พระโพธิสัตว์ พระผู้ทรงเป็นดั่งพลังของแผ่นดิน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย 5314786, 3 พฤษภาคม 2014.

  1. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    เก็บเงินซื้อจักรยาน

    ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน
    เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า

    'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ
    หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน

    ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ได้ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2015
  2. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ในหน้าแรก ท่านที่โพสท์ไม่เห็นด้วยนั้น อยากจะถามว่าท่านเป็นคนไทยหรือเปล่า
     
  3. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    ช่างดูแลรถพระที่นั่ง นำ "พรในหลวง" ปลดหนี้ ๑๐ ล้านได้สำเร็จ

    เปิดใจ “อนันต์ ร่มรื่นวาณิชกิจ” ช่างดูแลรถยนต์พระที่นั่ง นำพรจากในหลวงคือ “ประมาณตน” เป็นหลักนำชีวิต จนสามารถปลอดหนี้สิน 10 ล้านได้สำเร็จ พร้อมเปิดเผยว่า พระองค์ทรงงานหนักเพื่อพสกนิกร ภายในรถยนต์พระที่นั่งไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก

    ในการบันทึกรายการตีสิบ ช่วงหนึ่งนายวิทวัส สุนทรวิเนตร์ พิธีกรรายการ ได้สัมภาษณ์นายอนันต์ ร่มรื่นวาณิชกิจ ช่างดูแลรถยนต์พระที่นั่ง

    นายอนันต์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเข้าไปดูแลรถยนต์พระที่นั่งว่า เดิมเป็นช่างทำสีรถยนต์ทั่วไป กระทั่งเมื่อประมาณปลายปี 2541-2542 มีคนมาคุยที่ร้าน แต่งชุดธรรมดามาบอกว่าจะให้ทำสีรถยนต์พระที่นั่ง ตอนนั้นคิดว่าล้อเล่นจึงปฏิเสธ

    ไม่นานเขานำรถยนต์ รยล. และแต่งชุดเต็มยศเข้ามาหาที่อู่ พร้อมทั้งจดหมายจากสำนักพระราชวัง บอกว่าพรุ่งนี้ให้แต่งชุดสุภาพเพื่อเตรียมเข้าวังไปพบท่านรองราชเลขาธิการ พอเข้าไปในสวนจิตรลดา ท่านรองฯ ถามว่าจะให้ดูแลทำสีรถยนต์พระที่นั่งทั้งหมด จะทำได้ไหม ก็รับคำทันที

    ส่วนรถยนต์พระที่นั่งคันแรกที่ได้ทำนั้น นายอนันต์ กล่าวว่า คือรถโรลส์รอยซ์ ที่เป็นรถยนต์พระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ในพระราชพิธีสวนสนาม วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี

    “เราเห็นเข่าอ่อนเลย วันแรกที่เห็นรถก็นั่งมองรถตั้งแต่ 9 โมง ถึงตีสาม และฝากให้สารถีถามท่านว่าท่านโปรดสีรถยนต์ยี่ห้อไหน แต่ท่านมีรับสั่งกลับว่าให้ใช้สีที่นายช่างใช้ ก่อนที่เราจะทำสีรถก็ก้มกราบที่เยื้องพระบาทขึ้นรถยนต์

    จากนั้นจึงเริ่มทำ ระหว่างที่ทำก็ต้องติดกล้องวงจรปิดส่งภาพให้ทางสำนักพระราชวังดู และมีตำรวจมาคอยตรวจดู ตอนนั้นเรานอนเฝ้ารถยนต์พระที่นั่งเลย ตอนที่ซ่อม

    แม่มาเห็นเข้าก็บอกว่าให้เราซ่อมถวายท่านเลยได้มั้ย เพราะว่าแม่เป็นคนจีนโล้สำเภา
    มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารจากท่าน อยากจะตอบแทนคุณท่าน ให้ลูกทำแทนแม่ได้มั้ย
    เราก็รับคำแม่ทันทีว่าได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเศรษฐกิจไม่ดี เราเป็นหนี้อยู่ 10 ล้าน
    แต่เราก็พยายามทำงานให้ท่านอย่างดีที่สุด” นายอนันต์ กล่าว


    ช่างดูแลรถยนต์พระที่นั่ง เล่าอีกว่า พอทำสีรถยนต์ไปได้สัก 7 คัน มีผู้ใหญ่ทำจดหมายขึ้นกราบบังคมทูลพระองค์ท่านว่า นายช่างทูลเกล้าฯ ถวายค่าซ่อมรถทั้ง 7 คัน ก็มีรับสั่งมาว่าขอบใจ

    [​IMG]

    แต่ตอนหลังสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีรับสั่งให้สารถีมา
    บอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไม่โปรดที่นายช่างทำแบบนี้

    อยากให้นายช่างรู้จักประมาณตน ว่า อะไรควรถวาย อะไรไม่ควรถวาย


    “ท่านคงรู้ว่าผมมีปัญหาหนี้สินมาก ท่านก็เลยเตือนสติ ผมถือว่าเป็น
    "พร" ที่นำคำว่ารู้จักประมาณตน มาใช้จนทุกวันนี้” นายอนันต์ กล่าว


    นายอนันต์ เล่าต่อว่า นอกจากรถยนต์พระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ยังดูแลรถยนต์พระที่นั่งของพระบรมวงศานุวงศ์ด้วย

    “ครั้งหนึ่งผมต้องซ่อมรถตู้เชฟโรเลต ซึ่งเป็นรถที่
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
    สมัยท่านเรียนจบที่จุฬาฯ และเป็นคันโปรดของท่านด้วย
    ก่อนซ่อมข้างประตูด้านที่ท่านประทับเวลาฝนตกจะมีน้ำหยด


    แต่หลังจากที่ซ่อมแล้ว วันหนึ่งท่านก็รับสั่งกับสารถีว่า วันนี้รถดูแปลกไป
    น้ำไม่หยด อย่างนี้ก็ไม่เย็นน่ะสิ แต่ก็ดีเหมือนกันไม่ต้องเอากระป๋องมารอง”

    นายอนันต์ เล่าถึงพระอารมณ์ขันของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

    นายอนันต์ เปิดเผยว่า ภายในรถยนต์พระที่นั่งของแต่ละพระองค์นั้น เรียบง่ายมากไม่มีอะไรเลยที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวก มีแต่ถังขยะเล็ก ๆ กับที่ทรงงานเท่านั้น

    ส่วนการได้มีโอกาสดูแลรถยนต์พระที่นั่ง ทำให้ได้เห็นถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยนั้น นายอนันต์ กล่าวว่า ครั้งหนึ่งมีรถยนต์พระที่นั่งที่เพิ่งทรงใช้ในพระราชกรณียกิจมาทำ เห็นว่าพรมใต้รถมีน้ำแฉะขังอยู่และมีกลิ่นเหม็นด้วย แสดงว่าพระองค์ท่านทรงนำรถไปทรงพระราชกรณียกิจในที่ที่น้ำท่วม แถมน้ำยังซึมเข้าไปในรถพระที่นั่งด้วย แสดงว่าน้ำก็ต้องเปียกพระบาทมาตลอดทาง จึงถามสารถีว่า ทำไมไม่รีบเอารถมาซ่อม ก็ได้คำตอบว่าต้องรอให้เสร็จพระราชกรณียกิจก่อน

    เมื่อพิธีกรถามว่า จากการที่ได้มีโอกาสรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ได้เห็นถึงความพอเพียงของพระองค์อย่างไร

    นายอนันต์ ตอบว่า “ปกติถ้าทรงงานส่วนพระองค์ ท่านก็ใช้รถคันเล็กเพื่อประหยัดน้ำมัน และเมื่อเราสังเกตสีรถพระที่นั่ง จะเห็นว่ามีรอยสีถลอกรอบคันรถ กว่าที่ท่านจะนำมาทำสีใหม่ก็รอบคันแล้ว แต่คนใช้รถอย่างเราแค่รอยนิดเดียวก็รีบเอามาทำสีแล้ว

    และครั้งหนึ่งระหว่างที่ผมกำลังประสานงานไปรับรถพระที่นั่งของสมเด็จพระเทพฯ ก็มีวิทยุของข้าราชบริพารบอกกันว่ารถติดมาก สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯ ขึ้นรถไฟฟ้าไปแล้ว”

    ในช่วงตลอดเวลา 10 ปี ที่ปฏิบัติงานถวายนั้น นายอนันต์กล่าวว่า พระราชกระแสรับสั่งที่ให้เราประมาณตน ทำให้เรายึดมั่นคำนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันมาโดยตลอด ทำงานด้วยความสุจริต ไม่เอาเปรียบใคร

    “เชื่อมั้ยว่าชีวิตจากที่เป็นหนี้ 10 ล้าน ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ
    ขยายกิจการมาโดยตลอด ครอบครัวมีความสุข คุณแม่ที่เคยขอให้เราทำงานเพื่อตอบแทนพระคุณท่าน ก็อายุ 90 ปีแล้ว แต่ท่านยังแข็งแรงอยู่ เหมือนสิ่งที่ผมทำไปทั้งหมดเป็นพรที่สะท้อนกลับมาหาผมเป็นทวีคูณ”

    นายอนันต์ กล่าวในตอนท้าย.

    ..............................................

    ขอบคุณที่มาจาก We Love Thai King | We Love Thai King
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • thai_king.jpg
      thai_king.jpg
      ขนาดไฟล์:
      147.9 KB
      เปิดดู:
      2,522
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2015
  4. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    พ่อท่านคล้ายกับในหลวง

    เมื่อเจ้าพนักงานนำพ่อท่านเข้านั่งรอ ณ ห้องตอนรับ รอในหลวงเสด็จออก
    ท่านว่า "ขณะที่รอพระองค์ท่าน หัวใจเต้นเหมือนอยู่ในปากถ้ำราชสีห์ เจ้านายนี่ตะบะเดชะล้นเหลือ"
    เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกมา และก้มกราบ ทำให้ใจอิ่มเอิบพองคับอก ชื่นชมในพระบารมี ช่างสวยงามน่าเกรงขามยิ่งนัก ในหลวงสนทนาไต่ถาม โดยมีปลัดสุพจน์ชี้แจงถวายระหว่างคำสำเนียงใต้ กับสำเนียงภาษากลางกับนายหลวง
    จนในที่สุด ในหลวงก้มพระเศียร เข้าใกล้พ่อท่าน ด้วยพระราชประสงค์
    ให้พ่อท่านพรมน้ำมนต์ให้พร ด้วยทรงพระศรัทธาเคารพ ตรงนี้พ่อท่านพูดว่า

    "ขนพองไปหมด พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกฤษดาอภินิหาร ครองบ้านเมือง
    จะมาก้มให้พระป่าลูบพระเศียรได้อย่างไร ท่านเป็นถึงเทวดาของปวงชนเป็นเทพสมมติ"

    เลยกราบทูลว่า"มหาบพิตร ได้ทรงโปรดยื่นพระหัตถ์มาเถิด" ในหลวงทรงเงยพระพักตร์ ยิ้มละไม และทรงยื่นพระหัตถ์ทั้งสองยื่นไปหาท่าน พ่อท่านจับพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นเสมออกไปหาท่าน พ่อท่านจับพระหัตถ์ทั้งสองยกขึ้นเสมออก อธิฐานพรชัยมนต์คาถาถวาย แล้วเอาน้ำมนต์พรมใส่ฝ่าพระหัตถ์ ให้ในหลวงทรงยกขึ้นพรมพระเศียรด้วยพระหัตถ์ของพระองเอง พ่อท่านก็ถวายพรตลอดเวลา ในหลวงทรงอิ่มเอิม ปลาบปลื้ม พระราชหฤทัย และทรงปวารณส ทรงรับอุปฏฐากเป็นส่วนพระองค์
    จึงได้ถามท่านว่า พ่อท่านถวายของดีอะไรให้ในหลวงบ้าง
    พ่อท่านว่า "ไม่ให้เทวดาผู้เป็นยอดคนแล้ว จะให้ใครเล่า ในหลวงองค์นี้
    ทรงมีบุญญาภินิหาร ทรงทศพิศราชธรรมบริบูรณ์ ใครจะคิดร้ายทำอะไรพระองค์หาได้ไม่"


    จากหนังสือ ตามรอยพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2015
  5. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    ไฟไหม้บ้านไม้สักวอด พระบรมฉายาลักษณ์ไม่ไหม้

    เกิดเพลิงไหม้บ้านไม้สักสองชั้นที่ อ.พบพระ จ.ตาก วอดทั้งหลัง รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้เสียหาย ร่วม 2 ล้าน แต่น่าอัศจรรย์ที่พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง ที่เสียบบูชาไว้ที่ฝาบ้าน ถูกไฟไหม้เพียงเล็กน้อยและไม่ไหม้ส่วนที่เป็นพระพักตร์
    .
    เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 23 ก.พ. 58 ร.ต.ต.สมคะเน วงศ์ใหญ่ ร้อยเวร สภ.พบพระ จ.ตาก รับแจ้งเหตุไฟไหม้บ้าน ที่บ้านพบพระใต้ ต.พบพระ อ.พบพระ จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วย นายสมบูรณ์ ตันกรณ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลพบพระ เจ้าหน้าที่ร้อย ฉก.ตชด.348 และประสานเจ้าหน้าที่ ปภ.เทศบาล กับ อบต.พบพระ นำรถดับเพลิงเข้าไปฉีดน้ำสกัดดับเพลิง
    .
    ที่เกิดเหตุพบเพลิงลุกไหม้บ้านเลขที่ 166/2 หมู่ 3 บ้านพบพระใต้ ของนายอินแสง ยาสกุล อายุ 55 ปี เป็นบ้านไม้สักสองชั้นใต้ถุนสูง ถูกเพลิงเผาวอดทั้งหลัง คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย ประมาณ 2 ล้านบาท ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต โดยมีผู้อาศัยอยู่ในบ้านด้วยกัน 5 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 3 คน ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้ คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร

    [​IMG]

    อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าอัศจรรย์ต่อผู้พบเห็น ที่ข้าวของเครื่องใช้จำนวนมาก รวมทั้งโครงสร้างต่างๆ ของตัวบ้าน ได้เสียหายไปในกองเพลิง แต่ยังเหลือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสียบติดอยู่กับฝาบ้าน ถูกไฟไหม้ไปเพียงเล็กน้อยบางส่วนเท่านั้น ยังเห็นภาพพระพักตร์ได้อย่างจัดเจน

    เนื้อหาข่าวจาก http://www.thairath.co.th/content/482961
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2015
  6. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG][​IMG]

    เสรีภาพ

    "...เราก็ปรารถนาจะให้ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพเต็มที่ แต่ต้องมาพิจารณาดูว่า
    เสรีภาพนั้นน่ะ..คืออะไรไม่ทราบว่าเคยพูดในที่นี้แล้วหรือเปล่า..

    ว่าเสรีภาพของแต่ละคนน่ะมี..มีเต็มที่ทีเดียว แต่ละคนจะทำอะไรก็ได้
    จะทำตัวเป็นอันธพาลก็ได้ อยากจะทำอะไรที่เสียหายๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น

    แต่ว่ามีหลักอยู่ว่า..กรรมเป็นของแต่ละคน แต่ละคนทำกรรมใด หมายความกระทำอะไรจะต้องเกิดผลทั้งนั้น ผลจะดีถ้าทำกรรมดี เพราะกรรมดีก็คือ ทำสิ่งอะไรมีความรอบคอบแล้วคิดให้รอบคอบ

    ..ทีนี้ก็เรื่องเสรีภาพ เราจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ว่าต้องมีอีกอย่างหนึ่ง คือคนหนึ่งมีเสรีภาพ อีกคนหนึ่งก็มีเสรีภาพเหมือนกัน ถ้าเสรีภาพนั้นมันก้าวก่ายกันจะทำอย่างไร เหมือนในหอประชุมนี้นั่งกันอย่างหนาแน่น แต่ถ้าคนหนึ่งอยากจะนั่ง หรืออยู่ในที่ที่อีกคนนั่งอยู่ก็ออกจะลำบาก ไม่ใช่ว่าเกือบจะเกิดทะเลาะวิวาทกัน แต่ว่าเป็นการที่ทำไม่ได้...

    ..จึงมีหลักว่า เสรีภาพของแต่ละคน.. ก็มีการจำกัดโดยเสรีภาพของคนอื่น
    มีอยู่แค่ไหน เราก็จะต้องเคารพ เคารพนับถือเสรีภาพของผู้อื่น..."


    พระบรมราโชวาทแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ๒๐ กันยายน ๒๕๑๒
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 61336.jpg
      61336.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103.6 KB
      เปิดดู:
      1,609
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2015
  7. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG][​IMG]

    'อธรรมปราบอธรรม'

    เราคุ้นเคยกันดีกับ'ธรรมะย่อมชนะอธรรม' หากแต่ 'อธรรมปราบอธรรม'
    คือแนวพระราชดำริหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการนำผักตบชวามาบำบัดน้ำเสีย


    การตั้งโรงงานบำบัดน้ำเสีย ที่คำนวนว่าต้องใช้งบประมาณหลายร้อยล้านบาท
    ในหลวงของเราบอกว่าใช้ไม่กี่แสนบาทก็บำบัดได้

    มีรับสั่งว่าเห็นไหมว่าน้ำเน่ามันก็เป็นอธรรม ผักตบชวาที่เราไม่ต้องการ
    มันก็เป็นอธรรมเหมือนกัน..ฉันจะเอาอธรรมสู้กับอธรรม ให้มันออกมาเป็นธรรมะให้ได้'


    จะเห็นได้ว่ารับสั่งของในหลวง จะ'เรียบง่าย' แต่ว่า'ลึกซึ้ง' พระองค์ไม่นิยมของแพงหรือลงทุนสูง ทรงประยุกต์คุณสมบัติของธรรมชาติแวดล้อมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01.jpg
      01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48 KB
      เปิดดู:
      1,846
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2015
  8. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    พระอารมณ์ขัน...'อยากรู้เหมือนกัน'

    เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีมีพระชนมายุ ๘ พรรษา
    ทรงทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า

    "ข้าวสาร ๑ กระสอบมีกี่เม็ด?"

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายว่า

    ข้าวสาร ๑ กระสอบมีน้ำหนัก ๑๐๐ กิโลกรัม..กิโลกรัมหนึ่งมีเครื่องชั่งวัดได้ ๑๐ ขีด

    ดังนั้นก็เอาภาชนะไปตวงข้าวสารมาชั่งได้ ๑ ขีด..แล้วนับข้าวสารที่ตวงมานั้นว่ามีกี่เม็ด..
    แล้วก็เอา ๑๐ คูณ..เสร็จแล้วก็เอา ๑๐๐ คูณผลลัพธ์อีกที..ก็จะได้จำนวนเมล็ดข้าวสารใน ๑ กระสอบ

    สมเด็จพระเทพฯ ทรงทูลว่า
    "ไม่อยากรู้แล้ว"

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนว่า..ไม่ได้หรอก หากถามก็แสดงว่าอยากรู้ ดังนั้นจงไปทำการหาข้าวสารมาตวงและนับเสีย เมื่อได้ผลเป็นอย่างไรให้มาบอกด้วยว่าข้าวสาร ๑ กระสอบมีกี่เม็ด?...
    ..เพราะว่าก็อยากรู้เหมือนกัน

    ขอบคุณที่มาจากเพจ ตามรอยพ่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2015
  9. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    'ต้องแข็งใจ'

    คุณพิชัย วาสนาส่ง ปูชนียบุคคลในวงการสื่อสารมวลชนที่ผู้เขียนเคารพนับถือ ได้เล่าถึงเบื้องหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ซึ่งปวงชนชาวไทยได้เห็นภาพพิธีการอันสง่างามและศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ว่า...
    วันหนึ่งผมได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านก็ตรัสกับผม...

    "...เธอรู้ไหม นั่งอยู่บนนั้นน่ะ ไม่ได้มีความสุขอะไรนักหนาหรอก คนข้างนอกก็ดูว่ามันสวยงามดี แต่ก็นั่นแหละ ฉันนั่งอยู่ในเครื่องทรงราชภูษิตาภรณ์ต่างๆ มีเครื่องทรงที่เต็มยศเต็มที่ เธอรู้ไหมว่าน้ำหนักที่อยู่บนตัวฉันหนักเพียงไหน รวมทั้งความร้อนที่อบภายใน...

    ...ขณะเดียวกัน ผู้ที่หามเสลี่ยงอยู่นั้น ก็ไม่แน่ใจว่าใครจะอ่อนเปลี้ยลงไป
    ถ้าใครคนหนึ่งหมดกำลังและล้มลง มันก็จะเสียความงามไป
    ฉันก็นึกอยู่ในใจว่าต้องแข็งใจ...ในเมื่อคนโบราณเขาทำกันได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้
    คนที่มาดูมาเห็นอยู่ตอนนั้นก็เป็นหมื่นๆ คน ให้เขารู้ว่า เมืองไทยมีวัฒนธรรมและความสามารถสืบทอดโบราณราชประเพณีมาได้ครบถ้วน"

    ขอบคุณที่มาจาก
    https://www.facebook.com/mineroyalty
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2015
  10. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    'ทำกรรมดีต่อไป...อย่าท้อใจ'

    "...แม้เราจะไปในที่ที่อันตรายที่สุด ถ้าเราทำกรรมดี
    เขาบอกว่าไม่ต้องกลัวไม่ต้องมี..ที่เรียกว่าของขลังเหมือนกัน
    ความขลังที่สุด คือกรรมที่เราทำ ถ้าเราทำกรรมดีทำต่อไป..อย่าไปท้อใจ
    ถึงทำดีเท่าไรๆ ไม่เห็นได้อะไรเลย หารู้ไม่ว่าต่อไปนะไม่แน่บางทีภายในวินาทีเดียวก็ได้แล้ว..."

    พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    พระราชทานแก่คณะชาวพุทธแขวงห้วยขวาง เขตพญาไท
    ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
    เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๘

    ขอบคุณที่มาจาก https://www.facebook.com/mineroyalty
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 12.jpg
      12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      171.3 KB
      เปิดดู:
      1,748
  11. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    'สุขไม่ได้'

    "...คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก
    ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลังความสามารถเท่าที่จะทำได้..."


    พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    ขอบคุณที่มาจาก https://www.facebook.com/mineroyalty
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    ป่า น้ำ ดิน

    เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล่าถึงแรงบันดาลใจ
    ในความสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง ป่า น้ำ ดิน
    ซึ่งโยงใยมีผลกระทบต่อกัน ตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ว่า

    ".....อาจมีบางคนเข้าใจว่า ทำไมถึงสนใจเรื่องชลประทาน หรือ เรื่องป่าไม้ จำได้เมื่ออายุ 10 ขวบ ที่โรงเรียนมีครูคนหนึ่ง ซึ่งเดี๋ยวนี้ตายไปแล้ว สอนเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องการอนุรักษ์ดินแล้วให้เขียนว่า
    ภูเขาต้องมีป่า อย่างนั้นเม็ดฝนลงมาแล้วจะชะดินลงมาเร็ว ทำให้ไหลตามน้ำไป
    ไปทำความเสียหาย ดินหมดจากภูเขาเพราะไหลตามสายน้ำไป

    ก็เป็นหลักของป่าไม้ เรื่องการอนุรักษ์ ดิน
    และเป็นหลักของชลประทานที่ว่า ถ้าเราไม่รักษาป่าไม้ข้างบนจะทำให้เดือดร้อนตลอดตั้งแต่
    ดินภูเขาจะหมด ไปกระทั่งการที่จะมีตะกอนลงมาในเขื่อน
    มี ตะกอนลงมาในแม่น้ำทำให้น้ำท่วมนี่นะ เรียนมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ....."
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • forest.jpg
      forest.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.3 KB
      เปิดดู:
      1,659
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  13. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    ใจที่เข้มแข็ง


    "...ความเข้มแข็งในจิตใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องฝึกฝนแต่เล็ก

    เพราะว่าต่อไป ถ้ามีชีวิตที่ลำบาก ไปประสบอุปสรรคใดๆ
    ถ้าไม่มีความเข้มแข็ง..ไม่มีความรู้...ไม่มีทางที่จะผ่านอุปสรรคนั้นได้
    เพราะว่าถ้าไปเจออุปสรรคอะไร...ก็ไม่มีอะไรที่จะมาช่วยเราได้

    แต่ถ้ามีความรู้...มีอัธยาศัยที่ดี...และมีความเข้มแข็ง..ในกาย..ในใจ
    ก็สามารถที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ นั้นได้..."


    พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิต
    ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
    วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๘
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    การพัฒนา

    “...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน
    พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้อง
    ตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว
    จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]


    'เผยแพร่ความรู้ เป็นการสร้างบารมี'


    "...ผู้ใดมีความรู้ใดก็ควรจะเผยแพร่ออกไปให้คนอื่นทราบ
    เพราะว่าการเผยแพร่ความรู้ความสามารถไปให้คนอื่นนั้นไม่ได้เสียประโยชน์ใดๆ

    เพราะว่า ความรู้และความดี เมื่อเผยออกไปยิ่งทวีคูณขึ้น ไม่ได้หมดไปจากตัว
    ยิ่งทำดี ยิ่งทำให้คนอื่นมีความรู้ ความรู้ของเราก็ไม่มีหมดลงไป ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมา..


    อันนี้เรียกว่า สร้างบารมี


    ถ้าบารมีแผ่ออกไปโดยเกิดคำว่าบารมีแท้ๆ คือ
    ความดีแผ่ไปให้ผู้อื่นมากเพียงใด...บารมีของเรายิ่งสูงยิ่งแก่กล้าเพียงนั้น


    ฉะนั้น ผู้ที่มีความรู้ ผู้ที่มีความตั้งใจดี ขอให้ตั้งใจที่จะเผยความดี
    เผยความรู้ที่สูงไปให้แก่ผู้อื่น ซึ่งจะทำให้ทั้งตนทั้งผู้อื่นแข็งแรง และมีความเจริญก้าวหน้าได้..."

    พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    พระราชทานแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีและคณะ
    เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗

    ขอบคุณที่มาจาก ตามรอยพ่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    'เดี๋ยวเราจะกลับทางเรือเอง... ให้เอาคนไข้ไปส่งก่อน'

    คุณยายชุบ ยอดแก้ว บุคคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงช่วยชีวิตไว้เมื่อครั้งเสด็จฯ บ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี ประจวบคิรีขันธ์ เล่าว่า...

    "ถ้าในหลวง พระราชินีไม่ได้เสด็จมาในวันนั้น ยายก็คงจะตายไปแล้ว ตอนนั้นไปรับเสด็จที่ตีนถ้ำไทร ป่วยเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องมาครึ่งเดือนแล้ว แต่เราไม่รู้หรอกนะตอนนั้นว่าเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องนอนซม
    คนในบ้านบอกในหลวงจะมา เราก็อยากเห็น อยากไปรับเสด็จ แต่ปวดท้องจนเดินไม่ไหว ก็เลยให้คนหามใส่เกวียนไปเลย

    พอดีว่าพระราชินีท่านทรงทอดพระเนตร เห็นยายนั่งหน้าซีด พิงเพื่อน ท่านทอดพระเนตรเห็นก็คงสังเกตได้ว่าอาการไม่ดี พระองค์ตรัสถามว่า "เป็นอะไร" ท่านบอกให้พูดธรรมดาก็ได้
    ยายบอกว่า "เจ็บท้อง"
    พระองค์ท่านตรัสถามต่อว่า "เจ็บมากี่วันแล้ว"
    ยายตอบว่า "เจ็บมาครึ่งเดือนเห็นจะได้" ท่านก็เลยบอกให้หมอที่มาด้วยตรวจดู หมอบอกว่าไส้ติ่งกำลังจะแตก

    พอหมอบอกอย่างนั้น พระองค์ท่านก็ทรงติดต่อไปที่ในหลวงซึ่งทรงอยู่ที่ตีนเขาอีกลูก
    พระองค์ท่านทรงวิ่งจากตีนเขาลูกโน้นมาเลย ห่างกันถึง ๑ กิโลเมตร...
    ยายดีใจ แล้วก็ปลื้มใจมาก ตอนแรกคิดว่ากำลังจะตายนี่ คิดว่าตัวเองรอดแน่ มันมีกำลังใจ คิดว่าขนาดพระเจ้าแผ่นดินยังเอาใจใส่เราขนาดนี้ เราจะตายไม่ได้

    ท่านให้เอาเฮลิคอปเตอร์มารับ ท่านตรัสว่า "เดี๋ยวเรากลับทางเรือเอง ให้เอาคนไข้ไปส่งก่อน" พอพระองค์ท่านตรัส หมอสองคนหิ้วปีกเราไป ในหลวงท่านทรงเมตตาเราไปจนถึงเครื่อง พอเราขึ้นไป ก่อนที่ประตูเฮลิคอปเตอร์จะปิด เราก็มองลงมาเห็นในหลวง ท่านทรงโบกพระหัตถ์ เราซาบซึ้งมาก ยิ่งบอกตัวเองเลยว่าเราจะตายไม่ได้ ... ความในใจที่อยากจะบอกท่านก็คือ...ทรงพระเจริญอายุยิ่งยืนนาน"

    ขอบคุณที่มาจาก ตามรอยพ่อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    นิมนต์พระธุดงค์

    สมัยหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสให้ท่านไปประสานงานนิมนต์พระสงฆ์ในภาคอีสานบางรูป มารับพระราชทานฉันที่กรุงเทพฯ แต่ไม่สามารถประสานงานนิมนต์ได้
    เพราะพระสงฆ์เหล่านั้นได้ออกธุดงค์ไปก่อนแล้ว และไม่สามารถติดต่อได้ว่าออกธุดงค์อยู่ ณ แห่งหนใด

    จึงมีกระแสพระราชดำรัสให้ไปกราบนมัสการสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ
    ซึ่งขณะนั้นยังมีสมณศักดิ์ที่ “พระศาสนโสภณ” ให้ช่วยนิมนต์แทน

    พล.ท.อมรรัตน์ จินตกานนท์ จึงเดินทางไปที่วัดบวรนิเวศวิหาร และแจ้งพระราชประสงค์ให้ทราบ สมเด็จพระสังฆราชขอเวลาให้มาฟังผลอีกชั่วยามหนึ่ง ท่านก็นั่งรออยู่ที่กุฏิชั้นล่าง ไม่ถึงชั่วยามก็ได้รับคำตอบว่า..นิมนต์ให้เรียบร้อยแล้ว...ให้นำรถไปรับที่จุดนัดหมายตามวันเวลาที่กำหนด.....

    พล.ท.อมรรัตน์ จินตกานนท์มีความแปลกใจว่า ติดต่อกันโดยทางใด ในที่สุดก็ได้ทราบว่า
    สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ ได้นั่งสมาธิติดต่อทางจิตหรือ “โทรจิต”
    ติดต่อกับพระสงฆ์ทรงภูมิธรรมนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1382658450.jpg
      1382658450.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.6 KB
      เปิดดู:
      1,541
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2015
  18. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    "ดินและน้ำ ลมและฟ้า ป่าและเขา รวมกันเข้าคือทรัพย์สินแผ่นดินแม่
    ฝากลูกไทยรวมใจภักดิ์รักดูแล เพื่อมอบแก่หลานเหลนไทยไปชั่วกาล"


    คำขวัญพระราชทาน สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ ปี พ.ศ.๒๕๕๘
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1_2.jpg
      1_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      290.6 KB
      เปิดดู:
      1,583
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2015
  19. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า


    "...พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ
    ... พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า..."


    พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
    ณ บ้านถ้ำติ้ว อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๕
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2015
  20. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    [​IMG]

    พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่8)

    เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 11 ปีฉลู ณ เมืองไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมนี ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468

    [​IMG]

    (ภาพจากซ้ายมือ รัชกาลที่8 และ รัชกาลที่9)

    พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ขณะที่มีพระชนมายุเพียง 8 พรรษาและประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

    [​IMG]

    [​IMG]


    ดังนั้น จึงมีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินจนกว่าพระองค์จะทรงบรรลุนิติภาวะ

    หลังปี 2479 คณะราษฎรได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการคลัง
    (ถูกยึดพระราชทรัพย์สินทั้งหมดให้ตกเป็นของรัฐบาล คณะราษฎร)

    ในวันที่ 5 ธ.ค. 2488 ทรงเสด็จกลับประเทศไทย เป็นวันที่พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศปลาบปลื้มกับการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ประชาชนเรือนแสนเฝ้ารอรับเสด็จริมสองฝั่งถนนตั้งแต่เช้า มีตั้งแต่เด็กจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ หลังจากผ่านพ้นสงครามอันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากช่วงหนึ่งของคนไทย พสกนิกรเฝ้ารอการกลับมาของพระมหากษัตริย์อันเป็นศูนย์รวมความรักความสามัคคีของคนไทยทั้งชาติ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู้หัวอานันทมหิดลเสด็จกลับมาพร้อมกับพระชนนีและพระอนุชา
    และในวันนั้นเองอำนาจในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ(นาย ปรีดี)ได้สิ้นสุดลง ในวันที่ 8 ธ.ค. 2488 มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายปรีดีเป็นรัฐบุรุษอาวุโสและ “ที่ปรึกษากิจราชการแผ่นดิน” นายปรีดีหมดอำนาจในรัฐบาลทุกตำแหน่ง

    นายปรีดีไม่ยินยอม จึงได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และให้สภาผู้แทนฯเสนอร่างในวันที่ 21 ก.พ. 2489 และเสียงส่วนใหญ่ในสภาเห็นควรให้นายปรีดีรับตำแหน่งนายกฯแทน ม.ร.ว.เสนีย์ฯ โดยได้รับแต่งตั้งในวันที่ 24 มี.ค. 2489

    ในตอนแรก รัชกาลที่8 ไม่ทรงยินยอมลงพระปรมาภิไทยในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ของนายปรีดี และเกิดความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างนายกฯและพระมหากษัตริย์ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยที่ต้องยึดเสียงข้างมากในสภาฯเป็นหลัก

    รัชกาลที่8 ทรงยินยอมลงนามในรัฐธรรมนูญในวันที่ 9 พ.ค. 2489

    พระองค์เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปืนเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ ห้องพระบรรทม พระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติทั้งสิ้น 12 ปี
    ในขณะที่พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนมพรรษาเพียง 18 พรรษา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...