
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหัง,
นะมะการานุภาเวนะ หันตฺวา สัพเพ อุปัททะเว,
อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ อะเสสะโต.
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ล้าน ๒ หมื่น ๔ พัน ๕๕ พระองค์ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมด้วย พระสงฆ์ด้วย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยเคารพ ด้วยอานุภาพ แห่งการกระทำความนอบน้อม จงขจัดเสียซึ่งอุปัทวะทั้งปวง แม้อันตรายทั้งหลายเป็นเอนก จงพินาศไปโดยไม่เหลือ
สัมพุทเธ นะวุตตะระสะเต อัฏฐะจัตตาฬีสะสะหัสสะเก,
วีสะติสะตะสะหัสสานิ นะมามิ สิระสา อะหัง,
เตสัง ธัมมัญจะ สังฆัญจะ อาทะเรนะ นะมามิหัง,
นะมะการานุภาเวนะ หันตฺวา สัพเพ อุปัททะเว,
อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ อะเสสะโต.
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ๒ ล้าน ๔ หมื่น ๘ พัน ๑๐๙ พระองค์ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระธรรมด้วย พระสงฆ์ด้วย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น โดยเคารพ ด้วยอานุภาพ แห่งการกระทำความนอบน้อม จงขจัดเสียซึ่งอุปัทวะทั้งปวง แม้อันตรายทั้งหลายเป็นเอนก จงพินาศไปโดยไม่เหลือ
ท่อนที่ 1 มีพระพุทธเจ้า ทั้งสิ้น 512,028 พระองค์
ท่อนที่ 2 มีพระพุทธเจ้า ทั้งสิ้น 1,024,055 พระองค์
ท่อนที่ 3 มีพระพุทธเจ้า ทั้งสิ้น 2,048,109 พระองค์
รวมแล้วในอนันตจักรวาลนี้มีพระพุทธเจ้า มี 3,584,192 พระองค์
ทุกท่านครับผมเข้าใจถูกหรือผิดครับ
พระพุทธเจ้า มี 3,584,192 พระองค์
ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ศักยิ์กมล, 14 ธันวาคม 2012.
หน้า 1 ของ 2
-
ผมขออนุญาติ ไม่เห็นด้วยนะครับ เท่าที่ผมศึกษามา มีที่พุทธเจ้าองค์ปัจจุบันพูดถึงมีในอดีต ๖ องค์ อนาคต ๑ องค์ แต่มีมากแน่ ไม่เห็นที่ท่านระบุว่าเท่าไร
มีแต่สาวกพูด
http://palungjit.org/threads/คาถาแผ่เมตตากันงูกัด.391511/
( [๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคต ๕ ประการนี้ ยังไม่บังเกิดในปัจจุบัน แต่
จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยเหล่านั้น เธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะครั้นแล้ว พึงพยายามเพื่อละภัย
เหล่านั้น ภัยในอนาคต ๕ ประการเป็นไฉน คือ)
อีกประการหนึ่ง ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีลไม่อบรมจิต
ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา พระสูตรต่างๆ
ที่ตถาคตได้ภาษิตไว้ เป็นสูตรลึกซึ้ง มีอรรถลึกซึ้งเป็นโลกุตระ ประกอบด้วยสุญญตาธรรม
เมื่อพระสูตรเหล่านั้นอันบุคคลแสดงอยู่ก็จักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยโสตลงสดับ จักไม่ตั้งจิต
เพื่อรู้ จักไม่ใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้นว่าควรศึกษาเล่าเรียน
แต่ว่าสูตรต่างๆ ที่นักกวีแต่งไว้
ประพันธ์เป็นบทกวี มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะสละสลวย เป็นพาหิรกถา เป็นสาวกภาษิต
เมื่อพระสูตรเหล่านั้น อันบุคคลแสดงอยู่ ก็จักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับจักตั้งจิตเพื่อรู้
จักฝักใฝ่ใจในธรรมเหล่านั้นว่าควรศึกษาเล่าเรียน เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมี
เพราะการลบล้างธรรม การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภัยใน
อนาคตข้อที่ ๔ นี้ ซึ่งยังไม่บังเกิดในบัดนี้แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยข้อนี้อันเธอทั้งหลาย
พึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้ว พึงพยายามเพื่อละภัยนั้น ฯ
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
หน้าที่ ๙๒/๔๐๗ ข้อที่ ๗๙ -
(ขออนุญาติครับ อาจจะยาวสักหน่อย ขอโอกาส ลองพิจารณาดูครับ ในความเห็นผมว่าเรียนแค่ ๗ องค์นี้ก็ครบแล้ว มันเหมือนวงกลม เพราะองค์ต่อไป อายุ ๘๐,๐๐๐ ปี)
[๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่ควงไม้พญาสาลพฤกษ์ ใน ป่าสุภวัน
ใกล้อุกกัฏฐนคร ภิกษุทั้งหลายเมื่อเรานั้นไปเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความ รำพึงในใจว่า ชั้นสุทธาวาส
ซึ่งเรามิได้เคยอยู่เลย โดยเวลาอันยืดยาวนานนี้ นอกจากเทวดาเหล่าสุทธาวาสแล้ว ไม่ใช่
โอกาสที่ใครๆ จะได้โดยง่าย ถ้า กระไรเราพึงเข้าไปหาเทวดาเหล่าสุทธาวาสจนถึงที่อยู่ ภิกษุ
ทั้งหลายทันใดนั้น เรา ได้หายไปที่ควงไม้พญาสาลพฤกษ์ ในป่าสุภวันใกล้อุกกัฏฐนคร ไปปรากฏ
ในพวกเทพดาเหล่าอวิหา เปรียบเหมือนบุรุษที่มีกำลัง เหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่ง
แขนที่เหยียดออกไว้ ฉะนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นแล เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมาก ได้เข้า
มาหาเรา ครั้นเข้ามาหา ไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น เทพดาเหล่านั้น
ยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ นับแต่นี้ ไป ๙๑ กัป พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เสด็จ อุบัติในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระผู้มี
พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในขัตติย
สกุล เป็นโกณฑัญญะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณแปดหมื่นปี พระองค์ได้ตรัสรู้ที่ควง
ไม้ แคฝอยมีพระขันฑเถระ และพระติสสเถระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ ข้าแต่
พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม
ว่า
วิปัสสี ได้มีแล้วสามครั้ง ครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุหกล้านแปดแสนรูป
อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนแสนรูป อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็น
จำนวนแปดหมื่นรูป พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสีที่ได้
ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ภิกษุผู้อุปัฏฐาก
ชื่ออโสกะ ได้เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี
พระราชาพระนามว่าพันธุมา เป็นพระชนกพระเทวีพระนามว่า พันธุมดีเป็นพระชนนีบังเกิดเกล้า
ของพระองค์ พระนครชื่อว่าพันธุมดี เป็นราชธานีของพระเจ้าพันธุมา ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
การออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้การประกาศ พระธรรมจักร
ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์
ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้น ประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค พระนามว่าวิปัสสี คลาย
กามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้วจึงได้ บังเกิดในที่นี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมาก ได้เข้า
มาหาเราครั้นเข้ามาหา ไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น เทพดาเหล่านั้น
ยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์นับ แต่นี้ไป ๓๑ กัป พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี เสด็จ อุบัติในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ
เสด็จอุบัติในขัตติยสกุล เป็น โกณฑัญญะโดยโคตร มีพระชนมายุประมาณเจ็ดหมื่นปี พระองค์
ได้ตรัสรู้ที่ควงไม้ กุ่มบก มีพระอภิภูเถระและพระสัมภวเถระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อัน
เจริญ การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี ได้
มีแล้วสามครั้ง ครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแสนรูป อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวก
ประชุมกัน เป็นจำนวนภิกษุแปดหมื่นรูป อีกครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุ
เจ็ดหมื่นรูป ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม
ว่าสิขี ที่ ได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
ภิกษุผู้อุปัฏฐาก ชื่อเขมังกระ ได้เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่าสิขี พระราชาพระนามว่าอรุณะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่าปภาวดี เป็นพระชนนี
บังเกิดเกล้าของพระองค์ พระนครชื่อว่าอรุณวดี เป็นราชธานีของพระเจ้าอรุณ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การประกาศพระธรรม
จักร ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นอย่างนี้ๆ พวกข้า พระองค์นั้น
ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี คลายกามฉันท์
ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมากได้เข้าหา
เรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น เทวดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อย
แล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ในกัปที่ ๓๑ นั้นเอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู ได้ เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติ
ในขัตติยสกุลเป็นโกณฑัญญะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณหกหมื่นปี พระองค์ได้ตรัสรู้
ที่ควงไม้สาลพฤกษ์ มีพระโสนเถระและพระอุตตรเถระเป็นคู่พระอัครสาวกซึ่งเป็นคู่อันเจริญ
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่าเวสสภู ได้มีแล้วสามครั้ง ครั้งหนึ่ง มีสาวกประชุมกันเป็นจำนวนแปดหมื่นรูป
อีกครั้งหนึ่งมีสาวกประชุมกันเป็น จำนวนภิกษุเจ็ดหมื่นรูป อีกครั้งหนึ่งมีสาวกประชุมกันเป็นจำนวน
ภิกษุหกหมื่นรูปสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู ที่ได้
ประชุม กันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่าอุปสันตะ ได้เป็น
อัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู พระราชาพระนามว่า
สุปปตีตะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่าสวดี เป็น พระชนนีบังเกิดเกล้าของพระองค์ พระนคร
ชื่อว่าอโนมะ เป็นราชธานีของพระเจ้าสุปปตีตะ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออกมหาภิเนษ
กรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู เป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้ นิรทุกข์ พวกข้า
พระองค์นั้นประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคพระนามว่า เวสสภู คลายกามฉันท์ในกาม
ทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมากได้เข้ามาหา
เรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นเทพดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อย
แล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ใน ภัททกัปนี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ได้ เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ เสด็จ
อุบัติในพราหมณสกุล เป็นกัสสปะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณสี่หมื่นปี พระองค์ได้
ตรัสรู้ที่ ควงไม้ซีก มีพระวิธูรเถระและพระสัญชีวเถระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่ อันเจริญ
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระ
นามว่า กกุสันธะ ได้มีแล้วครั้งเดียว เป็นจำนวนภิกษุสี่หมื่นรูป ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ สาวก
ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ที่ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้
ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่า วุฑฒิชะ ได้เป็นอัครอุปัฏฐากของ พระผู้มี
พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ พราหมณ์ชื่อ อัคคิทัตตะ เป็นพระชนก
พราหมณีชื่อว่า วิสาขา เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็เวลานั้น
พระเจ้าเขมะ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระนครชื่อว่า เมมวดี เป็นราชธานี ของพระเจ้าเขมะ การเสด็จ
ออก มหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การประกาศ พระธรรมจักร
ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ เป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์
ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้นประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ คลาย
กามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้ บังเกิดในที่นี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมากได้เข้ามาหา
เรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นเทวดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อย
แล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ใน ภัททกัปนี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ ได้เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ เสด็จ
อุบัติในพราหมสกุล เป็นกัสสปะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณสามหมื่นปี พระองค์ได้
ตรัสรู้ที่ ควงไม้มะเดื่อ มีพระภิยโยสเถระ และพระอุตตรเถระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่
อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งสาวกของพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ ได้มีแล้วครั้งเดียว เป็น จำนวนภิกษุสามหมื่นรูป พระสาวก
ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ ที่ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้
ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพ ทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อโสตถิชะ เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พราหมณ์ชื่อว่า
ยัญญทัตตะ เป็นพระชนก พราหมณีชื่อว่า อุตตรา เป็นพระชนนี บังเกิดเกล้าของพระองค์ ก็ครั้งนั้น
พระเจ้าโสภะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระนคร ชื่อว่าโสภวดี เป็นราชธานีของพระเจ้าโสภะ ข้าแต่
พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จ ออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้
การประกาศ พระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ
เป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้น ประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มี
พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว
จึงได้บังเกิดในที่นี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมากได้เข้า
มาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นเทวดาเหล่านั้น
ยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ใน ภัททกัปนี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ
เสด็จอุบัติในพราหมณสกุล เป็นกัสสปะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณสองหมื่นปี
พระองค์ได้ตรัสรู้ ที่ควงไม้ไทร มีพระติสสเถระและพระภารทวาชเถระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่ง
เป็นคู่อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ได้มีแล้วครั้งเดียว เป็น จำนวนภิกษุสองหมื่นรูป ข้าแต่
พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ ที่
ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่า สัพพมิตะ ได้เป็น
อัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ พราหมณ์ชื่อ
พรหมทัตต์ เป็นพระชนก พราหมณีชื่อ ธนวดี เป็นพระชนนี บังเกิดเกล้าของพระองค์ ข้าแต่พระองค์
ผู้นิรทุกข์ ก็ครั้งนั้นพระเจ้ากิงกี เป็น พระเจ้าแผ่นดิน พระนครพาราณสี เป็นราชธานีของพระเจ้ากิงกี
ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร
การตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
กัสสปะ เป็นอย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้น ประพฤติพรหมจรรย์ใน
พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กัสสปะ คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็นอันมากได้เข้ามาหา
เรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นเทวดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อย
แล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ใน ภัททกัปนี้เอง บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จอุบัติ ในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในขัตติยสกุล
เป็นโคตมโดย พระโคตร ประมาณพระชนมายุของพระผู้มีพระภาคน้อยนิดเดียว เร็วพลัน ผู้ที่มี
ชีวิตอยู่นานก็เป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี บางทีก็มีชีวิตอยู่น้อยกว่าบ้าง มากกว่าบ้าง พระผู้มีพระภาค
ตรัสรู้ ที่ควงไม้โพธิ์ มีพระสารีบุตรเถระ และพระโมคคัลลานเถระ เป็นคู่พระอัครสาวกซึ่งเป็น
คู่อันเจริญของพระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระองค์ ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มี
พระภาค ได้มีแล้วครั้งเดียว เป็นจำนวนภิกษุหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์
สาวกของ พระผู้มีพระภาคที่ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐาก
ชื่ออานันทะ ได้เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระองค์ผู้ นิรทุกข์ พระราชาพระนามว่า
สุทโธทนะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่า มายา เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาค
พระนครชื่อกบิลพัสดุ์ เป็น ราชธานี ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การ
บรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาค เป็น
อย่างนี้ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้นประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาค
คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้ ฯ
-----------------------------------------------------------------
[๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่ธรรมธาตุนี้ ตถาคตแทงตลอดแล้วอย่างดี
ด้วยประการฉะนี้แล ฉะนั้น พระพุทธเจ้าที่ล่วงไปแล้ว ปรินิพพานแล้ว ตัดธรรมเป็นเหตุทำให้เนิ่นช้า
ได้แล้ว ตัดวัฏฏะได้แล้ว ครอบงำวัฏฏะได้ แล้ว ล่วงสรรพทุกข์แล้ว ตถาคตย่อมระลึกถึงได้
แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม แม้โดยพระโคตร แม้โดยประมาณแห่งพระชนมายุ แม้โดยคู่
แห่งพระสาวก แม้ โดยการประชุมกันแห่งพระสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น
จึง มีพระชาติอย่างนี้ จึงมีพระนามอย่างนี้ จึงมีพระโคตรอย่างนี้ จึงมีศีลอย่างนี้ จึง มีธรรม
อย่างนี้ จึงมีปัญญาอย่างนี้ จึงมีวิหารธรรมอย่างนี้ จึงมีวิมุติอย่างนี้ ฯ
แม้พวกเทพดาก็ได้บอกเนื้อความนี้แก่ตถาคต ซึ่งเป็นเหตุให้ตถาคตระลึกถึงได้ซึ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ปรินิพพานแล้ว ตัดธรรมเป็นเหตุทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว ตัดวัฏฏะ
ได้แล้ว ครอบงำวัฏฏะได้แล้ว ล่วงสรรพทุกข์แล้ว แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม แม้
โดยพระโคตร แม้โดยประมาณแห่ง พระชนมายุ แม้โดยคู่แห่งพระสาวก แม้โดยการประชุมกัน
แห่งพระสาวกว่าแม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงมีพระชาติอย่างนี้ จึงมีพระนาม
อย่างนี้ จึงมีพระโคตรอย่างนี้ จึงมีศีลอย่างนี้ จึงมีปัญญาอย่างนี้ จึงมีวิหารธรรมอย่างนี้
จึงมีวิมุติอย่างนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นยินดีชื่นชมภาษิตของพระผู้มี
พระภาคแล้วแล ฯ
จบมหาปทานสูตร ที่ ๑
----------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
หน้าที่ ๔๑/๒๖๑ ข้อที่ ๕๕ - ๕๖ -
ทุกท่านครับผมเข้าใจถูกหรือผิดครับ
ท่านลองพิจารณา ใครเป็นผู้กล่าว ตถาคตหรือสาวก ตถาคตเป็นสัพพัญญูรู้แจ้งแทงตลอด สาวก หรือใครในโลกมิอาจทำได้ -
อหิสูตร
[๖๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งในกรุงสาวัตถีถูกงูกัด
ทำกาละแล้ว ครั้งนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม
แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภิกษุรูปหนึ่งในเมืองสาวัตถีนี้ถูกงูกัด ทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนั้นชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาจิตไปยัง
สกุลพญางูทั้ง ๔ ไซร้ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางูทั้ง ๔ ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำ
กาละ ตระกูลพญางู ๔เป็นไฉน คือ ตระกูลพญางูชื่อวิรูปักข์ ๑ ตระกูลพญางูชื่อเอราปถะ ๑
ตระกูลพญางูชื่อฉัพยาปุตตะ ๑ ตระกูลพญางูชื่อกัณหาโคตมกะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้น
ชะรอยจะไม่ได้แผ่เมตตาจิตไปยังสกุลพญางู ๔ จำพวกนี้เป็นแน่ ก็ถ้าเธอพึงแผ่เมตตาไปยังตระกูล
พญางูทั้ง ๔ นี้ไซร้ เธอก็ไม่พึงถูกงูกัดทำกาละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแผ่เมตตาจิต
ไปยังตระกูลพญางู ๔ จำพวกนี้เพื่อคุ้มครองตน เพื่อรักษาตน เพื่อป้องกันตน ฯ
ความเป็นมิตร ของเรา จงมีกับ สกุลพญางู ทั้งหลาย ชื่อวิรูปักข์
ความเป็นมิตรของเราจงมีกับ สกุลพญางู ทั้งหลาย
ชื่อเอราปถะ ความเป็นมิตร ของเราจงมีกับ สกุลพญางู
ทั้งหลายชื่อฉัพยา ปุตตะ ความเป็นมิตรของเราจงมีกับ
สกุลพญางูทั้งหลายชื่อ กัณหาโคตมกะ ความเป็นมิตรของ
เราจงมีกับสัตว์ทั้งหลายที่ ไม่มีเท้า ความเป็นมิตรของเรา
จงมีกับสัตว์จำพวก ๒ เท้า ความเป็นมิตรของเราจงมีกับ
สัตว์จำพวก ๔ เท้า ความเป็น มิตรของเราจงมีกับสัตว์
จำพวกมีเท้ามาก สัตว์ไม่มีเท้าอย่าเบียดเบียนเรา
สัตว์ ๒ เท้าอย่าเบียดเบียนเรา สัตว์๔ เท้า อย่าเบียดเบียนเรา
สัตว์มีเท้ามากอย่าเบียดเบียนเรา ขอ สรรพสัตว์ทั้งปวงที่
มีลมปราณ มีชีวิตเป็นอยู่ จงได้พบเห็นความเจริญเถิด
อย่าได้มาถึงโทษอันลามกน้อยหนึ่งเลย ฯ
พระพุทธเจ้ามีพระคุณหาประมาณมิได้ พระธรรมมีคุณหาประมาณมิได้ พระสงฆ์มีคุณ
หาประมาณมิได้ สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย คือ งู แมลงป่องจะขาบ แมลงมุม ตุ๊กแก หนู
ล้วนมีประมาณ ความรักษาอันเรากระทำแล้วความป้องกันอันเรากระทำแล้ว ขอหมู่สัตว์ทั้งหลาย
จงหลีกไปเสีย เรานั้นกำลังนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอยู่ กำลังนอบน้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์อยู่ ฯ
จบสูตรที่ ๗
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
หน้าที่ ๗๑/๒๔๐ ข้อที่ ๖๗ -
พระพุทธเจ้า มี 3,584,192 พระองค์ นี้เพียงแค่ส่วนน้อยนิดครับ
พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนท์ ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหมดที่ตรัสรู้ก่อนตถาคตนั้นมีมากมายประมาณป็นตัวเลขไม่ได้นะครับ ท่านอุปมาอุปมัยว่าในมหาสมุทธทั้งโลกของเราเนี้ย เอาเมล็ดทรายในมหาสมุทรทั้งโลกมารวมกันแล้วยังไม่เท่ากับจำนวนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดที่เคยมีมาเลย
*แล้วคุณคิดว่าเมล็ดทรายที่เเสนจะเล็กๆในมหาสมุทธทั้งโลกมากเพียงไหนละมันมากจนนับไม่ถูก นับไม่หมด คนนับตายเสียก่อนนะสิ! ผมว่า กล่าวว่าซัก 9ล้านล้าน เมล็ด ผมว่ายังไม่ถึงส่วนเสี้ยวของทั้งโลกนี้เลยนะ!
*คือนับตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมมาก็นั้นละครับจำนวนเมล็ดทรายทั้งมหาสมุทรนั้นเทียบไม่ติดฝุ่นเลย
*ที่เค้าเคยกล่าวกันว่าเท่านั้นเท่านี้ นั้นคือบางช่วงเวลาเท่านั้นเองครับ จากช่วงเวลานั้นถึงเวลานี้ เลยนับขึ้นมาได้ว่ามีกี่สิบ หรือกี่ล้านองค์ เอาเข้าจริงๆเป็นอนันต์ครับนับไม่ได้เลยเพราะเยอะจนต้องอุปมาอุปมัยให้ฟังแทน -
๘. คงคาสูตร
[๔๓๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน เขต
พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล พราหมณ์ผู้หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัย
กับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นพราหมณ์นั้นนั่งเรียบร้อยแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ กัปที่ผ่าน
ไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มากเท่าไรหนอแล ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ กัปทั้งหลายที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มากแล
มิใช่ง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า เท่านี้กัป เท่านี้ ๑๐๐ กัปเท่านี้ ๑,๐๐๐ กัป หรือว่าเท่านี้
๑๐๐,๐๐๐ กัป ฯ
พราหมณ์. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม ฯ
[๔๓๖] พ. อาจอุปมาได้ พราหมณ์ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูกรพราหมณ์ แม่น้ำคงคา
นี้ย่อมเกิดแต่ที่ใด และย่อมถึงมหาสมุทร ณ ที่ใดเมล็ดทรายในระยะนี้ไม่เป็นของง่ายที่จะกำหนดได้
ว่าเท่านี้เม็ด เท่านี้ ๑๐๐ เม็ดเท่านี้ ๑,๐๐๐ เม็ด หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ เมล็ด ดูกรพราหมณ์ กัปทั้งหลาย
ที่ผ่านไปแล้ว ล่วงไปแล้ว มากกว่าเมล็ดทรายเหล่านั้น มิใช่ง่ายที่จะนับกัปเหล่านั้นว่า เท่านี้
กัป เท่านี้ ๑๐๐ กัป เท่านี้ ๑,๐๐๐ กัป หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ กัป เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชา
เป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ สัตว์
เหล่านั้นได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน
เหมือนฉะนั้น ดูกรพราหมณ์ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง
พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
[๔๓๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พราหมณ์ผู้นั้นได้กราบทูลว่า แจ่มแจ้ง
ยิ่งนัก ท่านพระโคดม แจ่มแจ้งยิ่งนัก ท่านพระโคดม ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์
ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๘
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
หน้าที่ ๑๘๒/๒๘๘ ข้อที่ ๔๓๕ - ๔๓๗
[๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า
๔. พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์
มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก.
๕. พระสมณโคดม ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไป
บอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้
คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง
ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน
กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน.
๖. พระสมณโคดม ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ
เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ.
๗. พระสมณโคดม ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำ
ที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐานมีที่อ้าง มีที่กำหนด
ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร.
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
หน้าที่ ๔/๓๘๓ ข้อที่ ๔ -
อ่านแล้วตาลายจังครับ ฮ่าๆๆๆ
เอาเป็นว่าพวกเราอย่างให้เกินพระพุทธเจ้าองค์หน้าก็พอ
นิพพานกันอย่างช้าองค์หน้า ถือว่านานมากแล้วครับ -
จำไม่ผิดครับ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้กับพระอานนท์ครับ พระพุทธเจ้าท่านทรงเปรียบเทียบเมล็ดทรายในมหาสมุทรทั้งหมดครับว่ายังมีจำนวนน้อยกว่าจำนวนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ก่อนพระองค์ครับ ที่คุณเอามานั้นอีกอย่างครับ -
เม็ดทรายอุปมาเรื่อง กัป อ่านข้างบนจะรู้ว่า ความห่างระหว่าง กัป มีถึง 30 กัป ที่ไม่มีพุทธเจ้า กัป=โลกหนึ่งใบเกิดแล้วดับ อย่าง 91 กัปที่ผ่านมาแล้ว มี 1 องค์
31 ที่ผ่านมามี 2 องค์และ กัปนี้ชื่อว่า ภัททกัป มีมาแล้ว 4 องค์ มีอีกองค์ที่พุทธเจ้า
พูดไว้คือพระเมตไตรย์ ท่านลองคำนวนดูว่ากี่ปี ยุคพระพุทธเจ้า อายุ เฉลี่ย 100ปี
ผ่านมาแล้ว2600ปี อายุตอนนี้เฉลี่ย 75 ปีลองคำนวนว่า จะใช้เวลากี่ปี อายุจะเหลือ
10 ปี ต่อไปลองคำนวนอายุเพิ่มขึ้น คนอายุ10ปีที่เริ่มฟื้นฟูมีศีลธรรมขึ้นมาใหม่
ลูกจะมีอายุ20ปีและลูกของคนอายุ20ปีมีอายุ40ปี 80+80=160+160=320+320=640+
640=1280+1280= ทำอย่างนี้ไปจนอายุ 80,000ปี พระเมตไตรย์จะมาเกิด พระสูตร
ยาวมากถ้ามีคนอยากอ่านผมจะลงให้
(ผมลองคำนวนเล่นๆดู ประมาณ อีก 2 แสนปีบวกลบที่พระเมตไตรย์จะตรัสรู้ อ่านเล่นๆนะครับ) -
(ผมขออนุญาติ ขอโอกาสตัดให้สั้น ยืนหลักฐาน)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพยำเกรงว่า
นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยา ของท่านที่เคารพทั้งหลาย
สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือน แพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความ
พยาบาท ความคิดร้าย ความ คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับ
มารดาก็ดี บิดากับ บุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิด
ความ อาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพรานเนื้อเห็นเนื้อ
เข้าเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า อย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้น
เหมือนกัน ฯ
[๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัปสิ้น ๗ วัน
มนุษย์เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้ง หลายอันคมจักปรากฏมีในมือของ
พวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้น บางพวกมี ความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่า
ฆ่าเรา อย่ากระนั้น เลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา
มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่าง
เกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด ๗ วัน เมื่อล่วง ๗ วันไป
เขาพากันออกจากป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน
จักขับร้องดีใจอย่างเหลือเกินในที่ประชุม ว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่
หรือๆ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้น จักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา ถึงความ
สิ้นญาติอย่างใหญ่เห็นปานนี้ เหตุเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล อย่ากระนั้นเลยเราควร
ทำกุศล ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นปาณาติบาต ควรสมาทาน กุศลธรรมนี้แล้ว
ประพฤติ เขาจักงดเว้นจากปาณาติบาต จักสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่
สมาทานกุศลธรรม เขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง
เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นสัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา เจริญด้วยอายุบ้าง
เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่า กระนั้นเลย เราควรทำกุศลยิ่งๆ
ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นจาก อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้น จากผรุสวาจา ควรงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา
ควรละพยาบาท ควรละมิจฉาทิฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คืออธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม
อย่ากระนั้นเลยเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบในสมณะ
ควรปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ควรประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน ตระกูล ควรสมาทาน
กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดาปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบ
ในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติ อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทาน
กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะ เหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วย
อายุบ้าง จักเจริญด้วย วรรณะบ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง
บุตรของคน ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุเจริญ
ขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ
๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี
บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี
บุตรของคนมีอายุ ๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง พระนามว่า
เมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อม
ด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่น
ยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม
เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา
และจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดา
และมนุษย์ ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
หน้าที่ ๕๔/๒๘๘ ข้อที่ ๔๖ - ๔๗ -
(ขออนุญาติครับ ยืนยันเรื่อง กัป ว่าในกัปนี้คือโลกใบนี้ชื่อว่า ภัททกัป ใครว่าโลกจะแตกให้สบายใจได้ อีกนานต้องรอ พระเมตไตรย์)
๑๐ เวปุลลปัพพตสูตร
[๔๕๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังนี้ ฯ
[๔๕๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น
เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยว
ไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว เวปุลลบรรพตนี้ได้
ชื่อว่า ปาจีนวังสะสมัยนั้นแล หมู่มนุษย์ได้ชื่อว่า ติวรา หมู่มนุษย์ชื่อติวรา มีอายุประมาณ
สี่หมื่นปีหมู่มนุษย์ชื่อติวราขึ้นปาจีนวังสบรรพตเป็นเวลา ๔ วัน ลงก็เป็นเวลา ๔ วัน สมัยพระผู้มี
พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กกุสันธ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธ มีพระสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อ
ว่าวิธูระ และสัญชีวะ ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแล อันตรธานไป
แล้ว มนุษย์เหล่านั้นกระทำกาละไปแล้ว และพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้ว
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอย่างนี้ ไม่น่าชื่นใจอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียง
เท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัดพอเพื่อจะหลุดพ้น
ดังนี้ ฯ
[๔๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ภูเขาเวปุลละนี้มีชื่อว่าวงกฏ สมัยนั้นแล
หมู่มนุษย์มีชื่อว่า โรหิตัสสะ มีอายุประมาณสามหมื่นปีมนุษย์ชื่อว่าโรหิตัสสะขึ้นวงกฏบรรพต
เป็นเวลา ๓ วัน ลงก็เป็นเวลา ๓ วันสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
พระนามว่าโกนาคมนะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
โกนาคมนะ มีพระสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อว่าภิยโยสและอุตตระ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย พวกเธอจงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแลอันตรธานไปแล้ว มนุษย์เหล่านั้นทำกาละไปแล้ว
และพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้ว สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ฯลฯ พอเพื่อจะ
หลุดพ้น ดังนี้ ฯ
[๔๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว เวปุลลบรรพตนี้มีชื่อว่าสุปัสสะ สมัยนั้น
แล หมู่มนุษย์มีชื่อว่าสุปปิยา หมู่มนุษย์ชื่อสุปปิยามีอายุประมาณสองหมื่นปี หมู่มนุษย์ที่ชื่อว่า
สุปปิยาขึ้นสุปัสสบรรพต เป็นเวลา ๒ วัน ลงก็เป็นเวลา ๒ วัน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสป เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสป ได้มีพระสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อว่าติสสและ
ภารทวาชะดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูเถิด ชื่อแห่งภูเขานี้นั้นแลอันตรธานไปแล้วมนุษย์
เหล่านั้นกระทำกาละไปแล้ว และพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นก็ปรินิพพานแล้ว สังขารทั้งหลาย
ไม่เที่ยงอย่างนี้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
[๔๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บัดนี้แล ภูเขาเวปุลละนี้มีชื่อเวปุลละทีเดียว ก็บัดนี้
หมู่มนุษย์เหล่านี้มีชื่อว่ามาคธ หมู่มนุษย์ที่ชื่อมาคธมีอายุน้อย นิดหน่อย ผู้ใดมีชีวิตอยู่นาน
ผู้นั้นมีอายุเพียงร้อยปี น้อยกว่าก็มี เกินกว่าก็มี หมู่มนุษย์ชื่อมาคธขึ้นเวปุลลบรรพตเพียง
ครู่เดียว ลงก็เพียงครู่เดียว และบัดนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ เสด็จอุบัติขึ้น
แล้วในโลก ก็เราแลมีสาวกคู่หนึ่ง เป็นคู่เลิศ เป็นคู่เจริญ ชื่อสารีบุตรและโมคคัลลานะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชื่อแห่งบรรพตนี้จักอันตรธาน หมู่มนุษย์เหล่านี้จักทำกาละ และเรา
ก็จักปรินิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอย่างนี้ไม่น่าชื่นใจ
อย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อ
จะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
[๔๖๑] พระผู้มีพระภาค ผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึง
ตรัสพระคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
ปาจีนวังสบรรพตของหมู่มนุษย์ชื่อติวระ วงกฏบรรพตของหมู่มนุษย์ชื่อ
โรหิตัสสะ สุปัสสบรรพตของหมู่มนุษย์ชื่อสุปปิยาและเวปุลลบรรพต
ของหมู่มนุษย์ชื่อมาคธะ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นแล
เสื่อมไปเป็นธรรมดา ครั้นเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความที่สังขารเหล่านั้น
สงบระงับไปเป็นสุข ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
หน้าที่ ๑๘๙/๒๘๘ ข้อที่ ๔๕๕ - ๔๖๑
(สรุปคือ ภูเขา เปลี่ยนชื่อเท่านั้นและเล็กลง ภูเขา ยังอยู่ ตั้งแต่ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กกุสันธ-
ถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ) -
(ขออนุญาติครับ ยืนยัน พระผู้มีพระภาคตรัสเพียงเท่านี้)
๔ วิปัสสีสูตร
[๒๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าวิปัสสี ก่อน แต่ตรัสรู้ เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ ได้
ปริวิตกว่า โลกนี้ถึงความยาก แล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น
ก็ยังไม่รู้ ธรรมอันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่าความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะ
นี้ จักปรากฏ ฯ
[๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความ ปริวิตกดังนี้ว่า(ยาว)
๕ สิขีสูตร- ๙ กัสสปสูตร
[๒๕] พระปริวิตกของพระพุทธเจ้าแม้ทั้ง ๗ พระองค์ ก็พึงให้พิศดาร เหมือนอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง พระนามว่าสีขี ... ทรงพระนามว่า
เวสสภู ... ทรงพระนามว่ากกุสันธะ ... ทรงพระนามว่าโกนาคมนะ ... ทรงพระนามว่ากัสสป ... ฯ
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
หน้าที่ ๗/๒๘๘ ข้อที่ ๒๕
(พระปริวิตก เหมือนกันหมดทั้งทั้ง ๗ พระองค์) -
( พระปัจเจกพุทธ ที่มีเยอะกว่า)
[๒๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พระปัจเจกพุทธ ๕๐๐ องค์ ได้อาศัยอยู่
ที่ภูเขาอิสิคิลินี้มานาน พระปัจเจกพุทธเหล่านั้น เมื่อกำลังเข้าไปสู่ภูเขานี้ คนแลเห็น แต่ท่าน
เข้าไปแล้ว คนไม่แลเห็น มนุษย์ทั้งหลายเห็นเหตุ ดังนี้นั้น จึงพูดกันอย่างนี้ว่า ภูเขาลูกนี้
กลืนกินฤาษีเหล่านี้ ชื่อว่า อิสิคิลิ นี้แล จึงได้เกิดขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักบอก จัก
ระบุ จักแสดงชื่อของพระปัจเจกพุทธทั้งหลาย พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[๒๕๐] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระปัจเจกสัมพุทธชื่อ
อริฏฐะ ๑ ชื่ออุปริฏฐะ ๑ ชื่อตครสิขี ๑ ชื่อยสัสสี ๑ ชื่อสุทัสสนะ ๑ชื่อปิยทัสสี ๑ ชื่อ
คันธาระ ๑ ชื่อปิณโฑละ ๑ ชื่ออุปาสภะ ๑ ชื่อนิถะ ๑ชื่อตถะ ๑ ชื่อสุตวา ๑ ชื่อภาวิตัตตะ ๑
ได้อาศัยอยู่ที่ภูเขาอิสิคิลินี้มานาน ฯ(ยาวร้อยกว่าชื่อ)
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๔
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
หน้าที่ ๑๔๒/๔๑๓ ข้อที่ ๒๔๙ - ๒๕๐
(อยู่ในกัปนี้นะเพราะภูเขายังอยู่) -
ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 33 ฉบับมหาจุฬา ฯ พ.ศ. 2539
ใน ยโสธราเถริยาปทาน พระยโสธราเถรี ตรัสไว้ (บางตอน)
ว่า พระพุทธเจ้ามีจำนวนถึง ๕๐๐ โกฏิ และ ๙๐๐ โกฏิ
หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
[๓๘๕] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงสดับอธิการ
ของหม่อมฉันมีมากมาย
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของชาวโลก
มีจำนวนถึง ๑,๑๐๐ โกฏิ
[๓๘๖] หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ข้าแต่มหาราช
ขอพระองค์จงสดับ
อธิการของหม่อมฉันมีมากมาย
[๓๘๗] หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแก่พระพุทธเจ้า ๒,๐๐๐ โกฏิ
และแก่พระพุทธเจ้า ๓,๐๐๐ โกฏิ ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ
[๓๘๘] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์ทรงสดับอธิการ
ของหม่อมฉันมีมากมาย
พระพุทธเจ้ามีจำนวนถึง ๔,๐๐๐ โกฏิ และ ๕,๐๐๐ โกฏิ
[๓๘๙] หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแก่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงสดับ
อธิการของหม่อมฉันมีมากมาย
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๐๔ }
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. กุณฑลเกสีวรรค] ๘. ยโสธราเถริยาปทาน
[๓๙๐] พระพุทธเจ้ามีจำนวนถึง ๖,๐๐๐ โกฏิ และ ๗,๐๐๐ โกฏิ
หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ
[๓๙๑] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงสดับอธิการ
ของหม่อมฉันมีมากมาย
พระพุทธเจ้ามีจำนวนถึง ๘,๐๐๐ โกฏิ และ ๙,๐๐๐ โกฏิ
[๓๙๒] หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ข้าแต่มหาราช
ขอพระองค์จงสดับอธิการของหม่อมฉันมีมากมาย
[๓๙๓] พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำชั้นเลิศของชาวโลก
มีจำนวนถึง ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ
[๓๙๔] ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงสดับอธิการ
ของหม่อมฉันมีมากมาย
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำอื่น ๆ มีจำนวนถึง ๙,๐๐๐ โกฏิ
[๓๙๕] หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ข้าแต่มหาราช
ขอพระองค์จงสดับอธิการของหม่อมฉันมีมากมาย
[๓๙๖] พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิ
๘๕ องค์ ๘,๕๐๐ โกฏิ ๓๐ โกฏิ
[๓๙๗] หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น
ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ข้าแต่มหาราช
ขอพระองค์จงสดับอธิการของหม่อมฉันมีมากมาย
[๓๙๘] หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า
ผู้ปราศจากราคะจำนวน ๘๘ โกฏิ
ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์ทรงสดับอธิการของหม่อมฉันมีมากมาย
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๐๕ }
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. กุณฑลเกสีวรรค] ๘. ยโสธราเถริยาปทาน
[๓๙๙] หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแก่พระขีณาสพ
ผู้ปราศจากมลทิน ซึ่งเป็นพุทธสาวกมากมายนับไม่ถ้วน
ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์ทรงสดับอธิการหม่อมฉันมีมากมาย
[๔๐๐] หม่อมฉันจัดถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้สั่งสมไว้ดีแล้วในธรรมทั้งหลาย
และแด่พระอริยสงฆ์ทั้งหลายผู้ประพฤติพระสัทธรรมทุกเมื่อ
ด้วยประการฉะนี้
บุคคลผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
[๔๐๑] บุคคลควรประพฤติธรรมให้สุจริต
ไม่ควรประพฤติธรรมให้ทุจริต
เพราะบุคคลผู้ประพฤติธรรม
ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
[๔๐๒] ข้าพระองค์เบื่อหน่ายในสังสารวัฏ
จึงออกบวชเป็นบรรพชิตพร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐
ครั้นบวชแล้วก็หมดกังวล๑
[๔๐๓] หม่อมฉันละการครองเรือนแล้วบวชเป็นบรรพชิต
ยังไม่ทันถึงกึ่งเดือน ก็ได้บรรลุสัจจะ ๔
[๔๐๔] ‘คนเป็นอันมากนำจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และปัจจัยเข้ามาถวายมากมายมิใช่น้อย
เหมือนคลื่นในมหาสมุทร
[๔๐๕] กิเลสทั้งหลายหม่อมฉันก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงหม่อมฉันก็ถอนได้แล้ว
หม่อมฉันตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
เชิงอรรถ :
๑ กังวล หมายถึงกังวล ๓ คือ (๑) กังวลคือราคะ (๒) กังวลคือโทสะ (๓) กังวลคือโมหะ (ดูเทียบ ที.ปา.
(แปล) ๑๑/๓๐๕/๒๖๗)
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๕๐๖ }
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๓. กุณฑลเกสีวรรค] ๙. ทสสหัสสเถริยาปทาน
[๔๐๖] การที่หม่อมฉันมาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ หม่อมฉันได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๔๐๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ หม่อมฉันก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หม่อมฉันก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
[๔๐๘] หม่อมฉันได้รับทุกข์หลายอย่าง และสุขสมบัติหลายอย่าง
ถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์ ได้สมบัติทุกอย่างด้วยประการฉะนี้
[๔๐๙] บุคคลผู้ถวายตนของตนแด่พระพุทธเจ้า
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
เพื่อต้องการบุญก็ย่อมพรั่งพร้อมด้วยสหาย
บรรลุพระนิพพานซึ่งเป็นอสังขตะ
[๔๑๐] กรรมทั้งที่เป็นอดีต ปัจจุบันและอนาคตสิ้นไปแล้ว
กรรมทั้งปวงของหม่อมฉันสิ้นไปแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุ หม่อมฉันขอกราบไหว้พระยุคลบาท
ได้ทราบว่า พระยโสธราภิกษุณีได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ เฉพาะพระพักตร์พระผู้
มีพระภาค ด้วยประการฉะนี้
ยโสธราเถริยาปทานที่ ๘ จบ -
Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ
-
(ขออนุญาติครับ อ่านดูดีๆก็จะรู้ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าตรัส)(พระตถาคตทั้งหลาย คำนี้ยืนยัน พระพุทธเจ้ามีเยอะแน่)
พระพุทธประเพณี
พระตถาคตทั้งหลายทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ทรงทราบอยู่ย่อมไม่ตรัสถามก็มี
ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม พระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสถามสิ่ง
ที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ตรัสถามสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ สิ่งที่ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ พระองค์ทรงกำจัดด้วยข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงสอบถาม
ภิกษุทั้งหลายด้วยอาการสองอย่าง คือ จักทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่
พระสาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง.
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑
พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
หน้าที่ ๗/๗๕๔ ข้อที่ ๕
(พระสูตรนี้ยืนยัน ท่านเท่านั้น อ่านดีๆก็จะรู้ได้ว่าใครพูด)
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกรเสลพราหมณ์ เราเป็นพระราชา เป็นพระราชาโดยธรรม
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เราประกาศธรรมจักร อันเป็นจักรที่ใครๆ
ประกาศไม่ได้.
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๓
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
หน้าที่ ๔๑๘/๕๑๘ ข้อที่ ๖๐๙
-
(ขออนุญาติครับ พระสูตรนี้ ยืนยันว่า ฝ่ายใด พระผู้มีพระภาคตรัส ผมพึงเป็นฝ่ายนั้นครับ)
[๑๕๒๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความบังเกิดแห่งเหตุเฉพาะบางประการ พึงบังเกิด
ขึ้นได้ในธรรมวินัยนี้ คือ ฝ่ายหนึ่งเป็นพระผู้มีพระภาค (ตรัส) และฝ่ายหนึ่งเป็นภิกษุสงฆ์
ภิกษุณีสงฆ์ อุบาสกทั้งหลาย และอุบาสิกาทั้งหลาย โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ (กล่าว) ฝ่ายใด พระผู้มีพระภาคตรัส
หม่อมฉันพึงเป็นฝ่ายนั้น ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำหม่อมฉันว่า เป็นผู้เลื่อมใสอย่างนี้.
[๑๕๒๖] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ผู้มีวาทะอย่างนี้
ย่อมตรัสอะไรกะพระเจ้ามหานามศากยราช เจ้าโคธาศากยะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
หม่อมฉันผู้มีวาทะอย่างนี้ มิได้พูดอะไรกะพระเจ้ามหานามศากยราช นอกจากกัลยาณธรรม
นอกจากกุศล.
จบ สูตรที่ ๓
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๙
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
หน้าที่ ๓๗๓/๔๖๙ ข้อที่ ๑๕๒๕ - ๑๕๒๖ -
พระพุทธเจ้ามีมากมายประมาณมิได้ แบ่งได้ 3 ประเภท คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอนุพุทธเจ้า(พระอรหันตสาวก) หีนยานหรือเถรวาทสอนให้เป็นพระอนุพุทธเจ้า ง่ายกว่าเร็วกว่า มหายานสอนให้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากกว่าช้ากว่า win win
-
ขออนุญาติครับ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เนื่องจาก เป็นการดีทั้งสิ้นที่ได้มีการนำเสนอ เพื่อเป็น กุศลผลบุญ เป็นประโยชน์เพื่อให้ ทุกคนได้รู้ว่า ที่จริงแล้ว เราเกิดมา ไม่รู้เท่าไหร่ ต่อเท่าไหร่ แต่หาก จะแย้งกัน ว่า พระพุทธเจ้านั้นมีกี่พระองค์ ก็คงเถียงกันไปไม่จบสิ้นหาประโยชน์ได้ที่ตรงไหน หรือ สู้เอาเวลาที่มาเถียงกัน ไปมา มาทำกำจัดกิเลส ให้สิ้นไปไวๆ ไม่ดีกว่าเหรอ ครับ ผมว่าคงจะเป็นการบูชา พระพุทธองค์ได้ดีที่สุด เอาที่แน่ๆ ผม เคยอ่านมาว่า อะไรที่เกียวกับพระพุทธองค์ เป็นอจินไตย ไม่ใช่หรือครับ มันแปลว่า แค่ตรึกหรือนึกเอาเอง นั้น ไม่ได้ เป็นแน่แท้ เพราะงั้น เอาเวลามาช่วยกัน บำรุง ชาติ เพื่อให้ชาติ สั่งสอนคนมาบำรุงพระพุทธศาสนา ให้คงอยู่ ตราบนานเท่านานไม่ดีกว่าหรือครับ อนุโมทนา สาธุ กับท่านทั้งหลาย ด้วยที่ยังประโยชน์ให้กับ สรรพสัตว์ ทั้งหลาย ได้รู้จักวิธี ลด ละ เลิก กิเลส ตัณหา เพื่อ นิพพาน สาธุ
หน้า 1 ของ 2