ผมเคยฟังเทศหลวงพ่อฤาษี ท่านบอกว่า หมอชีวกท่านได้อรหันต์ แล้วมรณะภาพวันรุ่งขึ้นเลย ท่านว่าอย่างนั้นครับ ถ้าใครบูชาก็ไม่ใช่เลื่อนลอยน่ะครับ
สิ่งละอันพันละน้อย ทุกวันนี้ฟังเทศหลวงพ่อฤาษี ทุกวันเลย เนื่องจากบริษัทไม่มีเน็ตให้เล่น งานเยอะมาก อดซ่าเลยครับพี่ชาย ฟังทศชาติพระพุทธเจ้าจนจะหมดแล้วครับ ตอนนี้หาฟังอย่างอื่นต่อครับ ฟังสนุกดี
พระโพธิสัตว์พญาช้างนาฬาคิรี(ธนปาล)พระพุทธเจ้าในอนาคต
ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อุตฺตโม, 5 ธันวาคม 2010.
หน้า 6 ของ 47
-
พระพุทธเจ้ามหายาน
<TABLE class=tborder id=post4264242 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sakuda<!-- google_ad_section_end --> <SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4264242", true); </SCRIPT>
ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต
</TD><TD class=alt1 id=td_post_4264242 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->ผมยังติดตามอ่านอยู่เรื่อยๆนะครับ ได้ความรู้มากมายครับ อนุโมทนาด้วยจริงๆ
รบกวนถามเรื่องพระพุทธเจ้าทางมหายานนิดนึงนะครับ อย่างพระพุทธเจ้า 5 ทิศ ที่ประกอบด้วย พระไวโรจนะ พระอมิตาภะ พระรัตนสัมภาวะ เป้นตำแหน่งของอะไรเหรอครับ และท่านยังอยู่ไหมครับ ขอความรู้ด้วยครับ<!-- google_ad_section_end --> อันนี้เป้นความเชื่อของฝ่ายมหายานครับ พระสุตรที่เคย อ่านเจอ ก็หลายเล่ม เช่น วิมลเกียตรนิเทส สุตร สุขาวดีสูตร บางที่เขาก้บอกว่าเป็นสือแทนของพระพุทะเจ้าในภัทรกัปนี้ เช่นพระไวโรจนะ นิรามานกายเป็น พระกกุสันโธ หรือพระอมิตตาภ เป็นพระสมณโคดม บางที่ก็บอกว่ามีจริง และยังมีชีวิติอยู่ เป้นอดีตพระพุทธเจ้า ที่บรรลุแล้ว และมีอายุยืนยาว ประมาณมิใด้ เพราะมีพุทธเกษตรส่วนตัวขององค์ท่านเอง และเพื่อต้องการโปรดสัตว์ ว่าตามตำรา แต่มีจริงหรือใม่ นั้นใม่รู้ ต้องให้คนที่ใด้มโนยิทธิ ไปดุให้ พี่อุตตโมอาจจะทำใด้ 555 แต่ก้อาจจะมีจริงก้ใด้ ใม่งั้น คงจะใม่มีพระสุตรเกิดขึ้นมา เพราะจักรวาลนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก ยากที่จะคาดเดา แต่พุทะเกษตรแต่ละที่ สมควรที่จะไปอุบัติเป็นอย่างยิ่ง เพราะเพรียบพร้อม ด้วย อมัตลักความศักสิทธ์ สมบูรต่อการใด้บรรลุมรรคผล
</TD></TR></TBODY></TABLE> -
สมัยเสวยชาติเป็นพญาสุนัขต่อสู้คดีเพื่อช่วยพวกพ้อง
-เมื่อวานต่อเน็ตเข้าไม่ได้ครับ ขอบพระคุณท่านอริยมุนีอย่างสูงครับ.
-มาอ่านเรื่องราวชาดกต่อครับ
-ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุนั่งสนทนากันอยู่ ณ เชตวันมหาวิหารถึงเรื่องที่พระพุทธองค์
ทรงช่วยพระประยูรญาติจำนวนมากได้บรรลุธรรม และในจำนวนนั้นมีพระอานนท์ เป็นต้น
ซึ่งพระประยูรญาติต่างก็ช่วยพระพุทธองค์เผยแผ่พระพุทธศาสนา
-พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องการสนทนา จึงตรัสขึ้นว่า "มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตได้
นำประโยชน์มาสู่หมู่ญาติ แม้ในกาลก่อนตถาคตก็นำประโยชน์มาสู่หมู่ญาติแล้วเช่นกัน"
แล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสเล่าเรื่อง "กุกกุรชาดก" ให้ฟังดังนี้
-ครั้งหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัต เสด็จประพาสอุทยานจนเวลาเย็นมาก จึงเสด็จกลับ
-ราชบุรุษไม่สามารถลากราชรถได้ในวันนั้นจึงจอดไว้นอกโรงรถ
-บังเอิญคืนวันนั้นฝนตกหนัก หนังหุ้มเบาะรถถูกฝนก็พองตัวและส่งกลิ่นเหม็น เหล่าสุนัข
ในวังได้กลิ่นจึงมาแทะกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
-รุ่งเช้าราชบุรุษมาเห็นหนังหุ้มราชรถอยู่ในสภาพวิ่นไปทั้งคัน และคิดว่าสุนัขนอกวังแอบ
เล็ดลอดเข้ามาทางท่อน้ำเข้ามาในวังได้
-ราชบุรุษจึงนำความไปกราบทูล พระราชาทรงกริ้วมากจึงมีพระราชบัญชา "ให้ฆ่าสุนัข
ทุกตัวที่พบ เว้นแต่สุนัขในวังที่ทรงเลี้ยงไว้เท่านั้น"
-ครั้งนั้นพวกสุนัขนอกวังถูกฆ่าตายเป็ยนจำนวนมาก ตัวไหนหนีรอดก็ต้องหลบซ่อน
ต้องอดอยาก
-สุนัขนอกวังทั้งหลายจึงพากันไปหา"พญาสุนัข"ที่ป่าช้านอกเมือง แล้วเล่าเรื่องให้ฟัง
-พญาสุนัขฟังแล้วคิดว่า "ต้นเหตุต้องมาจากสุนัขในวัง เพราะสุนัขนอกวังไม่อาจเล็ดลอด
เข้าวังได้ เนื่องจากมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา
-คิดได้ดังนั้นพญาสุนัขจึงระลึกถึงบุญบารมีที่ตนได้สร้างสมมาพร้อมกับ "อธิษฐานจิตให้
ปลอดภัย" แล้วจึงออกเดินทางไปยังพระราชวัง
-เมื่อเล็ดลอดเข้าวังได้ก็ตรงไปที่ท้องพระโรงเข้าไปหมอบอยู่ใต้พระราชอาสน์ของพระเจ้า
พรหมทัต
-ฝ่ายราชบุรุษเมื่อเห็นดังนั้นต่างก็กรูกันเข้ามาจับ แต่ด้วยแรงอธิษฐานของพญาสุนัขทำให้
พระเจ้าพรหมทัตทรงเมตตา ตรัสสั่งห้ามไว้
-พญาสุนัขจึงออกมาจากใต้พระราชอาสน์ ถวายบังคมแล้วทูลว่า"สุนัขในวังเป็นผู้แทะ
เบาะหนังราชรถ"
-พระเจ้าพรหมทัตจึงให้พญาสุนัขทำการพิสูจน์
-พญาสุนัขจึงขอให้ราชบุรุษนำหญ้ามาขยำกับน้ำมันเปรียงแล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำมากรอก
ปากสุนัขทุกตัวในวัง
-สุนัขเหล่านั้นเมื่อได้กินเข้าไปก็สำรอกเอาชิ้นส่วนของหนังหุ้มราชรถออกมาด้วยกันทั้งสิ้น
-พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรดังนั้น จึงทรงเข้าพระทัยว่า "เราทรงไว้วางพระทัย
ราชบุรุษมากเกินไป มีความลำเอียงเพราะรักและเมตตาสุนัขที่ทรงเลี้ยงไว้จนทำให้ต้อง
สร้างบาปโดยการฆ่าสุนัขนอกวังมากมาย"
-คิดได้ดังนั้นจึงตรัสให้เนรเทศสุนัขในวังออกไป แล้วทรงประกาศยกเลิกการเข่นฆ่า
ทำลายชีวิตสัตว์ทั้งปวง
-ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าพรหมทัตและข้าราชบริพาร ต่างประพฤติธรรมตามโอวาทของพญา
สุนัข ครั้นละโลกไปแล้ว ต่างไปบังเกิดในสรวงสวรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น
-พระเจ้าพรหมทัต ต่อมากำเนิดเป็น พระอานนท์
-สุนัขที่เหลือมีชีวิตอยู่ กำเนิดเป็น พระญาติและพุทธบริษัททั้งหลาย
-พญาสุนัข เสวยชาติเป็น พระพุทธเจ้า
-ข้อคิดที่ได้ ผู้มีบุญบารมีและมีสติปัญญาย่อมช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติมิตรได้ครับ.ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
จริงๆตัวผมนั้นใคร่จะรู้ เพราะมีพระธาตุสายมหายาน และเถรวาทเสด็จมาหลายองค์ครับครับ จึงรู้สึกว่าตัวผมนั้น แทบไม่รู้อะไรเลย
ขอบคุณนะครับ -
บทเรียนของพระเจ้าพรหมทัตกับเจ้าพนักงานตีราคาพัสดุ
-เป็นเรื่องราวของพระพุทธองค์ในสมัยอดีตชาติตอนบังเกิดเป็นเจ้าพนักงานตีราคาพัสดุ
-เรื่องมีอนยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล ณ เชตวันมหาวิหาร ครั้งนั้น "พระทัพพมัลลบุตร" ซึ่ง
สำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และเป็นที่รักของภิกษุทั้งหลาย ได้รับหน้าที่
เป็น"ภัตตุเทศก์" คือ ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมดูแลหอฉันและโรงทานทุก ๆ วัน
-ในมหาวิหารนี้ มีพระภิกษุบวชเมื่อแก่ชื่อ"อุทายี" เป็นผู้มีนิสัยติดในรสอาหาร และมัก
เอะอะโวยวายเมื่อได้รับอาหารไม่ถูกปาก ท่านจึงขอทำหน้าที่ภัตตุเทศก์เอง โดยแบ่งสัน
ส่วนอาหารในหอฉันโรงทานตามอำเภอใจ เป็นที่เดือดร้อนแก่ภิกษุทั้งหลาย
-พระภิกษุทั้งหลายจึงขอให้ท่านออกจากหน้าที่นี้ และช่วยกันนำท่านออกจากหอฉันโรง
ทานไป
-พระพุทธองค์จึงตรัสเรียก"พระอานนท์"มาซักถามทรงทราบเรื่องโดยตลอดแล้ว จึงทรง
ระลึกอดีตชาติของพระอุทายีดู และเมื่อพระอานนนท์ทูลถาม จึงตรัสเล่าเรื่องคือ "ตัณฑุล
นาฬิชาดก" ความว่า
-ในอดีตกาลแคว้นกาสี "พระเจ้าพรหมทัต" ผู้ครองนครพาราณสีทรงมี "บัณฑิตผู้หนึ่งเป็น
เจ้าพนักงานตีราคาพัสดุ" ที่จะซื้อเข้ามาเป็นของหลวง เป็นประเพณีที่ว่า เจ้าพนักงานตี
ราคาสินค้ามีมูลค่าเท่าใด เจ้าของก็จะได้รับเงินมูลค่าเท่านั้น จะต่อรองขัดขืนไม่ยอม
ขายไม่ได้
-บัณฑิตผู้นี้ทำหน้าที่อย่างยุติธรรมตลอดมา แต่เนื่องจากพระเจ้าพรหมทัตทรงมีอุปนิสัย
โลภ มีพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนเจ้าพนักงานตีราคาเสียใหม่
-วันหนึ่ง พระองค์พบเห็นชายบ้านนอกที่มีบุคลิกเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เหมาะที่จะใช้ให้ตี
ราคาพัสดุตามความประสงค์ได้ จึงปลดเจ้าพนักงานตีราคาคนเดิมออกโดยไม่มีความผิด
และแต่งตั้งชายผู้นั้นทำหน้าที่แทน
-เจ้าพนักงานคนใหม่มีนิสัยเห็นแก่ได้ เมื่อได้รับตำแหน่งมักตีราคาสินค้าต่ำกว่าเป็นจริง
มาก จึงเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าพรหมทัต
-ต่อมามีพ่อค้าผู้หนึ่งได้นำม้าพันธุ์ดี 500 ตัว มาเสนอขาย เพื่อใช้ในการศึกสงคราม เจ้า
พนักงานตีราคาต่ำอย่างไม่ยุติธรรมมาก คือ "มีมูลค่าเท่ากับข้าวสารทะนานเดียว"
-พ่อค้าม้ารู้สึกตกใจด้วยคาดไม่ถึง แต่ไม่กล้าค้านกลัวพระราชอาญา จึงไปปรึกษาเจ้า
พนักงานตีราคาพัสดุคนเดิม
-เจ้าพนักงานผู้เป็นบัณฑิตจึงแนะอุบายให้พ่อค้าม้ากลับไปหาเจ้าพนักงานตีราคาพร้อมกับ
ให้สินบนเพื่อให้ตอบคำถามของพ่อค้าม้าต่อหน้าพระราชาว่า "ข้าวสาร 1 ทะนานมีราคา
เท่ากับนครพาราณสีเท่านั้น"
-ซึ่งเจ้าพนักงานตีราคาก็รับปากเพราะได้เงินสินบน แล้วจึงนัดกันไปพบพระเจ้าพรหมทัต
-ครั้นถึงเวลานัดหมาย พ่อค้าม้าก็ขอเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า "ม้า 500 ตัวมีค่าเท่า
กับข้าวสาร 1 ทะนาน แล้ว ข้าวสาร 1 ทะนานมีราคาเท่าไร"
-พระเจ้าพรหมทัตจึงตรัสถามเจ้าพนักงานตีราคาที่ได้รับสินบนไปแล้ว เขาตอบว่า
"ข้าวสาร 1 ทะนาน มีค่าเท่ากับนครพาราณสีทั้งภายในและภายนอกพะยะค่ะ"
-อำมาตย์ทั้งหลายในที่นั้นฟังแล้ว ก็นึกขันตบมือหัวเราะและกล่าวเย้ยหยันเจ้าพนักงานผู้ตี
ราคา
-พระเจ้าพรหมทัตทรงอดสูพระทัยจึงสั่งปลดและขับไล่เจ้าพนักงานผู้นั้นออกไปทันที แล้ว
ทรงแต่งตั้งบัณฑิตคนเดิมให้กลับมารับตำแหน่งเจ้าพนักงานตีราคาพัสดุอีกครั้ง ม้า 500
ตัวจึงถูกตีราคาใหม่อย่างยุติธรรม
-ผู้ตีราคาคนใหม่ผู้รับสินบน ต่อมากำเนิดเป็น "พระอุทายี"
-บัณฑิตผู้ตีราคาคนเก่า เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
-ข้อคิดที่ได้ เมื่อถูกความโลภเข้าครอบงำย่อมเห็นผิด และเมื่อแสดงความโลภออกมา
ครั้งใดย่อมทำให้เสื่อมอำนาจครับ.ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พระบรมพุทธโธ
ขอบคุณมากครับ ผมอยู่ที่อินโดนีเซีย มีโอกาสได้คุยกับพระที่ไต้หวัน ทำให้รู้ว่าทุกๆปี ตอนตรุษจีน สายมหายานนั้นต้องท่องชื่อพระพุทธเจ้าเป็นหมื่นชื่อครับ ท่านว่าต้องท่องหลายวัน เพราะค่อยๆท่องเป็นคำๆไปเรื่อยๆ
จริงๆตัวผมนั้นใคร่จะรู้ เพราะมีพระธาตุสายมหายาน และเถรวาทเสด็จมาหลายองค์ครับครับ จึงรู้สึกว่าตัวผมนั้น แทบไม่รู้อะไรเลย
ขอบคุณนะครับ<!-- google_ad_section_end --> อินโดนีเซียอตีตเคยเป็นเมืองพุทธที่ยิ่งใหญ่ มีศานสถานที่ไหญโตของพุทะศาสนา ที่ยังคงอยู่ หลวงปู่ศรี มหาวีโรท่านยังเคยไปและใด้แบบมาสร้างเจย์ดีที่ ร้อยเอ็ดใหญ่โตมาก ที่อินโดนีเซียยังมีวัดของท่านอยู่ ใม่รู้ว่ารู้จักหรือเปล่า พระพุทะเจ้าตั้งแต่ตร้สรู้มาก็นับจำนวนใม่ใด้แล้ว ทางฝ่ายมหายาน รู้จักชื่อเยอะ เพราะฝ่ายมหายาน เน้นการเป้นโพธิสัตว์ คือคอยแนะนำ สรรพสัตว์ไปสุ่พุทธเกษตร ต่างๆๆที่มีมากมายดุจเมล็ดทรายในมหาคงคานที เพื่อที่สรรพสัตว์จะใด้เข้านิพพานก่อน ตนเองเข้าทีหลัง -
-
สมัยเสวยชาติเป็นม้าศึกใจเพชร
-มาลองอ่านชาดกตอนพระพุทธองค์สมัยอดีตชาติเกิดเป็น"ม้าศึก" ดูบางครับ
-ดูชีวิตของพระพุทธองค์แล้วก่อนที่ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ธรรมแก่พวกเรา
ท่านช่างเหน็ดเหนื่อยเวียนเกิดเวียนตายไม่หยุด เพราะความตั้งใจอันแนวแน่ที่จะเป็น"พระ
พุทธเจ้า" ฉุดดึงพวกเราให้พ้นจากวัฏฏสงสาร "ชาดกเรื่องนี้จะเห็นถึงความรับผิดชอบใน
หน้าที่ของพระองค์ แม้รู้ว่าจะต้องตายก็ยังบากบั่นทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง"
-ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุรูปหนึ่งมีความตั้งใจปฏิบัติรรม แต่ครั้นเวลาผ่านไปก็ยังไม่เห็น
ผลของการปฏิบัติธรรม "จึงเกิดความเหนื่อยหน่ายคลายความเพียรลง"
-พระพุทธองค์ประสงค์จะอนุเคราะห์ภิกษุรูปนั้น จึงเรียกมาแล้วตรัสเล่าเรื่อง "โภชาชานียะ
ชาดก" เพื่อสร้างกำลังใจแก่พระภิกษุความว่า
-ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัต กรุงพาราณสี พระองค์มีม้าอาชาไนย จากตระกูล
อาชาศึกกลุ่มสินธุชื่อว่า "โภชาชานียะ" เป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาแล้วอย่างดีเยี่ยม มีรูปร่าง
องอาจล่ำสัน มีพละกำลังเป็นเลิศกว่าม้าทั้งปวง มีฝีเท้าเร็วประหนึ่งสายฟ้า
-จนเป็นที่กล่าวว่า เมื่อพระราชาที่ม้าโภชาชานียะเข้าสู่สนามรบแล้ว ต่อให้ข้าศึกมา
พร้อมกันทั้งสิบทิศก็ยังเอาชนะได้ พระเจ้าพรหมทัตจึงโปรดปรานยิ่งนัก ถือว่าม้าตัวนี้เป็น
ม้ามงคลคู่พระบารมี สั่งให้เจ้าหน้าที่ดูแลจัดที่อยู่อย่างดีและอาหารรศเลิศให้ เสมือนจัด
ให้สำหรับบุคคลผู้สูงศักดิ์
-ต่อมาเมื่อพระเจ้าพรหมทัตชราลง ได้มีพระราชาจากนครต่าง ๆ ถึงเจ็ดพระนครร่วมมือกัน
บุกล้อมกรุงพาราณสีไว้ แล้วแต่งทูตมาเจรจาของให้ยอมแพ้ มิฉะนั้นจะตีชิงเมือง
-พระเจ้าพรหมทัตทรงเรียกประชุมอำมาตย์ราชมนตรี ที่ประชุมมีมติให้"แม่ทัพม้า"ที่มี
ความสามารถผู้หนึ่งเป็นผู้ออกศึกครั้งนี้
-แม่ทัพม้าทูลขอม้าโภชาชานียะเพื่อออกรบแล้วให้เหตุผลว่า "แม้ได้ขับขี่อาชานี้ ถึงมี
ศัตรูทั้งชมพูทวีปก็มิควรครั่นคร้ามพระเจ้าข้า"
-พระเจ้าพรหมทัตอนุญาต แม่ทัพม้าได้ขี่ม้าโภชาชานียะนำไพร่พลบุกเข้าทลายค่ายศัตรู
จนพินาศ แม้ว่าข้าศึกจะหนาแน่นเพียงไร ก็ไม่อาจต้านทานการบุกที่หนักหน่วงและรวดเร็ว
ของม้าโภชาชานียะได้ จนกระทั่งสามารถจับพระราชาได้ถึง 5 พระนคร
-แต่ในการจับพระราชาองค์ที่ 6 นั้น ม้าโภชาชานียะถูกธนูยิงบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจทรง
ตัวอยู่ได้ ต้องรีบนำราชาทั้ง 6 เข้าพระนคร ขณะที่เหลืออีก 1 กษัตริย์ที่ล้อมพระนครอยู่
-ม้าโภชาชานียะคิดว่า "ศึกครั้งสุดท้ายนี้หนักที่สุด การที่ท่านแม้ทัพจะขี่ม้าตัวอื่นออกรบ
นั้น ไม่มีทางเอาชนะข้าศึกได้แน่ งานที่เราทำมาจนใกล้จบแล้วก็ต้องเสียไป ท่านแม่ทัพ
ผู้มีฝีมือเป็นเลิศจักพินาศ แม้พระเจ้าพาราณสีก็จะไม่พ้นเงื้อมมือศัตรู เรามองไม่เห็นม้า
ตัวไหนจะสามารถพอที่จะบุกตีค่ายที่เจ็ดลงได้เลย"
-คิดดังนี้แล้ว ม้าโภชาชานียะจึงพยุงตนให้ลุกขึ้น "ข่มความเจ็บปวด" พาแม่ทัพบุก
ตะลุยเข้าทำลายค่ายที่เจ็ดสำเร็จ เมื่อจับพระราชาองค์ที่ 7 ได้แล้วก็สิ้นแรงล้มลงทันที
-พระเจ้าพรหมทัตเสด็จมาดูอาการม้าโภชาชานียะแล้ว ทรงสวมกอดด้วยความห่วงใย
และยิ่งเห็นว่าได้รับบาดเจ็บทุกเวทนาสาหัสก็รู้สึกปวดร้าวพระทัย
-ม้าโภชาชานียะกราบทูลพระราชาขอให้อภัยโทษแก่"กษัตริย์ทั้ง 7 อย่าฆ่า และอย่าให้
เอาโทษกับแม่ทัพม้า เพราะเหตุที่นำข้าพเจ้าไปรบให้บาดเจ็บ อิสริยยศใดที่ข้าพเจ้าจะได้
ขอให้ยกให้แม่ทัพม้าทั้งหมด"
-นอกจากนี้ยังทูลขอให้"พระราชาทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีลและครองราชสมบัติโดยธรรม
ตลอดไป" กล่าวจบก็สิ้นใจจากไป
-พระเจ้าพรหมทัตโปรดให้ทำพิธีศพม้าโภชาชานียะอย่างสมเกียรติและทรงปฏบัติตามคำ
ทูลของม้าโภชาชานียะทุกประการ
-พระเจ้าพรหมทัต ต่อมากำเนิดเป็น "พระอานนท์"
-แม่ทัพม้า ตจ่อมากำเนิดเป็น "พระสารีบุตร"
-ม้าโภชาชานียะ เสวยชาติเป็น "พระพุทธเจ้า"
-ข้อคิดที่ได้ ผู้ใดมีความวิริยะไม่ยอมแพ้เหมือนม้าโภชาชานียะ ย่อมเกิดพลังยิ่งใหญ่บรรลุ
ต่อการงานที่รับผิดชอบได้เสมอครับ.ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
พี่อุตตโมมีหนังสือพระพุทธเจ้าห้าสิบชาติหรอครับ ยืมอ่านบ้างซิครับ ผมก็มีเยอะน่ะครับ สัปดาห์หนังสือแห่งชาติดูดเงินผมไปทุกปีเลย
-
-มีอยู่ครับ"น้องชาย" อีกเล่มไปค้นเจอเป็นหนังสือเก่า เขียนว่า"พระเจ้า 500 ชาติ" แต่ไป
เปิดดูกลายเป็นเล่มสุดท้ายเป็นพระเจ้าสิบชาติ พิมพ์ปี 2515 แต่บุคคลส่วนใหญ่ค่อนข้าง
รู้แล้วเรื่องพระเจ้าสิบชาติแล้ว จึงไม่ได้นำเสนอ
-ชาดกเป็นเรื่องอดีตชาติของพระพุทธองค์ ที่ถ้าได้รับรู้แล้วมีเสน่ห์ชวนให้ติดตาม เพราะ
จะเพลิดเพลินและให้ข้อธรรมไปในตัว
-ผู้อ่านสามารถซึมซับคุณธรรมได้เรื่อย ๆ จนอาจมีปัญญานำมาสร้างกฏเกณฑ์ของชีวิตที่
เคยล้มเหลวมาแล้วขึ้นมาใหม่ เพื่อต่อสู้ชีวิตที่เป็นอยู่อย่างล้มเหลวได้ครับ. -
เคยเจอในงานหนังสือแห่งชาติครับ แต่แพงมากพี่พันกว่าบาทเลยทีเดียวเชียวแหละครับ
พี่มีหนังสือเรียนอักระขอมหรือป่่าว -
แรงอธิษฐานของลูกนกคุ่ม
- "นกคุ่ม"ที่พระอาจารย์หลายท่านทั้งในอดีตและปัจจุบัน นำมาสร้างเป็นวัตถุมงคลก็มา
จากชาดกเรื่องนี้ อีกทั้ง"พระคาถาที่ท่องบ่น" ก็คือ "คำอธิษฐานของพระโพธิสัตว์ลูกนก
คุ่มในชาดกนี้" ครับ เพราะพระอาจารย์หลายท่านได้รู้ซึ้งถึงคุณวิเศษของชาดกนี้จึงนำ
มาสร้างให้เกิดมงคลและมอบให้แก่ผู้ที่เคารพนับถือนำไปบูชา
-แต่ในชาดกเรื่องนี้ จะทำให้เห็นความจริงอยู่ข้อหนึ่งของสัตว์ส่วนใหญ่ที่ยามมีภัยมาถึงก็
สามารถทิ้งลูกรักของตนได้ ไม่อยากจะเอ่ยถึง"น้องเล็ก ๆ 2002 ศพเลยครับ"
-มาดูความลำบากของพระพุทธเจ้าสมัยเกิดเป็น"ลูกนกคุ่ม"ดูบ้างครับ เพราะพระองค์รับ
ผลกรรมบางอย่างจึงทำให้มาบังเกิดเป็น"ลูกนกคุ่ม" แต่พระองค์ท่านไม่เคยล้มเลิกความ
ตั้งใจที่จะเป็นพระพุทธเจ้า คือ "ลาพุทธภูมิ"ครับ
-ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปยังชนบทแห่งหนึ่งในแคว้นมคธ
วันหนึ่งได้นำพาภิกษุเข้าไปในป่าลึกเพื่อหาที่สงบเจริญภาวนา
-ขณะนั้น ไฟป่าได้ลุกไหม้ลามเข้ามา ภิกษุมองไปรอบ ๆ เพื่อหาทางหนี ก็มีแต่ไฟล้อมไว้
ทุกทิศ
-พระภิกษุกลุ่มหนึ่งจึงชวนกันจุดไฟขวางไฟป่า ซึ่งเป็นการจุดไฟขึ้นดักไฟป่าที่กำลัง
ลุกลามเข้ามา เมื่อไฟป่าลุกลามเข้ามาถึงบริเวณที่ไฟไหม้ไปแล้วก็ไม่ลุกเข้ามาอีก เพราะ
เชื้อไฟและออกซิเจนที่ช่วยให้ไฟติดหมดไปกับไฟกองใหม่
-ในขณะที่กำลังใช้ไม้สีไฟอยู่ พระภิกษุอาวุโสได้เข้ามาห้ามว่า "ไม่ควรทำสิ่งใดโดย
พลการ ขณะที่ตามเสด็จพระพุทธองค์ ควรไปเฝ้ารายงานให้ทรงทราบก่อน"
-ในขณะที่เปลวไฟกำลังโหมลุกลามเข้ามาอย่างรวดเร็วจนใกล้เข้ามา พระพุทธองค์ทรง
ยืนอยู่อย่างสงบท่ามกลางหมู่สงฆ์
-ทันใดนั้น เปลวไฟที่ลุกโหมอยู่นั้น กลับหยุดและดับสนิทเป็นอาณาบริเวณรัศมี 16 กรีส
(1กิโลเมตร) ยังความอัศจรรย์แก่ภิกษุสงฆ์ยิ่งนัก จึงพากันสรรเสริญพระพุทธคุณว่า
"พระพุทธองค์ทรงมีอานุภาพยิ่งนัก แม้ไฟป่าซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจ ยังไม่อาจไหม้ลามมาถึงที่ที่
พระพุทธองค์ประทับอยู่ได้"
-พระพุทธองค์ได้สดับถ้อยคำ จึงตรัสขึ้นว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายการที่ไฟป่าไหม้เข้ามาถึง
บริเวณนี้แล้วดับลงเองนั้น มิใช่เป็นเพราะอานุภาพของตถาคตในบัดนี้ แต่เป็นเพราะ
อำนาจแห่งสัตยาธิษฐานของตถาคตในชาติก่อนโน้นและนับแต่ชาตินั้นมา ที่บริเวณนี้ไฟจัก
ไม่ไหม้เป็นอันขาด และจะเป็นปาฏิหาริย์เช่นนี้ตลอดกัป"
พระภิกษุจึงกราบทูลอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่อง พระพุทธองค์จึงนำ"วัฏฏชาดก"มาตรัสเล่า
ดังนี้
-ในอดีตกาล ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่งในแคว้นมคธ ได้เกิดไฟไหม้ป่ากินอาณาบริเวณกว้าง
ขวาง บรรดานกที่มีกำลังน้อยต่างถูกควันไฟและไอร้อนตกลงในกองไฟเป็นจำนวนมาก
-"ลูกนกคุ่ม"ตัวหนึ่ง เพิ่งออกจากไข่ได้ไม่กี่วัน ได้ชะเง้อคอขึ้นจากรังเห็นไฟกำลังไหม้เข้า
มาใกล้ทุกที ๆ ด้วยอานุภาพแห่งความดีที่ได้ตั้งใจทำมานับภพนับชาติไม่ถ้วน แม้จะเกิด
เป็นนก ลูกนกคุ่มที่ยังอ่อนหัดก็คุมสติตัวเองได้ สามารถระลึกถึงคุณแห่ง"ศีลและสัจจะ"
-ลูกนกคุ่มจึงระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต เพื่อป้องกันภัยที่ตนกำลัง
เผชิญอยู่ขณะนั้น กระทำสัตยาธิษฐานว่า "ปีกของเรามีอยู่แต่บินไม่ได้ เท้าทั้งสองของ
เรามีอยู่แต่ก็เดินไม่ได้ พ่อแม่ของเรามีอยู่แต่ก็บินหนีเราไปเสียแล้ว ด้วยสัจวาจานี้ ไฟ
เอ๋ย แม้เจ้าจะไม่มีชีวิตจิตใจ ก็จงถอยกลับไปเสียเถิด อย่าได้ทำอันตรายแก่เราและสัตว์
ทั้งหลายเลย"
-ด้วยบุญญาบารมีที่ลูกนกคุ่มเคยบำเพ็ญมา และด้วยสัตยาธิษฐานนี้ เปลวไฟที่กำลังลุกไล่
เข้ามาจึงดับสนิทดุจเพลิงที่ไหม้มาเจอแม่น้ำกั้นเป็นรัศมี 16 กรีส จากรังของลูกนกคุ่มนั้น
เอง และที่ตรงนั้นก็จะไม่เกิดไฟไหม้ขึ้นเลยตลอดมา
-พ่อแม่ของลูกนกคุ่ม ต่อมากำเนิดเป็น"พระเจ้าสุทโธทนะ" และ"พระนางสิริมหามายา"
-ลูกนกคุ่ม เสวยชาติเป็น "พระพุทธเจ้า"
ข้อคิดที่ได้ ผู้มีศรัทธาเชื่อมั่นรำลึกถึงพระศาสดาของตน ยังผลให้แรงอธิษฐานเป็นจริง
ได้ครับ.ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หน้าหนึ่งที่เขาเขียนเป็น"ภาษาขอม"ไว้ ให้ไปนึกถึงตอนเราเรียน"หลักภาษา
ไทย" จะอ่านอยู่บรรทัดแรกว่า "กะ ขะ คะ ฆะ งะ" บรรทัดต่อมาเป็นฯลฯ "เล่ม
เก่า ๆ จะมีอยู่ แล้วพี่จะหาไปให้"
-ลองอ่านบทพุทธคุณเช่น " อิ ติ ปิ โส ฯ" แล้วเทียบตัวอักษรเดี๋ยวก็อ่านได้
-ชาดกเดี๋ยวขอย่อมาเขียนก่อน เดี๋ยวเอาไปให้อ่านครับ" -
ผมก็มีหนังสือแนวหมอสม สุจีรา อยู่ครับ วิทยาศาสตร์ธรรมมะ สนป่าวครับพี่ แต่หลังจากผมเจออะไรที่มันตรงข้ามกับที่หมอสม สุจีราอธิบาย ด้วยตัวเอง ผมก็ไม่ค่อยจะเชื่อหนังสือแกแล้วหล่ะครับ เพราะเขาบอกเขาเกิดปัญญาญาณจากวิปัสสนาญาณ แล้วก็อธิบายได้ แต่ว่ามันไม่ค่อยใช่เท่าไหร่ครับ อย่างว่าซื้อความคิดเขามาอ่านก็อย่างนี้แหละครับ
-
หรอก แต่ฟังความคิดเห็นของ"น้องชาย" แล้ว อย่าเพิ่งเลยครับ. -
มีเจาะตำนานพระนเรศวรครับ อ่านสนุกดีครับ ท็อปซีเคร็ต ก็ดีครับ ถ้าไม่ลืมเด๋วจัดให้ครับ
ชีวิตก็หมดกับพระเครื่อง และก็หนังสือ ไปเยอะครับ ยืมยาวได้พี่ เพราะอ่านไปสองรอบแล้ว แต่เพื่อนผมยืมแล้วหายนี่ซิ งง หายได้งัย มันน่าจะหายยากน่ะพี่ เล่มตั้งใหญ่ ไม่ใช่กระดาษแผ่นเดียว แล้วก็หาซื้อไม่ได้ เพราะผมก็อยากเก็บไว้บริจาคห้องสมุด -
พี่ชายหายไปไหนครับ สองสามวันแล้ว สงสัยพาลูกเที่ยว
-
-กลับมาแล้วครับ"น้องชาย" -
-
-แต่ที่ไม่ได้มาโพสเพราะ"งานเพียบครับ"
หน้า 6 ของ 47