ขอความรู้หน่อยครับ
พวกท่านเชื่อเรื่อง บาป บุญ คุณโทษ นรกสวรรค์ และ ภูตผี ปีศาจไหมครับ..
ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lyxiaoyao, 8 ธันวาคม 2014.
-
ถ้าเข้าใจเรื่องของกรรม เชื่อในเรื่องของกรรม ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ จขกท.พูดถึงมันเป็นจริงและมีอยู่จริงแน่นอน
สายตาการมองเห็นของคนเรา ถูกจำกัดด้วยระยะทาง ไกลเกินไปก็มองไม่เห็นแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ตาเรามองไม่เห็นมันจะไม่มีอยู่จริง ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกที่จะเชื่อในสายตาของตนเองมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราบอกตนเองว่าเรามองเห็นแค่นี้ เราก็เลือกที่จะเชื่อเพียงแค่นี้ นั่นก็ไม่ผิดนะครับ แต่อย่าบอกคนอื่นว่าถ้ามองเห็นไปต่างจากตนถือว่าไม่ถูกต้อง แบบนี้ไม่เอานะครับ
ไหนๆแล้วก็จะขอพูดถึงประสบการณ์ส่วนตัวของผมให้ได้รับรู้สักเล็กน้อย(แต่ขอให้เชื่อเถอะครับว่ามันจริง ผมคงไม่โง่มาโกหกให้ตนเองได้บาปจากการผิดศีลข้อ 4 หรอกนะครับ)
เมื่อประมาณปี 2553 ผมได้ไปทำงานที่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก กทม. มากนักวิ่งเส้นพระราม 2 ออกไปหน่อยก็จะถึงแถวนั้นแล้ว(ไปมหาชัยได้) ผมได้เช่าหอพักอยู่เหมือนคนอื่นๆ ซึ่งหอพักที่ผมอยู่นั้นไม่มีรั้ว ไม่มีกำแพง เป็นห้องแถวติดกันอยู่ข้างถนนแต่อยู่ในซอยไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ และบริเวณรอบๆหอพักก็เป็นทุ่งนา ทุ่งหญ้า และป่าละเมาะนิดหน่อย บรรยากาศแถวหอพักค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา
โดยปกติผมเองก็พักอาศัยมาหลายที่ ลำปาง กรุงเทพฯ ชลบุรี และไม่เคยพบเจออะไร จนกระทั่งมาถึงหอพักนี้ผมก็โดนเล่นงานตั้งแต่คืนแรกที่เข้าพักเลยครับ ตอนกลางดึกผมรู้สึกขยับตัวไม่ได้ทั้งๆที่มีสติ รู้ตัวว่าไม่ได้ฝัน ผมพยายามขยับร่างกายแต่ก็ทำไม่ได้ ผมจึงพยายามลืมตาโดยสลึมสลือ และได้เห็นเงารูปร่างคนตัวสีดำแต่ชัดมากว่าเป็นรูปร่างคนกำลังคุกเข่าเอามือมากดบนตัวผม ผมเลยถึงบางอ้อว่าโดนขาประจำเล่นงานเข้าให้แล้ว(ในใจตอนนั้นไม่ได้เชิงกลัวซะทีเดียว แต่มันปนอารมณ์โมโหนิดหน่อยด้วย) เพราะตอนแรกที่เห็นหอพักนี้ผมก็รู้สึกว่ามันแปลกๆจากที่ผมเคยพักอย่างบอกไม่ถูก พอวันที่สองในใจผมก็กลัวแล้วคิดว่าถ้าวันนี้ไม่ทำอะไรสักอย่างคืนนี้ก็คงโดนเล่นงานอีก ผมจึงนึกได้ว่ามีผ้ายันต์ติดตัวมาผืนนึงซึ่งเป็นผ้ายันต์ที่ผมได้มาจากพิธีสวดภาณยักษ์ ผมเองก็ไม่รู้ว่าผ้ายันต์ผืนนี้มีทีมาที่ไปอย่างไร ศักดิ์สิทธิ์มากน้อยแค่ไหน รู้แค่ว่าเป็นผ้ายันต์ของเจ้าแม่อะไรสักอย่างนี่แหละ ผมลืมชื่อไปแล้ว ผมจึงตัดสินใจใช้ผ้ายันต์แปะไว้ในห้อง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่เคยพบเจออีกเลย พอถึงวันที่ผมย้ายออกจากหอนั้น ก็ได้มีผัวเมียคู่หนึ่งกำลังย้ายเข้ามาพักแทนผม ผมก็บอกเขาว่าผ้ายันต์นั้นผมติดเองแล้วอย่าเอาออก ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อหรือเปล่า แต่คิดว่าน่าจะเชื่อ
ต่อมาผมก็ได้ไปอ่านในหนังสือเล่มนึง เขาพูดถึงอบายภูมิ 4 ในส่วนของอสุรกาย ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่าสิ่งที่ผมพบเจอในวันนั้นคงเป็นอสุรกายประจำอยู่ที่นั่นแน่นอน
นี่แหละครับประสบการณ์ของคนเราไม่เหมือนกัน เราจึงมิควรไปตัดสินผู้อื่นว่าเขารู้เห็นมาน้อยกว่าเรา หรือเรารู้เห็นมามากกว่าผู้อื่น ถ้าไม่โดนกับตัวไม่มีทางรู้หรอก -
คำถามนี้ไม่น่าจะมีประโยชน์ใดๆกับผู้ใดเหตุเพราะถ้าบอกเชื่อคนบอกก็เชื่อของเค้าถ้าบอกไม่เชื่อเค้าก็ไม่เชื่อของเค้า ส่วนคุณจะได้ประโยชน์อะไรกับการเชื่อรึไม่เชื่อของคนตอบละถ้าเค้าบอกเชื่อคุณจะเชื่อตามรึหรือเค้าบอกไม่เชื่อคุณก็จะไม่เชื่อตามรึไม่น่าจะใช่นะครับ ใครจะเชื่ออะไรก็เป็นส่วนของใคร ข้อสำคัญเราจะเชื่ออะไรและทำยังไงต่างหากละที่สำคัญเราเชื่อในบาปบุญคุณโทษเราก็จะไม่ทำชั่ว หากเราไม่เชื่อเราก็จะทำตามใจเราจะเป็นคุณเป็นโทษก็ไม่สนนั้นต่างหากละที่สำคัญจริงใหมครับ สาธุ
-
พวกท่านเชื่อเรื่อง บาป บุญ คุณโทษ นรกสวรรค์ และ ภูตผี ปีศาจไหมครับ?
ขอความรู้หน่อยครับ?
ตอบ เชื่อหมดใจ เหตุผลเพราะ 1. พระพุทธเจ้าท่านพูดอะไรไม่เคยผิด ถูก
ทั้งหมด ปัญญาโง่ๆก็ยังรู้ได้เลย หากพิจารณาธรรมตามความเป็นจริงที่ท่านตรัส
ว่าโลกธาตุทั้งปวงนี้มีสภาพเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่คือธรรมข้อหนึ่งเรียก
ว่ากฏของไตรลักษณ์ที่พระองค์ทรงตรัสสอนโลก แล้วเราคิดว่า พระพุทธเจ้า
ท่านพูดผิดไหม คิดว่าท่านสอนผิด บอกผิดไหม ของจริงมันเป็นไปอย่างที่ท่าน
พูดมาไหม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ กับ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสมัย 2557 นี้เป็นสภาพความเป็นจริงของโลกธาตุนี้
เหมือนกันไหม ผิดจากของเดิมไหม ล้าสมัยแล้วหรือยังธรรมนี้ ก็ลองคิด
พิจารณาเอา
เพราะฉะนั้นแล้ว ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวแล้วว่า บาป มีจริง บุญ มีจริง
นรก มีจริง เปรต มีจริง อสุรกาย มีจริง สัตว์เดรัจฉาน มีจริง คน มีจริง มนุษย์ มี
จริง เทวดา มีจริง พระพรหม มีจริง พระนิพพาน มีจริง นั้น ก็เป็นสิ่งที่จริงแท้
แน่นอนเช่นกัน
ใครจะมาบอกว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มีจริง อันนั้นมันเป็นเรื่องของคนโง่ ที่
หูหนาตาบอด ถึงมีตาอยู่แต่ตานั้นก็บอดสนิท เพราะไม่ยอมรับนับถือความจริง
เกิดมาเสียชาติเปล่า ตายเมื่อไร ไม่ต้องคิดว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นคนอีก ทางที่
ไปมีนรก เป็นที่เริ่มต้นใหม่เท่านั้น
คนมีปัญญาย่อมคิดพิจารณาในสัจธรรมเสียก่อนแล้วค่อยเชื่อค่อยปักใจว่าสิ่งนั้น
ถูกหรือผิดสิ่งนั้นมีหรือไม่มี แต่คนโง่ย่อมขวางโลกขวางสัจธรรม สิ่งที่มีอยู่ก็กลับ
บอกว่าไม่มี สิ่งที่ไม่มีก็กลับโมเมว่ามีอยู่ อย่างนี้ก็ต้องปล่อยไปตามยะถากรรม
สัจธรรมความจริงมีอยู่ครบถ้วน หากใช้ปัญญาอันน้อยนิดเพียรคิดพิจารณาก็จะรู้
ได้ถึงความจริงเหล่านั้นเอง โดยไม่มีอะไรให้สงสัยอีกต่อไป จนกว่าจะนิพพาน -
ความเชื่อเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงคนได้มากเลย เพราะความเชื่อเป็นสิ่งเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนได้ คุณคงจะสังเกตเห็นนะว่าคนที่เชื่อเรื่องบาป บุญ นรก สรรค์ ล้วนมีพฤติกรรมที่ต่างกับคนที่ไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่มีความเชื้อนี่อยู่พูดหรือสั่งให้ตาย ก็คงเป็นแบบนั้นไม่ได้ ถ้าคุณอยากเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรของคุณที่คุณอยากจะเปลี่ยนก็ลองเปลี่ยนที่ความเชื่อของคุณดู ลองดูว่าคนที่เขามีพฤติกรรมแบบที่คุณอยากเป็นเขามีความเชื่ออย่างไร แล้วก็ลองศึกษาดู มันจะเริ่มจากความหวังก่อน แล้วกลายเป็นความเชื่อ จากนั้นมันจะกลายเป็นความรู้ ความหวังคือสิ่งที่คุณอยากจะให้เป็นแม้ว่ามันอาจจะไม่เป็นก็ได้ เมื่อมันกลายเป็นความเชื่อ คุณก็จะรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นตามนั้น แต่เมื่อมีแนวคิดหรือหลักฐานที่ขัดแย้งคุณจะเริ่มสงสัยความเชื่อนั้น พอมันกลายเป็นความรู้ แม้จะมีคนไม่เห็นด้วย หรือแย้งคุณกี่คนก็ไม่ทำให้ความรู้นั้นสั่นคลอนได้ ก็ลองดูว่าความเชื่อนั้นมีประโยชน์อย่างไร และจะเปลี่ยนพฤติกรรมคุณอย่างที่คุณต้องการหรือเปล่า
-
(kiss)
-
เพราะเหตุว่า การกระทำเป็นเหตุ ย่อมมีผลตามมา
ไม่ต้องถามว่าเชื่อหรือไม่ เพราะมันเป็นสัจธรรมของโลก
เพียงแต่คนเรามักชอบคิดจับโยงเหตุกับผลที่ไม่เกี่ยวเนื่องกันเข้ามาตามใจ
พอเห็นว่าผลไม่สมเหตุบ้างไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษเอาดื้อๆ
นรกสวรรค์ ส่วนตัวเชื่อว่ามี แต่ไม่คิดว่าจะเหมือนตำหรับตำรา หรือที่คนส่วนใหญ่จินตนาการว่าเป็น
เหตุที่เชื่อนรกสวรรค์ เพราะโลกนี้ยังมี สวรรค์นรกก็คงจะเป็นโลกๆหนึ่ง
หากเราได้เคยอยู่ในโลกที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน เราก็จำกัดความว่ามันคือโลกนรก
หากเราพ้นมาอยู่โลกที่มีแต่สุข เราก็จำกัดว่ามันคือโลกสวรรค์
โลกนี้เป็นโลกนี้ หากมีโลกอื่นให้เปรียบเมื่อไร จะเกิดสภาวะนรกสวรรค์ขึ้นทันที
ภูติผี ปีศาจ เคยประสบมาในจิต ประกอบกับตำหรับตำราความเชื่อในสังคมว่า อยู่ซ้อนเป็นมิติ ส่วนตัวพยามพิสูจน์ให้เห็นจะจะ หลายครััง แต่ไม่เคยพบเจอ มีแต่เพียงเกิดขึ้นในมโนภาพ รู้ว่าเป็นผี แต่ไม่รู้ว่าของจริงหรือไม่ เพราะปฏิกริยาแห่งจิต เป็นตัวรู้ แม้จะได้รับรู้อะไรที่ตรงกับความเป็นจริงจากผีมโนภาพ แต่นั่นก็มีโอกาสที่จะเป็นเพียงรูปแบบการถ่ายทอดสิ่งรู้ของจิตของเราเองได้เหมือนกัน สรุป พิสูจน์ไม่ได้ คนที่เชื่อๆก็เชื่อเพราะศรัทธา เชื่อเพราะปักใจ มิใช่พิสูจน์จนได้ความ พลังงาน คลื่น ความทรงจำ ความรัก ความอาฆาต อาจสถิตได้ทุกที่ ดังนั้น ผีที่เจอ อาจจะเจอจริง แต่อาจจะไม่ใช่ผีจริงๆ -
-
เชื่อ เพราะเคยเห็น ยิ่งกว่าตำราอีกบรรยายได้ไม่หมดเลยล่ะ
-
ไม่เชื่อ เพราะไม่เห็น ถึงเห็นก็คงไม่เชื่อ เพราะไม่เห็นความจริง เพราะถ้าเห็นความจริง คงพ้นจากเรื่องพวกนี้ไปนานแล้ว
อะไรที่เป็นประโยชน์ อะไรที่เป็นโทษ สิ่งพวกนี้ต้องพวกที่เคยโดนถึงจะบอกได้
สิ่งที่ดูเหมือนว่ามีประโยชน์แต่เป็นโทษก็มีเยอะ สิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นโทษแต่มีประโยชน์ในท้ายที่สุดก็ยังมี สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พึงฉลาดรู้ได้ด้วยตนเอง -
เชื่อเพราะประสบมากับตัว
-
แต่หนังผีไทยเนี่ยเละเทะมากครับ ยิ่งสารคดีพวกไล่ผี ล่าท้าผีเนี่ย ไหว้ศาลบูชาผีเนี่ย งมงายสุดๆ
บางคนที่ว่าเจอผี ถ้าไม่เจอในความฝัน ก็ผีอำกึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่ก็เห็นด้วยตาแว้บๆ หรือจะว่าเห็นในสมาธิบ้าง หลายๆอย่างที่กล่าว มันมีจิตเป็นตัวเกี่ยวข้องทั้งนั้น ถ้าจิตมันหลอกเรา ถ้าจิตให้เราเห็นไป แล้วเราแยกแยะไม่ออก ถ้าเรามีความเชื่ออย่างปักใจว่าใช่ เราก็ขาดการพิสูจน์ คุณบอกว่าเจอผีมาจริงๆ แล้วเชื่อได้อย่างไรว่าของจริง คฃอย่างคนที่เมายาเห็นภาพหลอน เขาก็สามารถเห็นผีได้เหมือนกัน ในเมื่อเราใช้จิต ใช้สัมผัสที่ 6 ในการเห็น แล้วเราจะเอาอะไรไปวัดว่าจริงหรือไม่จริง
ถ้าว่ากันตามหลักศาสนา พุทธองค์แยกภพภูมิไว้เพียง มนุษย์ , สวรรค์ ( เทวดา ) , นรกหรืออบายภูมิ ( สัตว์นรก , เปรต , อสุรกาย , ดิรัจฉาน ) เท่านั้นเอง ไม่มีภูมิของผีเลย -
[๔๖๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ
[๔๖๘] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลักษณะ
เครื่องหมาย เครื่องอ้าง ว่าเป็นพาลของคนพาลนี้มี ๓ อย่าง ๓ อย่างเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลในโลกนี้มักคิดความคิดที่ชั่ว มักพูดคำพูดที่ชั่ว มักทำ
การทำที่ชั่ว ถ้าคนพาลจักไม่เป็นผู้คิดความคิดที่ชั่ว พูดคำพูดที่ชั่ว และทำการ
ทำที่ชั่ว บัณฑิตพวกไหนจะพึงรู้จักเขาได้ว่า ผู้นี้เป็นคนพาล เป็นอสัตบุรุษ
เพราะคนพาลมักคิดความคิดที่ชั่ว มักพูดคำพูดที่ชั่ว และมักทำการทำที่ชั่ว ฉะนั้น
พวกบัณฑิตจึงรู้ได้ว่า นี่เป็นคนพาล เป็นอสัตบุรุษ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล
นั้นนั่นแล ย่อมเสวยทุกข์โทมนัส ๓ อย่างในปัจจุบัน ฯ
ตัวอย่างคร่าว ๆ ที่หยิบมา
เมื่อถูกพระราชาจับตัวแล้วลงโทษด้วยการเอาหอกร้อยเล่มแทงในเวลาเช้า
หอกร้อยเล่มแทงในเวลากลางวัน
เอาหอกอีกร้อยเล่มแทงในเวลาเย็น
บุรุษคนเดียว ถูกหอกสามร้อยเล่มแทงในวันเดียว จะมีความทรมานแค่ไหนหนอ?
พระภิกษุบอกทรมานมาก ๆ ไม่ต้องถึง 300 เล่ม แค่หอกเล่มเดียว ก็ดิ้นทุรนทุราย ไม่ไหวติงแล้ว
แล้วพระศาสดาจึงหยิบก้อนหินขนาดเท่าผ่ามือ แล้วถามพระภิกษุดูว่า หินในมือเรากับภูเขาหลวงหิมพานต์ อย่างไหนใหญ่กว่ากัน?
พระภิกษุตอบ ภูเขาใหญ่กว่าอยู่แล้ว หินในมือพระพุทธเจ้าเทียบไม่ได้เลย
คือเทียบไม่ได้แม้แต่ส่วนเสี้ยวเดียวเลย
พระศาสดาจึงตรัสต่อว่า ความทุกข์ในนรกนั้น เทียบกับความทุกข์ที่บุรุษถูกหอกแทงนั้น
ก็ไม่ถึงความเทียบได้ ไม่ถึงแม้แต่ส่วนเสี้ยวเดียวเช่นกัน.....
ตอนท้ายมีการพูดถึงความสุขในสวรรค์ด้วย
อัศจรรย์จนลืมเรื่องความสุขทุกอย่างบนโลกมนุษย์ไปเลย...
อ่านต่อทั้งหมดในนี้
-
ส่งลิงค์ยังไงไม่รู้ - -
เอาเป็นว่า เข้า google แล้วพิมหาคำว่า พาลสูตร แล้วลองไปอ่านดู
-
อธิบายได้เข้าใจชัดเจนดีครับ -
เชื่อครับ เพราะประสบกับตัวเอง ตั้งแต่ บาป บุญ เวรกรรม ผี วิญญาณ สิ่งสักสิทธิ์
-
-
เอางี้คุณรักษาศีล๕หมั่นทำทานฝึกสมาธิวันละ๑๐นาทีก่อนแล้วคุณจะรู้เองเจอเอง