พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.

  1. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................ดึกสงัดบนแพริมแม่น้ำเจ้าพระยา..เมืองมองดูจันทร์เสี้ยวและดาวศุกร์ที่ยังคง

    เปล่งแสงแข่งกันให้ความสว่าง...เขารอคอยฟังเสียงขลุ่ยเสียงนั้นว่า."เมื่อไรผู้ที่เป่าขลุ่ยเลานั้นจะ

    บรรเลงเพลงในยามดึกนี้อีก.." ลมพัดพาความเย็นมาต้องกายเขารู้สึกสดชื่นมีกำลังดีขึ้น...เขาวั้กน้ำมา

    ลูบหน้า..เพื่อให้สร่างจากความมึนเมา..เพื่อให้ได้ความรู้สึกในการฟัง"เสียงขลุ่ย" อย่างเต็ม ๆ

    ....................จันทร์เสี้ยวเริ่มขึ้นสูงออกจากทิศตะวันตก...มายังกลางฟากฟ้า....แต่เสียงขลุ่ยเมื่อ

    คืนนั้นก็ยังไม่ปรากฏแต่อย่างใด...เขานั่งรอเสียงขลุ่ยจนอ่อนหล้าและหนังตาเริ่มจะปิด...เสียงม้าสีนิล

    หายใจดังฟุตฟัตอยู่ข้างหู..เขาก็เริ่มรู้สึกว่ามีเสียงอะไรแว่ว ๆเข้ามา.....

    ...................."เสียงขลุ่ย"..มันคือ เสียงขลุ่ยที่เขารอคอยอยู่นั่นเอง..เสียงขลุ่ยมหัศจรรย์..

    และมีการถือกำเนิดอย่างอัศจรรย์จากการที่ต้นไผ่ดำถูกฟ้าผ่า..แต่เนื้อเยื่อภายในลำขลุ่ยที่

    ถูกฟ้าผ่า...กลับไม่แตกกระจาย..มันเกาะกันอย่างหลวม ๆ ทำให้เวลาเป่าขลุ่ยเยื่อไม้ภายใน

    เหล่านี้...เป็นตัวสะท้อนเสียงภายในลำขลุ่ย..ให้มีเสียงประสานที่นุ่มนวล..เหมือนขลุ่ยหลาย

    เลาเป่าพร้อมกัน...เมืองได้ยินมันอีกครั้งหนึ่งแล้ว....ใจเขากวัดแกว่งด้วยเสียงขลุ่ย

    กระแทกความรู้สึก...เขาหยุดนิ่งฟังมัน..พร้อมกับพยายามจับทิศทางว่าเสียงขลุ่ยนี้มาจาก

    ไหน...เขาไม่รู้หรอกว่า..เสียงขลุ่ยนี้ล่องลอยมาไกลจากเมืองสุราษฎร์ธานี..ข้ามน้ำข้าม

    ทะเล..ข้ามดินแดนป่าเขาลำเนาไพร....จนมาถึงเขา...........และไม่รู้เช่นกันว่า..ผู้หญิงที่เป่า

    ขลุ่ยนี้ คือ"ยอดหญิงที่มีความงามและเยือกเย็น..จิตใจดีงามโอบอ้อมอารีย์...และนางคือ

    ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ซึ่งเป็นลูกของนางฟ้าทั้ง 15 ตนมาอยู่ในร่างของผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ที่ดวง

    จันทร์แห่งโลกส่งนางมาถือกำเนิด..เพื่อขับกล่อมและให้ความเย็นแก่โลกให้สงบสุข.....

    ....................เมืองลุกขึ้นจากแพ...และเดินตามเสียงขลุ่ยขึ้นไปภายในบริเวณ..วัดอู่ทองคลอง

    มะขามเฒ่า....เขาเหมือนได้ยินเสียงขลุ่ยนี้ดังมาจาก"ป่าช้าของวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า"....เมือง

    จึงเดินตรงไปที่ป่าช้าวัดที่เขาได้สำรวจตรวจดูเมื่อเช้านี้....

    ....................เข้าเดินเข้าเขตป่าช้าเพื่อตามเสียงขลุ่ย...ก็พบกลุ่มหมอกควัน......พร้อมกับ

    เสียงขลุ่ยดังมาจากกลุ่มหมอกควันนั้น...เมืองจึงได้เดินเข้าไปในกลุ่มหมอกควันนั้นทันที......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2012
  2. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เสียงขลุ่ยค่อย ๆดังขึ้นเรื่อย ๆเมื่อเมืองเดินผ่านกลุ่มหมอกควันเข้าไป...และ

    ลึกเข้าไปจนไม่สามารถเห็นสิ่งใดรอบข้างตัวนอกจากกลุ่มหมอกควัน...เขาเดินตามเสียงขลุ่ยเรื่อย

    ไป...โดยไม่มีทีท่าจะพบเห็นว่ามีใครมาเป่าขลุ่ยอยู่ข้างหน้า...กลุ่มหมอกควันนั้นเป็นเสมือนอุโมงค์ที่ตี

    กรอบให้เขาเดินทางตามเสียงขลุ่ยไป..มันคืออุโมงค์แห่งกาลเวลากระนั้นหรือ..ที่เสียงขลุ่ยนั้นได้นำพา

    เป็นทิศทางชี้ทางให้เขาไป..

    ....................เมืองเดินอยู่นานดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ไม่อาจกำหนดได้ว่า..เขาเดินผ่านกลุ่ม

    หมอกควันนั้นมาเป็นเวลานานเท่าไร....

    ....................ในที่สุด......เมืองก็เห็นแสงสว่างเหมือนกับตอนกลางวัน..เขารีบจ้ำเดินไปที่

    แสงสว่างนั้น...ซึ่งยังมีเสียงขลุ่ยประหลาดนั้นประคองนำทางเขาอยู่..และแล้วเขาก็ได้มาถึงที่

    ที่หนึ่ง...เป็นที่โล่งแจ้งสายตาที่เขากวาดมองหาเสียงขลุ่ยนั้น..กลับพบเป็น"ทุ่งดอก

    ทานตะวันอยู่เต็มไปหมด..ดอกทานตะวันขึ้นอยู่ทุกอณูพื้นที่ไล่ไปจนติดเชิงเขา..."...ดวง

    อาทิตย์กำลังขึ้นอยู่อีกด้านหนึ่งซึ่งคาดว่าเป็นทิศตะวันตก...แต่กลุ่มดอกทานตะวันทุกดอกที่

    เขาเห็นในท้องทุ่งนั้นกลับ..หันหน้าดอกหันหลังให้กับดวงอาทิตย์....เขาดูว่าดอกทานตะวัน

    หันหน้าดอกไปที่ใด...จึงมองไปที่หน้าดอกทานตะวันหันไป.....

    .....................เมืองได้เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขานัก...พร้อมกับเสียงขลุ่ยที่แว่ว

    มาทางนั้น....เมืองรีบสาวเท้าก้าวเดินอย่างไว...โดยมิได้สนใจหรือแปลกใจที่อยู่ ๆเขาเดินอยู่

    ท่ามกลางหมอกควันในตอนกลางคืน..แต่เวลานี้กลับเป็นตอนกลางวัน.....เขาเดินจนมา

    ประจัญหน้ากับหญิงสาวคนนั้นที่ในมือของนางถือขลุ่ยและกำลังเป่าขลุ่ย..อยู่ที่หน้าหลุมศพ

    หลุมหนึ่ง..ที่บนหลุมศพนั้นก็มีดอกทานตะวันเบ่งบานอยู่..."ป้ายบนหลุมศพเขียนว่า แม่เฒ่า

    รัก นิรันดร์".......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2012
  3. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองจ้องมองดูนางที่กำลังเป่าขลุ่ยอยู่..โดยที่นางนั้นกลับมองไม่เห็นเขา...

    เมืองเดินเข้ามาใกล้...พร้อมกับเดินไปที่รอบตัวนาง...ซึ่งเสียงขลุ่ยยังคงล่องลอยไปกระทบขุน

    เขา...สะท้อนเสียงกลับมา...เขาจึงได้ยินเสียงขลุ่ยทั้งเสียงที่ใกล้ตัวและสท้อนกลับมา..มันเป็นความ

    ไพเราะที่ฉุดหัวใจให้เขาหยุดนิ่ง...พร้อมกับหน้าตาของสาวน้อยที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนใน

    ชีวิตได้สะกดให้เขามองนางอย่างไม่วางตา...นางนั้นสงบเยือกเย็น...มีแววตาที่อ่อนโยนยาม

    ที่นางเป่าขลุ่ย.....

    .....................การเห็นของเมืองที่เห็นโนรีนั้น คือ เหตุการณ์ในตอนกลางวัน..ที่โนรีได้มา

    พบพ่อเฒ่าจงนอนสลบอยู่กลางทาง........และนางกับโมลีพร้อมตี๋เล็กกับหมวยเล็กเป็นผู้นำ

    พาพ่อเฒ่ามาส่ง...และผู้เฒ่าเป็นคนชี้บอกว่า.......ได้ฝังศพแม่เฒ่า"รัก นิรันดร์ "ไว้ที่เนิน

    นี้...เพื่อแม่เฒ่าจะได้อยู่ดูทุ่งดอกทานตะวันของนาง...และเมื่อโนรีเดินผ่านทุ่งดอก

    ทานตะวัน....ซึ่งดอกทานตะวันทั้งท้องทุ่งกลับสะบัดหน้าดอกจากดวงอาทิตย์หันเข้าหาโนรี

    ทั้งท้องทุ่ง....และโนรีได้มายืนอยู่ที่นี่..นางจึงได้เป่าขลุ่ยไร้ความทรงจำของนาง...ที่ให้ความ

    หมายเกี่ยวกับความรักและดอกทานตะวันไว้ว่า


    ....................."ตะวันใกล้ลับดับไป...โลกไร้ซึ่งแสง....แต่รักนั้นมีแรง...สร้างแสงแห่ง

    รัก....แม้ชีวิตดับแลลับไป....แต่รักนั้นมิสิ้นใย...ด้วยดวงใจภักดิ์....ฝากสื่อแห่งรัก...เป็น

    ดอกไม้...มีนามคล้าย..แสงแรงกล้า....ดวงตะวันมิใช่จันทรา...งามสง่าเปล่งแสงจับดวงใจ...

    อดีตยังคงงดงาม...สถิตท่ามกลางดวงหทัย...รักนั้นมิอาจลืมได้...ขอฝากไว้กับ"ดอก

    ทานตะวัน"......."


    .....................เสียงเพลงขลุ่ยเพลงนี้แหละที่ล่องลอยไปในตอนกลางดึก..ปลุกให้เมือง มี

    สุขเดินตามเสียงขลุ่ยผ่านหมอกควันมายังสถานที่นี้....เมืองเห็นโนรี..แต่โนรีไม่เห็นเขา...

    .....................เมืองจ้องมองดูนาง..ด้วยจิตใจที่หวั่นไหวกับ..........สภาพที่

    เห็น..........."นางนั้นช่างงามเยือกเย็นและบรรเลงเพลงขลุ่ยได้ไพเราะอย่างจับใจ".......

    เขามองอย่างชนิดที่ต้องการจดจำนางไปตลอดชีวิต...

    ....................เมืองได้เรียกนางอย่างแผ่วเบา เมื่อกลับมายืนอยู่ตรงหน้านาง

    ............................."แม่นาง....แม่นาง...ท่านได้ยินข้าไหม"

    ....................ไม่มีเสียงตอบจากโนรี...เพราะนางไม่เห็นเขา...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น..ด้วย

    เมืองเห็นนางอาจเป็นเพราะอำนาจใดบางอย่าง.....ที่ทำให้เขาได้ย้อนมาเห็นเหตุการณ์ใน

    ตอนกลางวันที่ทุ่งดอกทานตะวันนี้.............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2267.JPG
      IMG_2267.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      30
    • 466807c43f8a1.jpg
      466807c43f8a1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      113.1 KB
      เปิดดู:
      42
    • 79561_7.jpg
      79561_7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.8 KB
      เปิดดู:
      36
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2012
  4. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................โนรีเป่าขลุ่ยจนจบนางหันหลังเดินกลับ..มุ่งตรงไปที่กระท่อมของพ่อเฒ่าจงที่มี

    โมลี ตี๋เล็ก และหมวยเล็กพร้อมกับพ่อเฒ่าจงที่ยืนมองดูเหตุการณ์อันประหลาดที่เกิดขึ้น...ในขณะที่

    นางเองก็สับสนวุ่นวายใจว่า "ทำไมพ่อเฒ่ามูซาอาจารย์สอนขลุ่ยของนางจึงห้ามไม่ให้นางมีความ

    รัก"...แต่กับทุ่งดอกทานตะวันนี้ คือ อนุสรณ์แห่งความรักของพ่อเฒ่าจงและแม่เฒ่ารัก..ซึ่งคือ

    รวมความหมายก็คือ "ทุ่งดอกทานตะวันจงรักนิรันดร์"......

    ....................และในขณะที่นางเดินกลับ"ดอกทานตะวันทุกดอกทั้งท้องทุ่งก็หันตามนาง

    ดุจดังทหารกองเกียรติยศที่ไล่ทำความเคารพผู้บังคับบัญชายามตรวจแถว....

    ....................เมือง มีสุข มองตามหลังนางอย่างไม่วางสายตา.......พร้อมกับประหลาดใจ

    กับสิ่งที่พบเห็นอยู่ตรงหน้า...."เกิดอะไรขึ้น" คือคำถามที่เขาถามตัวเอง........."ผู้หญิงคน

    นั้นนางคือใครกัน..ที่มีอำนาจประหลาดสามารถทำให้ดอกทานตะวันทุกดอกละทิ้งดวงอาทิตย์

    หันเข้าหานาง....และเสียงขลุ่ยที่นางเป่าช่างไพเราะและมีมนต๋ขลังสะกดให้เขาฟังจนเคลิบ

    เคลิ้มลืมสิ้นเสียทุกสิ่งทุกอย่าง...แม้แต่ขณะที่อยู่ต่อหน้านาง....เขาก็เหมือนต้องมนต์สะกดมี

    ความสุขความสบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้พบเห็นนาง....นางคือใคร...แล้วทำไมเขาเห็น

    นางแต่ผู้เดียวโดยที่นางไม่เห็นเขา..ไม่ได้ยินเสียงเขาเรียกนาง......

    ....................โนรีกับพวกนั่งเกวียนกลับไปแล้ว.......แต่เมืองยังอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวัน

    อยู่....เขาไม่รู้ว่าเขาจะกลับไปที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่าได้อย่างไร...และเขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่

    ไหน....เขาไม่รู้ว่าเขาเดินทางมาไกลจนถึง.."ทุ่งดอกทานตะวัน"ที่เมืองสุราษฎร์ธานี............

    ....................เมืองพยายามเดินหันหลังกลับเพื่อตามหากลุ่มหมอกควันที่เขาเดินตามมัน

    มาพร้อมกับเสียงขลุ่ย....บัดนี้ไม่มีเสียงขลุ่ยให้เขาเดินตามแล้ว...เขาจะหาทางกลับถูกได้เช่น

    ไร.......

    ....................เมืองเดินสำรวจไปทั่วทั้งท้องทุ่งทานตะวัน...เขาเห็นว่าพ่อเฒ่าจงกำลังนั่ง

    ขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ที่แคร่ไม้หน้ากระท่อม...แต่ปรากฎการณ์ที่เขาเรียกแม่นางผู้นั้นแล้ว

    นางไม่ได้ยิน...ความรู้สึกจึงบอกกับเขาว่าถึงเขาจะร้องเรียกพ่อเฒ่าผู้นั้นจนหมดแรง...พ่อ

    เฒ่าก็คงไม่ได้ยินและไม่เห็นเขาอย่างแน่นอน...เขาตกอยู่ในภาวะและสถานการณ์เช่นนี้ได้

    อย่างไร..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 27042008102.jpg
      27042008102.jpg
      ขนาดไฟล์:
      384.7 KB
      เปิดดู:
      32
    • 012.jpg
      012.jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.8 KB
      เปิดดู:
      28
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2012
  5. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองเดินมาจนถึงเชิงเขาจนสุดท้องทุ่งดอกทานตะวัน..เขาก็ได้พบกลุ่มหมอก

    ควันเหมือนกับตอนที่เขาเดินตามมา..เมืองรีบเดินเข้าไปในกลุ่มหมอกควันนั้นทันทีและเดินไปเรื่อย ๆ..

    โดยไม่มีที่ท่าจะพบทางออกที่จะกลับไปที่เดิม...เขาเดินจนอ่อนหล้า...ในที่สุดเขาก็ล้มลงหมดแรงอยู่

    ท่ามกลางหมอกควันนั้นเอง......

    ....................เสียงระฆังดังแว่ว ๆมาเป็นสัญญาณเตือนให้พระภิกษุภายในวัดปากคลองตื่น

    เพื่อทำกิจวัตรในตอนเช้ามืด....เมืองได้ยินเสียงระฆังนั้น..เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา...ก็พบว่าตัว

    เขาเอง "นอนอยู่ในป่าช้าของวัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า"

    ....................เมืองพยายามทบทวนเรื่องราวที่ไปประสบมา..เขาคิดว่านั่นเป็นความฝัน

    หรือความจริง..ที่เขาได้ไปพบเห็น "ผู้หญิงเป่าขลุ่ยในทุ่งดอกทานตะวัน"

    ...................."ทุ่งดอกทานตะวัน"ในเมืองชัยนาทนี้อยู่แห่งไหน..เขาจะต้องค้นหาให้พบ

    เพื่อสอบถามและรู้ให้ได้ว่า "มันคือความจริงหรือความฝัน"....

    ....................เมืองเดินกลับมาที่แพ..จัดการกับตัวเองจนดูสะอาดตา..พร้อมกับรีบจูงม้าสีนิล..

    เดินมาหาลุงบุญกับเจ้าแต้มที่เพิงพักริมน้ำ....ทันที่ที่พบเห็นเจ้าแต้มเมืองจึงเอ่ยขึ้น

    ............................"น้องชาย..เมื่อคืนนี้เจ้าได้ยินเสียงขลุ่ยไหม"

    .....................เจ้าแต้มทำหน้าอย่างเบื่อหน่ายกับคำถามซ้ำ ๆ แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................"พี่ชายไปเอามาจากไหน...ไม่มีใครหรอกที่เป่าขลุ่ยในหมู่บ้านนี้.....ข้าไม่

    ได้ยินเสียงขลุ่ยหรอก"

    ............................"ถ้าเช่นนั้น ที่นี่มีที่ไหนบ้างที่มีทุ่งดอกทานตะวัน..อยู่ติดกับเชิงเขา..

    เป็นทุ่งดอกทานตะวันที่กว้างใหญ่และสวยงามมาก" เมืองเปลี่ยนคำถาม

    ............................"ไม่มีหรอก" แต้มตอบห้วน ๆ

    ............................"แล้วเจ้าเคยเห็นผู้หญิงที่หน้าตาสวยงดงาม ดูแล้วเยือกเย็น...ในมือ

    ถือขลุ่ยบ้างไหม"

    ....................เจ้าแต้มเหมือนกับรำคาญเมือง..เพราะเขากำลังจะเอาปลาไปขายใน

    ตลาด...จึงแกล้งตอบยั่วเมืองไป

    ............................"เยือกเย็นอย่างชาดำเย็นก็โน้น...เจ๊เหมยลูกสาวแป๊ะเส็งที่พี่ชายไป

    ดื่มชาในวันนั้นไง"

    ....................เมืองหัวเราะที่เจ้าแต้มเอ่ยถึงหมวยพันธุ์แท้ที่ตนเห็นมาแล้ว..ก็ให้รู้ว่าเจ้า

    แต้มกำลังไม่สบอารมณ์เขา...เขาจึงเอ่ยถาม

    ............................."แล้วน้องชายจะเข้าไปในตลาดเมื่อไร"

    ............................."อีกเดี๋ยวเดียว"

    ............................."ข้าจะไปกับเจ้าด้วย" เมืองเอ่ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2012
  6. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองนำม้าสีนิลกลับไปผูกไว้ที่แพ..และเขานั่งเรือไปกับเจ้าแต้ม..ซึ่งลุงบุญไม่

    ได้มาด้วยด้วยกลับไปบ้านของแกก่อนที่เมืองจะมาหาเจ้าแต้มเสียอีก..

    .....................เจ้าแต้มพายเรือพร้อมกับเมืองย้อนขึ้นเหนือไปทางปากคลองมะขามเฒ่า..หรือต้น

    แม่น้ำท่าจีน..ซึ่งต้องผ่านแพของเมืองไป...และมีจุดมุ่งหมายคือริมตลิ่งแม่น้ำท่าจีน..เพื่อขึ้นไปตลาด

    วัดสิงห์....

    .....................เจ้าแต้มผ่านไปนึกถึงคันธนูอันใหญ่ที่เห็นบนแพ..จึงถามเมืองขึ้น

    ............................."พี่ชาย...พี่ชายเอาธนูคันนี้ไปสู่รบกับใครมาหรือ..ข้าเห็นมีลูกธนูคล้ายมี

    รอยเลือดติดอยู่"

    ............................."เอาไว้คราวหลัง..ข้าจะบอกเจ้าเอง..น้องชาย"

    ............................."แล้วทำไมพี่ชาย..ไม่ขึ้นไปกราบหาหลวงปู่ศุขบ้างเล่า...ข้าเห็นคนผ่านไป

    มา..ที่นี่ก็จะต้องมากราบขอพรหลวงปู่เพื่อให้พรเดินทางโดยปลอดภัย"

    ............................."หลวงปู่ศุขยังไม่อนุญาตให้ข้าไปพบท่าน" เมืองเอ่ยตอบ

    ............................."แล้วพี่ชายรู้ได้อย่างไร...ในเมื่อยังไม่เคยไปพบหลวงปู่ศุข" เจ้าแต้ม

    ถามอย่างสงสัยขณะบังคับเรือเลี้ยวเข้าปากคลองมะขามเฒ่า

    ............................."เพราะข้ารู้สึกเช่นนั้น...เจ้าไม่ลองถามเจ้าบุญนำกับเจ้าสมพงษ์ดูก็ได้"

    เมืองตอบพร้อมชี้แนะ

    ............................."เจ้าสองคนนั้น...หลวงปู่ใช้มันทำอะไรมันเป็นทำทุกอย่าง"

    ............................."ข้าก็คิดเช่นนั้น...เพราะเจ้าสองคนมันนำปัญหามาให้ข้าแก้ตั้งแต่วันแรก

    เลย...เหมือนกับรู้ว่าข้าจะมาที่นี่" เมืองอธิบาย

    ............................."คนที่รู้ว่าพี่ชายจะมา..ไม่ใช่มันสองคนหรอก.....แต่ต้องเป็นหลวงปู่..และ

    คนที่จะนำปัญหามาให้ท่านแก้ก็ต้องเป็นหลวงปู่"

    ............................."แล้วหลวงปู่เคยนำปัญหามาให้ใครแก้บ้าง" เมืองถามเพื่อเปรียบเทียบกับ

    ตัวเขา

    ............................."ไม่มีหรอก....เพราะคนจะแก้ปัญหาคนนั้นต้องเคยชินกับการใช้ปัญญา...

    อย่างพวกข้าคิดอะไรตรง ๆ พูดอะไรตรง ๆไม่อ้อมค้อม..จึงไม่มีปัญหาให้แก้..แต่ก็มีบางสิ่งที่หลวงปู่

    เดินบนน้ำให้เห็นคืนนั้นนั่นแหละ...นั่นคือปัญหาที่หลวงปู่ให้ข้ากับลุงบุญตอบ" เจ้าแต้มยังคาใจเรื่อง

    หลวงปู่ในคืนนั้น

    .....................เรือมาถึงริ่มตลิ่ง..เจ้าแต้มนำปลาใส่ตะข้องมาส่งให้แม่ค้าขายปลา..ในขณะที่เมือง

    ก็เดินมาที่ร้านแป๊ะเส็ง..เพื่อดื่มน้ำชา....เมื่อดื่มน้ำชาเสร็จเมืองก็ตระเวณถามไถ่แม่ค้าในตลาดที่มา

    จากหมู่บ้านต่าง ๆว่า "ที่ใดมีทุ่งดอกทานตะวันปลูกอยู่ใกล้เคียงกับเชิงเขาบาง"....แล้วเขาก็สาธยายใน

    สิ่งที่เขาพบเห็นเมื่อคืนนี้..."ยกเว้นเรื่องผู้หญิงเป่าขลุ่ยที่ทุ่งดอกทานตะวัน"....เขาถามแต่เพียงว่า"มี

    ลูกสาวบ้านใดที่เป่าขลุ่ยเป็นบ้าง...และยังถามถึงหลุมฝังศพของแม่เฒ่ารัก นิรันดร์..ที่เขาไปพบเห็นที่

    ทุ่งดอกทานตะวันว่า..มีใครเป็นญาติพี่น้องกับแม่เฒ่ารัก นิรันดร์บ้าง..แต่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องไปกับเขา...

    ทำให้เมืองคิดว่า"หรือสิ่งที่เขาเห็นเมื่อคืนนี้คือภาพลวงตา...หรือไม่ก็ความฝัน"....หากเป็น

    ภาพลวงตาก็จะเป็นผู้ใดทำให้เกิดขึ้นไม่ได้นอกจาก"หลวงปู่ศุข".........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      121
    • IMG_2265 (2).JPG
      IMG_2265 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      35
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2012
  7. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ........ตอนที่ 97 ผ้าจีวรหรือดอกทานตะวันที่ต้องเลือก.......




    ....................ในขณะที่เมืองกำลังอยู่ในตลาดวัดสิงห์...หลวงปู่ศุขได้นำแก้วน้ำที่ใส่แม่น้ำเจ้า

    พระยาและแก้วน้ำที่ใส่แม่น้ำท่าจีนที่เมือง....ให้บุญนำและสมพงษ์นำมาถวายหลวงปู่ศุข...ออกมาตั้ง

    ไว้...แล้วหลวงปู่ศุขได้ฉีกผ้าจีวรผืนเก่าของหลวงปู่ศุขออกมาตัดเป็นชิ้นผ้ากว้างราว 1 นิ้ว ..

    ยาวราว 1 ศอกหรือ 2 ฟุต...แล้วหลวงปู่ได้ม้วนผ้าจีวรของท่านใส่ลงไปในแก้วน้ำที่ใส่ในแม่

    น้ำเจ้าพระยา..โดยประคองมิให้น้ำหก.....ผ้าจีวรผืนนั้นได้ดูดน้ำในถ้วยแก้วไว้...จนเหลือน้ำ

    ในถ้วยแก้วเล็กน้อย..น้ำจึงไม่หก......ส่วนแก้วที่ใส่แม่น้ำท่าจีนอีกใบหนึ่ง..หลวงปู่ศุขได้นำ

    ดอกทานตะวัน 1 ดอกขนาดเล็ก..ใส่ในถ้วยใบนั้นไว้....

    .....................แล้วหลวงปู่ศุขได้เรียกเจ้าบุญนำและเจ้าสมพงษ์......ให้นำถ้วยแก้วกลับไป

    คืน...เจ้าหนุ่มผมยาวคนนั้น....และสั่งคำพูดไปบอกแก่เขา

    .....................สมพงษ์ที่ถือถ้วยที่ใส่ดอกทานตะวันอยู่..เขาแปลกใจว่าหลวงปู่ศุขไปเอา

    ดอกทานตะวันมาจากไหน...ทั้ง ๆที่วัดและที่หมู่บ้านนี้ไม่มีใครปลูกจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

    ทันที

    ............................"หลวงปู่ครับ...แล้วหลวงปู่ไปเอาดอกทานตะวันดอกนี้มาจากไหน

    หรือครับ"

    .....................คราวนี้หลวงปู่ศุขแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดีและตอบศิษย์อย่างไม่ปิดบัง...จน

    ทำให้บุญนำกับสมพงษ์ถึงกับสะดุ้ง

    ............................."ทุ่งดอกทานตะวันที่เชิงเขาเมืองสุราษฎร์..แล้วไม่ต้องถามข้าว่าข้า

    เอามาอย่างไร"

    ............................."หา".....เด็กน้อยสองคนอุทานและหุบปากสนิททันที

    .....................บุญนำและสมพงษ์รอเมือง..จนกระทั่งเห็นเขากับเจ้าแต้มพายเรือผ่านมาที่แพ....

    เมืองเห็นเด็กทั้งสองถือถ้วยชาสองใบมายืนรอเขาอยู่ที่แพ...จึงให้เจ้าแต้มจอด....และขึ้นฝั่งเดินมาหา

    สมพงษ์และบุญนำเพื่อฟังความ...

    .....................เมื่อเขามาถึง..บุญนำและสมพงษ์ได้ยื่นถ้วยทั้งสองใบกลับคืนให้เขาพลางพูดว่า

    ....................................."ทางท่านต้องเลือกเอาเอง".................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1387.JPG
      IMG_1387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      30
    • IMG_2265 (2).JPG
      IMG_2265 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      36
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2012
  8. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองเห็นดอกทานตะวันอยู่ในถ้วยแก้วใบหนึ่ง..เขารู้สึกตกใจและระคนไป

    กับความแปลกใจ...เด็กทั้งสองจากไปเมื่อส่งถ้วยทั้ง 2 ใบให้แก่เขาแล้ว...เขารีบหยิบดอกทานตะวัน

    ขึ้นมาดูทันที..โดยไม่คิดที่จะขบปัญหาที่จะแก้ปัญหาใด ๆอีกแล้ว

    .....................เมืองดูที่ปลายกิ่งดอกทานตะวัน...เขาเห็นว่ามันยังสดอยู่แสดงว่า"ดอก

    ทานตะวัน"ดอกนี้เพิ่งเด็ดมาจากต้น...

    .....................เมืองรีบจูงม้าสีนิลลงจากแพ..แล้วควบไปที่บริเวณป่าช้า..เขาก็ไม่พบต้นดอก

    ทานตะวัน...เขาจึงชักม้าควบออกจากหมู่บ้านทันที........จุดมุ่งหมายของเขาคือ ที่ ๆ มีภูเขาตั้งอยู่..

    ซึ่งเขาเชื่อว่าที่นั่นต้องมีทุ่งดอกทานตะวันอันกว้างใหญ่อยู่..โดยหารู้ไม่ว่า."ดอกทานตะวันดอกนี้"...

    มันมาจากที่ห่างไกลจากเขาลิบลับมากมาย....

    .....................เมืองนั้นต้องการตามหาทุ่งดอกทานตะวัน...เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาพบเห็นเมื่อคืนนี้

    คือความจริง...และ.."ผู้หญิงเป่าขลุ่ยที่สวยงามและเยือกเย็นผู้นั้นมีอยู่จริง"

    .....................เมืองนั้นที่เขาต้องติดตามสถานที่และตามหาผู้หญิงเป่าขลุ่ยคนนั้น..ไม่ใช่เพราะ..

    หลงรักผู้หญิงเป่าขลุ่ยคนนั้น...แต่เขาต้องการพิสูจน์หาเหตุผลว่า..ทำไมนางจึงงามและเยือก

    เย็น..และมีอำนาจประหลาดอะไรที่ทำให้ดอกทานตะวันทั้งท้องทุ่งหันหน้าดอกเขาหานาง...

    โดยละทิ้งจากดวงตะวัน...แล้วเวลาที่เขามาอยู่ต่อหน้านางทำไมเขารู้สึกเยือกเย็นมีความ

    สุขอย่างประหลาด...จนที่ไม่อยากจะจากนางมา....แม้กระทั่งเสียงขลุ่ยอันไพเราะที่นางขับ

    เป่า...มันก็ทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน...มีสุขจนอยากที่จะฟังนางเป่าขลุ่ยอยู่ร่ำไป....ข้อสำคัญ

    ที่มีสิ่งต้องขบคิดคือ"กลุ่มหมอกควัน"เมื่อคืนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร....และเมื่อพบเห็นดอก

    ทานตะวันที่มาจากหลวงปู่ศุข..เขามีความคิดเชื่อในส่วนหนึ่งว่า...กลุ่มหมอกควันนั้นน่าจะ

    เกิดจากการกระทำของหลวงปู่ศุข..ซึ่งเรื่องราวที่เขาได้ยินมาถึงขนาดหลวงปู่ศุขเดินบนผิวน้ำ

    ของแม่น้ำเจ้าพระยาได้...แสดงว่าท่านต้องมีอิทธิฤทธิ์มาก...แต่ผู้หญิงที่เขาเห็นละเกิดจาก

    อิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่สร้างภาพมายาขึ้นมาไหม...เขาไม่แน่ใจ...ประกอบกับเสียงขลุ่ยที่เขา

    ได้ยินสองคืนซ้อนกันนั้น...เกิดจากผู้หญิงคนนั้นเป่าจริงหรือเป็นมายาภาพลวงตาของหลวงปู่

    ศุข.....

    ....................ย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ภูผาไปพบมูซา..และพ่อเฒ่ามูซาได้เล่าเรื่องราวของ

    ผู้หญิงจันทร์เพ็ญให้ภูผาฟัง...ว่า"บุรุษผู้สู้กับดวงอาทิตย์หรือบุรุษดาวราหูจะเป็นผู้ตามหา

    ผู้หญิงจันทร์เพ็ญ...ดุจดังดาวราหูที่ตามหาดวงจันทร์เพ็ญบนท้องฟ้า".....ปรากฏการตำนาน

    แห่งดวงดาวบนท้องฟ้า....กำลังบังเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์แล้ว....เป็นปริศนาดวงดาวบนท้อง

    ฟ้ามานาน..ซึ่งหลายสมัยให้ความหมายไปทำนองว่า....ดาวราหูต้องการอมดวงจันทร์เพราะ

    ต้องการแก้แค้นเรื่องราวในอดีต...เฉกเช่นที่ดาวราหูต้องการอมดวงอาทิตย์...แต่มันเป็นเช่น

    นั้นจริง ๆหรือ...ทำไมไม่คิดอีกมุมหนึ่งว่า "แท้จริงแล้วดาวราหูนั้น..เป็นดาวที่มีความร้อนอยู่

    ในตัวตลอดเวลา...ว่าด้วยตำนานเทพก็คือได้ไปดื่มน้ำอมฤตเข้าไปจนน้ำนั้นทำให้ตัวดำสนิท

    เฉกเช่นเดียวกับพระศอหรือคอพระศิวะที่ได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไว้ที่ตัวผู้เดียวจนน้ำนั้นเผาไหม้คอ

    พระศิวะจนดำสนิท....ด้วยความร้อนที่มีอยู่ในตัวตลอดเวลา..เมื่อพบเห็นดวงจันทร์ที่มีความ

    เยือกเย็น...มีอำนาจสามารถดับความร้อนบางส่วนภายในตัวได้แม้จะไม่ถาวรแต่ชั่วคราวก็ยัง

    ดี...ดวงจันทร์จึงเหมือนกับยาบรรเทาความร้อนให้แก่ดาวราหู...ดาวราหูจึงตามหาเพื่ออม

    ดวงจันทร์ไว้.....

    ....................ก็ เมือง มีสุข..ผู้ที่กำลังทุกข์ร้อนและโหยหาความสุขอยู่....เมื่อมาพบ"นาง

    ที่ทำให้เขาลืมทุกข์เรื่องราวต่าง ๆโดยสนิท..และอยู่ใกล้กับนางกับมีความสุขอย่าง

    ประหลาด"...ทำไมเขาจะไม่ตามหานาง....แม้นางนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม..เขาก็กำลัง

    ลองค้นหาดู....ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา...คือที่ไปสำหรับเขา.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2012
  9. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองควบม้าสีนิลม้าศึกที่มีความแข็งแกร่งและความเร็วของฝีเท้าจัด..เพื่อ

    ตามหาทุ่งดอกทานตะวันจนทั่วฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา..เขาไปตามจุดที่มีภูเขาเพื่อให้เหมือน

    กับสภาพทำเลที่เขาเห็นเมื่อคืนนี้....แต่ไม่พบสถานที่ดังกล่าวเลย....เขาจึงคิดไปถึงเขาธรรมามูลที่อยู่

    ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา..โดยที่ตั้งของวัดธรรมามูลที่เมืองไปมากับเจ้าแต้มและลุงบุญคือ

    ไหล่เขาด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดและวิหารหลวงพ่อธรรมจักร..แต่ซีกเขาธรรมามูลซีกทาง

    ด้านทิศตะวันออกเขาไม่ได้ไปดู..เขาจึงคิดว่า "บางทีซีกเขาด้านทิศตะวันออกอาจจะมีทุ่งดอก

    ทานตะวันอยู่"

    ....................คิดได้ดังนั้น..เมืองจึงควบม้ากลับมาหาเจ้าแต้มอย่างเร็ว...เจ้าแต้มยังคงนั่งเฝ้าคัน

    เบ็ดที่ปักวางไว้ตกปลากับลุงบุญ..แม้จะเป็นเวลาบ่ายมากแล้วก็ตาม..เรือเจ้าแต้มยังคงจอดอยู่ที่ริมแม่

    น้ำ...

    ....................เมืองมาถึงเจ้าแต้มได้นำม้าผูกไว้ที่เพิงพัก..และได้เอ่ยขึ้น

    ............................."น้องชาย..ข้าขอยืมเรือพายไปเขาธรรมามูลหน่อยได้ไหม"

    ....................เจ้าแต้มและลุงบุญมองหน้าเมือง...และหันกลับมามองกัน..พลางเจ้าแต้มได้

    ถามอย่างสงสัย

    ............................."พี่ชายจะพายเรือไปทำไมที่เขานั้นอีก"

    ............................."ข้าอยากไปสำรวจดูเขาด้านซีกตะวันออกดูว่ามีอะไรบ้าง"

    ............................."ทุ่งนา กับ ป่าไม้" เจ้าแต้มตอบ

    ............................."แล้วทุ่งดอกทานตะวัน..มีใครปลูกที่ฝั่งโน้นบ้างไหม"

    ............................."พี่ชาย..เรื่องเมื่อเช้านี้ยังไม่จบหรือ..ท่านถามหาทุ่งดอกทานตะวันและ

    ผู้หญิงเป่าขลุ่ยไปทั่วตลาดแล้วนะ" เจ้าแต้มเอ่ยเพื่อให้เมืองเปลี่ยนความตั้งใจ

    ....................เมืองเลยหยิบ"ดอกทานตะวัน"ที่บุญนำและสมพงษ์นำมาให้ดู..จากย่ามที่

    สะพาย..พร้อมกับเอ่ยขึ้น

    ..........................."เจ้าดูดอกทานตะวัน..ดอกนี้สิมันยังสดอยู่เลย...หากที่นี่ไม่มีใครปลูก

    ต้นทานตะวันแล้ว...เจ้าเด็กสองคนจะนำมาให้ข้าได้อย่างไร"

    .....................ลุงบุญและเจ้าแต้มมองดูดอกทานตะวันอย่างแปลกใจ..ว่าดอกทานตะวันมี

    อยู่ที่หมู่บ้านนี้ได้อย่างไร ..ลุงบุญจึงเอ่ยถามบ้าง

    ..........................."หลานชายได้..ดอกทานตะวันนี้จากเจ้าบุญนำกับเจ้าสมพงษ์หรือ"

    ..........................."ใช่ลุง" เมืองตอบอย่างหนักแน่น

    .....................ลุงบุญหันไปมองหน้าเจ้าแต้ม..อย่างขอความเห็น...เจ้าแต้มจึงเอ่ยตอบ

    แทน

    ..........................."พี่ชาย..ข้าว่าหลวงปู่ศุขท่านไปเอาดอกทานตะวันมาจากที่อื่นแน่

    นอน...ที่หมู่บ้านของเราไม่มีหรอก" เจ้าแต้มออกความเห็น

    ..........................."กับกิ่งดอกทานตะวันที่ยังมียางสดจากก้านนี่นะ..จะมาจากที่ไกลได้

    เช่นไร...มันต้องอยู่ใกล้ ๆแถวนี้นี่แหละ" เมืองเอ่ยโต้ตามหลักเหตุผล

    .....................ลุงบุญยังไม่พูดความเห็นแต่ได้ถามเมืองขึ้นว่า

    ..........................."แล้วหลานชายเคยเห็นทุ่งดอกทานตะวันที่ไหนหรือ"

    ..........................."ที่ป่าช้าของวัด..บริเวณที่มีกลุ่มหมอกควัน..แต่ข้าไปดูแล้วไม่มี....

    แต่เชื่อว่าต้องอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก"

    .....................ลุงบุญหัวเราะเบา ๆ...พลางคิดคาดการณ์ว่า"หลวงปู่ศุขคงจะนำพาชาย

    ผมยาวผู้นี้ไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง..แล้วไปพบทุ่งดอกทานตะวันที่นั้น....ชายหนุ่มจึงคิดว่า..

    ดอกทานตะวันอยู่แถวนี้...ลุงบุญไม่อธิบายอะไรมาก..แต่ได้เอ่ยขึ้นกับเจ้าแต้ม

    ............................"เจ้าแต้ม..เอาเรือให้หลานชายนี่พายไปที่เขาธรรมามูลเถิด...ให้เขา

    ไปเห็นด้วยตาตนเอง...แล้วค่อยมาอธิบายให้เขาฟัง"

    .....................เจ้าแต้มจึงส่งพายให้กับเมือง..เพื่อนำเรือน้อยพายข้ามฝากไป..พลางเจ้าแต้มได้

    เอ่ยขึ้น

    ............................"พี่ชายที่วัดเขาธรรมามูล..มันจะมีเพื่อนของเจ้าบุญนำกับเจ้าสมพงษ์...ชื่อ

    นิมิตร กับ ปราโมทย์..เป็นลูกศิษย์วัดอยู่...พี่ชายถามหามันและให้มันนำทางพาไปดูก็แล้วกัน..มันจะ

    ได้เร็วขึ้น"

    .....................เมืองพยักหน้าอย่างเข้าใจ...แล้วก็พายเรือออกจากฝั่งมุ่งตรงไปวัดเขาธรรมามูล

    ทันที..............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1631.JPG
      IMG_1631.JPG
      ขนาดไฟล์:
      6 KB
      เปิดดู:
      32
    • 79561_6.jpg
      79561_6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.4 KB
      เปิดดู:
      32
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2012
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองพายเรือตามกระแสน้ำอันไหลเชี่ยวกรากไปอย่างรวดเร็ว..ด้วยแรงน้ำที่

    ไหลทำให้เรือที่เขาพายมาถึงริมตลิ่งหน้าวัดธรรมามูลโดยเร็ว

    ....................เขาเดินขึ้นไปบนที่ตั้งวัดธรรมามูลเพื่อหา นิมิตรและปราโมทย์ศิษย์วัดธรรมามูลซึ่ง

    เป็นเพื่อนของ สมพงษ์และบุญนำศิษย์วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า..ตามคำแนะนำของเจ้าแต้มเจ้าของ

    เรือ....

    ....................เมืองเดินไปเรื่อย ๆ และเขาก็ได้ยินเสียงสังกะสีดังมาจากใกล้โรงครัว..พร้อมกับ

    เสียงตะโกนไล่....

    ....................มันคือเสียงที่ปราโมทย์ใช้ง่ามหนังสติ๊กใส่ลูกกระสุนยิงใส่สังกะสีที่วางกองอยู่ใกล้

    โรงครัวเพื่อไล่สุนัขที่กำลังเขามากินกับข้าวในครัว..พร้อมกับเสียงนิมิตรที่ตะโกนไล่สุนัข....ง่าม

    หนังสติ๊กที่เขาใช้ยิงนั้นคือ "คือง่ามไม้ที่บุญนำและสมพงษ์ศิษย์วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่าตัดมันมาให้

    เขา...อันเป็นมิตรภาพที่ดีระหว่างศิษย์สองวัดและสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา...ที่มีมานาน"

    ....................เมืองเดินไปตามเสียงนั้น เมื่อพบทั้งสองคนจึงเอ่ยถามอย่างรีบร้อนทันที

    ............................"น้องชายทั้งสอง คือ นิมิตกับปราโมทย์ ที่เป็นเพื่อนกับ บุญนำและสม

    พงษ์ศิษย์หลวงปู่ศุขใช่ไหม"

    ....................สองสหายมองตามเสียงและหันกลับมามองหน้ากัน.....ด้วยสงสัยว่า "พี่ชายผมยาว

    คนนี้มาจากไหน....และมารู้จักชื่อและความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนฝั่งโน้นได้อย่างไร".....เจ้า

    ปราโมทย์จึงขานรับแล้วเอ่ยถาม

    ............................"ใช่แล้วล่ะพี่ชาย...พี่ชายมาหาข้าทั้งสองมีอะไรหรือ..และใครแนะนำมา"

    ............................"เจ้าแต้ม..หลานลุงบุญ..เป็นคนแนะนำข้าให้มาหาน้องชายทั้งสองเอง"

    เมืองบอกตามความจริง

    ............................"อ๋อ..พี่แต้ม..ที่ตกเบ็ดหาปลานั่นเอง" นิมิตเอ่ยรับรู้

    ............................"พี่ชายมีอะไรให้ข้าช่วยเหลือหรือ" ปราโมทย์เอ่ยถาม

    ............................"ข้าต้องการให้น้องชายทั้งสองนำทางพาข้าไปฝากเขาด้านทิศตะวันออก..

    ข้าต้องการสังเกตดูอะไรบางอย่าง"

    ............................"พี่ชายจะดูอะไรหรือ" นิมิตถามบ้าง

    ............................"ข้าต้องการดูทุ่งดอกทานตะวัน"

    ............................"ทุ่งดอกทานตะวัน" ปราโมทย์และนิมิตขานทวนพร้อมกัน..พร้อม

    กับมองหน้ากันแล้วปราโมทย์จึงเอ่ยขึ้น

    ............................"ทุ่งดอกทานตะวัน..ที่ฟากเขาด้านโน้นมันไม่มีหรอก..มันมีแต่ทุ่ง

    นา...อย่าเสียเวลาไปเลยพี่ชาย" ปราโมทย์ต้องการเปลี่ยนความตั้งใจเมือง

    ............................"ไม่มีก็ไม่เป็นไรหรอก..แต่ข้าอยากไปดูให้สิ้นสงสัยแค่นั้นเอง" เมือง

    พูดตื๊อ..ด้วยเห็นว่าเจ้าเด็กสองคนทำท่าจะไม่ยอมให้ความร่วมมือ

    .........................."ก็ได้รีบไปรีบมาก็แล้วกัน..เพราะเดี๋ยวพวกข้าต้องกลับมาตีกลองตอน

    เย็น" ปราโมทย์หมายถึงตีบอกเวลาอันเป็นประเพณีของวัด

    .....................ปราโมทย์และนิมิตเดินนำหน้าเมืองไปทางลัดอ้อมฟากเขาไปอีกด้านหนึ่ง..ระหว่าง

    ทางเดินเมืองได้เอ่ยถามเด็กทั้งสอง

    ............................"เมื่อสองคืนติดต่อกัน...พวกเจ้าสองคนได้ยินเสียงขลุ่ยไหม...และที่

    ฝั่งนี้มีใครเป่าขลุ่ยเป็นไหม"

    ............................"ข้าสองคนไม่ได้ยินหรอก...และที่นี่ไม่มีใครเป่าขลุ่ยมาก่อน" ปราโมทย์เอ่ย

    ตอบ

    ............................"พี่ชายไปได้ยินมาจากไหนหรือ" นิมิตถามบ้าง

    ............................"ข้าได้ยินตอนอยู่ที่แพหน้าวัดหลวงปู่ศุข"

    ............................"ทั้งสองคืนเลยหรือ" นิมิตถามย้ำ

    ............................"ใช่...และคืนที่สองข้าตามไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่ทุ่งดอกทานตะวันและ

    นางเป็นคนเป่าขลุ่ย..ที่ข้าได้ยินนั้น"

    ............................."ไม่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้..หากมีเสียงขลุ่ยทั้งสองฝั่งนี้ต้องได้ยินถึงกัน

    หมด....ยิ่งเสียงขลุ่ยที่ลอยกระทบแม่น้ำแล้วจะต้องดังก้องกังวานเชียว" ปราโมทย์ออกความเห็น

    ............................."ว่าแต่เรื่องที่พี่ชายเห็นผู้หญิงเป่าขลุ่ยที่ทุ่งดอกทานตะวันเถิด..พี่ชายแน่ใจ

    นะไม่ได้ฝันไป" นิมิตถามบ้าง

    ............................."ข้าแน่ใจ..ว่าไม่ได้ฝันไปแน่นอน" เมืองยืนยัน

    ............................."ก็แปลกดี...ไม่ใช่ว่าหลวงปู่ศุขเป็นคนพาพี่ชายไปนะ" ปราโมทย์คาดคะเน

    เหมือนอย่างกับที่ลุงบุญคิด...

    .....................เมืองได้ฟังปราโมทย์เขาทำท่าฉงน...และในที่สุดก็มาถึงเขาธรรมามูลอีกด้าน

    หนึ่ง..ซึ่งเมืองดูแล้วมันคือทุ่งนา..ไม่ใช่ทุ่งดอกทานตะวัน....และไม่มีสภาพที่ใกล้เคียงกับที่เขาเห็น

    เมื่อคืนนี้เลย...............

    .....................ในที่สุดเมืองก็ต้องพายเรือกลับไปอย่างผิดหวัง..........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1631.JPG
      IMG_1631.JPG
      ขนาดไฟล์:
      6 KB
      เปิดดู:
      33
    • 79561_6.jpg
      79561_6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.4 KB
      เปิดดู:
      32
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2012
  11. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เขาพายเรือทวนกระแสน้ำกลับมาในตอนเย็น..........พร้อมกับได้ยิน

    เสียงกลองย่ำค่ำที่เจ้าปราโมทย์และเจ้านิมิตผลัดกันตีรัวสนั่น..ลั่นวัดธรรมามูลและท้องน้ำเจ้า

    พระยา

    .....................เมืองแปลกใจที่เขาเป็นผู้ได้ยินเสียงขลุ่ยเพียงคนเดียวเท่านั้นทั้งสองคืน

    .....................อธิบายให้ความกระจ่างได้ว่า..ในคืนแรกที่เมืองซึ่งอยู่ที่แพหน้าวัดหลวงปู่

    ศุขที่เมืองชัยนาทได้ยินเสียงขลุ่ย...พร้อมกับสายพินซึ่งอยู่ที่เมืองน่านที่บ้านของนางก็ได้ยิน

    เสียงขลุ่ยเหมือนกับเขาในเวลาเดียวกัน...เพราะเหตุที่ว่าโนรีได้เป่าขลุ่ยของนางและได้จ้อง

    มองดูเดือนเสี้ยวกับดาวพระศุกร์อย่างปลดปล่อยอารมณ์พร้อมกับที่ทั้งเมืองและสายพิน..ต่าง

    ก็จ้องมองดูเดือนเสี้ยวและดาวศุกร์พร้อมกันและเหมือนกันในเวลาเดียวกันนั้น....ได้เกิด

    ปรากฏการณ์ที่เดือนเสี้ยวและดาวศุกร์..ที่ทั้งสามคนต่างก็จ้องมองสื่อถึงกันอยู่นั้น...เดือน

    เสี้ยวและดาวศุกร์ได้สะท้อนเสียงขลุ่ยของโนรีออกมา..ให้ทั้งสามคนได้ยินอยู่ในจิตสำนึก...

    โดยเสียงนั้นดังกังวานมาจากเดือนเสี้ยวและดาวศุกร์....ให้เมืองและสายพินได้ยินเสียงอัน

    ไพเราะนั้นอย่างชัดเจน......

    ....................แต่ในคืนที่สองนั้น...โนรีไม่ได้เป่าขลุ่ย..เนื่องจากนางขึ้นเกวียนกลับบ้านมา

    พร้อมโมลีน้องสาว........และตี๋เล็กกับหมวยเล็กด้วยหัวใจว้าวุ่นกลับปรากฏการณ์ที่ดอก

    ทานตะวันทั้งท้องทุ่งหันหน้าดอกมาสู่นางโดยละทิ้งดวงตะวันเสีย.....นางจึงนอนคิดอยู่ตลอด

    คืน..จึงไม่ได้เป่าขลุ่ยเมื่อคืนนี้...แต่เสียงขลุ่ยที่เมืองได้ยินในคืนที่สองนั้น...เป็นเพราะหลวงปู่

    ศุขได้ใช้ฤทธิ์ทำให้เกิดหมอกควันขึ้นที่ป่าช้า..แล้วนำพาเข้าย้อนไปในอดีตตอนกลางวันของ

    วันนั้น...ซึ่งเป็นขณะที่โนรีเป่าขลุ่ยอยู่ที่ทุ่งดอกทานตะวัน....ให้เขาเห็นนางและได้ยินเสียง

    ขลุ่ยที่นางเป่า....เพราะหลวงปู่ศุขหยั่งรู้ได้ว่า...จะมีเพียงผู้หญิงจันทร์เพ็ญเท่านั้นที่ดับร้อน

    เมือง มีสุขได้......หลวงปู่ศุขจึงบันดาลให้เกิดขึ้น.....และพาเขากลับมาที่ป่าช้า....และหลวง

    ปู่ศุขยังได้เด็ดดอกทานตะวันที่ทุ่งทานตะวันแห่งนั้นกลับมา...และนำมาใส่ถ้วยแก้ว..ให้บุญ

    นำกับสมพงษ์นำมาเป็นปริศนาให้แก่เขา......ซึ่งเขาจะต้องตีปริศนาพวกนี้ให้ออก....ด้วย

    หลวงปู่ศุขเองก็ต้องการดูปัญญาของเขา...ที่จะโต้ตอบกลับมา.......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2012
  12. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................เมืองพายเรือกลับมาถึงฝั่งตะวันตกหาเจ้าแต้มจนค่อนข้างมืด..ซึ่งลุงบุญกับ

    เจ้าแต้มกำลังกินอาหารมื้อเย็น....ที่แม่เจ้าแต้มนำใส่ปิ่นโตมาให้กิน..และได้กลับบ้านไปแล้ว...เมื่อเขา

    มาถึงสองลุงหลานจึงได้เรียกเขากินอาหารเย็นด้วยกัน...

    ....................ระหว่างกินอาหารมื้อเย็น..เมืองได้เอ่ยขึ้น

    ............................"ฟากเขาธรรมามูลซีกด้านตะวันออกเป็นทุ่งนาและป่าไม้อย่างที่น้องชาย

    บอกจริง ๆ"

    ............................"ข้าบอกพี่ชายแล้ว...เห็นพี่ชายดูท่าจริงจัง...ข้าก็เลยไม่อยากขัดขวาง"

    เจ้าแต้มเอ่ยขณะกำลังเคี้ยวข้าวเข้าปาก

    ............................"ทุ่งดอกทานตะวัน..ที่หลานชายต้องการไปหา..มันไม่มีที่เมืองชัยนาทแน่

    นอน...เพราะสภาพที่ดินที่เมืองชัยนาทนี้เหมาะสำหรับปลูกข้าวทำนามากกว่าปลูกดอกทานตะวันเป็น

    ทุ่ง ๆ" ลุงบุญออกความเห็นบ้าง

    ............................"ข้าพายเรือกลับมาก็คิดเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน" เมืองยอมรับความผิดพลาด

    ............................"ข้าจะบอกอะไรให้หลานชายฟัง..ดอกทานตะวันที่อยู่กับหลานชาย

    มันจะไม่เหี่ยวเฉาหรอก"

    ....................เมืองแปลกใจในคำพูดของลุงบุญ..จึงเอ่ยถาม

    ............................"ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้นหรือลุง"

    ............................"เจ้าลองหยิบดอกทานตะวันขึ้นมาดูก่อน..ว่ามันถูกเด็ดจากต้นเมื่อ

    เช้านี้มันจะเหี่ยวเฉาไหม"

    ....................เมืองหยุดเคี้ยวข้าวพร้อมกับวางจานข้าวลง..พร้อมกับเอามือควานไปหยิบ

    ดอกทานตะวันในย่ามของตนออกมา...และเขาก็พบว่า.....ดอกทานตะวันที่เขาคิดว่า...ถูก

    เด็ดเมื่อเช้านี้..และยังมียางอยู่..มันก็ยังดูสดสวยงามอยู่พร้อมกับมียางให้เห็นเหมือนเพิ่งถูก

    เด็ดออกมาจากต้นใหม่ ๆ...เมืองแปลกใจจึงอุทานขึ้น

    ..........................."เอ๊ะ..ทำไมมันจึงไม่เหี่ยวเฉาอย่างที่ลุงบอก"

    ..........................."ข้าคิดว่า...หลวงปู่ศุขท่านน่าจะเด็ดดอกทานตะวันดอกนี้มาก่อนตอน

    เช้าเสียอีก...และท่านต้องเสกดอกทานตะวันนี้ให้ดูผิดธรรมชาติ..เพื่อบอกกล่าวอะไร

    บางอย่างแก่หลานชาย...และหลานชายไม่ยอมนึกคิดก่อน..ก็รีบเร่งค้นหามัน" ลุงบุญพูดให้

    ข้อคิดแก่เมือง

    .....................เมืองรู้สึกคล้อยตามที่ลุงบุญบอกว่า...ดอกทานตะวันที่ไม่ยอมเหี่ยวเฉานี้มัน

    ดูผิดธรรมชาติจริง ๆ...และเขาก็เริ่มนึกถึงคำพูดของ ...สมพงษ์กับบุญนำที่เอ่ยในขณะ ...นำ

    ถ้วยแก้วใส่น้ำแม่น้ำเจ้าพระยาและใส่ผ้าจีวรนำมาให้เขา..พร้อมกับถ้วยแก้วที่ใส่แม่น้ำท่าจีน

    และดอกทานตะวันดอกนี้มาให้เขา...เขาไม่เคยหยิบผ้าจีวรมาดูและคลี่ออกเพื่อพิจารณาอะไร

    เลย...แต่เร่งรีบตามหาทุ่งดอกทานตะวันที่เขาเชื่อว่ามันต้องอยู่แถวนี้....เพื่อการพิสูจน์และ

    ค้นหา "ผู้หญิงเป่าขลุ่ยที่ทุ่งดอกทานตะวัน" คนนั้น....

    ........................."ทางท่านต้องเลือกเอาเอง" นั่นคือคำพูดของเด็กทั้งสอง..และเขายังไม่

    เคยพิจารณาปัญหาปริศนาที่มีมาหาเขาเป็นกิจจะลักษณะเลย..กลับด่วนจากปัญหาหรือ

    ปริศนานั้นมา....โดยทิ้งถ้วยแก้วทั้งสองใบไว้ที่แพ....

    .....................ลุงบุญเห็นเมืองหยุดคิดไปนานจึงเอ่ยต่อความ

    ............................"เจ้าบุญนำกับเจ้าสมพงษ์..มันเอาดอกทานตะวันนี้มาให้หลานชายเพียง

    อย่างเดียวหรือ"

    ............................"ไม่ใช่หรอกลุง..มันเอาใส่ถ้วยแก้วชาที่เหมือนของร้านแป๊ะเส็งที่ข้าใส่น้ำใน

    แม่น้ำท่าจีนเอาไว้..และนำดอกทานตะวันดอกนี้ใส่มา.......เพื่อนำปริศนามาให้ข้าแก้"

    ............................"แล้วน้ำในแม่น้ำท่าจีนที่ใส่มาในถ้วยแก้ว..มันมีความหมายว่าอย่างไร

    หรือ" ลุงบุญถามอย่างสนใจ

    ............................"มันคือ..แม่น้ำท่าจีนที่ข้าทำให้มันหยุดไหลอยู่ในแก้ว..แล้วส่งไปเป็น

    คำตอบของข้าแก่หลวงปู่ศุข"

    .....................คำพูดของเมือง..ทำให้ลุงบุญ..แปลกใจในเชาว์ปัญญาที่เขาตอบว่า..เขา

    ทำให้แม่น้ำท่าจีนหยุดไหลได้..และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ คือ น้ำที่อยู่ในถ้วยแก้ว....และเริ่ม

    สงสัยเรื่องราวระหว่างเขากับหลวงปู่ศุขว่า.."ระหว่างหลวงปู่ศุขกับเขามีอะไรกันอยู่...และ

    กำลังทำอะไรกัน..ที่มีการตอบโต้กันเรื่องปริศนาเช่นนี้....ทั้ง ๆที่เมืองเพิ่งมาอยู่ที่ท่าน้ำของ

    วัดนี้เพียงไม่กี่วัน..และเมืองกับหลวงปู่ศุขก็ไม่เคยพูดจาหรือใกล้ชิดใด ๆ ต่อกันมาก่อนเลย...

    อีกทั้งหลวงปู่ศุขไม่เคยกระทำเช่นนี้ต่อผู้ใดมาก่อนเลย....แม้แต่เสด็จกรมหลวงชุมพรฯ"......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2012
  13. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองจูงม้าสีนิลกลับมาที่แพ..และนำดอกทานตะวันใส่ไว้ในถ้วยแก้วอย่าง

    เดิม...เขาไม่มีปัญญาที่จะขบคิดสิ่งใดต่อ............ด้วยเดินทางค้นหาทุ่งดอกทานตะวันมาทั้งวัน...

    เขาอาบน้ำชำระร่างกายและนั่งมองดูดาวและเดือนในตอนกลางคืน..

    .....................และค่ำคืนนี้ก็ไม่ปรากฎเสียงขลุ่ยดังแว่วมาให้เขาได้ยินแต่อย่างใด...แต่เขาได้เก็บ

    เอา..."นางที่เป่าขลุ่ยที่ทุ่งดอกทานตะวัน"มาขบคิด..และพิจารณาว่า..นางอยู่ที่ไหนกัน...และเป็น

    ใครมาจากไหน..ทำไมเมื่อเขาอยู่ต่อหน้านางจึงมีความสุขมาก..รู้สึกเย็นกายเย็นใจ....และค่ำคืนนี้นาง

    กำลังทำอะไรอยู่หนอ..ทำไมนางจึงไม่เป่าขลุ่ยเหมือนเมื่อสองคืนที่แล้ว....นางเป็นผู้หญิงที่งด

    งามมากประกอบกับเหมือนมีแสงสว่างอันเยือกเย็นอยู่ในตัวของนางที่เขาสัมผัสได้....ดอกทานตะวัน..

    มันจะหันเข้าหาแสงตะวันเท่านั้น...แต่ดอกทานตะวันกลับหันหน้าดอกเข้าหานาง...แสดงว่าตัวของ

    นางอาจมีแสงอะไรบางอย่างที่กระจายออกมาให้ดอกทานตะวันเห็น...และเป็นแสงที่ดอกทานตะวัน

    โหยหายิ่งกว่าแสงตะวัน..........เขานั่งคิดพิจารณาแต่ผู้หญิงคนนั้น..โดยไม่ได้สนใจที่จะแก้ไข

    ปริศนาที่ว่า"ทางท่านต้องเลือกเอาเอง"และอะไรคือสิ่งที่เป็นทางและให้เขาเลือกระหว่าง "ถ้วยจีวร

    ที่ยาว 1 ศอกม้วนอยู่ภายในแก้วซึ่งเขาไม่เคยคลี่ออกดู..และไม่รู้ว่ามันยาวเท่าไร"

    กับ..."ดอกทานตะวันในถ้วยแก้วที่ยังสดสวยอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันเหี่ยว"...........หลวงปู่ศุข

    จะบอกอะไรแก่เขาแน่..และจะให้เขาแก้ปริศนาตอบท่านอย่างไร............

    .....................เมืองครุ่นคิดจนหลับไป....และมาตื่นขึ้นอีกในตอนเช้าเมื่อได้ยินเสียงระฆังวัดอู่

    ทองคลองมะขามเฒ่าตีบอกเวลาแก่พระภิกษุสงฆ์ภายในวัด.........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2012
  14. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .............ตอนที่ 98 ปริศนาผ้าจีวรของหลวงปู่ศุข............




    ....................รุ่งเช้าแสงอาทิตย์อ่อน ๆ สาดส่องเข้ามาในแพต้องกับผ้าจีวรที่ยังอยู่ในถ้วย

    แก้วชาใส่น้ำใบนั้น..และยังสาดส่องมาถึงดอกทานตะวันที่ยังคงเหลืองสดอยู่ทั้งดอกและก้าน...

    ....................ผ้าจีวรต้องแสงอาทิตย์ทำให้ขับสีสว่างขึ้น..แลดูสดใส..เขาหันขึ้นไปมองถนนริม

    แม่น้ำที่..หลวงปู่ศุขและพระพร้อมเด็กวัดทั้งสอง..เดินเรียงแถวผ่านไป..เขามองดูหลวงปู่ด้วยความ

    ศรัทธาและชื่นชม..และคิดอยู่ในใจว่า ."หลวงปู่ศุขช่างเป็นพระภิกษุที่ลึกซึ้งทางปัญญา..และให้

    ปริศนาให้เขาแก้อย่างลึกซึ้งมาก...เขาอาจจะจนปัญญาในการขบคิด..แต่เมื่อเขาเห็นดอก

    ทานตะวัน..ดอกนั้นที่อยู่ในถ้วยแก้ว..พร้อมทั้งนึกถึงภาพดอกทานตะวันที่มันหันหน้าสู้กับ

    ดวงอาทิตย์..ตามธรรมชาติของมัน....ทำให้เขาเริ่มคิดถึงตัวของเขา..ที่เคยสู้จ้องมองดวง

    อาทิตย์..มันช่างเหมือนกับเขาเหลือเกิน"......ซึ่งอาการของดอกทานตะวันที่สู้กับดวงอาทิตย์

    นี้ "พี่เณร"..เคยทำนายไว้และพูดกับภูผาว่า..."ดอกทานตะวัน" เป็นดอกไม้ที่สู้กับดวง

    อาทิตย์...มันเป็นดอกไม้แห่งสัญญลักษณ์ของบุรุษดาวราหู"...และพี่เณรเชื่อว่า...เขาจะมา

    ปรากฏกายอยู่ที่ทุ่งดอกทานตะวันนี้..เมื่อเขาได้โคจรมาที่เมืองสุราษฎร์ธานี....

    ....................การที่เมืองเห็นดอกทานตะวัน..ดอกไม้แห่งการต่อสู้ทำให้เขาเริ่มที่จะมีกำลังใจใน

    การขบคิดแก้ปัญหาต่อไป.....

    ....................เมืองเดินเขาไปหยิบจีวรของหลวงปู่ศุขที่อยู่ในถ้วยแก้ว..ออกมาคลี่ดูจากที่

    ม้วนเป็นวงกลมออก..เขาก็เห็นว่าผ้าจีวรนี้มีความยาวมาก...ผ้าจีวรมีขนาดเท่ากันคือกว้าง

    ราว 1 นิ้วฟุตตลอด...และยาวราว 2 ฟุตหรือ 1 ศอก...

    ...................."ผ้าจีวร" โดยทั่วไปตีความหมายได้ว่า "สิ่งนี้คือของสูงอันควรค่าแก่

    การนอบน้อม...ด้วยคือผ้าที่..พระพุทธองค์ก็ใช้ห่มดอง..ตลอดจนถึงพระภิกษุสาวก...และตัว

    หลวงปู่ศุขเอง..ก็ห่มผ้าจีวรนี้...เขาสังเกตว่ามันเก่าและเป็นจีวรที่ใช้แล้ว...และคิดว่า"ต้อง

    เป็นผ้าจีวรเก่าที่หลวงปู่ศุขเคยใช้มาแล้ว"...ผ้าจีวรนี้นอกจากตีความว่าเป็นของสูงแล้ว...ยัง

    น่าจะหมายถึงหลวงปู่ศุขผู้ที่ให้ผ้าและตัดผ้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมยาวอย่างสวยงาม....แสดงให้เห็น

    ว่า"หลวงปู่ศุขตั้งใจทำมาให้เขาเป็นปริศนาอย่างมากด้วยมือของหลวงปู่ศุขเอง.."...."จีวรนี้

    คือสิ่งที่ล้ำค่ามาก".......

    ....................การค่อย ๆคิดของเมือง ค่อย ๆตีความไป..ชักจะเข้าร่องเข้ารอย..เป็นบาง

    ส่วนแล้ว........
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1387.JPG
      IMG_1387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      29
    • IMG_2265.JPG
      IMG_2265.JPG
      ขนาดไฟล์:
      67.9 KB
      เปิดดู:
      30
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2012
  15. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................เมืองย้อนกลับไปคิดถึงที่บุญนำและสมพงษ์ปีนไปบนต้นยางสูง

    แล้วตะโกนบอกว่า"ทำไมข้าอยู่ต่ำเช่นนี้"...ทำให้เขาพอจะมองออกว่า"บุคคลที่อยู่ต่ำนั้น"...

    เมื่อเขาพูดทวนคำว่า "ทำไมข้าอยู่ต่ำเช่นนี้"......คำว่า"ข้า"...ที่แต่เดิมคือ"บุญนำ" และ"สม

    พงษ์"เป็นคนพูดย่อมหมายถึง บุญนำและสมพงษ์...แต่เมื่อเมืองเป็นคนพูด...คำว่า"ข้า"ก็

    กลับกลายเป็นตัวของ"เมืองเอง"

    .....................คำว่า"ทำไมข้าอยู่ต่ำเช่นนี้"...ก็คือ.."ทำไมเมืองอยู่ต่ำเช่นนี้"..และอาการ

    ที่อยู่ในที่สูงกลับบอกว่าตนเองอยู่ต่ำ...ประกอบกับ"ผ้าจีวรผืนนี้" คือของสูง....ย่อมหมายถึง

    หลวงปู่ศุขมองเห็นภาวะของเขานั้นอยู่ในสภาพที่ตกต่ำ..หลวงปู่ศุขจึงเหมือนให้บุญนำและสม

    พงษ์ไปบอกกับเขาให้ดูตัวเขา...เหมือนกับให้คิดว่า..เมื่อตนเองอยู่ในสภาพที่ตกต่ำ..ควร

    กระทำตนเช่นไร....

    .....................การที่หลวงปู่ศุขนำผ้าจีวรมาเป็นปริศนาและให้เด็กสองคนปีนไปในที่สูง...ก็

    เพื่อต้องการช่วยให้เขาสูงขึ้น...สูงด้วยคุณธรรมของพระพุทธองค์ประการหนึ่ง.......

    .....................เขาพิจารณาผ้าจีวรที่เก่าผืนนั้น...ทำไมต้องกว้าง 1 นิ้วตลอดผืนและยาว

    2 ฟุตหรือ 1 ศอก....และเมืองก็เริ่มคิดต่อไปว่า..."เศษผ้าจีวรผืนนี้หลวงปู่ศุขเคยห่มดอง

    อยู่...มันเคยอยู่กับหลวงปู่ศุข....ฉะนั้นการให้ผ้าจีวรที่เคยอยู่กับหลวงปู่ศุข....น่าจะหมายถึง

    คำว่า " อยู่กับหลวงปู่ศุข " อย่างแน่นอน......และการที่มันเป็นผ้าจีวร..น่าจะชี้ทางให้เห็นใน

    ลักษณะทางธรรมมากกว่าอื่นใด..ดังนั้นส่วนแรกที่เขาตีความหมายของผ้าจีวรของหลวงปู่ศุข

    ก็คือ "อยู่ศึกษาธรรมอันเป็นของสูงกับหลวงปู่ศุข"............อันเป็นทางเลือกหนึ่งที่หลวงปู่ชี้

    ทางให้

    ....................เมืองคิดต่อไปว่า..การที่หลวงปู่ตัดจีวรขนาดกว้าง 1 นิ้วและไล่ตัดยาวเป็น

    ระเบียบถึง 2 ฟุต....ทำให้เขามองและคิดว่า "น่าจะหมายถึงระยะเวลาที่หลวงปู่กำหนดคือ 2

    ฟุต" คืออะไร เป็น"วัน" ,"เดือน" หรือ"ปี"...เมืองมองด้านกว้างที่เท่ากัน 1 นิ้วทั้งสองด้าน...

    ในที่สุด..เขาก็เดาเอาว่า......ผ้ายาวให้นับเป็นนิ้ว....และ 2 ฟุตก็คือ 24 นิ้ว".......

    ....................และในเช้านั้นเอง..เมืองก็ตีความหมายได้ว่า นิ้วที่เอ่ยถึงนี้น่าจะเป็นเดือน....

    ดังนั้น 24 นิ้วก็คือ 24 เดือน......ความหมายของการให้ผ้าจีวรผืนนี้เป็นทางเลือกปริศนาที่

    รวมกับแม่น้ำหยุดไหล.....มันก็คือ..."ให้เจ้าหยุดอยู่ศึกษาธรรมอันเป็นของสูงกับหลวงปู่ศุข

    เป็นระยะเวลา 24 เดือนหรือ 2 ปี......"

    .....................นี่คือคำพูดของหลวงปู่ศุขที่ให้ปริศนามาบอกแก่เขาให้เขาขบคิดและเป็น

    ทางเลือกหนึ่ง....ซึ่งเขาจะเลือกหรือไม่ก็คงต้องดูปริศนา"ดอกทานตะวันในถ้วยแก้วให้ได้

    ก่อน..ว่ามันคือปริศนาอะไร"................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1387.JPG
      IMG_1387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      31
    • 27042008102.jpg
      27042008102.jpg
      ขนาดไฟล์:
      384.7 KB
      เปิดดู:
      29
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2012
  16. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ..........ตอนที่ 99 ปริศนาดอกทานตะวันในถ้วยแก้ว..........




    .....................เมืองหันกลับมาพิจารณาดอกทานตะวันในถ้วยแก้วที่ใส่น้ำในแม่น้ำท่าจีน

    อันเป็นปริศนาที่หลวงปู่ศุขส่งมาให้เขาเลือก.....

    .....................เขาได้ความหมายของดอกทานตะวันว่าคือการสู้ไม่ใช่ถ้อยหลัง..การสู้ก็คือ การไป

    ข้างหน้า...ในความหมายของดอกทานตะวันที่เมืองคิดได้...การไปข้างหน้าก็คือ "การเดินทาง"....

    เขาเริ่มอ่านใจของหลวงปู่ศุขว่า.....สิ่งที่หลวงปู่ให้เขาหยุดเสมือนที่เด็กน้อยทั้งสองบอกให้แม่

    น้ำหยุดไหล......ก็คือให้เขาหยุดพิจารณาเพื่อ 2 ปริศนา คือ "หยุด" กับ "เดินทาง"

    ....................จะเห็นว่า..หลวงปู่ศุขไม่เคยให้ปริศนาเพื่อให้เขาเดินทางกลับเมืองน่านเลย...และ

    หลวงปู่ศุขเองในใจของท่านไม่ต้องการให้บุรุษราชสีห์ในความฝันของท่านผู้นี้..เดินทางกลับ

    ไปเมืองน่านเลย....เพราะท่านเริ่มหยั่งรู้มาว่า "เมืองน่านคือจุดจบของชีวิตเขา"..........และ

    ท่านเริ่มเห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเขาจากมาจากเมืองน่านว่า"ขุนทัพ"บิดาของเมือง มีสุข

    ต้องจบชีวิตลงอย่างแน่นอน...และหากเขาไม่มีธรรมของพระพุทธองค์เป็นเครื่องชี้นำทาง

    ชีวิต.....เป็นการอยากที่จะห้ามบุรุษผู้นี้ผู้ที่มีความบ้าระห่ำทนงตัวและเจ้าปัญญากลับไปสู้รบ

    กับกองกำลังพม่า......ที่เมืองน่าน.......หากรู้ว่า "ผู้ที่ทำให้บิดาเขาเสียชีวิตคือใคร"....

    .....................การหยุดนั้น คือ หยุดอยู่เพื่อศึกษาธรรมอันเป็นของสูงกับหลวงปู่ศุขเป็น

    ระยะเวลา 24 เดือนหรือ 2 ปี".........การเดินทางที่ส่งมาบอกด้วยดอกทานตะวัน....หากเป็น

    การเดินทางตามธรรมชาติหรือธรรมดา...ดอกทานตะวันดอกนี้จะต้องเหี่ยวตามกาลเวลา....

    แต่ดอกทานตะวันกลับยังคงสวยสดงดงามอยู่แสดงว่า...หลวงปู่ต้องใช้ฤทธิ์สกดให้ดอก

    ทานตะวันนี้คงอยู่สภาพเดิมนับตั้งแต่เด็ดมา....ย่อมน่าจะมีความหมายถึง การเดินทางที่ไป

    ด้วยฤทธิ์...และเป้าหมายจะเป็นที่อื่นไม่ได้...นอกจาก"ทุ่งดอกทานตะวันทุ่งนั้น"....ที่หลวงปู่

    ศุขเคยใช้ฤทธิ์นำพาเขาไปแล้ว....เป็นเสมือนทดลองให้เขาไปดู......

    ....................ดังนั้นในปริศนาของดอกทานตะวันที่อยู่ในถ้วยแก้ว...เขาตีความปริศนาได้

    ว่า ...."การเดินทางโดยใช้อิทธิฤทธิ์ไปที่ทุ่งดอกทานตะวัน"...ทุ่งดอกทานตะวันทุ่ง

    นั้น...."ผู้หญิงงดงามที่เป่าขลุ่ย"....เมืองเอ่ยถึงนางอย่างแผ่วเบา...ถ้าเขาได้ไปที่ทุ่งดอก

    ทานตะวันนั้น..เขาจะต้องพบนาง...

    ....................ระหว่าง "การอยู่กับหลวงปู่ศุขเพื่อศึกษาธรรม 2 ปี" กับ "การเดินทางโดย

    ใช้อิทธิฤทธิ์ไปที่ทุ่งดอกทานตะวัน"...เขาจะเลือกสิ่งใด....

    ....................เมืองพิจารณาว่า..การได้อยู่กับหลวงปู่ศุขนั้นช่างเป็นบุญวาสนาเป็นความ

    โชคดี...เหมือนกับเสด็จกรมหลวงชุมพรฯได้มีวาสนากับท่าน...ในส่วนของเสด็จท่าน..หลวงปู่

    ศุขมุ่งสอนในทางไสยเวทอิทธิฤทธิ์คาถาอาคมต่าง ๆ....แต่ในส่วนของเขาหลวงปู่ต้องการ

    สอนในทางธรรมแก่เขา...อันเป็นทางแห่งปัญญา..ขนาดท่านสร้างปริศนามาให้เขาขบคิด

    อย่างลึกซึ้ง...น่าจะบอกถึงความเป็นยอดนักปรัชญาของหลวงปู่ศุข....ซึ่งหากเขาพลาดจาก

    หลวงปู่ศุขไปเสียแล้ว...ในชีวิตนี้เขาจะมีโอกาสอีกหรือ......เขาจะต้องได้รับคำสั่งสอนและคำ

    แนะนำที่วิเศษในทางธรรมอย่างแน่นอน.....ในชีวิตนี้หากขาดธรรมในการชี้นำวิถีแห่งชีวิต

    เสียแล้ว....ก็เหมือนกับการเดินทางที่มืดมน...ที่เหมือนกับเขาเดินทางมาตามลำน้ำน่าน..เจ้า

    พระยา...เรื่อยมาอย่างไร้จุดหมายปลายทาง.......

    ....................แต่การที่ได้พบผู้หญิงที่เป่าขลุ่ยในทุ่งดอกทานตะวันนั้น...เขามีความ

    สุขอย่างมาก....ด้วยความเยือกเย็นของนางที่เขาสัมผัส...ความงดงามที่หาหญิงใดเทียบ

    ได้...เสียงขลุ่ยอันไพเราะ...และดอกทานตะวันที่หันหน้าดอกเข้าหานางดุจดังทหารกอง

    เกียรติยศทำความเคารพผู้บังคับบัญชาตอนตรวจแถว...มันคืออะไร...เป็นสิ่งที่ท้าทายให้เขา

    ค้นหา....เขาจะทิ้งความสุขที่ได้พบนางและฟังเสียงขลุ่ยจากนางไปได้เช่นไร...ปริศนา

    แห่งดอกทานตะวันที่ผิดธรรมชาติเป็นสิ่งที่ท้าทายให้เขาเดินทางไปพิสูจน์เขาจะทิ้งมันกระนั้น

    หรือ.....

    ....................."ทางท่านต้องเลือกเอาเอง" ที่เด็กน้อยทั้งสองย้ำบอกเขาตอนให้ถ้วยแก้ว

    ทั้งสองใบกลับคืนมา....แล้วเขาจะเลือกสิ่งใดเล่า......

    .....................เมืองขบคิดปริศนาทั้งสองออกแล้วเหลืออยู่ที่การเลือก..ว่าเขาจะเลือกอย่าง

    ใด.....เมืองวางถ้วยแก้วดอกทานตะวันลง....และดื่มเหล้าไปหลายอึก..และก็จูงม้าสีนิล...ลง

    มาจากแพ..เพื่อจะเดินทางเข้าตลาดวัดสิงห์...ด้วยคิดว่า..จะขอใช้เวลาในการคิดเลือกทาง

    ไปก่อน........แล้วจึงจะให้คำตอบแก่หลวงปู่ศุข.....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2265 (2).JPG
      IMG_2265 (2).JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.8 MB
      เปิดดู:
      27
    • liu06.jpg
      liu06.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.5 KB
      เปิดดู:
      41
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2012
  17. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ......................ตอนที่ 100 ทางที่ข้าเลือก..................




    ....................เมืองกำลังขบคิดว่า"เขาจะเลือกทางไหน"..ในปริศนาที่หลวงปู่ศุขส่งมา...

    ทำไมถึงต้องมีเหตุการณ์ให้เลือกอยู่เสมอในชีวิตของเขา..นับตั้งแต่อยู่เมืองน่านมา......

    ....................ซึ่งท่านผู้อ่านอาจเทียบเคียงกับเรื่องที่เล่ามาในซีกของเมืองสุราษฎร์ธานี...อาจพบ

    คำตอบแล้วว่า "เมือง มีสุขเลือกทางใด"เพราะว่าเมื่อท่านได้อ่านเรื่องราวซีกของเมืองสุราษฎร์

    ธานี..ในปีพ.ศ.2462 ถึง 2464 ในปัจจุบันในซีกเมืองสุราษฎร์ธานี..จะเห็นว่าไม่มีเรื่องราวของ

    เขาปรากฎขึ้นในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเลย..........แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า..ไม่มีเมือง มีสุข ในวิถี

    ชีวิตของเมืองสุราษฎร์ธานี...ด้วยหลักฐานที่ยืนยันก็คือ"อนุสรณ์ความทรงจำของฉันเพื่อ

    เธอ"......ที่ปรากฎอยู่ที่บริเวณหลุมฝังศพของโนรี...แต่เขาจะได้มายังแดนใต้ได้อย่างไร..

    เมื่อไรก็คงแล้วแต่ปริศนาแนวทางวิถีชีวิตของเขา.......

    ....................การที่เขาเลือกที่จะอยู่กับหลวงปู่ศุขเพราะเหตุใด...มาดูกันต่อไปครับ...

    ....................เมืองนั่งม้าเดินเยาะผ่านไปในระยะไกลจากกุฏิของหลวงปู่ศุข...ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่

    ศุขนั่งมองเขาจากกุฏิทรงสูงนั้น..และหยั่งรู้จิตใจว่า..เขากำลังจะเลือกทาง..แต่เขาจะให้คำตอบในการ

    เลือกทางอย่างไร...หลวงปู่ศุขรู้วาระจิตใจว่า..บุรุษราชสีห์ผู้รุ่มร้อนคนนี้..เมื่อพบความเย็นของผู้หญิง

    จันทร์เพ็ญ..ย่อมทำให้เขาสงบระงับได้..แต่เป็นการระงับไปอีกวิถีชีวิตหนึ่ง...ซึ่งเขาจะไม่สามารถเกิด

    ปัญญาในการเรียนรู้ธรรมชาติของตนเองและสิ่งที่เป็นไปในโลกอย่างแจ้งชัด....โดยเฉพาะหลักการ

    ปกครองอันเป็นธรรมของพระราชา...นั้นคือ "ทศพิธราชธรรม"...ซึ่งเขาจะต้องศึกษาและปฏิบัติให้

    ได้..เพื่อที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ของเมืองพม่าที่ดีในอนาคต...ดังคำบอกเล่าของ "พระมหาอุปราชา"

    ....................หลวงปู่ศุขคิดว่า ฝึกสัตว์ป่าที่ไม่มีปัญญาเช่น ลิง ช้าง บ่าง ชะนี..ยังฝีกง่ายกว่าพญา

    ราชสีห์ซึ่งมีทั้งกำลัง..และสติปัญญา..ที่อ่านความลวงความหลอกได้...สติปัญญาของคนผู้นี้มีแนว

    โน้มที่จะเหนือกว่าอุบายของผู้เป็นอาจารย์......การจะใช้อุบายแก่เขา..เขาจะหยุดขบคิดจน

    ได้ความ........อันเป็นลักษณะของจริตของเขาอยากแก่การหลอกล่อ......

    .....................แต่ถ้าเขาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงจันทร์เพ็ญ..ความงามและความเยือกเย็นของ

    นาง...จะทำให้เขาติดสุขจนไม่อาจจะขบคิดสิ่งใดให้วุ่นวาย...อีกไม่นานนางก็จะเป็นผู้เข้าใจ

    วิถีแห่งธรรม...ด้วยพ่อท่านแห่งวัดโนรีนราราม..คงอบรมเพาะบ่มทางธรรมให้แก่นางจนนาง

    งามทั้งร่างกายและจิตใจ.......ด้วยนางอาจจะเป็นผู้ให้ธรรมแก่เขา...ได้ชัดเจน....ถ้าเจ้า

    เลือกดอกทานตะวัน..ในเวลานี้..คงไม่ควรหรอกบุรุษราชสีห์...เพราะนางผู้นี้ยังมิได้แตกฉาน

    ทางธรรมใด ๆเลย....เจ้าควรอยู่กับข้าให้รู้ดำรู้แดงไปก่อน....หลวงปู่ศุขนั่งคิดรำพึง

    รำพัน......ถึงการตัดสินใจของเขา......
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1387.JPG
      IMG_1387.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.7 KB
      เปิดดู:
      36
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2012
  18. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................การคิดของหลวงปู่ศุขในขณะที่จ้องมองดูเมืองอยู่ในระยะไกล...กลับเป็นกระแสจิต

    ที่กระทบภายในใจของเขา...จนเขารู้สึกว่ามีใครบ้างคนจ้องมองเขาอยู่ในระยะไกล....เขาจึงเหลียวหัน

    มาทางกุฏิของหลวงปู่ศุขก็พบว่า..หลวงปู่ศุขกำลังจ้องมองดูเขาอยู่....เขาไม่หลบสายตาแต่ก็จ้องมอง

    ดูหลวงปู่ศุข..เหมือนกับจะขอความเห็นจากท่านว่าเขาควรเลือกสิ่งใด....แต่เมื่อคิดถึงปริศนาที่ว่า

    "ทางเจ้าต้องเลือกเอาเอง"..เขาจึงหันหน้ากลับและเดินม้าไปตลาดวัดสิงห์อย่างช้า ๆ

    ....................เมืองมาถึงตลาดวัดสิงห์ก็ตรงไปที่ร้านแป๊ะเส็ง....เขามองดูผู้คนที่เดินไปมาขวัก

    ไขว่ก็ให้รู้สึกสับสนและแย่ทางความคิดเข้าไปอีก...ด้วยรู้สึกว่าที่ใดมีคนที่นั่นย่อมวุ่นวายนัก.....เขาสั่ง

    น้ำชาจีนมาดื่มเพื่อแก้ดับกระหาย...เจ๊เหมยเป็นผู้ที่ยกชามาให้เมืองแล้วนางได้เอ่ยแก่เขาว่า

    ............................"ท่านมาอยู่นี่ได้หลายวันแล้ว...รู้สึกชอบที่นี่บ้างไหม"

    ............................"ข้ารู้สึกชอบที่นี่เหมือนกัน..และชอบมากตรงที่เมืองชัยนาทนี้...มีแม่น้ำเจ้า

    พระยากันแยกแผ่นดินออกเป็นสองฝั่ง..ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก..เหมือนกับเมืองน่านที่ข้าจากมา

    เลย" เมืองอธิบาย

    ............................"ท่านอยู่เมืองน่าน..อยู่ฝั่งตะวันตกหรือฝั่งตะวันออก" เหมยถาม

    ............................"ข้าอยู่ฝั่งตะวันออก..และก็เคยมาอยู่ฝั่งตะวันตกด้วยเช่นกัน"

    ............................"แล้วเมืองน่านของท่านแตกต่างจาก..เมืองชัยนาทอย่างไร"

    ............................"แตกต่างตรงความเจริญกระมั้ง...ข้าเห็นที่นี่มีคนมากมายกว่าเมืองน่าน...ที่

    ไหนเป็นที่เจริญย่อมเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนาที่จะไป" เมืองตอบเพื่อยืนยันว่าชัยนาทเจริญกว่าเมืองน่าน

    ............................"แล้วท่านไม่อยากกลับไปเมืองน่านของท่านหรือ" เหมยถามแทงใจดำ....

    ....................ด้วยเมืองนั้นมีความประสงค์จะกลับเมืองน่านอย่างแรงกล้า...เขาถึงกับอธิษฐานต่อ

    หลวงพ่อธรรมจักร..ขอให้เขาได้กลับเมืองน่าน...แต่ในขณะที่หลวงปู่ศุขไม่มีความต้องการให้เขากลับ

    ไปเหยียบเมืองน่านอีกเลย...ด้วยเหตุที่กล่าวมาตอนก่อนหน้านั้น

    ............................"ข้าอยากกลับเมืองน่านเป็นที่สุด...แต่ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องขบคิดอะไร

    บ้างอย่าง"

    ....................สาวเหมยพยักหน้าอย่างเข้าใจ..แล้วเดินไปเก็บแก้วที่โต๊ะอื่น...เป็นขณะเดียวกับทิด

    ด้วงเดินเข้ามาในร้านกับตาเข่ง.........ทิดด้วงได้เอ่ยทักเมือง

    ............................"เป็นไงบ้างน้องชาย...ได้ข่าวว่าเจ้าแต้มกับลุงบุญพาไปถึงเขาธรรมมามูล

    เลยหรือ...และได้เห็นหลวงพ่อธรรมจักรไหม"

    ............................"ถูกต้องแล้วทิดด้วง...ข้าเห็นหลวงพ่อธรรมจักร มีอะไรหรือ"

    ............................"ก็หลวงปู่ศุขท่านปลุกเสกเหรียญหลวงพ่อธรรมจักรเอาไว้..เห็นว่าท่านจะนำ

    ไปให้เสด็จในกรมที่กรุงเทพในวันไหว้ครูที่วังเสด็จท่านที่จะถึงนี้"

    ....................ทิดด้วงรู้ดีว่า เสด็จในกรมจะจัดไหว้ครูทุกปีและก็จะต้องนิมนต์หลวงปู่ศุขให้ขึ้นไป

    ทำพิธีที่วังของท่าน

    ............................"ไหว้ครูหรือ" เมืองเอ่ยทวนคำ............
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2012
  19. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    .....................คำว่า "ครู" และการไหว้ครู..เป็นสิ่งที่สดุดใจของเมืองอย่างมาก..และเมื่อได้รับคำ

    บอกเล่าจากทิดด้วงว่า...เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งเป็นพระโอรสพระปิยมหาราชและพระเชษฐาของ

    ในหลวง...ยังทรงให้ความสำคัญและเคารพต่อครูบาอาจารย์เช่นหลวงปู่ศุขเช่นนี้...เขาเองจึงย้อน

    รำลึกไปในสมัยเด็กซึ่งเขาก็เคยมีครูที่อบรมสั่งสอน..แต่เขาเองก็ไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าใดนักในคำสอน

    ของครูบาอาจารย์...ด้วยความที่มีปัญญามาแต่วัยเด็กทำให้เขาเป็นคนที่ทนงตัว...แต่ด้วยความโอบ

    อ้อมอารีย์ของเขา....บรรดาพวกหมู่และคนในปกครองของเขาในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน.....จึง

    ไม่ค่อยจะถือสาในความทนงตัวของเขาเท่าใดนัก.......และเขาเป็นผู้ที่มองข้ามความกตัญญูของครูบา

    อาจารย์มาโดยตลอด...แม้แต่หลวงปู่ศุขที่กำลังจะมอบวิชาความรู้ให้แก่เขา......ด้วยการส่งปริศนา

    หลาย ๆอย่างมายังเขา....เขาก็ตอบโต้หลวงปู่ศุขอย่างสุดฤทธิ์สุดเดชเช่นกัน...ถ้าหลวงปู่ศุขไม่มี

    ความเมตตาต่อเขาเสียแล้ว...หลวงปู่ศุขคงไม่เอื้ออาทร..ต่อเขาเลย...คงจะปล่อยเขาไปตาม

    ยถากรรม.....แต่หลวงปู่ศุขท่านหยั่งรู้วิสัยของเขาและท่านก็คิดอยู่ในใจตลอดเวลาว่า"ทำเช่นไรที่

    ท่านจะกำราบบุรุษราชสีห์ผู้นี้ให้เชื่อง..เช่น ช้าง ม้า วัว ควายทั้งหลาย"...หลวงปู่ศุขจึง

    พยายามต้อนเขาด้วยปริศนาหรือปัญหา...ด้วยถ้าขบคิดปัญหาให้ลึกซึ้งให้เขาตอบ...เขาจะ

    มุ่งมั่นที่จะสู้ด้วยปัญญากับท่าน....เขาคงเป็นศิษย์คนเดียวที่ก่อนจะมาเป็นศิษย์ได้ต้องลอง

    ปัญญากับผู้เป็นอาจารย์..และแน่นอนเมื่อใดที่หลวงปู่ศุขชนะเขา.........เขาจะต้องยอม

    ศิโรราบและหยุดความทนงของเขาทันที.......

    ............................"ขนาดเป็นถึงเจ้าแล้วยังไหว้ครูหรือนี่" เมืองอุทานให้ทิดด้วงได้ยิน

    .....................ทิดด้วงมองหน้าเขา..แล้วเอ่ยขึ้น

    ............................."อย่าว่าแต่เจ้าเลยคนทั่วไป..ในหมู่บ้านนี้ต่างก็มีการไหว้ครูและพิธีไหว้ครู

    ทั้งนั้นแหละ..แม้แต่ที่โรงเรียน..ก่อนเรียนก็ต้องไหว้ครู...หรือน้องชายไม่เคยทำพิธีไหว้ครูเลยหรือ"

    .....................เมืองส่ายหน้าแล้วเอ่ยตอบ

    ............................."ข้าไม่เคยทำพิธีไหว้ครูมาก่อนเลย"

    .....................ตาเข่งมองหน้าเมืองแล้วชี้แนะ

    ............................."หลานชาย..ครูนั้นเป็นของสูงที่เราควรเคารพบูชา..อันดับหนึ่งคือบิดา

    มารดาของเราที่เป็นครูคนแรก...ถ้าไม่มีคนสอนให้เจ้ากินข้าว..เจ้าจะกินข้าวเป็นไหม....ถ้าไม่มี

    คนสอนให้เจ้าเดินเจ้าจะเดินเป็นไหม"

    .....................เมืองสลดกับคำพูดของตาเข่ง..และเมื่อเอ่ยถึงบิดามารดาขึ้นมา..เขารู้สึกคิด

    ถึงบิดามารดาของเขาอย่างจับใจ

    ............................"เสด็จท่านรู้สำนึกในบุญคุณของหลวงปู่ศุขที่เมตตาสั่งสอนสรรพวิชา

    ให้แก่พระองค์ท่าน....ท่านไม่เคยลืมและท่านก็แสดงความกตัญญูของท่านด้วยการจัดพิธี

    ไหว้ครูทุกปี...นอกจากนี้ท่านยังถวายเรือสำปั้นอย่างดีให้หลวงปู่ศุขเป็นพาหนะในการใช้เดิน

    ทางไปบางกอก" ทิดด้วงอธิบายถึงคุณความดีของเสด็จท่าน

    .....................ยิ่งทิดด้วงสาธยายถึงคุณความดีที่เสด็จท่านมีต่อหลวงปู่ศุข..คำพูดของ

    ทิดด้วงยิ่งไปกระแทกหัวใจของเขา..ที่ไม่เคยมีหัวใจให้แก่ครูคนไหนเลย

    .....................เขาเริ่มคิดว่า..เขาควรมีครูที่รักและเมตตาในตัวเขา..และเป็นผู้ที่เขาควรให้

    การรักเคารพเฉกเช่น...หลวงปู่ศุขและเสด็จในกรม...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2012
  20. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ....................คิดดังนั้น..เขาจึงมีความคิดที่จะถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุขโดยอยู่กับท่าน

    เป็นเวลา 2 ปี..แต่เขาเองก็ตัดใจจากทางเลือกที่สองคือ ทุ่งดอกทานตะวันไม่ได้....

    ....................เขาควบม้าออกไปยังท้องทุ่งของแขวงเมืองวัดสิงห์...จนเวลาใกล้พลบค่ำ...เขาจึง

    รีบเดินทางกลับ...ด้วยคิดว่า..เขามีคำตอบที่จะให้หลวงปู่ศุขแล้ว....

    ....................เมื่อมาถึงที่แพ..เขานำลูกธนูดอกหนึ่งออกมา..และนำพาจีวรที่เปียกน้ำอยู่ใน

    แก้วมัดพันผูกเข้ากับปลายแหลมของลูกธนูเป็นเงื่อนตาย..แล้วปล่อยชายผ้าจีวรให้ยาวทั้ง

    สองชาย............แล้วเขาได้นำดอกทานตะวันที่ยังคงสวยสดงดงามอยู่..นำดอกของมันผูก

    มัดเข้ากับท้ายของลูกธนูโดยหันหน้าดอกไว้ท้ายลูกธนู

    ....................เขาคิดว่า"หากหลวงปู่ศุขอ่านปริศนาคำตอบที่เขาให้ไปได้..เขาก็จะอยู่กับ

    หลวงปู่ศุขและถวายตัวเป็นศิษย์ของท่านต่อไป"

    .....................เมืองนำคันธนูออกมาพร้อมกับถือดอกธนูดอกนั้น.....แล้วขึ้นม้าควบออก

    ไปที่กุฏิของหลวงปู่ศุข...เขาควบม้าวนทักษิณารอบกุฏิของหลวงปู่ศุข 3 รอบ....แล้วควบออก

    ไปจากกุฏิโดยเร็ว...และเขาได้ยิงธนูดอกนั้นอย่างเต็มแรง..เป้าหมายคือต้นไม้สูงใหญ่ข้างกุฏิ

    ของหลวงปู่ศุข

    .....................ลูกธนูที่มีผ้าจีวรผูกอยู่บริเวณปลายแหลมและมีดอกทานตะวันผูกอยู่

    ท้าย...ได้พุ่งเข้าหาเป้าอย่างแรง.......และปักตรงกึ่งกลางต้นไม้ใหญ่..ลูกธนูที่ปักอยู่..มี

    ความสูงอยู่ในระดับเดียวกับพื้นกระดานของกุฏิหลวงปู่ศุข....ทันทีที่ลูกธนูปักอยู่...ก็ได้เกิด

    กระแสลมแรงพัดเข้าหาลูกธนูดอกนั้น....ผ้าจีวรปลิวไสวพัดไปมาอย่างสวยงาม........."นี่คือ

    ทางเลือกของข้า" เมืองเอ่ยวาจาอยู่ในใจ...และควบม้าออกไปยังท้องทุ่งของแขวงเมืองวัด

    สิงห์..เพื่อดูดวงตะวันที่กำลังจะตกดินทันที................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2236.JPG
      IMG_2236.JPG
      ขนาดไฟล์:
      18.4 KB
      เปิดดู:
      117
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2012

แชร์หน้านี้

Loading...