พระโพธิสัตว์คือใคร?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย nouk, 2 สิงหาคม 2012.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ที่มา : �ǴԶ

    ถ้าจะว่ากันตามภาษาชาวบ้านร้านช่องทั่วไป พระโพธิสัตว์ก็คือหน่อเนื้อเชื้อไขของพระพุทธเจ้า หมายถึงบุคคลที่ประกอบไปด้วยทศบารมี และมีจิตตั้งมั่นอยู่ในภูมิทั้งสิบ อีกนัยหนึ่งก็คือบุคคลที่จ่อคิวจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในชาติถัดไป เรียกว่าเข้าไปสู่แดนพุทธภูมิแล้ว รอเพียงเสด็จเข้าสู่จุดโฟกัสของศูนย์กลางพุทธภูมิ บรรลุถึงพุทธภาวะเต็มรูปแบบเท่านั้น

    ลองมาดูที่มาที่ไปของพระโพธิสัตว์กันเสียหน่อย

    พุทธศาสนามหายานให้ความสำคัญอยู่มาก ก็ต้องมีเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ที่น่าสนใจในแง่การศึกษาค้นคว้าอยู่บ้าง โดยเฉพาะคนไทย รับหมด ไม่ว่าจะเป็นอะไร แต่ก็ไม่ค่อยศึกษาค้นคว้าที่มาที่ไปกันนัก ถึงขนาดเชื่อว่าถ้าไปรู้มากเข้าแล้ว ก็จะทำให้ขาดความขลังไป

    คติของชาวตะวันตกนั้นเขาจะศึกษาเป้าหมายเสียก่อนอย่างละเอียดลออ เมื่อได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ด้วยความเข้าใจนั้นนั่นเองจะเป็นเครื่องเจริญศรัทธาหรือยังซึ่งความเชื่อถือ ให้งอกงามขึ้นมา ส่วนชาวตะวันออก ตรงข้าม อะไรก็ตามรับเอาไว้ก่อน ด้วยความศรัทธาเชื่อถือเกิดขึ้นก่อนเป็นเบื้องแรก ยิ่งเห็นเป็นเรื่องพิศดารพันลึกเกินมนุษย์มนาแล้วล่ะก็ แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็เชื่อถือชนิดหัวหกก้นขวิดกันเลยทีเดียว เรียกว่าศรัทธากันจนสำลัก แล้วค่อยมาศึกษาค้นคว้ากันทีหลัง

    บุคคลหรืออริยบุคคลที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเข้าสู่ความเป็นพุทธะได้ นั้น จะต้องมีบารมีแต่เดิมมาก่อน ซึ่งต้องบำเพ็ญบารมีนั้นอย่างต่อเนื่องและยาวนานทีเดียว เสมือนการสะสมสตางค์ทีละสลึง กว่าจะได้เงินจำนวนเป็นล้านบาทนั้น ต้องใช้เวลามากเหลือเกิน

    ความที่อดทนหยอดลงกระปุกทีละสลึงอย่างนี้ เพื่อหวังให้ครบล้านบาท นั่นล่ะครับเป็นบารมีชนิดหนึ่ง (ในจำนวนสิบหรือทศบารมี) ซึ่งต้องใช้ความตั้งใจอย่างมาก แล้วต้องเป็นความตั้งใจที่แน่วแน่มั่นคงต่อเนื่องไม่ขาดตอน พูดได้ว่ามีปณิธานที่มั่นคงยิ่งเสียกว่าภูผาสิงขร ทั้งหนักแน่นและมั่นคง

    พระโพธิสัตว์จึงไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวชหรือนักพรต หรือเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นใครที่ไหนก็ได้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและต่อเนื่อง ก็ย่อมได้ชื่อว่าพระโพธิสัตว์ เป้าหมายสูงสุดคือการได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพุทธะ เพียงแต่ตั้งใจอธิษฐานหรือตั้งปฏิญาณ(ปณิธาน) ต่อสิ่งที่ตนเชื่อมั่นหรือต่อจิตใจของตนเองว่า ปรารถนาจะช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ โดยไม่เลือกว่าเป็นใคร, ที่ไหนและเวลาใด
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แล้วมีความจริงใจจริงจัง ด้วยความมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเต็มเปี่ยมไม่ย่อท้อ ไม่หย่อนยาน ด้วยความมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่โยกคลอน ดังคำคมที่ว่า " ภูผาสิงขรไม่สั่นไหวด้วยแรงลมฉันใดแล้ว จิตเมตตาแห่งปณิธานโพธิสัตว์ ย่อมไม่สั่นไหวด้วยความสงสัยลังเลฉันนั้น" ปฏิบัติตนให้เป็นไปตามที่อธิษฐานจิต หรือปฏิญาณที่ได้ตั้งไว้แต่แรกเสมอไป

    คุณสมบัติต่อเนื่องของผู้เป็นโพธิสัตว์ ( สัตว์ผู้ประเสริฐมีความรู้เป็นเครื่องประดับ) จำต้องมีเป็นเบื้องต้นคือ ทศบารมี ( บารมี 10 ประการ) จะขอยกอ้างเฉพาะหัวข้อที่สำคัญ ไม่แจกแจงลงไปในรายละเอียด ไม่ต้องการให้ยืดยาวมากความออกไป ทศบารมี ได้แก่

    1.) ทาน คือ การให้ปัน
    2.) ศีล คือ การประพฤติดีละชั่ว
    3.) ขันติ คือ ความอดทนอดกลั้น
    4.) วิริยะ คือ ความเพียรความพยายามโดยธรรม
    5.) สมาธิ คือ ความตั้งใจมุ่งมั่นในการบำเพ็ญญาณ
    6.) ปัญญา คือ ความรู้ความเห็น ในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็นจากการบำเพ็ญญาณ
    7.) อุบาย คือ ความฉลาดโดยธรรม ในการใช้ความรู้ความเห็นที่ได้มา

    ( ในคัมภีร์วิมลกีรติสูตรของมหายาน ให้ความสำคัญบารมีในสองข้อหลังนี้มาก(6. ปัญญา และ 7. อุบาย) ตีความ "อุบาย" ได้เท่ากับเป็น “ บิดา ” ของพระโพธิสัตว์ โดยมีปัญญาบารมีเป็น “ มารดา ” หากขาดซึ่งบารมีทั้งสองเสียแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ย่อมอุบัติขึ้นมิได้ อุปมาว่าถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่ย่อมเกิดเป็นคนไม่ได้ฉันนั้น)

    ผู้ที่มีปัญญาและอุบาย หรือพูดง่ายๆว่ามีความรู้และฉลาด ถ้ามีจิตแห่งความละโมบโลภมาก อิจฉาริษยา อาฆาตมาดร้ายเป็นกมลสันดาน ทะเยอทะยานอย่างบ้าๆ แทนที่จะทำประโยชน์เพื่อคนทั่วไป ก็จะใช้บารมีสองข้อนี้ เป็นไปเพื่อตนเองและพวกพ้อง ที่สุดก็จะนำมาซึ่งความอยุติธรรมแก่ผู้อื่นไม่สิ้นสุด

    ด้วยปัญญาและอุบายนั้น ก็จะทำให้ผู้คนจำนวนมาก ต้องได้รับความเดือดร้อน มีให้เห็นกันอยู่ทุกวันในทุกวงการ อย่างนี้ไม่มีวันเข้าใกล้ความเป็นโพธิสัตว์ได้เลย แม้ว่าสองประการนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่หากผู้ที่มีคุณสมบัติสองประการนี้ แต่ขาดซึ่งเมตตาแล้ว ปัญหาต่างๆก็จะตามมา ฉะนั้นพระโพธิสัตว์จึงต้องมีคุณธรรมในหมวดความเมตตาอยู่เป็นพื้นฐานเสมอ

    อุบายบารมีของพระโพธิสัตว์ จึงต้องตั้งมั่นอยู่บนฐานใหญ่คือปฏิญาณแต่แรก นั่นคือเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณาอันมั่นคง ไม่คลอนเคลน เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของผู้อื่นเป็นสำคัญ ซึ่งได้กล่าวอ้างไว้แล้วในตอนต้นนั่นเอง

    อีก 3 บารมีที่เหลือได้แก่

    8.) ปณิธานบารมี คือ ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะพาสรรพสัตว์ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ข้ามให้พ้นห้วงทุกข์เพื่อเข้าสู่นิพพาน (น่าจะหมายถึงแดนสุขาวดีพุทธเกษตรมณฑล)
    9.) พลบารมี คือ ความพยายามและความมีเมตตาที่ได้สั่งสอนให้เกิดขึ้นแล้ว บำเพ็ญไว้ให้มีอยู่อย่างมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย ,
    10.) ญาณบารมี คือ ความรู้แจ้งเห็นจริงอย่างสมบูรณ์ในทุกสรรพสิ่ง ไร้ขีดขั้นจำกัด วิริยบารมีหรือความเพียร พระบาทสมเด็จพระเจ้าหัวทรงพระราชนิพนธ์เผยแผ่มาแล้ว ด้วยทรงตระหนักถึงบารมีข้อนี้คือความเพียร ซึ่งพสกนิกรทั้งหลายควรให้ความสำคัญในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ความนั้นได้กล่าวถึง พระศากยมุนีพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็น พระมหาชนกโพธิสัตว์ เพื่อบำเพ็ญวิริยบารมี ( ความเพียรพยายามอันชอบด้วยธรรม) อันเป็นหนึ่งในทศชาติก่อนได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หลังจากได้บำเพ็ญบารมี 10 ประการข้างต้นโดยสมบูรณ์แล้ว สภาวะแห่งจิตของพระโพธิสัตว์ก็จะเจริญเข้าสู่ ภูมิ 10 ( ไม่ใช่บารมีสิบ แต่เป็นอีกระดับหนึ่งสูงขึ้นไป มีสิบคุณสมบัติที่แยบยลเช่นกัน) พร้อมกับได้เจริญฌานให้สูงขึ้นเป็นลำดับไป

    จะไม่แจกแจงในรายละเอียดส่วนนี้ แต่ด้วยภูมิ 10 นี้ที่ว่านี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระโพธิสัตว์แตกต่างไปจากพื้นฐานเดิม ซึ่งบางคัมภีร์หรืออรรถกถาจารย์บางท่านก็เรียกพระโพธิสัตว์ในระดับนี้ว่า พระมหาสัตว์ คือ เหนือกว่าสัตว์ทั้งปวง มีบุญญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์เป็นอเนกอนันต์ ได้ฌานบารมีในขั้นสูง คติของพระพุทธศาสนามหายานต่อ พระโพธิสัตว์ นั้น นอกจากการบำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ยังเป็นเสมือนผู้ช่วยเผยแผ่พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าด้วย

    มีหน้าที่บำเพ็ญบารมีเพื่อสู่พุทธภาวะ, มีหน้าที่ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์, มีหน้าที่ช่วยเหลือพุทธกิจของพระพุทธเจ้าคือ เผยแผ่พระสัทธรรม

    ในภูมิ 10 นั้น มีอยู่คุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้พระโพธิสัตว์แบ่งแยกออกเป็น 2 คุณลักษณะอย่างชัดเจน พระโพธิสัตว์ที่มุ่งบำเพ็ญบารมีด้วยการโปรดสรรพสัตว์นั้น หากมีปณิธานอันแรงกล้า ก็จะตั้งปฏิญาณว่า “ หากยังไม่บรรลุซึ่งหน้าที่ในการช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากห้วงทุกข์ ก็จะไม่ขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ” หมายความว่าจะไม่ขอเสด็จเข้าสู่แดนพุทธภูมิ เพื่อบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า

    อย่างนี้เรียกว่า พระฌานิโพธิสัตว์ (หรือธยานิโพธิสัตว์ก็เรียก) มีพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ , พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์เป็นอาทิ

    ส่วนพระโพธิสัตว์ที่จะต้องบรรลุพระสัมมาสัมพุทธะเพื่อเป็นพระศาสดาให้พระ พุทธศาสนาสืบต่อไปในโลกนั้น เรียกว่า พระมานุษิโพธิสัตว์ ซึ่งในพุทธศาสนาทุกนิกายและแทบทุกคัมภีร์ล้วนมีความสอดคล้องต้องกันว่า มีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นคือ พระศรีอารยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ ซึ่งประทับบำเพ็ญพระบารมี ณ โลกธาตุสวรรค์ชั้นดุสิต

    ก็ที่คนไทยคุ้นเคยกันดีในรูปเคารพของพระสังกัจจายน์จีน หรือพระอ้วนพุงพลุ้ย นั่งยิ้มปากกว้างอย่างอารมณ์ดีนั่นล่ะ พระโพธิสัตว์พระองค์นี้จะเสด็จมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดและสืบพระพุทธศาสนาต่อจากพระศากยมุนีพระพุทธเจ้าในมนุษย์โลก กาลข้างหน้าต่อไป

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมายถึง ตรัสรู้ด้วยตนเอง แล้วสอนผู้อื่นให้บรรลุตามได้, ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่ไม่สามารถสอนผู้อื่นให้บรรลุตามได้ ตามคติพระพุทธศาสนาเชื่อว่าในกัลป์หนึ่งจะมีผู้ที่ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าได้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ส่วนปัจเจกพุทธเจ้านั้นมีจำนวนมากมายแต่ละโลกธาตุ

    และพระโพธิสัตว์ที่จะจุติมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป ก็คือพระศรีอารยเมตตรัยมนุษิโพธิสัตว์นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2012
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ศรีอารยเมตตรัยมนุษิโพธิสัตว์

    ขอเล่าความเกี่ยวกับที่มาของพระสังกระจายจีน(ซึ่งเป็นรูปพระจีนอ้วนท้วน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส, ดูร่าเริง) ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เป็นรูปเคารพ พระศรีอารยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ ซึ่งจะเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาจุติประกาศพระสัทธรรมพุทธศาสนาต่อจากพระศากยมุนี พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน นั่นเอง

    อีกประการหนึ่ง พระรูปเคารพนี้ก็เป็นที่แพร่หลายในบ้านเราอย่างมาก ไม่ว่าวัดพุทธหินยานหรือวัดพุทธมหายาน แม้แต่ตามศาลเจ้าซึ่งเป็นส่วนของศาสนาเต๋าก็ไม่เว้น มักจะสร้างพระรูปเคารพของพระโพธิสัตว์องค์นี้ประดิษฐานเอาไว้เสมอ ชาวจีนถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งมีศรีสุข ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขของฐานะครอบครัว ซึ่งเป็นไปตามรูปลักษณ์ของท่าน

    บังเอิญพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ไปพ้องกับพระอสิติอรหันต์พระองค์หนึ่งในคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาทคือ พระมหากัจจายนะเถรเจ้า มีคติสร้างพระรูปเคารพเป็นพระอ้วนท้วน นั่งสมาธิ ยิ้มแย้มแ่จ่มใสเหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วเป็นคนละองค์กัน ในหมู่ชาวพุทธที่เชื่อถือในเรื่องนี้มีความสับสนกันมาก ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า องค์หนึ่งเป็นพระอรหันต์สาวก และอีกองค์เป็นพระโพธิสัตว์ ว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ลองมาดูประวัติของพระอรหันต์ฝ่ายหินยานเถววาทพระองค์นี้กันก่อน

    เดิมทีท่านเป็นกุลบุตรในตระกูลเศรษฐี ( บางคัมภีร์ก็ว่าเป็นกุลบุตรในสกุลพราหมณ์เป็นปุโรหิต มีฐานะดี) บิดามารดามีทรัพยสินมากในระดับอภิมหาเศรษฐี มีกิจการเชิงพาณิชย์หลายอย่าง แล้วท่านก็เป็นลูกโทนเพียงคนเดียวของครอบครัว เมื่อท่านศรัทธาเข้าบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่นานนักบิดามารดาก็มาอ้อนวอนรบเร้า ให้ลาสิกขาบทออกมาช่วยทำมาค้าขาย ช่วยดูแลทรัพยสินและกิจการของครอบครัวที่มีอยู่มากมาย

    ท่านทนการรบเร้าไม่ได้ก็ลาสิกขาบทออกมา แต่เมื่อสักระยะเวลาหนึ่ง ท่านเห็นว่าเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็ออกบวชใหม่อีกครั้ง ต่อมาบิดามารดาก็มาอ้อนวอนรบเร้าให้ลาสิกขาบทอีก อ้างว่าสองตายายชราภาพมากแล้ว ไม่มีใครปรนนิบัติดูแล และทรัพย์สินเงินทองมากมายก็ไม่รู้จะยกให้ใครได้

    ท่านต้องบวชแล้วลาสิกขาบทอย่างนี้ วนเวียนอยู่ถึง 7 ครั้ง 7 ครา จึงได้บรรลุพระอรหันต์ในชั้นที่สุด

    พระมหากัจจายนะเถรเจ้า ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ที่มีพระสรีระงดงาม สง่าผ่าเผย หลายคัมภีร์พรรณนาความตรงกันว่า มีพระสรีระและพระจริยาวัตรทุกกระเบียดนิ้ว คล้ายหรือเรียกว่าเหมือนก็น่าจะได้ กับพระพุทธเจ้ามากที่สุดในบรรดาพระอสีติอรหันต์ทั้ง 80 พระองค์

    แม้แต่พระอริยเจ้าในสมัยเดียวกันซึ่งมีฌานต่ำกว่าท่าน มักจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระบรมศาสดาเจ้า พุทธบริษัทสี่ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เมื่อเห็นพระมหากัจจายนะเถรเจ้า ก็ให้เข้าใจว่าเป็นพระพุทธองค์ทุกคราวไป

    บรรดาสาวแก่แม่หม้ายที่มักมากในกิเลสกามคุณ ครั้นได้พบเห็นพระอรหันต์พระองค์นี้ ต่างก็เกิดกระสันสิเน่หา ดุจดังมีใครเอาไม้ไปกวนตะกอนนอนก้นของน้ำที่ใสอยู่ ให้ขุ่นข้นขึ้นมาฉับพลัน ไม่สามารถระงับกามราคะไว้ได้ ใคร่จะได้สัมผัสจับต้องพระวรกายในทุกๆที่ที่เสด็จโปรดสัตว์ บางก็สำเร็จความใคร่ในอารมณ์ด้วยจินตนาการว่าถ้าตนมีสามีงดงามดังนี้ ก็จะปรนนิบัติกามกิเลสกันสุดชีวิตทีเดียว
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เล่ากันว่า บ่อยครั้งมักมีหญิงสาวระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้ โผเข้าสวมกอดพระวรกายของท่าน ด้วยเหตุผลที่พรรณนามาเป็นสังเขปนี้ ย่อมเป็นเหตุหรืออุปสรรคอย่างยิ่ง ต่อการรักษาพรหมจรรย์ของพระอรหันต์ และเป็นเหตุให้พระบารมีต้องด่างพร้อย ด้วยความเข้าใจผิดของพุทธบริษัท อันนำพระองค์ไปเสมอด้วยพระบรมศาสดาเจ้าโดยรู้เท่ามิถึงการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งไม่บังควรและไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง

    ครั้งหนึ่ง , ท่านได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเจ้า แล้วทูลความทั้งหมดให้ทรงทราบ ก็แล้วพระมหากัจจายนะเถรเจ้าจึงทูลขอพระบรมพุทธานุญาต สำแดงฤทธิ์ด้วยอำนาจแห่งพระฌานของพระอรหันต์ ให้พระสรีระ(ร่างกาย, กายเนื้อ) แปรเปลี่ยนไป จากความงดงามอันน่าสิเน่หา ให้ร่างกายอ้วนพองเจ้าเนื้อขาดซึ่งความน่ารื่นรมย์เสียสิ้น จึงปรากฏพระสรีระดังที่เห็นกันในรูปเคารพปัจจุบัน

    ( ชาวพุทธนิยมสร้างเป็นพระเครื่องพระบูชา ด้วยกิริยาพระอ้วนนั่งขัดสมาธิเอาสองฝ่ามือปิดหน้า หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าพระปิดตามหาลาภบ้าง มหาเสน่ห์บ้าง ส่วนพระเครื่องอีกแบบที่ปิดหน้าปิดตาปิดก้น ปิดหมดรอบตัวนั้น ไม่ใช่ต้นแบบของพระอรหันต์องค์นี้ เรียกว่าพระปิดทวารบ้าง พระมหาอุดบ้าง คนละความหมายกันนะ)

    คติพุทธศาสนาหินยานเถรวาท จึงมักสร้างพระรูปเคารพพระอรหันต์พระองค์นี้ เป็นพระอ้วนใหญ่พุงป่องที่เรียกว่าพระสังขจายบ้าง พระสังกัจจายน์บ้าง ตามแต่จะเรียกกันไป

    แต่แม้จะมีพระสรีระฉะนี้แล้ว ความงดงามน่ารักน่าเอ็นดูก็ยังบังเกิดแก่ผู้พบเห็น ทำให้เกิดความสุขและความอิ่มเอิบใจอยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะพระบารมีซึ่งเป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้น อันไม่มีสิ่งใดจะปิดกั้นไว้ได้ แม้จะปรากฏอยู่ในนิรมาณกายใดๆก็ตาม เปรียบเนื้อขนุนที่หอมหวาน แม้มีเปลือกห่อหุ้มไปด้วยหนามและหนาด้วยยวง ก็ไม่สามารถปิดกั้นหมู่ภมรให้ร่อนมาเฝ้าแหงนได้ฉันนั้น บังเอิญรูปลักษณ์หรือรูปเคารพของพระ อสิติอรหันต์พระองค์นี้ ไปสอดคล้องต้องตามคัมภีร์มหายานว่าด้วยพระศรีอาริยเมตตรัยมนุษิโพธิสัตว์ ซึ่งมีคติสร้างพระรูปเคารพเป็นพระอ้วนท้วนนั่งสมาธิยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนกัน บ้างก็เรียกขานว่า พระสังขจายจีน
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ลองมาดูประวัติความเป็นมาของพระรูปเคารพพระสังกัจจายน์จีน

    ลองมาดูประวัติความเป็นมาของพระรูปเคารพพระสังกัจจายน์จีน(พระศรีอาริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์)กันบ้าง

    พระพุทธศาสนาได้แผ่เข้าสู่แผ่นดินจีนในราวศตวรรษที่ 3 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของราชวงค์ฮั่น (พ.ศ. 337-551) ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาตอนนั้นก็รับเอาคตินี้ ( คติที่ว่า พระมานุษิโพธิสัตว์พระองค์นี้จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อไป) มาจากอินเดียด้วย มีการสร้างพระรูปเคารพบูชาองค์พระศรีอารยเมตตรัย ซึ่งนิยมสร้างเป็น รูปวีระบุรุษที่มีความสง่างามขนาดใหญ่ ในยุคนั้น ตามความเชื่อที่ว่าพระศรีอาริย์จะเป็นบุรุษร่างใหญ่ สง่างาม ขี่ม้าขาวเป็นพาหนะ เสด็จมาโปรดมนุษย์โลกให้พ้นจากยุคเข็ญ

    รูปเคารพยุคแรกๆที่ว่านี้ นิยมเคารพบูชากันมากโดยเฉพาะแผ่นดินจีนทางตอนใต้ ( มีการขุดพบรูปเคารพลักษณะนี้กันมากในแผ่นดินจีนภาคใต้นี่แหละ เช่นที่เมืองยุนกาง เมืองลุงเม็น) ซึ่งนักโบราณคดีของจีน , เกาหลี , ฝรั่งเศล , ล้วนให้ความเห็นตรงกันว่า เป็นพระรูปเคารพของพระศรีอาริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ในยุคสมัยนั้น

    ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 8-9 ( พ.ศ 821-921) แผ่นดินจีนระส่ำระสายอย่างหนัก นั่นเป็นช่วงสมัยสามก๊กตอนปลาย ( ภาคใต้ของจีนเป็นแดนปกครองของก๊กซุนกวน ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก) มีการรบพุ่งฆ่าฟันกันและขาดแคลนอาหารอย่างหนัก เรียกได้ว่าเข้าขั้นกลียุค ผู้คนล้มตายกันเป็นอันมาก แผ่นดินลุกเป็นไฟ ทั้งจากการสงคราม , ปล้นชิงวิ่งราว , ขาดแคลนอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภค , โรคภัยไข้เจ็บ , ภัยพิบัติตามธรรมชาติ ผู้คนล้มตายกันเป็นผักปลา ฯลฯ

    จนผู้คนจำนวนมากพากันเชื่อว่า นี่คือปรากฏการณ์วาระสุดท้ายแห่งธรรม เป็นการสิ้นสุดโดยสิ้นเชิงของยุคพระศากยมุนี ( ตามความในคัมภีร์ทั้งของหินยานและมหายาน) แล้วก็เฝ้ารอคอยการเสด็จมาอุบัติของพระศรีอาริยเมตตรัย เพื่อชำระพระธรรมให้สะอาดหมดจดอีกวาระหนึ่ง เพื่อเปิดศักราชโลกใหม่นำความร่มเย็นเป็นสุข นำสันติภาพมาสู่มวลพุทธศาสนิกชนอีกครั้ง

    แต่เมื่อกาลเวลาไ้ด้ผ่านพ้นมาเนิ่นนาน ความเชื่อในการเสด็จมาโปรดของพระศรีอาริยเมตตรัย ก็ค่อยๆเลือนรางลง และการเคารพบูชาวีรบุรุษผู้มีม้าขาวเป็นพาหนะที่ว่านี้ ก็ค่อยๆผ่อนคลายลงตามกาลเวลา ในช่วงคาบเกี่ยวกันนั้น ก็หันไปรับเอาคติมหายาน ลัทธิสุขาวดี ซึ่งกำลังมาแรงในช่วงนั้น (พ.ศ. 1021) ด้วยการสร้างพระรูปเคารพองค์ พระอมิตาภะพุทธเจ้า และ พระรูปเคารพของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกวนอิม แทน ในที่สุดพระรูปเคารพของพระศรีอารยเมตตรัยก็ขาดหายไป

    ต่อมาในแผ่นดินรัชสมัยของราชวงศ์ซ่ง(พ.ศ. 1503-1819) พระรูปเคารพของพระศรีอาริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ ก็กลับมาปรากฏเป็นที่นิยมอีกครั้ง แต่พระรูปเคารพที่พบในรัชสมัยนี้ ไม่เหมือนในยุคก่อน และได้กลายเป็นต้นแบบพระรูปเคารพของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ มาจนถึงยุคปัจจุบัน นั่นคือพระอ้วนท้วนพุงพลุ้ย ยิ้มแย้มแจ่มใส, ยิ้มปากกว้างอย่างอารมณ์ดี, มือขวาถือเส้นประคำพาดหัวเข่าซึ่งยกชัน มือซ้ายพาดหน้าตัก บ้างก็ถือย่ามป่าน ฯลฯ

    เหตุที่พระรูปเคารพแปรเปลี่ยนไปอย่างนั้น เล่ากันว่ามีพระภิกษุมหายานรูปหนึ่งเป็นชาวเมืองเฉ้อเจียง รูปร่างเป็นคนอ้วนท้วน พุงพลุ้ย ยิ้มร่าเริงอารมณ์ดีอยู่เสมอ ท่านมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการเช่น สามารถพยาการณ์อากาศได้ราวตาเห็น ฝนจะตกแดดจะออก จะมีพายุหมุน จะมีพายุหิมะ น้ำจะท่วม แผ่นดินไหว ไฟจะไหม้ป่าหรืออื่นๆอีกหลายประการ ชนิดที่กรมอุตุนิยมวิทยาอเมริกาอายม้วนทีเดียว
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ว่ากันว่ามีความแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ ( การพยากรณ์อากาศถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งกับสังคมเกษตร โดยเฉพาะในยุคพันปีที่แล้ว ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือหรือวิทยาการเกี่ยวกับการตรวจวัดภูมิอากาศ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติประเภทนี้ได้เลย ทำให้ภัยจากธรรมชาติเป็นภัยที่ใหญ่หลวงเกินประมาณ การพยากรณ์อากาศที่แม่นยำจึงสำคัญมาก)

    มีผู้คนพบเห็นพระภิกษุรูปนี้ท่านลงไปสรงน้ำในแม่น้ำ ว่าท่านมี 3 ตา โดยตาที่ 3 อยู่กลางแผ่นหลังนั่นเอง ส่วนย่ามป่านนั้นท่านมักจะหยิบขนมหรือของเล่นต่างๆแจกจ่ายให้เด็กๆ ซึ่งมักจะเดินตามท่านเป็นกลุ่มใหญ่อยู่เสมอ ว่ากันว่าแม้จะหยิบสักเท่าไรก็ไม่เคยหมดย่ามเสียที ทำนองเดียวกันกับกระเป๋าโดเรมอนการ์ตูนญี่ปุ่นยอดฮิตของช่อง 9 นั่นแหละครับ

    ( ผมเข้าใจว่าผู้สร้างหนังการ์ตูนเรื่องนี้ คงเอาคติมาจากย่ามป่านพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ ใส่ลงไปในการ์ตูนที่ตัวโดเรมอนนั่นเอง เพราะญี่ปุ่นเองก็เป็นแหล่งใหญ่ของพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งก็รับอิทธิพลมาจากจีนอีกทอดหนึ่ง น่าจะมีความเป็นไปได้มาก ทำนองเดียวกับเรื่องสตาร์วอร์ ที่วางคอนเซ็ปของเรื่องอิงปรมัตถธรรมขั้นสูงในพุทธศาสนา เป็นเรื่องบังเอิญที่น่าสนใจ)

    ผู้คนก็พากันเลื่อมใสและด้วยคติที่มีความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์มาก่อน จึงเชื่อว่าพระภิกษุรูปนี้คือ พระศรีอารยเมตตรัยโพธิสัตว์ ต่างก็พากันสร้างพระรูปเคารพโดยยึดเอารูปลักษณ์พระภิกษุองค์นี้ เป็นต้นแบบ โดยมีนัยว่า ผู้ใดมีพระรูปเคารพไว้สักการะบูชาแล้ว ย่อมมีความมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีวันหมด เช่นข้าวของในย่ามของท่าน อุดมสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะท่านอ้วนพุงพลุ้ย แปลว่ามีกินมีใช้ไม่ขาดปากขาดมือ เด็กๆชอบห้อมล้อมหน้าหลังเนืองๆ ก็หมายความว่าจะมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ไม่ขาดเชื้อสายสืบวงศ์สกุล
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    (นี่เป็นความฉลาดหรือภูมิปัญญาของคนโบราณ ที่ท่านฉลาดในการสื่อ แล้วแฝงปรัชญาการดำรงชีพเอาไว้ได้สนิทแนบเนียน แถมสามารถรักษาไว้ในลักษณะนี้ได้ยาวนาน เพราะผู้คนย่อมแสวงหาแต่สิ่งที่ดีอย่างนี้เสมอ พื้นฐานดั้งเดิมของคนทั่วไปก็มักจะรับไว้ได้ไม่ยากนัก)

    นั่นคือตำนานที่มาของพระรูปเคารพ พระศรีอารยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ ( หรือที่ชาวบ้านเข้าใจและเรียกกันว่าพระสังกัจจายน์จีนนั่นแหละ)

    การจัดวางหรือประดิษฐานพระรูปเคารพพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ ตามคติของมหายาน จะต้องจัดวางไว้เป็นอันดับแรกของพระรูปทั้งหมด หมายความว่าเมื่อเดินเข้าไปในเขตสังฆาวาสของมหายาน ด่านแรกที่เห็นก็จะเป็นพระรูปพระโพธิสัตว์พระองค์นี้เป็นเบื้องแรก นั่งหันพระพักตร์ออกมาข้างหน้า(หันหลังให้โบสถ์) ห้อมล้อมด้วยท้าวจัตตุโลกบาลทั้งสี่ ซึ่งเทพอภิบาลหรือธรรมบาลนี้ ผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งตั้งแต่ต้นจนจบ มีรายละเอียดเกี่ยวข้องอยู่มากเหมือนกัน แต่จะไม่ลงไปในรายละเอียดแล้วล่ะ เพราะได้เขียนเรื่องราวส่วนนั้นแยกเอาไว้ให้ได้อ่านกันแล้ว

    ด้านหลังของพระรูปเคารพนี้จะต้องจัดวางพระรูปเคารพขององค์พระเวทโพธิสัตว์ ประทับยืนเอาปฤษฏางค์พิงกันไว้อีกพระองค์หนึ่ง(ผินพระพักตร์เข้าหาอุโบสถ) หมายความว่ามีพระรูปพระโพธิสัตว์สองพระองค์ เอาหลังพิงกัน องค์หนึ่งหันหน้าออก อีกองค์หันหน้าเข้าหาตัวโบสถ์ (หันหน้าเข้าหาพระประธานในโบสถ์) ถัดเข้าไปตรงกึ่งกลางจะเป็นตัวโบสถ์ประดิษฐานพระประธาน แล้วแยกออกสองข้างเป็นมุขซ้ายขวา ด้านซ้ายมือของเราจะเป็นมุขที่ประทับของพระรูปเคารพพระกษีติครรภมหา โพธิสัตว์ ส่วนมุขด้านขวาจะเป็นที่ประทับของพระรูปเคารพ พระอวโลกิเตศวรกวนอิมมหาโพธิสัตว์

    ในพระอุโบสถนั้นจะมีองค์พระประธาน “ รูปลักษณ์เหมือนกันทุกอย่าง ” เรียงกัน 3 องค์ จากขวาคือ พระอมิตภะพุทธเจ้า องค์กลางคือ พระศรีศากยมุนีพระพุทธเจ้า ( พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) และองค์ซ้ายคือ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ถือเป็นพระรัตนสูงสุดของมหายานดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อธิบายความโดยบุคลาธิษฐานธรรมได้ว่า พระพุทธรูปทั้งสามนั้น มีนัยหมายถึง “ ตรีกาย ” ของพระพุทธเจ้าคือ นิรมาณกาย , ธรรมกายและสัมโภคกาย นี่เป็นประการหนึ่ง

    ความเหมือนกัน “ ทุกอย่าง ” ของพระพุทธรูปทั้งสามพระองค์ อธิบายโดยธรรมาธิษฐานได้ว่า มีพระประสงค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือ พุทธกิจในการโปรดสรรพสัตว์ทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เทพเทวดา ปีศาจยักษ์มาร ให้ล่วงพ้นจากความทุกข์ พาข้ามห้วงโอฆสงสาร มุ่งสู่แดนสุขาวดีพุทธเกษตรมณฑลเป็นที่สุด นี่เป็นนัยอีกประการหนึ่ง

    พระอวโลกิเตศวรกวนอิมมหาโพธิสัตว์นั้น อยู่ทางเบื้องขวา มีนัยว่าช่วยพุทธกิจข้างต้น โดยมุ่งเน้นไปที่มนุษย์และเทวดา และมีภาระที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ทีเดียว เรื่องนี้ต้องยกเอาไว้ว่ากันเป็นฉากๆไป ส่วนพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์(ชาวแต้จิ๋วเรียก พระตี่จั๊ง)อยู่ทางเบื้องซ้าย มีนัยว่าช่วยปลดเปลื้องความทุกขเวทนาของสรรพสัตว์ทั้งหลายในนรกภูมิ
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กษิติครรภโพธิสัตว์

    ส่วนพระกษิติครรภโพธิสัตว์อยู่ทางเบื้องซ้าย ก็มีนัยว่าเป็นส่วนแบกรับภาระของพระพุทธองค์เช่นเดียวกัน แต่มุ่งเน้นไปที่สรรพสัตว์ในอบายภูมิหรือในนรกภูมิเป็นหลัก ด้วยเหตุที่พระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้ตรัสปณิธานไว้ว่า “ หากในนรกภูมิยังไม่หมดสิ้นซึ่งวิญญาณบาป ก็จะไม่ขอตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ” จึง กลายเป็นพระฌานิโพธิสัตว์ที่ยังเสด็จไปมาระหว่างโลกมนุษย์และนรกภูมิ เพื่อทรงปฏิบัติหน้าที่โปรดสัตว์ตามปณิธานนั้นๆ ไม่มีวันได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าอีกต่อไป ! มีสำนวนชาวจีนที่บ่งบอกเรื่องนี้ได้ชัดเจน ง่ายๆสั้นๆว่า พระกวนอิมช่วยคนเป็นพระตี้จ้างช่วยคนตาย ( พระนามท่านในภาษาจีนกลางคือ ตี้ จ้าง หวาง ผูซ่า มักเรียกสั้นๆว่า พระตี้จั้งในสำเนียงจีนแต้จิ๋ว )

    พุทธศาสนามหายานยกย่องพระโพธิสัตว์ พระองค์นี้ว่าเป็นผู้เสียสละอันใหญ่หลวง ด้วยพระเมตตาเป็นล้นพ้น ยอมสละแม้แดนพุทธภูมิอันเป็นที่หมายของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง กว่าจะได้เป็นหรือเป็นได้ซึ่งพระโพธิสัตว์นั้น ไม่รู้ต้องเสวยชาติมากี่มากน้อยนับกันไม่ไหว แถมยังมีกฎเกณฑ์สารพัดซึ่งยากที่ผู้ชนะสูงสุดอื่นๆ จะเอาชนะได้ ยากที่ผู้จอมอดทนอันเป็นเลิศอื่นๆจะอดทนอยู่ได้ ยากที่ผู้มีใจอันเข้มแข็งจะเอาใจอันเข้มแข็งนั้นข่มไว้ได้
    นี่มาถึงประตูแดนพุทธภูมิที่หมายแล้ว แค่ยกเท้าก้าวข้ามประตูเพียงชั่วเวลาลมหายใจเข้า - ออกเท่านั้น ทุกอย่างก็จะจบสิ้นโดยบริบูรณ์ทันที !

    น้ำพระทัยของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ สุดพรรณนาได้จริงๆ ทรงปฏิเสธที่จะยกเท้าก้าวข้ามประตูแดนพุทธภูมิเข้าไป หยุดอยู่เพียงเพื่อจะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ผู้อื่นซึ่งหาผู้ช่วยเหลือเช่น นี้ได้ยาก กรุณาจดจำพระนามของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้เอาไว้ให้ขึ้นใจเถิด พลาดพลั้งจะทำชั่วเข้าเมื่อใดจะให้รู้สึกละอายแก่ใจตัวเองอย่างรุนแรง จนเป็นเหตุให้ไกลจากความชั่วนั้นทันที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ว่ากันว่าแม้พญามาราธิราชผู้เป็นราชาอสูรในแดนมืด ยังเกรงพระทัยพระโพธิสัตว์พระองค์นี้เป็นที่สุดใครที่เคยได้อ่านหรือได้ฟังเรื่องพระ เวสสันดรชาดกในพุทธศาสนาหินยานเถรวาทมาบ้างแล้ว คงพอจะจำเค้าโครงเรื่องได้ ผมจะไม่ล้วงลูกลงลึกให้เป็นที่เสียเวลาเปล่า แต่ขอรวบรัดตัดตอน ยกเอาฉาก พระเวสสันดรและพระนางมัทรี พร้อมด้วยกัณหาชาลีสองกุมาร ได้พำนักอยู่ในป่าลึกเขาวงกตของเจตรัฐนคร แล้วชูชกพราหมณ์เฒ่าเจ้าเล่ห์เดินทางมาขอสองกุมารไปเป็นคนรับใช้ ตามคำอ้อนวอนร้องขอของเมียสาว

    ในความรู้สึกของคนไทยส่วนหนึ่ง เข้าใจว่าคงนึกตำหนิพระเวสสันดรอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัวและมีลูกมีเต้าแล้ว ด้วยเหตุที่พระเวสสันดรยอมยกลูกในสายเลือดให้แก่พราหมณ์ อาจจะพูดแบบชาวบ้านว่าเป็นพ่อใจร้าย ยอมทิ้งแม้แต่ลูกตัวเองได้ลงคอ

    พุทธศาสนามหายานก็มีเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์เช่น กัน เป็นความสอดคล้องกันระหว่างคัมภีร์ของหินยานและมหายาน พุทธนิทานเรื่องพระเวสสันดรนี้ พระศากยมุนีทรงเล่าให้พระญาติศากยวงศ์ในกรุงกบิลพัศดุ์ฟัง เมื่อครั้งเสด็จไปโปรดพระญาติหลังจากบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ด้วยทรงมีพระทัยให้พระญาติได้ระงับความคิดที่จะทูลเชิญให้พระพุทธองค์สละเพศ บรรพชิตเสีย แล้วกลับมารับตำแหน่งรัชทายาทสืบราชบัลลังก์ต่อจากสุทโธทนะพุทธบิดา

    ทรงเล่าเรื่องอดีตชาติเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็น เวสสันดรโพธิสัตว์ นี้ ก็โดยนัยเพื่อให้พระญาติ เข้าใจความหมายที่แท้จริงของการแสวงหาวิมุตติมรรค มิได้ดำเนินมาเฉพาะในปัจจุบันชาติ หากแต่ได้สร้างสมบารมี ( ที่อ้างไว้แล้วในตอนต้น ) มายาวนาน
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ยอมเสียสละอะไรต่อมิอะไรเกินคณา เทียบมิได้กับปัจจุบันชาติ และได้บรรลุมรรคผลที่ปรารถนาแล้ว จะให้ละทิ้งผลเลิศโดยไม่ทำประโยชน์อันไพศาลสมปณิธานที่ตั้งไว้ ก็จะเป็นการสูญเสียอะไรต่อมิอะไรที่ผ่านมาอย่างแสนสาหัสนั้นๆ ไปโดยสูญเปล่า

    ตรงข้าม, หากสามารถนำผลเลิศที่ได้บรรลุ(ธรรม)แล้ว เผยแผ่ออกไปแก่สรรพเวไนยสัตว์ ให้ได้รับคุณประโยชน์โดยทั่วถึง นั่นจะเป็นการสมควรแก่เหตุผลและยกย่องคุณค่าของอะไรต่อมิอะไรที่ได้สูญเสีย ไป สิ่งที่สูญไป ก็จะกลับกลายมาเป็นประโยชน์อย่างเต็มที่และมีค่าสูงสุดในวันนี้

    โดยนัยนี้ ก็ย้อนความกลับไปที่การยอมเสียลูกรักทั้งสองนั้น มิใช่เรื่องที่คนซึ่งมากไปด้วยบารมีและความรับผิดชอบจะกระทำได้โดยง่าย เป็นการต่อสู้กันอย่างดุเดือดรุนแรงแสนสาหัส ระหว่างจิตฝ่ายต่ำกับจิตฝ่ายสูง โดยมีความผูกพันระหว่างพ่อลูกเป็นเดิมพัน มันเหมือนปัญหาเส้นผมบังภูเขา ก็ด้วยความรับผิดชอบต่อปณิธานเสมือนหนึ่งสัญญามหาชน ย่อมถือเอาประโยชน์อันไพศาลเป็นที่ตั้ง ข่มไว้ได้ซึ่งประโยชน์แห่งตน

    อีกพระนางมัทรีและสองกุมารนั้น ก็เปรียบเสมือนอุบายบารมีอันเป็นเครื่องทดสอบความตั้งมั่นของพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้พระองค์บรรลุเข้าสู่แดนพุทธภูมิได้ สำเร็จ ถ้าจะกำหนดให้รู้ตัวกันล่วงหน้ามันก็ย่อมไม่ใช่การทดสอบที่แท้จริง หรือผลการทดสอบที่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงนัก เป็นการจัดฉากสร้างภาพไปนั่น และเมื่อดูถึงที่สุดของเรื่อง ทุกอย่างก็ลงเอยด้วยดี สองกุมารก็ได้คืนกลับอ้อมอกพ่อและแม่
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แต่เหตุที่ยกเอาพุทธนิทานเชิงวิเคราะห์ขึ้นมาคั่นตรงนี้นั้น เพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นน้ำพระทัยของ องค์พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ซึ่ง ยอมสละภาวะความเป็นพุทธะอันเป็นที่หมาย และเป็นที่สุดของการเดินทาง เปรียบเทียบกับการตัดสินพระทัยของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ ยอมเสียสละลูกตนเองในคราวนั้น มาเป็นอุทาหรณ์ ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดใดๆ อีก นอกจากลองเปรียบเทียบกับตัวเองว่า เราจะทำอย่างไรในภาวการณ์เช่นนั้น

    ขึ้นกับจิตสำนึกของแต่ละคนที่จะให้คำตอบแก่ตัวเอง ลองถามตัวเองดูเถิด คำตอบที่ได้ออกมานั่นแหละคือความเป็นตัวของท่านเอง จะมีความรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน แยกแยะดีชั่วได้ชัดเจนเพียงใด จิตใจตั้งอยู่ในที่สูงหรือต่ำแค่ไหน ล้วนมีอยู่ในคำตอบนั้นทั้งสิ้น

    ความที่ปรากฏในคัมภีร์ หาใช่ชูชกพราหมณ์เฒ่าเจ้าเล่ห์ทูลขอสองกุมารแล้ว พระโพธิสัตว์ตรัสยกให้ทันทีก็หาไม่ แต่ทรงลำบากพระทัยอย่างหนัก ! รจนาจารย์พรรณนาความไว้ว่า เมื่อสิ้นคำทูลขอสองกุมารของพราหมณ์ชั่ว ประดุจดั่งสายอสุนีบาตฟาดลงกลางกระหม่อมพระเวสสันดร ในพระทัยนั้นราวว่าพญามารได้กระชากเอาพระหทัยออกจากพระอุระ แล้วบีบขยี้จนแหลกเหลวหาชิ้นดีมิได้ แทบจะทรุดพระชานุลงกับพื้น

    แสง ตะวันอันสาดส่องในพนาไพรเมื่อยามสาย เสมือนลับดับมืดไปในบัดดล ไม่มีภาพใดปรากฏให้เห็นในสายพระเนตร มีแต่ความมืดมิดราวราตรีกาลมาเยือนในทันทีทันใด

    พระหัตถ์และพระพาหาทั้งสอง แม้พระบาทก็หาได้รู้สึกพระองค์ ทรงนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พราหมณ์ชั่วอ่านพระทัยออก ก็ทูลด้วยความเจ้าเล่ห์สารพัด เหน็บพระทัยให้เจ็บปวดรวดร้าวเข้าไปอีก
    “ ไหนเขาเลื่องลือกันนักหนาว่าพระเวสสันดรนี้ มุ่งแสวงหาโพธิญาณด้วยพระทัยอันแน่วแน่มิแปรเปลี่ยน ผู้ใดลำบากมา ทูลขอสิ่งใดอันมีอยู่ ย่อมสนองให้ด้วยพระเมตตาเสมอไป ”
    “ ไหนเขาเลื่องลือกันนักหนาว่าพระเวสสันดรนี้ เป็นผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาธรรม ย่อมประทานความช่วยเหลือแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากไม่เลือกชั้นวรรณะ ”
    “ นี่เราอุตส่าห์เดินป่ามาแต่ไกล ชราภาพถึงเพียงนี้ ทนตรากตรำมาถึงที่พำนัก ก็เห็นจะผิดหวังเสียเปล่า ”
    ครั้นเห็นพระเวสสันดรทรงนิ่งอยู่ ก็รุกเร้าในเชิงชั่วต่อไปอีก
    “ อันหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ ดุจดังงาคชสาร งอกยื่นออกมาแล้วย่อมไม่อาจหดย้อนคืนกลับได้อีก แล้วนี้ไฉนพระเวสสันดรผู้มีสายพระโลหิตแห่งกษัตริย์เจ้า ตรัสแก่เราว่า หากทูลขอสิ่งใดที่เรามี เราจะยกให้ ครั้นทูลขอสองกุมาร กลับตระบัดสัตย์ไปเป็นอื่น หรือพระทัยที่ใฝ่หาพระโพธิญาณนั้นเป็นแต่เพียงชั่วแล่น หรือพระทัยอันเปี่ยมด้วยเมตตานั้น เป็นแต่เฉพาะบุคคลเล่า ? ”
    พระเวสสันดรบอกแก่พราหมณ์ชูชกว่า “ สองกุมารมีแม่ ควรจะให้ผู้เป็นแม่รับรู้ด้วย อย่าได้เร่งรัดเราเกินไป รอให้พระนางมัทรีกลับมาก่อน ”

    พราหมณ์ชั่วรู้อยู่แก่ใจว่า หากพระนางมัทรีกลับมาแล้ว ไหนเลยจะยินดียกกุมารทั้งสองให้ ด้วยสายใยสายใจแห่งความเป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่เกินมหาสมุทร จึงใช้ความเจ้าเล่ห์และไร้วัฒนธรรมในสกุลชาติของตน บีบคั่นพระทัยพระเวสสันดรต่อไปอีก
    “ ผู้ใฝ่ในพระโพธิญาณย่อมมีสตรีเพศเป็นอุปสรรค ไฉนพระองค์จึงให้ความสำคัญอีกเล่า หากห่วงหน้าพะวงหลังดังนี้แล้วก็เสียการใหญ่ในภายหน้าเป็นแน่ อันประเพณีโบราณแต่กาลก่อน ผู้เป็นพ่อย่อมเป็นใหญ่ในทุกทิศ การตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เองย่อมเป็นอนุมัติโดยประเพณีอันชอบแล้ว เว้นแต่จะขาดความมุ่งมั่นในพระทัยที่จะเข้าถึงซึ่งโพธิญาณโดยสัตย์ นั่นย่อมเป็นเหตุผลอันรับฟังได้ ”

    พระเวสสันดรเห็นว่า เจ้าพราหมณ์ชั่วนี้มันช่างร้ายนัก ช่างเข้าใจเจรจา ล้วนหาเหตุหาผลเพื่อประโยชน์แห่งตนทั้งสิ้น แต่ครั้นหวนคิดถึงโพธิญาณเบื้องหน้าโดยเปรียบเทียบกับการสั่งสมทานบารมีที่ ผ่านมา ล้วนเสียสละซึ่งทานนั้นด้วยพระทัยที่แน่วแน่เสมอมามิได้ขาด ก็แล้วไฉนคราวนี้จะมีความแตกต่างจากคราวอื่นๆได้อีกเล่า

    เมื่อมีพระสติเต็มกำลัง พระปัญญาก็บังเกิด จิตวนเวียนไปทางฝ่ายต่ำแต่แรกก็เริ่มทรงตัว แล้วค่อยๆทะยานขึ้นฝ่ายสูง มุ่งมั่นเอาพระโพธิญาณอันเป็นเลิศ นำมาซึ่งการโปรดสรรพสัตว์ประมาณจำนวนมิได้เป็นที่หมาย ด้วยพระบารมีที่สั่งสมมาแต่กาลก่อน ดลพระทัยให้ตรัสยกสองกุมารแก่พราหมณ์เฒ่าเจ้าเล่ห์ทันที เรียกสองกุมารซึ่งไปแอบอยู่ในสระบัวด้วยรู้ชะตากรรมของตน ให้ออกมาหา แล้วยกพระหัตถ์สองกุมารใส่มือชูชกพราหมณ์ เป็นนัยแห่งการให้
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อีกตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ทางจิตใจอัน รุนแรง บ่งบอกถึงการเป็นผู้ให้นั้น ย่อมเป็นการยากที่จะอดทน แม้ผู้ให้ย่อมมีจิตสูงขึ้น ต่างจากการเป็นผู้รับซึ่งมีแต่จะต่ำลงก็ตาม แต่ภาวะของจิตนั้นละเอียดอ่อนมาก ไม่ง่ายในการควบคุม

    ทันทีที่ชูชกพราหมณ์ชั่วได้สองกุมาร เป็นสิทธิ์แล้ว ก็กระชากลากถูเด็กทั้งสองที่ดื้อดึงไม่ยอมเดินตาม ทั้งทึ้งทั้งลากเอาด้วยแรง ทั้งทุบตีด้วยไม้ ฟาดลงไปกลางหลังสองกุมาร จนเนื้อตัวสองกุมารแดงฉานไปด้วยเลือด แม้แต่ไม้เรียวก็ยังติดเลือด สองกุมารส่งเสียงร้องขอให้พระชนกช่วย เสียงระงมไปทั่วป่า ต่อเบื้องพระพักตร์พระเวสสันดรผู้เป็นพระชนกนั่นแล้ว
    รจนาจารย์ได้ดำเนินความตอนนี้ไว้ว่า ครั้นได้เห็นดังนั้น พระเวสสันดรโพธิสัตว์มีความโทมนัสสุดกลั้น พยายามสะกดพระอัสสาสะเป็นครั้งสุดท้าย แต่สุดจะทรงสะกดได้ หันพระพักตร์มาทางอาศรม ครั้นทอดพระเนตรเห็นเลือดบนหลังปิโยรส พระสติที่ทรงกำหนดไว้มั่นเพื่อพระโพธิญาณ ก็ปลาสนาการไปสิ้น !

    หยิบพระแสงทรงที่เหลือติดพระองค์มา กระชับไว้แน่นในพระหัตถ์ ชี้หน้าพรหมณ์แล้วมีพระดำรัสด้วยมานะของกษัตริย์
    “ เหม่ ไอ้พราหมณ์ถ่อย มึงปล่อยลูกกูเดี๋ยวนี้ !” ขยับพระแสงขึ้นสูงจักบั่นศีรษะพราหมณ์ชั่วเสียทันใด
    “ น้อยหรือมึงช่างรังแกน้ำใจกูได้ กูให้อภัยแก่ใครผู้ทำผิดแก่กูได้ แต่ลูกน้อยของกูเป็นผู้ไร้เดียงสา มึงยังบังอาจข่มเหงได้ถึงเพียงนี้ ”

    ทันทีที่จะยกพระแสงลงบั่นคอชูชก พราหมณ์เฒ่าเจ้าเล่ห์ สองกุมารก็โผเข้าซบพระบาท พร้อมกับจาบัลย์อยู่กับที่ พราหมณ์เฒ่าเบี่ยงตัวหนี ยกมือไหว้ขอประทานชีวิต
    ด้วยพระบารมีแต่ปางก่อน พระเวสสันดรโพธิสัตว์กลับได้พระสติ กำหนดยั้งคิด วางพระแสงลง ตรงเข้าปลอบประโลมปิโยรส
    “ ลูกเอ๋ย เจ้าทั้งสองอย่าโศกกำสรด ประเดี๋ยวแม่ก็จะกลับ ” ทรงประคองลงบนอังสาและปฤษฏางค์ของลูกน้อยทั้งสอง น้ำพระเนตรไหล เป็นที่น่าปริเทวนาการ......
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระเวสสันดร หาใช่พ่อใจร้ายอย่างที่หลายคนอาจคิด

    จากตัวอย่างที่ยกมาอ้างไว้นั้น ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้เป็นพ่อคนหนึ่ง ซึ่งเป็นปกติวิสัยของมนุษย์ที่ยังมีเครื่องเศร้าหมองห่อคลุม แต่ด้วย “ มีหน้าที่ ” ที่พึงกระทำให้ลุล่วงไป จึงต้องเร่งสำเร็จกิจนั้นให้ลุล่วงไปตามเป้าหมาย การตัดสินพระทัยของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ จึงเป็นเรื่องที่สามัญชนอาจไม่เข้าใจได้ลึกซึ้งนัก

    เช่นเดียวกัน การตัดสินพระทัยของ พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ที่เลือกเอาการโปรดสัตว์ในมนุษย์โลกและนรกภูมิ ( เป็นไปเพื่อการเอื้อประโยชน์ต่อมหาชน ) แทนที่จะเลือกเข้าสู่แดนพุทธภูมิเพื่อตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ( เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งตนโดยธรรม ) นั้น ก็มิใช่จะตัดสินพระทัยได้ง่ายๆในทันทีทันใด ทรงไตร่ตรองทบทวนด้วยจิตที่ต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดรุนแรง เช่นเดียวกับพระทัยของพระเวสสันดรนั่นแล้ว

    แต่ในที่สุดด้วยพระเมตตาธรรม การเสียสละก็เป็นฝ่ายชนะ
    ทีนี้กลับมาเข้าเรื่องการจัดวางตำแหน่งพระรูปเคารพของมหายานกันต่อนะครับ
    เหตุที่ประดิษฐานพระศรีอารยเมตตรัยไว้ ด้านหน้าสุดของวัดนั้น ก็ด้วยมีนัยว่าจะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป หมายถึงองค์ที่ 5 ของกัลป์นี้ สืบพระศาสนาต่อจากพระศรีศากยมุนีพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    ส่วน พระเวทโพธิสัตว์ ที่ประทับยืนพิงด้านหลังของพระศรีอารยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ แล้วหันพระพักตร์เข้าสู่พระอุโบสถนั้น มีนัยว่าเป็นปณิธานของพระเวทโพธิสัตว์ที่ได้ถวายสัตย์ว่า จะขอปกป้องคุ้มครองพุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์และพุทธศาสนิกชนตลอดไป ขณะเดียวกันก็จะค้ำชูช่วยเหลือการเผยแผ่พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป

    พระรูปเคารพพระเวทโพธิสัตว์มักจะสร้าง เป็นชายหนุ่มสง่างาม ประทับยืน พระหัตถ์ขวาทรงกระบี่ พระหัตถ์ซ้ายทำมุทร ( การเจริญสมาธิด้วยกายกริยา)ไว้เสมอพระอุระ เครื่องทรงนักรบเสื้อเกราะแบบขุนพลของจีน แลดูสง่างามน่าเลื่อมใส
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แต่เดิมท่านเป็นพราหมณ์ เรียกว่าเป็นกุลบุตรในสกุลพราหมณ์ ต่อมาได้มีโอกาสฟังธรรมของพระพุทธองค์ ก็เกิดความเลื่อมใสและปฎิบัติธรรมจนได้บรรลุโพธิญาณ แต่ด้วยสกุลวงศ์เป็นพราหมณ์และมีความกตัญญูต่อบุพการี ไม่อาจจะถวายตัวเพื่อบวชในบวรพระพุทธศาสนาได้ ( พราหมณ์ถือว่าการโกนหัวเป็นของต่ำ เป็นวรรณะต่ำต้อยอย่างที่สุด เทียบได้กับพวกที่เกิดจากพระบาทของมหาพรหม ต่างจากสกุลพราหมณ์ที่ถือว่ามีกำเนิดจากพระโอษฐ์ของมหาพรหม )

    พระพุทธองค์ก็ทรงมีพุทธานุญาตให้พระเวทโพธิสัตว์ดำรงตนในฐานะของพราหมณ์ต่อไปได้ เรียกว่าตัวเป็นพราหมณ์ แต่ใจเป็นพุทธหมดสิ้นแล้ว ต่างจากชาวพุทธส่วนมากในปัจจุบัน ซึ่งเป็นพุทธตามทะเบียนบ้านของราชการ แต่ใจกลับเป็นอะไรก็บอกไม่ถูก

    จาก หลายคัมภีร์และในหลายพระสูตรน่าสังเกตว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักประชาธิปไตยสูงมาก นอกเหนือไปจากเป็นนักประนีประนอมที่ยึดสายกลางแล้ว ทรงปฏิบัติพระองค์ด้วยแนวทางประชาธิปไตยที่เลือกเดินสายกลางด้วยความมีเหตุ มีผล ไม่หักหาญสิ่งหนึ่งสิ่งใดเอาด้วยความเชื่อมั่นของตนเพียงถ่ายเดียว ตัวอย่างหนึ่งก็คือการมีพุทธานุญาตแก่พระเวทโพธิสัตว์ที่อ้างมาแล้ว
    พุทธศาสนามหายานให้ความสำคัญต่อองค์ พระโพธิสัตว์ ในฐานะของผู้ที่จะบรรลุพุทธภูมิเป็นพระพุทธเจ้าประการหนึ่ง และมีหน้าที่ช่วยเหลือพุทธกิจในการสั่งสอนเผยแผ่พระสัทธรรม โปรดสรรพเวไนยสัตว์นำมวลชนสู่สันติธรรม ( สุขาวดีพุทธเกษตรมณฑล ?) อีกประการหนึ่ง

    พระโพธิสัตว์ในมหายานจึงมีจำนวนมาก เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าซึ่งในอมิตยุรธยานสูตร ปรารภไว้ว่า มีจำนวนดั่งเม็ดทรายในท้องนที หรือเหนือจำนวนหมู่ดาวในจักรวาล
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์

    ในจำนวนพระโพธิสัตว์ที่ผมได้ยกอ้างมาแล้วนั้น พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ จัดได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่คนไทยทั่วทั้งประเทศรู้จักดีหรือเป็นที่รู้จัก กันทั่วโลกก็คงไม่ไกลเกินจริงกระมังครับ เพียงแต่รู้จักกันในพระนามว่า เจ้าแม่กวนอิมบ้าง , พระโพธิสัตว์กวนอิม บ้าง , ชาวไทยเชื้อสายจีนเรียกพระนามว่า กวนอิมผ่อสัก บ้าง กวนซื่ออิมผูซ่า บ้าง หรือ กว้านจื่ออินโม๋เหอซ่า

    คำว่าผูซ่าหรือผ่อสักเป็นสำเนียงจีนที่ออกเสียงคำบาลีสันสกฤตว่า “ โพธิสัตว์ ”
    โม๋เหอซ่า ก็คือ พระมหาสัตว์ นั่นเอง

    ตามวัดวาอารามไม่ว่าหินยานหรือมหายาน , ศาลเจ้า , โรงเจ , ตามบ้านเรือนร้านค้าทั่วไป ล้วนมีพระรูปเคารพพระโพธิสัตว์พระองค์นี้แทบทั้งสิ้น สุดยอดก็คือภาพยนตร์จีนอมตะชุดไซอิ๋ว ดำเนินเรื่องโดยอาศัยพระบารมีของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้เป็นสำคัญ

    ความเป็นมาของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ( อ่านออกเสียงว่า อะ-วะ-โล-กิ-เต-สวน) มีความซับซ้อนอยู่มาก แล้วก็มีหลายตำนาน บ้างก็มีหลักฐานอ้างอิง บ้างก็เป็นการเล่าต่อๆกันมาในลักษณะอิงนิยาย แต่ที่สำคัญเป็นหลักฐานมั่นคงก็เห็นจะเป็นในหลายๆพระสูตรของพุทธศาสนามหายาน ได้กล่าวถึงพระบารมีของพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์เอาไว้มากทีเดียว

    ส่วนฝ่ายหินยานเถรวาท ไม่ปรากฏพระนามของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ในคัมภีร์ของหินยาน

    ขออ้างถึงบางประเด็นที่เกี่ยวโยงกับจุดหมายปลายทางของบทความนี้ เพื่อให้ท่านได้แลเห็นความสำคัญซึ่งจะทำให้ได้เนื้อหาสารัตถะจากบทความนี้ ตามสมควร

    ประการแรก , พระมหาโพธิสัตว์พระองค์นี้ มีเพศเป็นหญิงหรือชายกันแน่ ?

    เพราะเหตุที่พระรูปเคารพทั่วไป ตลอดจนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบศิลปะจีน ภาพวาดภาพเขียน ซึ่งพบเห็นได้ง่าย ทั้งหมดมักจะเป็นพระรูปของสตรีเพศ และชาวบ้านหรือผู้มีศรัทธามักจะเรียกขานพระนามว่า " เจ้าแม่"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คำตอบก็คือพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์เป็น มหาบุรุษ นั่นคือ บุรุษเพศหรือเพศชายนั่นเอง

    พระมหาโพธิสัตว์ที่ได้บรรลุฌานระดับสูงนั้น ย่อมถึงซึ่งภาวะที่เรียกได้ว่าไร้เพศ เมื่อหลุดจากกองอาสวะกิเลสแล้ว นั่นก็เท่ากับหลุดพ้นจากพันธนาการทางเพศไปด้วย พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ก็ทรงอยู่ในสภาวะนั้น แต่ในทศบารมีของพระโพธิสัตว์ ( ที่ได้อ้างไว้ตอนต้นๆ ของบทความนี้) ปัญญาบารมีและอุบายบารมี เป็นส่วนสำคัญในการเผยแผ่พระสัทธรรม ตลอดจนการโปรดหรือช่วยเหลือมนุษย์ของพระโพธิสัตว์

    ด้วยถ้อยคำในหลายคัมภีร์อ้างอิงว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ว่ามหาบุรุษ ซึ่งมีพระนามเต็มว่าพระอารยอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ( ที่จริงยาวกว่านี้ แต่ตัดเอาเฉพาะคำต้นๆมา) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจึงจะเป็นสตรีเพศไปไม่ได้โดยเด็ดขาด ทั้งการบรรลุธรรมขั้นสูงเข้าสู่แดนพุทธภูมิได้นั้น มีเพียงบรุษเพศเท่านั้น ที่จะผ่านด่านนี้ไปได้ ( ในหลายคัมภีร์ ไม่เคยปรากฏแม้แต่แห่งเดียวว่าสตรีเพศได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สู่ภาวะพระพุทธเจ้า)

    การที่บำเพ็ญบารมีมาถึงขั้นนั้นได้ นั่นก็เท่ากับเป็นการพัฒนาหรือเจริญฌานสมาบัติควบคู่กันมาด้วย เรียกว่าคะแนนทฤษฏีเต็มร้อย แปลว่าคะแนนปฏิบัติก็ต้องเต็มร้อยด้วยเช่นกัน ตกหรืออ่อนอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหมดสิทธิ์ทันที ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด

    อุบายบารมี จึงมีฌานระดับหนึ่งที่ควบคู่กัน มีอำนาจอันแรงกล้า เพื่อส่งเสริมให้พระโพธิสัตว์สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนไปได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่มีอุปสรรคใดๆมากั้นขวางได้ และส่วนหนึ่งก็มาจาก ปัญญาบารมี ซึ่งช่วยเสริมให้การปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ ปราศจากความบกพร่องและนำไปสู่ความสำเร็จมรรคผลได้ในที่สุด

    คติหนึ่งเชื่อว่าพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ เป็น “ ส่วนหนึ่ง ” ของพระฌานบารมีองค์พระอมิตาภะพุทธเจ้านั่นเอง แล้วนำมาเชื่อมโยงกับ ลัทธิตรีกาย ซึ่งเชื่อว่าพระพุทธเจ้าและมหาโพธิสัตว์พระมหาสัตว์ล้วนมี 3 กายทั้งสิ้น โดยเฉพาะพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์นั้น ทรงมีพระนิรมาณกายถึง 32 พระกาย จะทรงเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ด้วย อุบายบารมี เป็นสำคัญ ทั้งนี้ขึ้นกับผู้ที่พระองค์จะเสด็จไปโปรด หรือให้ความช่วยเหลือตามคำร้องขอ
     

แชร์หน้านี้

Loading...