พวกแบคทีเรียถือว่าเป็นสัตว์ที่อยู่ในกฏแห่งกรรมปะครับ

หยั่งพวกรา ไวรัส สิ่งมีชีวิตเล็กๆจิ๋วๆ มันต้องเวียนว่ายตายเกิดเหมือนกับเราไหม ^-^

 

แบคทีเรียเป็นสัตว์ก็จริงแต่ไม่มีจิต

 

ศัพท์วิชาการเรียกว่า สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวิญญาณครอง

 

สัตว์ที่มีกรรม ได้แก่สัตว์ที่มีจิตหรือวิญญาณ ได้แก่ สัตว์ใน 31ภพ เท่านั้น

พืชไม่จัดว่ามีจิต และ พวกจุลินทรีย์ทั้งหลายไม่มีจิต จึงไม่จัดว่าอยู่ในวงเวียนกรรม (สมัยที่เรียนอยู่ เพื่อนมาเลเซียเป็นจีนพุทธทำการทดลองเกี่ยวกะแบคทีเรียและต้องทำลายทิ้งหลังจากใช้เสร็จ เขากลัวบาปเลยเปลี่ยนไปทดลองเรื่องใหม่ อันนี้เข้าใจผิดแต่ก็อธิบายให้เขาฟังพอเข้าใจ)

จุลินทรีย์และพืชในทางสรีรวิทยา ไม่มีระบบประสาทรับควมรู้สึกจึงไม่ได้ตอบสนองอะไรที่เป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่มีกิเลสตัณหาจึงไม่ได้เกิดตามเหตุของกรรม

ในทางจิตวิญญาณ พืชและจุลินทรีย์ไม่มีจิตวิญญาณและไม่มีเจตสิก จึงไม่จัดในพวกสิ่งที่อยู่ในวงกรรม

 

อนุโมทนากับคำถามและคำตอบค่ะ รู้งี้ตอนทำโปรเจคใช้แบคทีเรียดีก่า ถ่อๆๆๆๆ

 

แบคทีเรีย บางตัวเป็นต้นเหตุแห่งกรรมครับ

จะมาทำให้เราเกิดโรคได้ ฮ่าาาา

อนุโมทนา สาธุ ครับ

 

มีจิตครับ แต่ไม่มีความรู้สึก ฆ่าให้ตายได้ไม่บาป (เอามาจากจากพระไตรปิฎกครับ)

 

ข้อทราบรายละเอียดเรื่องนี้อีกทีครับ ช่วยหน่อยอยากทราบจริง ๆ ว่า ถ้าเอามาโพสใส่ในนี้ยิ่งดีขอที่มาด้วยนะครับ เพราะอยากรู้ว่าตัวผมเองเข้าใจถูกหรือไม่ และเพื่อให้คนอื่น ๆ เข้าใจในทางที่ถูก





ในทางอภิธรรม (จากพระอภิธรรมปิฎก) จากบทเรียนพระอภิธรรมชุดที่ 2 เรื่องชีวิตคืออะไร โดยอภิธรรมโชติกวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณชาชวิทยาลัย หน้า 1-4

จิตหรือวิญญาณ หมายถึง ธรรมชาติที่ทำหน้าที่รู้อารมณ์ (อารมณ์ที่เกิดทางทวารทั้ง 6 ประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กายวัมผัส และ ใจ)

จิตจะว่างจากอารมณ์ไม่ได้ เมื่อจิตเกิดขึ้นทุกครั้งจะต้องมีอารมณ์ให้รู้เสมอ (หน้า 4) ดังนั้นจะเป็นไปได้หรือที่มีแต่จิตแต่ไม่มีความรู้สึก?????

ในนั้นกล่าวว่าการเกิดขึ้นของจิต จะเกิดขึ้นโดยไม่มีความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่ง(เจตสิก)นั้นไม่ได้ (หน้า 2)

ในนั้นกล่าวว่า พืชทั้งหลาย(ผมรวมจุลินทรีย์ด้วย)ไม่ได้เกิดมาจากกรรม ไม่มีจิตและเจตสิกในการรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ (หน้า 1)


หมายเหตุ เจตสิกประกอบด้วย เวทนา สัญญา และสังขาร

(เวทนา=ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ สัญญา=ความจำได้หมายรู้ สังขาร=การปรุงจิต)

 

.

 

ถึงแม้นมีวัตถุหรือที่เราเรียกว่ารูป ที่ไม่มีวิญญาณครองหรือมีจิต เช่น ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ สภาพแวดล้อม เขาไม่ได้เกิดจากกรรม

แต่ กรรม ทำให้สัตว์ทั้ง 31ภพไปเกิดในสภาพนั้น ๆ ที่กรรมจัดสรร เช่น คนที่ทำบุญให้ทานไม่หวงอาหารการกิน ก็ไปเกิดในที่มีพืชพรรณธัญญาหารสมบูรณ์ (เช่น คนไทย) คนที่ให้ทานไว้มาก ก็เกิดในที่มีทรัพย์มาก แต่พืชพรรณและทรัพย์ไม่ได้เป็นตัวปรากฏขึ้นสำหรับคน

 

แบคทีเรียไม่ใช่ต้นเหตุของกรรม แต่เพราะมีกรรมจึงมีเชื้อแบคทีเรีย

หมายถึง มีกรรมเป็นเหตุนะครับจึงได้รับเชื้อโรค

 

ขออนุโมทนาค่ะ กับคำถามและคำตอบค่ะ ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นเลยค่ะ
เพราะสงสัยเหมือนกัน เนื่องจากเคยเรียน และทำงานที่เกี่ยวกับการตรวจสอบ จุลินทรีย์ และก็ต้องฆ่าเชื้อไป จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเลยล่ะ จริง ๆ แล้วทุกวันที่เราอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายก็เป็นการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ตามผิวหนังของเรานะ

 

แล้วไวรัส และพวกเชื้อโรค ละครับ

 

ขอบคุณทุกท่านครับ!^-^ พอเข้าใจบ้างแล้วครับ

 

ผมว่า ถึงจะเป็นสัตว์ที่อยู่ในกฏแห่งกรรมก็ไม่บาป ถึงบาปก็บาปไม่มาก เพราะ เราไม่ได้มีเจตนาจะฆ่า ถ้าเรากลัวว่าจะฆ่ามันหรือป่าว จะรู้ได้ไง มันก็อยู่บนพื้น ในอากาศ ถ้าเป็นบาปเราก็คงไม่ต้องเดิน ไม่ต้องหายใจกันพอดี แล้วถ้ามนุษย์ไม่คิดกล้องจุลทัศขึ้นมาเราจะรู้ได้ไงว่ามันมี อย่างนี้พวกที่เกิดก่อนยุควิทยาศาสตร์คงจะตกนรกกันหมด

 

จุลินทรีย์หรือเชื้อ(ก่อโรคหรือไม่ก่อโรคก็ตาม) ได้แก่ ไวรัส แบคทีเรีย และ เชื้อรา และสัตว์เซลล์เดียว (พวก protozoa) ทั้งหมดนี้ไม่จัดเป็นพืชหรือสัตว์

จุลินทรีย์ สัตว์เซล์เดียว และ พืช ไม่มีระบประสาทรับและส่งความรู้สึก ไม่มีจิต(วิญญาณ)ครอง จึงไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ซึ่งก็คือไม่มีเจตสิกนั้นเอง

พวกนี้จึงไม่ได้เกิดเพราะกรรม

ส่วนอสุจิ เทียบได้กับจุลินทรีย์คือไม่มีจิตและเจตสิก

ต่อเมื่ออสุจิผสมกับไข่เกิดปฏิสนธิแล้วได้ตัวอ่อน(เรียกว่าคัพภะ)ในครรภ์ จะเริ่มนับว่าเป็นชีวิตใหม่(ทางธรรม)เมื่อมีจิตหรือวิญญาณครอง (ที่ระยะใดไม่ทราบค้นเองนะครับ) ดังนั้นการทำแท้งจึงเท่ากับการฆ่าคน

 

แบคทีเรียไม่จัดเป็นสัตว์นะครับ

ส่วนเรื่องการกรองน้ำสำหรับพระ เป็นการกรองโดยใช้เครื่องกรองที่ทำด้วยผ้าบาง ๆ ซึ่งกรองได้เฉพาะอนุภาคขนาดใหญ่เท่านั้น ไม่สามารถกรองจุลินทรีย์ได้ ดังนั้นจุลินทรีย์ต้องรอดติดไปด้วยถ้ามี ดังนั้นการกรองน้ำของพระเพื่อกรองสัตว์ที่อยู่ในน้ำ ได้แก่ลูกน้ำยุง(เป็นหลัก) ลูกปลา ลูกหอย พวกพยธิ พวกสัตว์น้ำ ตัวเล้ก ๆ ต่าง ๆ ฯลฯ พวกนี้จัดเป็นสัตว์ที่มีวิญญาณครอง

ผมไม่ได้บอกให้ คุณจรัญ เชื่อ แต่ผมไม่อยากให้คนอื่นเข้าคลาดเคลื่อนเหมือนคุณจรัญ ขอย้ำอีกที สัตว์เล็กที่ต้องกรองออกนั้นหมายถึงสัตว์ที่มีวิญญาณครองเท่านั้น ไม่ได้หมายถีง ไวรัส แบบทีเรีย เชื้อรา และสัตว์ชั้นต่ำเซลล์เดียว เพราะพวกนี้ไม่มีจิตและเจตสิก และเครื่องกรองน้ำของพระซึ่งทำด้วยผ้าบาง ๆ ไม่สามารถกรองได้

ตัวอย่าง การกรองแบคทีเรียต้องใช้ membrane (เยื่อ) กรองที่มีขนาดของรูกรองเล็กกว่า 0.2-0.4 ไมโครเมตร (1 ไมโครเมตร =1/1000 มิลลิเมตร)


ถ้าการทำให้จุลินทรีย์ตายเป็นปาบ พระพุทธเจ้าต้องตรัสไว้บ้างในพระไตรปิฎก เพราะไม่ว่าอะไรจะเล็กใหญ่แค่ไหน ไม่พ้นพระญาณทิพยจักสุของพระองค์ไปได้

พวกสัตว์เซลล์เดียว (ทางวิทยาศาสตร์ เขาจัดอยู่ในพวก Protista ) ไม่มีระบบประสาท ไม่มีความรู้สึก ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก



สัตว์เซลล์เดียวไม่มีอะไรเลยที่คล้ายสัตว์ทั่วไป แต่มันคล้ายจุลินทรีย์มากกว่า


คุณจรัญ ที่พูดนี่ไม่ใช่แย้งเฉย ๆ นะครับ

ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์รู้จักสิ่งมีชีวิตตามหลักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ไวรัส จนสัตว์ชั้นสูง ตั้งแต่ระดับอณูเซลล์... จนถึงระบบการทำงานต่าง ๆ

ส่วนเรื่องจิและเจตสิกนี้ก็มาจากพระอภิธรรมซึ่งก็คือมาจากพระไตรปิฎก

ที่พยายามอธิบายให้ท่านทั้งหลายฟังก็เพื่อให้เข้าใจในทางที่ถูกต้อง ถ้าข้อใดที่ยังไม่แน่ใจผมจะไม่พยายามเขียนเพราะว่ากลัวท่านอื่นสับสน

ส่วนการเห็นใด ๆ หรือขัดแย้งใด ๆ ทุกคนมีสิทธิทำได้ แต่ถ้ายังไม่แน่ใจจริง ๆ อยากให้ศึกษาหรือค้นคว้าให้แน่ใจก่อนที่จะเขียนสู่สาธารณะเพราะมิฉะนั้นผู้อื่นที่เข้ามาอ่านจะเข้าใจผิดได้

ปล. ถึงสหายธรรมทุกท่าน
ท่านว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

ขอแนะนำให้นักปฏิบัติทั้งหลายลองศึกษาอภิธรรมดูนะครับ ท่านจะทราบเรื่องชีวิต จิต-เจตสิก และวิธีการปฏิบัติธรรม ที่อัศจรรย์ยิ่งนัก ในนั้นผนวกกับการปฏิบัติที่ถูกต้องจะตอบข้อสงสัยท่านได้ทั้งหมด

 

แล้วมันขยับได้ยังไงอะ มันสืบพันธุ์ได้ยังไงอะ ถ้ามันคิดไม่เป็น *0*
กลายพันธุ์ได้ด้วย

 

พืชขยับได้ด้วยลม แบคทีเรียเคลื่นที่ได้โดย flagella ซึ่งเป็นโครงสร้างคล้ายแซ่ทำหน้าที่โบกพัดให้เซลล์มันเคลื่อนที่ ไวรัสไม่มาเคลื่อนที่ได้เอง แต่ไปกับการไหลของ ๆ เหลวในเซลล์ที่มันอาศัยอยู่ แบคทีเรียเพิ่มจำนวนโดยการแบ่งเซลล์จาก 1 เป็น 2 เป็น 4 เป็น 8... ไปเรื่อย ๆ บางพวกมีการถ่ายยีนให้กันได้ ไวรัสเพิ่มจำนวนโดยการจำลองสารพันธุกรรมและสร้างโปรตีนหุ้มอนุภาคลูกหลาน