พระศรีอาริย์เจ้าโลก บทที่ ๖ สมบัติพระศรีอาริย์ ใต้น้ำและใต้ดิน

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย วสุธรรม, 10 ธันวาคม 2018.

  1. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    SriarayaFeature06.jpg

    หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก รวบรวมโดยรหัสยญาณ

    มหาสมบัติใต้ทะเล ตามประวัติศาสตร์การเดินเรือ นับตั้ง แต่ พ.ศ. ๒๐๔๓ มาถึง ๒๔๗๕ ในชั่วระยะ ๔๐๐ ปีเศษ มหาภัย ทางทะเลลึกได้ผลาญชีวิตพวกพ่อค้าวานิชเสียหลายพันคน จาก สถิติของนายนาวาโท ริชาร์ด ซันครอบเบอร์ เจ้ากรมอุทกศาสตร์ ทหารเรืออเมริกันใน พ.ศ. ๒๔๓๒ กล่าวไว้ในรายงานประจําปีว่า “สถิติที่พึงเชื่อถือได้ในปีหนึ่งๆ กําปั่นของพ่อค้าวานิชทั่วโลกได้ สาบสูญไปถึง ๒๑๗๒ ลํา” ส่วนทรัพย์สมบัติเงินทองที่สิ้นสูญไป ภายใต้น้ําสีครามนั้น ตํานานคร่าวๆ ก็มีราคาถึง ๑๔ ของราคา ทองคําและเงินทั้งหมดในโลกปัจจุบัน

    maxresdefault.jpg

    ส่วนเงินทองและแก้วแหวนต่าง ๆ ซึ่งพวกโจรสลัดนําไป ฝากไว้ในคลังออมสินแห่งห้วงทะเลลึกนั้น โดยเฉพาะ เดวี โจนส์ จอมสลัดอันลือนามของโลก นักค้นขุมทรัพย์ยังไม่อาจคํานวณให้ ถี่ถ้วนแน่นอนได้ นายเรือโท อี. ไรสเบิร์ก นักค้นขุมทรัพย์ตัวยง คํานวณไว้คร่าวๆว่า ไม่น้อยกว่า ๒,000,000,000 เหรียญทอง(สองพันล้านเหรียญสหรัฐ) เรือบรรทุกสมบัตินานาชาติระหว่าง พ.ศ. ๑๐๔๒-๒๑๑๕ มีดังนี้ สเปนจม ๑๐ ลํา, โปรตุเกส ๑๗ ลํา, ญี่ปุ่น ๒ ลํา, ฝรั่งเศส ๒ ลํา, อิตาลี ๑ ลํา, รวม ๕๑ ลํา, ทอง และเงินรวมราคา ๑๗๐,๒00,000 เหรียญทองโดยเฉพาะของญี่ปุ่น จมที่อ่าวซูจิมา ๒ ลํานั้น มีราคาถึง ๕,000,000 เหรียญทอง

    00898d327e2def1e80bf7eca31dd7823.jpg

    ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๕๓-๒๔๔๓ มีเรือจมดังนี้ สเปนจม ๕๖ ลํา, ฮอลันดา ๓๖ ลํา, โปรตุเกส ๑ ลํา, ฝรั่งเศส ๑ ลํา, กรีซ ๑ ลํา รวม ๖๕ ลํา คิดเป็นเงินราคา ๑๔๔,๔๓๒,000 เหรียญทอง โดยเฉพาะเรือโปรตุเกสชื่อ “มาเดอร์เดอริโอส” จมที่คาวา ประเทศ ญี่ปุ่น มีทองราคา ๑,๓00,000 เหรียญทอง เรือฝรั่งเศสชื่อ “กริฟแฟง” จมที่เกาะเบิร์ซ มีทองราคา ๑๒,000 เหรียญทอง “ลาซาน” นักเดินเรือลือชื่อของฝรั่งเศสได้เสียชีวิตไปในคราวนั้นด้วย

    EyWwB5WU57MYnKOvYNHpPISUhYXt50efn7EWnF6CzXKtxj43fTnCbz.jpg

    ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๔๕-๒๓๔๓ มีเรือจมดังนี้ สเปน ๒๗ ลํา อังกฤษ ๙ ลํา, ฝรั่งเศส ๕ ลํา, ฮอลันดา ๓ ลํา, อเมริกัน ๑ ลํา, รวม ๔๕ ลํา โดยเฉพาะเรืออังกฤษชื่อ “กรอปวเนอร์” ได้นํารูป นกยูงทองจากกรุงเดลีอินเดีย ไปจมลงที่อ่าวนาตาล แอฟริกา ตะวันออกรูปนกยูงทองอันล้นค่าก็พลันสาบสูญไปด้วยเรือฝรั่งเศส ชื่อ “เทเลมัค” จมลงในแม่น้ําเซนต์ของฝรั่งเศสเอง ทองคําและเงิน สูญหายไปถึง ๒๐,000,000 เหรียญทอง รวมทั้งสร้อยพระศอ ของพระนางอังตัวเนตต์ (ราชินีฝรั่งเศสสมัยปฏิวัติ) ราคาถึง ๕,000,000 เหรียญทอง เรือฝรั่งเศสอีกลําหนึ่งชื่อ “ตะวันออก” บรรทุกทองราคา ๓,๕๐๐,000 เหรียญ แล่นไปถึงอ่าวอาโบเคอร์ แอฟริกาเหนือ ก็พลันจมลง พร้อมด้วยเครื่องทองของพวกครูเสดเป็นอันมาก

    kaiser_wilhelm_der_grosse_alexander_monreal.jpg ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๔๔-๒๔๒๔ มีเรือจมดังนี้ : เตอรกีอียิปต์ ๖๕ ลํา, อเมริกัน ๒๕ ลํา, อังกฤษ ๒๑ ลํา, สเปน ๖ ลํา, ฝรั่งเศส ๔ ลํา, ตุรกี ๑ ลํา, เยอรมัน ๑ ลํา, จีน ๑ ลํา, ไม่ ปรากฏเรือสัญชาติใดอีก ๒ ลํา รวม ๑๒๖ ลํา คิดเป็นเงินราคา ๑๓๔,๖๙๔,000 เหรียญทอง โดยเฉพาะเรื่อ “แฟนตัม” ของ อเมริกันจมในทะเลจีนใกล้ฮ่องกง เงินทองต้องสูญไป 90,000,000 เหรียญ เรือ “จอร์จ แซนด์” ของเยอรมัน ขนทองจากจีนราคา ๑๓,000,000 เหรียญจมลงที่อ่าวปราตัสไม่ห่างประเทศจีน เรือนนา หรือ “คริสตินา” ของอังกฤษ ขนทองคําและเงินจากประเทศจีน แล่นออกมาจม คิดเป็นราคาเงิน ๕,000,000 เหรียญ มีฝูงมได้ เพียง ๑๕๐,000 เหรียญ

    เรืออเมริกันชื่อ “ญี่ปุ่น” ขนเงินและขนทองจากจีนราคา ๑,๕๐0,000 เหรียญ มาจมลงใกล้ซัวเถา มีผู้งมได้เพียง ๓00,000 เหรียญ เรือจีน ๑ ลําไม่ปรากฏนาม ขนทองราคา ๓๐๐,000 เหรียญ พบโจรสลัดที่อ่าวโพไฮ พวกลูกเรือเห็นจวนตัวจึงทําลาย เรือจมหมดเลย เรือ “เซนตราลอเมริกัน” ของอเมริกัน จมลง แหลมแฮตเตอราส ใน พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นเรือบรรทุกทองคําลําแรก ในสมัยตื่นทอง ราคาถึง ๓,๔๐0,000 เหรียญทอง สูญหมดเลย

    ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๔๗๖ อังกฤษจม ๘ ลํา, อเมริกัน ๓๔ ลํา, รัสเซีย ๓ ลํา, เยอรมัน ๓ ลํา, ฮอลันดา ๑ ลํา, เบลเยี่ยม ๑ ลํา, ฝรั่งเศส ๑ ลํา, รวม ๔๙ ลํา เป็นราคาเงิน ๕๒,๕๑๒,๐๐๐ เหรียญทอง โดยเฉพาะเรือรัสเซีย ๓๐ ลํา ชื่อ “คินยาซซูโวรอฟ”

    ชื่อ “แอดมิราลนาคีมอฟ” ชื่อ “อิมเปอเรเตอร์ อเล็กซานเดอร์ที่ ๑” ขนสมบัติมาจมที่แหลมซูจิมา และอ่าวซูจิมาทั้ง ๒ ลํา ในปีเดียวกัน มีราคาถึง ๔,000,000,000 เหรียญทอง เรือ “เมริดา” ของ อเมริกัน จมลงที่แหลมเวอจิเนียร์ สมบัติที่สูญรวมหมดทั้งเครื่อง เพชรของจักรพรรดิแม็กซิมมิเลียนแห่งเม็กซิโกคือสร้อยคอซึ่งทํา ด้วยแก้วมุกดาอย่างวิเศษ ของพระราชินีคารอลโลกา มีราคาถึง ๕00,000 เหรียญทอง

    557000005544901.jpg

    นับแต่ พ.ศ. ๒๐๓๖-๒๐๔๗ เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส พบอเมริกาเหนือและใต้แล้ว ฟรังซิสโก เดอ โบบาดิลลา ก็รับ อาสากษัตริย์เฟอร์ดินานด์และราชินีอิสาเบลลาแห่งสเปนเป็นข้าหลวง ใหญ่ไปบีบคั้นขนทองจากฮิสปานิโอลา เงินและทองหลายหมื่น แท่งได้ถูกบรรทุกเรือส่งไปสเปนไม่ขาดสาย ใน พ.ศ. ๒๒๔๕ เรือบรรทุกมหาสมบัติจากเมืองขึ้นถึง ๑๖ ลํา รวมราคาถึง ๑๔๐,000,000 เหรียญทอง ไปจมลงที่อ่าววิโกใกล้สเปน มีผู้กู้ขึ้น มาได้เพียง ๒ ลํา นอกนั้นสาบสูญไปหมด ครั้งนี้ว่าเสียหายอย่าง ร้ายแรงในสมัยตื่นทอง นอกจากนี้ยังมีเงินทองซึ่งบรรดาพ่อค้า วานิชและโจรสลัดนําไปซุกซ่อนไว้ตามเกาะแก่งอีกมากมายนักหนา ซึ่งไม่มีใครสามารถจะนําสถิติมากล่าวให้แจ่มแจ้งได้ และก็จะได้ ถูกกู้มาใช้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนพลโลกทั้งหมดในอนาคตอันใกล้นี้ “คลังมหาสมบัติของพระศรีอาริย์” ก็คือ “ท้องทะเลลึกสีคราม” นั้นเอง

    furnace.jpg

    มหาสมบัติใต้แผ่นดิน บุญฤทธิ์ของสมเด็จพระเจ้าบรม จักรนั้น จะรวบรวมเอาเงินและทองที่กระจายอยู่ทั่วไปนั้นให้หลอมเข้ากันเป็นแท่งทึบทุกหนทุกแห่ง แม้เป็นเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยเท่า เมล็ดข้าวสารหักเท่าเมล็ดงาตลอดจนปรมาณู (ผงละเอียด) ก็รวบ รวมเข้าเป็นก้อนเป็นแท่งใหญ่โต นอกจากภูเขาทองขนาดมหึมา นั้นแล้ว ที่ริมกําแพง “อินทราอุปการนคร” ก็จะมีอีก ๔ แห่ง ขนาดกว้าง ๓ วา ยาว ๕ วาทุกแห่ง แร่เงินก็มารวมกันเป็นดอย ขึ้นลูกหนึ่ง ไม่แพ้ดอยคําที่กล่าวมาแล้ว ส่วนเพชรนิลจินดาซึ่งเกิด ขึ้นแล้วมีอยู่หลายแห่ง เช่น ที่เขาพระพุทธบาทสระบุรี ที่ลพบุรีก็มี หลายแห่ง เช่น เขาดอนดึง เขาพะเนียด ฯลฯ ที่ราชบุรีก็มีหลายแห่ง เช่น เขาแร้ง เขาเขียว ฯลฯ ที่กาญจนบุรีก็มีหลายแห่ง เขาลูกหนึ่ง มีมรดกเป็นจํานวนมาก ซึ่งปู่โสมหน้าแดงเหมือนทารู้ซรักษาไว้ ใน ที่นี้ผู้เขียนได้พบด้วยตาและได้แตะต้องด้วยมือสิบนิ้วของตัวเอง ที่ กาญจนบุรีนี้มีบ่อแก้ว ๗ สี คือ

    ๑. แก้วใสสะอาดเรียกว่า เพชร

    [​IMG]

    ๒. แก้วสีเขียวจัดเรียกว่า มรกต

    emerald-051-333x250.jpg

    ๓. แก้วสีแดงเรียกว่า ทับทิม โกเมนทร์

    t5.png

    ๔. แก้วสีเหลืองเรียกว่า บุศราคํา

    p_1697208.jpg

    ๕. แก้วสีดําเรียกว่า นิล

    %E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A5.jpg

    ๖. แก้วสีม่วงเรียกว่า พลอย

    Feb_amethyst1.jpg

    ๗. แก้วสีน้ําเงินเรียกว่า เพทาย

    ko.png

    โดยเฉพาะแก้วมรกตนั้น อยู่ในขุมโตเท่ากระดังฝัดข้าวและ มีอิฐแผ่นใหญ่ๆ ปักเป็นวงกลมไว้ใต้ผิวดิน มีปู่โสมเฝ้าอยู่ทุกบ่อ มี ผู้พยายามจะขุดเอาแก้วเหล่านี้ แต่ก็ได้ล้มตายเพราะปู่โสมไป หลายคนแล้ว โสมเหล่านี้พูดจามีสําเนียงคล้ายรามัญ มีบ่อละ ๓-๔ คน โสมผู้ใหญ่นั้นสีหน้าแดง ที่หน้าอกเต็มไปด้วยเครื่องประดับ แสดงว่าเป็นผู้ได้รับแต่งตั้งมาจากเบื้องบน มรกตนี้ภายนอกมีผิว คล้ายแววหางนกยูง แม่น้ำลําห้วยต่างๆ หลายแห่ง เช่น แม่ดาว แม่ตาว แม่ทา ฯลฯ ซึ่งอยู่ในภาคเหนือใกล้นครหลวงใหม่ ก็จะ บังเกิดเป็นบ่อแก้วแหวนเงินทองเหลือที่จะนับจะปริมาณ นอกจาก ภายในประเทศไทย ก็จะมีในต่างประเทศโดยทั่วไปตลอด แอฟริกา ยุโรป อเมริกา และเอเชีย ทั้งหมด มนุษย์เดนตายจากวันตัดสินโลก แม้จะมีเหลืออยู่สักกี่ล้านกี่โกฏิหรือสักเท่าใดก็ตาม ก็เป็นเศรษฐี ทั่วกันไปหมด ในยุคนั้นจะหาคนอนาถาไม่ได้

    ปัจจุบันนี้ มีปัญหาที่น่าคิดอยู่มากว่า สรรพวัตถุนานาชนิด ได้ถูกวางทอดอยู่เต็มตลาดทั่วไปทั้งโลก และมนุษย์ที่ยากจนอนาถา ก็ได้ถูกทอดทิ้งไปเต็มโลกอีกเหมือนกัน ไฉนสินค้าเหล่านั้นกับคน เหล่านี้จึงเข้ากันไม่ได้ หรือเข้ากันได้ก็เพียงเล็กน้อยไม่เหมาะสม กันเลย ย่อมเป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจ ในข้อที่ว่า พระเจ้าบนสวรรค์ก็อยู่ ทนโท่ ส่วนลูกกะโล่ของพระเจ้า (รวมทั้งนักการเมือง, นักปกครอง, และนักการศาสนา) ก็มีอยู่เต็มทุกชาติทุกศาสนาตลอดโลก ทําไม จึงไม่มีความสามารถพอ ไม่ใจบุญพอ ในอันที่จะจรรโลงสมบัติ เหล่านั้นมาเฉลี่ยให้แก่พลโลกให้เหมาะสมหรือพอเหมาะพอครองกัน? นี่ก็เป็นสมุฏฐานอันหนึ่งที่จะบันดาลให้ฝูงมนุษย์ดิ้นรนกระวนกระวาย ในทํานอง “กบเขียดเลือกนาย” ตามที่นิทานอีสป กล่าวไว้

    background20test03-600x780.jpg

    พระศรีอาริย์คือนายอันแท้จริง ผู้อ่านพึงเข้าใจเถิดว่า คอมมิวนิสต์นั้นเป็นนายเทียม หาใช่เป็นนายอันแท้จริงของมนุษย์ไม่ และกว่าจะเข้ารูปเป็นนายเป็นทาสกันได้ ก็ต้องหลั่งเลือดออกบูชาความวิเศษกันจนแดงฉานทาแผ่นดินอย่างน่าอนาถใจ ส่วนพระศรีอาริย์นั้นเป็นนายมนุษย์โดยสุภาพ อ่อนโยน ละมุนละไม ไม่เหี้ยมโหด เช่นนายคอมมิวนิสต์ และเป็นลัทธิบํารุงชีวิตมนุษย์ให้ยืน ยาวถาวรและสดชื่น ทั้งในด้านสุขภาพและทรัพย์สมบัติ ย่อมต่าง กันเหมือนฟ้ากับดิน หรือไฟกับน้ำ เมื่อพูดมาถึงเพียงเท่านี้ก็ย่อม บังเกิดปัญหาขนาดเท่าภูเขาขึ้นในใจของผู้อ่านอีกว่า

    [​IMG]

    “ไฉนปัจจุบัน นี้พระศรีอาริย์จึงยังไม่มาโปรดมนุษย์เล่า? มัวแต่หลงเพลิดเพลิน เจริญใจอยู่กับนางฟ้าแสนโกฏิบนสวรรค์ชั้นวิมานนั้นเถอะ กว่าถั่ว จะสุกงาก็ไหม้หมดหรอก”

    ผู้เขียนจึงขอตอบแทนพระศรีอาริย์ ว่า “พระศรีอาริย์ไม่ใช่เป็นผู้หลงอะไรจนเพลิดเพลินเจริญใจ เดี๋ยวนี้ พระศรีอาริย์ท่านเสด็จอวตารลงมาแล้ว แต่มนุษย์ยังไม่ต้องการ พบองค์พระศรีอาริย์ เพราะมนุษย์เป็นผู้หลงความลวงของวิทยา ศาสตร์จนเพลิดเพลินเจริญใจถึงแก่ลืมพระศรีอาริย์บนสวรรค์เสียแล้ว แม้ท่านจะลงมาบนดินกินแกลบอยู่ในเมืองมนุษย์ มนุษย์ก็ยังไม่มองหน้าพระศรีอาริย์ ถ้าพระศรีอาริย์มองดูหน้าใครๆก็ชั่งน้ำหน้า พระศรีอาริย์และอยากจะถ่มน้ำลายรดหน้าพระศรีอาริย์เสียซ้ำ เพราะความไม่รู้อะไร ทั้งไม่รู้เหตุผลในการมาของพระศรีอาริย์

    พระเยซูของชาวคริสต์ นัยว่าจะมาอย่างทํานอง “ขโมย” พระ ศรีอาริย์ของเราก็จะมาในทํานองเดียวกันนั้น เช่นนารายณ์ปางที่ ๓ ก็อวตารลงมาเป็นหมู ปราบหิรัญยักษ์ม้วนแผ่นดิน ปางที่ ๔ เป็น พราหมณ์ถือขวาน ปางที่ ๕ ก็เป็นพราหมณ์เตี้ยตะแมะแคระ ปางที่ ๗ เป็นรามจันทร์ มนุษย์เดินดินกินแกลบเหมือนเราท่านในทุกวันนี้ ซ้ำจับเอาลิงป่ามาเป็นทหาร แต่ก็ยังปราบโคตรยักษ์ทศกรรฐ์ราบเป็นหน้ากลอง ส่วนปางที่ ๑๐ ในกลียุคนี้ ก็ซ้ำอวตารลงมาเป็น มนุษย์ยากจนกระจอกงอกง่อยไม่น่าจะมีเดชปราบปรมาณูหรือ ไฮโดรเจนหรือนิวเคลียร์สําเร็จเลย

    ตํานานพุกามจากประเทศพม่ากล่าวว่า เมื่อพระศรีอาริย์ ธรรมิกราชปรากฏแล้ว จะเสด็จไปกระทําสักการบูชาศพพระมหา กัสสปที่ภูเขาในแคว้นมคธ ทั้งนี้ก็เนื่องจากพระมหากัสสปกับพระศรีอาริย์ได้สร้างกรรมเวรกันมาในอดีตชาติ กล่าวคือ

    ในชาติอันหนึ่งที่ล่วงไปแล้ว พระโคตมะเป็นกษัตริย์ พระศรีอาริย์เป็นควานช้าง พระมหากัสสปเป็นช้าง พระศรีอาริย์เป็น ควานช้างได้ทรมานช้างกัสสปอย่างทารุณ คือได้บังคับให้ช้างนั้น เอางวงจับแท่งเหล็กแดงขนาดใหญ่ ช้างกัสสปทนความร้อนไม่ไหว ถึงแก่ล้มลงดิ้นรนกระวนกระวายและตายอย่างทรมาน กรรมอันนี้ ได้เป็นเวรสืบเนื่องกันไปจนถึงศาสนาพระศรีอาริย์ เมื่อพระศรีอาริย์ ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะต้องเอาศพพระมหากัสสปเผา ด้วยฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์เองจึงจะหมดเวรที่ได้สร้างไว้แต่ปางหลัง

    owtfbe8yfsxTu1bNUWl-o.jpg

    แต่ในท่ามกลางศาสนาของพระโคตมะนี้ พระศรีอาริย์ก็จะ ได้ไปกระทําสักการบูชาศพพระมหากัสสปเสียครั้งหนึ่งก่อนซึ่งพระศพนี้ เมื่อก่อนที่ท่านจะนิพพาน ท่านได้อธิษฐานให้ภูเขา ๓ ลูก โอบเข้าปิดไว้ และภายในอุโมงค์ที่พระศพของท่านประดิษฐานอยู่นั้น เต็มไปด้วยเครื่องสักการบูชา ซึ่งยังสดชื่นอยู่ตลอดกาล ซึ่งเราท่าน จะได้เห็นเป็นอัศจรรย์ในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะพระศรีอาริย์จะนําเอาเราท่านไปอธิษฐานให้ภูเขา ๓ ลูกนั้นเปิดออก เพื่อกระทําสักการบูชาพระศพของท่านอีกครั้งหนึ่ง

    และเมื่อครั้งท่านนิพพานใหม่ๆ พระเจ้าอชาตศัตรู กษัตริย์มคธพระบิดาของอชิตกุมาร (พระศรีอาริย์) ในตอนต้นพุทธกาล ก็ได้เคยไปทรงอธิษฐานให้เปิด ออกมาครั้งหนึ่งแล้ว (ปรากฏตามคัมภีร์ทั้ง ไทย พม่า มอญ) แต่ ในตอนกลางพระพุทธศาสนานี้ ตัวพระศรีอาริย์เองจะเสด็จไป ทรงเปิดดังกล่าวมาแล้ว (ปรากฏตามคําทํานายในตํานานพม่า) ข้อความที่กล่าวนี้ คงจะมีผู้อ่านสงสัยในข้อเท็จจริงเป็นส่วนมาก เพราะยังไม่เคยเห็นกันมาเลย ทํานองชาวเมืองนางาซากิกับชาว ฮิโรชิมา ยังไม่เคยเห็นลูกระเบิดปรมาณูครั้นแล้วเขาก็ได้เห็นกับตา ของเขาเองแม้ไม่มีผู้พูดให้เขาฟังเขาก็เห็นเองรู้เองเมื่อวันที่ และวันที่ ๔ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ นั้นเอง และมันศักดิ์สิทธิ์พอที่จะดัด กระดูกสันหลังของชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศให้โค้งอ่อนเหมือนสันเคียว ต่อหนวดลุงแซมได้ง่าย

    ส่วนเรื่องศพ เรื่องการบูชาศพพระมหากัสสปและเรื่องพระ ศรีอาริย์ที่ว่านี้ เมื่อถึงเวลาแล้ว กระดูกสันหลังของมนุษย์ มันก็ อาจอ่อนโค้งงอขี้กล้องยิ่งกว่าสันเคียวนั้นเป็นไหนๆ และหากว่า ถ้อยคําในศาสนาพุทธที่กล่าวนี้ไร้ความจริงในเวลานั้น ผู้อ่านและผู้ เขียนก็จะงมงายนับถือไปทําไม – เลิกดีกว่า

    ขอผู้อ่านจงมั่นใจเถอะว่า ข้อความที่กล่าวนี้ มันเกี่ยวข้อง กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลกธาตุ ไม่ว่าอิทธิฤทธิ์ หรือบุญฤทธิ์ หากฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ําลงไป ก็หมายความว่า “จบ” หรือ “ตาย” แค่นั้นเอง และคําที่ว่า “อมตะ” จะมีจริงไม่จริงเราก็จะเห็นกันแน่นอนวาระนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...