พระสงฆ์ที่เป็นอรหันต์ ที่มีบารมีใหญ่ที่สุดในสามแดนโลกธาตุ ปรากฎแล้ว รีบมากราบท่านเร็วๆ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 20 มิถุนายน 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ใครรักใครชอบก็รีบไปเลยนะครับ บุญใหญ่กุศลแรง อวยให้สาวกทั้งหลายฯ

    "พระอรหันต์สาวกท่านนี้เป็นพระองค์แรก ที่มีคุณอันประเสริฐต่อศาสนาพุทธ ของไทยที่ผ่าน 2,558ปี พระท่านใดก็มิอาจเทียบบารมี"

    http://1080plus.com/QT41TzzOgRg.video#QT41TzzOgRg
    รู้แต่ไม่ปรามก็แสดงว่า รู้เห็นเป็นใจ อวยกันเอง อวยชนิดแบบสุดๆ ปาราชิกนะครับพี่น้อง ฝากถามด้วยนะ ว่า เป็นพระอรหันต์หรือยัง ให้ศิษย์ที่เป็นพระถาม แล้วทำนิมิตเอา ว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ทำไมจึงไม่ปราม จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ เพราะมีคนเชื่อไปแล้วว่าเป็นจริง นั่นเท่ากับยอมรับว่าสรรเสริญเป็นจริง เขาเชื่อสนิทใจแล้ว และถ้าตนเองไม่ได้บรรลุ รู้ก็ทั้งรู้ว่า การที่จะทำสื่อสารสนเทศอะไร เจ้าตัวต้องรู้ตามด้วย นั่นเท่ากับยอมรับว่า ได้เป่าประกาศ โฆษนาชวนเชื่อแล้ว ว่าตนสำเร็จธรรม และถ้าไม่สำเร็จจริง คงรู้ดีนะว่าตน ปาราชิกแล้ว

    ผลสุดท้าย เปลือกมันก็จะกระเทาะออก เพราะมันมีแต่เปลือก ข้างในมันกลวง ใหญ่โตมีชื่อเสียง และ ชื่อเสีย เสียเปล่า!
    เราสนทนากับสหายเพื่อยกเขาออกจาก อสัทธรรม แต่เจ้าอยากให้เราแสดง วาทะเอง ผลก็เลยต้องแสดง
    เพื่ออรรถรส คุณลักษณะในการรับชม ย่อมต้องใช้การแสดงศาสตร์และวาทะศิลป์ ในการอุปมาอุปไมย ที่ปัญญาชน สามารถไตร่ตรองตาม เห็นจริงได้ เปรียบประดุจ หากปราถนาจะทำการบรรเลงทาสี ดูดกลืนกินทับถมพื้นที่เก่า ที่มีสีดำอ่อนๆจางๆ ย่อมต้องใช้สีดำสนิท ที่มีความเข้มข้นลึกล้ำยิ่งกว่า มาระบายวาดสี ในอรรถเหล่านี้ ผู้ใดมีดวงตาและจิตใจ ที่ไม่มืดบอด ย่อมเล็งเห็นประโยชน์ เห็นดีเห็น ไม่ดีและสามารถ รู้จักแยกแยะ พิจารณาดีหรือชั่วได้อย่างละเอียด ตามความเพียรปัญญาของตน เสมือนคนร่อนกรวดหา แร่ทองและเพชรพลอย ที่อยู่ในโคลนตม ย่อมได้ซึ่งแร่ธาตุและอัญมนีนั้นฯ เราเองก็มิได้โกรธเกลียด อะไรเขาดอก ทำไปพรรณนั้นๆแหละ! อุปมา:ดุจเพชฌฆาต ผู้ทำหน้าที่ประหารชีวิตนักโทษ แม้มิได้มีเรื่อง โกรธเคืองใจกันมาก่อน ก็ต้องจำใจประหารชีวิตนั้น ผู้มีสะติระลึกได้ ก็ต้องอาศัยตนเป็นหลัก หากไม่รู้จักเตือนตนแล้วไซร้ จักไปตักเตือนอะไรใครที่ไหนได้ ดังพุทธสุภาษิต
    ทน.โต เสฏ.โฐ มนุส.เสสุ
    ( ทันโต เสฏโฐ มะนุสเสสุ )
    ในหมู่มนุษย์ คนที่ฝึกตนดีแล้ว ประเสริฐที่สุด
    แม้เราผู้มีภูมิรู้ปานนี้คือ ออกไปอยู่นอกเหตุ เหนือผลทั้งหลายแล้วฯ แม้ฉะนี้ก็ยังคิด และพิจารณาเสมอๆว่า อันเด็กอ่อนผู้บริสุทธิคุณด้วยบุญญาธิการมาจุติ และกำลังเจริญเติบโต อยู่ถ้วนทั่วทั้งสหโลกธาตุ จักมีความประเสริฐดีงาม เพียบพร้อม ทั้งจริยธรรมคุณธรรม อันยังประโยชน์สุข ให้แก่มหาชนนั้น ยังมีสติปัญญาและความชาญฉลาด กว่าตัวเราอีกมากมายนัก ท่านจะเห็นผิดเป็นไฉน ในการกล่าว ยกย่องเชิดชูตนเอง ว่าดีเลิศประเสริฐศรี กว่าผู้อื่นอยู่อย่างนั้น จักแตกต่างอะไรกับ ผู้มีปัญญาทรามต่ำช้าเล่า ท่านเอย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2015
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พระสายวัดป่ากับสายวัดบ้านต่างกันอย่างไร พระศาสดาทรงบัญญัติไว้หรือไม่ อย่างไร?
    https://youtu.be/fsOhbNkiDbs

    คึกวจนะ ตอบ?!!??

    แค่ความแตกต่างยังแยกแยะไม่ออก พระมีวัดมีบ้าน ติดเรือนติดทายกอย่างนี่แหละ ประกาศพุทธธรรมผิดๆ พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้เข้าเฝ้า ถึงขั้นปรับอาบัติทันที

    {O} ว่าด้วยฐานะสงฆ์ ที่ทรงพุทธานุญาตให้เข้าเฝ้า เป็นกรณีพิเศษ {O}

    โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๕
    เรื่องพระอุปเสนวังคันตบุตร
    โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส ใครๆ อย่าเข้าไปหาเรา นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปให้รูปเดียว.

    ภิกษุเหล่านั้นรับพระพุทธาณัติแล้ว ไม่มีใครเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคในพระวิหารนี้เลยนอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียวโดยแท้. ถึงอย่างนั้น สงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีก็ยังตั้งกติกากันไว้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคมีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส ใครๆ ไม่พึงเข้าไปเฝ้าพระองค์ นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียว
    ภิกษุรูปใดเข้าไปเฝ้าพระองค์ ต้องให้แสดงอาบัติปาจิตตีย์.


    ครั้งนั้น ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกับภิกษุบริษัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ. ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว.พุทธประเพณีอันการที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลายนี้ นั่นเป็นพุทธประเพณี.
    ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรว่า
    ดูกรอุปเสน พวกเธอพอทนได้ พอให้อัตภาพเป็นไปได้หรือ? พวกเธอเดินทางมาโดยได้รับความลำบากน้อยหรือ?
    ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกราบทูลว่า พอทนได้ พอให้อัตภาพเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า อนึ่ง พวกข้าพระพุทธเจ้าเดินทางมาโดยได้รับความลำบากเล็กน้อย พระพุทธเจ้าข้า.
    ก็แลขณะนั้น ภิกษุสัทธิวิหาริกของท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างพระผู้มีพระภาค จึงพระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูกรภิกษุ ผ้าบังสุกุลเป็นที่พอใจของเธอหรือ?
    ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า ผ้าบังสุกุล มิได้เป็นที่พอใจของข้าพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าข้า.
    ภ. ก็ทำไมเธอจึงได้ทรงผ้าบังสุกุลเล่า ภิกษุ?.
    ภิ. พระอุปัชฌายะของข้าพระพุทธเจ้าทรงผ้าบังสุกุล, ข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องทรงผ้าบังสุกุลอย่างนั้นบ้าง พระพุทธเจ้าข้า.
    ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรว่า
    ดูกรอุปเสน บริษัทของเธอนี้น่าเลื่อมใสนัก, เธอแนะนำบริษัทอย่างไร?
    ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ผู้ใดขออุปสมบทต่อข้าพระพุทธเจ้า, ข้าพระพุทธเจ้าบอกกะเขาอย่างนี้ว่า อาวุโส ฉันเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร, ถ้าท่านจักถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตรบ้าง, ฉันก็จักให้ท่านอุปสมบทตามประสงค์ ถ้าเขารับคำของข้าพระพุทธเจ้าๆจึงให้เขาอุปสมบท, ถ้าเขาไม่รับคำของข้าพระพุทธเจ้าๆ ก็ไม่ให้เขาอุปสมบท. ภิกษุใดขอนิสัยต่อข้าพระพุทธเจ้าๆ บอกกะภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า อาวุโส เราเป็นผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร, ถ้าท่านจักถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตรบ้างได้, เราก็จักให้นิสัยแก่ท่านตามความประสงค์ ถ้าภิกษุนั้นรับคำของข้าพระพุทธเจ้าๆ จึงจะให้นิสัย, ถ้าภิกษุนั้นรับคำของข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้นิสัย,
    ข้าพระพุทธเจ้าแนะนำบริษัทอย่างนี้แล พระพุทธเจ้าข้า.
    ภ. ดีแล้ว ดีแล้ว อุปเสน, เธอแนะนำบริษัทได้ดีจริงๆ เออก็เธอรู้กติกาของสงฆ์
    ในเขตพระนครสาวัตถีไหม อุปเสน?.
    อุ. ไม่ทราบเกล้าฯ พระพุทธเจ้าข้า.
    ภ. ดูกรอุปเสน สงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี ตั้งกติกากันไว้ว่า ท่านทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคมีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส, ใครๆ อย่าเข้าไปเฝ้าพระองค์นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียว, ภิกษุใดเข้าไปเฝ้าพระองค์ ต้องให้แสดงอาบัติปาจิตตีย์.
    อุ. พระสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี จักทราบทั่วกันตามกติกาของตน. พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แต่งตั้งสิกขาบทที่พระองค์มิได้ทรงบัญญัติ และจักไม่เพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้.
    ภ. ดีแล้ว ดีแล้ว อุปเสน, ไม่ควรแต่งตั้งสิกขาบทที่เรายังมิได้บัญญัติ หรือไม่ควรเพิกถอนสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้ ควรสมาทานประพฤติในสิกขาบท ตามที่เราได้บัญญัติไว้. เราอนุญาตให้พวกภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เข้าหาเราได้ตามสะดวก.
    เวลานั้น ภิกษุหลายรูปกำลังรออยู่ที่นอกซุ้มประตูพระวิหาร ด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักให้ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรแสดงอาบัติปาจิตตีย์. ครั้นท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกับภิกษุบริษัทลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณหลีกไปแล้ว, จึงภิกษุเหล่านั้นได้ถามท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรดังนี้ว่า อาวุโส อุปเสน ท่านทราบกติกาของสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีไหม?
    ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้พระผู้มีพระภาคก็รับสั่งถามกระผมอย่างนี้ว่า ดูกรอุปเสน เธอทราบกติกาของสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีไหม? กระผมกราบทูลว่า ไม่ทราบเกล้าฯ พระพุทธเจ้าข้า พระองค์รับสั่งต่อไปว่า ดูกรอุปเสน สงฆ์ในพระนครสาวัตถีได้ตั้งกติกากันไว้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคมีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส, ใครๆ อย่าเข้าไปเฝ้าพระองค์ นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียว.
    ภิกษุใดเข้าเฝ้าพระองค์ ต้องให้แสดงอาบัติปาจิตตีย์.
    กระผมกราบทูลว่า พระสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีจักทราบทั่วกันตามกติกาของตน. พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แต่งตั้งสิกขาบทที่พระองค์มิได้ทรงบัญญัติ และจักไม่เพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้ ดังนี้.

    พระผู้มีพระภาคเลยทรงอนุญาตให้บรรดาภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เข้าเฝ้าได้ตามสะดวก ดังนี้.

    ภิกษุเหล่านั้นเห็นจริงด้วยในทันใดนั้นว่า ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตร พูดถูกต้องจริงแท้, พระสงฆ์ไม่ควรแต่งตั้งสิกขาบทที่ยังมิได้ทรงบัญญัติ หรือไม่ควรเพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้, ควรสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้.ภิกษุทั้งหลายได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เข้าเฝ้าได้ตามสะดวก.

    ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ต่างละทิ้งสันถัต พากันสมาทานอารัญญิกธุดงค์ บิณฑปาติกธุดงค์ ปังสุกูลิกธุดงค์.


    หลังจากนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก เสด็จเที่ยวประพาสตามเสนาสนะ
    ได้ทอดพระเนตรเห็นสันถัตซึ่งทอดทิ้งไว้ในที่นั้นๆ ครั้นแล้วรับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สันถัตเหล่านี้ของใคร ถูกทอดทิ้งไว้ในที่นั้นๆ ?
    จึงภิกษุเหล่านั้น ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคแล้ว.
    ทรงบัญญัติสิกขาบทลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย
    อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
    เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ
    บังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่
    ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ
    ๓๔.๕. อนึ่ง ภิกษุผู้ให้ทำสันถัตสำหรับนั่ง พึงถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่ง
    สันถัตเก่า เพื่อทำให้เสียสี, ถ้าภิกษุไม่ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า ให้ทำ
    สันถัตสำหรับนั่งใหม่, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
    เรื่องพระอุปเสนวังคันตบุตร จบ.
    สิกขาบทวิภังค์
    ที่ชื่อว่า สำหรับนั่ง ตรัสหมายผ้ามีชาย.
    ที่ชื่อว่า สันถัต ได้แก่ ผ้ารองนั่งที่เขาหล่อ ไม่ใช่ทอ.
    บทว่า ผู้ให้ทำ คือ ทำเองก็ตาม ให้เขาทำก็ตาม.
    ที่ชื่อว่า สันถัตเก่า คือ ที่แม้นุ่ง ๑- แล้วคราวเดียว แม้ห่ม ๒- แล้วคราวเดียว.
    คำว่า พึงถือเอาคืบสุคตโดยรอบ ... เพื่อทำให้เสียสี คือ ตัดกลมๆ หรือสี่เหลี่ยม
    แล้วลาดในเอกเทศหนึ่ง หรือชีออกปนหล่อเพื่อความทน.
    คำว่า ถ้าภิกษุไม่ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า ความว่าไม่ถือเอาสันถัต
    เก่า ๑ คืบสุคตโดยรอบแล้ว ทำเองก็ตาม ใช้ให้เขาทำก็ตาม ซึ่งสันถัตสำหรับนั่งใหม่ เป็น
    ทุกกฏในประโยคที่ทำ, เป็นนิสสัคคีย์ด้วยได้สันถัตมา, ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละสันถัตสำหรับนั่งนั้น อย่างนี้:๑-๒ เห็นจะหลงมาจากจีวรเก่าในสิกขาบทที่ ๔ แห่งจีวรวรรค
    วิธีเสียสละ
    เสียสละแก่สงฆ์
    ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า
    นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
    ท่านเจ้าข้า สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้ของข้าพเจ้า ไม่ได้ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัต
    เก่าให้ทำแล้ว เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละสันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่สงฆ์.
    ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัตสำหรับ
    นั่งที่เสียสละให้ ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
    ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็น
    ของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์พึงให้
    สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อว่า
    เสียสละแก่คณะ
    ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษา
    กว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
    ท่านเจ้าข้า สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้ของข้าพเจ้า ไม่ได้ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัต
    เก่า ให้ทำแล้ว เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละสันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
    ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัตสำหรับ
    นั่งที่เสียสละให้ ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
    ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็น
    ของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลาย
    ถึงที่แล้ว. ท่านทั้งหลาย พึงให้สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
    เสียสละแก่บุคคล
    ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ
    กล่าวอย่างนี้ว่า:-
    ท่าน สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้ของข้าพเจ้า ไม่ได้ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า
    ให้ทำแล้ว เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละสันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่ท่าน.
    ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัตสำหรับ
    นั่งที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่ท่านดังนี้.
    บทภาชนีย์
    จตุกกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
    สันถัตสำหรับนั่ง ตนทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้อง
    อาบัติปาจิตตีย์.
    สันถัตสำหรับนั่ง ตนทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติ
    ปาจิตตีย์
    สันถัตสำหรับนั่ง คนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติ
    ปาจิตตีย์.
    สันถัตสำหรับนั่ง คนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้อง
    อาบัติปาจิตตีย์.
    ทุกกฏ
    ภิกษุทำเองก็ดี ใช้ผู้อื่นทำก็ดี เพื่อใช้เป็นของอื่น, ต้องอาบัติทุกกฏ.
    อนาปัตติวาร
    ภิกษุถือเอาสันถัตเก่าหนึ่งคืบสุคตโดยรอบแล้วทำ ๑, ภิกษุหาไม่ได้ถือเอาแต่น้อย
    แล้วทำ ๑, ภิกษุหาไม่ได้ ไม่ถือเอาเลยแล้วทำ ๑, ภิกษุได้สันถัตที่คนอื่นทำไว้แล้ว ใช้สอย ๑,
    ภิกษุทำเป็นเพดานก็ดี เป็นเครื่องลาดพื้นก็ดี เป็นม่านก็ดี เป็นเปลือกฟูกก็ดี เป็นปลอกหมอน
    ก็ดี ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
    โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2015
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    อุตริมนุสธรรม (/อุดตะหริมะนุดสะทำ/) หรือ อุตริมนุษยธรรม (/อุดตะหริมะนุดสะยะทำ/) แปลว่า ธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ หรือ ธรรมของมนุษย์ผู้ยวดยิ่ง ได้แก่ คุณวิเศษซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมีหรือเป็นได้ มิใช่วิสัยของมนุษย์ทั่วไป แต่เป็นวิสัยของผู้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว
    อุตริมนุสธรรมหมายถึง ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค และผล
    การที่ภิกษุแสดงตนหรือพูดให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนได้ฌานชั้นนั้นชั้นนี้ ตนได้บรรลุวิโมกข์ ได้สมาธิ สมารถเข้าสมาบัติได้ หรือสำเร็จมรรคสำเร็จผลอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกว่า อวดอุตริมนุสธรรม
    ปัจจุบันคำนี้ถูกนำมาใช้เรียกผู้ที่ชอบอวดอ้างตนเหนือกว่าคนอื่นหรือทำอะไรที่แผลง ๆ ที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกันว่า "อวดอุตริ" หรือ "อุตริ" เฉย ๆ
    อ้างอิง
    ? พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548
    พระพุทธองค์ และพระองค์ได้ทรงบัญญัติอนุบัญญัติเพิ่มเติมอีกว่า …..เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ…ดังนี้
    ความหมาย อุตริมนุสสธรรม คือ ธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ หรือธรรมของมนุษย์ผู้ยอดยิ่ง ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรคผล ภิกษุกล่าวอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนเองถือว่ามีโทษหนักขั้นอุกกฤษฎ์ คือ ขาดจากความเป็นภิกษุทันที ไม่สามารถขอกลับเข้ามาบวชใหม่อีกได้ต่อไป เปรียบเหมือนตาลยอดด้วนไม่อาจงอกขึ้นมาใหม่ได้ฉันนั้น
    คำว่าอุตริมนุสสธรรมในสิกขาบทนี้ หมายถึงคุณวิเศษที่ภิกษุเจริญกรรมฐานหรือเจริญสมาธิจิตจนได้บรรลุคุณธรรมวิเศษ อันได้แก่ ฌาน เช่น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุถฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ฌาน (เช่น วิชชา ๓ อภิญญา ๖) มรรคภาวนา มรรคผล (โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล) วิมุตติ ปิติ หรือความยินดีในฌาน เป็นต้น
    ภิกษุอวดอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีในตน ต้องปาราชิกเหมือนกัน เช่น ภิกษุประกาศตนว่าได้บรรลุอรหันต์หรือบรรลุอนาคามี เป็นต้น ต้องอาบัติแล้ว อนึ่ง การอวดคุณวิเศษนี้ เมื่อภิกษุกล่าวอวดอ้างไปแล้ว ผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ถือเป็นสำคัญ เมื่อมีเจตนาที่จะอวด และผู้ฟังได้ฟังรู้เรื่อง ก็ถือว่าต้องอาบัติปาราชิกแล้ว แต่ถ้าหากพูดแล้วผู้ฟัง ฟังไม่เข้าใจ หรือไม่ทราบความหมายของคำพูดนั้น ภิกษุนั้นต้องอาบัติถุลลัจจัย และถ้าภิกษุรูปนั้นพูดบอกคุณวิเศษซึ่งไม่มีในตนของภิกษุรูปอื่นให้แก่บุคคลอื่น ถ้าเขาเข้าใจคำพูดของภิกษุนั้นว่าหมายถึงภิกษุใด ภิกษุนั้นก็ต้องอาบัติถุลลัจจัย ถ้าเขาไม่เข้าใจต้องอาบัติทุกกฎ
    ภิกษุผู้พูดอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีจริงและต้องอาบัตินั้น จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ ๓ อย่างนี้ คือ
    ๑. เบื้องต้นเธอรู้ว่าตนเองจักกล่าวเท็จ
    ๒. กำลังกล่าวเท็จอยู่ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ
    ๓. ครั้นกล่าวแล้วก็รู้ว่าตนกล่าวเท็จแล้ว
     
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จริงหรือไม่ ? บอกเล่าเก้าสิบ โปรดใช้วิจารณญาน ใครมีความสามารถ สืบเสาะค้นหา ช่วยตรวจสอบด้วยครับ อาจเป็นกรรมใหญ่ถ้าคิดไม่ดี กับพระอรหันต์ผู้มีบารมียิ่งใหญ่ที่สุด พระรูปใดก็สู้ไม่ได้ ในรอบ ๒,๕๕๘ ปี อย่าเสี่ยง!

    https://www.facebook.com/pages/แฉไล...-เจ้าสำนักวัดนาป่าพง/1625526131027468?fref=nf

    https://www.facebook.com/groups/1420452478275586/1449718285349005/?notif_t=like
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เปิดธรรมที่ถูกปิด พุทธวจน พึงตั้งจิตไว้ให้มั่นในนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส

    สโลแกนบ้าๆ



    ไอ้พวกนี้ มันโง่ ไม่รู้จักฐานะแห่งบรมครู ตำหนิเพื่อสรรสร้าง ตำหนิเพื่อเป็นตัวอย่าง ตำหนิเพื่อสอนภิกษุอื่น ซึ่งพระสาวกและพระสงฆ์รูปอื่นก็ยินดีที่ได้ถูกพระองค์ทรงตำหนิ ย้ำเตือน เพราะรู้ดี ว่าตนบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เป็นประดุจบุตรของพระธรรมวินัยพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่มีการเถียงคำไม่ตกฟากแม้แต่คำเดียว เพราะรักเคารพยอมรับ เปรียบประดุจการวางรากฐานการปฎิบัติในธรรมวินัยนี้ให้รุ่งเรืองเจริญสืบไป การปฎิบัติของท่านมหากัสสปะผู้ถือการอยู่ป่าครองนิสสัย ๔ ก็เช่นเดียวกัน นี่คือการวิสัชนาตอบกัน ระหว่าง พระบรมครูกับศิษย์ในแถว ศิษย์ปลายแถวที่ไหนจะเข้าใจได้ ไอ้คึกปัญญาโง่ๆอย่างนั้นมีหรือจะเข้าใจ


    ไอ้สำนักนี้มันคงไม่รู้จัก วันมหาปวารณา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 พระพุทธเจ้าทรง อนุญาตให้พระภิกษุทำปวารณา คือ ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน .มันไม่ได้ตำหนิพระพุทธเจ้าตรงๆ แต่มัน เผาตำรา ฆ่าอาจาร์ย และกินเนื้อ ซึ่งมันก็ทำแล้ว ถอดชื่อพระนาม สิทธัตถะของพระองค์ ถอดถอนพระสัทธรรม ทำลายรัตน ๓ ที่ทรงประกอบไว้ นี่ไคล์แม๊กเลยนะ เพราะเป็น นิรุตติญานทัสสนะ การสนทนาระหว่าง พระบรมครูและศิษย์ ไม่ใช่เรื่องๆเล่น ไอ้พวกบ้าอัตตาถืออคติตนเป็นใหญ่ มีธุลีในดวงตามาก ไม่มีทางเข้าใจหรอก สุดท้าย มันสร้างหนังสือ พระพุทธวจนะ ด้วยเหตุนี้ เพราะมันไม่เข้าใจ ฐานะแห่งพระบรมครูกับศิษย์ และ ความละเอียดอ่อนฯ ในปฎิสัมภิทาญาน เรื่องนี้เราควรแสดงเพื่อ ให้ทุกคนได้รู้ตาม ใครมองเห็นตามเราได้ เพียงน้อย ก็จะเข้าใจที่ต้นเหตุ การเกิดของ สำนักพุทธวจนะทันที เพราะมันตีความผิด พระไตรปิฏกมีให้เพื่อเป็นแนวทางสั่งสอนธรรมให้ปฏิบัติตาม ไม่ใช่ มีไว้ให้สำนักนี้ และไอ้ตัวดีกลับ ทำการสั่งสอนแก่พระไตรปิฏก คิดแล้ว สารเลวจริงๆ เกิดเป็นมนุษย์เสียเปล่า ลูกศิษย์มันก็โง่เหลือเกิน

    และที่แน่นอนที่สุด มันทำลายชื่อเสียงของเหล่าครูบาอาจาร์ย ในอดีต ของพวกเราท่านทั้งหลาย ที่ท่านผู้ทรงคูณูปการเหล่านั้น ได้ปฎิบัติและร่ำเรียนศึกษาในพระไตรปิฎก สร้างชาติ สืบสานพระพุทธศาสนามา ด้วยความยากลำบากจากอดีตจนมาสู่ยุคปัจจุบัน อย่าลืมคิดคำนึงถึงข้อนี้กันเลย กับสำนัก เผาตำราฆ่าอาจาร์ยและกินเนื้อ อย่างบุคคลนี้ ตั้งแต่เกิดมาเรา ยังไม่เห็นใครชั่วเต็มรูปแบบอย่างนี้เลย ไม่ใช่แค่มหาโจรแต่เป็น มาร ๕ ๑๐๐ %
    ปฎิสัมภิทาญาน และ ปาติหาริย์ ๓ ไม่มี อาจหาญสังคายนาพระไตรปิฏก ด้วยตนเองคนเดียวยังไม่พอ นำสตรีมาร่วมด้วยอีก ทำเกินไปแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    "ปกป้องคุ้มครองรักษากันเถิด"

    ร่างกฎหมายคุ้มครอง{O}พระไตรปิฏก{O}ได้แล้วรัฐบาลเจ้าข้าเอ๊ย!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    กรุณาไปตรวจสอบด้วยนะครับ ว่าจริงหรือเท็จ

    ถ้าจริง!

    มันให้ฆราวาสมาตรวจทาน หนังสือที่มันจะเอามาสอนคนเนี่ยนะ ทำลายพระไตรปิฎกที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่พยายามด้วยตนเองจนถึงที่สุด และต้องถูกต้องทั้งหมดด้วย อย่างมีความเคารพนับถือนอบน้อมต่อพระไตรปิฎก โรงพิมพ์เขายังไม่ใช่หน้าที่เลย ทำเกินไปแล้ว คึกฤทธิ์

    เรื่องอื่น ผมไม่สนใจมาก แต่เรื่อง พระไตรปิฏก นี่ผมไม่ยอม!

    เราท่านจะเคยปะทะธรรมยุทธ์กันมาสักกี่หนก็ตาม ก็เพราะด้วยเป็นวิสัยของบัณฑิต
    ท่านทั้งหลายมองเห็นหรือไม่? ไม่ได้หวังสร้างม๊อบ แต่อยากให้รู้ว่า เรามีภัยกันแล้วท่านบัณฑิตทั้งหลายฯ ในพระศาสนา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    "ภิกษุ ท.! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตรเป็นเรื่องแนวนอก เป็นคำกล่าวของสาวก เมื่อมีผู้นำสุตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และ จักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน."
    "ภิกษุ ท.! ส่วน สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา,เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟังย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียนจึงพากันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า ข้อนี้เป็นอย่างไร ? มีความหมายกี่นัย ? ” ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้. ธรรมที่ยัง ไม่ปรากฏ เธอก็ทำให้ปรากฏได้, ความสงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย เธอก็บรรเทาลงได้."


    ถ้าคิดว่ามีคำแต่งใหม่และ ไปตัดคำสาวกออก โดยที่ตนเองไม่มีปฎิสัมภิทาญาน ทำไม่ได้ นี่เพราะไม่รู้จักความละเอียดอ่อนของภาษา บอกแล้ว ว่าเพียง พุทธภาษิตเดียวเป็นชั้นโลกุตระ เช่น อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ใครในตอนนี้ก็ไม่สามารถอธิบายให้ถึงแจ่มแจ้งที่สุดได้ ดั่งพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้ทรงปฎิสัมภิทาญาน แม้เรา ผู้เข้าถึง วิกขัมภนวิมุตติ ตทังควิมุตติ ของโลกียะ เห็นในนิรุตติญานทัสสนะ แล้ว ก็ยังไม่มีปัญญาอธิบายออกมาทั้งหมดจนเผยวิมุตติให้ผู้อื่นเห็นตามซึ่งรสได้
    มันเข้าใจคำว่า" แนวนอก หรือ นอกแนว "ไหม? ถ้าเป็นไปในเรื่องเดียวกันเป็น สัจฉิกัฐถะ ก็ถือเป็นเรื่องเดียวกัน เลวจริงๆ นรกเอ๊ย





    รู้สึกว่าจะกระจายไปตามฐานะด้วย แย่ล่ะสิ! แบบนี้ต้องรอพระอรหันต์ผู้ทรง ปฎิสัมภิทา ๔ และ ปาฎิหาริย์ ๓ รูปนั้นปรากฎเสียแล้ว แก้ไม่ได้แล้ว เป็นปัญหาความมั่นคงไปแล้ว!

    เราหมดปัญญาแล้ว


    ถ้าไม่มี ฤทธิ์เจตจำนงค์ บังคับความเสื่อมให้เผยออกมา เราทำอะไรไม่ได้แล้ว


    เราจะยุติเพียงเท่านี้ รอ ท่านผู้นั้น อีกไม่นาน ท่าน ก็จะปรากฎแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ท่านใดอยากทดสอบเรา ถามเราเรื่องปฎิสัมภิทาญาน และ วิมุตติญานทัสสนะว่ามีคุณลักษณะเช่นไร? สอบถามมาได้เลย เราจะตอบให้กระจ่าง ตามที่เราวิสัชนาได้ ในวิสัยฆราวาส จะได้รู้ว่าเราของจริงหรือของปลอม นี่ก็เพื่อ การันตีกลุ่ม แฉพวกสั่วๆแบบนั้น ส่วนในฐานะสงฆ์ รออีกไม่กี่ปีไปแน่ตลอดชีวิต

    เพื่อประโยชน์สุขของเวไนยสัตว์ส่วนรวมเป็นข้อใหญ่ ส่วนตนเป็นข้อรอง
    และต้องการทำหน้าที่ ที่ได้รับรู้มาโดยปัตจัตตัง ในการร่วม กอบกู้พระพุทธศาสนา แก้ไขพระไตรปิฏก ทำลายสัทธรรมปฎิรูป รวบรวมนิกายให้เป็นหนึ่ง ชำระธรณีสงฆ์ คืนฐานะพุทธบริษัท๔ ดำรงสกุล ต่อต้านป้องกันภัยที่๕ ด้วยหวังว่า จะมีปฎิสัมภิทาญานเช่นอดีต และเจริญด้วยปาฎิหาริย์ ๓ ในอนาคตอันใกล้ที่จะสละโลกออกบวช เป็นพระภิกษุ ผู้ดำรงเช่นสมัยพุทธกาล(และอดีตชาติพระราชปาล)
    ใช้บาตรดินเผาไร้ฝา ไว้คิ้ว ครองผ้าบังสุกุลสามผืน ฉันยาดอง อยู่โคนไม้ ตามนิสัย๔ รักษาศีลอุโบสถ เพื่อให้ได้บรรลุ ปาฎิหาริย์๓ และร่วมมือป้องกันภัยที่ ๕ จนกว่าจะสิ้นใจ ไม่ได้ชาตินี้เอาชาติหน้าต่อ !
    https://youtu.be/G_mmgqIwbes
    ขอจงสรรเสริญแด่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ผู้อยู่ในสารคุณนั้นเทอญฯ
    สาธุ สาธุ สาธุ
    สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญฯ
    ว่าที่ ภิกษุธรรมบุตร ธรรมราชา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เพราะว่าผมยังมีความหวังใน ความเป็นปัตจัตตังและอุตริมนุษยธรรมที่มีนั้นอยู่ ในฐานะที่จะได้ออกบวชเป็นพระภิกษุในอนาคต

    แต่ถ้ามันเลวร้ายมากๆจนเกินแก้ ในฐานะสงฆ์นั้น ผมก็จะทำแบบท่าน ไฟที่ว่าร้อน ยังไม่เทียบกับความเจ็บปวดเพราะมีผู้ทำลายพระไตรปิฏกในหัวใจที่มีได้เลย

    พระภิกษุดิ๊ก กวง ดุ๊กThích Quảng Đức ที่ท่านได้สละตนเอง ทำการเผาตัวเองบริเวณสี่แยกกลางกรุงไซ่ง่อน เพื่อประท้วงเพื่อการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนา

    ผมเองก็จะทำเพื่อรักษาพระไตรปิฏกในฐานะสงฆ์ครับ ผมยินดีด้วยใจจริง

    https://youtu.be/xpWICOZcn1g

    ขอสละชีวิตครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  11. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,285
    ค่าพลัง:
    +1,506
    เขียน ๑๘.๐๓

    แหม..หน้าที่แยะจังนะท่านยักษ์ จะทำไหวรื้อ หึหึหึ
    เราทำหน้าที่สื่อสารอย่างเดียว ยังแทบแย่เลยอ่ะ

    ขนาดฝึกมาอย่างดี อย่างหนัก อย่างมาก อย่างทุ่มทั้งชีวิต
    ยังต้องเป็นบ้าไปแล้ว อย่างน้อยหนึ่งครั้งเลยครับ
    แล้วท่านเคยบ้า หรือใกล้บ้า บ้างรึยังครับ ๕๕๕ (ล้อเล่นน่า นะ)


    กระต่ายป่า แห่งเกาะนาฬิเกร์ / นักรบแสง แห่งหมู่บ้านในนิทาน

    .
     
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    มิคสาลาสูตร
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
    อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เวลาเช้าท่านพระอานนท์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังที่อยู่ของมิคสาลาอุบาสิกา แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดถวาย ครั้งนั้น มิคสาลาอุบาสิกาเข้าไปหาท่านพระอานนท์กราบไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ธรรมนี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันเป็นเหตุให้คนสองคน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ คนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ อันวิญญูชนจะพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร คือบิดาของดิฉันชื่อปุราณะเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล งดเว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้าน ท่านกระทำกาละแล้ว


    พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคล เข้าถึงชั้นดุสิต บุรุษชื่ออิสิทัตตะ ผู้เป็นที่รักของบิดาของดิฉัน ไม่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ (แต่) ยินดีด้วยภรรยาของตน แม้เขาทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคล เข้าถึงชั้นดุสิต ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ธรรมนี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันเป็นเหตุให้คนสองคน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์คนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ อันวิญญูชนจะพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร ฯ


    ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูกรน้องหญิง ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ไว้อย่างนั้นแล ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์รับบิณฑบาตที่นิเวศน์ของ
    มิคสาลาอุบาสิกา ลุกจากอาสนะกลับไปแล้ว ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่งณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เวลาเช้า ข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของอุบาสิกาชื่อมิคสาลา แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดถวาย ลำดับนั้น มิคสาลาอุบาสิกาเข้าไปหาข้าพระองค์ กราบไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามข้าพระองค์ว่า ข้าแต่ท่านอานนท์ ธรรมนี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วอันเป็นเหตุให้คนสองคน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ คนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ อันวิญญูชนพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร คือ บิดาของดิฉันชื่อปุราณะ เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลงดเว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้าน ท่านกระทำกาละแล้ว


    พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคล เข้าถึงชั้นดุสิต บุรุษชื่ออิสิทัตตะ ผู้เป็นที่รักของบิดาของดิฉัน ไม่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ยินดีด้วยภรรยาของตนแม้เขาทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคลเข้าถึงชั้นดุสิต ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ธรรมนี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วอันเป็นเหตุให้คนสองคน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ คนหนึ่งไม่ประพฤติพรหมจรรย์ จักเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายภพ อันวิญญูชนพึงรู้ทั่วถึงได้อย่างไร เมื่อมิคสาลาอุบาสิกากล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกะมิคสาลาอุบาสิกาว่า ดูกรน้องหญิง ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ไว้อย่างนี้แล ฯ


    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็มิคสาลาอุบาสิกาเป็นพาลไม่ฉลาด เป็นคนบอด มีปัญญาทึบ เป็นอะไร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เป็นอะไร ในญาณเครื่องกำหนดรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของบุคคลดูกรอานนท์ บุคคล ๑๐ จำพวกนี้มีอยู่ในโลก ๑๐ จำพวกเป็นไฉน

    ดูกรอานนท์บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ทุศีล และไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีลของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อมไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อม ไม่ถึงความเจริญ

    ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทุศีลแต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีลของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อมย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม


    ดูกรอานนท์ พวกคนผู้ถือประมาณย่อมประมาณในเรื่องนั้นว่า ธรรมแม้ของคนนี้ก็เหล่านั้นแหละ ธรรมแม้ของคนอื่นก็เหล่านั้นแหละ เพราะเหตุไรในสองคนนั้น คนหนึ่งเลว คนหนึ่งดีก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลเพื่อทุกข์ ตลอดกาลนาน

    ดูกรอานนท์ ในสองคนนั้น บุคคลใดเป็นผู้ทุศีลและรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีลของเขา ตามความเป็นจริง กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย ดูกรอานนท์บุคคลนี้ดีกว่าและประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้ นอกจากตถาคต


    ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณในบุคคลและอย่าได้ถือประมาณในบุคคล เพราะผู้ถือประมาณในบุคคลย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ


    ดูกรอานนท์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศีล แต่ไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งศีลของเขา ตามความเป็นจริง
    บุคคลนั้นไม่ทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดแม้ด้วยทิฐิ ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ

    ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศีล และรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งศีลของเขา ตามความเป็นจริงบุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม


    ดูกรอานนท์ ฯลฯ เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีราคะกล้า ทั้งไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งราคะของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัยเมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียวไม่ถึงความเจริญ


    ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีราคะกล้าแต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งราคะของเขาตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัยเมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียวไม่ถึงความเสื่อม

    ดูกรอานนท์ ฯลฯ เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ ทั้งไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความโกรธของเขาตามความเป็นจริง บุคคลนั้นไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ

    ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความโกรธของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟังกระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม

    ดูกรอานนท์ ฯลฯ เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ทั้งไม่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความฟุ้งซ่านของเขา ตามความเป็นจริงบุคคลนั้นไม่กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง ไม่กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต ไม่แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมไม่ได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ ย่อมถึงความเสื่อมอย่างเดียว ไม่ถึงความเจริญ


    ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฟุ้งซ่าน แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความฟุ้งซ่านของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูตแทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมได้วิมุติแม้อันเกิดในสมัย เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม


    ดูกรอานนท์ พวกคนผู้ถือประมาณ ย่อมประมาณในเรื่องนั้นว่า ธรรมแม้ของคนนี้ก็เหล่านั้นแหละ ธรรมแม้ของคนอื่นก็เหล่านั้นแหละ เพราะเหตุไรในสองคนนั้น คนหนึ่งเลว คนหนึ่งดี ก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้นย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ ตลอดกาลนาน


    ดูกรอานนท์ในสองคนนั้น บุคคลใดเป็นผู้ฟุ้งซ่าน แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความฟุ้งซ่านของเขา ตามความเป็นจริง บุคคลนั้นกระทำกิจแม้ด้วยการฟัง กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ ย่อมได้วิมุติแม้อันเกิดในสมัย บุคคลนี้ดีกว่า และประณีตกว่าบุคคลที่กล่าวข้างต้นโน้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกระแสแห่งธรรมย่อมถูกต้องบุคคลนี้ ใครเล่าจะพึงรู้เหตุนั้นได้นอกจากตถาคต


    ดูกรอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายอย่าประมาณในบุคคล และอย่าได้ถือประมาณในบุคคลเพราะผู้ถือประมาณในบุคคล ย่อมทำลายคุณวิเศษของตน เราหรือผู้ที่เหมือนเราพึงถือประมาณในบุคคลได้ ฯ


    ดูกรอานนท์ ก็มิคสาลาอุบาสิกาเป็นพาล ไม่ฉลาด เป็นคนบอดมีปัญญาทึบ เป็นอะไร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอะไร ในญาณเครื่องกำหนดรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของบุคคล

    ดูกรอานนท์ บุคคล ๑๐ จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก

    ดูกรอานนท์ บุรุษชื่อปุราณะเป็นผู้ประกอบด้วยศีลเช่นใดบุรุษชื่ออิสิทัตตะก็เป็นผู้ประกอบด้วยศีลเช่นนั้น บุรุษชื่อปุราณะจะได้รู้แม้คติของบุรุษชื่ออิสิทัตตะก็หามิได้ บุรุษชื่ออิสิทัตตะเป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเช่นใดบุรุษชื่อปุราณะก็เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเช่นนั้นบุรุษชื่ออิสิทัตตะจะได้รู้แม้คติ ของบุรุษชื่อปุราณะก็หามิได้

    ดูกรอานนท์ คนทั้งสองนี้เลวกว่ากันด้วยองคคุณคนละอย่าง ด้วยประการฉะนี้ ฯ
    จบสูตรที่ ๕
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 38_03.jpg
      38_03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.9 KB
      เปิดดู:
      72
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    "สาวกมันบอก " เรื่องไอ้คึกทำสังคายนารื้อถอนถอดทิ้งพระไตรปิฏก ใครหน้าไหนก็ทำได้ พวกมันคิดว่าตนเองรู้แจ้งแทงธรรมตลอด โอ้โห เก่งกว่าปฎิสัมภิทาญานอีกหรือนี่ สำนักมัน
    โอ๊ มันสอนกันอย่างนั้น! นี่เอง ฉิบหายละมึง
    ------------------------------------------------------------------------------------
    การที่จะให้ใครช่วยงานธรรม จะเป็นพระ หรือฆราวาส ถ้ารู้ธรรมของพระองค์อย่างคล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดอย่างดีด้วยความเห็นแล้ว..จะเป็นใครก็ได้ เพราะธรรมะจะฆราวาส หรือภิกษุ ธรรมะของพระองค์ก็ความหมายเดียวกันไม่เป็นอื่น เพราะผู้ที่จะทำได้ ปัญญาต้องมีอย่างมากเช่นกัน
    สมาชิกหมายเลข 2336384
    2 ชั่วโมงที่แล้ว 22-6-2558
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    "ภิกษุ ท.! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด ที่กวีแต่งขึ้นใหม่เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตรเป็นเรื่องแนวนอก เป็นคำกล่าวของสาวก เมื่อมีผู้นำสุตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่เธอจักไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และ จักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน."

    "ภิกษุ ท.! ส่วน สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา,เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟังย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียนจึงพากันเล่าเรียน ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า ข้อนี้เป็นอย่างไร ? มีความหมายกี่นัย ? ” ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรมที่ถูกปิดไว้ได้. ธรรมที่ยัง ไม่ปรากฏ เธอก็ทำให้ปรากฏได้, ความสงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย เธอก็บรรเทาลงได้."
    ---------------------------------------------------------------------------

    ทรงพระพุทธวจน นั้นหมายถึง การทรงไว้จาก ปฎิสัมภิทา ๔ ตามบารมีธรรม พระสงฆ์ในพุทธสมัยนั้นมีความทรงจำดีมาก ไม่แพ้พระไตรปิฏกธรในสมัยนี้เลยทีเดียว การที่มีเพียงคาถา เมื่อคาถาที่ได้ทรงจำมา มีความเฉพาะตัว การแต่งร้อยกรองหรือร้อยแก้วขึ้นนั้นก็ต้องมีท้องเรื่องที่เป็นสัจฉิกัฐถปรมัตถ์ โดยตรงเท่านั้น เมื่อถึงกาลเวลาอันสมควร ก็จักบังเกิด ผู้มีบุญบารมีมาเกิด สามารถทรงปฎิสัมภิทาญานได้ ก็จะสามารถนำพระไตรปิฏกที่แท้จริงกลับมาเหมือนเดิม ทั้ง รูป อรรถ พยัญชนะ ทำนอง บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง

    แล้วไปทำลายของเก่าที่บูรพาจาร์ยที่เขาเรียบเรียงมาทำไม ไม่รู้หรือ? สำนักนี้ไม่รู้จัก ปฎิสัมภิทา ๔ อันเป็นโลกุตระธรรม อันวิจิตรพิศดาร ทำเกินไปแล้วสำหรับ สำนักพุทธวจน จึงไม่สามารถ ตีความและพิสูจน์ข้อมูลทั้งหมด ว่าเป็นพระพุทธวจน ทั้งหมดได้ เพราะได้ร้อยกรอง ประจุความให้สั้น ตามความเฉพาะกาลอันเป็นที่สุดความสามารถแล้ว การปฎิบัติฉีกตำราของเก่าดั้งเดิมจึงเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์

    เอามาก็ดีแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่า ที่มีรูป คึกฤทธิ์มาต้องการจะสื่ออะไร? ที่เป็นไปในทำนองคลองเดียวกันกับ เนื้อความในพระราชหัตถเลขาหรือ ไม่เลย คึกฤทธิ์ ได้ทำลายพระราชหัตถเลขานี้ ถ้าเป็นของจริง ก็ยิ่งผิดมาก ในการผ่าตำราที่ได้รวบรวมการพิจารณาไว้แล้ว ไม่ใช่ฐานะจะมีจะเป็นจะทำได้ ในยุคสมัยนี้ แน่นอนจักเป็นผลเสีย ด้วยการทำดังนี้ ย่อมเป็นการปิดธรรมที่ถูกเปิดไว้โดยสัจฉิกัฐถปรมัตถ์ ธรรมที่ยัง ไม่ปรากฏ ก็จึงไม่อาจทำให้ปรากฏขึ้นมาได้, ความสงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย ก็จะคงอยู่ต่อไปอย่างเคลือบแคลงใจ จนไม่สามารถบรรเทาลงได้."

    เพราะการกระทำของ สำนักวัดนาป่าพง โดยการนำของคึกฤทธิ์ที่ไร้ปฎิสัมภิทาญาน จึงเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์

    โดยไร้ความเห็นชอบของเหล่าบรรดาคณะสงฆ์ พระเถรานุเถระทั้งสังฆมณฑลนิกายอันพึงพระไตรปิฏกนี้

    เอามาผนวกอีก ยิ่งผิดไปกันใหญ่ แล้วจะใส่รูปมันมาทำไม อ้างแค่ "พุทธวจน" ว่ามีตัวอักษรเดียวกัน เขาทรงจำมาได้ถึงที่สุดแล้ว แต่ดันไป ผ่าเหล่า รวบรวมของที่เขาตีความความและ เรียบเรียง ย่อความ ทรงจำไว้ โดยคิดว่า ตนนั้นทำถูกต้อง ยิ่งผิดไปกันใหญ่

    ไม่มีปฎิสัมภิทา ๔ ไปทำลายไม่ได้ ไปแต่งใหม่ ทำลาย อรรถกถาไม่ได้ มันไม่รู้จักปฎิสัมภิทา ๔ ก็อย่างเนี้ย มั่วซั่วมั่วนิ่ม ทำเป็นอวดฉลาด แต่จริงๆโชว์โง่

    มันไม่รู้จัก เทศนา กับ ธรรมีกถา และ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ว่าแยกแยะกันอย่างไร? สิ่งที่มันทำคือการ อภิปราย วิจัย ค้นคว้า สัณนิษฐาน ในสิ่งที่เป็นสัจธรรม โดยสัจฉิกัฐถปรมัตถ์ ไม่ใช่การสั่งสอนแบบเทศนา ธรรมีกถา หรือ อนุสาสนียปาฎิหาริย์ แม้แต่น้อย

    นอกจากนี้ ยังมีอีก ไม่อยากจะsaid

    แม้บทความนี้ ที่นำมาแสดง ผู้ที่จะทราบถึงเรื่องราวนี้ และสามารถพยากรณ์ได้ ผู้ที่จะตีความได้ ต้องมีปฎิสัมภิทา ๔ เพียงเท่านั้น ถึงอันตรธานนี้

    ปล. ถ้าเราไม่รู้จักปฎิสัมภิทา ๔ จริงๆ วิสัชนาข้อนี้ไม่ได้หรอก ใครก็วิสัชนาไม่ได้ คึกฤทธิ์คงถือเอาตามนี้ ว่าแต่งใหม่เลยคิดจะรวบรวมด้วยตนเองสินะ หึหึหึ!อ่อนหัดจริงๆ

    "เป็นไปตามที่คาดจริงๆ "

    thank you สำหรับเครดิต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ในรอบ ๑,๐๐๐ วันต่อจากนี้ครับ
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,647
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    ********************
    สามปี คงจะไปอนุโมทนาท่านจากข้างบนหรือ....แล้วค่ะก็ขออนุโมทนาตอนนี้เสียเลย สาธุๆๆ
     
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    กินอาหารหยาบ และ พุทธโอสถ ดำรง อิทธิบาท ๔ ก็พออยู่ได้อีก
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,647
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    *****************
    แค่นี้ก็เบื่อขันธ์๕จะแย่แล้วค่ะ หมายความว่าอย่างไรคะ อาหารหยาบ ท่านจะต่ออายุให้หรืออย่างไรคะ จะได้เห็นผ้าเหลือง การเห็นสมณะก็เป็นมงคล(หนึ่งในมงคล๓๘ประการ) เอ หรือว่าต้องเลือกอีกว่าใคร
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,647
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    อโหสิค่ะ
    ส่วนที่บริจาคอัฐบริขารไปก็สุดแท้แต่ท่านเถิด เมื่อคิดก็เป็นบุญแล้ว
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,647
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    smartphoneLife.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...