พระอรหันต์ก็คือพระอรหันต์ สาวกก็พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็พระอรหันต์ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงพบและพระสาวกได้พบ ก็คือสัจธรรมอันเดียวกัน ซึ่งภูมิที่ว่า เข้าใจว่าเป็นภูมิธรรมใช่หรือไม่ ดังนั้นไม่มีสาวกภูมิ ไม่มีพุทธภูมิ บัญญัติเหล่านี้ ตั้งกันภายหลัง เพื่อแยกแยะให้เกิดความต่าง เพื่อสร้างให้เกิดระดับ เพื่อให้ระดับที่สร้างเป้าหวังผล เพื่อประโยชน์ของบางพวกครับ ยกตัวอย่าง เพื่อนเราไปพบเห็ดก่อนเรา ณ จอมปลวกหนึ่ง แล้วมาเล่าให้เราฟัง ต่อมาเราจึงไปตามทางที่เพื่อนบอก เราก็พบเห็ดที่จอมปลวกนั้นเช่นกัน ถามว่าเพื่อนเรากลายเป็นนายเราตั้งแต่เมื่อไรกัน ฉลาดกว่าเราตรงไหน เพราะเพื่อนไม่ได้สร้างเห็ดขึ้นมาเอง เพียงแต่ไปพบเห็ดก่อนเราแล้วนำมาบอกแก่เราเท่านั้น ที่เพื่อนมันพบเห็ดก่อนเราเพราะมันขยันเสาะหา ไม่ใช่ว่าเพราะมันฉลาดในการคิดค้นพันธุกรรมเห็ดครับ
ในส่วนของระบบการคิดเพื่อการสั่งสมบารมีนั้นต่างกันแน่นอน ซึ่งไม่มีใครจะเหมือนกันนี่เป็นเรื่องจริง แต่การสั่งสมบารมีกี่มากน้อยกว่ากันที่ว่านี้ ไม่ได้มีผลต่อการบรรลุธรรมแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นอานิสงค์ที่ส่งผลให้ตนทำได้เหนือกว่าหรือมากกว่าผู้อื่น ในคนที่ทำในสิ่งที่ยากกว่าผู้อื่นเท่านั้นเอง เหมือนคนที่มีความรับผิดชอบและเสียสละมากกว่าใครๆในห้องเรียน ก็ได้รับการคัดเลือกเป็นหัวหน้า หัวหน้านี้เมื่อพูดอะไรคนอื่นก็ย่อมยอมหยุดรับฟัง ทำอะไรพูดอะไรก็ฟังดูน่าจะมีเหตุผลและความน่าเชื่อถือมาก เพราะได้รับการยอมรับจากเสียงส่วนใหญ่อยู่แล้ว พูดง่ายๆคือมีภาษีกว่านั่นเอง
ดังนั้นถ้าเป็นคนที่ใช้ภาษาคนคุยกัน คุยในเรื่องเดียวกัน มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน ยังไงก็คุยกันรู้เรื่อง คนมีความเพียรมากไม่ได้หมายความว่าจะฉลาดเลิศเลอไปมากกว่าใครๆครับ เพราะว่าคนที่ขยันแสวงหาก็จะรู้อะไรๆก่อนใครเท่านั้นเอง
พิจารณากันด้วยกับคำว่า พระโพธิสัตว์
ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย พี่บู, 31 ธันวาคม 2013.
หน้า 2 ของ 2
-
ท่านพี่บูต้องการจะบอกว่า ผู้ที่กำลังปราถนาพุทภูมิอยู่กำลังเข้าใจผิด ให้คิดเสียใหม่ตั้งใจตัดกิเลสเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เลยใช่มั้ยครับ ขอทราบว่าคุณพี่บูเอาความรู้เรื่องนี้มาจากแหล่งไหน ถ้าอ้างจากพระไตรปิฏกขอพระสูตรหรือพุทธดำรัสที่พระองค์กล่าวตรงๆว่าพระโพธิสัตว์จะไม่มาเกิดเป็นคนในศาสนาของพระองค์ได้มั้ยครับ เพื่อเป็นธรรมทานแก่ทุกท่าน
-
ฝากคำตอบให้คุณแอ๊บแบ้วกับคุณtwentynine นะครับ ที่ถามว่าเอามาจากพระไตรปิฎกเล่มไหนหน้าที่เท่าใด พระสูตรอะไร ขอตอบตรงๆว่าข้อมูลดังกล่าว สอดแทรกอยู่ในเนื้อหาพระไตรปิฎกทุกบรรทัดเว้นแต่ที่กล่าวถึงอดีตและอนาคตครับ เป็นสัทธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมดาเราเรียนหนังสือจนจบ ก็เพื่อเอาความรู้ทั้งหมดที่เรียนมา เพื่อใช้แก้ไขปัญหาและสร้างประโยชน์ใช่ไหมครับ ฉะนั้นคำตอบของความรู้ที่เรียนมาจะปรากฎในการใช้งานที่ปฏิบัติกันจริงๆ เราไม่ได้เรียนมาเพื่อถามกลับไปว่า เอาความรู้นี้มาได้อย่างไรกัน เชื่อถือได้แค่ไหน แต่กลับไม่เคยเอาความรุ้นี้ปฏิบัติเลย นอกจากตั้งข้อสงสัยก็หาประโยชน์อันใดไม่ได้ คำถามที่คุณทั้งสองกำลังถามหา หากจะเอาข้อใดข้อหนึ่งในพระไตรปิฎก มาตอบคำถามที่คุณทั้งสองอยากรู้ ทั้งชาตินี้ก็หาคำตอบและหลักฐานรองรับกันไม่จบสิ้น แล้วยังไม่สามารถพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่อีกด้วย เพราะความสงสัยของคนไม่มีสิ้นสุด และหลักฐานก็สามารถสร้างขึ้นมาได้ไม่รู้จบเช่นกัน อีกทั้งจะพิสูจน์กันอย่างไรกับกาลเวลาที่ล่วงมาแล้วและอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
การที่แนะนำให้ไปศึกษาพระไตรปิฎกควบคู่กับการปฏิบัติพระกรรมฐาน หากท่านที่ปฏิบัติตามที่แนะนำจริง จะทราบว่าในตำราและการปฏิบัติจริง ต่างให้ผลที่แตกต่างกันนั่นก็คือ 1.สุดที่จะหาคำตอบ ในปัจจุบันและสร้างคำถามให้ไม่รู้จบ และ 2.พบคำตอบได้ ทราบความหมายในตัวเอง ด้วยตัวเองในปัจจุบัน
ขอกล่าวถึงพระไตรปิฎกที่อ่านกันนี้ ความเดิมเกิดจากการแก้ไขและปรับปรุงกันมาหลายสมัย จนปรากฎว่าภายหลังข้อมูลกลายเป็นว่าจะพิสดารจนเกินวิสัยที่มนุษย์จะเข้าใจ และหาทางที่จะพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์แก่สายตาตนเองและผู้อื่น ในกาลสมัยปัจจุบันได้ยาก ต้องรอกันเป็นอสงไขย นั่นผิดไปจากพระประสงค์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้ทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ และทรงกล่าวว่าธรรมะเป็นอกาลิโก คือไม่จำกัดกาลเวลา ทรงสอนพระกรรมฐานให้ปฏิบัติและพระธรรมเพื่อให้แง่คิด ที่เป็นอุบายในการขัดเกลากิเลสทั้งตนเองและผู้อื่นเท่านั้นใบไม้กำมือเดียวมีเท่านี้ แต่ภายหลังกลับกลายเป็นว่า ได้รวมตัวกันเอาใบไม้ทั้งป่ามาสร้างอาณาจักรและเมฆหมอก มาปกคลุมวิริยะและปัญญาญาณกันไปเสีย -
พี่บู said: ↑ฝากคำตอบให้คุณแอ๊บแบ้วกับคุณtwentynine นะครับ ที่ถามว่าเอามาจากพระไตรปิฎกเล่มไหนหน้าที่เท่าใด พระสูตรอะไร ขอตอบตรงๆว่าข้อมูลดังกล่าว สอดแทรกในเนื้อหาพระไตรปิฎกทุกบรรทัดครับ เพราะนี่เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ยกเว้นในสำนวนที่กล่าวถึงอดีตและอนาคต คำถามที่คุณทั้งสองกำลังถามหา หากจะเอาข้อใดข้อหนึ่งในพระไตรปิฎก มาตอบคำถามที่คุณทั้งสองอยากรู้ ทั้งชาตินี้ก็หาคำตอบและหลักฐานรองรับกันไม่จบสิ้น แล้วยังไม่สามารถพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่อีกด้วย เพราะความสงสัยของคนไม่มีสิ้นสุด และหลักฐานก็สามารถสร้างขึ้นมาได้ไม่รู้จบเช่นกัน อีกทั้งจะพิสูจน์กันอย่างไรกับกาลเวลาที่ล่วงมาแล้วและอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
การที่แนะนำให้ไปศึกษาพระไตรปิฎกควบคู่กับการปฏิบัติพระกรรมฐาน หากท่านที่ปฏิบัติตามที่แนะนำจริง จะทราบว่าในตำราและการปฏิบัติจริง ต่างให้ผลที่แตกต่างกันนั่นก็คือ 1.สุดที่จะหาคำตอบ ในปัจจุบันและสร้างคำถามให้ไม่รู้จบ และ 2.พบคำตอบได้ ทราบความหมายในตัวเอง ด้วยตัวเองในปัจจุบัน
ขอกล่าวถึงพระไตรปิฎกที่อ่านกันนี้ ความเดิมเกิดจากการแก้ไขและปรับปรุงกันมาหลายสมัย จนปรากฎว่าภายหลังข้อมูลกลายเป็นว่าจะพิสดารจนเกินวิสัยที่มนุษย์จะเข้าใจ และหาทางที่จะพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์แก่สายตาตนเองและผู้อื่น ในกาลสมัยปัจจุบันได้ยาก ต้องรอกันเป็นอสงไขย นั่นผิดไปจากพระประสงค์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้ทุกอย่างสามารถพิสูจน์ได้ และทรงกล่าวว่าธรรมะเป็นอกาลิโก คือไม่จำกัดกาลเวลา ทรงสอนพระกรรมฐานให้ปฏิบัติและพระธรรมเพื่อให้แง่คิด ที่เป็นอุบายในการขัดเกลากิเลสทั้งตนเองและผู้อื่นเท่านั้นใบไม้กำมือเดียวมีเท่านี้ แต่ภายหลังกลับกลายเป็นว่า ได้รวมตัวกันเอาใบไม้ทั้งป่ามาสร้างอาณาจักรและเมฆหมอก มาปกคลุมวิริยะและปัญญาญาณกันไปเสียClick to expand...
สิ่งที่ทำให้เราใฝ่ดี อยากเป็นคนดี อยากสร้างบารมี ก็คือความยึดมั่น
และสุดท้าย ความยึดมั่นนี่แหละที่เป็นตัวอันตราย ที่ขัดที่ขวางให้เราไม่ได้ดีดั่งหวัง -
ผู้ไกล said: ↑เรื่องแบบนี้จะให้มาคุยกันหรือชักจูงกันหรือแนะนำกันถ้าไม่ได้พวกเดียวกัน
ก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอกครับ
เช่น ให้สาวกภูมิ มาแนะนำ พุทธภูมิ ย่อมคุยกันไม่รู้เรื่อง
หรือ ให้สาวกภูมิประเภทได้ วิชชา 3 มาพูดเรื่องเห็น ผี เทวดานางฟ้า
ให้สาวกภูมิประเภท สุขขวิปัสโก ที่ไม่ได้ญาณ ใด ๆ ก็ไม่รู้เรื่องเป็นธรรมดา
จะคุยกันรู้เรื่องต้อง บารมีเสมอกัน ศีล ทาน ภาวนา เสมอกัน
ภูมิที่ปราถณาเหมือนกัน ถึงจะคุยกันรู้เรื่อง
และสิ่งสำคัญ จะเป็นภูมิของ พุทธภูมิ ปัจเจกะภูมิ สาวกภูมิ
ย่อมปราถณาแดนบรมสุขคือ แดนพระนิพพานเหมือนกัน
แต่วัตถุประสงค์แตกต่างกัน จะให้คิดเหมือนกัน คงเป็นไปไม่ได้
แต่คงไว้ซึ่งเป้าหมายคือการพ้นทุกข์
ฉะนั้นแล้วจะให้มาคิดเหมือนหรือคิดต่างๆกัน ก็เป็นเรื่องปกติวิสัยภูมิ
ของแต่ละคนนะครับClick to expand...
****************************************************
มาด้วยความปรารถนาดี.......ย่อมจากไปด้วยความปรารถนาดีเช่นกัน...._/\_ ....ขอบคุณท่านพี่บูในทุกคำตอบ..ขอบคุณมิตร"ผู้ไกล"..ครับ....
คติที่ได้
คำว่า พระโพธิสัตว์[.10/SIZE] .....กำลังใจเสมอจึงอาจพอเข้าใจได้
พิจารณาตนให้มาก....เพราะตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน......."กัมมุนา วัตตติ โลโก". สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม...
****************************************************
จบ.
**************************************************** -
พี่บู said: ↑..
ตอบ อาจารย์ไม่ใช่เหตุของความสำเร็จครับ แต่เป็นหนึ่งปัจจัยของความสำเร็จ ถ้าถามอะไรเป็นเหตุก็ต้องตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ ตัวเอง เป็นเหตุของความสำเร็จ “วิชชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น มีบริบูรณ์และถึงพร้อมด้วยพระวินัย อันเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อวัตรปฏิบัติต่อผู้มีปรารถนาเป็นพระอรหันต์ มีมรรค อันถูกต้อง เพื่อเป็นปัจจัยต่อผลนิพพาน ดังนั้นการที่ผู้บวชให้ถึงพร้อมโดยไม่มีด่างพร้อย จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอนในชาตินี้” ..Click to expand...
ว่าแต่ท่านจขกท ทราบหรือไม่ว่า ในสังสารวัฏอันยาวไกลนั้น มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมากมายหลายพระองค์แล้ว?..ก็ท่านจขกท น่าจะได้พานพบพระองค์ใดพระองค์หนึ่งหรือมากพระองค์มาแล้ว...
ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนท่านจึงไม่ตามเสด็จพระพุทธองค์ทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพานเล่าครับ .?..
..
อนึ่ง แม้ชาวฟิสิกส์ที่จะสำเร็จวิชานั้นได้ ก็ยังต้องเรียนมา"ตามลำดับ" หาได้จู่ๆจับพลัดจับผลูเพียรหรือก้าวกระโดดจนสำเร็จแต่อย่างเดียวไม่ .....แม้การเล่าเรียนในชั้นประถมหรืออนุบาลก็เรียกได้ว่าเป็น"ปัจจัย"ส่วนหนึ่งในการสำเร็จวิชานั้นด้วย ใช่ใหมครับ?..
ข้่าพเจ้ามิได้ค้านการเร่งขวนขวายเพื่อบรรลุธรรมตามพระธรรมที่ปรากฏในปัจจุบัน แต่ค้านคำกล่าวของท่านจขกท ที่ว่า.."ผู้หวังพระโพธิญาณและมรรคผลนิพพานในอนาคตอันไกล ย่อมเสียทั้งประโยชน์ทั้งของตนเองและผู้อื่น" อันเป็นคำกล่าวที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่นเลย.. -
ddman said: ↑คำตอบนี้คล้ายๆกับจะบอกว่า "มีอาจารย์ดีเสียอย่าง ใครๆก็สำเร็จวิชานั้นได้.."....
ว่าแต่ท่านจขกท ทราบหรือไม่ว่า ในสังสารวัฏอันยาวไกลนั้น มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมากมายหลายพระองค์แล้ว?..ก็ท่านจขกท น่าจะได้พานพบพระองค์ใดพระองค์หนึ่งหรือมากพระองค์มาแล้ว...
ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนท่านจึงไม่ตามเสด็จพระพุทธองค์ทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพานเล่าครับ .?..
..
อนึ่ง แม้ชาวฟิสิกส์ที่จะสำเร็จวิชานั้นได้ ก็ยังต้องเรียนมา"ตามลำดับ" หาได้จู่ๆจับพลัดจับผลูเพียรหรือก้าวกระโดดจนสำเร็จแต่อย่างเดียวไม่ .....แม้การเล่าเรียนในชั้นประถมหรืออนุบาลก็เรียกได้ว่าเป็น"ปัจจัย"ส่วนหนึ่งในการสำเร็จวิชานั้นด้วย ใช่ใหมครับ?..
ข้่าพเจ้ามิได้ค้านการเร่งขวนขวายเพื่อบรรลุธรรมตามพระธรรมที่ปรากฏในปัจจุบัน แต่ค้านคำกล่าวของท่านจขกท ที่ว่า.."ผู้หวังพระโพธิญาณและมรรคผลนิพพานในอนาคตอันไกล ย่อมเสียทั้งประโยชน์ทั้งของตนเองและผู้อื่น" อันเป็นคำกล่าวที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่นเลย..Click to expand...
ส่วนเรื่องชาวฟิสิกส์อะไรนั่น เรื่องลำดับการสั่งสมความรู้ ถ้าพูดอดีตมีมากจึงมีวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้คัดค้านอะไรนะครับ แต่มันต่างกันตรงที่ระหว่างสะสมความรู้นั้น ไม่ได้หมายความว่าเราได้เคยพบศาสตร์สุดยอดนี้ตั้งแต่ครั้งนั้นนี่ครับ
ส่วนการหวังน้ำบ่อหน้าสำหรับคุณนั้น คุณเห็นเป็นเรื่องที่สำคัญ นั่นก็แล้วแต่คุณนะครับ ผมชวนคุณดื่มน้ำบ่อนี้ แต่คุณกลับว่าผมไร้สาระหาประโยชน์ไม่ได้ ทำให้คนที่หวังน้ำบ่อหน้าอย่างคุณและแบบเดียวกับคุณเสียโอกาส เสียประโยชน์ ก็เชิญคุณเดินไปดื่มบ่อหน้าแล้วกันครับ ไม่ว่ากัน สำหรับคนที่จะดื่มน้ำบ่อนี้กับผมคงมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เสียประโยชน์ครับ -
พี่บู said: ↑..
ส่วนการหวังน้ำบ่อหน้าสำหรับคุณนั้น คุณเห็นเป็นเรื่องที่สำคัญ นั่นก็แล้วแต่คุณนะครับ ผมชวนคุณดื่มน้ำบ่อนี้ แต่คุณกลับว่าผมไร้สาระหาประโยชน์ไม่ได้ ทำให้คนที่หวังน้ำบ่อหน้าอย่างคุณและแบบเดียวกับคุณเสียโอกาส เสียประโยชน์ ก็เชิญคุณเดินไปดื่มบ่อหน้าแล้วกันครับ ไม่ว่ากัน สำหรับคนที่จะดื่มน้ำบ่อนี้กับผมคงมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เสียประโยชน์ครับClick to expand...
อ้าว กลายเป็นผมหวังน้ำบ่อหน้าไปเสียแล้ว...ผมได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับวลีของท่านจขกท ที่ว่า..."ผู้หวังพระโพธิญาณและมรรคผลนิพพานในอนาคตอันไกล ย่อมเสียทั้งประโยชน์ทั้งของตนเองและผู้อื่น" เท่านั้น...ไม่ได้กล่าวเลยว่าจะรอน้ำบ่อหน้าอะไรๆ..ใยท่านจึงกล่าวตู่ข้าพเจ้าเยี่ยงนี้..?
ก็เมื่อท่านจขกท ยังยินดีที่จะกล่าวถ้อยคำปรามาสเหล่าพระโพธิสัตว์เช่นนี้ ข้าพเจ้าจะไปว่าอะไรท่านได้เล่าครับ.. -
ดันครับ
-
ddman said: ↑อ้าว กลายเป็นผมหวังน้ำบ่อหน้าไปเสียแล้ว...ผมได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับวลีของท่านจขกท ที่ว่า..."ผู้หวังพระโพธิญาณและมรรคผลนิพพานในอนาคตอันไกล ย่อมเสียทั้งประโยชน์ทั้งของตนเองและผู้อื่น" เท่านั้น...ไม่ได้กล่าวเลยว่าจะรอน้ำบ่อหน้าอะไรๆ..ใยท่านจึงกล่าวตู่ข้าพเจ้าเยี่ยงนี้..?
ก็เมื่อท่านจขกท ยังยินดีที่จะกล่าวถ้อยคำปรามาสเหล่าพระโพธิสัตว์เช่นนี้ ข้าพเจ้าจะไปว่าอะไรท่านได้เล่าครับ..Click to expand...
ก็เมื่อท่านddman ยังยินดีที่จะกล่าวถ้อยคำปรามาสผมเช่นนี้ ผมจะไปว่าอะไรท่านได้เล่าครับ.. -
ddman said: ↑อ้าว กลายเป็นผมหวังน้ำบ่อหน้าไปเสียแล้ว...ผมได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับวลีของท่านจขกท ที่ว่า..."ผู้หวังพระโพธิญาณและมรรคผลนิพพานในอนาคตอันไกล ย่อมเสียทั้งประโยชน์ทั้งของตนเองและผู้อื่น" เท่านั้น...ไม่ได้กล่าวเลยว่าจะรอน้ำบ่อหน้าอะไรๆ..ใยท่านจึงกล่าวตู่ข้าพเจ้าเยี่ยงนี้..?
ก็เมื่อท่านจขกท ยังยินดีที่จะกล่าวถ้อยคำปรามาสเหล่าพระโพธิสัตว์เช่นนี้ ข้าพเจ้าจะไปว่าอะไรท่านได้เล่าครับ..Click to expand...
สำหรับผู้หวังพระโพธิญาณ ในที่นี้มีความหมาย เกิดมาจากสมัยที่พระพุทธเจ้าเปิดโลก ทำให้สรรพสัตว์เห็นความเลิศโลกของพระองค์ จึงพากันหวังเป็นพระพุทธเจ้า เจตนาของสรรพสัตว์ที่นี้คือ ความต้องการเหนือกว่าสัตว์ทั้งมวล ต้องการเป็นดุจเดียวกับพระพุทธเจ้าด้วยเหตุที่ว่านี้ ซึ่งมีจำนวนมากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทรครับ
แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ที่เป็นพระชาติแรกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระองค์เสวยชาติเป็นมาณพหนุ่มที่เรือแตก ได้ให้มารดาของตนขึ้นขี่คอ แล้วท่านจึงว่ายข้ามมหาสมุทร ในใจของท่านหวังที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ลำบากนั้นให้พ้นจากความลำบากดุจเดียวกับมารดาตน ไม่ใช่อยากเก่งอย่างพวกแรก (สถานการณ์ต่างกัน) อีกประการหนึ่งสมัยนั้น หรือแม้ขณะนั้นมาณพหนุ่มไม่รู้จักพระพุทธเจ้าหรือการบำเพ็ญเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีพระพุทธเจ้าให้พระโพธิสัตว์พระองค์นั้นเอาเป็นแบบอย่างด้วยครับ เรื่องที่พระองค์หวังเป็นพระพุทธเจ้าจึงเป็นไปไม่ได้ แต่อานิสงค์ของบุญกุศลที่ท่านทำและเจตนาที่จะเปลื้องทุกข์ในมวลสรรพสัตว์ของท่านส่งผลให้ท่านได้เป็นพระมหาโพธิสัตว์ จนได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ เจตนาทั้งสองเรื่องนี้ต่างกันนะครับ
ส่วนคนที่เกิดมารู้จักความเลิศของพระพุทธเจ้าแล้ว แม้อยู่ในสมัยของพระองค์หรือหลังพุทธกาล แต่เมื่อพบเจอแล้วกับธรรมวิเศษที่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสมบารมีมาตลอดเพื่อการค้นพบ มรรคผล ที่ว่านี้ แต่กลับยังไปหวังพระโพธิญาณและมรรคผลนิพพานในอนาคตอันไกล ย่อมเสียทั้งประโยชน์ทั้งของตนเองและผู้อื่น ด้วยว่า นาอันอุดมนี้มีอยู่บริบูรณ์ เหตุใดจึงไปหวังนาอุดมในอนาคตกันเสียเล่า คำๆนี้ผมยืนยันว่าไม่ได้กล่าวผิดเลย (ยกเว้นพระโพธิสัตว์ที่จุติมารับการพุทธพยากรณ์ตามพุทธประเพณี อย่างที่ได้เคยกล่าวมาแล้ว)
หน้า 2 ของ 2