พระสมเด็จผสมอัฐิ หลวงพ่อพวง วัดลาดยาวปี ๒๙

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,468
    ค่าพลัง:
    +21,327

    พระผงเหมือนใบโพธิ์
    หลวงปู่มัง
    พระมงคลธรรมภาณี (มัง มงฺคโล) หรือ หลวงปู่มัง ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพกุญชรวราราม จังหวัด
    ลพบุรีพ.ศ. ๒๔๗๙ – ๒๕๓๙ (ธรรมยุติกนิกาย) เป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าคุณพระเทพวรคุณ
    (หลวงปู่อ่ำภ ภัทราวุโธ) และ ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) อดีตแม่ทัพธรรมใหญ่ คู่กับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งชาวลพบุรีและจังหวัดใกล้เคียงต่างรู้จักท่านเป็นอย่างดีในฐานะพระเถระชั้นผู้ใหญ่ เป็นพระสุปฏิปันโน พระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประชาชนทั้งในและต่างประเทศต่างเลื่อมใสศรัทธาเข้ามานมัสการ กราบไหว้ ขอพร รดน้ำมนต์กันอย่างไม่ขาดสายและท่านยังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี – สระบุรี
    ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ - ๒๕๓๙
    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านพระอาจารย์สาโรชเคยเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องการปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงปู่มัง ผมฟังเเล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก เลยนำมาถ่ายทอดให้อ่านกัน ครับท่านเล่าว่า
    "หลวงตาท่านเคยถูกนิมนต์ให้ไปร่วมปลุกเสกพระเครื่องที่วัดแห่งหนึ่ง พอเสร็จพิธี จู่ๆหลวงตาบอกว่าพระเครื่องรุ่นนี้พระนั่งหลับนะ"
    ท่านอธิบายว่า "ระหว่างที่หลวงตาท่านส่งกระแสจิตไปยังวัตถุมงคลต่างๆในพิธี เวลานั้นท่านก็สังเกต ดูอารมณ์ ดูกำลังของกระแสจิตของพระภิกษุที่เข้าร่วมพิธีในขณะนั้นด้วย ท่านเห็นว่าพระที่กำลังปลุกเสกนั้นไม่มีกระแสจิตส่งผ่านออกมาเลย แล้วท่านก็กำหนดจิตเข้าไปดูต่อว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วพบว่าพระรูปนั้นท่านกำลังนั่งหลับ" ท่านจึงได้เล่าให้ศิษย์ที่ติดตามท่านในวันนั้นฟัง ว่าพระเครื่องรุ่นนี้ พระนั่งหลับนะ
    ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพระภิกษุในพิธีนั้นนั่งหลับ ทั้งๆที่ต่างคนต่างดูเหมือนว่ากำลังบริกรรมคาถา นั่งหลับตากันอยู่
    เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เกี่ยวกับอำนาจจิตของท่าน การหยั่งรู้วาระจิตของผู้อื่น (เจโตปริยญาณ) ที่ว่าท่านเก่งเงียบก็คงไม่ผิดแต่ประการใด วัตถุมงคลที่หลวงปู่อธิษฐานจิตปลุกเสกนั้น ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์เล่าขาน ทำให้บรรดานักสะสมนิยมพระเครื่องวัตถุมงคลต่างเสาะแสวงหามาบูชาครอบครองติดตัว เพื่อเกียรติคุณและบารมี อีกทั้งพุทธาคมและพลังจิตของท่าน ทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ของจังหวัดลพบุรี ที่กราบได้อย่างสนิทใจ
    เล่าประสบการณ์ที่เค้าเจอให้ฟังว่า.. มีลุงคนนึงแกขับรถข้ามทางรถไฟแล้วรถเกิดดับตรงทางรถไฟพอดี แล้วถูกรถไฟชนเข้ากลางรถเต็มๆ สภาพรถเละมาก จนทุกคนคิดว่าลุงแกไม่รอดแน่ๆ แต่ปรากฏว่าลุงแกไม่เป็นอะไรเลย ลุงห้อยเหรียญหลวงปู่มังรุ่นแรกเหรียญเหรียญเดียว
    ทหารลพบุรีนำวัตถุมงคลไปลองยิง ไม่ออก
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนใบโพธิ์
    หลวงปู่มัง ๓ องค์
    230 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  2. j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,971
    ค่าพลัง:
    +5,386
    ขอปิดครับ
     
  3. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,468
    ค่าพลัง:
    +21,327



    พระสมเด็จผงมหาจินดามนต์รุ่นแรกปี2533หลวงพ่อเกษมวัดม่วงและเหรียญรุ่น๑ หลวงพ่อเกษมปี 2528
    วัดม่วงก็ถูกปล่อยให้รกร้างแต่นั้นมา จนเมื่อปี พ.ศ.2525 หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ได้มาปักกลดธุงดงค์เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นวัดร้างจึงน่าปฏิบัติธรรม แต่ขณะปฏิบัติธรรม ได้ปรากฏนิมิตเห็นองค์หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง มาบอกว่าให้ท่านได้ช่วยก่อสร้างวัดม่วงขึ้นมาใหม่ เพราะท่านพระครู เป็นผู้มีบารมี ที่สามารถจะก่อสร้างบูรณะวัดม่วง ขึ้นมาใหม่ได้ด้วย ผู้ที่เคยอาศัยในสมัยก่อนได้มาเกิด และจะมาช่วยท่านแล้ว และในบริเวณวัดร้างนี้จะมีศิลาขาว และศิลาแดงอยู่ คือ องค์ของหลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง นั้นเอง ซึ่งต่อมาท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ ได้มีการปั้นองค์พระครอบศิลาขาว และศิลาแดงไว้ โดยเรียกนามว่า หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง ในปี พ.ศ.2534 หลวงพ่อเกษมฯ ได้วางศิลาฤกษ์เพื่อก่อสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่มีหน้าตักกว้าง63 เมตร สูง 95 เมตร โดยให้พระนามอย่างเป็นทางการว่า “พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ” แต่ชาวบ้านบ้างเรียกติดปากว่า “หลวงพ่อใหญ่” ซึ่งก่อนที่หลวงพ่อเกษมฯ จะมรณะภาพลง ท่านเคยสั่งบอกฝากกับลูกศิษย์ การก่อสร้างองค์พระ ให้ช่วยกันก่อสร้างต่อจากหลวงพ่อ ให้เสร็จ และหลวงพ่อเกษมได้ตั้งนามองค์พระเอาไว้ว่า "พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ" พระนามนี้หลวงพ่อเกษมตั้งใจสร้างองค์พระนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9



    กท2 17/7/67
    พระสมเด็จผงมหาจินดามนต์รุ่นแรกปี2533หลวงพ่อเกษมวัดม่วงและเหรียญรุ่น๑ หลวงพ่อเกษมปี 2528
    วัดม่วงก็ถูกปล่อยให้รกร้างแต่นั้นมา จนเมื่อปี พ.ศ.2525 หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ ได้มาปักกลดธุงดงค์เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นวัดร้างจึงน่าปฏิบัติธรรม แต่ขณะปฏิบัติธรรม ได้ปรากฏนิมิตเห็นองค์หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง มาบอกว่าให้ท่านได้ช่วยก่อสร้างวัดม่วงขึ้นมาใหม่ เพราะท่านพระครู เป็นผู้มีบารมี ที่สามารถจะก่อสร้างบูรณะวัดม่วง ขึ้นมาใหม่ได้ด้วย ผู้ที่เคยอาศัยในสมัยก่อนได้มาเกิด และจะมาช่วยท่านแล้ว และในบริเวณวัดร้างนี้จะมีศิลาขาว และศิลาแดงอยู่ คือ องค์ของหลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง นั้นเอง ซึ่งต่อมาท่านพระครูวิบูลอาจารคุณ ได้มีการปั้นองค์พระครอบศิลาขาว และศิลาแดงไว้ โดยเรียกนามว่า หลวงปู่ขาว และหลวงปู่แดง ในปี พ.ศ.2534 หลวงพ่อเกษมฯ ได้วางศิลาฤกษ์เพื่อก่อสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่มีหน้าตักกว้าง63 เมตร สูง 95 เมตร โดยให้พระนามอย่างเป็นทางการว่า “พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ” แต่ชาวบ้านบ้างเรียกติดปากว่า “หลวงพ่อใหญ่” ซึ่งก่อนที่หลวงพ่อเกษมฯ จะมรณะภาพลง ท่านเคยสั่งบอกฝากกับลูกศิษย์ การก่อสร้างองค์พระ ให้ช่วยกันก่อสร้างต่อจากหลวงพ่อ ให้เสร็จ และหลวงพ่อเกษมได้ตั้งนามองค์พระเอาไว้ว่า "พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ" พระนามนี้หลวงพ่อเกษมตั้งใจสร้างองค์พระนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จผงมหาจินดามนต์ รุ่นแรกปี 2533 หลวงพ่อเกษมวัดม่วงและเหรียญรุ่นแรกสภาพไม่สวยแต่บูชาพึ่งพาพุทธคุณได้ มวลสารดีพิธีดี ๒ องค์ 250 พร้อมส่งด่วนครับ
    รุ่นแรกปี 2533 หลวงพ่อเกษมวัดม่วงและเหรียญรุ่นแรกสภาพไม่สวยแต่บูชาพึ่งพาพุทธคุณได้ มวลสารดีพิธีดี องค์ ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  4. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,468
    ค่าพลัง:
    +21,327


    เปิดดูไฟล์ 6414059


    ประวัติหลวงพ่อ
    หลวงพ่อคำ ชาตสุโข พื้นเพเป็นชาวจังหวัดอ่างทอง เกิดเมื่อวันอังคาร เดือนสาม(กุมภาพันธ์) ปีมะเส็ง พุทธศักราช 2436 เป็นบุตรของคุณพ่อแสง แสงศรี และคุณแม่กลิ่น แสงศรีครอบครัวของท่านประกอบอาชีพทำนามาแต่เดิม มีพี่น้องร่วมกัน 5 คนคือ 1.นางขลิบ 2.นางเล็ก 3.นายหาด 4.นางหนู 5. คือหลวงพ่อคำ ซึ่งท่านเป็นคนสุดท้อง ต่อมาโยมพ่อของหลวงพ่อได้ออกบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดอัมพวัน อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ส่วนท่านเองก็ได้เป็นลูกศิษย์วัดปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อท่านมาตั้งแต่อายุ ได้ 8 ขวบ วันหนึ่งหลวงพ่อของท่านเตรียมอัฐบริขารเพื่อออกธุดงค์ ก่อนไปหลวงพ่อของท่านได้บอกกับท่านว่า “พ่อไปนะลูก” สิ้นคำเท่านั้นแล้วหลวงพ่อของท่านก็เดินดุ่มลงกุฏิ ท่านถามหลวงพ่อของท่านว่า “หลวงพ่อจะไปไหน” หลวงพ่อของท่านไม่ตอบยังคงมุ่งหน้าเดินออกจากวัดไป ท่านวิ่งตามและตะโกนถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายหลวงพ่อของท่านจึงหันมาพูดว่า “ถ้าพ่อไม่เจออาจารย์ดี พ่อจะกลับมาภายใน 1ปี แต่ถ้าพ่อเจออาจารย์ดี ก็อย่าคอยพ่อเลยนะลูก” แล้วท่านก็เดินออกจากวัดไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
    เมื่อหลวงพ่อคำโตเป็นหนุ่ม จึงได้ข่าวว่า บิดาของท่านรุกขมูลไปอยู่ถ้ำ ทางภาคเหนือชื่อบ้านสระหนองแว้ง บิดาของท่านนอนอาพาธอยู่คนเดียวในถ้ำแต่บ้างก็ว่านอนอาพาธอยู่กลางป่าสัก ชาวบ้านไปพบเข้าจึงนำท่านมารักษาตัวที่วัดอ้อมแก้ว อ.สวรรคโลก จนกระทั่งมรณภาพ ก่อนมรณภาพชาวบ้านได้สอบถาม ชื่อ นามสกุล และชื่อญาติพี่น้องของท่านไว้ หลวงพ่อคำจึงทราบข่าวได้ในภายหลัง
    ครั้งหนึ่งแม่ของหลวงพ่อคำ จะไปขอผู้หญิงมาเป็นภรรยาให้ท่าน แต่หลวงพ่อแอบไปได้ยินผู้หญิงคนนั้นใช้คำพูดรุนแรงขึ้นเสียงกับแม่ของตนเอง หลวงพ่อคำจึงบอกกับแม่ของท่านว่า “หญิงคนนี้ไม่ดี อย่าได้เอามาเป็นเมียเลย” ด้วยอุปนิสัยโน้มเอียงไปสู่การถือเพศพรหมจรรย์ ท่านก็เลยไม่มีภรรยาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
    หลังจากบิดาของหลวงพ่อออกรุกขมูลแล้วหายสาบสูญไป หลวงพ่อคำได้ทำหน้าที่ของความเป็นบุตรผู้รู้กตัญญูกตเวทิตาคุณ ปรนนิบัติเลี้ยงดูผู้เป็นแม่มาโดยตลอด จนกระทั่งแม่ของหลวงพ่อถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 82 ปี ขณะนั้นหลวงพ่ออายุ 41 ปี ท่านได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณครั้งสำคัญอีกครั้งโดยการโกนหัวบวชเณร หน้าไฟให้แก่แม่ของท่านที่วัดขุมทรัพย์ อ.เมือง จ.อุทัยธานี แล้วได้ไปหาอาจารย์บุตร ให้พาไปบวชพระที่วัดใหญ่ ต.ท่าฉนวน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท โดยมีหลวงพ่อปั้น วัดหาดทะนง เป็นพระอุปัชฌาย์ในปี 2482 หลังอุปสมบทแล้วท่านได้ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อทิมวัดบ้านบน ต.ท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะ จ.นครสวรรค์
    ต่อมาในปี 2475 หลวงพ่อได้ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือมุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศพม่าเพื่อเสาะหา ศึกษาวิทยาความรู้ต่างๆ และกระทำบำเพ็ญความเพียรทางจิตอย่างจริงจัง
    ประมาณปี 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบ ท่านได้กลับมาจำพรรษาปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อทิม วัดบ้านบน ผู้เป็นอาจารย์ตามเดิม
    และในปีเดียวกันนั้นเองได้มีผู้ใจบุญผู้หนึ่งชื่อนายรัตน์ นุ่มทองคำ ได้มานิมนต์หลวงพ่อให้ไปช่วยสร้างวัดหัวทะเล ต.น้ำทรง อ.พยุหะ จ.นครสวรรค์
    ที่ดินของวัดหัวทะเล เดิมเป็นที่ของนายถนอม นุ่มทองคำ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายรัตน์ นุ่มทองคำ มีเนื้อที่ 10 ไร่ 1งาน แต่เดิมนั้นเป็นพื้นที่รกร้างเต็มไปด้วยป่าหญ้าคาและป่ายางหนาทึบจนแดดส่อง ไม่ถึง หลวงพ่อและลุงรัตน์ ได้เป็นกำลังสำคัญในการชักชวนชาวบ้านบ้าง พระจากวัดบ้านบนบ้าง ร่วมกันหักร้างถางพงบุกเบิกพื้นที่จนเป็นพื้นที่โล่งเตียน หลังจากนั้นลุงรัตน์จึงเริ่มนำวัตถุมงคลของหลวงพ่อคำ บอกหาเงินสร้างกุฏิถวายหลวงพ่อไว้จำพรรษาได้ 1 หลัง และต่อมาลุงรัตน์ก็ยังได้นำวัตถุมงคลของหลวงพ่อบอกบุญหาเงินเพื่อสร้าง ศาสนสถาน ศาสนวัตถุต่างๆขึ้นมา จนกระทั่งมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจบุญญาบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ในองค์หลวงพ่อและวัตถุมงคล ของท่านโดยแท้ (หากพิจารณาตามนี้จึงจะพอสันนิษฐานได้ว่าได้มีการริเริ่มสร้างวัตถุมงคลขึ้น มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2489 – 2490 เรื่อยมาตามลำดับ )
    บุคลิกของหลวงพ่อนั้นหากมองจากหน้าตาท่าทางท่านดูเหมือนท่านจะเป็นคนดุ แต่แท้ที่จริงแล้วหลวงพ่อท่านมีอุปนิสัยอ่อนโยน เยือกเย็น มีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สร้างความเชื่อถือศรัทธาและความซาบซึ้งตรึงใจ ให้กับผู้ที่เข้าไปพบปะกราบไหว้ได้อย่างดียิ่ง มีคุณลุงท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าสมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่แกไปกราบหลวงพ่อซึ่ง เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกแล้ว แต่หลวงพ่อท่านก็ยังกล่าวทักทายต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีมิได้บ่ายเบี่ยง ด้วยเรื่องเวลาแต่อย่างไร และที่สำคัญหลวงพ่อท่านยังมีน้ำใจชงโอวัลตินให้ลุงดื่มด้วยตัวท่านเอง สร้างความปลาบปลื้มปีติใจให้แก่คุณลุงยิ่งนัก ใครมาใครไปท่านจะบอกให้ทานนู่นทานนี่เท่าที่จะมีอยู่ใกล้ๆตัวท่านอยู่เป็น ประจำ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในกุฏิท่านใครจะขอเอาไปใช้ทำประโยชน์อย่างไรท่านให้ โดยที่ไม่มีแสดงอาการห่วงหวงเลย ท่านมีอัธยาศัยต้อนรับขับสู้เสมอภาคกันหมดไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านจะทรงไว้ซึ่งพรหมวิหารธรรมอยู่เป็นนิจ และองค์ท่านก็มีจิตวิทยาในการโน้มน้าวจูงใจคนสูง ใครจะมีอุปนิสัยมาอย่างไร ท่านก็คุยเข้ากันได้กับทุกอุปนิสัย ท่านเข้าใจสนทนาหว่านล้อมจนกระทั่งสุดท้ายก็ต้องยอมลงให้แก่ท่าน ท่านก็ได้โอกาสสอดแทรกธรรมมะ หรือคติเตือนใจเข้าไปได้ ญาติโยมเข้ามาหาเครื่องรางของขลัง ท่านก็มักจะสอนให้ปฏิบัติที่ตัวเองมากกว่า เช่นมาหานางกวัก ท่านก็ว่า “จะมาหานางกวักอะไรที่นี่หล่ะ ไปหานางกวักที่บ้านซิดีกว่าเยอะ”โยมก็ไม่เข้าใจว่านางกวักจะมีที่บ้านของเขา ได้อย่างไรก็เลยถามหลวงพ่อว่านางกวักที่บ้านเป็นยังไง หลวงพ่อท่านก็เฉลยให้ฟังว่า “ก็หัวจอบซิจ๊ะ ยิ่งใช้เท่าไรก็ยิ่งรวยเท่านั้น” แม้แต่เรื่องทำบุญท่านก็ว่า “บุญน่ะไม่ใช่จะมาทำที่วัดกันอย่างเดียว กลับไปก็ต้องไปทำที่บ้านด้วย ขยัน อดทน ประหยัด ไม่สุรุ่ยสุร่าย ขยันให้เป็นหลัก ยกตัวอย่างโยมขยันทำนาได้ข้าวมาก ชาวบ้านเขาก็ว่า เอ้อ..ปีนี้มันได้ข้าวเยอะบุญของมันเน๊อะ นี่ไงเล่าบุญ” และโดยเฉพาะเด็กๆท่านจะเอ็นดูมากถ้าท่านเห็น ท่านก็มักจะเรียกมาแจกพระบ้าง แจกขนมนมเนยบ้าง สังเกตได้ว่าเหรียญของท่านจะทำเป็นเหรียญเล็กๆขนาดกะทัดรัดสำหรับคล้องคอ เด็กๆได้เหมาะสม และเหรียญของท่านก็สร้างปาฏิหาริย์ให้กับเด็กๆมามากต่อมากด้วยเช่นกัน ในคอเด็กๆในละแวกนั้นส่วนใหญ่จะมีเหรียญหรือไม่ก็ล๊อคเก๊ตของท่านเกือบทุกคน เด็กๆก็รักและเคารพนับถือท่านมาก บ้างก็ไปปัดกวาดเช็ดถู บ้างก็ไปบีบนวดให้ท่านท่านก็ได้โอกาสอบรมสั่งสอนคุณธรรมให้แก่เด็กๆไปในตัว

    ในสมัยที่ท่านอยู่พวกหมา พวกไก่ใครมาปล่อยไว้หรือพัดหลงมาเองท่านก็มีเมตตารับเลี้ยงไว้หมด คำพูดคำจาของท่านออกจะนุ่มนวลและเป็นกันเองตามแบบฉบับลูกทุ่งโดยแท้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะดีร้ายอย่างไร ท่านจะว่า “ ดีจ๊ะดี ” หมด เคยมีโยมท่านหนึ่งมาบอกหลวงพ่อว่าไฟไหม้บ้านเขา หลวงพ่อก็บอกว่า “ไฟไหม้ก็ดีซิจ๊ะ ก็จะได้บ้านใหม่ล่ะซิหว่า” น้ำท่วมอ้อยท่วมข้าวท่านก็ว่าดี “น้ำท่วมก็ดีซิจ๊ะ ก็จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาดูแลมันอีกไงล่ะ” อย่างนี้เป็นต้น เรื่องขันติธรรมท่านก็เป็นหนึ่งตลอดอายุสังขารในเวลาที่ท่านเจ็บป่วย ท่านไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่เคยแสดงอาการให้ใครเห็น เคยมีลูกศิษย์จะพาไปหาหมอ ท่านไม่ยอมไป ท่านว่าของท่านว่า “เป็นเองก็หายเองซิหว่า” ในด้านการขบฉัน ด้วยนิสสัยของพระปฏิบัติที่เคยถือธุดงค์เป็นวัตรทำให้ท่านมีปกติที่จะฉันแบบ เอกา คือการฉันในบาตรแต่อย่างเดียวไม่ใช้ภาชนะอื่น และฉันมื้อเดียว แต่เพื่อไม่ให้ขัดศรัทธาญาติโยมท่านก็ผ่อนปรนลงบ้างในกรณีที่มีกิจนิมนต์ฉัน เพลท่านก็สามารถฉลองศรัทธาได้ไม่ให้เสียกำลังใจญาติโยม เวลาท่านออกบิณฑบาต ท่านจะมีบาตรของท่านติดตัวไปเพียงใบเดียวเท่านั้น ใครจะใส่หวาน ใส่คาว ก็เทใส่รวมลงไปในนั้น บางคนหวังดีไม่อยากให้กับข้าวปนกันเกรงว่าท่านจะฉันไม่ได้รส พอท่านรับบิณฑบาตแล้วลับหลังท่านก็แก้ถุงออกแล้วเทรวมลงไปตามเดิม ท่านบอกของท่านว่า “ อย่างนี้ฉันง่ายดีจ๊ะ ไม่ต้องไปคลุกเคล้า เดี๋ยวก็ลงไปเคล้ากันในท้องอยู่ดีแหละจ๊ะ” เส้นทางที่ท่านใช้บิณฑบาตก็แปลกเช่นกันพอได้เวลาสักประมาณ 4 -5 เย็นท่านจะพาพระลูกวัดปัดกวาดทำความสะอาดทุกวันตั้งแต่ออกจากวัดจนกระทั่ง สุดเส้นทางบิณฑบาตทั้งขาไปและขากลับอยู่เป็นประจำ ท่านเป็นพระขยัน นอกเสียจากเวลาปฏิบัติของท่านแล้ว ท่านมักจะทำนู่นทำนี่อยู่เสมอ กว่าจะเข้ากุฏิจำวัดได้ก็ค่อนข้างดึกบางคราวท่านก็นั่งปฏิบัติทั้งคืน หากจำวัดท่านก็ตื่นแต่เช้าประมาณตี 3 ทำกิจวัตรส่วนตัวทำวัตรสวดมนต์ตามปกติของท่าน สักประมาณตี 4 ท่านก็จะออกปัดกวาดบริเวณวัด พระลูกวัดรูปไหนยังไม่ตื่นท่านก็ไม่ดุไม่ว่าแต่ท่านจะไปเที่ยวกวาดอยู่ใน บริเวณใกล้ๆกุฏิของพระรูปนั้นนั่นเอง นับว่าเป็นอุบายวิธีที่แยบคาย การจำวัดของท่านท่านจะจำวัดในท่าสีหไสยาสน์เสมอ จะเห็นได้จากรูปอิริยาบถต่างๆของท่านที่วัดสุวรรณรัตนาราม และด้วยปฏิปทาจริยาวัตรที่ท่านถือปฏิบัติบ่มเพาะบำเพ็ญเพียรมาอย่างอุกฤษฏ์ นี้เอง จึงเป็นผลให้วัตถุมงคลของท่านทรงอานุภาพศักด์สิทธิ์ แม้แค่เสกเป่าเพียงพ่วงเดียวก็ก่อให้เกิดความเข้มขลังมีประสบการณ์เป็นพยาน ยืนยันมาหลายต่อหลายราย เมื่อจิตของท่านยังทรงกำลังฌานอยู่ ท่านจะกำหนดที่อะไรกะแสจิตก็ยิ่งไวต่อสิ่งนั้น ดังที่ชาวบ้านเกรงบารมีท่านกันนักหนาในเรื่องวาจาสิทธิ์ของท่าน ท่านพูดอย่างไรย่อมเป็นไปอย่างนั้นไม่มีพลาดเลย ยกตัวอย่าง ท่านเห็นญาติโยมที่กราบลากลับไปขึ้นรถกันหมดแล้วแต่ยังไม่ทันได้สตาร์ท เครื่อง ท่านจึงทักว่า “ เอ้า..มันยังไม่ไปกันหรือหว่าน่ะ” ทีนี้เองเจ้าของรถจะสตาร์ทรถอย่างไรก็ไม่ติด พอท่านเห็นท่าไม่ค่อยดีท่านจึงกล่าวว่า “เออ..ไปกันได้แล้ว” เท่านั้นแหละรถก็สตาร์ทติดชึ่ง ได้อย่างง่ายดาย ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เล่ากันว่าหากไม่ขออนุญาตท่านแล้วจะถ่ายรูปท่าน อย่างไรก็ถ่ายไม่ติด การล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความพิศวงงงงวยให้ กับบุคคลใกล้ชิดอยู่เสมอ เช่น เรื่องของคุณหมอในตลาดพยุหะท่านหนึ่งมากราบหลวงพ่อเมื่อเสร็จธุระแล้วก่อน กลับคุณหมอก็กราบขอพรหลวงพ่อ แต่คราวนี้แทนที่หลวงพ่อจะให้พรตามปกติ หลวงพ่อกลับกล่าวทักขึ้นมาว่า เออ..ไปเถอะอย่างหมอเนี่ยถึงชนกันก็ไม่ตาย คุณหมอก็งงๆกับพรของหลวงพ่อเช่นกัน แต่เมื่อขับรถมาถึงสี่แยกพยุหะปรากฏว่ามีรถวิ่งเข้ามาชนรถคุณหมอจริงๆ สภาพรถยับเยินแต่คุณหมอไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างไร

    ในเรื่องโชคลาภนั้นมีอยู่มากมายเช่นกัน อย่างเช่นคราวหนึ่งเมื่อนายโย มากราบหลวงพ่อแต่การกราบคราวนี้ต่างจากการเข้ามากราบทุกๆครั้ง เนื่องจากเมื่อนายโยก้มกราบหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อกลับใช้เท้าเหยียบลงไปบนหัวของนายโย สร้างความประหลาดใจให้กับนายโยเป็นอย่างมาก และในงวดนั้นนั่นเองปรากฏว่านายโยถูกล๊อตตารี่รางวัลที่ 1 อย่างไม่คาดคิด คราวนี้เองนายโยจึงเข้าใจพระคุณรอยเท้าหลวงพ่อที่ประทับลงมาบนศรีษะว่ามี ความหมายและเป็นศิริมงคลต่อตนอย่างไร
    มีโยมคนหนึ่งมาขอหวยจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็ปฏิเสธบ่ายเบี่ยงว่าท่านไม่รู้หรอกว่าหวยมันจะออกเลขอะไรถ้า อยากรู้ก็ให้ไปถามกองสลากกินแบ่งโน่น โยมบอกว่าไปไม่ถูกแต่เขาได้เลข 82 มาจากหลวงพ่ออื่น หลวงพ่อก็เลยควักแบงค์ 20 ฝากโยมซื้อหวยเลขนั้นด้วย “งั้นข้าฝากซื้อ 20 นะ” ชาวบ้านเห็นหลวงพ่อซื้อเลข 82 ก็พากันซื้อเลข 82 กันยกใหญ่ ปรากฏว่าหวยงวดนั้นออก 20 ชาวบ้านได้ยินแล้วหงายท้องตามๆกันที่สำคัญความหมายของหลวงพ่อผิด
    คุณลุงอีกท่านบ้านอยู่ทางวัดดงขวาง จ.อุทัยธานีเล่าว่า ตอนแกบวชแกไปสึกกับหลวงพ่อคำ(แกเล่าว่าตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ที่วัดอีเติ่ง) แกแลเห็นกุฏิหลวงพ่อจุดเทียนสว่างจนดึกจนดื่นด้วยความสงสัยแกจึงแอบดู ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านนั่งสมาธิตลอดทั้งคืน เมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่พระลูกวัดแยกย้ายกันไปจำวัดแล้วแกก็เห็นหลวงพ่อ เดินไปเดินมา เหมือนกับเดินจงกรมแต่แกก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่อเมื่อฟ้าสว่างท่านเดินผ่านกุฏิหลวงพ่ออีกครั้ง ทำให้ลุงแกถึงกับอึ้ง..เพราะปรากฎว่าหลังกุฏิหลวงพ่อเป็นลำคลองที่มีน้ำอยู่ เต็มตลิ่ง นอกจากนั้นลุงท่านนี้ยังเล่าว่าหลวงพ่อท่านกล่าวถึงหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ ปั๋ง เหมือนกับท่านไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทั้งๆที่หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย
    สำหรับข้อห้ามในการใช้เครื่องรางของขลังของหลวงพ่อ ท่านไม่มีข้อห้ามยุ่งยากเหมือนหลวงปู่หลวงพ่อท่านอื่นๆเลย ท่านห้ามผิดศีลข้อ 3 เป็นหลัก และก็ห้ามด่าพ่อด่าแม่ เท่านั้นเอง ท่านว่า ทองคำอย่างไรก็เป็นทองคำ ตกน้ำก็เป็นทองคำ ตกไฟละลายแล้วก็ยังเป็นทองคำ อยู่วันยันค่ำ
    ความมหัศจรรย์ในองค์ท่านผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวว่าเล่าวันนึงก็ไม่หมด ด้วยเหตุที่หลวงพ่อเป็นพระผู้นั่งอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของชาวบ้านทุก เพศทุกวัยจึงพูดได้เต็มปากว่าท่านเป็นเสมือนหนึ่ง “เทพเจ้าแห่งน้ำทรง”

    ขอบคุณข้อมูลดีๆจากคุณฝุ่นดิน (สูญญากาศ) และคุณสิทธิ์พยุหะ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่คำผูกพัทธสีมาปี๒๕๒๔ ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

     
  5. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,468
    ค่าพลัง:
    +21,327



    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่สุต ผสมเกษา
    หลวงปู่สุต วัดปฐมพานิช เมื่อท่านละสังสังขารแล้ว ปรากฏว่าสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย กลับเหมือนคนนอนหลับไปเท่านั้น วัตถุมงคลท่านล้วนมีประสบการณ์ คนท้องที่หากันมากที่สุด พระพิมพ์สมเด็จเป็นสุดยอดมหามงคลของหลวงปู่ เป็นพระยุคต้นของท่านที่สร้างน้อย หายากสุดๆ พบเห็นกันไม่บ่อยนัก พระเครื่องของท่านทุกรุ่นทุกพิมพ์เป็นที่ต้องการของคนในพื้นที่อย่างมาก
    สมัยก่อนนั้นคนบ้านหมี่ที่เดิน ทางไปกราบหลวงพ่อเดิม ต้องนั่งรถจากสถานีรถไฟบ้านหมี่ ขึ้นเหนือไปลงที่สถานีรถไฟหนองโพ แล้วเดินเท้าต่อไปจนถึงวัดหนองโพ พอไปกราบท่านๆก็ถามว่ามาจากไหน เมื่อท่านรู้ว่ามาจากตลาดบ้านหมี่ ท่านก็ถามว่า "..มาทำไมตั้งไกล แค่เดินข้ามทางรถไฟไปก็มีพระอาจารย์ดีให้ไปกราบอยู่แล้ว.." (วัดปฐมพานิช อยู่คนละฝั่งของทางรถไฟสายเหนือ ตรงกันข้ามกับตลาดและที่ว่าการอำเภอบ้านหมี่) เรื่องเล่าสืบต่อกันมานี้แสดงให้เห็นว่าหลวงปู่สุต มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพมิใช่น้อย ดังปรากฎว่าเมื่อคราวใดที่หลวงพ่อเดิมเดินทางมาบ้านหมี่ (ท่านมักจะขี่ช้างมาวัดบ้านกล้วยบ้าง วัดกำแพงบ้าง) ท่านจะต้องแวะมาจำวัดที่วัดปฐมพานิชด้วยทุกครั้ง และหลวงพ่อเดิมท่านก็ต้องรู้ว่าหลวงปู่สุตเก่งเพียงใด พระสุดยอดเกจิอย่างหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพย่อมไม่กล่าวคำเท็จแน่นอน
    นอกจากนั้นกับหลวงพ่อโอด วัดจันเสน ที่มีศักดิ์เป็นหลานชายแท้ๆ ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ก็สนิทสนมกับหลวงปู่สุตมากเช่นกัน ท่านได้มาเข้าร่วมพิธีสำคัญของวัดปฐมพานิชเกือบทุกครั้ง โดยท่านจะเรียกว่าหลวงปู่สุตว่าหลวงพี่ ในฐานะศิษย์ร่วมสำนักของหลวงพ่อเดิม และเป็นศิษย์รุ่นน้องของหลวงปู่สุต ว่าก้นว่าหลวงปู่สุตสามารถรับการถ่ายทอดวิชาของหลวงพ่อเดิมมาได้จนหมดสิ้น
    ครบถ้วน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    หลวงปู่สุตท่านเป็นศิษย์เรียนกรรมฐานจากลพ.เภาถ้ำตะโก และท่านเป็นอาจารย์ลพ.ศรี วัดหน้าพระลาน สระบุรี หลายปี ก่อน มีข่าวลงหนังสือ อาทหารลพบุรี จะฆ่าตัวตายเอาปืนยิงตัวเอง แต่ยิงไม่ออก พบพระเครื่อง ลป.สุต ในตัวเอง จนเลิกคิดสั้น ฆ่าตัวตาย
    พระสมเด็จหลวงปู่สุต ผสมเกษา ๑ องค์และพิพม์ยอดขุนพลหลังรูปเหมือนผสมเกษา ๑ องค์ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  6. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,468
    ค่าพลัง:
    +21,327


    เหรียญหลวงพ่อสังข์ จันทรุปราคา ปี๒๕๓๐
    หลวงพ่อสังข์ วัดบ้านใหม่(กลอ)ต.ใหม่ อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา
    หลวงพ่อสังข์ หรือ พระครูประโชตินวการ (สังข์ ชุติมันโต) ท่านเกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2456 ได้อุปสมบทเมื่ออายุ 23ปี ที่วัดใหม่กลอ มีพระปลัดแจ้ง วัดใหม่สุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเปีย เป็นพระกรรมมาวาจารย์ พระอยู่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้เรียนรู้สำเร็จนักธรรมเอก นอกจากนี้ท่านยังสนใจในวิชาอาคมต่างๆ ท่านสวดมนต์เก่ง ทั้งยังฝึกด้านกรรมฐานและสมัยนั้นนิยมการเดินธุดงค์ ท่านติดตามพระอาจารย์สิงห์ วัดป่าสาลวัน ไปตามสถานที่ต่าง ๆ และเล่าเรียนวิชาที่สอนให้ด้วย ต่อมาท่านเดินทางไปเรียนวิชากับ หลวงพ่อคง วัดถนนหัก พระอาจารย์น้อย หลวงพ่อหลง และหลวงพ่อสอน วัดเสิงสาง ท่านเรียนวิชากับพระอาจารย์รูปใดก็มักจะได้วิชาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นมนต์วิชาพิสดารต่าง ๆ แม้กระทั่งการลงเขี้ยวเสือ ลงยันต์หนังเสือ ตะกรุดโทน ตะกรุดเมตตามหาอำนาจ แต่ท่านชอบทางมหาอำนาจ ทางป้องกันอันตราย พระเครื่องต่างๆของท่านจะเด่นด้านคงกระพันชาตรีไม่น้อยหน้าพระรูปใดในโคราช
    หลวงพ่อสังข์ มรณภาพเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2534 สิริอายุรวม 77 ปี
    สมัยนานเนมาแล้วนั้น มีเคอร์ฟิวส์แถวชายแดนไทย-เขมร ในเขต อ.เสิงสาง นครราชสีมา

    ทหารตั้งด่านตรวจสกัดอยู่ทั่วไป

    คุณธวัชศักดิ์ กลับจากธุระในเมืองมาถึงด่านก็เป็นเวลาเคอร์ฟิวส์แล้วทหารจึงกักตัวไว้ โดยให้พักอยู่ที่ด่านให้รอจนถึงพรุ่งนี้เช้าพ้นเคอร์ฟิวส์แล้วจึงจะปล่อยไประหว่างนั้นมีรถอีแต๋น บรรทุกคนงานทำไร่ฝ่าด่านมา ทหารเรียกให้จอดก็ไม่จอดในที่สุดทหารที่ด่านก็ซัลโวเอาด้วย M 16 ตายหมดทั้งคันรถเว้นแต่คนขับรถอีแต๋นคนเดียวที่ไม่ตายโดดหนีลงไปซุกอยู่ใต้ท้องรถตัวสั่นงันงกตกใจจนแทบเสียสติ เมื่อทหารลากตัวออกมาปรากฏว่าเสื้อแสงขาด พรุนเป็นรูกระสุนมีรอยปูดเป็นลูกมะนาวทั้งตัวกระสุนไม่เข้าหนังแม้แต่นัดเดียว

    เมื่อดูที่คอก็เห็นว่าแขวนเหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อสังข์ วัดบ้านกลอใหม่เพียงเหรียญเดียว
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลทุกที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
     
  7. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,468
    ค่าพลัง:
    +21,327

    พระสมเด็จท่านพ่อเณรสมบูรณ์จริงหลังเสือ
    - หลวงพ่อเณร หรือ ท่านพ่อเณร สมบูรณ์จริง
    ท่านเป็นชาวขอนแก่น เกิดที่ขอนแก่น ท่านออกจำพรรษา และชอบสร้างวัดในหลายๆจังหวัด
    ช่วงปีพ.ศ. ๒๔๙๘ - ๒๕๐๔ ท่านเป็นเจ้าอาวาส วัดหนองหลัว สระบุรี
    ในช่วงบั้นปลายชีวิต ท่านมาสร้างวัดสมบูรณ์วนาราม ที่ขอนแก่น และเป็นเจ้าอาวาสจนมรณะภาพ
    ท่านเกิดและมรณะภาพที่ขอนแก่น วัดสมบูรณ์วนาราม ได้จากฉายาของท่าน ถือเป็นวัดคู่บารมีของท่านครับ
    พระปลัดสมาน สมบูรณ์จริง (หลวงพ่อเณร โพธิสัตโต) ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จอมกสิณไฟแห่งเมืองละโว้
    ท่านพ่อเณร เป็นสงฆ์ที่ชำนาญในทางไสยเวทย์ และภาวนาน้ำพระพุทธมนต์ ในยุคกึ่งพุทธกาล แสดงอิทธิฤทธิ์ โดยการลงไปสรงน้ำในขวดแก้ว
    ให้ประชาชนในยุคนั้นได้ประจักษ์แก่สายตา ท่านเคร่งทางเวทย์มนต์ จะสรงน้ำปีละ1ครั้ง ในการสรงน้ำนั้นจะไม่ปลดจีวร
    แต่จะย่อร่างสรงน้ำในขวดแก้ว สบงจีวรไม่เปียกน้ำ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลังเสือท่านพ่อเณรให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

     
  8. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,468
    ค่าพลัง:
    +21,327
    จัดส่ง


    ขอบคุณครับ
     
  9. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,468
    ค่าพลัง:
    +21,327


    พระพุทธนฤมิตรรัตนชนะมาร รุ่น๑ และ พระรูปเหมือนนั่งตั่งรุ่นแรก วัดเจดีย์หอย ลพ. ทองกลึง
    เปิดวัดเจดีย์หอยฟังเทศนา“พระครูสุนทร คุณธาดา”
    ชนะใจตัวเองไม่ได้ แล้วจะชนะใจใคร?

    ได้มีโอกาสเดินทางไปกราบนมัสการและฟังธรรมเทศนา กับ พระครู ดร.สุนทร คุณธาดา อายุ 77 ปี บวช 56 พรรษา เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หอย ต.บ่อเงิน อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ปกครองพระสงฆ์ 18 รูป สามเณร 10 รูป สังกัดมหานิกาย บนเนื้อที่ กว่า 100 ไร่ เป็นที่ตั้งของ กุฎิ อุโบสถ เป็นต้น

    ทว่า ที่โดดเด่น เป็นที่สะดุดตา สำหรับนักเดินทาง นักท่องเที่ยว ผู้ผ่านไปมา ยิ่งนัก ก็คือ เจดีย์หอย ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนหน้าวัด ด้วยประติมากรรม ทำมือ ประดับเปลือกหอย นับหลายล้านชิ้น ตกแต่ง สวยงาม กลายเป็น “เจดีย์หอย” อย่างน่าทึ่ง
    พระครู ดร.สุนทร คุณธาดา หรือ หลวงพ่อทองกลึง สุนทโร เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หอย ต.บ่อเงิน อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี เล่าประวัติวัยเด็กให้ฟังว่า อาชีพนั้น ทำไร่ทำนา โยมพ่อ โยมแม่ ทำนา ทำสวน ระหว่างได้เติบโตมา อายุ 2 ขวบ 4 เดือน เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ใน จ.ปทุมธานี เกิดอหิวาตกโรค ทำให้ โยมแม่และโยมพี่ 2 คน เสียชีวิต ซึ่งโยมพ่อ ฟุ้งซ่านสับสน เพราะทำใจไม่ได้ จึงพาโยมพ่อไปหาญาติพี่น้อง ให้ญาติพี่น้องปลอบใจ เป็นกำลังใจ อยู่กับญาติหลายวัน เห็นว่าดีขึ้นแล้ว จึงพาโยมพ่อมาอยู่กับโยมพี่สาว กระทั่งอาตมาถึงวัยเกณฑ์ทหาร ก็เกณฑ์ทหาร เป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ 2 ปี และพี่สาวบอกว่า ก่อนแม่เสียชีวิต อยากให้บวช ก็เลยอุปสมบท เมื่อตอนอายุ 26 ปี วันที่ 9 ก.ค. พ.ศ.2512 ณ.พัทธสีมา วัดชินวรารามวรวิหาร ต.บางขะแยง อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี
    พระครู ดร.สุนทร คุณธาดา เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หอย กล่าวว่า บวชมาประมาณ 5 พรรษา จึงไปคุยกับพระอุปัชณาย์ วัดบางโพธิ์ใน ว่า กระผมตอนนี้ ได้ศึกษาเรียนนักธรรม สอบได้นักธรรม ชั้นโท จะเรียนนักธรรมชั้นเอก แต่นักธรรมชั้นเอก ขอหยุดก่อน ผมมีความประสงค์ อยากไปหาหลวงพ่ออุตตมะ ที่วัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี และเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออุตตมะ พร้อมศึกษาเกี่ยวกับธรรมะ วิปัสสนา กรรมฐาน การเดินธุดงค์ พร้อมกับ เรียนเวทย์มนต์ คาถา ภาษามอญ ศึกษาอยู่กับหลวงพ่ออุตตมะ ประมาณ 6 ปี จากนั้น ได้กลับมาศึกษาต่อกับหลวงพ่อรอด วัดเกริน จ.ปทุมธานี ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเวลานั้น โดยศึกษาเกี่ยวกับ การทำแหวนพิรอด สร้างพระสมเด็จ 2 หน้าและเกี่ยวกับ เวทย์มนต์คาถา ต่อมา ไปหาหลวงพ่อบุตร ที่วัดชินวราราม ศึกษาการทำน้ำมนต์ การถอนของ และศึกษาเวทย์มนต์คาถาด้วย เสร็จแล้ว เดินทางไปวัดน้ำวน ได้สอบถามพูดคุยกับท่านพระอาจารย์กล้ม ท่านพระอาจารย์อำภา และครูบาอาจารย์เกี่ยวกับเวทย์มนต์ คาถา ในการทำน้ำมนต์ต่างๆแล้ว จึงไปหาศึกษาเรียนกับหลวงพ่อเส็ง วัดบางนา และหลวงพ่อลี่ วัดสองพี่น้อง ไปศึกษาธรรมกับหลวงพ่อสลัก วัดประดู่ทรงธรรม ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้น เดินทางไปหาหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ จ.ปทุมธานีและไปหาหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ปฏิบัติธรรม เรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อ ที่วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา สมัยนั้น หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม มีชื่อเสียงโด่งดัง ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ต่อมา กลับมาศึกษากับหลวงปู่รอด วัดเกริน ศึกษา เกี่ยวกับ เวทย์มนต์ ถาคา ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บกับหลวงปู่รอด ท่านบอกว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สมควรที่จะศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน เลยกลับไปศึกษาเล่าเรียนกับหลวงพ่ออุตตมะอยู่เป็นประจำ และบอกกับหลวงพ่ออุตตมะว่า กระผมจะขออนุญาตหลวงพ่อ ออกธุดงค์วัตร จะไปทั่วๆ จะตั้งสัจจะว่า จะขอไปองค์เดียว ไม่ใส่รองเท้า ไม่รับปัจจัย จากญาติโยม จะฉันมื้อเดียว
    “ธุดงค์วัตร คือ ข้อปฏิบัติที่เข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อขัดเกลากิเลส พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับให้ภิกษุถือปฏิบัติ ใครจะปฏิบัติหรือไม่ก็ได้ มี 13 ข้อ ประกอบด้วย 1.ถือการนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร 2.ถือการนุ่งห่มผ้าสามผืนเป็นวัตร 3.ถือการบิณฑบาตเป็นวัตร 4.ถือการบิณฑบาตไปตามลำดับแถวเป็นวัตร 5.ถือการฉันจังหันมื้อเดียวเป็นวัตร 6.ถือการฉันในภาชนะเดียว คือ ฉันในบาตเดียว 7.ถือการห้ามภัตตาหารที่เขานำมาถวายภายหลังเป็นวัตร 8.ถือการอยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร 9.ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร 10.ถือการอัพโภกาสที่แจ้งเป็นวัตร 11.ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร 12.ถือการอยู่ในเสนาสนะตามมีตามได้เป็นวัตร และ 13.ถือการเนสัชชิกังคธุดงค์ คือ การไม่นอนเป็นวัตร ซึ่งอาตมา เดินธุดงค์ไปทั่วประเทศและต่างประเทศ เช่น มาเลเซียและพม่า รวม 13 ปี”
    พระครู ดร.สุนทร คุณธาดา เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หอย เทศนาสอนญาติโยม ว่า การที่จะให้ของดีแก่ญาติโยมนั้น ญาติโยมเอาธรรมะไปก็แล้วกัน ถ้าญาติโยม มีความประสงค์จะได้ขอให้ไปที่วัด แล้วจะมอบให้ แต่หมายความว่า วันนี้ ให้ญาติโยมนั้น ให้รับธรรมะไปก่อน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้ญาติโยมทั้งหลาย พิจารณาว่า ชีวิตเกิดมานั้น มันเลือกที่เกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำความดีได้ ความดีไม่มีขาย ต้องหาเอา ต้องทำเอา โยมต้องอดทน โยมต้องขยัน โยมต้องประหยัดและโยมต้องทำหน้าที่ของโยมให้เต็มที่ ดังนี้ 1.ให้รักพ่อแม่ 2.เคารพครูบาอาจารย์และ 3.ให้ทำบุญสุนทาน แล้วโยมจะทำอะไรก็สุดแท้ ให้ตั้งสติ โยมต้องมีสมาธิ และโยมทำงานด้วยปัญญา โยมไม่มีปัญญา โยมจะทำงานได้อย่างไร โยมไม่อดทนจะอยู่ได้ไง โยมไม่อดทนจะเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไร โยมไม่อดทนจะเป็นครูบาอาจารย์คนได้อย่างไร ดังนั้น โยมจะทำอะไรก็สุดแท้ โยมจะต้องเข้าใจว่า โยมต้องคิดก่อนแล้วทำ คิดก่อนแล้วพูด คิดก่อนแล้วไป คิดก่อนแล้ว โยมจะทำอะไร ฉะนั้น โยมต้องคิดก่อน
    การที่อาตมา เดินธุดงค์ ไปภาคใต้ทุกจังหวัด เราได้สัมผัสกับชาวใต้ เดินทางประมาณ 3 ครั้ง ที่ธุดงค์ไป นอกจากนั้น เราไปจังหวัดทั่วไป ทุกภาค เพื่อเราไปหาความสงบ และเราไปชนะใจตนเอง เรานั่งสมาธิทุกสถานที่ ทุกจังหวัด ทุกป่า “ ชั่วช้างกระดิกหู ชั่วงูแลบลิ้น ชั่วไก่ขบปลีก “ อานิสงส์ ทำจิตให้สงบ ทำใจให้สบาย จะทำให้เรานี่ เกิดปัญญาญาณ และได้ความคิดเห็น จากความสงบ ทุกสถานที่

    ญาติโยมทั้งหลาย คิดอยู่ตลอดเวลาว่า อยากจะอยู่คนเดียว รับรองว่า ในโลกนี้อยู่ไม่ได้แน่นอน จะอยู่ในสถานที่ใดก็ได้ จะไปนั่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่ท้องสนามหลวงก็ได้ หรือสวนจตุจักรก็ได้ หรือที่ไหนก็ได้ ดังนั้น ถ้าจิตสงบแล้ว มันจะไม่ฟุ้งซ่าน มันจะไม่สับสน เพราะจะต้องเอาชนะจิตของเราให้มันสงบ จนได้ จิตของเราเหมือนลิง ซึ่งลิงจะอยู่ในสวนสัตว์หรือในป่า มันไม่สงบ มันจะยุกยิกยักตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น จิตของเรา จะต้องเอาชนะ ถ้าเราเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ แล้วเราจะเอาชนะใจใคร....
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับวปไซท์หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
    พระพุทธนฤมิตรรัตนชนะมาร พระผงนั่งตั๋ง ๒ องค์คู่ ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับครับ

     
  10. Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,468
    ค่าพลัง:
    +21,327

    หลวงปู่พวง
    ประวัติ หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน อ.เมือง จ.นครสวรรค์
    หลวงพ่อพวง เกิดเมื่อวันเสาร์ เดือนสิบ ปีวอก ตรงกับพ.ศ.๒๔๑๕ หลวงพ่อพวงเกิดที่บ้านฟากคลอง ต.หนองกระโดน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ เมื่อเยาว์วัยได้ศึกษาเล่าเรียนที่วัดหนองกระโดน ซึ่งการเรียนนั้นมุ่งไปที่การอ่านหนังสือไทย และหนังสือขอม การท่องบทสวดมนต์ และต่อหนังสือกับพระในตอนเย็น
    เมื่ออายุย่างเข้าสู่วัยรุ่น จึงลาออกจากวัดไปช่วย บิดามารดาประกอบอาชีพ จนอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จึงเข้าอุปสมบทที่วัดมหาโพธิใต้ ต.มหาโพธิ อ.บรรพตพิสัยเดิม(ปัจจุบันขึ้นอ.เก้าเลี้ยว) โดยมีพระครูพิสิษฐ์สมถคุณเป็นพระอุปัชณาย์ อยู่ในสมณเพศได้ 1 พรรษา ที่วัดหนองกระโดน แล้วก็ลาสิกขา ไปช่วยบิดามารดาทำนาทำไร่ครองเพศฆราวาสอยู่ได้ไม่นานนักก็เบื่อหน่ายใน ฆราวาสวิสัย จึงกลับเข้าอุปสมบทอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออายุ ๒๓ ปีบริบูรณ์ ตรงกับพ.ศ.๒๔๓๘ที่วัดมหาโพธิใต้ โดยมีพระครูพิสิษฐ์สมถคุณ(หลวงพ่อเฮง)วัดเขาดินใต้เป็นพระอุปัชณาย์ แล้วกลับไปอยู่ที่วัดหนองกระโดน
    ในการอุปสมบทครั้งนี้ หลวงพ่อพวงได้ตั้งปณิธาน ไว้ว่าจะดำรงสมณเพศตลอดไป จึงตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย จากพระปลัดเคลือบเจ้าอาวาสวัดหนองกระโดน การปฏิบัติตามวิสัยของหลวงพ่อพวงนั้น จะออกบิณฑบาตรเป็นกิจวัตร มีการทำวัตรเช้า-เย็นทุกวันไม่มีขาด เวลากลางคืนท่านจะนั่งเจริญกรรมฐานจนดึกทุกคืน จริยาวัตรของท่าน เป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก ยึดมั่นในสัจธรรมที่ว่า"ยถาวาที ตถาการี"หมายถึง"คนตรงพูดอย่างไรทำอย่าวนั้น" จนมีคำพูดว่าหลวงพ่อพวงเป็นพระจริงๆ
    ในปีพ.ศ.๒๔๕๐ หลวงพ่อพวงได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองกระโดนเมื่อ มีพรรษา ๑๒ พรรษา เนื่องจากพระปลัดเคลือบเจ้าอาวาสท่านเดิมนั้นประชาชนได้อาราธนาไปเป็นเจ้า อาวาสวัดหัวเมือง(วัดนครสวรรค์) ต่อมาปีพ.ศ.๒๔๖๘เมื่อต.ลาดยาว ได้ยกฐานะขึ้นเป็นอ.ลาดยาว ขณะนั้นตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดลาดยาวได้ว่างลง ขุนนิพัธ์ประสาสน์ นายอำเภอลาดยาวขุนลาดบริบาล พ่อค้า ประชาชนจึงได้จัดขบวนไปรับหลวงพ่อพวงที่วัดหนองกระโดน ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดลาดยาวและเจ้าคณะแขวงลาดยาว ในปีพ.ศ.๒๔๗๓ หลวงพ่อพวงได้ รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอตรี ชื่อ"พระครูนิวิฐธรรมสาร" และเป็นพระอุปัชฌาย์ในเขตแขวงลาดยาวเมื่อมีอายุ๕๘ ปี พรรษาที่ ๓๕
    หลวงพ่อพวงมีความรู้ด้านการช่างฝีมือเป็นอย่างดี โดยได้ช่วยพระปลัดเคลือบสร้างศาลาวัดหัวเมืองจนแล้วเสร็จ ต่อมาปีพ.ศ.๒๔๕๙ได้เป็นผู้นำการสร้างศาลาวัดหนองยาว อ.ลาดยาว ปีพ.ศ.๒๔๖๗ ได้บูรณะวัดหนองกระโดนโดยสร้างศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ ปีพ.ศ.๒๔๖๘ได้เป็นกำลังสำคัญสร้างศาลาการเปรียญให้แก่วัดเก้าเลี้ยว ปีพ.ศ.๒๔๖๙ ได้สร้างศาลาการเปรียญให้แก่วัดทัพชุมพลและไปช่วยสร้างวัดหนองโรงต.หนองกรด อ.ปากน้ำโพ
    นอกจากนี้ยังได้ไปช่วยหลวงพ่อขันสร้างวัดลาดยาว อ.ลาดยาว ปีพ.ศ.๒๔๗๐ ได้ก่อสร้างมณฑปที่วัดหนองกระโดนเพื่อประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองและก่อ สร้าวศาลาวัดเนินขี้เหล็กและวัดบ้านไร่ ในปีพ.ศ.๒๔๗๑หลวงพ่อพวงได้เริ่มก่อสร้างวัดเขาสมุกโดยสร้างศาลาการเปรียญ โรงน้ำร้อน กุฏิ ๔ หลัง หอฉัน ศาลา ๙ ห้อง สร้างรอยพระพุทธบาทจำลองไว้บนยอดเขาสมุก และสร้างมณฑปครอบไว้ การก่อสร้างใช้เวลา ๕ ปี แล้วเสร็จเมื่อพ.ศ.๒๔๗๕ มีเนื้อที่ดิน ๓๐ ไร่เศษ
    หลังจากหลวงพ่อพวงได้มรณะภาพแล้ว ได้มีการปั้นรูปเหมือนหลวงพ่อพวงไว้ที่วัดหนองกระโดน วัดลาดยาว วัดเขาสมุก วัดหนองยาว และวัดศรีสุธรรมาราม


    หลวงปู่เปลื้อง

    พระสมเด็จ หลวงพ่อพวง ผสมอัฐิ ปี พ.ศ. 2529
    ลป.เปลื้องลาดยาว ลพ.แพ พิกุลทองเจ้าพิธีพุทธาภิเษก เสก
    #ประวัติการจัดสร้างหลวงพ่อพวงวัดลาดยาวสมเด็จผสมอัฐิ
    คำสัมภาษณ์หลวงพ่อสำรวย เจ้าอาวาส วัดลาดยาว เกี่ยวกับประวัติการจัดสร้างเหรียญปี ๒๕๒๙
    สมัยนั้นหลวงพ่อเปลื้อง จัตตสโรเป็นเจ้าอาวาสหลวงพ่อสำรวยเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส
    ( นิมิตฝัน หลวงพ่อพวง มาหาหลวงพ่อสำรวย )
    ช่วงปี ๒๕๒๗ เดือนกุมภาพันธ์ พระสำรวยได้คิดจะสึกออกจากวัดลาดยาวอยู่หลายครั้งหลายหน เวลาพบค่ำของคืนวันนั้น เกิดนิมิตฝันว่าตนเองนั่งอยู่หน้าวัด เห็นรถบัสสีส้ม มีคุณดิเรก สกุณาทวงค์ อดีต ส.ส. นั่งหน้ารถบัส ตนเองจึงออกไปรับ ด้วยคิดว่าจะมาทอดกฐินที่วัดลาดยาว ปรากฏว่ารถบัสสีส้มคันนั้นเข้ามาจริง เเต่ขับรถ เข้ามาในวัดลาดยาวเพื่อกลับรถเท่านั้น ตนเองรู้สึกอายขายขี้หน้า จึงเข้าไปก้มกราบ รูปปั้นของหลวงพ่อพวงที่ศาลาเก่า และได้พูดกับหุ่นปูนปั้นนั้นว่า หลวงพ่อครับผมอาย ผมเดินไปรับผ้าป่า เขาก็ไม่มาทอดวัดเรา ทันทีทันใดหุ่นปูนปั้นนั้นก็ได้กลายเป็นหลวงพ่อพวงเสมือนกับมีชีวิตจริง เดินลงจากแท่นเข้ามานั่งยอง แล้วเอามือทั้งสองจับเขาหลวงพ่อสำรวย บอกว่าให้อยู่ช่วยพัฒนาวัดลาดยาวก่อน พระสำรวยจึงตอบไปว่า ทำไม่ได้หลอกครับหลวงพ่อ ผมไม่มีความรู้วิชาช่างเลย จบเพียงแค่ ป.๔ เท่านั้น ทำไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ หลวงพ่อพวงท่านก็บอกกับพ่อสำรวยว่าทำได้สิท่านอยู่ต่อเถอะ โต้เถียงกันเรื่องทำได้กับทำไม่ได้จน "ตื่นจากความฝัน"
    รุ่งเช้าหลวงพ่อสำรวยได้นัดพระในวัดจำนวน ๑๐ รูปปรึกษาหารือที่จะสร้างวัตถุมงคล เพื่อหาทุนทรัพย์มาบูรณะ วัดลาดยาว หารือกันแล้วเสร็จจึงได้หยิบยืมเงิน พระดิลก ๒หมื่น พระอุดมศักดิ์ ๓ หมื่นและส่วนตัวของพระสำรวยมี
    ๓ หมื่น รวมทั้งหมด ๘ หมื่นบาท จึงจะเอายอดเงินทั้งหมดนี้สร้างวัตถุมงคล รุ้งเช้าตี ๔ ได้ว่าจ้าง คุณปรีชา พูลเขตนคร
    ขับรถไปหาหลวงพ่อแพที่วัดพิกุลทองจังหวัดสิงห์บุรี ถึงวัดประมาณ ๖ โมงเช้าโดยประมาณ เหมือนหลวงพ่อแพท่านจะรู้ว่าหลวงพ่อมาหา จึงบอกกล่าวให้ผู้เฝ้าหน้าศาลาตามหลวงพ่อมาฉันข้าว ก่อนที่จะเอ่ยปากคุยเรื่องปัญหา เมื่อฉันข้าวเสร็จแล้ว หลวงพ่อแพจึงเอ่ยถาม ท่านมาทำธุระเรื่องอะไร ตนจึงได้เล่าให้ฟังว่าเกิดปัญหาในการจัดสร้างเมื่อปี ๒๕๒๘ เมื่อหลวงพ่อแพรู้จึงรับคำมานิมนต์ มาเป็นประธานในงานพุทธาภิเษก
    ปี ๒๕๒๙ โดยที่หลวงพ่อกำหนดฤกษ์ยามและวันเอง
    วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ ทั้งนี้พระสำรวยไม่ได้ทำฎีกาเพื่อยื่นให้หลวงพ่อแต่อย่างไร
    มีเกจิคณาจารย์ร่วมพุทธาภิเษกในพระอุโบสถจำนวน 9 รูป
    ๑,หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    ๒,หลวงพ่อเปลื้อง วัดลาดยาว
    ๓,หลวงพ่อพิมพา วัดหนองตางู
    ๔,หลวงพ่อเสน่ห์ วัดสว่างอารมณ์
    ๕,หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดวังม้า
    ๖,หลวงพ่อสำราญ วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    ๗,หลวงพ่อฮวด วัดหัวถนนใต้
    ๘,หลวงพ่อเป้า วัดถ้ำพรสวรรค์
    เพื่อทำพิธีให้สมบูรณ์จะต้องมีบทสวดสำคัญ"คาถาพุทธาภิเษก"
    พิธีกรรมวันนั้น ได้เชิญพระภิกษุ อาวุโสมาจากวัดเขาแก้วจำนวน ๔ รูป เพื่อเทศมหานาค ภิกษุ ๑ ใน ๔ ได้นำเหรียญ
    มาจากวัดเขาแก้วจำนวน ๒ ถุงปุ๋ยเพื่อจะเข้าร่วมพิธีแต่กรรมการ
    วัดไม่ให้นำเข้า จึงสร้างความไม่พึงพอใจให้กับชุดสวดมหานาคอย่างมาก ๑ ใน ๔ ภิกษุอาวุโสจากวัดเขาแก้ว ถึงอธิษฐานท้าทายหลวงพ่อพวง "หากแม้นหลวงพ่อพวงวัดลาดยาวศักดิ์สิทธิ์จริง ขอให้ไฟในพิธีกรรมนี้จงดับด้วยเทอญ" เมื่อสิ้นเสียงคำพูดนั้น ไฟในพระอุโบสถก็ดับทันที ภิกษุทั้ง ๔ ก็คิดว่ามันน่าจะเป็นเหตุบังเอิญ ครั้งที่ ๒ ห่างกันประมาณครึ่งชั่วโมง จึงได้ทักทายกับหลวงพ่อพวงอีกครั้ง ใช้คำท้าทายเดิม คือขอให้ไฟดับ ถ้าคราวนี้ถ้าเกิดปาฏิหาริย์อีกภิกษุทั้ง ๔ จะเชื่ออย่างสนิทใจ ว่าหลวงพ่อพวงศักดิ์สิทธิ์จริง เมื่อสิ้นเสียงคำพูดของพระภิกษุ ไฟดับทั้งวัดและทั้งอำเภอ
    เมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรมแล้วหลวงพ่อแพได้เรียกพระสำรวยเข้าไปพบในพระอุโบสถ เจตนาจะสร้างการลองของเพื่อให้ประชาชนได้ประจักษ์เชื่อว่าพุทธคุณของวัตถุมงคลในการปลุกเสกครั้งนี้ไม่ได้ย่อหย่อนไปมากกว่ารุ่นใดเลย ช่วยจัดหาคนที่สามารถปลุกเสกพระมาที ให้ประชาชน ข้าราชการ พ่อค้าได้ลองของกัน คุณบุญศรีเป็นศึกษาอำเภอในขณะนั้นได้ให้ ทายกแอบ ทวัตติง มาเป็นผู้ปลุกของ ปรากฏว่าของขึ้นต่อหน้าหลวงพ่อแพในพระอุโบสถ คุณบุญศรีกำเหรียญ ๒๙ ตบหลังของจึงออก พิธีหน้าพระอุโบสถ หลวงพ่อแพได้กำเหรียญเพื่อให้พ่อค้า ประชาชนได้ ลองของโดย กล่าวว่าใครจะยิง แทงมาได้เลย
    ระหว่างปี ๒๕๒๘ และปี ๒๕๒๙ เหรียญที่ถูกสร้างไม่สำเร็จในปี ๒๕๒๘ ได้ถูกนำมาปลุกเสกซ้ำในปี ๒๕๒๙ ทั้งหมด จัดไปว่ามีการปลุกเสก ๒ ครั้งนั้นเอง ส่วนวัตถุมงคลที่สร้างใหม่ในปี ๒๕๒๙ คือพระบูชา ที่มีการจัดสร้าง 999 องค์
    สมเด็จผสมอัฐิหลวงพ่อพวง และรูปหล่อโบราณเท่านั้น
    ความพิเศษของวัตถุมงคลรุ่นนี้ดีอย่างไร สิ่งที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นสมเด็จเพียงอย่างเดียวที่ถูกฝังไว้ใต้ฐานพระบูชาหลวงพ่อพวง สมเด็จที่จำหน่ายแยกเป็นองค์ละในขณะนั้น มีส่วนผสมของอัฐิหลวงพ่อพวง คำยืนยันของพระสำรวยผู้ ผสมมวลสาร อัฐิหลวงพ่อพวงลงไปในสมเด็จ
    ย้อนไปเมื่อสมัยที่หลวงพ่อพวงได้มรณภาพที่วัดหนองกระโดน หลวงพ่อเปลื้องเป็นประธานในการฌาปนกิจ ร่วมกับขุนราษฎร์บริบาล ได้นำเถ้าอัฐิกองฟอนหลวงพ่อพวงห่อใส่ผ้าขาวบางมา ๒ ห่อ ก่อนที่จะสร้างวัตถุมงคลในปี ๒๕๒๙
    หลวงพ่อแพได้ถาม หลวงพ่อสำรวยว่า ท่านพอจะมี อัฐิของหลวงพ่อเหลือบ้างไหม ถ้ามีเหลือก็เอามาเป็นส่วนผสมในการสร้าง ก็เสมือนทันตัวท่านแล้ว จะมีคนเช่าหาเยอะ หลวงพ่อสำรวยฉุดคิด ได้จึงได้ตอบว่ามี แต่ต้องขออนุญาตจากเจ้าอาวาสหลวงพ่อเปลื้องก่อน หลวงพ่อเปลื้องอนุญาตให้นำมาเป็นส่วนผสมได้จึงเป็นสมเด็จปี ๒๕๒๙ ที่มีส่วนผสมของอัฐิ หลวงพ่อพวงนั่นเอง
    ยอดเงินที่จำหน่ายวัตถุมงคลหักแล้วเหลือ ๗-๘ แสนบาท ได้หัก ออกให้ภิกษุทั้ง ๓ องค์ที่หยิบยืมมาสร้างวัตถุมงคล คือพระดิลก ๒ หมื่นบาท พระอุดมศักดิ์ ๓ หมื่นบาท ส่วนยอดเงินของ หลวงพ่อสำรวย ๓ หมื่นบาทได้ให้กรรมการวัด ชื่อโยมปรีดาเป็นผู้ถือครองไว้ เพื่อจัดสร้างเหรียญหลวงพ่อพวงปี ๒๕๓๗ ต่อไป วัตถุมงคลรุ่นนี้ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้ ล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยพัฒนาวัดลาดยาวให้เจริญมากยิ่งขึ้น จวบจนปัจจุบัน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ


     

แชร์หน้านี้