พระอนาคตวงศ์(รวมภาคพิเศษจากพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย เก่ากะลา, 9 ธันวาคม 2012.

  1. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    สืบเนื่องจากหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ มีเรื่องราวการบำเพ็ญบารมีของพระอนาคตวงศ์หลายตอนที่พิศดารหลากหลายและไม่มีในหนังสือพระอนาคตวงศ์เดิม

    จึงขอนำมาเพิ่มเติมรวมกับเนื้อหาของ พระอนาคตวงศ์เดิม เพื่อให้ได้เนื้อหาที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

    ในที่นี้เรื่องราวของแต่ละพระองค์ไม่ได้เรียงตามลำดับการตรัสรู้ เนื่องจากการบำเพ็ญบารมีของพระอนาคตวงศ์หลายพระองค์มีส่วนช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่หลายตอน เช่น พระศรีอาริยเมตไตร(องค์ที่๑) และ พระสุมงคล(องค์ที่๑๐) เนื้อหาจะต่อเนื่องกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  2. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พระอนาคตวงศ์นี้
    เป็นเรื่องกล่าวถึงประวัติย่อของ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายผู้บำเพ็ญพระบารมีในชาติหนึ่ง
    ซึ่งปรากฏเปนยอด ปรมัตถบารมี อันประเสริฐที่จะมาอุบัติเป็น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิบพระองค์ในกาลอนาคต คือ

    พระศรีอาริยเมตไตร
    พระราม
    พระธรรมราช
    พระธรรมสามี
    พระนารท
    พระรังสีมุนีนาถ
    พระเทวเทพ
    พระนรสีหะ
    พระดิสสะ
    พระสุมงคล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  3. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พระศรีอาริยเมตไตร

    เอกํสมยํ ภควา สาวตถิยํ วิสาขยสตตวีสติโกฎิธนปริจจาเคน การิเต ปุพพาราเมวสสาวาสํ
    วสนโต อชิเตตเถร อารพภ ทสโพธิสตตาติ อิมํ ธมมเทสนํกเถสีติฯ

    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอาศัยใกล้ กรุงสาวัตถีมหานคร
    เมื่อ สมเด็จพระชินวร ผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบทเข้าพระพรรษาอยู่ใน บุพพาราม
    อันพระวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิ
    ครั้งนั้น
    พระองค์ทรงปรารภซึ่ง พระอชิตเถระ
    ผู้หน่อบรมพุทธรางกูร อริยเมตไตรยเจ้าให้เปนเหตุ

    พระโลกเชษฐ์ จึงตรัส พระธรรมเทศนาสำแดงซึ่ง พระโพธิสัตว์ทั้ง๑๐ พระองค์
    อันจะมาตรัสเปน องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาลฯ
    ครั้งนั้น พระธรรมเสนาสารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่งอดีตนิทาน
    แห่ง สมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง๑๐ พระองค์ ที่จะมาตรัสในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไป
    เปนใจความว่า

    เมื่อ ศาสนาพระตถาคต ครบ ๕๐๐๐ปีแล้ว
    ฝูงสัตว์ก็มีอายุถอยลงคงอยู่ ๑๐ปีเปนอายุขัย ครั้งนั้นแลจะบังเกิดมหาภัยเปนอันมาก
    มี สัตถันตะระกัปป์ มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเปนโกลาหล เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน
    จะจับไม้และใบหญ้าก็กลายเปนหอกดาบแหลนหลาวอาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกัน
    ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญาก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้วยหุบเขา
    จะเหลืออยู่ก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหายเปนอันมาก

    เมื่อพ้น ๗วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่เร้นซ่อนอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคน
    ก็ออกมาจากที่เร้นซ่อน ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน ก็มีความสงสารรักใคร่กันเปนอันมาก
    เข้าสวมกอดกอดรัดร้องไห้รักกันไปมา
    บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป
    ครั้นตั้งอยู่ในเมตตาพรหมวิหาร
    แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล๕ จำเริญกรรมฐาน ภาวนาว่า

    อยํ อตตภาโว
    อันว่ากายของอาตมานี้

    อนิจจํ
    หาจริงมิได้

    ทุกขํ
    เปนกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว
    หาสัญญาสำคัญมั่นหมายมิได้
    ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสารฯ

    เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย
    ปลงปัญญาเห็นใน กระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนืองๆ
    อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป
    ที่มีอายุ๑๐ปีเปนอายุขัยนั้น ค่อยทวีขึ้นไปถึง๒๐ปีเปนอายุขัย
    ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จนอายุได้ ร้อย พัน
    หมื่นแสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง

    ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว
    ก็มีความประมาท มิได้ปลงใจลงในกอง ทุกขํ อนิจจํ อนตตา
    อายุก็ถอยน้อยลงมาทุกที

    จนถึง ๘หมื่นปี ฝนก็ตกเปนฤดูคือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก
    ในชมพูทวีปทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอเปนอันดีฯ

    ครั้งนั้น กรุงพาราณสี เปลี่ยนนามชื่อว่า
    เกตุมมะดี โดยยาวได้๑๖โยชน์ โดยกว้างได้ โยชน์๑ มี ไม้กัลปพฤกษ์ เกิดทั้ง๔ประตูเมือง
    มีแก้ว ๗ประการ ประกอบเปนกำแพงแก้ว๗ชั้น โดยรอบพระนคร

    ครั้งนั้น มหานฬกาลเทวบุตร
    ก็จุติลงมาเกิดเปน สมเด็จบรมจักรพรรตราธิราช ทรงพระนามชื่อว่า พระยาสังขจักร์
    เสวยศิริราชสมบัติใน เกตุมมะดีมหานคร
    ในท่ามกลางเมืองนั้น มีปรางค์ปราสาททอง อันแล้วไปด้วยแก้ว ๗ประการ
    ผุดขึ้นมาแต่มหาคงคา ลอยมายัง นภาดลอากาศเวหา มาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร
    ปรางค์ปราสาทนี้ แต่กาลก่อนเปนปรางค์ปราสาทแห่ง สมเด็จพระเจ้ามหาปะนาท
    ครั้นสิ้นบุญ พระเจ้ามหาปะนาท แล้วปรางค์ปราสาทนั้นก็จมลงไปในคงคา
    เมื่อ พระยาสังขจักร์ ได้เสวยราชสมบัติ ปราสาทก็ผุดขึ้นมาด้วยอานุภาพแห่ง บรมจักร์
    ประดับไปด้วย หมู่สนมสนสาวสุรางค์ทั้งหลาย ประมาณ ๘หมื่น ๔พันพระองค์
    มี พระราชโอรส ประมาณพันพระองค์

    พระราชโอรสผู้ใหญ่นั้น ทรงพระนามว่า
    อชิตราชกุมาร เปนปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดา อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ประการคือ
    จักรแก้ว๑ นางแก้ว๑ แก้วมณีโชติ๑ ช้างแก้ว๑ ม้าแก้ว๑ คฤหบดีแก้ว๑ ปรินายกแก้ว๑
    อันว่า สมบัติบรมจักร์ นั้นย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ
    เปนที่เกษมสานต์ยิ่งนัก เหลือที่จะพรรณนาในกาลนั้น

    ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ ของ สมเด็จพระเจ้าสังขจักร์นั้น
    เปน มหาพราหมณ์ ประกอบไปด้วย อิสสริยยศ เปนอันมาก หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้
    มีนามปรากฎว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณี ผู้เปนภรรยา มีนามว่า นางพราหมณวดีฯ

    ในกาลนั้น
    สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ พระศรีอาริยเมตไตรเจ้า
    รับอาราธนานิมนต์แห่งฝูงเทพยดาทั้งหลาย ก็จุติลงมาจาก ดุสิตสวรรค์เทวโลก
    ลงมาถือเอาปฏิสนธิในครรภ์แห่ง นางพราหมณวดี ในวัน บัณณสีอุโบสถ เพ็ญเดือน ๘ขึ้น ๑๕ค่ำ
    เวลาปัจจุสสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย๑๒ประการ
    เทพยดาพากันกระทำสักการบูชาดังห่าฝนตกลงในอากาศ

    แล้วมี ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ผุดขึ้นมา
    เพื่อจะให้เปนที่สำราญแห่ง พระบรมโพธิสัตว์เจ้า ปราสาท ๑ชื่อว่า ศิริวัฒนะ
    ปราสาท ๑ชื่อว่า สิทธัตถะ ปราสาท ๑ชื่อว่า จันทกะ ปรากฎงามดังดวงจันทร์
    หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่น เดียระดาษไปด้วยนางนาฎพระสนมประมาณ ๗แสน

    ส่วน สมเด็จพระอัครมเหสี แห่ง สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย ทรงพระนามว่า
    พระจันทมุขี เปนประธานแห่งนางบริวารทั้ง๗แสน มีพระราชโอรสองค์๑ ทรงพระนามว่า
    พราหมณ์วัฒนกุมาร เมื่อพระมหาบุรุษ ทรงพระสำราญอยู่ในปรามาททั้ง ๓

    จนมีพระชนม์ได้ ๘หมื่นปี แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่ รถแก้วอันเปนทิพย์ ไปประพาสอุทยาน
    ทอดพระเนตรเห็น จตุรนิมิตร์ ทั้ง๔ประการ เปนเทวทูต ยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น
    ก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชาพิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเปนอารมณ์

    ในขณะนั้น
    ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศเวหาพร้อมทั้งพระราชโอรส
    และหมู่นิกร อนงค์กัลยาทั้งหลาย
    ฝ่ายฝูงเทพยดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล
    ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชาเหาะตามมากระทำสักการบูชาในอากาศเวหา
    แน่นเนืองเปนเอนกอสงไขย

    ทั้งท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย๘หมื่น๔พันพระนครก็ดี
    และชาวนิคมประจันตประเทศชนบททั้งหลาย
    ต่างก็ชวนมากระทำสักการบูชาด้วยดอกไม้และของหอมมีประการต่างๆ
    เต็มเดียระดาษไปทั้งชมพูทวีป

    เหล่าพวกอสูรทั้งหลาย
    ก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาท
    ฝ่ายพระยานาคราชนั้นกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี
    พระยาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วอันเปนเครื่องประดับตน
    พระยาคนธรรพกระทำสักการบูชาด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่างๆ
    ปางเมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าเสด็จออกบรรพชานั้น

    ครั้นมหาชนทั้งหลาย
    มีความปราถนาจะบรรพชาแล้ว ก็ลอยไปในอากาศกับด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า
    ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร์และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น

    ครั้นเสด็จถึงควงไม้ พระศรีรัตนมหาโพธิ คือไม้กากะทิงแล้ว
    ปรางค์ปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑลไม้มหาโพธินั้น

    ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวะพัตร์กับเครื่องบริกขารทั้ง๘ น้อมเข้าไปถวาย
    พระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาดแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ
    แล้วถือเครื่องบริกขารทั้ง๘ประการ

    ส่วนบริวารทั้งหลายทั้งปวงนั้น
    ก็ชวนกันบรรพชาตามเปนอันมาก

    ฝ่ายองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น
    กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระมหาโพธิสิ้นประมาณเจ็ดวัน

    ในเมื่อเวลาเย็น
    พระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิขึ้นทรงนั่งเหนือ รัตน อปราชิตบัลลังก์

    แล้วทรงพระคำนึงระลึกถึงบุพพชาติของพระองค์ด้วยบุพเพนิวาสญาณ
    ทรงเห็นโดยลำดับกันประจักษ์แจ้งในปฐมยามฯ

    ครั้นล่วงเข้ามัชฌิมยาม
    ทรงเห็นซึ่งจุติ ปฏิสนธิแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วยทิพย์จักษุญาณ

    ครั้นล่วงไปในปัจฉิมยามที่สุดนั้นพระองค์พิจารณาซึ่งปัจจัยการ
    อันประกอบไปด้วยองค์๒ประการ ตามกระแสพระปฏิจจสมุปบาทธรรม
    ด้วยสามารถอนุโลมตรัสรู้ตลอดกันในลำดับนั้นก็ได้สำเร็จแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ
    ทรงพระนามชื่อว่าอรหังสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏเปนพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ

    แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ทั้งหลายประมาณแสนโกฏิให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส
    คือพระสัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่รู้ตายเปนธรรมาภิสมัย
    ให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายได้ตรัสรู้มรรคและผลหาประมาณมิได้

    พระองค์มีพระวรกายสูงได้๘๘ศอก พระองค์ใหญ่กว้างได้๒๕ศอก
    ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุมณฑลเข่า๒๒ศอกตั้งแต่พระชานุมณฑลเข่า
    ขึ้นไปถึงพระนาภี๒๒ศอก ตั้งแต่พระนาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญทั้ง๒ประมาณ๒๒ศอก
    ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้าที่สุดยอดพระอุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้น
    ๒๒ศอก พระรากขวัญทั้ง๒แต่ละอันยาวได้๕ศอก พระหัตถ์ทั้ง๒ ยาว๔๐ศอก
    ในระหว่างภายในแห่งพระพาหาทั้ง๒ซ้ายขวานั้นมีประมาณ๒๕ศอก
    พระอังคุลีแต่ละอันยาวได้๕ศอกฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้างได้๕ศอก
    พระศอโดยกลมรอบมีประมาณ๕ศอก โดยยาวก็๕ศอก
    พระโอษฐ์เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง
    ๑๐ศอกเสมอกันพระชิวหาอยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว๑๐ศอก พระนาสิกสูงยาวลงมาได้ ๗ศอก
    ดวงพระเนตรทั้ง๒โดยกว้างได้๗ศอกแววพระเนตรทั้ง๒ที่ดำกลมเปนปริมณฑลอยู่นั้น
    มีประมาณ๕ศอก พระขนงแต่ละข้างยาวได้๕ศอกในระหว่างพระขนงทั้ง๒กว้างได้๔ศอก
    พระกรรณทั้ง๒แต่ละข้างยาวได้๗ศอก
    ดวงพระพักตร์นั้นเปนปริมณฑลกลมดังดวงพระจันทร์วันเพ็ญมีประมาณกลมได้๒๕ศอก
    พระอุณหิตที่เวียนเปนทักขิณาวัฏฏ์รอบพระเศียรเปนเปลวพระพุทธรัศมีขึ้นไปนั้น
    โดยกลมรอบได้๒๕ศอก

    อันว่าต้นไม้กากะทิง ที่เปนไม้ศรีมหาโพธินั้น
    มีปริมณฑลได้๑๒๐ศอกมีกิ่งทั้ง๕โดยรอบได้๑๒๐ศอก
    แต่ต้นขึ้นไปสุดปลายกิ่งนั้นได้๒๔๐ศอกโดยสูงโดยสะกัดเปนปริมณฑลเหมือนกัน
    มีใบสดเขียวอยู่เปนนิจจกาล ทรงดอกและเกสรหอมฟุ้งขจรมิรู้ขาด
    เปรียบดอกปาริชาติในดาวดึงสาสวรรค์ก็เหมือนกัน

    สมเด็จพระสัพพัญญูองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าทรง
    ทวัตติงสมหาปุริสลักษณะประกอบไปด้วย พระฉัพพรรณรังสีพระพุทธรัศมี๖ประการ
    สว่างออกจากพระสรีรกาย
    เปนอันงามประดุจดังว่าท่อธารสุวรรณธาราน้ำทองอันไหลหลั่งออกมา

    ด้วยเดชานุภาพพระพุทธคุณนั้น
    มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคซึ่งโภชนาหารแต่เนื้อแห่งข้าวสารสาลีอันบังเกิดมีมาเอง
    ได้ประดับประดาสรีรกายแลผ้านุ่งผ้าห่มเครื่องอาภรณ์ต่างๆแต่ต้นไม้กามพฤกษ์
    ประพฤติเลี้ยงชีวิตเปนบรมสุข

    ปางเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนา
    พระธรรมจักกัปปวัตนสูตรนั้น
    มนุษย์และเทพยดาทั้งหลายได้ซึ่งธรรมาภิสมัยมรรคและผลธรรมวิเศษ
    ประมาณ๓แสนโกฏิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  4. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ปรมัตถบารมียอดสูงสุด


    ในกาลที่ พระศรีอาริยเมตไตรบรมโพธิสัตว์ได้กระทำปรมัตถบารมียอดสูงสุดขึ้น
    เป็นอดีตกาลประมาณถึง ๑๐อสงไขย๔แสนกัปล่วงมาแล้ว ได้อุบัติเป็น
    พระเจ้ามหาสังขบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ณ อินทปัตตมหานคร
    มีนามว่าพระเจ้าบรมสังขจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ทรงสมบูรณ์ด้วยรัตนสมบัติ
    สุวรรณสมบัติ และราชสมบัติทุกประการ

    สำหรับ สัตตรัตนสมบัติ ๗ประการนั้นเป็นชุดน้ำอันมี มหาสังขทักขิณาวัต เวียนขวา สถิต ณ
    เชิงตั้งบนพานทองใหญ่เป็นนิมิตหมายรู้

    พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่พร้อมด้วยผาสุขเกษมสำราญตลอดกาลนานทรงมีพระสติสัมปชัญญ
    ทรงระลึกได้จึงทราบถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณบารมี๑๐ ซึ่งได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว
    ในชาตินั้นก็จะต้องทำชั้นยอดสูงสุดนั้นอีก

    ณ วันหนึ่ง
    ทรงประทับนั่งภายใต้พระเสวตร์ฉัตรแล้วทรงดำริว่า ใครนำข่าวพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    มาบอกให้ทราบแล้ว ต้องทรงสละจักรพรรดิราชสมบัติให้แก่ผู้นั้น จะเสด็จออกบวช
    จึงเสด็จไปประทับ ณ ที่ประตูพระราชวังนั้น

    ก็กาลนั้น เป็นกาลพระศาสนาของสมเด็จพระสิริมิตสัมมาสัมพุทธองค์
    ซึ่งได้เสด็จอุบัติ ณ อุตรประเทศ คือพาราณสี
    ซึ่งกาลนั้นมีชื่อว่า อุตรซึ่งเป็นทั้งชื่อประเทศ และเป็นชื่อทิศทางด้วย
    ครั้นถึงกาลก็ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรม ได้ตรัสรู้เป็น
    สมเด็จพระสิริมิตสัมมาสัมพุทธองค์แล้ว ทั้งได้ทรงแสดงธรรมจักกัปปวัฏฏนสูตรจบแล้ว
    ซึ่งให้เกิดมหัศจรรย์หมื่นโลกธาตุสั่นสะท้านสะเทิอนไหว กระทั่งรัตนปราสาท
    และมหาสังข์ก็หวั่นไหวสั่นสะเทือนแต่มิแตกร้าวและพลัดตก
    ซึ่งเป็นเหตุให้สมเด็จพระเจ้าบรมสังขจักรพรรดิทรงทราบ และระลึกได้
    จึงคอยฟังข่าวอยู่ตลอดกาลนาน กระทั่งถึงวันที่พระองค์ทรงดำรินั้น
    และสมเด็จพระสิริมิตอรหันตสัมมาสัมพุทธองค์ได้ทรงวางพระพุทธศาสนาแล้ว
    กระทั่งมีบริษัท๔ครบบริบูรณ์แล้ว

    ในกาลนั้น บุรุษเข็ญใจชื่อว่า ปนาทได้ออกบวชเป็นสามเณร
    แต่แม่นั้นได้เป็นข้าทาสีเขาอยู่

    สามเณรปนาท มีความตั้งใจจะแสวงหาทรัพย์มาถ่าย
    ครั้นได้ทราบข่าวนั้นแล้ว พอมีหวังว่าคงจะได้ทรัพย์ถ่ายได้

    จึงเดินทางไปอินทปัตตมหานครซึ่งมีระยะทาง๑๖โยชน์
    ถึงอินทปัตตมหานครในวันที่ สมเด็จพระบรมสังขจักรพรรดิ เสด็จไปประทับ ณ
    ประตูพระราชวังนั้นพอดี

    ชาวพระมหานครไม่รู้จักสามเณร เพราะไม่เคยเห็น
    จึงสำคัญว่าเป็นมหายักษ์ จึงใช้ไม้ไล่ทุบตี
    สามเณรจึงวิ่งไปถึงประตูมหาราชวัง ตรงพระพักตร์สมเด็จพระบรมสังขจักรพรรดิ

    พระองค์ทอดพระเนตรเห็นแล้วก็มิได้ทรงรู้จัก
    จึงตรัสถามว่า เจ้าเป็นอะไร ก็ทรงได้ฟังคำตอบว่า เป็นสามเณร

    ตรัสถามต่อไปว่า หมายความว่าอย่างไร
    ทรงฟังคำตอบว่า สงบบาปภายนอกแล้วตั้งอยู่ภายในกุศล
    ทั้งชื่อนี้มาจากพระภิกษุซึ่งเป็น พระสังฆรัตนะ
    ดังนี้แล้ว

    ก็ชื่นชมยินดีเป็นปีติโสมนัสอิ่มอาบปลาบปลื้มพอคิดว่าจะไปไหว้สามเณร
    พระองค์ก็ลอยไปตกลงตรงหน้าสามเณร พลันนั้นก็ดลบันดาลให้ดอกปทุมชาติใหญ่
    ผุดขึ้นบานกลีบออกรองรับพระองค์ไว้จึงมิได้เป็นอันตราย
    ได้ทรุดพระองค์ลงถวายนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์

    จึงตรัสถามต่อไปอีก
    ก็ได้ทรงสดับว่า พระสงฆรัตนนั้น
    ได้ประทานจากพระโอษฐ์สมเด็จพระสิริมิตสัมมาสัมพุทธองค์ซึ่งตรัสประทานให้

    พอได้สดับพระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธองค์เท่านั้น ก็พลันสลบลง
    ครั้นทรงได้สติสัมปชัญญฟื้นคืนขึ้นแล้ว จึงตรัสถามต่อไปว่า
    พระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ที่ไหน ได้สดับว่า เสด็จประทับอยู่ ณปุพพารามมหาวิหาร
    ทางทิศเหนือห่างจากนี้ไป ๑๖โยชน์

    เมื่อได้สดับข่าวรู้แจ้งเช่นนั้นแล้ว
    หาได้อาลัยในสิริจักรพรรดิราชสมบัติไม่ตรัสว่า ทรัพย์ที่เป็นค่าถ่ายนั้น
    มีค่าเล็กน้อยไม่คู่ควรแก่สามเณรผู้นำข่าวพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ มาให้ทราบ
    จักรพรรดิสมบัติทั้งหมดนี้จึงควรขอถวายเป็นเครื่องสักการบูชา

    จะใช้เป็นค่าถ่ายเท่าไรก็ได้
    ให้สามเณร ลาสิกขาสึกแล้ว ได้ทรงอธิษฐาน
    จักรพรรดิสมบัติทั้งหมดนั้นให้คงอยู่ตามสภาพเดิมแล้วราชาภิเษกให้เป็น บรมจักรพรรดิ
    ปกครองแทน และให้ทรงมีนามว่า บรมสังขจักรพรรดิ จนกว่าอายุขัย
    พระมงกุฎก็ทรงถอดสวมให้ฉลองพระบาทแก้วก็ทรงถอดแต่งให้ จึงเหลือแต่พระองค์
    และฉลองพระองค์เท่านั้น

    พระองค์เดียวได้เสด็จออกสู่สำนักพระสิริมิตสัมมาสัมพุทธองค์
    เพราะทรงสละสิริราชสมบัติจักรพรรดิหมดแล้ว
    จึงเสด็จอย่างสามัญด้วยประสงค์ทรงบำเพ็ญวิริยบารมีตามสถานะศักดิ์วิริยาธิกสัมมาสัมโพธิญาณ
    จึงตั้งพระทัยจะเสด็จให้ตลอดทาง๑๖โยชน์นั้นได้เสด็จด้วยเท้าเปล่า
    และพละกำลังพระองค์

    เพราะเสด็จพระบาทเปล่าตลอดทางไกลมาก
    ฝ่าพระบาททั้ง๒จึงแตกให้เลือดไหลกระจายออก เมื่อเจ็บปวดมากไม่คลายความเพียร
    ทรงใช้ฝ่ามือและเข่าทั้ง๒ คลานไปกระทั่ง ฝ่ามือและเข่าทั้ง๒
    แตกเลือดสาดไปตามแผ่นดินใช้ไม่ได้แล้ว จึงทรงใช้ทรวงอกถัดกระเถิบไป
    กระทั่งแตกเลือดสาดไป ใช้ไม่ได้แล้วก็ยังไม่หมดความเพียร จึงกลิ้งไปในทางนั้น
    ทรงระลึกเพียงเพื่อให้ถึงเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

    ณ เช้าตรู่คืนนั้น
    พระผู้มีพระภาคพุทธองค์สิริมิต ได้ทอดพระญาณเห็นแล้วในเวลารุ่งแล้ว
    พระองค์จึงทรงเป็นมาณพออกแล้วทรงเป็นสารถีขับรถทอง

    อาสนะร้อนขึ้นท้าวสักเทวานมินทร
    ทรงทอดทิพเนตรเห็นแล้วพร้อมสุชาดาเทวี และจานสุทธาโภชน เสด็จถึงพร้อมรถนั้น

    ถึงแล้วพระสารถีจึงตรัสว่า ใครขวางทางรถ จงหลีกไป เราจะขับรถไป ดังนี้แล้ว
    ได้ยินแล้วจึงตอบไปว่าเรารู้คุณพระสิริมิตพุทธองค์แล้ว จะไปเฝ้าพระองค์
    ท่านควรขับรถหลีกไป
    ถ้าไม่หลีกไปก็จงขับไปบนหลังเราเถิด

    พระสารถีแปลงนั้นได้ตรัสว่า
    ถ้าท่านจะไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้วจงขึ้นรถ เราจะพาไปเฝ้า ดังนี้

    แล้วตรัสว่า
    ถ้าท่านจะพาเราไปนั้นเราขออนุโมทนาสาธุแก่ท่าน

    ดังนี้จึงพยุงพระองค์ลุกขึ้น
    และได้ขึ้นรถพระสารถีก็ขับมาตามทางได้ครึ่งทางก็พบกับท้าวอัมรินทร และนางสุชาดา
    ได้ยกสุทธาทิพขึ้นแล้วตรัสว่า ท่านสารถี ถ้าต้องการอาหารแล้วจงโปรถรับเถิด
    พระสารถีจึงตรัสว่าเราต้องการ มีคนป่วย ทุพลภาพอยู่ จะให้บริโภค
    ได้ทรงรับแล้วส่งให้พระเจ้าบรมสังขจักรพรรดิทรงรับแล้ว พอเสวยเท่านั้น
    อาพาธทั้งปวงก็ระงับหายหมดสรีรสรพางค์กายก็ปกติตามเดิม

    ครั้นเสด็จถึงแล้วได้พักรถตรงหน้าปุพพารามมหาวิหารนั้น ตรัสว่า
    พระพุทธองค์สิริมิตสัพพัญญูประทับอยู่ข้างในจงเข้าไปเถิด ดังนี้แล้ว
    สารถีได้เสด็จลงจากรถ
    พอลับตาจึงทรงเป็นพระองค์สิริมิตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปล่งพระพุทธรัสมี
    ประทับนั่งคอยอยู่แล้ว

    สมเด็จพระบรมสังขจักรได้ลงจากรถ ได้เข้าไปในปุพพารามมหาวิหารแล้ว
    ได้เข้าถึงที่ประทับได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าสิริมิตสัมมาสัมพุทธองค์ซึ่งประทับเปล่งพระพุทธรัสมีอยู่ ณ พระพุทธอาสน์เช่นนั้น

    ได้ทอดพระเนตรเห็นพระองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าอันประกอบด้วยทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะ๓๒ประการ และอสีติอนุพยัญชนะ๘๐ประการ
    ทั้งพระพุทธรัสมีโอภาสสว่างรุ่งเรืองอันเปล่งออกจากพระบวรกายที่ประทับนั่งอยู่ ณ
    พระพุทธอาสน์นั้น

    ก็ทรงเกิดปีติปราโมทโสมนัสอิ่มอาบซาบซ่านปลาบปลื้มเต็มเปี่ยมจึงถึงวิสัญญีภาพสลบลงแล้ว
    ณที่ตรงพระพักตร์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ได้ตรัสเรียกว่า
    มหาบุรุษผู้ประเสริฐตถาคตอยู่ที่นี่แล้ว

    ครั้นได้สติ
    ด้วยปีติยินดีจึงคลานเข้าไปใกล้ ได้ประทับนั่ง ณ ที่สมควรแล้ว
    จึงยกพระกรขึ้นประนมบังคมเหนือศิโรตม์กระทำอภิวาทนมัสการ กราบทูลว่า

    สมเด็จพระพุทธองค์เจ้าผู้เจริญบัดนี้ ข้าพระองค์มาถึงสำนักพระองค์แล้ว
    ของจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์
    ได้โปรดตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนาอันอุดมให้ข้าพระองค์ฟัง ณ กาลบัดนี้

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า มหาบพิตรผู้ประเสริฐ
    จงตั้งโสตประสาทสดับรสพระธรรมเทศนาของตถาคต แล้วพิจารณาธรรมกถา
    อันกล่าวคุณพระนิพพาน บัดนี้ดังนี้แล

    สมเด็จพระบรมสังขจักรพรรดิ
    ได้ทรงสดับพระสัทธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความแล้วจึงทรงทูลห้ามเพียงแค่นั้น
    เพราะทรงคิดว่าพระองค์สละหมดทุกอย่างแล้ว เหลือเพียงเศียรเกล้า
    และพระสรีรสรพางค์กายเท่านั้นมีคุณค่าพอแก่พระสัทธรรมเทศนาบทหนึ่งเท่านั้น

    จึงทูลห้ามและได้กราบทูลว่า

    ข้าพระองค์ได้ฟังพระสัทธรรมของพระองค์ในกาลบัดนี้
    พระองค์ทรงแสดงพระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุดพระสัทธรรมอยู่แล้ว
    ข้าพระองค์จะตัดเศียรเกล้าอันเป็นที่สุดสรีรกายแห่งข้าพระองค์ออกกระทำสักการบูชา
    พระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระพุทธองค์ก่อน

    ตรัสแล้ว
    พระเจ้าบรมสังขจักรผู้มีอัธยาศัยอันยิ่งจึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บคมดังพระแสงดาบ
    ใช้ตัดพระศอให้ขาด แล้ววางบนฝ่าพระหัตถ์ตั้งปณิธานปราถนาว่า

    พระองค์ผู้ทรงสิริเป็นที่เฉลิมโลกเชิญพระองค์เสด็จสู่เมืองแก้ว
    คือพระอมตมหานิพพานอันเกษมสานติ์สำราญก่อน
    ข้าพระองค์จะขอตามเสด็จสู่พระนิพพานภายหลัง
    ด้วยข้าพระองค์ได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้

    พอสุดเสียงปณิธานลง
    พระบรมโพธิสัตว์ก็จุติจิตสิ้นชีวิตไปบังเกิดณ ดุสิตภพสวรรค์
    ส่วนเศียรเกล้าและสรีรสรพางค์กาย
    ซึ่งหัตถประคองเศียรเกล้าชูขึ้นสักการะบูชานั้นก็แข็งทรงไว้
    พร้อมกับมีเปลวไฟลุกโพลงขึ้นตลอดลงมาถึงสรีรกายเป็นดวงประทีปสว่างรุ่งเรือง
    ด้วยพระพุทธานุภาพทรงโปรดอนุเคราะห์ให้มีขึ้นเฉพาะไม่ลุกลามไหม้ไปที่อื่น
    ไม่มีควัน ไม่อบอ้าว มีกลิ่นหอมเป็นทิพสุคนธ์
    ซึ่งเป็นขึ้นตามธรรมเนียมแห่งปรมัตถบารมียอดสูงสุดนั้น


    ด้วยเหตุที่พระองค์มีพระสติปัญญา
    และพระหทัยจิตอธิษฐานมั่นคงต่อพระสัมมาสัมโพธิญานจึงเป็นความเชื่อมั่นคงและมีความเลื่อมใส
    ผ่องใสเสมอไม่เสือมคลาย เป็นศีลบารมีเป็นขันติบารมีเป็นนิจจึงส่งให้มี
    พระสิริผ่องใส ทรงบำเพ็ญศีลบารมี วิริยบารมีทานบารมีตลอดจึงไม่มีข้าศึก
    และเจริญด้วยความดีเสมอ จึงส่งให้มีเป็น อารยัน อริย
    ทรงเจริญเมตตาเป็นประธานเป็นนิจ แทรงสุภาพอ่อนโยนอ่อนน้อมตลอด
    จึงส่งให้เป็นที่ชื่นชมยินดีปรีดามหานิยมได้เป็นนามชื่อประจำว่า เมตตยย หรือ
    เมตไตร จึงเป็นนามประจำว่า สิริอริยเมตเตยย (ออกเป็นไ - ว่า ไตย บ้าง)

    ด้วยผลที่ทรงตัดเศียรเกล้าและอุทิศสรีรร่างเป็น
    ประทีปต้นสักการะบูชาซึ่งเสกสรรให้ทรงมหปุริสลักษณะ๓๒ประกอบด้วยฉัพพัณรังสีพระพุทธรัสมี๖สีสว่างออกจากพระสรีรกายงามดุจสายน้ำทองอันไหลหลั่งออกมาตลอดทุกเมื่อ

    ด้วยผลที่เสด็จเดิน คลาน กลิ้งไป
    และหนังเนื้อเส้นเอ็นแตกให้เลือดไหลกระจายไปตามทางนั้น
    ดลบันดาลให้เกิดเนื้อข้าวสาลีเกิดเองตลอดใช้บริโภคได้
    และให้เกิดต้นกามพฤกษ์อำนวยสิ่งประสงค์เครื่องเลี้ยงชาวโลกได้ตลอดกาล
    ในกาลพระศาสนาของสมเด็จพระสิริอริยเมตเตยยสัมมาสัมพุทธองค์
    ในอนาคตกาลนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2013
  5. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พระเจ้าบรมสังขจักรพรรดินั้น
    ด้วยประการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีสูงสุดยอดในพระพุทธศาสนาพระสิริมิตสัมมาสัมพุทธองค์แล้ว
    ทรงผ่านพระพุทธองค์มาตลอด

    แม้ในพุทธกาล พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้มาอุบัติเป็นพระโอรสของพระเจ้า- อชาติสัตตุ และพระนางกาญจนาเทวี พระอัครมเหสีพระนามว่า - อชิตกุมาร

    ครั้นเจริญวัยแล้วจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกขุในพระพุทธศาสนา

    ในปฐมสมโพธิกถา - พระนิพนธ์ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส
    ว่าในกาลที่ - พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ครั้งที่๒
    ในครั้งนี้ ท่านเป็นพระภิกขุใหม่
    เป็นองค์สุดท้ายซึ่งเป็นเหตุให้มีปรากฎการณ์ขึ้นตามต้นเรื่องนั้น

    พระนางมหาปชาบดีโคตมี
    พระมารดาเลี้ยง ทรงพหูปการคุณยิ่งนักได้ทรงพบเห็นพระพุทธองค์เสด็จในครั้งแรกนั้น
    ทรงปรีดาปราโมททั้งทรงมีพระทัยผูกพันรำลึกเป็นประจำว่า พระเจ้าลูกของเรา
    ทรงเห็นพระรูปทรงสิริรัสมี ฉัพพัณณรังสีซึ่งประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ๓๒
    และอนุพยัญชนะ๘๐นั้น ซึ่งสวยงามยิ่งนัก จึงทรงดำริว่าจะถวายจีวรผ้าเนื้อทองคำ

    ทรงดำริฉะนี้แล้ว
    จึงให้ช่างทองคำจัดทำอ่างทองคำสุก๗อ่าง
    ทรงให้กร่างทองคำเป็นผงละเอียดป่นประสมดินเหนียวเปือก เครื่องหอม
    ใส่เต็มอ่างทั้ง๗แล้วเอาเมล็ดฝ้ายเพาะลงในอ่างนั้น รดด้วยนมโคเจือกรางทองนั้น
    ครั้นฝ้ายออกปอยปุยเหลืองดังสีทองคำธรรมชาติแล้ว
    พระนางมหาปชาบดีทรงเลือกเก็บฝ้ายนั้นทรงดีด,ปั่น,ชักเส้น เป็นต้น
    ด้วยตนเอง
    เส้นด้ายละเอียด มีสีเหลืองอร่ามดุจทองคำ
    จึงให้หาช่างหูกฝีมือเอกให้ทอในโรงหูกพระนางได้เสด็จทอดพระเนตรทุกวัน
    จนสำเร็จเป็นผ้าสาฎก๒ผืน ยาว๑๔ศอกเสมอกันมีสีเหลืองอร่ามดุจทองคำ
    เนื้อละเอียดอ่อนนุ่ม ได้พับใส่ผะอบทองให้จัดผ้าอื่นใส่ผะอบทองอีกแสนผืน
    ใส่ผะอบเงินอีกพันผืน พร้อมเครื่องสักการะบูชา

    พระนางจึงยกผะอบบรรจุผ้าคู่นั้นขึ้นทูลเหนือพระเศียรเกล้า
    เสด็จพร้อมศักยราชกัญญาและราชบริพารซึ่งถือเครื่องบูชาสักการะ กับถือผะอบผ้าอื่นๆ
    ไปสู่นิโครธารามแล้วได้เข้าไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งประทับ ณ พุทธอาสน์
    ซึ่งแวดล้อมด้วยพระสงฆ์สาวก
    ทรงเปิดผะอบนำผ้าคู่นั้นออกประคองยกขึ้นทูลถวาย
    ได้ตรัสว่าขอพระองค์ทรงรับ เพื่อประโยชน์สุขตลอดกาลนาน

    พระผู้มีพระภาคตรัสให้ถวายสงฆ์ถึง๓ครั้งซึ่งพระนางก็ทรงโทมนัส จึงเข้าไปถามพระ
    อานนทตรัสเล่าแล้ว พระเถระเข้าไปทูลความนั้น จึงตรัสแสดง -ทักขิณาวิภังคสูตร์
    จบแล้วพระนางก็เกิดปรีดาปราโมทเป็นกำลัง
    จึงถือผ้าคู่นั้นเข้าไปถวายพระสารีบุตรเถระก็มิได้รับ กระทั่งถึง
    พระอชิตภิกขุสุดท้ายได้รับไว้แล้วพระนางก็ทรงโทมนัสจนน้ำพระเนตรตก

    พระผู้มีพระภาคทรงเห็นแล้ว
    จึงตรัสให้พระอานนทนำบาตรมาถวายทรงแล้วและทรงอธิษฐานแล้วจึงทรงโยนไปในอากาศ

    บาตรนั้นลอยหายไปในกลีบเมฆ พระอัครสาวก
    และพระสาวกอื่นได้รับอาสาเหาะไปตามก็มิได้มาก็ถึง

    พระอชิตภิกขุใหม่ไม่มีฤทธิฌานสมาบัติใดเลยจึงยืนขึ้นกระทำสัตยาธิษฐานว่า -
    อาตมาได้อุปสมบทเพื่อได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธองค์ในอนาคตจะพึงสำเร็จได้
    ขอบาตรทรงของพระองค์จงลอยมาประดิษฐานในมือพลันเถิด

    บาตรทรงนั้นก็ลอยมาสถิต ณ คู่มือซึ่งประคองรับอยู่นั้นเสมือนกับกล่าวว่า - บาตรทรงนี้เป็นของพระพุทธเจ้า
    ได้มาสู่ท่านผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตดังนี้แล้ว
    ท่านอชิตภิกขุได้ประคองเข้าถวายพร้อมกับเกิดมหัศจรรย์ต่างๆ
    เมื่อพระนางมหาปชาบดีได้ทรงเห็นแล้วก็ทรงเกิดปีติโสมนัสเป็นกำลังจนน้ำพระเนตรไหลลงแล้ว
    ได้ยกพระหัตถ์ประนมนมัสการพระศาสดาเนืองๆ
    แล้วเสด็จคืนเข้าพระราชนิเวศน์

    ลำดับนั้น พระอชิตภิกขุเกิดจิตคิดว่า -
    จะเอาผ้าคู่อันอุดมนี้กระทำพระพุทธบูชาจึงจะสมควร
    จึงได้นำผ้าผืนหนึ่งเข้าไปเป็นเพดานกั้นเบื้องบนพระคันธกุฏี
    ฉีกออกเป็น๔ท่อนทำเป็นม่านห้อยลงใน๔มุมแห่งเพดานนั้น

    ท่านได้มองเห็นผ้าเหลืองทองนั้นรืองอร่ามงามยิ่งนักก็เกิดปีติโสมนัส
    เมื่อจะกล่าวปณิธานหมายประโยชน์เป็นพระพุทธองค์ทรงสัพพัญญุตญาณ
    จึงเข้าไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าได้อภิวาทตรงพระพักตร์๓คาบ
    แล้วได้ออกคำกล่าวตั้งปณิธานว่า -

    ด้วยอานิสงค์แห่งวัตถุบูชานี้ได้เป็นประโยชน์สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณเพื่อรื้อขนสัตว์ให้พ้นสงสารวัฏในอนาคตกาลเถิด

    ลำดับนั้น
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นแล้วได้ทรงกระทำพระอาการแย้มให้ปรากฎ
    พระอานนทเถรได้เห็นแล้วได้ทูลถาทจึงตรัสพยากรณ์ว่า -

    อชิตภิกขุนี้
    จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธองค์ พระองค์ที่๕ มีนามว่า เมตไตย
    ในอนาคตภาคหน้าในมหาภัทกัปนี้ทรงมีพระวรกายสูง๘๘ศอก มีพระชนมายุ๘๐๐๐๐ปี
    ทรงครองเรือนอยู่ ๓๕๐๐๐ปีจึงเสด็จออกมหาภิเนกษกรม
    สู่ควงต้นกากทิงเป็นมหาโพธิพฤกษ์ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธองค์ทรงพระนามว่า-
    เมตไตยสัมมาสัมพุทธองค์ทรงโปรดสัตว์อยู่ครบแล้วก็ปรินิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  6. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พระสุมงคล

    ส่วน ปนาทสามเณร นั้นซึ่งเป็นผู้นำข่าว
    พระสิริมิตสัมมาสัมพุทธองค์ไปแจ้งแก่สมเด็จพระบรมสังขจักรพรรดิและได้สละราชสมบัติ
    สักการะบูชาข่าวและได้ให้สามเณรลาสิกขา
    และกระทำราชาภิเษกให้เป็นสมเด็จพระเจ้าบรมจักรพรรดิแทนพระองค์
    ก็ได้ให้ขุนคลังแก้ว นำเงินทองไปถ่ายมารดาและนำกลับมายังอินทปัตตมหานคร
    และสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจ้าแม่แก้ว
    คือสมเด็จพระบรมราชชนนีรัตนเชิญขึ้นนั่ง ณ แท่นสุวรรณรัตนทรงออกพระโอษฐ์ว่า

    เพราะผลกรรมดลบันดาลให้
    พระแม่แก้วไปเป็นทาสีเป็นเหตุให้สามเณรลูกชายคิดหาทรัพย์มาเป็นค่าถ่าย
    จึงได้มาพบสมเด็จพระเจ้าบรมสังขจักรพรรดิและได้สละราชสมบัติเป็นเครื่องสักการะบูชา
    ข่าวพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และได้ราชาภิเษกให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองแทน
    จึงได้มีทรัพย์เป็นค่าถ่ายพระเจ้าแม่

    ด้วยสัจจาบารมีนี้ กับ กตัญญู
    อันเป็นเมตตาบารมีทั้งตั้งใจอันเป็น อธิษฐานบารมี กับ บารมีอื่น
    พร้อมกับด้วยพระบรมบารมีพลานุภาพสมเด็จพระบรมสังขจักรพรรดิ ได้โปรดดลบันดาล
    ให้พระแม่แก้วทรงเจริญชนมายุ เกษมสำราญ ปลอดโรคภัย อุปัทวันตราย สุขสมบูรณ์ตลอดไป
    ดังนี้แล้วก็ประทับอยู่ด้วยเกษมสำราญ

    ต่อมา เพราะเหตุที่
    พระเจ้าจักรพรรดิพระราชสวามีได้ทรงสั่งไว้ เพื่อป้องกันห่วงหาอาลัย ให้ปรนนิบัติ
    เป็นการสอนให้รู้ทิพรสสัมผัสในทิพกายของพระนางแก้วนั้น ได้ทรงแจ้งว่า
    องค์ใหม่นี้ก็เป็นโพธิสัตว์เท่าฐานะเช่นกันแต่ยังมิได้รับพระพุทธพยากรณ์เท่านั้น

    ฉะนี้พระนางแก้วหรือสมเด็จพระนางเจ้ามหาสังขจักรพรรดินี กับนางสนองพระโอษฐ์ชื่อ
    มงคลราสินีได้เข้าถึงที่บรรทม
    คราวแรก พระเจ้าจักรพรรดิก็เคารพยำเกรง
    จึงไม่ประสงค์เพราะคำสั่งเดิมนั้น ทั้งยังระลึกคำรับรองว่าจะไม่มีโอรส ธิดา
    เนื้อคู่ของเขาคือ มงคลราสินี ซึ่งจะมีลูก ๒คน แต่ไม่มีบุญเป็นบุตรรัตน
    คือลูกแก้วและสมเด็จพระนางเจ้ายังทรงระลึกได้ว่า พระนางมีพระราชโอรสธิดา
    ด้วยปรามาสคือ ลูบคลำนาภีท้อง ทั้ง๒องค์

    ต่อมาวันหนึ่งได้ทรงพระเครื่องต้น
    สมเด็จพระนางเจ้าจักรพรรดินีและพระองค์เดียวได้เสด็จทรงเล่าพระดำรัสสั่งนั้น
    ได้ประทานทิพยสัมผัสกระแสทิพได้แผ่ซาบซ่านไปตลอดทั้งพระทัยและวรกาย
    ให้เคลิบเคลิ้มสุขโสมนัสสำราญหลับไป
    ครั้นตื่นขึ้นมาก็ทรงระลึกได้ถึงทิพยรสสัมผัสนั้นซึ่งเป็นครั้งแรกนั้นติดประจำอยู่
    จึงทรงลุ่มหลงเริงสำราญทิพยรสสัมผัสนั้นตลอดกาลแม้สมเด็จพระนางเจ้าได้ทรงนำ
    นางสนองพระโอษฐ์ มงคลราสินี อุปภิเษกเป็นพระจักรพรรดินีราชินี
    รับสนองภายในถึงมีพระราชโอรสธิดา๒องค์แล้ว ก็ยังลุ่มหลงอยู่

    สมเด็จพระนางได้ทรงเตือนเป็นอาทีนพโทษ และทรงหวังว่า
    เมื่อทรงเห็นอาทีนพโทษแล้วจะได้เป็นอุปนิสัยแห่งเนกขัมมบารมีที่แท้

    แม้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าสิริมิตกับพระอรหันต์สงฆ์สาวก ได้เสด็จมาโปรด
    ก็ได้ทรงสร้าง ทักขิณมหาวิหารถวาย

    ถึงกระนั้น
    ก็ยังคลายลุ่มหลงทิพยรสสัมผัสนั้นไม่ได้

    สมเด็จพระนางมีพระสติสัมปชัญญะ
    จึงทรงสิริสุขเกษมสำราญส่วนพระเจ้าจักรพรรดิทรงทรุดโทรมลงทั้งลุ่มหลงอย่างนั้น
    ได้สิ้นพระชนม์เพราะหมดพลังกาย
    ครั้นจุติแล้วได้ไปอุบัติในตาปนรก ซึ่งมีพื้นร้อนระอุตลอดแต่ไม่ถึงลุกไหม้
    จึงถูกพื้นระอุร้อนนั้นอบลวกระอุร้อนด้วยราคัคคิ ไฟรัก ระอุเผาอยู่ตลอดกาลนั้น

    ครั้นได้สติรู้สึกแล้วได้ระลึกถึงเหตุ ก็ทรงทราบว่า เพราะลุ่มหลงรสทิพสัมผัสนั้น
    ทั้งระลึกถึงกระแสพระดำรัสที่สมเด็จพระนางซึ่งทรงเล่าพระดำรัสบัญชาให้กระทำเพื่อสอนให้รู้อาทีนพโทษได้
    ครั้นระลึกได้แล้วก็ทรงโทษตนเองทั้งที่รู้อยู่ก็ยังลุ่มหลงจนได้
    เท่าที่เป็นขึ้นนั้นก็เป็นธรรมดานิยมแห่งบุญญานุภาพให้มีขึ้นเท่านั้นเองวัตถุกาม
    และกิเลสกามก็มีอยู่ตามธรรมดาโลก ที่ไปลุ่มหลงก็เพราะ อวิชชา ไม่รู้เท่านั้นเอง
    จึงลืมถึงหลงไหลไปแล้วให้มาถูกอบระอุร้อนไหม้อยู่ในบัดนี้

    ตลอดกาลนั้น
    พระเจ้าบรมสังขจักรซึ่งจุติขึ้นไปอุบัติ ณ ดุสิตภพ ทรงชื่อว่าเมตเตยยโพธิสัตว์แล้ว
    ได้ทอดทิพญาณดูตลอดทรงทราบวาระจิตนั้นแล้ว ทรงเพศอย่างนั้นเสด็จพลันถึง

    ทรงเห็น
    ยกมือไหว้และรู้สึกว่าพื้นนั้นเริ่มเย็นแล้ว
    จึงลุกขึ้นกระพุ่มสองมือขึ้นไหว้แล้วลดลงกราบกับพื้น๓คาบ
    พระเทพเจ้าบรมโพธิสัตว์ตรัสว่า

    น้องเรา มิใช่เป็นผู้ทราม แท้จริง
    ก็มีฐานะวิริยาธิกะเท่ากันเพียงว่าทำทีหลัง หรืออ่อนกว่าเท่านั้น ถ้ามิเช่นนั้น
    จะทรงฐานะเช่นนั้นไม่ได้จึงมีโอกาสนำข่าวมาแจ้งเราได้ทำสักการะบูชา ด้วยหวังว่า
    จะสอนให้รู้แจ้งสุขเกษมสำราญแห่งจักรพรรดิราชสมบัติและรสทิพยสุข กับ มนุษย์สุข
    ทั้งคุณประโยชน์ และ อาทีนพโทษ ให้รู้แจ้งเห็นจริงตลอดแล้ว
    ที่มารับผลนี้
    เป็นผลต้องถูกเผาด้วย ราคัคคิ คือไฟรัก โทสัคคิ ไฟโกรธ โมหัคคิไฟหลง
    เป็นเครื่องสอนให้รู้เท่านั้นครั้นเบื่อหน่ายในกาลใดนั้น จะเป็นเนกขัมมบารมีที่แท้
    ซึ่งก็มีมาแล้วจึงมีสติสัมปชัญญะระลึกลมหายใจเข้าออก อันเป็น อากาสกสิณ วาโยกสิณ
    อาโปกสิณได้ จะกระทำให้เย็นดับร้อนได้ และให้พ้นมลทินบาปนั้นได้

    พระเจ้าจักรพรรดิได้คิดและเจริญอานาปานสติ เป็นลม น้ำ ก็ดับร้อนได้
    ฌานก็พลันเกิดขึ้น จึงลอยขึ้นตามไปได้ ผ่านมาทางอินทปัตนนั้น

    สมเด็จพระนางเจ้าจักรพรรดินีหมดภารธุระแล้วได้จุติมารออยู่แล้ว
    จึงร่วมไปสู่ดุสิตสวรรค์เพราะเหตุนั้น ได้เป็นนิสัย และอุปนิสัยให้ระอาเบื่อหน่าย
    ให้หลีกออกเสมอมากับทั้งหมดอายุกาลแล้ว ราชอาณาจักรพรรดิ พร้อมทั้ง
    สัตตรัตนสมบัติ๗ประการนั้นก็กลับสู่ที่เดิม ปรินายกรัตน
    คือขุนพลแก้วได้ครองราชสมบัติต่อมา มีนามว่า ปรินายกราชา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  7. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ปนาทสามเณรซึ่งได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิสถาปนาขึ้นนั้น
    ได้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎบำเพ็ญบารมีได้เป็นอันมาก
    กระทั้งถึงกาลพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น ได้มาเกิดเป็น
    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิแล้วนางสนองพระโอษฐ์-มงคลราสินี ได้มาเป็น
    อิตถีรัตน นางแก้ว-สุมงคลาณีจักรพรรดินีคหบดีรัตน ได้มาเป็น คหบดีรัตน คือ
    ขุนพลแก้วอีก

    ในกาลที่อายุมนุษย์ลดลงมาเหลือเพียง ๔หมื่นปีนั้น
    ชมพูทวีปได้มีชื่อว่าโสฬสนคร ในส่วนอื่นมีชื่อว่า เมืองทอง และเมืองแก้ว
    ปนๆกันอยู่ คือเมืองพลินกรุงพาลี บ้าง

    ช้างป่า-ชื่อปาลิไลยยกะ
    ซึ่งเป็นพระบรมโพธิสัตว์วิริยาธิกพุทธภูมิได้เกิดเป็น
    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า

    ทรงพระบรมเดชานุภาพตลอดทวีปทั้ง๔
    ทรงมี สัตตรัตนสมบัติ๗ประการ กับมี คทาใหญ่ สถิต ณ เชิงรองซึ่งตั้งบนพานทองใหญ่
    อันเป็นนิมิตสมบัติจักรพรรดิชุดบกและเป็นเนมิตนามชื่อว่า มหาปนาทจักรพรรดิ
    เป็นประจำมา

    ก็สัตตรัตนสมบัติ๗ประการนั้นคือ ๑)จักกรัตนะ จักร์แก้ว
    ๒)หัตถิรัตนะช้างแก้ว ๓)อัสสรัตนะ ม้าแก้ว ๔)มณีรัตนะ มณีแก้ว แก้วทับทิม
    ๕)อิตถีรัตนะ นางแก้ว๖)คหปติรัตนะ ขุนคลังแก้ว ๗)ปรินายกรัตนะ ขุนพลแก้ว

    ทั้งนี้มีอยู่๒ชุด ชุดบกและชุดน้ำ

    ถ้ามีพระคทาใหญ่(กระบองยอด)สถิต ณ
    เชิงตั้งบนพานทองใหญ่เพราะมหาคทานั้นเป็นนิมิตที่ระบุนามชื่อว่า
    มหาปนาทบรมจักรพรรดิ จึงเป็นชุดบก หรือชุดแผ่นดิน

    และสัตตรัตนสมบัติ๗ประการนั้น แต่มี สังข์ใหญ่ หรือมหาสังข์
    สถิตณ เชิงพานทองใหญ่ อันเป็นนิมิตสมบัติจักรพรรดิชุดน้ำ หรือชุดทะเล
    และทั้ง๒ชุดนั้น ก็มีปราสาทแก้ว ปราสาททอง หรือ รัตนปราสาทสุวรรณปราสาท
    พร้อมกับมรแก้ว,ทอง,เงิน,แร่ธาตุต่างประดับพร้อมทุกประการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  8. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ในพระพุทธันดรต้นภัทรกัปนี้
    พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิได้อุบัติขึ้นแล้ว ณ เมืองแก้วมีนามว่า ยอดแก้วไทย

    ครั้นเจริญถึงอายุกาลแล้วจึงมีปราสาทแก้วปรากฏขึ้น
    แม้ภูเขาใหญ่ๆก็กลายเป็นปราสาทขึ้น บ้างก็เกิดเป็นพื้นทองขึ้น
    เป็นสิริเกียรติสมบัติบริชน และพาหนะก็เป็นรัตน จึงเป็น สัตตรัตนสมบัติมีมหาคทา
    สถิตเป็นสิริบรมจักรพรรดิราชสมบัติณ ทวีปทั้ง๔ มีทวีปน้อย๒พันเป็นบริวาร

    ทรงสำราญเป็นปกติตลอดกาลนานในกาลชนม์ชีพนั้น ทรงชำนาญศิลปวิทยาการตลอดทุกชนิด
    ได้ทรงประดิษฐ์และสร้างเสกสรรเครื่องกลต่างๆได้และปรินายกช่วยทำขึ้นตามประสงค์
    บางทีช้างแก้ว ม้าแก้ว นำมาให้ บางอย่าง จักรแก้วบันดาลให้ เช่น
    ดวงแก้วลอยในท้องฟ้าส่องให้มองเห็นได้ทั่วทุกทวีปใหญ่น้อย

    หลายอย่างที่แก้วมณีรัตนดลดาลให้เช่นไฟฟ้า และเสียงสายฟ้า

    ที่ทรงคิดเป็นพิเศษก็คือ - ลายสือซึ่งทรงคิดว่า
    ถ้าเอาเสียงคำพูดกับจำนวนนับเข้าลายเส้นได้ คงจะคงที่ และอยู่ได้นาน
    ทั้งจะนำไปไหนก็ได้

    เมื่อครุ่นคิดอยู่นั้น ด้วยบุญญานุภาพพระบารมี๑๐ ทั้งรัตน๗
    และเทพโพธิสัตว์มิตรสหายทั้งหลายก็ร่วมกันส่งแสงสว่างเป็นปัญญาบารมี
    พร้อมพลันก็บันดาลให้เกิดปัญญาญาณสว่างแจ้ง ส่องให่เห็น ก.กาข.ขา ข่า. ข้า เป็นต้น
    และอินทรีย์ทั้งปวงก็คล่องแคล่วจึงใช้มือเขียนได้ ใช้เสียง และปาก อ่านได้
    ใช้ปัญญาส่องทราบได้ว่า ถูก และผิด

    เมื่อทรงคิดได้ เขียนได้ อ่านได้คงที่
    และชำนาญแล้วจึงสอนขุนคลังแก้วให้ทำบัญชี สอนขุนพลแก้วให้เขียนวิชาสอนทหาร
    และเขียนกดหมายและสอนชาวเมืองให้เขียนวิชาต่างๆ

    และให้นางแก้วทั้งบริวาร เรียน
    เขียนจดคำสอน คำเพลง คำกลอน และข้อความทำดีให้จำ ทำชั่วให้ละเว้น มีการประพฤติผิด
    ลักฉ้อทำร้ายฆ่าฟัน กล่าวเท็จหลอกลวง กินดื่มของมึนเมา และ ติดตัง
    เอื้อเอ็นดู ช่วยเหลือกัน ซื่อตรงต่อกัน อ่อนน้อมผู้ใหญ่พ่อแม่
    ผู้ชายให้รู้ต่อสู้ทำงานป้องกันตัว คุ้มครองสินตน ผู้หญิงเรียนรู้การครัว การเรือน
    เลี้ยงลูกคุ้มครองสินสาวตัวตน ตลอดถึงทุกคนให้รู้เซ่นสรวงอำนวยผีต้น ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  9. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ครั้นล่วงมาถึงกาล สมเด็จพระกุกกุสันธ
    ได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธองค์แล้ว
    ได้เสด็จไปแสดงพระธรรมจักกัปปวัฎฎนสูตร์จบแล้ว

    เทพพรหมตลอดสุดนั้นได้เปล่งเสียงรับต่อๆกัน
    ทั้งได้เกิดมหัศจรรย์ให้หมื่นโลกธาตุสะท้านสะเทือนหวั่นไหวตลอดถึงเมืองแก้ว
    ซึ่งได้ทำให้มหาคทานั้นพลัดตกจากเชิงกระเด็นลงณ พื้นปราสาท แต่ไม่แตกหัก
    จึงทรงดำริถึงบุญบารมี มหาคทาก็ลอยขึ้นสถิต ณ เชิงตามเดิม

    ได้ทรงเห็นเช่นนั้น
    ทรงดำริก็ทรงทราบด้วยญาณปัญญาว่าพระมหาบุรุษได้อุบัติ และได้ตรัสรู้
    กับได้แสดงธัมมจักกัปปวัฎฎนสูตร์จบแล้ว เป็นกาลถึงพร้อมพระรัตนไตรแล้ว
    พระเจ้าจักรพรรดิจึงตรัสประกาศให้รัตนะนั้นๆไปนำรัตนะนั้นๆมาถวายให้ตลอด
    ได้ทรงสำราญประทับอยู่โดยปกติ

    พระพุทธกาลที่ได้ตรัสรู้นั้นได้ล่วงไปนาน
    กระทั่งพระปัญญาบารมีแก่กล้าที่จะเพิ่มได้อีกทรงระลึกได้
    จึงตรัสสั่งขุนคลังแก้วว่าท่านจงไปสู่โสฬสมหานครนั้น นำเอามณีรัตนมาให้เรา
    ขุนคลังแก้วได้รับโองการแล้วเพราะเป็นคหบดีรัตนจึงมีอิทธิพลสมบูรณ์
    ได้เหาะขึ้นไปยังโสฬสมหานครทางอากาศ

    ณ ปัจจุสมัยเช้าตรู่วันนั้น
    พระผู้มีพระภาคเจ้ากุกุกสันธนั้นทรงทอดพระเนตรตรวจโลกได้ทรงเห็นและทรงทราบแล้ว
    มีพระพุทธประสงค์ทรงโปรดพระอนาคตพุทธองค์ทั้งสองนั้น
    และวันนั้นเป็นวันอุโบสถและวันฟังธรรมประชาชนต่างหลั่งไหลไปสู่มหาวิหาร
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับในมหาวิหารนั้นได้ประทับอยู่ในสมาธิทรงอธิษฐานพระพุทธรัสมีให้แผ่ซ่านสว่างไปในอากาศให้เห็นได้เฉพาะ
    คหบดีรัตนก็ได้เห็นในอากาศแต่ที่ห่างไกล

    คหบดีรัตนได้ลงสู่พื้นก็ได้เห็นหมู่ชาวชนหญิงชายต่างไหลหลั่งเข้าสู่มหาวิหารเพื่อรักษาอุโบสถ
    และฟังธรรมก็เข้าไปด้วย

    ครั้นเข้าไปแล้วก็ได้เห็นพระกุกกุสันธซึ่งประทับนั่ง ณ พระพุทธอาสน์ก็มิได้รู้จักได้กระทำเคารพกราบไหว้แล้วจึงถามว่า

    - มาณพผู้เจริญ ท่านมีนามชื่อว่าอะไร จึงมีรูปโฉมเป็นอันดี

    ได้ฟังตรัสตอบว่า-คหบดีรัตน เราชื่อว่า พุทธศาสดาจารย์

    ซักต่อไปว่า -ท่านชื่อว่า-พนะศาสดาจารย์ เพราะอะไร
    ได้ฟังตรัสตอบว่า-เราชื่อว่า-ศาสดาจารย์นั้นก็เพราะประกอบด้วยอาจริยคุณ๓๑ ว่าอิติ
    ปิโส ภควา (พระพุทธคุณนี้ นับเป็นตัวอักษรได้๕๖ นับเป็นศัพท์ได้๓๑
    จึงเป็นคุณ๓๑)

    ขุนคลังแก้วจึงจดจารึกเป็นลายสือลงบนแผ่นทองคำ
    แล้วจดจารึกอาการ๓๒คือ เกสา โลมา ฯลฯ มุตตํ มตถเก มตถลุงคํ(ผม ขน ฯลฯ มูต มันสมอง)
    กับจดจารึกทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ๓๒ประการ และจดจารึกกำหนด อนุพยัญชนะ๘๐
    กับทั้งวาดเขียนพระรูปโฉมส่วนสัดสูง๖๐ศอกลงในแผ่นทองคำทั้ง๒

    เสร็จแล้วได้กราบทูลลาเหาะลอยกลับมายังพระราชสำนักสมเด็จพระมหาปนาทบรมจักรพรรดิ
    ได้ถวายพระสุพรรณบัฎทั้ง๒นั้นให้ทอดจักษุญาณพิจารณาพระคุณพิเศษ
    และพระสิริลักษณะพระรูปโฉมส่วนสัดพระองค์สูง๖๐ศอกของพระกุกกุสันธพุทธองค์นั้น
    พร้อมกับตัวสือจารึกพระพุทธคุณ๓๑และอาการ๓๒
    ทั้ง๒อย่างนั้น
    ได้ทอดพระเนตรแล้วมิได้รู้จัก
    และมิได้ทราบแจ้งพระพุทธคุณนั้นฯ จึงตรัสถามปุโรหิตพราหมณ์ซึ่งเฝ้าอยู่นั้น
    ก็ได้ทรงสดับคำทูลว่า -อักษรลายสือจารึกนี้เป็นพระพุทธคุณเที่ยงแท้แล้ว ดังนี้
    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิได้สดับแล้วทรงเกิดปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัยสลบลงกับที่

    ครั้นทรงฟิ้นขึ้นแล้วจึงตรัสถามอีกได้สดับคำทูลว่า
    พระคุณวิเศษนี้เป็นพระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเที่ยงแท้แล้ว ดังนี้
    ก็ทรงปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัยสลบลงอีกเป็นครั้งที่สอง
    ครั้นทรงฟื้นขึ้นแล้วก็ได้ตรัสถามถึงภาพวาดเขียนพระรูปโฉมสิริลักษณ์วรกายนั้นเป็นอย่างพระพุทธรูปจริง หรือประการใด
    ก็ได้สดับคำทูลว่า-พระรูปโฉมที่วาดมานี้เป็นพระรูปโฉมของสมเด็จพระพุทธองค์เที่ยงแท้
    ดังนี้แล้วก็ได้ทรงปีติโสมนัสปลาบปลื้มพระทัยสลบลงอีกเป็นคำรพที่๓

    ครั้นทรงฟิ้นแล้วได้ตรัสว่า-บัดนี้
    เราได้ฟังประพฤติเหตุแห่งสมเด็จพระพุทธองค์อันเป็นดวงแก้วหาค่ามิได้
    เพราะตัวท่านอันเราใช้ให้ไปจึงได้รู้แจ้งพระพุทธรัตนนั้น เครื่องสักการะบูชาอื่นๆ
    หาควรกระทำสักการะบูชาแก่ท่านไม่สมบัติจักรพรรดิทั้งหมดนี้จึงควรแก่ท่าน

    ดังนี้แล้ว ได้ทรงกระทำราชาภิเษก
    คหบดีรัตนขุนคลังแก้วให้เสวยสิริราชสมบัติจักรพรรดิ
    กับได้ทรงอธิษฐานสัตรัตนสมบัติทั้งพระมหาคทาให้คงอยู่เพื่อดำรงสิริสมบัตินั้นๆให้ครองครองสืบต่อไปแล้ว

    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิทรงสละจักรพรรดิสมบัติแล้ว
    พระองค์เดียวเสด็จไปทางทิศภาคที่สมเด็จพระกุกุกสันธบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่ณ
    โสฬสมหานครนั้นด้วยพระตนุกานุภาพพระเจ้าจักรพรรดิอันมีฉลองพระบาทแก้ว และ
    พระมหามกุฏแก้วนั้นซึ่งประจำพระองค์อยู่จึงส่งให้เสด็จได้เร็วแลเสด็จได้ไกล

    ครั้นเสด็จถึงมหานิโครธไทรใหญ่ต้นหนึ่ง
    จึงเข้าไปอาศัยประทับนั่งในร่มไทรนั้นพอบรรเทาเหน็จเหนื่อยแล้ว
    ทรงสบายพระวรกายแล้ว ก็ทรงกระทำนมัสการลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์
    ไปในทางที่พระพุทธองค์ประทับอยู่นั้นแล้ว
    ทรงกระทำอธิษฐานปราถนาว่า-พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรดให้ปีติโสมนัสในพระองค์เกิดแก่ข้าพระองค์แล้ว
    ด้วยเดชะความสัตย์นี้ขอบริขาร๘อันเป็นทรัพย์มรดกของพระภิกษุสงฆ์จงเลื่อนลอยมาเถิด

    ครั้งนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูกุกกุสันธทรงทราบวาระจิตแล้ว
    จึงตรัสให้บริขาร๘นั้นลอยมาตกลงตรงพระพักตร์พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินั้นด้วยพระพุทธานุภาพ

    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิได้ทอดพระเนตรเห็นเป็นมหัศจรรย์แล้วได้ใช้พระหัตถ์ทั้งคู่นั้นประคองบริขาร๘ยกขึ้นเหนือเศียรเกล้า
    ตรัสว่า

    -บริขาร๘เราจักอาศัยท่านออกจากสังสารทุกข์
    ให้ได้พบพระนิพพานอันประเสริฐสุดวิสัย

    ตรัสเสร็จแล้วทรงเปลื้องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ออกจากพระวรกายแล้ว
    ได้ครองสบงทรงจีวรซ้อนสังฆาฎิพาดคาดกายพันมั่นคงทรงเพศบรรพชิตอุปสมบทเป็นภิกษขุภาวะสำเร็จแล้ว

    จึงเอาพระมหามงกุฏแก้ววางลงในฝ่าพระหัตถ์แล้วตรัสว่า

    -มงกุฎแก้ว จงไปสู่สำนักสมเด็จพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระองค์ว่า

    -บัดนี้ พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิเสียสละราชสมบัติออกทรงเพศบรรพชิตเป็นพระภิกขุในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความปราถนาเพื่อจะมายังสำนักสมเด็จพระทศพลญาณท่านจงไปกราบทูล

    ดังนี้แล้ว
    มหามงกุฎแก้วก็เลื่อนลอยไปในอากาศเวหาประดุจว่าพระยาราชหงส์
    ถึงแล้วจึงลงยังสำนัก แล้วตั้งอยู่แทบพระบาท
    ได้กราบทูลดุจมีวิญญาณ
    สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์ได้ตรัสรับว่า-สาธุ แล้ว
    ลำดับนั้น
    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิซึ่งสำเร็จเพศเป็นพระภิกขุด้วยพระพุทธดำรัสว่า-สาธุ
    ดังนี้แล้วจึงเป็นอุปสมบทสมบูรณ์แล้วด้วย

    พระองค์ก็เที่ยวโคจรบิณฑบาตไปตามละแวกบ้านได้อาหารบิณฑบาตพอเป็นยาปนมัต
    ก็บริโภคฉันพอทรงพระชนม์ชีพ สำเร็จแล้วก็เจริญพระกัมมัฎฐานอยู่ในที่อันสมควร
    พิจารณาซึ่งพระพุทธคุณว่า-อิติปิ โส ภควาเป็นอาทิ
    และเจริญกายคตาสติ-กัมมัฎฐานว่า-เกสาโลมา นขา ทันตา ตโจ ฯลฯ(ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
    ฯลฯ) เป็นต้น

    ทรงเจริญไปด้วยอุตสาหะตลอดอย่างนั้น ได้ยังโลกียณาน
    และอภิญญา๕ให้บังเกิดขึ้นด้วยพระบารมีที่สร้างสมมานานแล้วนั้น
    จึงเหาะลอยขึ้นไปโดยทางอากาศเวหากระทั่งถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า

    พอได้โอกาสจึงเข้าเฝ้าได้ทัศนาการพระรูปโฉม และพระสิริลักษณะของ
    สมเด็จพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์อันประดับไปด้วยพระมหาปุริสลักขณะ๓๒ และอนุพยัญชนะ๘๐ อันงามบริบูรณ์ครบทุกประการแจ่มแจ้งแล้ว
    ก็บังเกิดปีติโสมนัสปลาบปลื้มเต็มเปี่ยมซาบซ่านทั่วสรพางค์ตลอดสกลกาย
    แล้วก็สลบลง ณ ที่นั้น

    สมเด็จพระภควันต์ทรงเอาอุทกวารีประพรมลงเหนือพระอุระก็ทรงฟื้นสมประฤดีขึ้นมา

    แล้วพระองค์จึงถวายนมัสการกราบลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์แทบพระบาท
    กราบทูลอาราธนาให้สมเด็จพระพุทธองค์ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาครั้งนั้น

    สมเด็จพระกุกกุสันธทศพลบรมศาสดาจารย์ก็ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาว่า

    -ภิกขุ ท่านจงพิจารณาซึ่งสภาวธรรมที่จะนำตนไปสู่พระนิพพานด้วยตนเองเถิด
    พระภิกขุมหาปนาทฯบรมโพธิสัตว์วรพุทธางกูร
    ได้สดับกระแสพระพุทธดำรัสตรัสเป็นนัยดังนั้นแล้ว
    พระองค์ก็ปีติโสมนัสอิ่มอาบซาบซ่านทั่วสรพางค์กาย

    จึงทรงอธิษฐานใช้เล็บของพระองค์ให้คมดุจมีดโกนเด็ดเศียรเกล้าตรงคอให้ขาด
    แล้วจับยกขึ้นกระทำสักการะบูชา
    ฝ่ายเศียรเกล้านั้นได้กราบทูลว่า

    -พระองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า
    พระองค์ได้โอกาสโปรดฝูงสัตว์ทั้งหลายก่อน
    ข้าพระองค์มีความปราถนาเป็นพระพุทธองค์เมื่อภายหลัง
    ด้วยผลศีลทานของข้าพระองค์ในครั้งนี้
    ขอเชิญองค์พระอัครมุนีพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดเสด็จสู่พระนิพพานก่อนเถิด
    ข้าพระองค์ขอตามเสด็จพระพุทธองค์เข้าสู่พระนิพพานต่อภายหลัง

    พอขาดคำแล้ว
    พระภิกขุมหาปนาทบรมจักรพรรดิก็ดับขันธ์สิ้นชีวิตินทรีย์และพลันนั้น
    พระเศียรซึ่งตั้งบนฝ่าหัตถ์ทั้งคู่ก็เกร็งแข็งด้วยอานุภาพอธิษฐานชูบูชาอยู่ตามเดิมนั้น
    ก็ลุกโพลงขึ้นตลอดถึงพระสรีรสรพางค์เป็นดวงประทีปเทียนสักการะบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์,พระธรรม,พระสงฆ์,ตามธรรมนิยม
    มีกลิ่นหอมเป็นทิพย์มีสว่างกระจ่างแจ่มแจ้ง ไม่มีควันอบอวล ไม่ร้อนอบอ้าว
    เป็นดวงสุกโพลงเฉพาะไม่ไหม้ลุกลามไปอื่น ทั้งนั้น
    เป็นไปตามพระพุทธานุภาพที่ได้ทรงโปรดประทาน

    ส่วนพระภิกขุพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินั้นก็จุติไปอุบัติเกิด
    ณ ดุสิตสวรรค์เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขสถาพร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2013
  10. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดินี้ในเรื่องว่า -
    ครองอาณาจักรวรรดิหรือ จักรพรรดิราชสมบัตินั้น

    ซึ่งมีทวีปใหญ่ทั่ง๔ จะเห็นในปัจจุบันนี้มีก็คือ

    - ชมพูทวีป คือ เอเซียยุโรป ๑

    ทวีปดำ คือ แอฟริกาชาวคนดำ-เป็น๒

    กัมมทวีปทวีปเทา คือโปลา ออสเตรเลีย ชาวคนเทา เป็น๓

    ปภัสรทวีป ทวีปแสงแดง หรือ ปุพวิเทหคือ ทวีปตะวันออกก็คือ เอมุก,อมริก,อเมริกา,
    ไทยว่า มริกัน เป็นที่๔

    จึงทรงอำนาจมาก

    ในระยะที่ขุนคลังแก้วไปนั้น ต้องเหาะไป
    แม้เสด็จไปเอง ก็ต้องทำฌานสมาบัติให้เกิดขึ้นเป็นพลังหรือเป็นอิทธิพล(กำลังแรงฤทธิ)
    จึงเสด็จเหาะลอยลิ่วไปได้ และมีชื่อ-แก้ว(รตน)ตลอดทั้งหมดนั้น

    กับ คนไทยนี้ก็ไปอยู่ทั่วมาแล้วจึงเห็นว่า-เป็นไปได้ ได้นำมาอ้างขึ้นตามต้นเรื่องนั้น

    ทั้งอนาคตวงศ์นี้ก็เป็นต้นเรื่องดึกดำบรรพ์ทั้งในอดีตและอนาคต

    และทั้งทวีปใหญ่ในโบราณก็มี๔ ชื่อ คือ

    ๑.ชมพูทวีป ๒.อุตตรกุรุทวีป ๓.ปุพพวิเทหทวีป ที่ใกล้กับไทยก็ลงไปถึงออสเตรเลีย

    ๔.อมรโคยานทวีป ชื่อก็ใกล้กับ เอมุก อมริก อเมริกา ก็มีทางอยู่อย่างนี้

    สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า
    ซึ่งได้ทรงกระทำปรมัตถทานบารมีในครั้งนั้นทรงสละหมดทุกอย่าง

    ตั้งแต่
    จักรพรรดิราชสมบัติอันเกิดเอง และ พระราชโอรสธิดา

    พระมเหษี หรือจักรพรรดินี อิตถีรัตนคือนางแก้วนั้น ได้ทรงอธิษฐานให้ทรงสภาพอยู่ตามเดิม ได้สละให้ขุนคลังแก้ว

    ทรงประกาศและกระทำพระราชพิธีราชาภิเษกให้เป็นจักรพรรดิแทน

    เป็นการสักการะบูชาที่ขุนคลังแก้วนำข่าวกับจดจารึกคุณ และ
    วาดเขียนพระรูปโฉมพระผู้มีพระภาคเจ้ามาถวายให้ทอดพระเนตรทรงทราบแน่ชัดแล้ว
    ครั้นเมื่อได้เสด็จไปถึงเข้าเฝ้าได้ทอดพระเนตรเห็นพระคุณพิเศษพระสิริลักษณะ
    พระอาการ๓๒ชัดเจนแล้ว ได้ถวายพระเศียรเกล้า และ
    พระสรีรสรพางค์กายจุดเป็นประทีปเป็นแสงสว่างถวายเป็นพระพุทธบูชา ,พระธรรมบูชา ,พระสงฆบูชาในครั้งนั้นจึงเป็นปรมัตถบารมียอดสุดทุกชนิด เมื่อดับขันธ์ไปแล้ว
    ก็ไปอุบัติ ณ ดุสิตภพ

    ในภายหลังต่อมา
    ก็มาอุบัติเพื่อเสริมสร้างและรวมช่วยพระอนาคตวงศ์ด้วยกัน ณ
    พระศาสนาพระโคนาคมนสัมมาสัมพุทธองค์ พระกัสสปสัมมาสัมพุทธองค์

    ในกาล-พระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ได้มาเกิดเป็นช้างป่าปาลิไลยยกะ
    แม้เป็นเจ้าโขลงก็ได้หลีกออกจากโขลง เพราะเบื่อหน่ายได้มาพบพระบรมศาสดา ณ
    ปาลิไลยยกวัน

    ก็เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระอา คณะสงฆ์ที่ทะเลาะกันถึงแตกเป็น๒ฝ่าย
    ก็เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงระอา คณะสงฆ์ที่ทะเลาะกัน ถึงแตกเป็น ๒ฝ่าย
    พระองค์สอนเท่าไรก็ไม่เชื่อฟัง

    จึงเสด็จเฉพาะพระองค์เดียวหลีกออกไปยังป่าปาจีนวังส และ เสด็จสู่ป่าปาลิไลยยกะ
    ประทับ ณ ถ้ำผาเชิงเขาในป่านั้น

    ช้างป่านี้ได้พบและได้อภิบาลรักษา
    ทั้งเที่ยวเสาะหาผลไม้มาถวายเป็นอาหารบิณฑบาตตลอดกาล๓เดือน-พรรษา
    เป็นพระพุทธพรรษาที่๑๐นั้นต่อมา ป่านี้จึงมีชื่อว่า-รักขิตวัน ป่าอันช้างรักษาแล้ว

    ช้างป่านั้น ได้อภิบาลกระทำอุปัฏฐากตลอด๓เดือน ณ พรรษาที่ ๑๐นั้น
    ในกาลออกพรรษาพระอานนทเถร และคณะสงฆ์ได้ไปเฝ้ากราบทูลข่าวอาราธนาให้เสด็จกลับ
    ทรงรับแล้วและชวน ให้โปรดช้าง

    ในกลางคืนนั้น ช้างได้ไปหาผลไม้มากพอ
    รุ่งเช้า ได้ถวายเป็นอาหารบิณฑบาตเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเสด็จกลับ

    ช้างได้ตามส่งเสด็จถึงแดนมนุษย์ตรัสให้กลับ
    ได้ยืนร้องไห้น้ำตาไหลมองดูกระทั่งลับสายตา
    พลันหทัยแตกจึงเคลื่อนไปเกิดเป็นปาลิไลยยกเทพบุตรมีอัปษรเป็นอันมากเป็นบริวารณ
    วิมานทองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ภพ

    และครั้งนั้นก็เป็นบารมี๑๐ เพราะมีใจนึก
    ซึ่งให้พระองค์รู้ได้
    จึงเป็นสัจจาธิษฐานบารมีได้ที่ยอดสุดก็คือ-ความเลื่อมใสกระทั่งหทัยแตก
    ซึ่งได้เปลี่ยนอัตภาพช้างไปเป็นเทพบุตรนั้น

    ภายหลังแต่นั้นมา
    พระสารีบุตรเถรได้เข้าเฝ้าและทูลถาม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าแสดงแก่พระเถรแล้ว
    พระเถรได้รวบรวมพระดำรัสตรัสเล่าทั้ง๑๐พระองค์นั้นเป็นส่วนหนึ่ง หรือเป็น-คัมภีร์๑
    ชื่อเรียกว่า-คัมภีร์อนาคตวงศ์หรือ อนาคตวงศ์

    ในอนาคตวงศ์นี้
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเล่าให้พระสารีบุตรเถรฟังว่าช้างปาลิไลยยกะนี้
    ในกาลพระศาสนาพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้นได้เกิดเป็น-พระเจ้าจักรพรรดิ
    มีนามชื่อว่า สมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ
    ได้ทรงบำเพ็ญปรมัตถทานบารมียอดสุด

    แล้วจึงตรัสพยากรณ์แก่พระสารีบุตรเถรว่า
    ด้วยอานิสงค์ที่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ในฐานะวิริยาธิกสัมมาสัมพุทธภูมินั้น
    จึงมีผลให้ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิให้ได้พบพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น และ
    มีโอกาสให้ได้กระทำปรมัตถทานบารมียอดสูงสุดแล้วซึ่งไม่มีเทียบเท่าในสมัยนั้น
    ก็ได้เป็นนิยตโพธิสัตว์

    ซึ่งเที่ยงแท้แน่นอนว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธองค์มีนามชื่อว่า-
    พระสุมงคลสัมมาสัมพุทธองค์เป็นพระองค์ที่ ๑๐ ในอนาคตกาล
    ซึ่งยังมีกาลอีก ๕ อสงไขย ๔แสนกัป ที่ยังไม่ถึงนั้น

    ในอนาคตวงศ์นั้น
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรำพันคุณพิเศษว่า

    ด้วยอำนาจพระชนม์ชีพ และพระเศียรเกล้า กับ
    พระสรีรกายได้ทรงอธิษฐานให้เป็นประทีปลุกขึ้นเปล่งแสงสว่างเป็นพระพุทธบูชานั้น
    มีอานิสงค์ให้ได้ตรัสรู้เป็น- พระสุมงคลสัมมาสัมพุทธองค์
    ทรงประดับด้วยพระพุทธรัสมี ฉัพพัณณรังสี
    รุ่งเรืองสว่างดังสีทองอันงามทั้งกลางวันและกลางคืนๆก็ดุจกลางวัน

    ด้วยความเลื่อมใสเต็มเปี่ยมกระทั่งหทัยแตกนั้น
    มีอานิสงค์ให้มีผู้เลื่อมใสตลอดกาล

    ด้วยอำนาจสละราชสมบัติ ทั้งสวิญญาณก อวิญาณก
    กับเสด็จออก ด้วยเรี่ยวแรงได้ทรงผนวชแล้วให้ฌานอภิญญา๕
    เกิดขึ้นจึงมีอานิสงค์เป็นอานุภาพ
    บันดาลให้มีต้นกามพฤกษ์เกิดขึ้นต้นหนึ่งซึ่งมีผลเป็นเครื่องประดับ
    เป็นเครื่องบริโภค อุปโภคทุกชนิดทวยมนุษย์ชนทั้งหลายไม่ต้องทำอาชีพใดๆ
    อาศัย-กามพฤกษ์รั้นเป็นอยู่ได้ตลอดกาลมีความสุขสบายเกษมสำราญ
    ทำแต่แต่งตัว,ฟ้อนรำ,ขับร้อง เสมือนเทพบุตรเทพธิดาได้ซึ่งทิพสมบัติในเทวโลก-ฉนั้น

    สมเด็จพระสุมลคลสัมมาสัมพุทธองค์นั้นทรงมีพระวรกายสูง๖๐ศอก
    ทรงมีพระชนมายุ-แสนปีมีไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ เป็นพระองค์ที่๑๐ ในอนาคตกาล
    อีก ๕อสงไขย
    ๔แสนกัป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2013
  11. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓พระภิกษุองค์หนึ่งได้วิชาสางใส(ไสยศาสตร์)ซึ่งมีฟ้าทั้งหลาย ๑๖ชั้นฟ้า๑๕ชั้นดิน (ยอดสุด๑๖ชั้นฟ้าเป็นร่างแสงพระพุทธองค์๖สีแสงคือภวัคคพรหม ต่ำสุด๑๕ชั้นดิน
    เป็นร่างแสงขุนตาย คือ มัจจุราช)

    ให้พลังแสงวิญญาณรูป หรือทิพยกายแล้ว
    คิดจะลองดูว่าทำอะไรได้บ้างเพราะเรียบบารมี๑๐มาแล้ว

    เมตตาเป็นตัวให้คิดถึงองค์หญิงหนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อเป็นมนุษย์ก็ดี มีศีล
    มีธรรม ถึงทรงอุปถัมภพระพุทธศาสนา
    แต่ผู้ได้รับเกิดรักถึงกับยอมสละชีวิต
    องค์หญิงต้องมีอันเป็นต้องถูกทรมานจนตาย
    ทุกคนต่างเหยียดหยาม

    เห็นว่านี่คงไม่มีใครคิดถึงเลย
    จึงให้ร่างสางใสเป็นภิกขุเพศ ไปหาขุนตาย

    ถามถึง ได้ฟังว่ายังอยู่ จึงพากันไปหา

    ที่พบ
    ซากผีนอนหงายแขนขากาง มีผืนเหล็กตรึงข้อแน่นกับพื้น มีรูปชายซ้อนอยู่
    พอมันถูกต้องที่ไหนก็เกิดไฟลวกไหม้พองซากนั้นร้องครวญคราง
    ท่านว่าไฟราคะ
    พอกอดเกิดเป็นบาดแผลแล้วเลือดออกเป็นไฟลุกไหม้จนหมด
    เหลือแต่กองเถ้าแล้วค่อยเลืองเป็นร่างขึ้นชัดเจนเป็นหญิงสาวใบหน้ารูปไข่
    ลูกตาคมดำผิวขาวค่อนข้างเหลือง นั่งพับเพียบ
    คราวแรกเปลือยกายแล้วมีแสงแบบผ้ามาคล้องเป็นเสื้อผ้า
    และมีรูปชายหนุ่มสวยเดินเข้ามาคุยด้วย

    ท่านว่า
    เมื่อก่อนเป็นตอนล่วงแล้วนำมาให้เห็น ตอนนี้เป็นตอนที่แท้
    เมื่อสามท่านว่า ให้รู้เอาเอง

    จ้าวรูปนิมิตกรรมนั้นนั่งชวนคุยให้เพลิน ให้รัก
    แล้วผลักให้นอนหงาย มือเท้ากางออกมีผืนเหล็กขึ้นมามัด
    ตรึงข้อมือข้อเท้าแน่นกับพื้น

    ท่านบอกไม่ใช่มีเพียงคนนี้ มีอีกมากมาย
    ก็เห็นและบอกชื่อตลอดบอกว่าไม่มีใครพบได้นอกจากพวกเดียวกัน เพราะเป็นสถานที่เฉพาะ
    สางใสภิกขุเถียง ไม่ใช่พวกเขา

    ท่านว่าชาตินี้ไม่เป็น ประมาณชาติที่แล้วมาต่างหาก

    คอยรอให้มาช่วยนานแล้ว

    จึงถึงโอกาสที่ท่านนึกได้เป็นหน้าที่ของพระ

    เมื่อสางใสภิกขุเหลียวดูอีกเห็นแล้วว่า(หน้าเหมือนรูปที่สะพานพระพุทธยอดฟ้า
    จึงมีอีกชื่ออีกชื่อหนึ่งพระกาฬ หรือพระมหากาฬ) ท่านนั้นกลับตามเดิมแล้วว่า
    เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องมาทำงานในนามยุติธรรมราชถึงคราวแล้ว

    สางใสภิกขุยืนนิ่งไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร

    ถาม ก็บอกให้รู้เอาเอง

    ฉุกคิดขึ้นมาได้ เอาเท้าถีบจ้าวนั่งออกไป พอกระเด็นออกพ้นไปก็หายวับ
    ใช้มือกระชากพือเห็กเหมือนหนังที่รัดนั้นก็ขาดหลุดออกง่ายๆ
    ลองดูอีกองค์หญิงหนึ่งข้างๆนั้นก็เช่นเดียวกัน

    เมื่อหลุดพ้นแล้ว พื้นที่ก็เย็น
    ทั้งสองลุกขึ้นนั่งพับเพียบยังเปลือยกาย
    ตลอดร่างมีบาดแผลและรอยลวกไหม้พอง

    สางใสภิกขุค่อยรู้
    จึงอธิษฐานถึงทานที่เคยถวายน้ำและยา อาหารให้มีน้ำทิพยมารดให้หาย
    ก็มีฝนสีชมพูตกลงมารดเฉพาะสองนั้น ชำระสิ่งสกปรกและบาดแผลหายหมด
    ร่างกายทุกส่วนผ่องใส กลิ่นก็หายสาง

    ได้อธิษฐานขอส่วนบุญที่เขาคงทำให้บ้าง
    มีเพียงผ้ายาวสักศอกเท่านั้นกว้างสักหนึ่งกระเบียดซึ่งไม่พอ
    จึงต้องอธิษฐานถึงทานที่เคยถวายผ้าขอให้มีผ้า
    ก็มีชุดทั้งเสื้อและถุงลอยมาสวมให้เอง

    หญิงหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองสางใสภิกขุ
    ท่านว่าให้พูดได้ จึงว่า มาช่วยทำไม

    สางใสภิกขุสอนให้ว่า นโม สรนคม สมาทานศีล
    กล่าวกุศลกรรมบถหิริโอตตัปปะธรรม พรหมวิหารธรรม อริยธรรม
    แล้วบอกให้กลับขึ้นไปก็เฉย

    จึงต้องผลทานที่เคยถวายยวดยานและรองเท้า
    ก็มีกระทงใบสีตองสด
    ลอยมาลงไปรับสองหญิงนั้นซึ่งนั่งพับเพียบประนมมือแค่หน้าอก
    สางใสภิกขุจึงนึกให้ลอยตามขึ้น

    พอพ้นพื้นดินก็มองเห็นที่อยู่เดิมจึงบอกให้ว่าที่เดิมอยู่นั้น ว่าไม่ไป
    สางใสภิกขุว่า ไปอยู่ข้างบนนึกให้ลอยขึ้น

    พอทะลุพื้นทิพยถึงชั้นแล้ว
    ก็เจอเข้าอีกท่านหนึ่งซึ่งได้ถีบรุกขเทวีซึ่งตามหลังสางใสภิกขุขึ้นไป
    พลัดตกลงไปสถิต ณ ต้นไม้เดิม แล้วหันไปตบหญิงหนึ่งเซไป ตบหญิงสองล้มลงนอนตะแคง

    สางใสภิกขุเข้าขวาง กล่าวว่าไม่ได้ สองนี้ต้นเมตตา

    เทพว่า
    ต้องได้เพราะมันผิด

    สางใสว่า
    หญิงสาวมีผัวไม่เห็นจะผิดอย่างไร

    เทพว่า
    ผิดกฎมณเฑียรบาล

    สางใสว่า
    กฎมณเฑียรบาลตั้งเอาเอง ถึงผิดก็ยอมรับผิดแล้ว
    และรับมากเกินไปเกินยุติธรรมกระทั่งเห็นเป็นเวร

    เทพว่า
    ต้องให้รับจนพอใจ

    สางใสว่า
    พอใจแล้ว สิ่งที่ทำมาแล้วจะกลับทำคืนไม่ได้ควรดูกาลนี้และข้างหน้า
    สางใสกลับเป็นนักรบว่า

    ถ้าขืนทำลายตัวต้นเมตตานี้อีก จะทำบ้างเพื่อป้องกันผลนั้น

    บอกให้ลุกขึ้น พาไปหาพ่อและปู่ เทพดินเข้าไปใกล้
    กลับร้องไห้ให้กันและกันพอถึง
    หญิงสองไม่ยอมไหว้กระทั่งสางใสเตือนจึงยอม แต่ไม่ยอมอยู่

    สางใสนักรบจึงส่งดอกกุหลาบให้คนละดอก

    บอกว่าทัดหรือถือก็ได้

    ไปอยู่วิมานของเราโน้น
    พวกนั้นเห็นดอกกุหลาบนี้จะรู้และรับรอง ถ้าบุญตัวไม่พอจงอยู่ด้วยบุญของเรา
    เมื่ออยู่ พบเทพบุตรใด ชอบใจรักใคร่ก็ไปอยู่กับเขาได้ เราอนุญาติ

    ทั้งสองเดินไป

    ท่านท้าวมัจจุราชปรากฎ กล่าวว่า

    เป็นไหมที่จะช่วยเปลื้องจากเวรนี้
    ต้องมีกำลังมากหลายอย่างพอจึงช่วยได้
    ถ้ามีไม่ครบแล้ว ช่วยไม่สำเร็จ

    ต่างพากันกลับมา

    สางใสภิกขุถามว่า เป็นอย่างไรมาแล้ว

    ยุตติธรรมราชกล่าวว่า

    พวกเราต่างร่วมกันหาทางเลี่ยงพระพุทธพยากรณ์ว่า สัทธรรมจักตั้งอยู่พันปี
    จึงร่วมกันรับภาระธุระจากพระอรหันต์เถราจารย์ทั้งหลายซึ่งได้นำพระพุทธศาสนามาประดิษฐานนอกชมพูทวีปโดยเฉพาะที่นี้
    เมื่อประดิษฐานแล้วก็ต้องบำรุงจรรโลง นำให้คงอยู่ ครั้นตั้งได้แล้ว
    ต่างได้สดับคำของพระอรหันตโสณพยากรณ จักอยู่ถึงห้าพันปีถึงหมื่นปี ก็มีความหวังมั่นคงขึ้นแล้ว
    แต่กาลเวลาย่อมต้องมีขวากหนาม
    เมื่อได้๒,๑๐๐กว่าปี รู้กันว่าทีนี้จะอับปาง จึงต้องหาวิธีแก้ไข
    ถึงแม้จะต้องเสียหายก็ต้องทำ ถ้ามิฉะนั้นก็คงสิ้นสุดแค่นั้น

    ต่างเห็นร่วมกันว่า
    ท่านนี้มีบุญเป็นช้างปาลิเลยยกะเคยพิทักษ์พระองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา
    ซึ่งจะคุ้มครองให้ปลอดภัยได้
    จึงอนุญาติและช่วยกัน
    คราวแรกก็มีคนคิดเพียงท่านคนเดียว ต่อมาได้อีก๔
    และต้องเข้าสงครามหลายครั้งครั้งที่กระทำยุทธหัตถีได้ประหารเขา
    ได้อันเป็นชัยชนะที่ทำบ้านเมืองชาวชนพลเมืองและพระพุทธศาสนาหลุดพ้นจากภัยพิบัตินั้นได้
    และคงทนตลอดมา

    เพราะชัยชนะครั้งนั้นทำให้ท่านมีบาปกรรม
    เกิดอิสมิมานะขึ้นกระทั่งกระด้างมีทางช่วยกันเพียงให้บาปน้อย จึงถูกแมลงพิษต่อยตาย
    ต้องไปเกิดรับกรรมซึ่งได้ยอมมาแล้วแต่ก่อน
    แม้บางคราวขืนให้ไปเกิดในที่ดี ก็อยู่ได้ไม่นาน

    ครั้งหนึ่ง ก่อนกรุงเก่าแตก
    ไปเกิดที่สิงหบุรี เพราะกรรมนั้น พ่อแม่จึงตายหมด

    อาจารย์อยู่นำไปเลี้ยงในวัด
    ตั้งชื่อให้ว่า สิงห์ทอง คู่กับ ณรงค์

    อาจารย์สอนหนังสือและเพลงอาวุธให้ทุกชนิดเก่งเท่ากัน

    อุปัฐากท่านอาจารย์มีสอง
    ใต้วัด มีลูกสาว ชื่อวัลยา เหนือวัด ชื่อ มะลิวัน

    วัลยา นี้เรียนเพลงดาบ และ มวยเจนจบ เป็นคู่ซ้อมมือกันมา

    คราวนั้น มีนักดาบชาวบางระจัน ชื่อ อุดหรืออุดม
    มาเที่ยวติด วัลยา

    ผลที่สุดเกิดประดาบกันขึ้น

    ที่จริง อุด นี้เก่ง
    แต่เพราะเคยกลัวเกรงกันมาแต่สมัยที่เป็นพระยาศรีไสยณรงค์
    และ สิงห์ทอง ก็เคยชอบพอรักฝีมือมาแต่ก่อน จึงไม่คิดฆ่ากัน
    เพียงเอาดาบกรีดหน้าเท่านั้น

    อุด กลับบ้าน นำเพื่อนมาฉุดสาวได้แล้ว
    สิงห์ทอง และ ณรงค์ ออกตลุยฆ่าชิงตัวกลับได้

    เพราะฆ่าคนตายเกือบสิบคนจึงถูกประกาศจับ
    พอดีมีศึกมา อาจารย์จึงให้ไปสมัครเป็นทหารในกองทัพของ นายสุดจินดา

    พอดีกับ นายอุด นายอาจ กับเพื่อนๆมาสมัครเจอกัน จึงตกลงเลิกเรื่องเก่า
    สาบานเป็นเพื่อนสู้ศึกร่วมเป็นร่วมตาย

    สิงห์ทอง บอกว่า ไม่ได้รัก วัลยา
    ถ้า อุด รักจริงแล้ว เสร็จศึกสงครามแล้วก็ไปขอเอาเอง

    เพราะอายุยังน้อย จึงต้องอยู่กองเสบียง เมื่อกองทัพใหญ่แตก
    ข้าศึก บุกเข้ามากระทั่งถึงตัว นายสุดจินดา สู้ไม่รู้จักหมด
    ทั้ง๒๐นั้นยืนดูอยู่เห็นแล้วตกลงใจเข้าช่วย

    สิงห์ณรงค์ แสดงฝีมือเต็มที่
    คือเอาไม้คานตีคอหักแล้วเอาดาบสู้แก้นายออกได้
    จึงถอยกองทัพไม่แตก
    เป็นเหตุให้นายรู้จักและเห็นฝีมือ

    ครั้นกรุงศรีอยุธยาแตกแล้วได้ไปราชบุรีเดินทางไปร่วมตากสิน
    เมื่อเข้าตีเมืองจันทร์เป็นนายเท้าช้างขวาซึ่งขึ้นไปรักษาหน้า
    จึงถูกพุ่งมาถูกกลางอกตายที่นั้นไปสู่นรก

    เพราะการสงครามไม่มีเวรจึงใช้กันเพียงคราวเดียว

    เมื่อกู้กรุงกลับคืนได้แล้ว
    ท่านนายพระนายกองได้จัด ณรงค์ กับ อุด เป็น นายหมู่ขวาซ้าย
    คุมหมู่ทหารหนุ่มเข้าบุกค่ายพร้อมกับพระพิชัยนายกองซ้ายค่ายโพธิ์สามต้นแตก
    จึงกู้กรุงคืนได้มีความชอบมาก

    คราวแรก ได้เป็น ออกขุนประทวน
    ณรงค์ เป็น ออกขุณณรงค์สงคราม
    อุด เป็น ออกขุนรามฤทธิรงค์
    อาจ เป็น ออกขุนทรงพลพิชัย
    อืน เป็น ออกขุนไกรพลพิชิต

    ภายหลังที่เรียบร้อยแล้ว
    ขุนณรงค์ และ ขุนราม ได้ไปหาสองสาวนั้นซึ่งได้กลับมาอยู่บ้านเดิมแล้ว

    เมื่อทราบข่าวแน่นอนว่า สิงห์ทอง ตายในสนามรบแล้ว
    ทั้งคู่ร่วมกันสละเรือนออกบวชชีพระสากิยานีไทยเพื่ออุทิศส่วนบุญให้

    แม้ท่านก็ทำบุญอุทิศให้เสมอกับทั้งเพื่อนๆกันนั้น
    และยุตติธรรมราชผู้เป็นเพื่อนจึงขวนขวายให้ส่วนด้วย

    จึงมีโอกาสขึ้นมาขึ้นมาเกิดพักทุกข์ยากและบำเพ็ญปัญญาบารมีทางโลกเป็นมหากวีราช

    ส่วน ณรงค์และ อุด ซึ่งต่อมาได้เป็นพระในนามเดิม

    พระณรงค์สงคราม เพียรให้มะลิวันสึก
    พระรามฤทธิรงค์ พยายามให้ วัลยา สึก
    เมื่อไม่ยอมสึก
    ด้วยความรักจึงตามอุปถัมภ์

    บางกาลสอนนั้นก็อดเห็นใจไม่ได้และมีเสมอจึงเป็นวิบากผลกรรม

    เพราะผลศีลธรรมและเนกขัมมนั้น
    ครั้นดับจากนั้นได้มาเกิดเป็นองค์หญิงทั้งคู่สูงศักดิ์เท่ากัน
    วัลยา เป็นองค์หญิงหนึ่ง
    มะลิวัน เป็นองค์หญิงสอง

    เพราะกรรมเก่านั้น
    จึงดลบันดาลให้รับอุปถัมภ์
    วัลยา รับอุปถัมภ์อุปสมบท อุด
    มะลิวัน อุปถัมภ์ ณรงค์

    โดยเป็นนายทหารประจำองค์ แล้วก็เกิดเห็นใจร่วมรักกัน ซึ่งผิดกฎตระกูล
    จึงดับจากนั้นด้วนความทุกขระทม และต้องมารับผลเวรกรรมอย่างที่เห็นอยู่นี้
    จ้าวเวรนายกรรมนั้นคอยเวลาให้ท่านมาสนองบุญคุณเก่า
    และผลกรรมนั้นดลบันดาลให้ท่านคิดถึง

    แม้จ้าวเวรนายกรรมจ้าวบุญนายคุณ จ้าวพระเดชนายพระคุณ ก็ห้ามไม่ได้
    ที่จะช่วยกันได้ต้องพร้อมทุกประการอย่างนี้ถ้ามิฉะนั้นแล้ว เพียงเห็นก็คงไม่มี
    ขอท่านอย่าโทษเพื่อนและใครๆ ถือว่าปรากฎตามกรรมช่วยกันได้ก็ช่วยกัน
    โลกเป็นอยู่ได้ด้วยเมตตาอุปถัมภ์ข้าเจ้าขออนุโมทนาสาธุการต่อท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  12. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    พระดิสสะ

    ส่วนคหบติรตน หรือ คหบดีรัตน คือขุนคลังแก้วนั้น เป็นฐานะชื่อตำแหน่ง
    บรรดาศักดิ์ประจำของพระเจ้าจักรพรรดิทั้ง๒พระนามนั้นสำหรับชื่อ-รัตน ๗
    ประการนี้เป็นอย่างเดียวกันที่จะมีโอกาสอำนวยให้นั้นก็ต้องมีบุญบารมีมาด้วย ฉะนี้
    คหบดีรัตน-ขุนคลังแก้วก็ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ เพื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณมามากแล้ว
    จึงเป็นบารมีหนุนให้ขึ้นเป็นขุนคลังแก้วได้

    ก็พระพุทธภูมินี้มีอยู่๓ คือ

    ๑) ท่านที่เป็น-อุคฆติตัญญู คือ ผู้รู้พลัน พอยกข้อความขึ้นก็รู้พลัน
    จึงบำเพ็ญ-ปัญญาบารมีมากและเข้มแข็งบำเพ็ญบารมี๑๐นั้นตลอดเฉพาะ - ออกคำตั้งปณิธาน
    และได้รับพระพุทธพยากรณ์เป็นนิยตแน่นอนแล้วต้องบำเพ็ญมีระยะกาล๔อสงไขย๑แสนกัป
    จึงมีชื่อว่า-
    พระปัญญาธิกพุทธภูมินิยตบรมโพธิสัตว์

    ๒)ท่านที่เป็น วิปจิตัญญู คือ ผู้รู้ด้วยฟังอธิบายจึงได้สร้างสมขึ้นให้แจ่มแจ้ง
    จึงมีสัทธา-ความเชื่อมั่นบำเพ็ญบารมี๑๐ตามสมควรไม่หยุด เฉพาะกาล-ออกคำตั้งปณิธาน
    และได้รับพระพุทธพยากรณ์เป็นนิยตแน่นอนแล้วมีระยะกาลถึง๘อสงไขย๒แสนกัป
    จึงมีชื่อว่า -
    พระสัทธาธิกพุทธภูมินิยตบรมโพธิสัตว์

    ๓)ท่านที่เป็น-เนยยะ คือผู้พอนำได้ มีเพียรมั่นคงบำเพ็ญบารมี๑๐ได้มากอย่างสบาย
    เพราะผ่านสิ่งกีดขวางได้หมด จึงเป็นผู้ยิ่งด้วย วิริย-ความเพียร
    เฉพาะกาล-ออกคำปณิธานและได้รับพระพุทธพยากรณ์เป็นนิยตแน่นอนแล้ว
    ต้องบำเพ็ญมีระยะกาล๑๖อสงไขย๔แสนกัปจึงได้มีชื่อว่า -
    พระวิริยาธิกพุทธภูมินิยตบรมโพธิสัตว์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2013
  13. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ขุนคลังแก้ว นั้นเป็น พระสัทธาธิกพุทธภูมิบรมโพธิสัตว์
    เมื่อลุเป็นขุนคลังแก้วแล้วได้ปฏิบัติหน้าที่ได้ตลอดทั้งแก่พระเจ้าบรมสังขจักรพรรดิ
    และพระเจ้าจักรพรรดิสถาปนานั้นถ้ามิเช่นนั้น จะรับได้ไม่ไหว ครั้นหมดอายุกาลแล้ว
    ได้เคลื่อนไปตลอดได้ร่วมกันสร้างสมบารมีเสมอมาไม่ขาดสาย

    กระทั่งถึงกาลศาสนาพระกุกกุสันธ ก็ได้เป็น ขุนคลังแก้ว ของ พระเจ้ามหาปนาทบรมจักรพรรดิ
    ได้เป็นผู้นำข่าวพระพุทธ,พระธรรมพระสงฆ์มาทูลให้ทราบทั้งไป และ กลับ
    ได้เหาะลอยไปในทางอากาศ จึงได้รับสถาปนาเป็น-พระเจ้าจักรพรรดิ
    ได้เสวยราชสมบัติจักรพรรดินั้นเป็นสุขเกษมสำราญ

    พระกุกกุสันธได้เสด็จมาประทับฉลองสัทธาและ
    ทรงปรารภเหตุนี้จึงตรัสพยากรณ์เป็นอนุโมทนา
    แล้วได้เคลื่อนจากนั้นแล้วมาเกิดในกาลศาสนาพระโคนาคมนสัมพุทธองค์ได้เกิดเป็น-พระเจ้าธรรมเสนราชา (จะมีในยุคขุนแถน)

    ในกาลพระศาสนาของพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้านี้
    ได้เกิดเป็นพระยาช้างสงครามชื่อนาฬาคีรี
    ได้ถูกพระเทวทัตตเอาเหล้ามอม ๑๖
    กระออม ปล่อยให้ชน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแผ่เมตตาปราบสิ้นมัวเมาแล้ว ตรัสว่า
    เพราะจะประทุษร้ายเรานี้ จะไปสู่นรก

    ทรงพยากรณ์ว่า -
    จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธองค์พระนามว่า-ติสสสัมมาสัมพุทธ
    เป็นองค์ที่๙ ในอนาคตกาล

    ในกาลก่อนสมัยพระพุทธกาลนั้น ณ ราชอาณาจักรจัมปากรัฐนั้น
    ก็เป็นสมัย-พระเจ้าธรรมราชาธิราชเจ้าทรงครองราชสมบัติ พระองค์ทรงทศพิธราชธรรม
    อันเป็นมรดกตกทอดมาจากพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้น
    จึงทรงมีมิตรสัมพันธไมตรีตลอดทุกอาณาจักรประเทศ
    และก็ถึงอาณาจักรประเทศแถนไทยด้วยก็ในกาลนี้

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2013
  14. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401

    ในอนาคตวงศ์มีเรื่องอันเป็นพระพุทธพจน์ตรัสเล่าแสดงแก่พระสารีบุตรเถระ
    จึงเป็นเรื่องในสมัยพระพุทธกาลพระสมณโคดมของเรานี้มีว่า

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าตรัสเล่าว่า

    -พระยาช้างนาฬาคีรี
    ซึ่งเป็นบรมโพธิสัตว์นี้ได้ไปบังเกิดเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าธรรมราชาธิราชนั้นซึ่งมีนามชื่อว่า-ธรรมเสนกุมาร
    เป็นที่๑กับมีพระอนุชาอีก ๔ องค์ คือที่๒ มีนามว่าภัททกุมาร ที่๓ มีนามว่า รามกุมาร
    ที่ ๔ มีนามว่าปมาทกุมาร ที่ ๕ มีนามว่า ธัชชกุมาร
    ต่างได้ไปเรียนสำเร็จศิลปศาสตร์ในสำนักทิสาปาโมกขาจารย ณ ตักศิลาพร้อมกัน

    พระธรรมเสนกุมาร นั้นสำเร็จวิชา ทานศีลธรรมศาสตร์
    พระภัททกุมาร สำเร็จ ธนูศรพิษศิลปศาสตร์
    พระรามกุมาร สำเร็จ วิชาดอกไม้ไฟศิลปศาสตร์
    พระปมาทกุมาร สำเร็จ วิชาช่างทองศิลปศาสตร์
    พระธัชชกุมาร สำเร็จ วิชาบำราบอสรพิษศิลปศาสตร

    ครั้นสำเร็จแล้วก็กลับมาพร้อมกัน และพร้อมกันเข้าเฝ้า
    จึงสำแดงศิลปศาสตร์ที่สำเร็จมานั้นให้ทอดพระเนตรเห็นประจักษ์แจ้งทุกพระองค์
    พระเจ้าธรรมราชาธิราชพระราชบิดาได้ตรัสสรรเสริญเป็นอันมาก
    เมื่อจะยกราชสมบัติให้ครองนั้นได้ทรงพระราชดำริแล้ว จึงตรัสสั่งทั้ง๕
    พระองค์ให้ไปแสดงศิลปศาสตร์ ณเมืองถิ่นอื่น ใครได้ชมเชยมาก
    ก็จะยกให้ผู้นั้นได้ครองต่อไป

    ได้ทรงจัดเรือให้เสด็จรอนแรมไปตามห้วงมหาสุมุทรใหญ่
    เรือใช้ใบแล่นไปถึงเวลาเที่ยงคืน
    ละลอกน้ำเกิดเป็นประกายสีพรายเหมือนดอกไม้ไฟ

    เจ้ารามกุมาร สำคัญว่า ดอกไม้ไฟมีอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร
    หวังจะได้จึงกระโจนลงไป ก็ถูกปลาใหญ่กัดกินตายไป

    เรือแล่นไปถึงเวลาเช้า เจ้าปมาทกุมาร เห็นดวงอาทิตย์โผล่ขึ้น ณ ขอบฟ้าส่งแสง
    เป็นดวงปรากฎในท้องมหาสมุทรก็สำคัญว่า
    ทองคำเนื้อบริสุทธิ์ปราศจากราคีมีอยู่ในน้ำนั้นหวังจะได้
    จึงกระโจนลงไปในห้วงน้ำนั้น
    ก็ถูกปลาใหญ่กัดกินตายไปอีก

    เรือแล่นไปถึงเมืองหนึ่ง ได้จอดพัก
    เจ้าธัชชกุมาร ได้ขึ้นไปเที่ยวดูชมได้เข้าไปในที่ชุมนุมชน คิดหวังจะได้ชื่อเสียง
    จึงสำแดงศิลปศาสตร์แปลงกายเป็นอสรพิษเลื้อยไปในท่ามกลางมหาชนชุมนุมกันนั้น
    ชาวชนเห็นเข้าก็หวาดกลัวจึงคว้าจับท่อนไม้พลองเป็นอาวุธไล่ทุบตีจนตายไป

    จึงเหลือแต่ เจ้าธรรมเสนกุมาร องค์เดียวไม่เห็นกลับมา ก็ให้นำเรือกลับไปจัมปาก
    บ้านเมืองเดิมสั่งแล้ว พระองค์เดียวได้เสด็จเที่ยวไปในเมืองนั้น
    ในกาลนั้น
    มีพระฤษีประมาณ๘หมื่นองค์มาแต่ป่าหิมพานต์เหาะลอยมาทางอากาศเวหา ลงมา ณ เมืองนั้น
    แล้วเข้าไปโคจรบิณฑบาตในท่ามกลางเมือง
    เจ้ากุมารธรรมเสน นั้นได้เห็นตลอดแล้วจึงคิดว่า- ศิลปศาสตร์ที่สำเร็จมา
    ล้วนเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ พระดาบสนี้เหาะลอยไปได้ทุกองค์
    คิดหวังอยากจะเรียนวิชาเหาะนั้นจึงเข้าถาม สมัครเป็นศิษย์

    พระดาบสได้เอ็นดูกรุณารับแล้ว
    ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ พาเจ้าธรรมเสนกุมารนั้นเหาะไปยังป่าหิมพานต์ให้บวชเป็นดาบส
    แล้วกระทำสมณบริกรรมภาวนา
    ให้เจริญฌาน ยังอภิญญา๕ให้บังเกิดขึ้นแล้ว
    คิดใคร่ไปแสดงแก่พระราชบิดาจึงลาพระอาจารย์เพื่อกลับไปจัมปากนคร
    ได้เหาะลอยลงตรงพระพักตร์ให้พระราชบิดาทอดพระเนตรเห็น พระเจ้าธรรมราชาธิราช
    ทรงโปรดปรานชื่นชมยิ่งนักและยกราชสมบัติให้ครองสืบไป

    พระเจ้าธรรมเสนราชานั้น หมายว่าจะทรงบำเพ็ญปรมัตถบารมีสละลูกเมีย
    และราชสมบัติจึงรับราชสมบัตินั้น และอุปภิเษกให้เป็น พระเจ้าธรรมเสนราชา กับ
    พระนางลัมภุสสราชเทวี ล่วงกาลมานานได้ประสูติพระราชโอรสองค์แรก นามว่า
    เจ้าธรรมสารกุมาร ต่อมาได้ประสูติพระราชธิดา นามว่า สาริณีกุมารี
    ฉะนี้
    พระองค์พร้อมด้วยพระราชเทวี พระราชโอรสธิดาพร้อมด้วยพระราชบริพารทุกหมู่เหล่า
    ได้ออกประพาส นอกพระนคร เพื่อลงสาครให้สุขสำราญ

    ครั้งนั้น
    มียักษ์ตนหนึ่งได้เห็นพระราชกุมารทั้งสองนั้นก็มีความหิวกระหาย
    จึงสำแดงกายให้ปรากฎได้ออกคำขอพระราชกุมารทั้ง๒นั้น เพื่อเป็นภักษาหาร
    ทรงสดับแล้วจึงตรัสว่า - ยักษ์ ท่านกล่าวคำนี้เป็นการดียิ่ง
    จึงจับหัตถ์พระลูกทั้ง๒นั้นจูงไปพระราชทานแก่ยักษ์ตรัสว่า
    เชิญท่านมารับเอาปิยบุตรทานของเราแล้วจับพระเต้าทองหลั่งน้ำลง พร้อมตรัสประกาศว่า

    ด้วยเดชผลทานที่สละราชกุมารทั้ง๒นี้
    ขอให้เกิดผลเป็นที่สุดถึงพระสัพพัญญูสรรเพชรดาญาณในอนาคตกาลเบื้องหน้าเถิด

    พระองค์ตรัสประกาศแก่เทพยดาแล้วก็ดลดาลให้เกิดมหัศจรรย์ต่างๆเป็นต้นว่า
    แผนดินไหวทั่วโลกธาตุ
    ส่วนยักษ์ได้รับแล้วก็กินกุมารทั้ง๒
    แล้วก็เข้าไปในป่าแดนของตน

    พระเจ้าธรรมเสน กับพระราชเทวี ได้ทรงกลับพระนคร
    เมื่อถึงประตูเมืองได้เห็นชายแก่คนหนึ่งนั่งเป็นทุกข์อยู่ จึงตรัสถามได้สดับว่า
    ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้บุตรภรรยาหามีไม่ จึงนั่งเศร้าโศกอยู่ในที่นี้
    ได้สดับแล้วตรัสว่า

    เราจะยกมเหษีให้เป็นทานบารมี
    แล้วทรงจับพระหัตถ์จูง พระนางลัมภุสสราชเทวี มอบให้แก่ชายชรานั้น
    ได้จับพระเต้าทองหลั่งน้ำให้แล้วตรัสว่า

    เดชะผลทานที่ยกอัครมเหษีให้ครั้งนี้
    จงเป็นปัจจัยแก่พระสรรเพชรดาญาณเถิด

    ดังนี้แล้วก็เกิดมหัศจรรย์ต่างๆเหมือนครั้งแรก

    ชายแก่คนนั้นจึงกล่าวว่า
    เราแก่เฒ่า ทรัพย์สมบัติก็ไม่มีจะอยู่ได้อย่างไร

    จึงทรงยกพระราชสมบัติให้กระทำพระราชพิธีราชาภิเษก สถาปนาพระนามชื่อว่า
    พระเจ้ามหาฉัตตธรรมราชา ให้ปกครองสืบต่อไป
    แล้วก็ตรัสประกาศเพื่อสำเร็จพระสัพพัญญุตตาญาณก็บังเกิดมหัศจรรย์ต่างๆ
    เป็นครั้งที่๓

    ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงอธิษฐานเรียกบริขารทั้ง๘นั้น
    ก็ได้เลื่อนลอยตกลงมาตรงพระพักตร์
    ทรงครองบริขารนั้นสำเร็จเพศบรรพชาเป็นพระดาบสฤษีแล้ว
    ทรงเจริญบริกรรมภาวนากระทำฌานสมาบัติ๘และอภิญญา๕ ให้เกิดขึ้นแล้ว
    ก็ทรงเหาะไปในอากาศ ยังป่าหิมพานต์ เข้าไปสู้สำนักพระฤษีทั้งหลายและอยู่ ณ
    ที่นั้น

    ในกาลนั้น
    พระอริยสาวกองค์หนึ่งของพระโคนาคมสัมมาสัมพุทธองค์
    ได้เข้าพักอยู่สุขสำราญในป่าหิมพานต์นั้น
    พระฤษีทั้งหลายได้พบเห็นพระอรหันต์แล้วก็มีความเชื่อและเลื่อมใส
    ได้เข้าไปกราบสักการบูชาพระอริยสาวกนั้นนิมนต์ให้ยับยั้งอยู่๑ราตรี

    ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า พระอริยสาวกอรหันต์ ก็ได้พาพระดาบสธรรมเสน
    เหาะเข้าไปในสำนักพระมหาวิหารและเข้าเฝ้า พระโคนาคมนสัมมาสัมพุทธองค์นั้น

    พระดาบสธรรมเสน ได้เข้าไปกราบนมัสการแทบพระบาทมูล พระสัพพัญญูเจ้า
    ได้พิจารณาดู พระทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ ๓๒ชัดเจนแล้วก็ได้เกิดปีติโสมนัสขึ้น
    จึงได้ทูลอาราธนา พระผู้มีพระภาคเจ้าให้แสดงพระสัทธรรมเทศนา

    สมเด็จพระโคนาคมสัมมาสัมพุทธองค์ทรงพระกรุณาตรัสว่า

    ดาบสธรรมเสนผู้เจริญ บัดนี้
    ตัวท่านสมควรจะพิจารณาซึ่งกิริยาที่จะให้ไปถึงเมืองแก้วคือ พระอมตมหานครนิพพาน
    จึงจะชอบแก่ตัวทด้วยตัวเองเถิด

    พระดาบสบรมโพธิสัตว์ ได้สดับพระพุทธฎีกาเป็นนัยเช่นนั้น
    ก็บังเกิดความเชื่อเลื่อมใสขั้นสัทธาปสาทเต็มเปี่ยมแล้ว
    ก็ได้อธิษฐานเล็บของพระองค์ให้คมดุจดาบได้ใช้ตัดเศียรเกล้าให้ขาดแล้ว
    ใช้พระหัตถ์ทั้งสองรับประคองยกขึ้นกระทำสักการะบูชาสมเด็จพระพุทธองค์และ
    ได้กล่าวตั้งความปราถนาว่า

    พระองค์สมเด็จพระโคนาคมได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐถึงเมืองนิพพานก่อนแล้ว
    ข้าพระองค์ก็ปราถนาสำเร็จเป็นพระศรีสรรเพชญ์สัมพุทธองค์พระองค์หนึ่ง
    อนึ่ง
    พระองค์ได้เสด็จไปสู่เมืองแก้วก่อนข้าพระองค์ขอสำเร็จพระนิพพานในเบื้องหน้าภายหลัง

    ได้กล่าวคาถาเป็นใจความ๒ข้อดังนี้แล้วพระบรมโพธิสัตว์ธรรมเสนดาบสนั้นก็จุติ
    เคลื่อนไปอุบัติ ณ ดุสิตสวรรค์แล้ว
    ส่วนพระเศียรเกล้าพระสรีรกายนั้นก็ลุกเป็นเพลิงเสมือนเทียนประทีปบูชา
    มีกลิ่นหอมเป็นสุคนธ์ทิพบูชาลุกเป็นประทีปต้นเฉพาะ ไม่ลุกลามไหม้ไปที่อื่น
    ด้วยพระพุทธานุภาพและด้วยอำนาจอธิษฐานบารมี กระทั่งหมดสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2013
  15. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    และในกาลนั้น ราชอาณาจักรจัมปากรัฐ
    ติดต่อกับชมพูทวีปในทางตะวันออกก็ติดต่อ และ
    มีสัมพันธไมตรีชั้นเพื่อนเกลอกับราชอาณาจักรแถนไทย ณ รัชสมัย
    พระเจ้าธรรมราชาธิราชเจ้าก็ทรงมีมิตรธรรม กับพระเจ้าแถนไทยแก้วฟ้า ระดับเพื่อนเกลอ

    ในกาลที่พระโคนาคมนตรัสรู้แล้ว ก็ได้ฟังธรรม แม้พระพุทธองค์ แพระอรหันตสาวกก็เสด็จ
    และมาโปรดเสมอ

    เพราะพระองค์และพระอรหันต์ก็ทรงทราบว่า พระเจ้าธรรมเสนราชา และพระเจ้าแถนไทยแก้วฟ้าต่างได้ปราถนาพระโพธิญาณ และทรงบำเพ็ญบารมี
    จึงมาโปรดเพื่อส่งเสริมเพิ่มให้เต็มตลอดไป
    ก็มีข่าวถึงกันอยู่เสมอ

    กระทั่งกาลที่ถึงกำหนดแก่กล้า-พระเจ้าธรรมเสนราชา สละพระลูกทั้ง๒ สละพระราชเทวี
    สละราชสมบัติ ตลอดกระทั่ง สละพระเศียรเกล้าและพระสรีรกายทั้งชีวิต
    เป็นพุทธบูชานั้น ซึ่งเป็นวาระกาลยอดสุดแล้ว พระดาบสได้ดับชีพไปแล้ว
    แต่พระราชอาณาจักร และพระมเหษียังอยู่เป็นปกติ

    พระเจ้าแถนไทยแก้วฟ้า ได้ทรงทราบข่าว
    และก็ได้ อนุโมทนาสาธุการแล้ว และ รีบด่วนเสด็จไปเยี่ยมเยียนและประสงค์จะดูแล
    และทรงอุปถัมภ์มเหษีเพื่อนเกลอนั้น

    ครั้นเสด็จถึง
    พระนาง ทรงพา บุรุษแก่ เสด็จด้วยออกต้อนรับ และตรัสเล่าให้ฟังว่า
    พระราชสวามี ทรงยก พระนาง ให้
    และทรงกระทำพิธีราชาภิเษก บุรุษเฒ่า นี้เป็น พระราชาองค์ใหม่

    พระมหาฉัตตธรรมราชา
    หรือ บุรุษเฒ่า นั้นครั้นได้พบและได้ฟัง พระนางลัมภุสสราชเทวี ตรัสเล่าแล้ว
    จึงได้เปลี่ยนเพศเป็น เทพเจ้าผู้มีศักดิ์ใหญ่ ได้ทรงลอยขึ้นสู่เวหาสแล้ว
    ได้ประกาศกล่าวว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  16. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    เรานี้เมื่อก่อนกาลที่ พระโคนาคมน จะอุบัติขึ้น
    ได้เกิดเป็นพระยาช้างใหญ่ สกุลฉัตรทันต
    จึงได้เป็นราชาเจ้าโขลงปกครองช้างสุกลเดียวกัน๘หมื่น๔พัน ณ บริเวณ สระฉัตรทันตนั้น
    ซึ่งได้ปกครองให้อยู่เป็นสุขตลอดกาลนาน

    จวบถึงกาลที่ พระโคนาคมน อุบัติครองเรือนอยู่๓พันปีได้เสด็จออก มหาภิเนษกรม
    และได้ตรัสรู้เป็น พระโคนาคมนสัมมาสัมพุทธองค์ แล้วได้ล่วงมาถึง มัชฌิมโพธิกาล

    ในกาลนั้น ธรรมเสนราชานี้ ได้ไปบวชเป็นดาบสในสำนักดาบสในป่าหิมพานต์
    ยังได้พบเห็นกันแต่พูดกันด้วยปากไม่ได้ เพราะต่างชาติกำเนิดกัน กระนั้น
    ก็พอรู้กันได้โดย -เจโตปริยญาณ

    ในปลายมัชฌิมโพธิกาลนั้น ครั้งนั้น
    พระโกณฑัญญเถร มหาขีณาสพพระสาวกของ พระโคนาคมนพุทธองค์ นั้นได้ไปปรินิพพาน ณ
    ลานบริเวณสระฉัตรทันตนั้น

    เราได้สละงาทั้งคู่
    อธิษฐานขอให้มีเลื่อยทิพยนต์ทำงาข้างหนึ่งเป็นโกศบรรจุพระสรีรศพอีกข้างทำเป็น
    นกยูงเป็นเชิงรองตั้งโกศเอาผมขน ณ ศรีษะทำเป็นไส้ประทีปเทียน ตามถวายสักการะบูชา
    กุญชรชาติฉัตรทันต บริวาร ๘หมื่น๔พัน ประชุมกันแล้วใช้งวงประคองวางลงบนกระพอง
    ยังเพลิงให้ลุกขึ้นเผาไหม้อยู่

    นกยูงเชิงรองตั้งโกศนั้นดุจมีวิญญาณได้โผผินบินไปในอากาศให้เพลิงไหม้หมดสิ้น
    แต่อัฐิธาตุทั้งหลายได้ตกเรี่ยรายบนแผ่นดิน
    ทวยเทพได้ตกแต่งเจดีย์บัญจุพระธาตุไว้แล้วในกาลประชุมเพลิงศพพระอรหันต์

    ครั้งนั้น
    เราได้กระทำความปราถนาว่า

    ด้วยเดชผลนี้จงเป็นปัจจัยแก่
    พระสัพพัญญูสรรเพชรดาญาณเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  17. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ก็เมื่อถึงกาล จึงจุติ ได้เคลื่อนขึ้นไปเกิดเป็น
    เทพเจ้าศักดิ์ใหญ่ ณ ดุสิตสวรรค์ แล้วได้คอยอยู่จนถึงกาลนี้
    ก็ได้เห็น ธรรมเสน ได้สละลูกชายหญิงให้เป็นภักษาหารแก่ยักษ์แล้ว
    จึงได้มาคอยรอรับสละพระมเหษีและราชสมบัติ
    ให้สำเร็จผลบำเพ็ญ-ปรมัตถทานบารมียอดสูงสุดนั้นให้บริบูรณ์
    และก็ได้สำเร็จสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว
    พ่อขุนไทยแก้วฟ้า ก็เป็นพวกเดียวกัน
    ทั้งเป็นเพื่อนเกลอของ พระเจ้าธรรมเสนราชา ด้วย
    เราได้มาในฐานะศักดิ์มนุษย์ได้กระทำหน้าที่มนุษย์สำเร็จแล้วจึงหมดหน้าที่ทั้งเป็น
    อมนุษย์ด้วย จึงไม่สมควรทุกประการ ฉะนี้ จึงขอมอบราชสมบัติ พร้อมกับ
    พระนางเทวี แก่พระองค์ท่านได้โปรดอนุเคราะห์ปกครองให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข

    เรา อมนุษย์เทพทั้ง๒พร้อมด้วยทวยเทพท้าวมนุษย์ทั้งหลาย ร่วมกันกระทำทั้ง อินทราภิเษก
    และราชาภิเษกสถาปนา พระองค์ท่านเป็น นภรัตนธรรมราชา กับ ลัมภุสสราชเทวี

    ก็พระราชเทวีนี้ ณ กาลครั้งที่เป็น มหาปนาทบรมจักรพรรดิ นั้น
    พระนาง ก็เป็น นางสนองพระโอษฐ์ ของท่านจึงให้ครองทั้ง๒ อาณาจักร กับทั้ง
    พระนาง ใคร่มีพระราชโอรส ธิดา สืบสกุล ก็พระราชโอรส ธิดา ทั้ง๒
    ซึ่งเป็นภักษาหารยักษ์ไปแล้วก็เป็นอันพ้น พันธกรณี
    จึงยังรอคอยกาลเวลาจะมาเกิดใหม่ได้
    ท่านจงกระทำปรามาส(ลูบคลำพระนาภี)
    ซึ่งพวกเรากระทำได้ตามธรรมนิยมของ นิยตโพธิสัตว์
    จงกระทำปรามาสเพื่อเป็นโอกาสจะได้เกิดเป็นคู่แฝด-ชายหญิงสพพโสตถี ภวนตุ
    เต-ให้สำเร็จผลสมประสงค์จงทุกประการ

    พระเทพเจ้าบรมโพธิสัตว์ธรรมเสน ก็กล่าวประกาสิตว่า
    อิจฉิตํปฏฐิตํตุมหํ ขิปปเมว สมิชฌตุ สพเพ ปูเรนตุ สงกปปา จนโท ปณณรโส ยถา
    สิ่งที่ประสงค์ ที่ปราถนาจงสำเร็จแก่ท่านฉับพลันเถิด ให้สรรพดำริจงเต็มเปี่ยม
    เหมือนจันทร์เพ็ญเต็มดวงฉะนั้น เสร็จอินทราภิเษกแล้ว
    ต่างก็ได้กลับไปยังวิมาณของตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  18. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ขุนแถนไทยแก้วฟ้า จึงมีนามอีกชื่อหนึ่งว่า
    พระเจ้านภรัตนธรรมราชา ได้ปกครอง ทั้ง๒อาณาจักรนั้น
    ได้ทรงกระทำอย่างเทพเจ้าศักดิ์ใหญ่สั่งไว้

    ต่อมาไม่นาน
    พระนางลัมภุสสราชเทวี ทรงครรภ์ครบกำหนดแล้วจึงได้ประสูติ พระราชโอรสธิดาแฝด
    เป็นพระราชโอรส๑ ได้ให้นามชื่อเดิมนั้นว่า เจ้าธรรมสารกุมาร

    เป็นพระราชธิดา๑ ได้ให้นามชื่อเดิมว่า เจ้าหญิงสาริณี ต่างได้เจริญวัยจนบรรลุวัยรุ่น

    พระเจ้านภรัตนธรรมราชา ทรงเห็นแม่ลูกเจริญตามรอยศีลวัตร และ ธรรมศาสนศาสตร์มาตลอด
    ตามที่เทพเจ้าประกาสิตไว้จึงทรงกระทำพระราชพิธีอินทราภิเษก พระนางลัมภุสสราชเทวี
    เป็น สมเด็จพระแม่เจ้าอยู่หัวบรมราชชนนีลัมภุสสราชเทวี

    ทรงราชาภิเษก
    พระธรรมสารราชกุมาร เป็น สมเด็จพระเจ้าธรรมสารราชาธิบดี

    และทรงอุปราชาภิเษก
    พระนางเจ้าสาริณีราชกุมารีเป็น-สมเด็จพระนางเจ้าสาริณีอุปราชินี
    ให้เสด็จสำเร็จสรรพราชการดำรงที่- สมเด็จอภิประมุขมนตรี
    กับดำรงที่- สมเด็จพระเจ้าธรรมสารราชาธิบดี
    และดำรงที่-สมเด็จพระเจ้าอุปราชินี แห่ง จัมปากรัฐราชอาณาจักรเอกราชเท่าเดิม
    พร้อมกับเป็นพระราชอาณาจักรมิตรสัมพันธไมตรีตามเดิม
    ทั้งทรงรับร่วมกันคุ้มครองป้องกันตลอดกาลอีกด้วย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2013
  19. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401

    พระดาบส-พระเจ้าธรรมเสนบรมโพธิสัตว์เทพเจ้านั้น
    ในพระพุทธบาทกาล-พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้ได้มาเกิดเป็นช้าง-นาฬาคีรี
    ซึ่งทรงพละกำลังมากจึงเป็น พระคชาธารณ์ ประจำพระองค์ของ พระเจ้าพิมพิสาร แห่งมคธรัฐ
    ได้ใช้ทรงเข้าสู่พระราชสงครามและ ปราบจราจล ตลอดถึงปราบปัจจันตชนบทกำเริบ
    จึงทรงทะนุบำรุงในฐานะศักดิ์พระราชพาหนะ
    ตลอดถึงกาลชราได้ทรงให้สร้างโรงเรือนเป็นที่อาศัย
    ในกาลที่ พระเจ้าอชาตสัตตุ ปกครองสืบต่อแล้ว
    พระเทวทัต ได้เข้าทูลขอเพื่อปล่อยให้ชน พระพุทธเจ้า
    เอาเหล้าให้ดื่มมอมเมา๑๖กระออมแล้ว
    ได้ปล่อยให้ชนพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเสด็จบิณฑบาต

    พระองค์ทรงแผ่พระเมตตาบารมีให้เต็มที่กระทบแล้วกระทั่งหายเมา
    ซึ่งได้หมอบลงตรงพระพักตร์พระองค์ได้เสด็จเข้าไปใกล้แล้วตรัสว่า

    - นาฬาคีรี เจ้ามาประทุษร้ายพระพุทธเจ้าเช่น เรา จะต้องไปสู่นรก จงกลับได้สติเถิด
    ท่านนี้มิใช่ต่ำทรามจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เช่น เราเหมือนกัน
    ดังนี้แล้ว

    ช้างนาฬาคีรีได้เชื่องแล้ว ลุกขึ้นเดินไปสู่โรงที่อยู่อาศัยอย่างสงบแล้ว

    พระพุทธชัยมงคลอัครคาถา ซึ่งมีเป็นลำดับที่๓

    เล่ากันว่า
    ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร
    พระมหาเถรานุเถรได้ร่วมแต่งร้อยกรองเป็น-วสันตดิลกฉันทคาถา
    ถวายทุกครั้งที่เสด็จสู่สงครามครั้งนั้นมีว่า - ภวตุ เต ชยมงคลานิ
    แปลว่า-พระองค์ทรงโปรดมีพระชัยมงคลทั้งหลาย

    มาในรัชกาลที่๔
    ทรงโปรดเปลี่ยนบทสุดท้ายเป็น-ชยมงฺคลคฺค แปลว่า-ชัยมงคลอันเลิศหรือ อัครชัยมงคล

    คาถาที่๓มีอย่างนี้
    นาฬาคิรี คชวรํ อติมตฺตภูตํ
    ทาวคฺคิจกฺกมสนีวสุทารุณนฺตํ
    เมตฺตมฺพุเสกวิธินา ชิตวา มุนินฺโท
    ตนฺเตชสา
    ภวตุ เต ชยมงฺคลคฺคํ

    นาฬาคิรี คชสารตัวประเสริฐ เป็นผู้ถูกมอมเมายิ่งนักแล้ว
    วิ่งแล่นดุจล้อไฟลุกรอบพุ่งไปเหมือนกับสายฟ้า ทารุณนัก
    พระจอมมุนีพุทธเจ้าทรงชนะด้วยทรงใช้วิธีรดน้ำพระเมตตาด้วยพระเดชพระองค์
    ขอชัยมงคลอันเลิศจงเกิดมีแก่ท่าน

    (ถ้าสวดให้แก่ตัว เปลี่ยน - เต เป็น-เม แก่เรา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2013
  20. เก่ากะลา

    เก่ากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    3,311
    ค่าพลัง:
    +3,401
    ในอนาคตวงศ์ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพยากรณ์
    และตรัสรำพันถึงผลสำเร็จแห่ง-ปรมัตถบารมียอดสูงสุดนั้นตรัสรำพันว่า

    -นาฬาคีรีนี้
    จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตมีนามชื่อว่า
    พระติสสสัมมาสัมพุทธองค์

    ด้วยอำนาจปรมัตถทานบารมียอดสูงสุด ซึ่งได้สละทั้งลูกเมีย
    และพระราชสมบัติกับทั้งได้ตัดพระเศียรเกล้า
    ตลอดจนกระทั่งสละพระชนม์ชีพพระสรีรกายกระทำเป็นประทีปต้นสักการะบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระโคนาคมนสัพพัญญูนั้น
    จะดลบันดาลให้เกิดพระพุทธรัสมีสว่างดังเปลวเพลิงรุ่งเรืองตลอดโลกธาตุทั้งปวง
    และส่องสว่างทั้งกลางวันกลางคืน
    อนึ่ง-ให้เกิดเป็น-พระพุทธรัสมีพุ่งออกจากพระวรกายเป็นเกลียวแล้วแตกออกเป็นสีต่างๆ
    ที่ขาวเป็นสีสังข์จะเวียนวงเป็นทักขิณาวัตร
    กับที่พุ่งเป็นกลุ่มออกประดุจเศวตฉัตรก็มี
    ที่พุ่งออกจากพระสรีรกายล้อมรอบห้อยย้อยแพรวพราวเป็นสายงาม
    บ้างเป็นช่อพัวพันพระองค์รอบตลอดกาล
    ก็แลทั้งให้เกิดต้นไม้กัลปพฤกษ์มีผลเป็นเครื่องบริโภค
    และใช้เป็นเครื่องอุปโภคก็ได้ทั้งมิให้ขัดสนตลอดกาล
    ชาวชนทั้งหมดต่างมีสุขเกษมสำราญชื่นบานสดใส
    ระรื่นรมย์สมบูรณ์ผิวพรรณผุดผ่องดังทองประเทืองเรืองอร่ามงดงามตลอด

    ก็ พระติสสสัมมาสัมพุทธองค์ นั้นทรงมีพระวรกายสูง๘๐ศอก
    มีพระชนมายุได้๘หมื่นปีมี ไม้ไทร เป็นไม้ พระศรีรัตนะมหาโพธิ เป็นพระองค์ที่๙
    ในอนาคตวงศ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...